ข้อมูลงานสร้าง
“ในตอนที่เจ้าต่อสู้กับความมืด ความมืดก็จะแทรกเข้าไปในตัวเจ้า…”
–มาสเตอร์ จอห์น เกรกอรี
ในช่วงเวลามหัศจรรย์ที่ตำนานและเวทมนตร์จะประสานกัน นักรบผู้หลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวขององค์กรเวทมนตร์ (เจฟฟ์ บริดเจส เจ้าของรางวัลออสการ์ ผู้แสดง True Grit, Iron Man) เดินทางเพื่อตามหาวีรบุรุษตามคำทำนายที่เกิดมาพร้อมกับพลังเหลือเชื่อ บุตรคนที่เจ็ด (เบน บาร์นส์ จาก The Chronicles of Narnia: Prince Caspian, Stardust)
วีรบุรุษหนุ่มผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวจาก Seventh Son ผู้จำต้องโบกมือลาชีวิตเด็กช่วยงานในไร่ที่สงบสุขของตัวเอง ได้ก้าวสู่การผจญภัยสุดระทึกพร้อมกับอาจารย์ผู้ชำนาญการสู้รบของเขา เพื่อกำจัดราชินีอันธกาล (จูลีแอนน์ มัวร์ เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ ผู้แสดง The Hunger Games: Mockingjay Part 1, The Kids Are All Right) และกองทัพมือสังหารเหนือธรรมชาติที่เธอส่งมารุกรานอาณาจักรของพวกเขา
นานหลายศตวรรษมาแล้วที่มนุษยชาติได้รับการปกป้องจากสิ่งมีชีวิตแห่งรัตติกาลโดยกลุ่มนักรบผู้ทรงเกียรติในนามของ อัศวินเหยี่ยว บัดนี้ พวกเขาเหลือเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เขาคือมาสเตอร์ จอห์น เกรกอรี (บริดเจส) นักล่าปีศาจหนวดเครากระเซิง ที่มีฝีปากคมกริบพอๆ กับดาบของเขา ในฐานะนักล่าแม่มดที่ถูกล่อลวงโดยราชินีของพวกมัน (มัวร์) ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของเขาคือการแสดงความเมตตาต่อเธอ…และบัดนี้ เขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน
เพราะความลับมืดดำที่เขาคิดว่าเขาฝังเก็บไว้มิดชิดกำลังจะถูกปลดปล่อย…
หลังจากถูกทรยศจากชายที่เธอรักที่สุด มัลคิน ราชินีแม่มดก็ถูกปล่อยทิ้งให้ตายอยู่ในคุกในขณะที่ความกระหายการล้างแค้นของเธอยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จันทราโลหิตที่กำลังเปล่งแสงช่วยเพิ่มพลังการแปลงร่างของเธอจนกระทั่งเธอสามารถปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้
มาเธอร์มัลคิน ที่สาบานว่าจะล้างแค้นให้จงได้ ได้รวบรวมกองทัพแม่มด นักรบและมือสังหารเหนือธรรมชาติจากทุกเผ่าพันธุ์ ด้วยความมุ่งหมายที่จะลงโทษโลกที่โหดร้าย ที่เคยปฏิเสธพวกเขา มนุษยชาติได้สร้างปีศาจร้ายขึ้นมา…และบัดนี้ เธอได้ถูกปลดปล่อยแล้ว
เมื่อมัลคินทำร้ายเกรกอรีและสังหารสหายของเขา อัศวินเหยี่ยวผู้นี้จะต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อตามหาบุตรคนที่เจ็ดคนสุดท้าย
ทอม วอร์ด (บาร์นส์) คนงานในไร่ ถูกพรากจากครอบครัวของเขา เพื่อร่วมผจญภัยท้ามฤตยูในป่าน่าสะพรึงกลัว เมืองใหญ่ และน้ำตกสูงชัน เพื่อเผชิญหน้ากับกองทัพของมัลคินในรังเหนือหุบเขาของเธอ แต่ทอมเองก็มีความลับเช่นกัน…มนต์ดำที่เขาไล่ล่าในตอนนี้ก็หลับใหลอยู่ในตัวเขาเช่นกัน เพราะมารดาของเขาเป็นแม่มด
เมื่อเวลาใกล้จะหมดลง เกรกอรีและทอมจะต้องเดินทางท่ามกลางโลกที่น่าตื่นตาตื่นใจของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ มือสังหาร นักรบและปีศาจสะเทือนโลก เพื่อเผชิญหน้ากับราชินีอันธกาล…ก่อนที่จะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพลังของเธอได้
ความภักดีของทอมถูกทดสอบเมื่อเขาตกหลุมรักเหยื่อของเขา…อลิซ (อาลิเซีย วิคันเดอร์ จาก Anna Karenina, A Royal Affair) ลูกครึ่งแม่มดที่ถูกส่งมาสกัดกั้นพวกเขา ความรักลับๆ ระหว่างศัตรูคู่อาฆาตบีบให้พวกเขาต้องเลือกระหว่างความรักและหน้าที่ พวกเขาจะทรยศต่อหัวใจตัวเอง หรือทำให้พวกพ้องของตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายกันแน่ล่ะ
เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ชะตากรรมก็นำพวกเขาไปสู่การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายใจกลางหุบเขา มาสเตอร์ เกรกอรีจะสามารถกำจัดความมืดมิดภายในตัวมัลคินโดยไม่จำนนต่อความมืดมิดภายในตัวเขาเองได้รึเปล่า พลังของมัลคินจะเหนืออัศวินเหยี่ยวรึเปล่า อลิซจะเลือกที่จะสู้เพื่อครอบครัว หรือทำตามหัวใจตัวเอง และทอมจะสามารถก้าวผ่านความมืดมิดและดึงเอาพลังที่แท้จริงของบุตรคนที่เจ็ดออกมาได้รึเปล่า
ผู้ที่แสดงร่วมกับบริดเจส, บาร์นส์และมัวร์คือทีมนักแสดงสมทบชั้นยอดที่รวมถึง คิท แฮริงตัน (ซีรีส์ Game of Thrones, Pompeii) ในบทแบรดลีย์ ศิษย์ที่เกรกอรีไว้ใจมากที่สุด คนก่อนหน้าทอม, โอลิเวีย วิลเลียมส์ (Anna Karenina, The Sixth Sense) ในบทแมม วอร์ด แม่ที่รักของทอม ผู้มีความลับของตัวเอง, อันเจ ทราว (Man of Steel, Pandorum) ในบทโบนี ลิซซี แม่ผู้มีเวทมนตร์ของอลิซ น้องสาวที่รักและคนสนิทที่ราชินีไว้วางใจ, เจสัน สก็อต ลี (Balls of Fury, Soldier) ในบทอุรัค หนึ่งในลูกสมุนที่ร้ายกาจที่สุดของมัลคินและดิมอน ฮันซู (Guardians of the Galaxy, Furious 7) ในบทราดู นักรบผู้ครองดาบ ผู้มีพลังในการแปลงร่างเป็นสัตว์ร้ายแห่งรัตติกาล
เซอร์เก โบดรอฟ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (Mongol: The Rise of Genghis Khan, Nomad: The Warrior) กำกับภาพยนตร์เรื่อง Seventh Son จากบทภาพยนตร์โดยชาร์ลส์ ลีวิทท์ (In the Heart of the Sea, Warcraft) และสตีเวน ไนท์ (The Hundred-Foot Journey, Closed Circuit) และเรื่องราวภาพยนตร์โดยแมทท์ กรีนเบิร์ก (Reign of Fire, Mercy) จากหนังสือชื่อ “The Spook’s Apprentice” โดยโจเซฟ เดอลานีย์
ผู้ที่ทำงานเบื้องหลังร่วมกับโบดรอฟประกอบไปด้วยทีมงานระดับแนวหน้าที่นำทีมโดยผู้กำกับภาพ นิวตัน โธมัส ซีเกล (X-Men: Days of Future Past, Drive), ผู้ออกแบบงานสร้างสามรางวัลออสการ์ ดันเต้ เฟอร์เร็ตติ (Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street, Hugo), มือลำดับภาพ พอล รูเบล (Transformers: Age of Extinction, Thor), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แจ็คเกอลีน เวสต์ (Argo, The Gambler), ผู้ประพันธ์เพลง มาร์โก เบลทรามี (World War Z, 3:10 to Yuma) และซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์เจ้าของสองรางวัลออสการ์ จอห์น ดิคสตรา (Django Unchained, X-Men: First Class)
Seventh Son เข้าฉายในระบบ 3D อำนวยยการสร้างโดยบาซิล อิวานิค (Wrath of the Titans, The Town), โธมัส ทัลล์ (Godzilla, Pacific Rim) และลีโอเนล วิแกรม (Sherlock Holmes: A Game of Shadows, The Man from U.N.C.L.E.)
จอน จาชนี (Godzilla, Pacific Rim), เบรนท์ โอ’ คอนเนอร์ (This Means War, Warcraft) และอาลิเซีย คอตเตอร์ รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง ในขณะที่จิลเลียน แชร์ (Pacific Rim) และเอริก้า ลี (John Wick) รับหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง
เกี่ยวกับงานสร้าง
จากหน้ากระดาษสู่จอเงิน:
Seventh Son เริ่มต้นขึ้น
โจเซฟ เดอลานีย์ นักเขียนผู้ซึ่งผลงานชุด “The Last Apprentice” ของเขากลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก อธิบายว่าการผจญภัยของมาสเตอร์เกรกอรีและทอม วอร์ดเริ่มต้นได้อย่างไร “ผมเคยสอนหนังสือในแบล็คพูล และใกล้ๆ กับสถานที่ทำงานผม ผมกับภรรยาได้พบกับหมู่บ้านที่ชื่อสตัลไมน์ ที่เราซื้อบ้านหลังหนึ่งไว้ หลังจากเราย้ายเขาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ผมก็เจอกับโบสถ์หลังหนึ่งที่ปลายถนน ที่ครั้งหนึ่งเคยมีตัวบ็อกการ์ทที่ชื่อ สตัลไมน์ ฮอล น็อคเกอร์ มันเคยสิงสถิตย์อยู่ในโบสถ์ ผลักป้ายหลุมศพล้ม สั่นประตูโบสถ์ ทำให้คนมาโบสถ์ตื่นกลัว พวกเขาก็เลยหานักบวชมาจัดการ ในที่สุด นักบวชก็หาบทสวดที่ถูกต้องและไล่บ็อกการ์ทตัวนั้นไปได้”
กลายเป็นว่านี่เป็นหนึ่งในผีจำนวนมากที่เดอลานีย์จะได้เจอในละแวกบ้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของเขสส “ทางตอนเหนือของที่ที่ผมอยู่เป็นแฮ็คเคนซอว์ ฮอลส์ บ้านเก่าแก่ที่มีม้าบ็อกการ์ท ซึ่งเราจะได้ยินเสียงมันวิ่งไปมาตามถนน” เขาเล่า “แล้วก็มีปราสาทแลนคาสเตอร์ ที่แม่มดเพนเดิลตัวจริงถูกแขวนคอ แลนคาเชียร์เต็มไปด้วยบ็อกการ์ท ผมก็เลยดึงเอาเรื่องราวจากตำนานท้องถิ่นเหล่านี้ คุณสามารถหานักบวชมาได้ แต่เขาก็อาจจะกลัวหรือทำอะไรไม่ได้ ผมก็เลยสร้างจอมขมังเวทย์ขึ้นมา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นนักไล่ผี เป็นคนที่จัดการกับโลกมืดครับ”
อย่างไรก็ดี ต้องใช้เวลาอีก 17 ปี กว่าที่เรื่องราวที่เดอลานีย์เก็บไว้ในสมุดโน้ตรวมไอเดียจะกลายมาเป็นหนังสือที่ชื่อ “The Spook’s Apprentice” ที่เขียนขึ้นในปี 2000 หลังจากเอเจนท์ของเขาเล่าให้เขาฟังถึงโอกาสในการตีพิมพ์ หนังสือเรื่องนี้ ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในอังกฤษปี 2004 นำไปสู่ชุดหนังสือ “The Wardstone Chronicles” และท้ายที่สุด มันก็ถูกแปลในหลายภาษาและขายใน 24 ประทศ รวมถึงอเมริกาในชื่อชุดว่า “The Last Apprentice: Revenge of the Witch”
แม้แต่ก่อนที่หนังสือเรื่องนี้จะจำหน่ายในอเมริกา ผู้อำนวยการสร้างที่ธันเดอร์ โร้ด พิคเจอร์ส ก็ได้พบกับหนังสือที่มีเสน่ห์ดึงดูดเรื่องนี้ระหว่างที่พวกเขาเดินทางไปลอนดอน “เราทำงานกับโปรเจ็กต์นี้มาเกือบทศวรรษแล้ว” เอริก้า ลี ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง Seventh Son กล่าว “เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของฉันและบาซิล [ผู้อำนวยการสร้างอิวานิค] ได้พบกับเอเจนท์วรรณกรรมหลายคนในลอนดอน และเราก็ซื้อหนังสือหลายเรื่องกลับมา เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เราตกหลุมรักมันและเสนอมันให้กับวอร์เนอร์ บรอส. ที่ซื้อสิทธิมันทันที นับตั้งแต่นั้นมา มันก็เป็นกระบวนการที่ยาวนาน และธีมและตัวละครเป็นสิ่งที่โดนใจเราค่ะ”
สิ่งที่ดึงดูดใจผู้อำนวยการสร้างคือการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพลังเวทมนตร์โบราณที่ถูกท้าทายโดยความรู้ของมาสเตอร์ เกรกอรีและอัศวินเหยี่ยวที่ทำหน้าที่มาก่อนหน้าเขา ในเวอร์ชันจอเงิน “เหตุผลที่ ‘The Spook’s Apprentice’ วิเศษเหลือเกินคือการที่มันทำให้เวทมนตร์ไม่ใช่เรื่องลี้ลับ” อิวานิคกล่าว “มันทำให้การต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์พวกนี้เป็นเหมือนงานฝีมือหรือวิทยาศาสตร์มากกว่าอะไรที่น่าอัศจรรย์ อัศวินเหยี่ยวไม่ใช่พ่อมด เขาเป็นอัศวิน/ทหาร ที่ต้องศึกษาจุดอ่อนและจุดแข็งของศัตรูพวกนี้ ว่ามันจะถูกฆ่าหรือกำราบได้ยังไง เขาไม่เพียงแต่ต้องรู้วิธีกำราบมันทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังต้องรู้วิธีคิดให้เหนือมันด้วย อัศวินไม่ได้ใช้เวทมนตร์แต่พวกเขาใช้วิทยาศาสตร์ มาสเตอร์ เกรกอรีมีหนังสือมากมาย ที่เต็มไปด้วยความรู้จากอดีต อัศวินแต่ละคนจะเขียนหนังสือของตัวเองเพื่อส่งต่อความรู้ไปให้กับอัศวินรุ่นถัดไป พวกเขาใช้อาวุธตามธรรมชาติ เช่นไม้โรวาน เงิน เกลือและเหล็ก…ต่อสู้กับมนต์ดำด้วยความรู้ ไอเดียนี้ถูกตอกย้ำเข้าไปในหนังเพราะเรารู้ว่าเราอยากให้มันสมจริงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”
แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจสุดท้ายของมัลคิน อิวานิคก็ยอมรับว่า เราไม่สามารถโทษเหล่าแม่มดสำหรับความเป็นปรปักษ์ที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเธอและมนุษย์ได้ จุดนั้นเองที่เป็นใจความสำคัญสำหรับเรื่องราวภาพยนตร์และบทภาพยนตร์ และทำให้มัลคินกลายเป็นคู่ต่อกรที่น่าสนใจ ผู้อำนวยการสร้างเล่าว่า “ตามประวัติศาสตร์แล้ว มันมีความคลางแคลงใจในตัวแม่มดและผู้คนหลายพันคนก็ถูกฆ่าหรือทรมานเพราะถูกสงสัยว่าใช้เวทมนตร์ แต่เดิมทีแม่มดไม่ใช่คนชั่วร้าย เพียงแต่มนุษย์มักจะทำหรือสิ่งหรือใครก็ตามที่พวกเขาไม่เข้าใจ และตอนนี้ แม่มดก็ตอบโต้ มาเธอร์มัลคิน ผู้นำและแม่มดที่แข็งแกร่งที่สุด ได้หลบหนีจากที่คุมขัง และก็มีอัศวินเหยี่ยวเหลือเพียงคนเดียวคือเกรกอรี และไม่นาน จันทราโลหิตก็จะมาถึง มันเป็นช่วงเวลาที่เวทมนตร์จะเรืองอำนาจที่สุด มัลคินตระหนักได้ว่านี่เป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบในการแย่งชิงโลกกลับคืนมา แม่มดไม่เคยแข็งแกร่งเท่านี้มาก่อน”
ในการผลักดันให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการอนุมัติ ทีมผู้สร้างได้หันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานที่ลีเจนดารี พิคเจอร์ส ลีเจนดารีชื่นชอบโปรเจ็กต์นี้และกระโจนเข้าใส่โอกาสที่จะได้สร้างมัน เพราะเชื่อว่ามันเข้ากับบรรดาเรื่องราวที่พวกเขาครอบครองสิทธิเป็นอย่างดี “ที่ลีเจนดารี เราสร้างหนังที่เราคลั่งไคล้มัน” ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง จิลเลียน แชร์ กล่าว “สำหรับเรา มันไม่ใช่แค่ธุรกิจ เราพยายามจะสร้างหนังที่ได้รับความนิยมแต่ก็เหนือกว่านั้น ที่เล่าถึงวีรบุรุษและตำนาน รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่เราชื่นชอบสมัยเด็กๆ Seventh Son มีคุณสมบัติของหนังที่ลีเจนดารีสร้างขึ้น” ในตอนที่ลีเจนดารีได้ทำข้อตกลงการจัดจำหน่ายนานหลายปีกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สในซัมเมอร์ปี 2013 Seventh Son ก็มากับพวกเขาด้วยและได้รับกำหนดฉายเป็นต้นปี 2015
มือเขียนบทแอ็กชันผจญภัยอีพิคเรื่องนี้ได้ใช้แบ็คดร็อปที่น่าหลงใหลของเดอลานีย์ แต่ก็ต่อยอดไอเดียของพวกเขาเองสำหรับเรื่องราวของมาสเตอร์ เกรกอรีและทอม วอร์ด นอกจากความตื่นเต้นของทอมที่ได้เรียนรู้ว่าเขาเป็นบุตรคนที่เจ็ดคนสุดท้าย พวกเขายังเพิ่มความต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองให้กับเกรกอรีเข้าไป เพื่อสร้างน้ำหนักให้กับคำยืนยันของแมมที่ว่าชะตากรรมของลูกชายเธอยิ่งใหญ่กว่า “การไล่ต้อนหมู” อย่างไรก็ดี ตัวอาจารย์เองก็ไม่ได้ประทับใจอะไรง่ายๆ และความผิดพลาดใหญ่หลวงที่ทอมสร้างไว้ในช่วงแรกๆ ของการฝึกฝนก็ไม่ได้ช่วยทำให้เกรกอรีรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเมื่อนึกถึงการหยุดยั้งมัลคินที่รอพวกเขาอยู่ข้างหน้า ที่สำคัญ เกรกอรีแทบไม่เหลือความเมตตาปรานีในจิตใจที่เย็นชาไปแล้วจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเขาและงานของเขาที่หลายครั้งก็ไม่น่าพิสมัยเอาซะเลย
สำหรับธันเดอร์ โร้ด ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นโอกาสให้ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชาวรัสเซีย เซอร์เก โบดรอฟ ผู้ซึ่งพวกเขาไล่ไขว่คว้ามาหลายปีแล้ว “เซอร์เกเป็นผู้กำกับที่เราอยากจะร่วมงานด้วยมาโดยตลอด” ลีเล่า “เราได้ดูหนังเรื่อง Mongol และประทับใจมากๆ เราส่งบทหนังหลายเรื่องไปให้เขาตลอดหลายปีนี้ และมองหาหนังที่จะเหมาะกับเขา ดังนั้น พอเราได้ยินว่าเขาสนใจ เราก็ตื่นเต้นกันมากๆ Mongol เป็นหนังที่น่าทึ่ง และเราก็รู้ว่าลักษณะการเล่าเรื่องของเซอร์เกจะเหมาะกับ Seventh Son อย่างพอดิบพอดี”
การนำผู้กำกับต่างชาติเข้ามาเป็นมุมมองที่น่าทึ่ง อิวานิคเล่าว่า “ความท้าทายของหนังแบบนี้คือการหาผู้กำกับที่จะมีมุมมองที่ต่างออกไป เพื่อที่มันจะได้ไม่คล้ายกับหนังเรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกัน มุมมองของเซอร์เกแตกต่างมากๆ และน่าสนใจกว่าผู้กำกับคนอื่นๆ ที่เราทาบทามไว้เยอะ เราก็เลยรู้สึกว่าเขาจะสามารถสร้างความรู้สึกแบบสากลให้กับ Seventh Son และทำให้มันมีเอกลักษณ์โดดเด่นได้ อีกสิ่งหนึ่งที่เราสงสัย และก็เป็นจริงซะด้วย คือผู้คนจำนวนมากทั้งหน้ากล้องและหลังกล้องอยากจะร่วมงานกับเซอร์เกเพราะเขาเป็นคนที่เป็นที่ชื่นชอบและลึกลับมาก”
ทีมผู้สร้างมั่นใจในความสามารถของโบดรอฟในการทำให้เรื่องราวนี้เป็นของเขาเอง “หนังสือเรื่องนี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนจำนวนมาก” แชร์เล่า “เดอลานีย์สร้างโลกและตัวละครที่เข้าถึงได้และน่าตื่นเต้น และเราก็อยากจะทำให้แน่ใจว่าเราจะรักษาแง่มุมนั้นของหนังสือเรื่องนี้เอาไว้ได้ ในการสร้างหนังจากวรรณกรรม คุณจะต้องพยายามซื่อตรงต่อตัวหนังสือแต่ก็ทำให้ตัวหนังเปิดกว้างขึ้น เซอร์เกทำหน้าที่ได้อย่างวิเศษสุดในการทำให้สโคปของสิ่งที่มีอยู่แล้วยิ่งใหญ่ขึ้นและทำให้แอ็กชันน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น”
อัศวินเหยี่ยวและแม่มด:
การคัดเลือกนักแสดงสำหรับแอ็กชันผจญภัยอีพิค
แนวทางการสร้างภาพยนตร์แบบสากลของโบดรอฟกลายเป็นสิ่งที่มากกว่าความสมัครใจของเขาเอง เรื่องราวดั้งเดิมเกิดขึ้นในอังกฤษแต่โบดรอฟอยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อสารกับผู้ชมทั่วโลก เขานำเรื่องราวออกจากบริเวณนี้ของยุโรป และเปลี่ยนให้มันกลายเป็นดินแดนที่มีผู้คนทุกเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ เป็นหมู่บ้านรวมคนในยุคกลาง และขยายขอบเขตออกไปกว้างไกลสำหรับทีมงานของเขา ถึงเวลาหาตัวนักแสดงที่โบดรอฟและทีมผู้อำนวยการสร้างรู้สึกว่าจะคู่ควรกับเรื่องราวนี้แล้ว
สำหรับมาสเตอร์ เกรกอรี อิวานิคอธิบายว่า ทีมงานต้องการนักแสดงที่จะ “สามารถแสดงความฉุนเฉียว อารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิด แก่ แต่ก็แสดงถึงความมีชีวิตชีวา ความเยาว์วัยและเสน่ห์ได้ในยามที่ต้องการและมีรูปร่างฟิต” ทีมผู้สร้างรู้สึกว่า เจฟฟ์ บริดเจส เจ้าของรางวัลออสการ์ เหมาะกับบทนี้ “เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงอเมริกันที่ยอดเยี่ยมที่สุด และเขาก็เป็นดาราแม่เหล็กของแท้ ด้วยผลงานรับประกันอย่าง TRON และ True Grit มีนักแสดงหลายคนที่รู้สึกหน้าคุ้นๆ ในหนังแนวนี้และเราก็รู้ว่าเจฟฟ์จะนำมุมมองของตัวเองเข้ามาในหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เขาได้สร้างตัวละครที่เหลือเชื่อขึ้นมาครับ”
“มาสเตอร์ เกรกอรีเป็นคนที่ผ่านโลกมานานและรู้สึกอ่อนล้ามากๆ” แชร์เล่า “เขาแบกภาะหนักในการต่อสู้กับปีศาจร้าย โดยที่ไม่ได้รับความชื่นชมจากคนที่เขาช่วยเหลือ พวกเขาอยากให้เขามาช่วยตอนมีปัญหา แต่พวกเขาไม่อยากผูกมิตรกับเขา เจฟฟ์ทำหน้าที่ได้อย่างน่าทึ่งในการถ่ายทอดความเจ็บปวดนั้นออกมา และก็ช่วยสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยม”
นักแสดงคนดังตกลงรับบทสมาชิกภาคีนักรบโบราณที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียว และเขาก็เล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจที่จะแสดงใน Seventh Son “เหตุผลหนึ่งคือหนังสือวิเศษสุดที่โจ เดลานีย์ได้เขียนขึ้น เรื่องราวนี้มืดหม่นกว่านิดหน่อย และสั่นประสาทกว่าการต่อสู้คลาสสิกระหว่างธรรมะและอธรรม สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นสีดำหรือขาวซะทั้งหมด ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือโอกาสในการได้ร่วมงานกับเซอร์เก ผมได้ดูหนังเรื่อง Prisoner of the Mountains ซึ่งวิเศษสุด และ Mongol ด้วยและผมก็รู้ว่า ถ้าเขาเป็นผู้กำกับ เราก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วครับ”
บริดเจสเล่าว่าสไตล์ของผู้กำกับเขาเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อบทที่มีความท้าทายด้านกายภาพมากๆ “เซอร์เกเป็นหนึ่งในผู้กำกับคนโปรดของเขา สไตล์การกำกับของเขา ซึ่งกว้างขวางมากๆ จะกระตุ้นให้คุณทุ่มเททุกอย่าง เขาไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย เขาจะรวมนักวาดภาพที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้เข้าด้วยกัน และเขาก็ไว้วางใจพวกเขา เขาสร้างพื้นที่ให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ สิ่งที่คุณไม่พูดกับสิ่งที่คุณพูดแทบจะสำคัญพอๆ กัน เซอร์เกมีวิธีการถ่ายทำที่ละเอียดอ่อนมากๆ และการร่วมงานกับเขาก็เป็นเรื่องวิเศษสุดครับ”
เกรกอรี ที่ไม่อาจรับมือกับศึกที่กำลังจะมาเยือนตามลำพัง เมื่อแบรดลีย์เสียชีวิตลงด้วยฝีมือของมาเธอร์มัลคินผู้ต้องการจะล้างแค้น ได้ออกตามหาศิษย์และทายาทคนใหม่ของเขา อย่างไรก็ดี คุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่จำกัดจำนวนผู้ที่อาจรับตำแหน่งนี้ได้ บริดเจสเล่าความเป็นมาให้ฟังว่า “มาสเตอร์เกรกอรีเป็นสมาชิกที่เหลือรอดอยู่คนสุดท้ายของกลุ่มอัศวินเหยี่ยว ที่ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นบุตรคนที่เจ็ดของบุตรคนที่เจ็ด การเป็นบุตรคนที่เจ็ดของบุตรคนที่เจ็ดจะทำให้เขาแข็งแกร่ง ฉลาดและกล้าหาญมากกว่าคนธรรมดาถึงเจ็ดเท่า แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่หาได้ยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่เกรกอรีต้องการเพื่อต่อสู้กับปีศาจชั่วร้าย ตอนนี้ มีเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติตามนั้น เขาคือทอม วอร์ดครับ”
ทอม ลูกชายของคนเลี้ยงหมู รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่นๆ มาโดยตลอด ทอม ผู้ถูกตามหลอนด้วยภาพนิมิตและอาการชักที่เหมือนกับลมบ้าหมู มองอาการเหล่านี้ว่าเป็นโรคร้าย จุดอ่อน เช่นเดียวกับครอบครัวของเขา เบน บาร์นส์ ผู้ประสบความสำเร็จกับการแสดงภาพยนตร์แนวนี้ ด้วยบทนำในภาพยนตร์เรื่อง The Chronicles of Narnia: Prince Caspian และการแสดงน่าทึ่งใน Stardust เล่าว่า “พ่อและพี่น้องของทอมไม่แยแสเขา พวกเขาคิดว่าเขาไม่มีดีอะไรซักอย่าง แต่แล้วก็มีชายลึกลับ ที่ทอมฝันถึง ปรากฏตัวขึ้น และซื้อเขาจากครอบครัวของเขา”
กลายเป็นว่าศิษย์ของอัศวินเหยี่ยวคนสุดท้าย เด็กหนุ่มผู้มีหัวใจบุรุษและเลือดของแม่มด เป็นบทที่หานักแสดงได้ยาก อิวานิคเล่าว่า “ในตอนเริ่มต้น ทอมจะต้องมีความไร้เดียงสา เพื่อตอกย้ำเรื่องที่ว่าเขาเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชะตากรรมของตัวเอง แต่ก็สามารถเติบโตกลายเป็นวีรบุรุษได้ ทอมของเราจะต้องเป็นตัวละครที่ประกบเกรกอรี ผู้ซึ่งแข็งแกร่งได้ เราอยากได้ศิษย์ที่จะร่าเริงและมีชีวิตชีวากว่าเกรกอรี เพราะเราไม่อยากได้คนขี้หงุดหงิดสองคนในหนัง และเบนก็มีคุณสมบัติครบถ้วนครับ”
ความหวาดระแวงระหว่างอาจารย์และศิษย์ถูกสะท้อนให้เห็นในความสัมพันธ์ระหว่างสองนักแสดงในกองถ่ายด้วย บาร์นส์ยืนยันสิ่งที่คนอื่นๆ เห็นในกองถ่าย “ผมกลัวมากตอนที่ได้เจอกับเจฟฟ์ ตัวจริงเขาเป็นคนร่างใหญ่น่าเกรงขาม และเขาก็มีดวงตาสีฟ้าคมกริบที่จะส่องทะลุทะลวงคุณ ผมก็เลยรู้ว่าเขากำลังประเมินผมอยู่ แล้วเขาก็มีวิธีการแสดงแบบเมธอด เกรกอรีไม่ได้เลือกทอม แต่เขาจำต้องรับทอมเป็นศิษย์ เกรกอรีก็เลยปฏิบัติต่ออทอมแบบส่งๆ แกล้งเขา ไม่มองเขาแบบจริงจังแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขาต้องการทอมก็ตาม ผมคิดว่าเจฟฟ์จะปฏิบัติต่อผมแบบนั้นเหมือนกันในตอนแรก เพื่อทดสอบผม ผมรู้สึกหวั่นใจจริงๆ ในช่วงสองสามสัปดาห์แรกน่ะครับ”
เมื่อความสัมพันธ์ในภาพยนตร์เริ่มผลิบาน ความสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงของเรื่องก็เปลี่ยนไปเช่นกัน บาร์นส์กล่าวว่า “เหมือนน้ำแข็งระหว่างเราละลายหายไป และเขาก็เล่าถึงวิธีการแสดงฉากต่างๆ ของเราให้ผมฟังครับ”
แม้ว่าทอมอาจจะสับสนกับการมาเยือนอย่างกระทันหันของมาสเตอร์เกรกอรีที่ไร่วอร์ด แต่มีคนคนหนึ่งที่รู้มาโดยตลอดว่าวันนี้ต้องมาถึง “เขาเป็นลูกคนเล็กของฉันค่ะ” โอลิเวีย วิลเลียมส์จาก The Sixth Sense และ Rushmore ผู้รับบทแมม แม่ของทอม กล่าวกลั้วหัวเราะ “ฉันคิดว่าคนเป็นแม่จะมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่ากับลูกที่พวกเขามองว่าอ่อนแอกว่า…หรือมีอาการบางอย่างที่ทำให้พวกเขาเปราะบาง แมมรู้มาโดยตลอดว่าความฝันของเขาเป็นภาพนิมิตมากกว่าจะเป็นภาพหลอน เธอรู้สึกว่าซักวันหนึ่ง จะมีบางสิ่งเกิดขึ้นที่จะแสดงให้เห็นว่าทอมมีชะตากรรมที่พิเศษสุดน่ะค่ะ”
แต่นอกเหนือจากสัญชาตญาณความเป็นแม่ ยังมีข้อมูลบางอย่างที่ท้ายที่สุดแล้วจะเสริมสร้างพลังให้กับทอมและทำร้ายเขาอย่างที่สุด แต่ในตอนนี้ แมมปิดปากเงียบ ขณะที่เธออำลาลูกชายของเธอ โดยไม่รู้ว่าเธอจะได้เห็นเขาอีกครั้งรึเปล่า เธอได้มอบจี้ห้อยคอของเธอกับเขาและอ้อนวอนให้เขาสวมมันอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ทอมไม่รู้ก็คือ สร้อยคอเส้นนั้นมีคุณค่ามากกว่าเรื่องทางความรู้สึก เพราะมันคือหินอัมบราน และประวัติของมันก็ซับซ้อนพอๆ กับแมมเลยทีเดียว
แมมกลายเป็นหนึ่งในผู้หญิงหลายคนที่จะส่งผลกระทบต่อชะตากรรมของทอม ผู้ที่สามารถยุติหน้าที่ของเขาในฐานะศิษย์ในเวลาเดียวกับที่มันเริ่มต้นคือมาเธอร์มัลคิน แม่มดเรืองฤทธา ผู้ซึ่งหัวใจมืดบอดจากการถูกหักหลังและหัวใจสลาย อิวานิคเผยว่า การได้จูลีแอนน์ มัวร์ เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ มารับบทคู่ปรับของมาสเตอร์ เกรกอรี เป็นความสำเร็จอย่างแท้จริง “เป็นเรื่องยากที่จะหานักแสดงมารับบทแม่มดร้ายเพราะถ้านักแสดงไม่เก่ง มันอาจจะให้ความรู้สึกสุดโต่งเกินไป” เขากล่าว “เราก็เลยต้องการนักแสดงหญิงมากีมือ คนที่รุ่นราวคราวเดียวกับเจฟฟ์ บริดเจส เพราะพวกเขามีความหลังกันมาก่อน เราไม่อยากได้หญิงสาว 25 ปีมารับบทนี้ เราอยากได้คนที่มีประสบการณ์ชีวิต และเฉลียวฉลาด เราอยากได้คนที่สามารถทำตัวน่ากลัวได้เมื่อจำเป็น จูลีแอนน์เป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่เก่งที่สุดที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันนี้ และเราก็รู้ว่าเธอสามารถรับบทตัวร้ายที่น่าทึ่งได้ เธอเป็นส่วนผสมที่วิเศษสุดของความน่าสะพรึงกลัวและความมีเสน่ห์ เธอทั้งสวยและเซ็กซี และเข้าคู่กับเจฟฟ์ได้เป็นอย่างดี พวกเขามีปฏิกิริยาเคมีที่เหลือเชื่อมากๆ”
สำหรับมัวร์ การรับบทมาเธอร์มัลคิน ผู้ยังคงมีความรู้สึกต่อมาสเตอร์ เกรกอรี อดีตคนรักของเธอ หมายถึงโอกาสการได้สวมบทที่พิเศษสุด และการได้กลับมาร่วมงานกับเพื่อนเก่า เธอกับบริดเจสไม่ได้ร่วมงานกันมาตั้งแต่เรื่อง The Big Lebowski ในปี 1998 แต่เธอก็พร้อมสำหรับความท้าทายนี้ “ฉันไม่เคยเล่นเป็นแม่มดใจร้ายมาก่อน” มัวร์กล่าวกลั้วหัวเราะ “ฉันคิดว่ามันคงสนุกดี การได้อยู่ใกล้เจฟฟ์เป็นอะไรที่เยี่ยมมาก ทั้งในฐานะนักแสดงและคนคนหนึ่ง เขาเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ไม่รู้จบ เป็นคนคิดไตร่ตรอง และสงสัยใคร่รู้โลกรอบตัวเขา การได้ร่วมงานกับคนที่มีความสามารถและมีพรสวรรค์อย่างเขาเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ ค่ะ”
มัวร์เล่าให้เราฟังเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหลังของมัลคิน “ฉันเป็นหัวหน้าแม่มด และคู่ปรับของเกรกอรี เป็นคนที่เขามีความหลังด้วย ฉันเป็นคนร้ายกาจก็จริงแต่ก็เพราะพวกเราเหล่าแม่มดถูกพวกมนุษย์ไล่ล่าและทรมานมาหลายร้อยปีแล้ว” มัลคินที่ถูกบีบให้ต้องใช้ศาสตร์มืดป้องกันตัว เริ่มฝึกฝนมนต์โลหิต ซึ่งต้องอาศัยรีดเลือดจากเหยื่อ เพื่อดูดกลืนพลังงานของพวกเขา “เธอไม่ได้ถูกเรียกว่ามาเธอร์มัลคินเพราะเป็นแม่ใคร” มัวร์กล่าวเสริม “แต่เพราะเธอเคยล่อลวงหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีที่จะไปด้วยคำสัญญาที่ว่าเธอจะดูแลพวกเธอและลูกๆ ของพวกเธอ ก่อนที่ฉันจะดื่มเลือดของเด็กเหล่านั้น มันทำให้ฉันทรงพลังมากขึ้นค่ะ”
เธอกล่าวเห็นพ้องกับเพื่อนร่วมแสดงของเธอว่า การสร้างโลกของ Seventh Son ไม่อาจเป็นไปได้หากปราศจากการกำกับที่ยอดเยี่ยมของโบดรอฟ “แม้ว่านี่จะเป็นโลกมหัศจรรย์ เซอร์เกก็ต้องการช่วงเวลาที่มีอารมณ์จริงๆ ในนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครพวกนี้เป็นของจริง และนั่นก็คือสิ่งที่เขาอยากจะล้วงลึกเข้าไปในเรื่องราวแอ็กชันผจญภัยนี้ เขาถ่ายทอดความรู้สึกสนใจในกระบวนการนี้ออกมาอย่างชัดเจน เขาทั้งอ่อนไหวและชื่นชอบศิลปะอย่างเหลือเชื่อค่ะ”
แม้ว่ามัลคินอาจจะเป็นจอมขมังเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้ แต่ก็มีคนหนึ่งที่เธอต้องระวัง เธอคือลูกครึ่งแม่มดผู้งดงามและทรงพลังนามอลิซ ที่ชะตากรรมกำหนดให้ตกหลุมรักอัศวินเหยี่ยว สำหรับบทนี้ ทีมผู้สร้างเลือก อาลิเซีย วิคันเดอร์ นักแสดงหญิงชาวสวีดิช วิคันเดอร์ อดีตนักเรียนสถาบันรอยัล สวีดิช บัลเลต์ สคูลและลูกสาวของนักแสดง สร้างชื่อให้กับตัวเองในประเทศบ้านเกิดสำเร็จแล้ว แต่ยังคงเป็นนักแสดงโนเนมสำหรับผู้ชมทั่วโลก บังเอิญที่อิวานิคได้ดูเธอในภาพยนตร์สวีดิชเรื่องหนึ่งและเชื่อในศักยภาพของเธอ เขาเล่าว่า “เธอมีลุคที่น่าสนใจมากๆ และเราต่างก็ทึ่งกับเธอ อาลิเซียได้ถ่ายทำเทปออดิชัน และฉากที่เธอออดิชันก็เซ็กซี เปี่ยมด้วยอารมณ์ งดงามและเหมือนภาพฝันมากจนเรารู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเราอยากได้เธอครับ”
Seventh Son เป็นภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของวิคันเดอร์ และแน่นอนว่าเป็นผลงานที่ฟอร์มใหญ่ที่สุดด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าหวั่นใจในหลายๆ ครั้ง “ฉันไม่เคยเข้าฉากที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน” เธอเล่า “มีคนกว่า 200 คนอยู่ในกองถ่ายทุกวัน การที่ฉันต้องทำงานโดยใช้ภาษาอังกฤษก็เป็นอะไรที่แตกต่างมากๆ เพราะฉันต้องเรียนรู้ทุกอย่างและต้องเก็บมันไว้ในหัว การค้นคว้าตัวละครของฉันและการซื่อตรงต่อบทบาทของตัวเองต้องสำคัญเป็นอันดับหนึ่งค่ะ”
คู่รักต้องห้ามพบกันครั้งแรกในตอนที่ทอมและเกรกอรีไปหาเสบียงที่วอลล์ ซิตี้ ในตอนที่เกรกอรีไปหาเหล้าดื่มที่ร้านเหล้า ทอมก็ได้พบกับกลุ่มคนที่ลากหญิงสาวลึกลับไปตามท้องถนน อ้างว่าเธอเป็นแม่มด และต้องการจะกำจัดเธอ ด้วยความอยากเป็นวีรบุรุษ ทอมเข้าแทรกแซง โดยใช้สถานะศิษย์ใหม่ของเกรกอรี เพื่อหลอกให้ชาวเมืองมอบตัวเธอให้กับเขา ด้วยความเชื่อว่าหญิงสาวสวยคนนี้ไม่น่าจะเป็นแม่มดได้ ทอมก็ปล่อยตัวเธอและพบว่าตัวเองถูกพันธนาการเสียเอง “เขาไม่สามารถสลัดภาพเธอออกจากหัวได้ตั้งแต่นั้นมา” บาร์นส์กล่าว “แม้แต่หลังจากที่อลิซเผยตัวเองว่าเป็นลูกครึ่งแม่มด มันก็ไม่ได้สั่นคลอนใจเขาเพราะเธอไม่ได้ดูเหมือนคนชั่ว อลิซเป็นคนที่ทำให้เขาเริ่มคิดว่าบางทีแม่มดก็อาจเหมือนคนธรรมดา ที่มีทั้งความดีและความชั่ว โชคร้ายที่เธอไม่เพียงแต่ทำให้เขาประหลาดใจในแง่ดีเท่านั้น เธอยังจะสร้างความผิดหวังและหักหลังเขาด้วย”
การที่อลิซเป็นลูกครึ่งแม่มดยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกด้วยสายเลือดของเธอ เธอเป็นลูกสาวของโบนี ลิซซี ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ น้องสาวแท้ๆ และผู้ร่วมมือของมาเธอร์มัลคิน ในแผนการที่จะทำลายล้างมนุษยชาติ โบนี ลิซซี ที่ได้ชื่อนี้จากการใช้มนต์กระดูก ซึ่งเป็นการใช้กระดูกของศัตรูที่ตายแล้ว กลายเป็นหญิงชราเหี่ยวแห้ง ที่ความงามและพลังเหือดแห้งไปด้วยการถูกคุกคามอย่างไม่ลดละของมาสเตอร์ เกรกอรี อันเจ ทราว นักแสดงหญิงชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งการแสดงน่าทึ่งในบทเฟารา-ยูใน Man of Steel สร้างความแปลกใจให้กับผู้ชม เล่าว่า “โบนี ลิซซี เป็นหญิงชราเหี่ยวแห้ง ที่รอคอยการกลับมาของมัลคินมานานหลายปี สัมผัสของมัลคินทำให้ความงามและความเยาว์วัยของลิซซีกลับคืนมา และฉันก็อยากให้เธอกลับมาเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิงมากๆ มันช่วยตอกย้ำความภักดีของเธอให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีกค่ะ”
อลิซเองก็รู้สึกถึงความภักดีต่อมาเธอร์มัลคินด้วยเช่นกัน เพราะท่ามกลางกลุ่มแม่มดคือที่ทางสำหรับอลิซ ที่เธอไม่เคยพบในโลกภายนอก ที่นั่น เธอเป็นแกะดำ เป็นยิปซีที่ต้องพึ่งสติปัญญา การขโมยและการทำนายดวง “อลิซเป็นคนที่อ้างว้างมากๆ” วิคันเดอร์อธิบาย “ในความอ้างว้างนั้น เธอก็เลยกลายเป็นคนแข็งแกร่ง เธอมีด้านมืดในตัว พอมาเธอร์มัลคินกลับมา อลิซก็ตื่นเต้นเพราะเธอคิดว่าในที่สุด ก็จะมีที่ที่เป็นของเธอเอง ที่ที่เธอจะรู้สึกสบายใจกับการเป็นแม่มดน่ะค่ะ”
แต่ความหลงใหลที่เธอมีต่อทอม มนุษย์ที่เป็นอัศวินเหยี่ยวฝึกหัด ทำให้เกิดความขัดแย้งในตัวเธอขึ้นมา เมื่อความต้องตาต้องใจระหว่างทั้งคู่ลึกซึ้งขึ้นทุกครั้งที่พวกเขาได้พบกัน ทอมและอลิซก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในรักสามเส้า ที่ซึ่งฝ่ายที่สามไม่ใช่คนแต่เป็นหน้าที่ “มันเหมือนกับโรมิโอกับจูเลียตครับ” อิวานิคกล่าว “พวกเขาสองคนที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ และสงสัยว่าพวกเขาจะเติบโตกลายเป็นใคร ตกหลุมรักกัน การที่พวกเขาตกหลุมรักกับศัตรูก็ยิ่งเพิ่มความสับสนของพวกเขามากขึ้นอีก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสะท้อนธีมหลักของเรื่องที่ว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นสีขาวหรือดำล้วน มันมีความดีและความชั่วในตัวทุกคน มันอยู่คู่กันและคุณก็ไม่อาจจะปฏิเสธเรื่องนั้นได้”
สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ช่วยเรื่องวินัยและการศึกษาของทอมเลยคือเมื่อเขาได้รู้ว่าเขาเป็นเหมือนมือที่สามในมิตรภาพที่ยาวนานระหว่างมาสเตอร์ เกรกอรีและทัสค์ (จอห์น เดอแซนทิสจากซีรีส์ Falling Skies) สิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนโทรลล์ที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในป่าที่ล้อมวอลล์ ซิตี้เอาไว้ “ทัสค์เป็นคนเดียวที่เกรกอรีไว้ใจ” บริดเจสอธิบาย “ทัสค์เป็นคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์ และก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นตัวอะไรกันแน่ เขาเป็นสัตว์ร่างใหญ่ ที่มีเขี้ยวขนาดใหญ่เหมือนงา เขาฉลาด พึ่งพาได้ และแม้ว่าเขาจะพูดไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีอุดมคติอย่างเดียวกับมาสเตอร์ เกรกอรี ทัสค์เป็นคนแข็งแรง ซื่อสัตย์และเป็นคู่หูในการต่อสู้ที่ดีให้กับเกรกอรีครับ”
ทัสค์อาจจะเป็นตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดของธีมแกะดำที่ถูกเข้าใจผิด ที่เกิดจากความไม่รู้ของมนุษย์ “ทัสค์ใช้ชีวิตในป่า ห่างไกลจากแผ่นดิน” เดอแซนทิส เจ้าของร่าง 6 ฟุต 9 นิ้วกล่าว “เขาไม่ชอบอยู่ใกลมนุษย์เพราะเขาเป็นเป้าสำหรับความก้าวร้าวและความไม่รู้ของทุกคน” ด้วยความที่เขาไม่เคยเรียนการพูด ทัสค์ก็เลยแสดงท่าทางเพื่อสื่อความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งเดอแซนทิสกล่าวว่าเป็นวิธีที่เขาตีความชีวิตด้วย “ทัสค์พกดาบสองเล่ม เล่มหนึ่งสะพายด้านหลัง และอีกเล่มหนึ่งสะพายด้านข้างเอว แต่เขาไม่เคยใช้ดาบซักเล่ม” นักแสดงหุน่มเล่า “แต่เขามักจะยกศัตรูเขาลอยขึ้น เหวี่ยงไปไกลๆ หรือซ้อมเขาจนน่วมด้วยมือตัวเอง ตัวละครของผมเป็นคนทื่อๆ ครับ”
อีกหนึ่งนักแสดงสมทบชั้นเยี่ยมคือดิมอน ฮันซู ในบท ราดู สมุนมือขวาของมัลคิน นักรบยูเรเซียนผู้ทรงพลัง ผู้มีอาวุธร้ายกาจยาว 50 ฟุตและความสามารถในการแปลงร่างเป็นมังกร เขามักเดินทางพร้อมกับกลุ่มมือสังหารองครักษ์ 12 นาย เจสัน สก็อต ลีรับบท อุรัค นักรบไซบีเรียนผู้สามารถแปลงร่างเป็นหมีร่างยักษ์ แคนดิส แม็คคลัวร์ (ซีรีส์ Hemlock Grove) ในบท ซาริคิน แม่มดชาวแอฟริกัน ผู้สร้างพายุได้ในตอนที่ถูกคุกคาม และเดินทางในร่างเสือดาว ซาฟ ปารู (The Big Year) ในบทวิราฮาดรา นักรบผิวน้ำเงินชาวอินเดีย ผู้สร้างแขนคู่ที่สองออกมาได้เมื่อต้องรบทัพจับศึก และลุค โรเดอริค (Godzilla) ในบท สตริกซ์ แม่มดอเมซอน ที่มีความสามารถเหมือนแมงมุมการปีนกำแพงและกระโดดไปมาระหว่างสิ่งก่อสร้างอื่นๆ แต่ละคนใช้ความสามารถพิเศษของพวกเขาเพื่อสิ่งที่พวกเขาเชื่อ และแม้ว่าการสนับสนุนราชินีของพวกเขาจะเกิดจากความกลัวมากกว่าความภักดี แต่ความเกลียดชังที่มีต่อศัตรูร่วมกันก็ทำให้พวกเขารวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ฮันซูเล่าว่า เขารู้สึกผูกพันกับเรื่องราวนี้มาก “ผมรู้สึกว่าเรื่องราวนี้พาผมกลับไปสู่รากเหง้าของผมในแอฟริกา เรามีเรื่องราวของแม่มดที่แปลงร่างเป็นสิงโตหรือสัตว์อื่นๆ ด้วยความที่ผมโตมาในยุโรป ผมก็เลยพบความคล้ายคลึงกับตำนานเล่าขานที่นั่นครับ”
การเดินทางรอบโลก:
โลเกชันและการออกแบบ
ในการถ่ายทำแอ็กชันผจญภัยอีพิคเรื่องนี้ ทีมงานได้ใช้โลเกชันหลายแห่งบริเวณอัลเบอร์ตาและบริติช โคลัมเบีย ภูมิประเทศที่แปลกประหลาดของดรัมเฮลเลอร์, อัลเบอร์ตา เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากเปิดเรื่อง นั่นคือฉากการถูกคุมขังของมาเธอร์มัลคิน ใกล้ๆ กันนั้น หุบเขาฟอร์เทรสในคานานาสคิส คันทรี ที่มียอดแบน และสภาพภูมิประเทศที่โดดเด่น ถูกใช้แทนหุบเขาเพนเดิล ที่ซึ่งมัลคินระดมพล ในบริติช โคลัมเบีย วิดเจียน สลัฟ ที่อยู่ใจกลางหุบเขาในอุทยานไพน์โคน เบิร์ค ทำหลายหน้าที่ ด้วยบึงน้ำจืดขนาดใหญ่ แม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ และทุ่งหญ้าเขียวขจีเหมือนกับป่าฝน เช่นเดียวกัน ลินน์ แคนยอน ที่อยู่ห่างจากซาวน์สเตจในแวนคูเวอร์เพียงไม่กี่นาที ก็เป็นแบ็คดร็อปสำคัญให้กับฉากซุ่มโจมตีสำคัญที่เกรกอรีถูกราดูจับตัวไป
ผู้อำนวยการสร้างอิวานิคอธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้ลินน์ แคนยอนสำคัญต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ “มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องหาที่เหมาะๆ เพราะนี่เป็นที่ที่เกรกอรีถูกจับ เกรกอรีอาจจะเป็นอัศวินเหยี่ยวที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์อัศวิน และแม้ว่าเขาจะเคยถูกรุมล้อมมาก่อนในอดีต แต่เขาไม่เคยถูกจับมาก่อน เราได้ออกแบบซีเควนซ์ที่พวกเขาถูกซุ่มโจมตีบนหน้าผา มันก็เลยไม่มีทางหนี ในลินน์ แคนยอน มีทั้งถ้ำและหน้าผาที่ลาดชันอย่างอันตราย และเราก็ต้องการอันตรายในโลเกชันนั้น…แต่มันก็ต้องปลอดภัยด้วยครับ”
แต่บางที โลเกชันที่น่าจดจำที่สุดก็คือไร่วอร์ด ที่สร้างขึ้นบนชายหาดของอ่าวมินาตี้ที่งดงาม บนชายฝั่งทางตะวันออกของโฮว์ ซาวน์ ในอ่าวงดงามห่างไกลผู้คนนี้ ทีมงานออกแบบได้รวมชิ้นส่วนต่างๆ สำหรับบ้านของครอบครัววอร์ด เพื่อให้เหมือนกับบ้านไร่เล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของสิ่งที่อาจจะเป็นไร่ของชาวโรมัน
“เราอ้างอิงคอนเซ็ปต์จากเคบินสไตล์นอร์เวย์ครับ” ผู้กำกับศิลป์ รอส เดมป์สเตอร์กล่าว (Godzilla, The Grey) “แต่สร้างบนฐานของซากหิน ลองนึกถึงกระท่อมเล็กๆ ที่คุณจะมีประตูเข้าทางหนึ่ง แล้วตรงไปข้างหน้าก็จะเป็นประตูด้านหลังเลย มันเป็นสถานที่เปิดกว้างที่พวกเขาใช้ชีวิต กินและนอน มีเตาไฟและเตาผิงขนาดใหญ่ไว้ทำให้ทุกคนอบอุ่นครับ”
ด้านนอก พวกเขาเลี้ยงสัตว์ไว้หลายชนิด ลูกหมู แม่หมูและแม่วัว ในโรงนา ซึ่งสร้างบนฐานหินเช่นเดียวกัน และในคอกที่สร้างจากกิ่งไม้สาน ฉากนี้ใช้เวลาสร้าง 12 สัปดาห์ โดยเริ่มต้นในสตูดิโอ ก่อนที่จะมาประกอบกันในโลเกชัน และใช้เวลาตกแต่งอีกกว่าหกสัปดาห์
นอกเหนือจากความงามตามธรรมชาติของโลเกชันแล้ว ทุกคนก็เห็นพ้องกันว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เปล่งประกายขึ้นด้วยฉากสตูดิโอที่พิเศษสุดของผู้ออกแบบงานสร้างดันเต้ เฟอร์เร็ตติ ฉากเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของฉากที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างขึ้นมาในแวนคูเวอร์ และในการสร้างฉากเหล่านี้ให้เกิดขึ้นมา เฟอร์เร็ตติอาศัยทีมงานในฝันที่ประกอบไปด้วยหัวหน้าผู้กำกับศิลป์ แกรนท์ แวน เดอร์ สแล็กท์ (Rise of the Planet of the Apes, Warcraft), ผู้กำกับศิลป์ ไมเคิล ไดเนอร์ (Mission: Impossible—Ghost Protocol, X-Men Origins: Wolverine) และเดมป์สเตอร์, ผู้ตกแต่งฉาก อลิซาเบธ วิลค็อกซ์ (Godzilla, Rise of the Planet of the Apes), ผู้ประสานงานฝ่ายก่อสร้าง ดั๊ก ฮาร์ดวิค (The Twilight Saga: Breaking Dawn—Part 2, Fifty Shades of Grey) และทีมงานของพวกเขา ในตอนหนึ่งๆ มีทีมงานกว่า 200-300 ชีวิตที่ทำหน้าที่สร้างหรือตกแต่งฉากอยู่
ฉากสำคัญสามฉากโดดเด่นกว่าเพื่อน นั่นคือฉากปราสาทของมาเธอร์มัลคินที่อยู่เหนือหุบเขาเพนเดิล, เมืองวอลล์ ซิตี้ (ที่ซึ่งทอมและอลิซได้พบกันครั้งแรก) และที่พำนักของมาสเตอร์ เกรกอรี ก่อนหน้าที่จะไปแวนคูเวอร์ เฟอร์เร็ตติได้สร้างโมเดลขนาดใหญ่ของเมืองวอลล์ ซิตี้ขึ้นที่สตูดิโอของเขาในกรุงโรม ก่อนจะส่งมันมาในตู้คอนเทนเนอร์หลายตู้ ฉากที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสามฉากนี้คือฉากปราสาทของมาเธอร์มัลคินบนหุบเขาเพนเดิล ที่ได้แรงบันดาลใจจากหลายๆ ที่ ทั้งเปอร์เซีย นาบาตา อาราเบียและตุรกี
ผู้ออกแบบงานสร้างเจ้าของสามรางวัลออสการ์ พูดถึงแรงบันดาลใจของเขาว่า “เมื่อหลายปีก่อน ผมได้สร้างหนังกับปิแอร์ เปาโล พาโซลินีที่ชื่อ Arabian Nights แล้วผมก็หลงใหลสถาปัตยกรรมแบบนี้ ตามปกติแล้ว หนังแบบนี้จะใช้สถาปัตยกรรมแบบอังกฤษสไตล์กอธิค ‘แต่ทำไมล่ะ’ ผมถามเซอร์เก ‘พวกเขาสร้างหนัง Potter มาแปดเก้าภาคและหนังเรื่องอื่นๆ ที่คล้ายกันมาแล้ว และมันก็เป็นอังกฤษเสมอ ทำไมเราไม่ไปรอบโลกล่ะ คุณเป็นชาวรัสเซีย คุณชื่นชอบจีน และผมก็ได้รับแรงบันดาลใจจากซานา เพทรา อิหร่าน เอริทรี โมร็อกโก อ่าวเปอร์เซีย โรมโบราณ และ ฯลฯ’ เราก็เลยสร้างโลกใหม่ขึ้นมา มันเป็นสถานที่ที่คุณไม่รู้หรอกว่าคุณอยู่ที่ไหน และนั่นคือไอเดียครับ มันเป็นเหมือนการเดินทางรอบโลก คุณจะได้เห็นวัฒนธรรมต่างๆ ผู้คนมากหน้าหลายตาและสไตล์ต่างๆ ครับ”
หุบเขาเพนเดิล ที่เสียหายจากสงครามนานหลายทศวรรษและการถูกทิ้งร้าง เป็นซากกองปรักหักพังของเสาหินขนาดใหญ่ ที่มีแกะสลักศีรษะที่คล้ายกับเนมรุต ดั๊ก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี และผนังที่สลักอย่างบรรจง คล้ายกับผนังที่จะพบได้ตามมัสยิดหินโบราณ เบื้องหลังประตูคือห้องส่วนตัวของมัลคิน ซึ่งถูกฟื้นฟูให้กลับมางดงามดังเดิมด้วยการโบกสะบัดมือของเธอ ด้วยแรงบันดาลใจจากเมืองอิสฟาฮาน แห่งเปอร์เซีย ที่เคยเรืองรองในอดีต สถาปัตยกรรมภายในห้องรวมถึงลายขัดที่ประณีตและงานกระเบื้องตามผนังและเพดาน พื้นหินอ่อนฝังมุก และประตูไม้หนาแกะสลัก จากนั้น มันก็ถูกตกแต่งให้คล้ายคลึงกับโลกที่เขียวชะอุ่ม ที่ปรากฏในภาพวาดแบบตะวันออกที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในจินตนาการของชาวยุโรป จริงๆ แล้ว ท้องพระโรงในภาพของเฟอร์เร็ตติมีเค้าโครงจากภาพวาดตะวันออก ที่มีผู้หญิงกึ่งเปลือยนอนอยู่บนแท่นขณะที่ข้ารับใช้คอยปรนนิบัติพัดวี ล้อมรอบไปด้วยเลเยอร์ของผ้าและพรมรวมถึงของประดับแกะสลัก ห้องส่วนตัวของมัลคินทั้งวิจิตรบรรจง หรูหรา โอ่โถง เหมาะสมกับตำแหน่งราชินีที่เธอจินตนาการตัวเองว่ายังคงเป็นอยู่
น่าขันที่ปราสาทของเธอก็เป็นภาพลวงตา เช่นเดียวกับการอ้างในอำนาจเบ็ดเสร็จของเธอ “หุบเขาเพนเดิลใช้เวลาสร้างสองเดือนครับ” เฟอร์เร็ตติกล่าว “พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างวิเศษสุดภายในระยะเวลาอันสั้น เพราะเกือบทุกอย่างเป็นของปลอม มันเป็นโฟมครับ ทุกอย่างถูกทาสีด้วยมือ และคุณภาพมันก็วิเศษสุดครับ”
ในการรักษาธีมความยิ่งใหญ่และวิจิตรบรรจงของเฟอร์เร็ตติเอาไว้ เมืองวอลล์ ซิตี้เทียบเท่ากับฉากหุบเขาเพนเดิลตรงสโคปและวัตถุประสงค์ของมัน ด้วยผนังที่ทำจากอิฐสีเทาหนา หน้าต่างลายตารางและท้องถนนที่เต็มไปด้วยดินโคลน เมืองวอลล์ ซิตี้ดูเหมือนเมืองในยุโรปยุคกลาง เว้นแต่ว่านี่เป็นเมืองที่เป็นส่วนผสมของหลากวัฒนธรรม ทั้งไบแซนไทน์ ตุรกีและยุโรปตะวันออก ชาวเมืองดูเหมือนจะมาจากทุกมุมของโลกและพื้นที่ต่างๆ กัน ถึงขนาดที่คุณไม่รู้เลยว่าคุณอยู่ไหน หรือยุคไหน และคุณก็จะเพลิดเพลินไปกับโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยแม่มด อัศวินและชาวเมือง ท่ามกลางสงครามสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ
ฉากการสังหารหมู่ระหว่างวันค้าขาย ในตอนที่ลูกสมุนของมัลคินจู่โจม เป็นฉากที่ใหญ่ที่สุดและท้าทายที่สุดของเรื่อง รายละเอียดมากมายอย่างน่าทึ่ง ปลาแห้งแขวนตามราว เครื่องเทศถูกกองไว้อย่างสวยงาม ข้าวของถูกจัดแสดงไว้ที่ประตูของบ้านพักขนาดย่อมของช่างทำเทียน ในมุมหนึ่ง นกที่อยู่ในกรงส่งเสียงร้อง อีกมุมหนึ่ง หมูร้องอี๊ดๆ มีกระสอบเมล็ดธัญพืชและถั่ว และแผงขายผักและผลไม้ ที่นี่ มีร้านไว้ซื้อพรม มีแผงขายอัญมณี ที่ซึ่งกำไลแบบอินเดียส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์ ชายลับมีดใกล้กับเด็กขายดอกไม้ พ่อค้าเร่ขายหม้อทองเหลือใกล้กับหญิงชราที่ขายขนสัตว์ ลิสต์นี้ดูเหมือนจะไม่จบสิ้น
โบรดอฟต้องการใช้เมืองวอลล์ ซิตี้สำหรับฉากกลางคืนด้วยเช่นกัน และเขาก็ต้องการให้ฉากพวกนั้นมีควัน ไอน้ำและไฟเป็นพิเศษ ในการนี้ ทีมงานได้แขวนตะเกียงขนาดใหญ่ตามซอกมุมเล็กๆ ผู้กำกับศิลป์ไดเนอร์พูดถึงการออกแบบงานสร้างว่า “มันมีองค์ประกอบทางวัฒนธรรมและภาษาต่างๆ มากมายอยู่ในบท เราก็เลยนำเสนอทั้งหมดนั่นในฉากนี้ ผ่านทางการแกะสลักและการระบายสี รอยสัก รอยประทับบนดาบ ธงและจี้ห้อยคอ มันมีภาษาของโล่ที่เราใส่เข้าไปด้วย ในตอนที่คุณต้องจินตนาการโลกทั้งใบ ขั้นแรกคุณต้องคิดให้ออกก่อนว่าโลกใบนั้นเป็นยังไง ดังนั้น การสร้างโลกใบนี้ก็เลยอาศัยการค้นคว้ามากมาย เราศึกษาภาพกราฟิก ภาพวาดและแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์อื่นๆ จากยุโรป รวมถึงเปอร์เซียและแอฟริกาด้วย มันเป็นที่รวมส่วนผสมต่างๆ เข้าด้วยกันครับ”
การที่องค์ประกอบแต่ละอย่างจะต้องบอกเล่าเรื่องราวนั้นปรากฏชัดจากไม้เท้าโรวาน ซึ่งเป็นสมบัติที่ตกทอดกันมาของอัศวินเหยี่ยว อาวุธทรงพลังที่ใช้ต่อกรกับแม่มดและสิ่งมีชีวิตในโลกมืดอื่นๆ ไม้เท้านี้ ที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่องและเกรกอรีถืออยู่ตลอดเวลา ผสมผสานพลังของไม้โรวาน เงินและไฟเข้าด้วยกัน ตัวไม้มีสีดำราวกับความชั่วร้ายที่มันต่อสู้ และไม้เท้านี้ก็จะส่องสว่างจากภายในเมื่อมีการใช้พลังที่สามารถเปลี่ยนแม่มดให้กลายเป็นผงธุลีได้
แดน ซิสสันส์ (I, Robot, The Cabin in the Woods) ผู้จัดหาอุปกรณ์ประกอบฉาก อธิบายถึงบทบาทของมันว่า “เราได้สลักสัญลักษณ์ของอัศวินเหยี่ยวลงไปบนไม้เท้าโรวาน ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างรอยประทับบนมือของอัศวินเหยี่ย นอกจากนี้ ยังมีการสลักชื่อของอัศวินเหยี่ยวทุกคนที่ล่วงลับไปแล้ว โดยมีคำอธิบายว่าพวกเขาเป็นใครไว้ด้วยครับ”
ในระหว่างการเตรียมงานสร้าง เฟอร์เร็ตติ ก็เหมือนกับหัวหน้าแผนกทุกคน ที่ต้องนำเสนอไอเดียต่อผู้กำกับ แต่หลังจากนั้น เขาก็ได้รับอิสระเต็มที่ เขาเล่าว่า “ตอนที่ผมโชว์ให้พวกเขาดูว่าผมต้องการจะทำอะไร ผู้อำนวยการสร้างกับเซอร์เกก็บอกว่า ‘เยี่ยมเลย ได้เลย ใช่ๆ’ แต่พวกเขามองผมเหมือนผมบ้าไปแล้ว แล้วผมก็มีปัญหาเพราะพวกเขาตอบตกลง และผมก็เพิ่งรู้ตัวตอนนั้นว่าผมต้องทำให้ได้”
ผู้ที่รับผิดชอบในการให้แสงฉากที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ของเฟอร์เร็ตติคือผู้กำกับภาพนิวตัน โธมัส “ทอม” ซีเกล ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการร่วมงานกันหลายครั้งระหว่างเขากับผู้กำกับไบรอัน ซิงเกอร์ในภาพยนตร์เรื่อง Apt Pupil, The Usual Suspects, Valkyrie, Superman Returns, Jack the Giant Slayer และ X-Men ทุกภาคที่ซิงเกอร์กำกับ “ผมเป็นแฟนผลงานของทอม ซีเกลมานานแล้วครับ” อิวานิคกล่าว “มันมีลุคที่มีมิติและเต็มไปด้วยรายละเอียดเสมอ เขาเคยร่วมงานกับผู้กำกับมาแล้วทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับมือใหม่หรือผู้กำกับที่มีประสบการณ์ และเขาก็เคยร่วมงานกับดาราและวิชวล เอฟเฟ็กต์มาแล้ว ที่สำคัญที่สุด หนังของเขาดูงดงามเสมอครับ”
จากคอร์เซ็ทสู่แยมชี:
เครื่องแต่งกายในภาพยนตร์
ผู้ที่มาทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นคือเครื่องแต่งกายสวยๆ จากผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แจ็คเกอลีน เวสต์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง The Curious Case of Benjamin Button และ Quills ด้วยผลงานที่เต็มไปด้วยความสมจริงในภาพยนตร์หลายเรื่อง ตั้งแต่ The Social Network ไปจนถึง Argo และ State of Play เวสต์กระโจนเข้าใส่โอกาสที่จะได้ทำงานแฟนตาซี เธอเล่าว่า “ฉันทำงานกับความสมจริงมาเกือบตลอดอาชีพของฉัน การได้ทำงานในหนังแฟนตาซี การได้ใช้แบ็คกราวน์ประวัติศาสตร์ศิลป์ของฉัน เป็นเรื่องวิเศษสุด มันเป็นงานที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงและเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมค่ะ”
ในการทำงานให้สอดคล้องกับแนวทางสากลและช่วงเวลาที่ไม่ระบุชัดของ Seventh Son เวสต์ได้ปลดปล่อยจินตนาการตัวเองให้โลดแล่น เธอได้แรงบันดาลใจจากหลายแหล่ง ซึ่งรวมถึงยุคก่อนราฟาเอล ยุคอลิซาเบเธียน ภาพวาดของคาราวัจจิโอ้ ตลาดมาร์ราเคช และอิสตันบูล และเทพนิยายของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน และเธอก็ปล่อยจินตนาการตัวเองให้เป็นอิสระ สำหรับเกราะของอัศวินที่ปรากฏในเรื่อง เธอได้ผสมผสานตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน ทั้งเซอร์เบีย มัมลุค องครักษ์วาแรนเจี้ยนแห่งจักรพรรดิบาซิลที่สอง ในไบแซนไทน์ ศตวรรษที่ 11 รวมถึงกองทัพรัสเซียของเจ้าชายชาวเคียฟ
เวสต์เล่าถึงการตัดสินใจของเธอว่า “พวกเขาเป็นอัศวินยุโรป/ไบแซนไทน์ในชุดเกราะเงาวับของฉัน มันเป็นชุดเกราะจริงๆ ที่สร้างขึ้นในมอนทรีอัลโดยเซิร์จ ลาวิกูเออร์ ฝีมือของเขายอดเยี่ยมมาก มันทำจากโลหะทั้งหมด ในตอนที่พวกเขาขี่ม้า คุณจะได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน ในหนังสมัยนี้ ชุดเกราะจะทำจากยาง แต่ของเราเป็นของจริงค่ะ”
สำหรับงานใหญ่ในการจัดหาเสื้อผ้าให้กับตัวประกอบ 350 ชีวิตในฉากตลาด เวสต์ได้ผสมผสานหลากหลายเชื้อชาติและยุคสมัยเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ยุคกลางช่วงเริ่มแรกไปจนถึงทิวดอร์ จากอังกฤษทางฝั่งตะวันตกไปจนถึงตะวันออกไกล อย่างมองโกล อินเดียและแอฟริกาทางตอนใต้ เสื้อผ้าหลายชุดถูกนำเข้ามาจากอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่ถูกสั่งตัดในอิสตันบูล และจัดการโดยเพื่อนร่วมงานของเธอที่ชำนาญในการจัดหาเสื้อผ้าแปลกๆ จากทั่วตะวันออกกลาง เวสต์พูดถึงกระบวนการนี้ว่า “เราใช้องค์ประกอบของเสื้อผ้าในยุคกลางตามปกติ เช่นกัญชง ลินิน ราฟเฟีย ขนสัตว์ กำมะหยี่ ผ้ายกดอก แต่ฉันก็คิดนอกกรอบด้วยการใช้เส้นใยสมัยใหม่ด้วยเพราะมันเป็นหนังแฟนตาซีนี่คะ”
การออกแบบเครื่องแต่งกายเป็นเรื่องของการถ่ายทอดบุคลิกของตัวละครผ่านทางเสื้อผ้า ในเรื่องนี้ เวสต์พบพันธมิตรที่แน่นแฟ้นในตัวผู้กำกับของเธอ “เซอร์เกชื่นชอบเสื้อผ้าและแฟชัน และการที่เสื้อผ้าจะเผยบุคลิกที่ซ่อนอยู่ของตัวละครออกมา เขามีไอเดียที่ชัดเจนมากๆ เขาอยากให้หนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกของแฟชันชั้นสูง และเขาก็ให้เพื่อนศิลปินของเขาวาดภาพสเก็ตช์ในรัสเซีย เซอร์เกจะเสนอไอเดียต่างๆ ที่ฉันจะสามารถนำมาต่อยอดหรือเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันได้ แต่เขาก็น่ารักตรงที่ว่าเขาจะไม่มายุ่มย่ามเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ของฉัน เขาจะชอบให้คุณทำตามใจคุณค่ะ”
สำหรับเวสต์ มาเธอร์มัลคินจะเป็นไอคอนด้านแฟชันที่ชัดเจนของเรื่อง สร้อยคอขนาดใหญ่และคอร์เซ็ทที่รัดแน่น ที่ได้แรงบันดาลใจจากยุคอลิซาเบเธียนของเธอแสดงให้เห็นถึงพลังและความสูงศักดิ์ของเธอ ชุดเดรสของเธอที่ทั้งโบราณและทันสมัย และมืดมิดพอๆ กับหัวใจที่ถูกทรมานของเธอ สะท้อนถึงสัตว์คู่ใจเธอด้วยเช่นกัน ด้วยขนหรูหรา ส่วนด้านหลังที่เผยให้เห็นคอร์เซ็ทของเธอราวกับนก และกรงเล็บหนักอึ้งที่ปรากฏในทุกครั้งที่เธอถูกคุกคาม แสดงให้เห็นว่ามัลคินเป็นมังกรโดยแท้
มัวร์กล่าวชื่นชมเวสต์ว่า “สิ่งที่แจ็คกี้ทำช่างงดงามมาก ความใส่ใจในรายละเอียดของเธอพิเศษสุดจริงๆ มันเป็นเครื่องแต่งกายที่ท้าทายมากๆ เพราะฉันต้องสวมคอร์เซ็ทรัดรูป และมันก็เป็นหนังที่ต้องใช้พลกำลังมากๆ แต่ลุคของเธอก็งดงามจริงๆ ค่ะ”
ในขณะที่มัลคินอยู่ฝ่ายอธรรมอย่างชัดเจน อลิซยังอยู่ระหว่างการพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น ชุดของเธอก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างความดีและความชั่ว เวสต์เล่าว่าเสื้อผ้าของตัวละครบอกเล่าเรื่องราวของเธอได้อย่างไร “ตอนที่อลิซอยู่กับทอม ฉันก็จะกันเธอออกจากโลกของแม่มด และทำให้มีความโรแมนติกมากขึ้น โดยใช้เดรสพิล้วไหวสวยๆ แบบยุคก่อนราฟาเอล เพื่อแสดงให้เห็นด้านสว่างของเธอ แล้วฉันก็จะใช้สีเข้มๆ เมื่อเธออยู่ในหุบเขาเพนเดิล เพื่อให้เธอเหมือนกับโบนี ลิซซี แม่ของเธอและมัลคินมากขึ้น สำหรับชุดสุดท้ายของอลิซ ในตอนที่เธอกลายเป็นนักรบ ฉันก็ให้เธอสวมกางเกงและชุดหนัง มันทำให้เธอเป็นเหมือนผู้หญิงหัวขบถในยุคกลางค่ะ”
สิ่งที่ตรงข้ามกับเส้นสายแบบผู้หญิงของมัลคินและอลิซคือเงาซิลูเอทที่แข็งกร้าวกว่าของมาสเตอร์ เกรกอรีและทอม เวสต์เล่าว่า “ฉันทำให้เสื้อผ้าของเกรกอรีแข็งกระด้าง มืดหม่นและดูเก่ามากๆ เสื้อเกราะของเขาดูเหมือนมาจากสัตว์ป่า และเขาก็เป็นเหมือนกับอาวุธเคลื่อนที่ ฉันก็เลยให้เขาสวมเข็มขัดหลายเส้นเพื่อไว้แขวนอะไรต่อมิอะไรมากมาย จริงๆ แล้ว เข็มขัดของเขาเป็นสายรัดเต็นท์ที่ฉันเอามาด้วยจากคัปปาโดเซียในตุรกี มันยาวประมาณ 100 ฟุต และเราก็ตัดมันเป็นเข็มขัดหลายเส้น มันถักขึ้นด้วยมือและเก่าแก่ประมาณ 200 ปี รองเท้าบู๊ทของเขามาจากหนังสือวิเศษสุดที่ฉันพบในเยอรมนีเกี่ยวกับอัศวินโบราณที่มีสายรัดเท้าด้านหลัง เพื่อที่ว่าถ้าอัศวินบาดเจ็บ เขาก็จะสามารถสลัดรองเท้าออกไปโดยไม่ต้องทำรองเท้าพัง ผ้าคลุมของเขาคือสิ่งที่เรียกว่าเคเปเน็คหรือแยมชี ซึ่งคนเลี้ยงแกะชาวตุรกีสวมมาตั้งแต่ยุคกลางแล้ว ชุดที่ฉันหาให้เจฟฟ์และถือติดมือขึ้นเครื่องบินมาด้วยมีอายุเก่าแก่กว่า 150 ปี มันควรจะอยู่ในพิพิธภัณฑ์นะคะ แต่เราก็ใช้ชุดนี้กับเขาเพราะสัญลักษณ์ของการเป็นคนเลี้ยงแกะ ผู้ดูแลฝูงแกะ ดูจะเพอร์เฟ็กต์มาก”
สำหรับบริดเจส ชุดที่เวสต์ออกแบบไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงตัวละครของเขาเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับการเล่าเรื่องด้วย เขากล่าวว่า “หนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดสำหรับผมในการสร้างตัวละครตัวนี้คือการหาเครื่องแต่งกายที่ใช่ เราโชคดีที่ได้แจ็คกี้มารับหน้าที่ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายในเรื่องนี้ ผมจำได้ถึงวันแรกที่เธอเอาตัวอย่างชุดที่เธอคิดว่าผมน่าจะใส่มา และจำได้ดีว่าผมตื่นเต้นแค่ไหนครับ”
แม้ว่ามาสเตอร์ เกรกอรีแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยระหว่างเรื่อง ทอมกลับต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างมากตามที่ปรากฏให้เห็นจากเสื้อผ้าของเขา ในตอนที่เราได้พบกับทอมครั้งแรก ทอมสวมเสื้อผ้าที่แข็งกระด้าง ทอด้วยมือตามปกติของเด็กหนุ่มที่ทำงานในไร่นายุคกลาง ในตอนที่เขาเตรียมตัวจะทิ้งไร่นาไว้ข้างหลัง ทอมก็สวมเสื้อหนังเพื่อเลียนแบบอาจารย์ของเขาและเปลี่ยนจากรองเท้าแตะธรรมดาเป็นรองเท้าบู๊ทหนัง นอกจากจี้ห้อยคออัมบรานแล้ว แมมยังได้มอบเสื้อโค้ทหนังสัตว์ตัวยาวให้กับทอม และเขาก็จากมาด้วยลักษณะที่โรแมนติกมากขึ้น แต่ในตอนนี้ สีสันและน้ำหนักเสื้อผ้าของเขายังคงมีความเบาบางอยู่ มันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเขายังไม่แปดเปื้อนจากด้านมืดเหมือนกับเกรกอรี เมื่อเรื่องราวเดินหน้า และทอมเริ่มกลายเป็นอัศวินเหยี่ยวมากขึ้น เสื้อผ้าเขาก็มีสีเข้มขึ้นจนกระทั่งท้ายที่สุด เขาก็สวมผ้าคลุมดำและฮู้ด เช่นเดียวกับอาจารย์ของเขา
ความใส่ใจรายละเอียดในระดับเดียวกันปรากฏชัดเจนในเครื่องแต่งกายของนักแสดงสมทบ ชุดของโบนี ลิซซี อยู่ในเฉดสีขาวแบบกระดูก เพื่ออ้างถึงเวทมนตร์ของเธอ ซาริคิน แม่มดชาวแอฟริกัน สวมหนังเสือดาว สัตว์คู่ใจของเธอ และเครื่องประดับศีรษะของเธอก็ประกอบไปด้วยลูกปัดกระดูกและเพชรดิบเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเหมืองเพชรในแอฟริกา สตริกซ์ นักรบอเมซอน สวมชุดสีเขียวเข้มและกระดูกสัตว์เลื้อยคลาน ส่วนด้านหลังคือหัวกะโหลกจระเข้ขนาดใหญ่ วิราฮาดรา นักรบชาวอินเดีย มีผิวสีฟ้าแบบพระวิษณุ สวมชุดเกราะเงินหนาหนัก และมีทัลวาร์ ดาบโค้งแบบอินเดียหลายเล่ม อุรัค นักรบไซบีเรียน สวมหนังหมี สัตว์คู่ใจของเขา
แต่ชุดที่เวสต์ชอบมากที่สุดคือชุดของราดู ที่มีเสื้อนอกสีแดงเข้ม กางเกงเอวสูงที่สวมเข้าไปในรองเท้าบู๊ทหนังยาวขนาดเข่า และเสื้อโค้ทหนังตัวยาว เธอบอกว่า “ราดูสวมชุดที่ฉันชอบที่สุดชุดหนึ่งในหนังเรื่องนี้เพราะมันให้ความรู้สึกแบบยุคกลางแต่ก็มีความเป็นอนาคตด้วย มันมีความลึกลับแบบที่นักรบระดับเขาควรจะมี ตอนแรก ฉันยึดวลาดจอมเสียบ ที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับ ‘Dracula’ ของแบรม สโต๊กเกอร์เป็นต้นแบบให้กับเขา กับคนที่รูปร่างแบบดิมอน คุณจะต้องห่อหุ้มเขา แต่คุณก็ไม่อยากจะซ่อนเขาไว้ เสื้อผ้าของเขามีลักษณะที่วิเศษสุดและโรแมนติกแบบเถื่อนๆ น่ะค่ะ”
ตรงข้ามกับชุดที่ปราดเปรียวของราดูคือชุดสบายๆ ของทัสค์ เวสต์แต่งตัวให้เขาเหมือนกับยักษ์จากนิทานสำหรับเด็กเรื่องหนึ่ง โดยใช้ขนวัวมัสค์อ็อกซ์เพื่อขับเน้นรูปร่างที่ใหญ่โตอยู่แล้วของเขา เวสต์เล่าว่า “มัสค์อ็อกซ์เป็นสัตว์ตัวหนาและขนฟู และมันก็ดูเหมือนสัตว์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วย ฉันคิดว่ามันเพอร์เฟ็กต์สำหรับทัสค์เพราะเขาเองก็เหมือนหลุดมาจากยุคก่อนประวัติศาสตร์และกำลังจะสูญพันธุ์น่ะค่ะ”
อย่างไรก็ดี การหาชุดให้ทัสค์ก็มีความท้าทายเช่นกัน ก่อนอื่นเลย เดอแซนทิสสูง 6 ฟุต 9 นิ้ว แล้วเขาก็ต้องติดแขนเทียมเข้าไป ซึ่งทำให้ร่าง 280 ปอนด์ของเขาดูล่ำขึ้น สิ่งที่ยากที่สุดคือการที่เขาสวมหน้ากากอนิเมโทรนิคที่สลับซับซ้อน หน้ากากนี้ ที่สร้างขึ้นโดยเลกาซี เอฟเฟ็กต์ในซานเฟอร์นานโด รัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกออกแบบมาให้สวมครอบศีรษะของเดอแซนทิส รูดซิปขึ้นด้านหลัง แล้วก็ทำให้กลมกลืนตรงส่วนตาด้วยเมคอัพ สเปเชียล เอฟเฟ็กต์ นักเชิดหุ่นของเลกาซี เจสัน แมทธิวส์ (The Twilight Saga: Breaking Dawn—Part 1, John Carter) และริชาร์ด แลนดอน (Aliens, Terminator 2: Judgment Day) ต้องใช้เวลาประมาณ 25 นาที เพื่อสวมหน้ากากนี้ให้กับเดอแซนทิสทุกเช้า
เดอแซนทิสเล่าถึงกระบวนการนี้ว่า “ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการทำงานในบอดี้สูทคือความร้อนครับ ส่วนหัวและขาจะทำจากซิลิโคน ซึ่งไม่ได้ช่วยเรื่องอากาศถ่ายเทเลย ถ้าเราพักกันนานๆ เราก็สามารถถอดส่วนหัวออกได้ แต่ถ้าเราพักไม่นาน เราก็ทำได้แค่รูดซิปด้านหลัง ส่วนอื่นๆ ของชุดผมเป็นหนัง ดังนั้น ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ลงเอยด้วยการมีเหงื่อชุ่มไปหมด ซึ่งทำให้การแสดงฉากต่อสู้ยาวๆ เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ ครับ”
บัลเลต์ปะทะสมการ:
การออกแบบท่าเคลื่อนไหว สเปเชียล เอฟเฟ็กต์และวิชวล เอฟเฟ็กต์
มันคงจะไม่เป็นภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยไซไฟหากไม่มีฉากต่อสู้และวิชวล เอฟเฟ็กต์แบบเต็มที่ สำหรับ Seventh Son หน้ากากทัสค์ของเดอแซนทิสเริ่มจากการเป็นประติมากรรมดิจิตอล แล้วพอลุคนี้ได้รับการอนุมัติจากผู้กำกับแล้ว ก็มีการหล่อหน้ากากนี้ขึ้นจริงๆ จากศีรษะของเดอแซนทิส ใบหน้าจะถูกแกะสลักด้วยเคลย์แล้วระบายสี ก่อนที่จะมีการติดผมเข้าไป ความใส่ใจในรายละเอียดของทีมงานน่าทึ่งมากๆ
“ทุกรูขุมขนถูกใส่เข้าไปในนั้น” เจสัน แมทธิวส์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเอฟเฟ็กต์กล่าว “มันมีเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ด้วย ฟันทุกซี่ก็มีคราบนิดๆ ผมแต่ละเส้นจะถูกติดเข้ากับใบหน้าทีละเส้นๆ คนประมาณ 25-30 คนทำงานเรื่องนี้นานเก้าสัปดาห์ที่สตูดิโอในลอสแองเจลิสครับ”
จากนั้น ก็เป็นหน้าที่ของช่างเครื่องยนต์หลัก ริชาร์ด แลนดอน ในการทำให้ใบหน้าของทัสค์ใช้การได้ ภายในส่วนศีรษะจะเป็นส่วนแผงควบคุมวิทยุที่ประกอบไปด้วยเซอร์โวมอเตอร์เล็กๆ 17 ตัว ซึ่งแต่ละตัวก็จะควบคุมการเคลื่อนไหวจุดหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ตัวหนึ่งตรงกลางคิ้วทำให้คิ้วขยับขึ้นลงได้ อีกตัวหนึ่งควบคุมจมูก ซึ่งทำให้ตัวละครแสดงสีหน้าสงสัย เกรี้ยวกราด หรือคุกคามได้ ดวงตาของทัสค์เป็นดวงตาของเดอแซนทิส และขากรรไกรของเขาก็ควบคุมขากรรไกรของหน้ากากเอง ความร่วมมือของนักเชิดหุ่นและนักแสดงเท่านั้นที่ทำให้ทัสค์มีชีวิตขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์
การเนรมิตชีวิตให้กับทัสค์ยังหมายถึงการฝึกฝนงานสตันท์สำหรับเดอแซนทิส เช่นเดียวกับทีมนักแสดงคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการเตรียมพร้อมสำหรับสงครามไคลแมกซ์บนหุบเขาเพนเดิล ที่ซึ่งทัสค์, เกรกอรี, ทอมและอลิซ ต้องเผชิญหน้ากับมัลคิน, โบนี ลิซซี, ซาริคิน, สตริกซ์, วิราฮาดราและราดู พร้อมทั้งมือสังหารของเขา ฉากนั้น ซึ่งใช้เวลาถ่ายทำ 13 วันในการถ่ายทำและใช้กล้องมากถึง 5 ตัว ใช้เวลาในการเตรียมงานนานแปดสัปดาห์ ไม่เพียงแต่เพื่อฝึกฝนนักแสดงเท่านั้น แต่ยังเพื่อออกแบบท่าการต่อสู้ในแบบที่จะใช้ประโยชน์จากฉากได้สูงสุดและสร้างท่วงทำนองที่เหมาะสมขึ้นมา
พอล เจนนิงส์ (The Dark Knight, RED 2) ผู้ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้กำกับยูนิทที่สองและผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ เล่าว่า “มันเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของผมในการใช้พื้นที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะการโชว์ทั้งหมดเป็นเรื่องดี มันเป็นเหมือนกับการออกแบบท่าเต้นรำครับ มันไม่ได้แค่การประดาบกันเท่านั้น แต่คุณจะต้องเห็นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ภายในการต่อสู้ด้วย มันจะต้องมีการแลกเปลี่ยน คุณจะต้องรู้สึกเหมือนว่ามันมีช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจะเพลี่ยงพล้ำ มีช่วงเวลาแห่งชัยชนะ ผู้ชมจะต้องรู้สึกลุ้นไปกับผลลัพธ์ที่ออกมาครับ”
การอ้างถึงการออกแบบท่าเต้นและการเต้นรำเป็นสิ่งที่วิคันเดอร์เห็นด้วย โดยเธอเคยศึกษาการเต้นมา 10 ปีกับรอยัล สวีดิช บัลเลต์ สคูล เธอเล่าว่า “มันช่วยได้เยอะเลยเพราะการแสดงสตันท์ก็คือการเต้นนั่นแหละค่ะ หนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดเกี่ยวกับอาชีพนี้คือคุณมีโอกาสได้ลองสิ่งต่างๆ ที่คุณคงไม่มีโอกาสได้ลองถ้าคุณทำอาชีพอื่นน่ะค่ะ”
บาร์นส์แสดงสตันท์ส่วนใหญ่ด้วยตัวเอง และความกระตือรือร้นของเขาก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในตอนถ่ายทำฉากต่อสู่กับบ็อกการ์ทที่ลากทอมไปใต้น้ำ ในการถ่ายทำกว่าสี่วันในแทงค์น้ำขนาดใหญ่และใช้แท่นกิมบอล บาร์นส์ได้ขี่สัตว์ประหลาดในจินตนาการที่เหวี่ยงเขาไปมา จับเขาหมุนและกดเขาลงใต้น้ำ สำหรับงานนี้ บาร์นส์จะต้องเรียนรู้วิธีใช้อุปกรณ์ดำน้ำ ฉากนี้ทำให้เขาต้องถอดหน้ากากและเครื่องช่วยหายใจ ก่อนที่เขาจะต้องกลั้นหายใจแล้วรอฟังคำสั่งแอ็กชัน หลังจากซีเควนซ์ที่เข้มข้นนี้ ก็เป็นหน้าที่ของทีมวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่จะต้องสร้างตัวบ็อกการ์ทขึ้นมา
จอห์น ดิคสตรา ผู้ออกแบบวิชวล เอฟเฟ็กต์ เจ้าของสองรางวัลออสการ์ (Spider-Man 2, Star Wars: Episode IV—A New Hope) เล่าถึงกระบวนการของเขาว่า “ซีเควนซ์บ็อกการ์ทเป็นซีเควนซ์ที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของทรัพยากรที่เราใช้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับตัวละครที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ที่มีปฏิกิริยากับนักแสดงจริงๆ และสิ่งแวดล้อมจริงๆ รวมถึงการกระโดดหน้าผา การว่ายน้ำในแม่น้ำ การไหลตามน้ำตก และการขี่สัตว์ประหลาด คุณคงจินตนาการได้ว่ามันยากขนาดไหนที่นักแสดงจะต้องสู้กับสัตว์ประหลาด 25 ฟุตที่ไม่ได้มีตัวตนจริงๆ คุณต้องหาจุดสายตาให้นักแสดง และต้องระมัดระวังพื้นที่ที่มันจะอยู่ เพื่อที่นักแสดงจะไม่ทะลุส่วนหนึ่งส่วนใดของมันไป ในวันนั้น คุณต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามสิ่งที่เกิดขึ้นและต้องเข้าใจสัตว์ประหลาดเสมือนจริงมากพอที่จะสามารถดูฉากที่นักแสดงแสดงอยู่และจินตนาการได้ว่าพวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กันยังไง และคุณก็ต้องทำมันทันทีด้วยครับ”
ในการเตรียมพร้อมสำหรับช็อตที่ซับซ้อนเช่นนั้น ทีมวิชวล เอฟเฟ็กต์ได้เริ่มต้นจากกระบวนการพรีวิชวลไลเซชัน หรือ “พรี-วิส” ซึ่งทำให้ทีมผู้สร้างสามารถกำหนดจังหวะของฉากได้ก่อนหน้าที่พวกเขาจะรู้ด้วยซ้ำไปว่าพวกเขาจะถ่ายทำที่ไหนหรือเนื้อหาของฉากจะเป็นยังไง พรี-วิสจะเริ่มต้นขึ้นจากการแปลงบทให้เป็นโมเดลดิจิตอล 3D ของฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากที่จะใช้ในเรื่อง รวมถึงตัวแทนของนักแสดงและไดอะล็อคของพวกเขา บางครั้ง ดนตรี “เบาๆ” (จากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ) ก็จะถูกเปิดคลอซีเควนซ์นั้น เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่างานลำดับภาพจะเป็นไปยังไง
ดิคสตราเล่าว่า “มันเป็นภาพแทนสิ่งต่างๆ ที่ค่อนข้างจะตรงกับความเป็นจริง เช่นลักษณะการเคลื่อนไหวของกล้องที่มีผลต่อการเล่าเรื่องราว มันทำให้หัวหน้าแผนกต่างๆ ตัดสินใจได้ว่าแต่ละแผนกจะรับผิดชอบงานไหน นอกจากนั้น มันยังทำให้เรารู้ถึงจังหวะของฉากและเข้าใจถึงสเกลของฉากนั้นๆ ด้วย ช็อตนั้นจะกว้างแค่ไหน จะแคบแค่ไหน ช็อตพวกนั้นจะส่งผลต่ออารมณ์ของฉากยังไงบ้าง มันเป็นเหมือนแผนที่ในการถ่ายทำน่ะครับ”
ในตอนที่ซีเควนซ์ถ่ายทำ “กล้องพยาน” หลายตัวรอบฉากก็จะบันทึกภาพฉากนั้นจากหลายมุม “พวกมันเป็นกล้องคอนซูเมอร์ธรรมดาครับ” ดิคสตรากล่าว “กล้องหลายตัวที่ถ่ายทำแอ็กชันเดียวกันจะทำให้คุณสามารถเห็นหลายๆ มุมมองของสิ่งที่ถูกถ่ายทำไว้ได้ กล้องพยานทำให้เราสามารถได้ภาพเวอร์ชันสามมิติของนักแสดงมาประกอบกับสิ่งของหรือสัตว์ประหลาดเสมือนจริงที่เราสร้างขึ้นได้”
บ่อยครั้ง วิชวล เอฟเฟ็กต์ที่ประสบความสำเร็จจะเป็นเรื่องของจิตวิทยาในฉากมากกว่างานในช่วงโพสต์โปรดักชัน ดิคสตราเล่าว่า “วิชวล เอฟเฟ็กต์มักต้องอาศัยความยืดหยุ่นทางจิตใจ นักแสดงจะสนใจว่าวิชวล เอฟเฟ็กต์จะเวิร์คยังไงในแง่ของเรื่องราวหรือการสร้างตัวละคร พวกเขาอยากทำให้แน่ใจว่าตัวละครของพวกเขาเข้าใจสิ่งแวดล้อมหรือสัตว์ประหลาดเสมือนจริงที่คุณกำลังสร้างอยู่ คุณต้องอธิบายให้พวกเขาฟังว่าต้นไม้ไม่ใช่แค่ต้นไม้ แต่มันเป็นต้นไม้ที่มีกลิ่นเหมือนวานิลลา และใหญ่ขนาดคนโอบ ที่สำคัญ รากมันลื่นและโคลนก็ชื้นแฉะ และมันก็ถูกล้อมรอบไปด้วยตะไคร่น้ำ คุณกลายเป็นตัวแทนบ็อกการ์ทหรือสัตว์ตัวนั้น หรืออะไรก็ตาม บ่อยครั้ง สิ่งสำคัญไม่ใช่สิ่งที่คุณทำ แต่เป็นลักษณะการพูดถึงมันของคุณต่างหากล่ะครับ”
ทีมผู้สร้างรู้สึกโชคดีที่ได้ดิคสตรามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน แชร์บอกว่า “จอห์นเคยทำงานใน Star Wars มาก่อน เขาเป็นผู้บุกเบิก มันสนุกอย่างเหลือเชื่อที่ได้คุยกับเขาเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้และได้เห็นเขาใช้จินตนาการตัวเอง ความสามารถของเขาในการผสมผสานองค์ประกอบจริงเข้ากับดิจิตอล เอฟเฟ็กต์สมัยใหม่เป็นประสบการณ์ที่ชวนดื่มด่ำอย่างแท้จริง จอห์นและทีมงานของเขาได้สร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่าคุณได้ร่วมเดินทางไปกับวีรบุรุษเหล่านี้เลยล่ะ”
****
ลีเจนดารี พิคเจอร์ส และยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยลีเจนดารี พิคเจอร์ส/ธันเดอร์ โร้ด ฟิล์ม/วิแกรม Seventh Son นำแสดงโดยเจฟฟ์ บริดเจส, เบน บาร์นส์, อาลิเซีย วิคันเดอร์, คิท แฮริงตัน, โอลิเวีย วิลเลียมส์, อันเจ ทราว ร่วมด้วยดิมอน ฮันซูและจูลีแอนน์ มัวร์ ดนตรีจากภาพยนตร์เรื่องนี้โดยมาร์โก เบลทรามี และควบคุมดนตรีโดยปีเตอร์ อาฟเตอร์แมน, มาร์กาเร็ต เยน ออกแบบเครื่องแต่งกายโดยแจ็คเกอลีน เวสต์และผู้ออกแบบวิชวล เอฟเฟ็กต์คือจอห์น ดิคสตรา, เอเอสซี Seventh Son ลำดับภาพโดยพอล รูเบล, เอซีอี และผู้ออกแบบงานสร้างคือดันเต้ เฟอร์เร็ตติ ผู้กำกับภาพของเรื่องคือนิวตัน โธมัส ซีเกล, เอเอสซี และผู้ร่วมอำนวยการสร้างได้แก่จิลเลียน แชร์, เอริก้า ลี ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่จอน จาชนี, เบรนท์ โอ’ คอนเนอร์, อาลิเซีย คอตเตอร์ ผู้อำนวยการสร้างได้แก่บาซิล อิวานิค, โธมัส ทัลล์, ลีโอเนล วิแกรม สร้างขึ้นจากหนังสือเรื่อง “The Spook’s Apprentice” เรื่องราวภาพยนตร์โดยแมทท์ กรีนเบิร์ก และบทภาพยนตร์โดยชาร์ลส์ ลีวิทท์และสตีเวน ไนท์ Seventh Son กำกับโดยเซอร์เก โบดรอฟ © 2014Universal Studios.
ประวัตินักแสดง
เจฟฟ์ บริดเจส (Jeff Bridges) รับบท มาสเตอร์เกรกอรี
เจฟฟ์ บริดเจส เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของฮอลลีวูด และได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลอคาเดมี อวอร์ด การแสดงของเขาใน Crazy Heart ในบทแบ๊ด เบลค นักร้องคันทรีขี้เหล้าอับโชค ตัวเอกของเรื่อง ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นอกจากนั้น การแสดงครั้งนั้นยังทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ แซ็ก อวอร์ดและอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดอีกด้วย
ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของเบลค ผู้ซึ่งประสบการณ์ที่เขามีร่วมกับนักข่าวสาว (แม็กกี้ จิลเลนฮาล) ทำให้หน้าที่การงานของเขากลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้งระหว่างที่เขาต้องดิ้นรนอยู่ภายใต้เงาของนักร้องคันทรีดาวรุ่งที่เขาเคยพร่ำสอน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยสก็อต คูเปอร์ สร้างจากนิยายเรื่องแรกของโธมัส ค็อบบ์และนำแสดงโดยโรเบิร์ต ดูวัลล์และโคลิน ฟาร์เรล การแสดงหลากมิติและน่าประทับใจของบริดเจสในเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหลายๆ บทบาทในอาชีพนักแสดงของเขาที่ครอบคลุมหลายทศวรรษ
บริดเจสได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ครั้งแรกในปี 1971 ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์โดยปีเตอร์ บ็อกดาโนวิชเรื่อง The Last Picture Show ซึ่งร่วมแสดงโดยซิบิล เชพเพิร์ด สามปีให้หลัง เขาก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่สองในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากการแสดงในภาพยนตร์โดยไมเคิล ซิมิโนเรื่อง Thunderbolt and Lightfoot ในปี 1984 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Starman โดยการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีกด้วย ในปี 2000 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีกครั้ง และได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์เป็นครั้งที่สี่จากการแสดงสมทบในภาพยนตร์เรื่อง The Contender ทริลเลอร์การเมืองโดยร็อด ลูรีย์ ที่ร่วมแสดงโดยแกรี โอลด์แมนและโจน อัลเลน ซึ่งบริดเจส รับบทประธานาธิบดีอเมริกา
ในเดือนธันวาคม ปี 2010 เขาได้ร่วมงานกับพี่น้องโคเอนอีกครั้งในเวสเทิร์นชื่อดังเรื่อง True Grit ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์เป็นครั้งที่หก ในเดือนเดียวกัน เขาได้แสดงในภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัย 3D ที่เป็นที่รอคอยเรื่อง TRON: Legacy โดยเขากลับมารับบทเดิม เควิน ฟลินน์ นักพัฒนาเกมจากภาพยนตร์คลาสสิกปี 1982 เรื่อง TRON อีกครั้งหนึ่ง ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย TRON: Legacy นำเสนอบริดเจสในฐานะนักแสดงคนแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ที่ได้แสดงประกบตัวเองในวัยหนุ่ม
ในเดือนกรกฎาคมปี 2013 บริดเจสได้แสดงในภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยเหนือธรรมชาติโดยโรเบิร์ต ชเวงค์เก้เรื่อง R.I.P.D. ประกบไรอัน เรย์โนลด์ส, เควิน เบคอนและแมรี-หลุยส์ ปาร์คเกอร์ ล่าสุด เขาได้แสดงประกบเมอริล สตรีพ, เบรนตัน ธเวทส์, อเล็กซานเดอร์ ซาร์สการ์ด, เคที โฮล์มส์, โอเดยา รัช, คาเมรอน โมนาแกนและเทย์เลอร์ สวิฟท์ในภาพยนตร์เรื่อง The Giver ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างจากนิยายเยาวชนขายดีของโลอิส โลว์รี และบริดเจสอำนวยการสร้างด้วย เป็นโปรเจ็กต์ที่อยู่ใต้การบ่มเพาะนานกว่า 10 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กำกับโดยฟิลลิป นอยซ์ เข้าฉายในเดือนสิงหาคม ปี 2014
ในปี 2009 บริดเจสได้แสดงในคอเมดีสงครามโดยแกรนท์ เฮสลอฟเรื่อง The Men Who Stare at Goats ในบทบิล จังโก้ เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับ ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนักรบลับ บทภาพยนตร์ของปีเตอร์ สเตราแกนสร้างขึ้นจากหนังสือโดยจอน รอนสัน ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงเกี่ยวกับนักข่าวในอิรักที่ได้พบกับอดีตสมาชิกของกองกำลังสหรัฐที่ใช้พลังพิเศษในการปฏิบัติภารกิจ บริดเจสได้แสดงประกบจอร์จ คลูนีย์, ยวน แม็คเกรเกอร์และเควิน สเปซีย์
นอกเหนือจากนั้น บริดเจสยังได้แสดงในภาพยนตร์โดยเอชบีโอ ฟิล์มส์/พิคเจอร์เฮาส์เรื่อง A Dog Year ที่สร้างจากอนุทินโดยจอน แคทซ์และเขียนบท/กำกับโดยจอร์จ ลาวู ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยพาราเมาท์ พิคเจอร์ส/มาร์เวล สตูดิโอส์เรื่อง Iron Man ในบทโอบาเดียห์ สเตน
บริดเจสได้แสดงประกบไชอา ลาบัฟ ในบท กีค เพนกวินนักเล่นกระดานโต้คลื่นขี้โม้ ในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดโดยโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันเรื่อง Surf’s Up ก่อนหน้านั้น เขาได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องที่สองให้กับผู้กำกับเทอร์รี กิลเลียมชื่อ Tideland ที่เขารับบทมืออดีตกีตาร์ร็อคขี้ยาที่ชื่อ โนอาห์
ผลงานหลากหลายของเขาได้ครอบคลุมแนวต่างๆ อย่างกว้างขวาง เขาได้แสดงในภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศอย่างภาพยนตร์โดยแกรี รอสเรื่อง Seabiscuit, ดรามาคอเมดีออฟบีทโดยกิลเลียมเรื่อง The Fisher King ซึ่งร่วมแสดงโดยโรบิน วิลเลียมส์, ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลเรื่อง The Fabulous Baker Boys ซึ่งร่วมแสดงโดยโบ บริดเจส น้องชายของเขาและมิเชลล์ ไฟเฟอร์, Jagged Edge ประกบเกลนน์ โคลส, ภาพยนตร์โดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาเรื่อง Tucker: The Man and His Dream, Blown Away ที่ร่วมแสดงโดยพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วของเขา ลอยด์ บริดเจสและทอมมี ลี โจนส์, ภาพยนตร์โดยปีเตอร์ เวียร์เรื่อง Fearless ประกบอิซาเบลลา รอสเซลลินีและโรซี เปเรซและภาพยนตร์โดยมาร์ติน เบลเรื่อง American Heart ซึ่งร่วมแสดงโดยเอ็ดเวิร์ด เฟอร์ลองและอำนวยการสร้างโดยแอสอิส โปรดักชันส์ บริษัทของบริดเจส ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดในปี 1993 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ในซัมเมอร์ปี 2004 บริดเจสได้แสดงประกบคิม บาซิงเกอร์ในภาพยนตร์ดังโดยท็อด วิลเลียมส์เรื่อง The Door in the Floor สำหรับโฟกัส ปีเจอร์ส ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
บริดเจสได้รับบทสำคัญในภาพยนตร์โดยอัลเบิร์ต บรู๊คส์เรื่อง The Muse ซึ่งนำแสดงโดยบรู๊คส์, ชารอน สโตนและแอนดี้ แม็คดูเวล ได้แสดงในทริลเลอร์ลุ้นระทึกโดยมาร์ค เพลลิงตันเรื่อง Arlington Road ซึ่งร่วมแสดงโดยทิม ร็อบบินส์และโจน คูแซ็คและนำแสดงใน Simpatico เวอร์ชันภาพยนตร์ของละครเวทีโดยแซม เชพเพิร์ด ประกบสโตน, นิค โนลเต้และอัลเบิร์ต ฟินนีย์ ในปี 1998 เขาได้แสดงในคอเมดีคัลท์โดยพี่น้องโคเอนเรื่อง The Big Lebowski ก่อนหน้านั้น เขาได้แสดงในภาพยนตร์โดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง White Squall, ภาพยนตร์โดยวอลเตอร์ ฮิลเรื่อง Wild Bill, ภาพยนตร์โดยจอห์น ฮูสตันเรื่อง Fat City และโรแมนติกคอเมดีโดยบาร์บรา สตรายแซนด์เรื่อง The Mirror Has Two Faces
ผลงานการแสดงเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ How to Lose Friends & Alienate People, K-PAX, Masked and Anonymous, Stay Hungry, Bad Company, Against All Odds, Cutter’s Way, The Vanishing, Texasville, The Morning After, Nadine, Rancho Deluxe, See You in the Morning, 8 Million Ways to Die, The Last American Hero และ Hearts of the West
ในปี 1983 บริดเจสได้ก่อตั้งเอนด์ ฮังเกอร์ เน็ตเวิร์ค องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งมั่นในการจัดหาอาหารให้กับเด็กทั่วโลก เขาได้อำนวยการสร้างรายการเอนด์ ฮังเกอร์ ซึ่งเป็นรายการถ่ายทอดสดสามชั่วโมงเกี่ยวกับความหิวโหยในโลกใบนี้ รายการนี้นำเสนอภาพของเกรกอรี เพ็ค, แจ็ค เลมมอน, เบิร์ต แลนคาสเตอร์, บ็อบ นิวฮาร์ท, เคนนี ล็อกกินส์ และดาราในแวดวงจอแก้ว จอเงินและดนตรีอีกมากมาย ที่มาให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ
ปัจจุบัน เขาเป็นโฆษกให้กับแคมเปญแชร์ เอาเออร์ สเตรนจ์/โน คิด ฮังกรี้ ที่เคลื่อนไหวเพื่อยุติความหิวโหยของเด็กในอเมริกาในปี 2015
ผ่านทางบริษัทแอสอิส โปรดักชันส์ของเขา บริดเจสได้อำนวการสร้างภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง Hidden in America ซึ่งนำแสดงโดย โบ น้องชายของเขา สำหรับโชว์ไทม์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำในปี 1997 ในสาขามินิซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม และทำให้โบ บริดเจสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นอกจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดอีกด้วย
หนึ่งในสิ่งที่บริดเจสชื่นชอบคือการถ่ายภาพ ระหว่างอยู่ในกองถ่าย เขาได้ถ่ายภาพเบื้องหลังเพื่อนนักแสดง ทีมงานและโลเกชัน หลังจากปิดกล้อง เขาก็จะรวบรวมภาพเหล่านั้นเป็นหนังสือและแจกให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ภาพถ่ายของบริดเจสได้ลงนิตยสารหลายเล่ม รวมถึงพรีเมียร์และอเพอร์เจอร์และนิตยสารอื่นๆ ทั่วโลก เขามีแกลเลอรีแสดงผลงานของตัวเองในลอสแองเจลิส, ลอนดอน, ซานดิเอโกและจอร์จ อีสต์แมน เฮาส์ในนิวยอร์ก
หนังสือเหล่านี้ ซึ่งกลายเป็นสิ่งมีค่าสำหรับบรรดานักสะสม ไม่เคยมีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่าย แต่ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 พาวเวอร์เฮาส์ บุ๊คส์ก็ได้ตีพิมพ์ “Pictures” หนังสือปกแข็งที่รวบรวมภาพถ่ายที่เขาถ่ายตามโลเกชันภาพยนตร์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยหนังสือเล่มนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างมาก รายได้จากหนังสือเล่มนี้ถูกมอบให้กับโมชัน พิคเจอร์ แอนด์ เทเลวิชัน ฟันด์ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ให้การดูแลและสนับสนุนผู้ที่ทำงานในแวดวงภาพยนตร์
ในเดือนสิงหาคม ปี 2011 บริดเจสได้เปิดตัวอัลบัมแรกของเขาสำหรับบลู โน้ท โดยมีที โบน เบอร์เน็ตต์ ผู้อำนวยการสร้าง นักดนนตรี นักแต่งเพลงเจ้าของหลายรางวัลแกรมมี อวอร์ด ได้อำนวยการสร้างอัลบัมแจ๊สชุดนี้ มันเป็นส่วนต่อขยายของมิตรภาพทางดนตรี หน้าที่การงานและส่วนตัวระหว่างบริดเจสและเบอร์เน็ตต์ ผู้ที่เขารู้จักมากว่า 30 ปี อัลบัมที่โด่งดังนี้เป็นผลงานต่อจากอัลบัม “Be Here Soon” ซึ่งเป็นผลงานโซโลชุดแรกสำหรับแรมป์ เรคคอร์ดส์ ซึ่งเป็นค่ายเพลงที่ซานตา บาร์บารา รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เขาร่วมก่อตั้งกับนักร้อง/นักคีย์บอร์ด ไมเคิล แม็คโดนัลด์ และผู้อำนวยการสร้าง/นักร้อง/นักแต่งเพลง คริส เพโลนิส อัลบัมชุดนี้ยังมีนักร้องรับเชิญมากมาย อาทิ แม็คโดนัลด์, เอมี ฮอลแลนด์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมีและนักร้องคันทรีร็อค เดวิด ครอสบี้ นอกจากนี้ แรมป์ เรคคอร์ดส์ยังได้จำหน่ายอัลบัม “Blue Obsession” ของแม็คโดนัลด์อีกด้วย
บริดเจสและซูซาน ภรรยาของเขา ได้แบ่งเวลาอยู่ที่บ้านของพวกเขาในซานตา บาร์บาราและบ้านไร่ของพวกเขาในมอนทานา
เบน บาร์นส์ (Ben Barnes) รับบท ทอม วอร์ด
เบน บาร์นส์ เป็นหนึ่งในนักแสดงเจ้าเสน่ห์ที่มีความสามารถครบครันที่สุดในฮอลลีวูด เขาจะได้รับบทที่หลากหลาย รวมถึงอันธพาลหนุ่มในภาพยนตร์อินดีเรื่อง By the Gun และนักร้องโฟล์คอับโชคใน Jackie and Ryan เขาอาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทเจ้าชายแคสเปียนในแฟรนไชส์ยอดนิยมทั่วโลกเรื่อง The Chronicles of Narnia ที่สร้างขึ้นจากหนังสือโดยซี.เอส.ลูอิส บาร์นส์รับบทเจ้าชายแคสเปียนผู้กล้าในภาพยนตร์เรื่อง The Chronicles of Narnia: Prince Caspian และ The Chronicles of Narnia: The Voyage of the Dawn Treader
ใน By the Gun ทริลเลอร์อาชญากรรมอินดีในแวดวงมาเฟียบอสตัน บาร์นส์รับบทชายหนุ่มที่พยายามหาที่ทางของตัวเองในโลกของแก๊งอาชญากรรมที่รุนแรงและซับซ้อน ทีมนักแสดงของเรื่องรวมถึงฮาร์วีย์ เคเทล, โทบี้ โจนส์และลีห์ตัน มีสเตอร์ มิลเลนเนียม เอนเตอร์เทนเมนต์จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในเดือนธันวาคม ปี 2014 นอกจากนี้ เขายังจะรับบท แซม อดัมส์ในมินิซีรีส์เรื่อง Sons of Liberty ทางฮิสทอรี แชนแนล ซีรีส์หกตอนนี้เล่าเรื่องของกลุ่มชายหนุ่ม ที่ประกอบไปด้วย แซม อดัมส์, จอห์น อดัมส์, พอล รีเวียร์, จอห์น แฮนค็อกและโจเซฟ วอร์เรน ในตอนที่พวกเขาแอบร่วมมือกันลับๆ เพื่อสร้างชาติขึ้นมา
นอกจากนี้ เขายังเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์อินดีเรื่อง Jackie and Ryan ประกบแคทเธอรีน ไฮเกลอีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เขียนบทและกำกับโดยเอมี คาน ที่เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งเข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส วาไรตี้กล่าวถึงการแสดงของบาร์นส์ว่า “นักแสดงสัญชาติอังกฤษ บาร์นส์ รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของเขาถูกนำเสนออย่างโดดเด่นตั้งแต่เฟรมแรก เขาทั้งพลิ้วไหวและน่าชื่นชอบ สำเนียงดั้งเดิมของเขาถูกซ่อนเบื้องหลังเปลือกชาวอเมริกันชนชั้นกลางอย่างมิดชิด ดารานำทั้งคู่ต่างก็ร้องเพลงด้วยตัวเองได้อย่างน่าประทับใจ แม้เสียงของพวกเขาจะไม่ได้ไร้ที่ติแต่ก็มีเอกลักษณ์พอที่จะถ่ายทอดซาวน์แทร็คที่ทำให้หวนนึกถึงความหลัง”
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ The Big Wedding, Killing Bono, Easy Virtue, Dorian Grey, Locked In, The Words, BiggaThan Ben และ Stardust
ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
อลิเซีย วิคันเดอร์ (Alicia Vikander) รับบท อลิซ
อลิเซียเป็นหนึ่งในนักแสดงดาวรุ่งที่มาแรงที่สุดในยุคของเรา ในปี 2011 วิคันเดอร์ได้รับรางวัลกูลด์แบ็กก์ อวอร์ด (รางวัลออสการ์เวอร์ชันสวีเดน) สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากการแสดงในบท แคทรินา ในดรามาสวีดิชปี 2009 เรื่อง Pure ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ ในปี 2012 วิคันเดอร์ได้รับรางวัลยูโรเปียน ฟิล์ม อวอร์ด ในฐานะหนึ่งในดาราดาวรุ่งและในปี 2013 เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาในสาขานักแสดงดาวรุ่ง
นับตั้งแต่เปิดตัวในแวดวงภาพยนตร์ เธอก็ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกและได้แจ้งเกิดในแวดวงภาพยนตร์นานาชาติด้วยบทแครอไลน์ มาธิลด์ในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมโดยนิโคลัจ อาร์เซลเรื่อง A Royal Affair ประกบแมดส์ มิคเคลสัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์โดยดีเร็ค เคียนฟรานซ์เรื่อง The Light Between Oceans ประกบไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากนิยายโดยเอ็ม.แอล. สเตดแมน ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของคนเฝ้าประภาคารและภรรยาของเขาที่ใช้ชีวิตอยู่นอกชายฝั่งออสเตรเลียตะวันตก ผู้ซึ่งช่วยชีวิตเด็กหญิงคนหนึ่งจากเรือบดที่ลอยตามน้ำมาและตัดสินใจจะเลี้ยงดูเธอ
ในปี 2015 เธอจะมีผลงานภาพยนตร์หลายเรื่อง ในเดือนมกราคม เธอจะถ่ายทำภาพยนตร์โดยทอม ฮูเปอร์เรื่อง The Danish Girl ประกบเอ็ดดี้ เรดเมย์น สำหรับเวิร์คกิ้ง ไทเทิล ฟิล์มส์ ตามด้วยภาพยนตร์โดยเจมส์ เคนท์เรื่อง Testament of Youth ที่ดัดแปลงจากอนุทินของเวรา บริทเทน ระหว่างสงครามโลกครั้งท่หนึ่ง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอจะแสดงนำในบทเวรา บริทเทน ประกบคิท แฮริงตัน เธอจะได้แสดงประกบออสการ์ ไอแซ็คและดอมห์นอล กลีสันในภาพยนตร์โดยอเล็กซ์ การ์แลนด์เรื่อง Ex Machina ที่มีกำหนดเข้าฉายในอังกฤษในเดือนมกราคมและในอเมริกาในเดือนเมษายน เธอจะได้แสดงประกบยวน แม็คเกรเกอร์และเบรนตัน ธเวทส์ในภาพยนตร์โดยจูเลียส เอเวอรีเรื่อง Son of a Gun, ภาพยนตร์โดยกาย ริทชีเรื่อง The Man From U.N.C.L.E. ประกบอาร์มี แฮมเมอร์และเฮนรี คาวิล ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในเดือนสิงหาคมโดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส นอกเหนือจากนั้น ในปี 2015 วิคันเดอร์จะแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Tulip Fever เรื่องรักศตวรรษที่ 17 ที่ศิลปินตกหลุมรักหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว ในตอนที่เขาได้รับว่าจ้างให้วาดรูปเหมือนของเธอ ทั้งคู่ได้ลงทุนไปกับตลาดทิวลิปที่มีความเสี่ยง ด้วยความหวังที่จะสร้างอนาคตร่วมกัน แจ็ค โอ’ดอนเนล, เดน เดอฮานและคริสตอฟ วอลซ์ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่อำนวยการสร้างโดยเดอะ ไวน์สตีน คัมปะนี
ล่าสุด เธอได้แสดงในภาพยนตร์โดยบิล คอนดอนเรื่อง The Fifth Estate ซึ่งนำแสดงโดยเบเนดิคท์ คัมเบอร์บาช และแดเนียล บรูห์ล เกี่ยวกับการก่อตั้งวิกิลีคส์และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ก่อตั้ง จูเลียน แอสเซนจ์ (คัมเบอร์บาช) และแดเนียล ดอมชิท-เบิร์ก (บรูห์ล) และในภาพยนตร์สวีดิชเรื่อง Hotell ซึ่งนำวิคันเดอร์กับลิซา แลงค์เซธ ผู้กำกับ Pure มาร่วมงานกันอีกครั้ง
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ภาพยนตร์โดยโจ ไรท์เรื่อง Anna Karenina ประกบเคียรา ไนท์ลีย์และจู๊ด ลอว์ และภาพยนตร์โดยเอลลา เลมฮาเกนเรื่อง The Crown Jewels ซึ่งได้เข้าฉายสายประกวดรองในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน
คิท แฮริงตัน (Kit Harington) รับบท มิสเตอร์แบรดลีย์
คิท แฮริงตัน เกิดในวอร์เชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เขาศึกษาการละครที่เดอะ รอยัล เซ็นทรัล สคูล ออฟ สปีช แอนด์ ดรามา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยลอนดอน ก่อนที่จะสำเร็จการศึกษาในปี 2008 แฮริงตันได้รับบทนำเป็นอัลเบิร์ต ในละครฮิตเรื่อง War Horse โปรดักชันลอนดอนของเนชันแนล เธียเตอร์ ละครโปรดักชันนี้ถูกนำไปแสดงบนเวทีเวสต์เอนด์ที่โรงละครนิว ลอนดอน เขายุติการแสดงโปรดักชันนี้ในปี 2009 และหลังจากนั้น ก็ได้แสดงละครโดยลอรา เว้ดเรื่อง Posh ที่รอยัล คอร์ท เธียเตอร์ในกรุงลอนดอน
ปัจจุบัน เขากำลังแสดงในดรามารางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดโดยเอชบีโอเรื่อง Game of Thrones ในบทจอน สโนว์ ลูกชายนอกสมรสของเอ็ดดาร์ด สตาร์ค ซึ่งจะฉายซีซันที่ห้าในปี 2015
แฮริงตันได้ก้าวสู่โลกภาพยนตร์ด้วยบทนำ ไมโล ทาสผู้กลายเป็นนักรบกลาดิเอเตอร์ในภาพยนตร์พีเรียดหายนะโดยพอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สันเรื่อง Pompeii นอกจากนั้น เขายังพากย์เสียงภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง How to Train Your Dragon 2 ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
ผลงานภาพยนตร์หลังจากนี้ของเขารวมถึงดรามาสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเรื่อง Testament of Youth นอกเหนือจากนั้น เขายังเพิ่งปิดกล้องม็อคคิวเมนทารีกีฬาทางเอชบีโอเรื่อง 7 Days in Hell ซึ่งเขาร่วมแสดงกับแอนดี้ แซมเบิร์ก ในบทคู่แข่งเทนนิสคู่เดือดในการแข่งขันเจ็ดวันในการแข่งขันวิมเบิลดันปี 2004
โอลิเวีย วิลเลียมส์ (Olivia Williams) รับบท แมม
โอลิเวีย วิลเลียมส์ สำเร็จการศึกษาสาขาภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก่อนที่จะศึกษาด้านการละครต่อที่บริสทอล โอลด์ วิค เธียเตอร์ สคูล ในฐานะสมาชิกของคณะรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนีและเนชันแนล เธียเตอร์ วิลเลียมส์ได้ร่วมทัวร์แสดงในอเมริกาในละครเรื่อง Richard III ซี่งนำแสดงโดยเอียน แมคเคลเลน การแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Jane Austen’s Emma ของเธอเป็นที่สนใจของเควิน คอสท์เนอร์ ผู้เลือกเธอให้แสดงใน The Postman ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ
วิลเลียมส์ ที่เป็นที่รู้จักในบรรดาผู้ชมนานาชาติ จากการแสดงนำในภาพยนตร์โดยเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานเรื่อง The Sixth Sense และภาพยนตร์โดยเวส แอนเดอร์สันเรื่อง Rushmore และเธอก็ยังคงแสดงให้เห็นความสามารถที่หลากหลายองเธอด้วยโปรเจ็กต์ต่างๆ ทั้งในแวดวงจอแก้ว จอเงินและละครเวที
สำหรับจอแก้ว เธอได้แสดงใน 27 เอพิโซดของซีรีส์ฟ็อกซ์โดยจอส วีดอนเรื่อง Dollhouse ในปี 2002 เธอได้แสดงประกบเฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์และพอล เบตตานีย์ใน The Heart of Me การแสดงของเธอทำให้เธอได้รับรางวัลบริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดปี 2003 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม เธอได้แสดงในภาพยนตร์ปี 2009 ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง An Education ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์
เธอได้แสดงประกบยวน แม็คเกรเกอร์, เพียร์ซ บรอสแนนและคิม แคททรอลในภาพยนตร์โดยโรมัน โปแลนสกี้เรื่อง The Ghost Writer ผลงานของเธอในภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติ, รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมแห่งปีจากสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอน, รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากสมาคมคนบ้าหนังนานาชาติ และเป็นตัวเก็งผู้ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิส ในปีเดียวกันนั้นเอง เธอได้แสดงประกบแอนดี้ เซอร์คิสและเรย์ วินสโตนในภาพยนตร์ชีวประวัติโดยเอียน ดูรีเรื่อง Sex & Drugs & Rock & Roll
ด้านละครเวที วิลเลียมส์ได้แสดงประกบทอม ฮอลแลนเดอร์ที่โรงละครดอนมาร์ แวร์เฮาส์ในละครโดยจอห์น ออสบอร์นเรื่อง Hotel in Amsterdam และแสดงประกบทอม ฮิดเดิลสตันใน The Changeling ที่กำกับโดยชีค บาย โจว์ล ที่บาร์บิกัน เซ็นเตอร์ วิลเลียมส์ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงในบทคิตตี้ของเธอในละครเรื่อง Happy Now? โปรดักชันปี 2008 ของรอยัล เนชันแนล เธียเตอร์ และบทเจ้าหญิงในละครเรื่อง Shakespeare’s Love’s Labour’s Lost ในปี 2011 วิลเลียมส์ได้แสดงใน In a Forest, Dark and Deep โดยนีล ลาบู๊ท บนเวทีเวสต์เอนด์ของลอนดอน ประกบแมทธิว ฟ็อกซ์
ด้านจอแก้ว วิลเลียมส์ได้แสดงในดรามาชีวประวัติทางบีบีซีเรื่อง Miss Austen Regrets ในบทนำ ประกบฮิวจ์ บอนน์วิลล์ ที่สร้างจากชีวิตและจดหมายของเจน ออสเตน รวมถึงบทนำในดรามาบีบีซีเรื่อง Agatha Christie: A Life in Pictures และสารคดีดราเรื่อง Krakatoa: The Last Days
ในปี 2011 วิลเลียมส์ได้แสดงในภาพยนตร์โดยโจ ไรท์เรื่อง Hanna ซึ่งนำแสดงโดยเซียร์เซ โรแนน, เคท บลังเช็ตต์และอีริค บานา สำหรับโฟกัส ฟีเจอร์ส นอกจากนั้น สำหรับโฟกัส ฟีเจอร์ส เธอยังได้รับบทอีลีนอร์ รูสเวลท์ในภาพยนตร์โดยโรเจอร์ มิเชลเรื่อง Hyde Park on Hudson ซึ่งทำให้เธอได้ร่วมงานกับบิล เมอร์เรย์ เพื่อนร่วมแสดงจาก Rushmore อีกครั้ง และภาพยนตร์โดยไรท์เรื่อง Anna Karenina ซึ่งนำแสดงโดยจู๊ด ลอว์และเคียรา ไนท์ลีย์
ในปี 2013 วิลเลียมส์ได้แสดงประกบลีฟ ชไรเบอร์ในภาพยนตร์โดยรูอารี โรบินสันเรื่อง The Last Days on Mars ซึ่งได้รับเลือกให้เข้าฉายในสัปดาห์ผู้กำกับของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ในเดือนมีนาคม ปี 2014 เธอได้แสดงประกบอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์, เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ดและมิเรล อีนอสในภาพยนตร์โดยเดวิด เอเยอร์เรื่อง Sabotage สำหรับโอเพน โร้ด ฟิล์มส์ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้แสดงประกบบิล ไนฮีย์ในไตรภาคโดยเดวิด แฮร์เรื่อง Worrickerspy และภาพยนตร์โดยเดวิด โครเนนเบิร์กเรื่อง Maps to the Stars ประกบโรเบิร์ต แพททินสัน, ไมอา วาซิโคว์สก้า, จอห์น คูแซ็คและจูลีแอนน์ มัวร์
เธอได้แสดงในภาพยนตร์โดยพอล รัชแมนเรื่อง 4 Dogs Playing Poker, ภาพยนตร์โดยปีเตอร์ คัททานีโอเรื่อง Lucky Break, Born Romantic ประกบเคร็ก เฟอร์กูสันและเอเดรียน เลสเตอร์, The Body ประกบแอนโทนิโอ แบนเดอรัส, To Kill a King ประกบ ทิม ร็อธ, ดูเกรย์ สก็อตและรูเพิร์ต เอฟเวอร์เร็ตต์, ภาพยนตร์โดยพี.เจ. โฮแกนเรื่อง Peter Pan ในบทคุณนายดาร์ลิงและ Tara Road ที่สร้างจากนิยายเบสต์เซลเลอร์ชื่อเดียวกันโดยเมฟ บินชีย์ นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้พากย์เสียง วิคตอเรียในภาพยนตร์อนิเมชันยอดนิยมเรื่อง Valiant อีกด้วย เธอได้นำแสดงในภาพยนตร์โดยเบลลีย์ วอลช์เรื่อง Flashbacks of a Fool ประกบแดเนียล เคร็ก ปัจจุบัน เธอได้แสดงในซีรีส์ดังทางดับบลิวจีเอ็นเรื่อง Manhattan
อันเจ ทราว (Antje Traue) รับบท โบนี ลิซซี
ด้วยผลงานที่โดดเด่นในเยอรมนี บ้านเกิดของเธอ แอนเจ ทราว ได้แจ้งเกิดในเวทีนานาชาติด้วยภาพยนตร์โดยซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง Pandorum ประกบเบน ฟอสเตอร์และแคม จิกองเดท์
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของทราวได้แก่ภาพยนตร์โดยเรนนี ฮาร์ลินเรื่อง 5 Days of War ประกบรูเพิร์ต เฟรนด์, ภาพยนตร์โดยแซ็ค สไนเดอร์เรื่อง Man of Steel ในบทเฟารา-ยูไอ ผู้ร้ายหญิงและ Nobel’s Last Will เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Despite the Falling Snow, Woman in Gold ที่นำแสดงโดยเฮเลน เมอร์เรนและไรอัน เรย์โนลด์สและภาพยนตร์โดยแอเรียล โรเมนเรื่อง Criminal ประกบเควิน คอสท์เนอร์, แกรี โอลด์แมนและทอมมี ลี โจนส์
ดิมอน ฮันซู (Djimon Hounsou) รับบท ราดู
ดิมอน ฮันซู ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ล่าสุดได้แสดงในสองภาพยนตร์ฮิตแห่งปี 2014 ได้แก่ Guardians of the Galaxy และ How to Train Your Dragon 2
ในปี 2015 ฮันซูจะได้ร่วมแสดงกับนอร์แมน รีดัสในไซไฟทริลเลอร์เรื่อง Air, Furious 7 และทริลเลอร์โดยมาร์ค นีเวลดีนเรื่อง The Vatican Tapes นอกเหนือจากนั้น เขายังรับบทหัวหน้าบองก้าในภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส.เรื่อง Tarzan ที่มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2016
ฮันซู กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Same Kind of Different as Me ประกบเกร็ก คินเนียร์, จอน วอยท์และเรเน เซลวีเกอร์ สำหรับพาราเมาท์ พิคเจอร์สและผู้กำกับไมเคิล คาร์นีย์
ฮันซูเกิดในเบนิน แอฟริกาตะวันตก เขาย้ายไปปารีสเมื่ออายุได้ 13 ปี เพื่อการศึกษาแบบตะวันตก พอตอนเป็นผู้ใหญ่ เขาก็ถูกค้นพบโดยแฟชัน ดีไซเนอร์ เธียร์รี มักเลอร์ และได้เดินแบบและแสดงในมิวสิค วิดีโอของช่างภาพเฮิร์บ ริทส์และผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ หลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทเล็กๆ ก่อนที่เขาจะได้แจ้งเกิดในบทซิงค์ ชาวแอฟริกันที่เป็นผู้นำในการลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเรียกร้องอิสรภาพในภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง Amistad (1997) ฮันซูได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดจากการแสดงของเขา หลังจากนั้น เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดในฐานะนักแสดงคนหนึ่งของภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมโดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง Gladiator
ในปี 2006 ฮันซูได้รับรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ด, รางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดจากบทคนงานที่ค้นพบอัญมณีหายากในภาพยนตร์เรื่อง Blood Diamond ที่นำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ การแสดงของเขาในบทศิลปินที่ติดโรคเอดส์ในภาพยนตร์เรื่อง In America (2004) ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดและได้รับการยกย่องให้เป็นนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมแห่งปีของโชเวสต์
ในปี 2010 ฮันซูได้แสดงประกบเฮเลน เมอร์เรน, รัสเซล แบรนด์, อัลเฟรด โมลินาและคริส คูเปอร์ในภาพยนตร์โดยจูลี เทย์เมอร์ที่ดัดแปลงจาก The Tempest ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง The Island ที่แสดงประกบโดยยวน แม็คเกรเกอร์และสการ์เล็ตต์ โยฮันสัน, Eragon, Constantine ที่นำแสดงโดยคีอานู รีฟส์, ภาพยนตร์โดยยาน เดอ บองท์เรื่อง Lara Croft Tomb Raider: The Cradle of Life ที่นำแสดงโดยแองเจลินา โจลีและภาพยนตร์โดยเชคคาร์ คาปูร์เรื่อง The Four Feathers ประกบฮีธ เล็ดเจอร์และเคท ฮัดสัน
ด้านจอแก้ว ฮันซูได้พากย์เสียงบทนำในซีรีส์อนิเมชันโดยบีอีทีเรื่อง Black Panther ที่สร้างจากการ์ตูนมาร์เวลชื่อเดียวกัน เขาได้รับบทผู้อพยพแอฟริกันที่หาที่พักพิงนานหกเอพิโซดในซีรีส์ดรามาเรื่อง ER และรับบทประจำในซีรีส์ Alias ที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์
ในฐานะทูตของอ็อกซ์แฟรม อินเตอร์เนชันแนล ฮันซูได้เป็นตัวแทนของคนยากจน โดยเขาได้สนับสนุนให้มีการช่วยเหลือชาวนาแอฟริกัน ที่ได้รับผลกระทบจากกฎการค้านานาชาติที่ไม่เป็นธรรมและประเด็นความยุติธรรมทางสังคมอื่นๆ ในปี 2009 เขาได้กล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุมสามัญของสหประชาชาติในนิยวอร์ก เกี่ยวกับผลกระทบที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีต่อประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ เขายังได้ปรากฏตัวต่อหน้าสภาสูงสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนพระราชบัญญัติเยาวชนไร้บ้านและหนีออกจากบ้าน และได้มีส่วนร่วมในการประชุมเรื่องสนธิสัญญาการค้าอาวุธนานาชาติอีกด้วย
จูลีแอนน์ มัวร์ (Julianne Moore) รับบท มาเธอร์ มัลคิน
จูลีแอนน์ มัวร์ หนึ่งในนักแสดงหญิงที่มีความสามารถครบครันและมีเสน่ห์ที่สุดในปัจจุบัน เป็นที่รู้จักจากผลงานมากมายของเธอ ด้วยการแสดงที่น่าจดจำในทุกอย่าง ตั้งแต่คอเมดีไปจนถึงดรามา บล็อกบัสเตอร์ไปจนถึงอาร์ตเฮาส์และตั้งแต่จอเงินไปจนถึงจอแก้ว
หลังจากนี้ เธอจะได้รับบทประธานาธิบดีอัลมา คอยน์ในแฟรนไชส์ยอดนิยมของไลออนส์เกทเรื่อง The Hunger Games: Mockingjay—Part 1 ที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์และฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมน และจะเข้าฉายในวันที่ 21 พฤศจิกายน ล่าสุด เธอได้แสดงในภาพยนตร์โดยเดวิด โครเนนเบิร์กเรื่อง Maps to the Stars ประกบไมอา วาซิโคว์สก้า, โรเบิร์ต แพททินสันและจอห์น คูแซ็คและ Still Alice ประกบเคิร์สเตน สจวร์ต, อเล็ค บัลด์วินและเคท บอสเวิร์ธ ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์ดรามาอินดีเรื่อง Freeheld ประกบเอลเลน เพจและสตีฟ คาเรล
มัวร์เป็นนักแสดงคนที่เก้าในประวัติศาสตร์สถาบันที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขาการแสดงสองรางวัลในปีเดียวกัน (2003) คือจากการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Far From Heaven (สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม) และ The Hours (สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม) หลังจากที่ได้รับรางวัลนักวิจารณ์มากมาย รวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดและลูกโลกทองคำ มัวร์ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลอคาเดมี อวอร์ด แปดรางวัลลูกโลกทองคำ สิบรางวัลแซ็ก อวอร์ด สามรางวัลบาฟตา อวอร์ดและสี่รางวัลฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด และได้รับรางวัลในปี 2003 จาก Far From Heaven ในปี 2012 เธอได้รับรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในมินิซีรีส์หรือภาพยนตร์จากบทซาราห์ พาลิน ผู้ว่ากัฐอลาสก้าในภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง Game Change นอกจากนี้ การแสดงเรื่องนี้ของเธอยังได้รับรางวัลแซ็กและลูกโลกทองคำปี 2013 อีกด้วย รางวัลอื่นๆ ที่เธอได้รับรวมถึงเอ็กเซลเลนซ์ อิน มีเดีย อวอร์ดจากเวทีแกลด มีเดีย อวอร์ดปี 204, รางวัลหมีเงินจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินปี 2003, รางวัลคอปปาโวลปีสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิปี 2002, รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากเวทีก็อทแธม อวอร์ดปี 2002 และรางวัลทริบิวท์ ทู อินดีเพนเดนท์ วิชัน อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2001
ผลงานภาพยนตร์ที่น่าสนใจของเธอรวมถึงรีเมกภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกเรื่อง Carrie, Non-Stop,Crazy, Stupid, Love., The Kids Are All Right, A Single Man, The Forgotten, What Maisie Knew, The English Teacher, Laws of Attraction, Chloe, 6 Souls, Blindness, Saving Grace, I’m Not There, Children of Men, Hannibal, The Lost World: Jurassic Park, The Fugitive, Nine Months, Benny &Joon, The Hand That Rocks the Cradle, The End of the Affair, Boogie Nights, Magnolia, Cookie’s Fortune, Short Cuts, Don Jon, รีเมก Psycho โดยกัส แวน แซงต์, Safe, Vanya on 42nd Street, Surviving Picasso และ The Big Lebowski
มัวร์ นักเขียนผู้ประสบความสำเร็จ เพิ่งปล่อยหนังสือเล่มที่สี่ “My Mom Is a Foreigner, But Not to Me” ที่เขียนจากประสบการณ์ของเธอจากการโตขึ้นมากับแม่ชาวสก็อตแลนด์ของเธอ ผลงานก่อนหน้านี้ของเธอรวมถึงหนังสือสำหรับเด็กที่ประสบความสำเร็จเรื่อง “Freckleface Strawberry,” “Freckleface Strawberry and the Dodgeball Bully” และ “Freckleface Strawberry: Best Friends Forever” ในปี 2013 มัวร์ได้เปิดตัวแอพ Freckleface Strawberry Monster Maker ผ่านทาง iTunes ท่ได้แรงบันดาลใจจากตัวละครหลักในหนังสือและเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้สร้างมอนสเตอร์ของตัวเองเพื่อส่งไปให้เพื่อนๆ และครอบครัว นอกจากนั้น หนังสือเรื่องนี้ยังถูกนำไปดัดแปลงเป็นมิวสิคัลออฟบรอดเวย์ที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย
หลังจากสำเร็จการศึกษาสาขาศิลปกรรมสาขาการแสดงจากมหาวิทยาลัยบอสตัน มัวร์ก็ได้แสดงในละครออฟบรอดเวย์หลายเรื่อง รวมถึงละครโดยคาริล เชอร์ชิลเรื่อง Serious Money and Ice Cream with Hot Fudge ที่พับลิค เธียเตอร์ นอกจากนั้น เธอยังได้แสดงในละครเรื่อง Hamlet ที่กัธรีย์ เธียเตอร์ในมินนิอาโพลิส และได้มีส่วนร่วมในโปรดักชันเวิร์คช็อปของละครโดยออกัสต์ สตรายน์เบิร์กเรื่อง The Father ประกบอัล ปาชิโนและละครโดยเวนดี้ วัสเซอร์สไตน์เรื่อง An American Daughter ประกบเมอริล สตรีพ เธอเปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ปี 2006 ในละครโดยแซม เมนเดสเรื่อง The Vertical Hour ที่เขียนโดยเดวิด แฮร์
มัวร์และครอบครัวของเธอใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์ก ซิตี้
ประวัติทีมผู้สร้าง
เซอร์เก โบดรอฟ (Sergei Bodrov)—กำกับโดย
ในอเมริกาและต่างประเทศ เซอร์เก โบดรอฟ ได้รับการยกย่องในวงกว้างในฐานะหนึ่งในผู้กำกับที่โด่งดังที่สุดของรัสเซีย ในฐานะผู้กำกับ มือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้าง ผลงานภาพยนตร์ที่ทรงพลังของเขาทำให้เขาได้รับการยกย่องและรางวัลมากมายทั่วโลก
Mongol ภาพยนตร์อีพิคของโบดรอฟ ผู้เป็นที่รู้จักจากการนำเสนอสโคปที่เหลือเชื่อ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในปี 2008 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่คาซัคสถานได้ลงชิงชัยในเวทีออสการ์ Mongol ได้รับรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
โบดรอฟ ผู้กำกับขวัญใจนักแสดง ได้รับการยกย่องจากความสามารถของเขาในการผสมผสานงานสร้างสเกลใหญ่กับวิสัยทัศน์เชิงศิลป์ที่น่าเกรงขาม ในปี 1997 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศจาก Prisoner of the Mountains ที่สร้างจากนิยายขนาดสั้นโดยลีโอ โทลสตอย ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับหกรางวัลนิกา อวอร์ด ซึ่งเป็นรางวัลที่เทียบเท่ากับออสการ์ของรัสเซีย รวมถึงในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย
นอกเหนือจากการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์แล้ว ภาพยนตร์ของโบดรอฟยังได้รับรางวัลมากมายจากงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน, งานเทศกาลภาพยนตร์โลกมอนทรีอัล, งานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตและ ฯลฯ ผลงานการกำกับของเขารวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Nomad: The Warrior, Bear’s Kiss, The Quickie และ Running Free
เขาได้สร้างภาพยนตร์ในหลายประเทศ รวมถึงจีน เยอรมนี ฝรั่งเศส คาซัคสถาน สเปนและแอฟริกา และปัจจุบัน เขาก็แบ่งเวลาอยู่ที่ลอสแองเจลิสและอริโซนา
แมทท์ กรีนเบิร์ก (Matt Greenberg)—เรื่องราวภาพยนตร์โดย
แมทท์ กรีนเบิร์ก เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ปี 1964 และสำเร็จการศึกษาสาขาการศึกษายุคกลางจากมหาวิทยาลัยเยล ตอนแรก กรีนเบิร์กเริ่มต้นจากการเป็นนักแสดงระหว่างศึกษาที่สถาบันเซ็นทรัล สคูล ออฟ สปีช แอนด์ ดรามา ที่โด่งดังในลอนดอน อย่างไรก็ดี เขาได้เบี่ยงเบนความสนใจไปยังการเขียนบทและไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้ขายบทภาพยนตร์เรื่องแรกได้สำเร็จ ซึ่งนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพใหม่ที่รุ่งโรจน์ของเขา
ผลงานของกรีนเบิร์กรวมถึง Mercy โดยบลูมเฮาส์ โปรดักชันส์, Halloween H2O ซึ่งนำแสดงโดยเจมี ลี เคอร์ติสและมิเชล์ วิลเลียมส์, Reign of Fire ที่นำแสดงโดยคริสเตียน เบล, แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์และเจอราร์ด บัตเลอร์และ 1408 ภาพยนตร์ปี 2007 ที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของสตีเฟน คิง และนำแสดงโดยจอห์น คูแซ็คและซามวล แอล. แจ็คสัน
นอกเหนือจากผลงานภาพยนตร์ของเขาแล้ว กรีนเบิร์กยังทำงานจอแก้วมากมาย เขาได้สร้างซีรีส์ The Invisible Man สำหรับช่องไซไฟ ซึ่งแพร่ภาพสองซีซันและท้ายที่สุด ก็มีกลุ่มผู้ชมติดตามจำนวนหนึ่ง และ Fair Haired Child หนึ่งในเอพิโซดของซีรีส์แอนโธโลจี้ยอดนิยมทางโชว์ไทม์เรื่อง Masters of Horror
กรีนเบิร์กเติบโตในนิวยอร์กและคอนเน็กติคัท ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาของเขา วาเลรี เมย์ฮิว (มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสสร้างโทรทัศน์) และลูกสาวสามคน ในตอนที่เขาไม่หัวหมุนกับการเขียนบท เขาก็จะเพลิดเพลินไปกับการเล่นฮาร์ปโฟล์คและกีตาร์คลาสสิก รวมถึงการดำน้ำและการปีนเขา เขาชื่นชอบการเล่าเรื่องราวสยดสยองของวันวานในฮอลลีวูดของเขาเป็นพิเศษ
ชาร์ลส์ ลีวิทท์ (Charles Leavitt)—บทภาพยนตร์โดย
ชาร์ลส์ ลีวิทท์ ชาวพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนีย เติบโตในต่างประเทศด้วยความที่เขาเป็นลูกชายของนักการทูตชาวอเมริกัน ลีวิทท์สำเร็จการศึกษาสาขาภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยชิคาโก แต่ประสบการณ์วัยเด็กในต่างประเทศคือสิ่งที่มีอิทธิพลต่องานเขียนของเขามากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Blood Diamond ภาพยนตร์ปี 2006 ซึ่งนำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอและภาพยนตร์ใหม่ของรอน โฮเวิร์ด In the Heart of the Sea ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในเดือนมีนาคม ปี 2015 โดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง The Express, ไซไฟดรามาเรื่อง K-PAX ที่นำแสดงโดยเควิน สเปซีย์และเจฟฟ์ บริดเจสและดรามาเยาวชนโดยมิราแมกซ์เรื่อง The Mighty
เมื่อเร็วๆ นี้ ลีวิทท์เพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำทริลเลอร์เรื่อง Those Who Wish Me Dead ที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของไมเคิล โคริตา สำหรับฟิล์ม ไรท์และทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์
สตีเวน ไนท์ (Steven Knight)—บทภาพยนตร์โดย
สตีเวน ไนท์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด และไมค์ ไวท์ฮิลเริ่มต้นการร่วมมือกันเขียนงานแบบฟรีแลนซ์ให้กับจอแก้วและ Who Wants To Be A Millionaire (ร่วมสร้างโดยไนท์และอำนวยการสร้างโดยซีลาดอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์) ได้รับรางวัลต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสองรางวัลบาฟตาด้วย
ไนท์ตีพิมพ์นิยายหลายเรื่อง รวมถึง “The Movie House,” “Alphabet City,” “Out of the Blue” และนิยายสำหรับเด็กเรื่องแรกของเขา “The Last Words of Will Wolfkin” ในปี 2010
Dirty Pretty Things บทภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ที่กำกับโดยสตีเฟน เฟรียส์ เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2002 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชม และได้รับเลือกให้เปิดงานเทศกาลภาพยนตร์บีเอฟไอ ลอนดอน ภาพยนตร์เรื่องแรกนี้ได้เข้าฉายในอังกฤษและอเมริกาท่ามกลางเสียงชื่นชม และทำให้ไนท์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม รวมไปถึงรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงรางวัลบริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ด (บีฟา), รางวัลเอ็ดการ์ อัลลัน โป อวอร์ด, ฮิวแมนิทัส ไพรซ์และรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอน
ในปี 2005 The President of an Empty Room บทละครเวทีเรื่องแรกของไนท์ ได้รับการกำกับโดยโฮเวิร์ด เดวีส์ และเปิดการแสดงที่เนชันแนล เธียเตอร์ในกรุงลอนดอน
ไนท์เขียนบทภาพยนตร์สำหรับภาพยนตร์โดยไมเคิล แอ็พเท็ดเรื่อง Amazing Grace ที่เข้าฉายในปี 2006 เกี่ยวกับชีวิตของวิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ นักการเมืองผู้ต่อต้านการค้าทาสชาวอังกฤษ ในปี 2007 บทภาพยนตร์สำหรับภาพยนตร์โดยเดวิด โครเนนเบิร์กเรื่อง Eastern Promises ของเขา ซึ่งเล่าเรื่องของแก๊งอาชญากรรมรัสเซียในลอนดอน นำแสดงโดยวิกโก้ มอร์เตนเซนและนาโอมิ วัตส์
ไนท์ได้กำกับภาพยนตร์สองเรื่อง ซึ่งเขาเขียนบทด้วย คือ Hummingbird งานกำกับเรื่องแรก ซึ่งนำแสดงโดยเจสัน สเตแธมและอกาตา บูเซ็ค และบอกเล่าเรื่องราวของอดีตทหารกองกำลังพิเศษตกยาก ที่ใช้ชีวิตตามท้องถนนในลอนดอนและ Locke ซึ่งนำแสดงโดยทอม ฮาร์ดี้ เกี่ยวกับคนทำงานผู้ซึ่งชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในค่ำคืนหนึ่ง ไนท์ได้รับรางวัลบีฟาปี 2013 สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสำหรับ Locke
บทภาพยนตร์ล่าสุดของไนท์รวมถึงภาพยนตร์โดยแลสซี ฮอลสตรอมเรื่อง The Hundred-Foot Journey, ภาพยนตร์โดยเอ็ด ซวิคเรื่อง Pawn Sacrifice ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2014 และภาพยนตร์โดยจอห์น เวลส์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชัน
นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้สร้าง มือเขียนบทและผู้ควบคุมงานสร้างของซีรีส์ Peaky Blinders ทางบีบีซี ซึ่งนำแสดงโดยคิลเลียน เมอร์ฟีย์, แซม นีลล์และเฮเลน แม็คโครรี
โจเซฟ เดอลานีย์ (Joseph Delaney)—สร้างจากหนังสือเรื่อง “The Spook’s Apprentice” โดย)
โจเซฟ เดอลานีย์ เป็นครูอังกฤษที่เกษียณแล้ว เขามีลูกสามคน และหลานเก้าคน เขาใช้เวลาว่างไปกับการบรรยายตามงานประชุม ห้องสมุดและร้านหนังสือ บ้านของเขาอยู่ท่ามกลางเขตแดนของพวกบ็อกการ์ท และหมู่บ้านของเขาก็มีบ็อกการ์ทชื่อฮอล น็อคเกอร์ ผู้นอนสงบใต้บันไดของบ้านที่อยู่ใกล้โบสถ์
สถานที่ส่วนใหญ่ในหนังสือเรื่องนี้มีเค้าโครงจากสถานที่จริงในแลนคาเชียร์ และแรงบันดาลใจเบื้องหลังเรื่องราวก็มักจะมาจากเรื่องผีและตำนานในท้องถิ่น
บาซิล อิวานิค (Basil Iwanyk)—อำนวยการสร้างโดย
บาซิล อิวานิค เป็นผู้ก่อตั้ง และเจ้าของธันเดอร์ โร้ด พิคเจอร์ส และภาพยนตร์ของเขาก็ทำรายได้รวมกันไปถึง 1.8 พันล้านเหรียญ ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของอิวานิครวมถึงภาพยนตร์แอ็กชันเรื่อง John Wick ซึ่งนำแสดงโดยคีอานู รีฟส์ ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการทำงานในขั้นตอนโพสต์โปรดักชันของภาพยนตร์โดยอเล็กซ์ โปรยาสเรื่อง Gods of Egypt สำหรับซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนต์และไลออนส์เกท และภาพยนตร์โดยเดนิส วิลเลนเนิฟเรื่อง Sicario ที่นำแสดงโดยเบนิซิโอ เดล โทโร, เอมิลี บลันท์และจอช โบรลิน ผลงานใหม่ของธันเดอร์ โร้ดได้แก่เวอร์ชันภาพยนตร์ของเกมที่ประสบความสำเร็จอย่าง Splinter Cell ที่นำแสดงโดยทอม ฮาร์ดี้ และกำกับโดยดั๊ก ลีแมน
ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของเขาได้แก่อีพิคแอ็กชันผจญภัยเรื่อง Clash of the Titans และซีเควล Wrath of the Titans, สามภาคของ The Expendables, Brooklyn’s Finest, We Are Marshall และ Firewall ผลงานที่โดดเด่นของเขาคือการท่เขาอำนวยการสร้างดรามาที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง The Town ที่กำกับโดยเบน เอฟเฟล็ค
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวิลลาโนวา เขาก็เริ่มทำงานภาพยนตร์ในตำแหน่งเอเจนท์ฝึกหัดที่ยูไนเต็ด ทาเลนท์ เอเจนซี หลังจากเข้าทำงานกับวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สในปี 1995 อิวานิคก็ได้มีส่วนร่วมกับงานพัฒนาและงานสร้างของภาพยนตร์หลายเรื่องเช่นดรามาอาชญากรรมโดยอังตวน ฟูกัวเรื่อง Training Day ที่นำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตัน ในการแสดงที่ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์, ภาพยนตร์โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง Ocean’s Eleven และทริลเลอร์โดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง Insomnia ในปี 2000 อิวานิคกลายเป็นประธานฝ่ายงานสร้างทั่วโลกที่อินเตอร์มีเดีย ฟิล์มส์ เขาก่อตั้งธันเดอร์ โร้ด พิคเจอร์สในปี 2004
โธมัส ทัลล์ (Thomas Tull)—อำนวยการสร้างโดย
โธมัส ทัลล์ ผู้อำนวยการและ CEO ของลีเจนดารี พิคเจอร์ส ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการร่วมสร้างและให้ทุนสร้างภาพยนตร์ดังมากมาย นับตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2004 ลีเจนดารี พิคเจอร์ส แผนกภาพยนตร์ของลีเจนดารี เอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งมีแผนกโทรทัศน์ ดิจิตอลและการ์ตูนด้วย ได้ร่วมมือกับวอร์เนอร์ บรอส. ในงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง
ผลงานภาพยนตร์ฮิตล่าสุดที่เข้าฉายภายใต้การร่วมมือกันนั้นรวมถึงภาพยนตร์ฮิตโดยแซ็ค สไนเดอร์เรื่อง Man of Steel และไตรภาคบล็อกบัสเตอร์โดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง Dark Knight ซึ่งเริ่มต้นด้วย Batman Begins ตามด้วยภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง The Dark Knight และ The Dark Knight Rises ไตรภาคเรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก
การร่วมมือกันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนี้ยังนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์โดยสไนเดอร์เรื่อง 300 และ Watchmen รวมถึง 300: Rise of an Empire ที่สไนเดอร์ได้อำนวยการสร้าง, ภาพยนตร์โดยเบน เอฟเฟล็คเรื่อง The Town, แอ็กชันดรามารางวัลโดยโนแลนเรื่องInception, ภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกเรื่อง Clash of the Titans และซีเควล Wrath of the Titans และภาพยนตร์โดยท็อดด์ ฟิลลิปส์เรื่อง The Hangover, The Hangover Part II ซึ่งเป็นคอเมดีเรท “R” ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลและ The Hangover Part III
เมื่อเร็วๆ นี้ ลีเจนดารีเพิ่งเปิดตัวภาพยนตร์โดยแองเจลินา โจลีเรื่อง Unbroken, As Above/So Below, Godzilla, ภาพยนตร์โดยกุยเลอร์โม เดล โทโรเรื่อง Pacific Rim และดรามายอดนิยมโดยไบรอัน เฮลเกแลนด์เรื่อง 42 เรื่องราวของตำนานเบสบอล แจ็คกี้ โรบินสัน ลีเจนดารีกำลังอยู่ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชันของภาพยนตร์เรื่อง Warcraft ที่สร้างจากเกมที่ได้รับรางวัลของบลิซซาร์ด เอนเตอร์เทนเมนต์
ทัลล์เป็นหนึ่งในบอร์ดผู้อำนวยการแฮมิลตัน คอลเลจ สถาบันเก่าของเขาและมหาวิทยาลัยคาร์เนจี้ เมลลอน นอกจากนี้ เขายังเป็นหนึ่งในบอร์ดของเนชันแนล เบสบอล ฮอล ออฟ เฟม แอนด์ มิวเซียม และซานดิเอโก้ ซู และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเจ้าของทีมพิตส์เบิร์ก สตีลเลอร์ส เจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบว์ลหกสมัย ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารทีมด้วย ทัลล์ลงทุนในธุรกิจดิจิตัล สื่อและไลฟ์สไตล์ผ่านทางทัลล์ มีเดีย เวนเจอร์ กองทุนร่วมลงทุนของเอกชน
ลีโอเนล วิแกรม (Lionel Wigram)—อำนวยการสร้างโดย
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้าง ลีโอเนล วิแกรม มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ชื่อดังมากมาย ผ่านทางบริษัทของเขา วิแกรมได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกปี 2009 เรื่อง Sherlock Holmes และซีเควล Sherlock Holmes: A Game of Shadows ซึ่งทั้งสองเรื่องกำกับโดยผู้กำกับชื่อดัง กาย ริทชี และนำแสดงโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, จู๊ด ลอว์และราเชล แม็คอดัมส์ ภาพยนตร์เหล่านี้สร้างจากเรื่องราวดั้งเดิม/การ์ตูนโดยวิแกรม ผู้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวคลาสสิกของเซอร์อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์ ล่าสุด วิแกรมและริทชีประกาศสัญญาเสนองานก่อนกับวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส เพื่อให้บริษัทริทชี/วิแกรม โปรดักชันส์ พัฒนาและอำนวยการสร้างโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงิน โปรเจ็กต์แรกของพวกเขาผ่านทางการร่วมมือกันนี้ดัดแปลงจากซีรีส์คลาสสิกยุค 60s เรื่อง The Man From U.N.C.L.E. ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่วิแกรมและริทชีร่วมกันเขียนบท มีกำหนดเข้าฉายในเดือนสิงหาคม ปี 2015 โปรเจ็กต์ในอนาคตของพวกเขารวมถึง Knights of the Roundtable: King Arthur
นอกจากนั้น เขายังได้รับการยกย่องในวงกว้างจากการมีบทบาทสำคัญในการซื้อสิทธิในหนังสือ “Harry Potter” และได้ดูแลภาพยนตร์ทั้งแปดเรื่องในแฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์นี้ ซึ่งรวมถึงภาคจบที่เป็นสองตอน Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 1 และ Part 2 ภายใต้ข้อตกลงการเสนองานก่อนของเขากับร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส ซึ่งเริ่มต้นในเดือนมกราคม ปี 2006 วิแกรมยังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ CG อนิเมชันปี 2010 เรื่อง Legend of the Guardians: The Owls of Ga’hoole ที่กำกับโดยแซ็ค สไนเดอร์และดรามาเรื่อง August Rush ซึ่งนำแสดงโดยเคอรี รัสเซล, โรบิน วิลเลียมส์และเทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด
ประวัติของวิแกรมกับอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1996 เมื่อเขาเข้าทำงานกับสตูดิโอแห่งนี้ ในตำแหน่งรองประธานฝ่ายโปรดักชัน ระหว่างการทำงานในตำแหน่งนี้ นอกเหนือจากการซื้อสิทธิ “Harry Potter” ด้สำเร็จแล้ว เขายังได้ดูแลโปรเจ็กต์ต่างๆ เช่น The Avengers, The Big Tease, Charlotte Gray, Three Kings และ The Good German ก่อนหน้าการทำงานกับวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส เขาได้ดูแลงานพัฒนาที่ฟอร์จ บริษัทโปรดักชันของเรนนี ฮาร์ลินและจีนา เดวิสในขณะนั้น
ในปี 1990 วิแกรมได้ร่วมทำงานกับอไลฟ์ ฟิล์มส์ ในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายพัฒนาและได้ทำงานในภาพยนตร์โดยเวส คราเวนและแซม เชพเพิร์ด เขาได้อำนวยการสร้าง Cool as Ice และทำงานในตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง The Underneath
วิแกรมเริ่มต้นทำงานในวงการภาพยนตร์ระหว่างศึกษาที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ที่เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งของมูลนิธิอ็อกซ์ฟอร์ด ฟิล์ม หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาก็ได้ทำงานให้กับผู้อำนวยการสร้างเอลเลียต แคสท์เนอร์ในแคลิฟอร์เนีย ในปี 1989 วิแกรมได้อำนวยสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Never on Tuesday ตามด้วย Warm Summer Rain ปี 1989 ซึ่งนำแสดงโดยเคลลี ลินช์และ Cool Blue ในปี 1990 ซึ่งนำแสดงโดยวู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน ในยุคเดียวกัน วิแกรมยังได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาดราฟท์แรกๆ ของสิ่งที่จะกลายเป็น Carlito’s Way
จอน จาชนี (Jon Jashni)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
จอน จาชนี ได้ดูแลงานพัฒนาและงานสร้างโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ทุกเรื่องของลีเจนดารี พิคเจอร์ส และดำรงตำแหน่งประธานและ CCO ของลีเจนดารี เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทสื่อระดับแนวหน้าที่มีแผนกภาพยนตร์ โทรทัศน์และสื่อและการ์ตูน ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Warcraft และทริลเลอร์ไซเบอร์โดยไมเคิล แมนเรื่อง Blackhat และดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยแองเจลินา โจลีเรื่อง Unbroken
ก่อนหน้านี้ จาชนีดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. และลีเจนดารี พิคเจอร์สเรื่อง Pacific Rim และ Godzilla และทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ลีเจนดารีเรื่อง 300: Rise of an Empire และชีวประวัติโดยแจ็คกี้ โรบินสันเรื่อง 42, ภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกเรื่อง Clash of the Titans และภาพยนตร์โดยเบน เอฟเฟล็คเรื่อง The Town ที่เอฟเฟล็คร่วมเขียนบทและนำแสดง
ก่อนหน้าการทำงานกับลีเจนดารี จาชนีดำรงตำแหน่งประธานไฮด์ ปาร์ค เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทโปรดักชันและให้ทุนสร้างที่ทำข้อตกลงกับทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์, วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สและเอ็มจีเอ็ม ที่ไฮด์ ปาร์ค เขาได้ดูแลงานพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Shopgirl, Dreamer: Inspired by a True Story, Walking Tall และ Premonition
ก่อนหน้าการทำงานกับไฮด์ ปาร์ค จาชนีเป็นผู้อำนวยการสร้างโรแมนติกคอเมดีโดยแอนดี้ เทนเนนท์เรื่อง Sweet Home Alabama เขาได้ร่วมงานกับเทนเนท์อีกครั้งใน Ever After: A Cinderella Story ซึ่งจาชนีได้ดูแลงานพัฒนาและงานสร้างในตำแหน่งผู้บริหารงานสร้างอาวุโสที่ทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์
นอกจากนั้น เขายังได้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดสองเรื่อง คือดรามาดังเรื่อง The Hurricane ซึ่งทำให้เดนเซล วอชิงตัน ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและ Anna and the King (ภาพยนตร์ธรรมดาที่ตีความ Anna and the King of Siam ใหม่) ซึ่งนำแสดงโดยโจดี้ ฟอสเตอร์และได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์
จาชนีเป็นทรัสตีของสถาบันภาพยนตร์อเมริกันและสมาชิกของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์และสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา เขาสำเร็จการศึกษาะดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนียและปริญญาโทจากยูซีแอลเอ แอนเดอร์สัน สคูล ออฟ เมเนจเมนต์
เบรนท์ โอ’ คอนเนอร์ (Brent O’Connor)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
เบรนท์ โอ’ คอนเนอร์ ได้ร่วมมือกับลีเจนดารี พิคเจอร์สอีกครั้งใน Warcraft ที่กำลังจะเข้าฉาย และปัจจุบัน กำลังอยู่ระหว่างการทำงานในตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Uncharted สำหรับโซนี พิคเจอร์ส
โอ’ คอนเนอร์ ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์แอ็กชันคอเมดีปี 2012 เรื่อง This Means War ซึ่งนำแสดงโดยรีส วิทเธอร์สปูนและทอม ฮาร์ดี้, ภาพยนตร์ผจญภัยสำหรับครอบครัวปี 2010 เรื่อง Cats and Dogs: The Revenge of Kitty Galore และคอเมดีปี 2008 เรื่อง Get Smart ซึ่งนำแสดงโดยสตีฟ คาร์เรลและแอนน์ ฮาธาเวย์ ในปี 2008 เขาได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง The X-Files: I Want to Believe ซึ่งนำแสดงโดยเดวิด ดูคอฟนีย์และกิลเลียน แอนเดอร์สันและในปี 2006 We Are Marshall ซึ่งนำแสดงโดยแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของโอ’ คอนเนอร์ได้แก่ภาพยนตร์ปี 2006 เรื่อง Firewall ซึ่งนำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ดและพอล เบตตานีย์, แอ็กชันทริลเลอร์ปี 2005 เรื่อง Elektra ซึ่งนำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ และภาพยนตร์ผจญภัยสำหรับครอบครัวปี 2004 เรื่อง Scooby-Doo 2: Monsters Unleashed ผลงานการร่วมอำนวยการสร้างของเขารวมถึง K-19: The Widowmaker ซึ่งนำแสดงโดยฟอร์ดและเลียม นีสันและ Bulletproof Monk ซึ่งนำแสดงโดยโจวเหวินฟะและฌอนน์ วิลเลียม สก็อต
ในช่วงเริ่มทำงาน โอ’ คอนเนอร์ทำหน้าที่เป็นช่างไฟและตัวแทนธุรกิจ เขารับหน้าที่ผู้จัดการงานสร้างในภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงทริลเลอร์โดยอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์เรื่อง The 6th Day, คอเมดีเรื่อง Rat Race ซึ่งนำแสดงโดยคิวบา กู๊ดดิ้ง จูเนียร์, วู้ปปี้ โกลด์เบิร์ก, จอห์น คลีสและโรวัน แอทคินสัน, ภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยกัส แวน แซงต์เรื่อง Good Will Hunting ซึ่งนำแสดงโดยแมทท์ เดมอน, โรบิน วิลเลียมส์และเบน เอฟเฟล็คและ Seven Years in Tibet ซึ่งนำแสดงโดยแบรด พิตต์ ผลงานอื่นๆ ของเขาในฐานะผู้จัดการงานสร้างรวมถึง Eye See You, Jumanji, Deep Rising, Disturbing Behavior และ Andre
อาลิเซีย คอตเตอร์ (Alysia Cotter)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
อาลิเซีย คอตเตอร์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และโปรเจ็กต์วิชวล เอฟเฟ็กต์ คอตเตอร์เริ่มต้นการทำงานของเธอที่วอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส ในปี 2000 ภายใต้การฝึกนของเจฟฟ์ โรบินอฟ ในฐานะผู้บริหาร เธอได้มีส่วนในการเริ่มต้นแฟรนไชส์ The Dark Knight ของคริสโตเฟอร์ โนแลนและ 300 โดยแซ็ค สไนเดอร์ ระหว่างที่ทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Troy และ Taking Lives ในปี 2002 เธอได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างที่สตูดิโอและหลังจากนั้น เธอก็ได้ริเริ่มโปรเจ็กต์ Seventh Son ซึ่งสร้างขึ้นจากหนังสือที่เธอไปเจอมาในร้านหนังสือในลอนดอน ไม่นานหลังจากนั้น คอตเตอร์ก็ได้ทำงานกับลีเจนดารี พิคเจอร์ส ในตำแหน่งรองประธานฝ่ายงานครีเอทีฟ หลังจากออกจากลีเจนดารีในปี 2010 คอตเตอร์ก็ย้ายไปลอนดอนเพื่อทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Sherlock Holmes: Game of Shadows ซึ่งหลังจากนั้น เธอก็ได้ทำงานกับเวิร์คกิ้ง ไทเทิลในตำแหน่งรองประธานฝ่ายพัฒนา
ปัจจุบัน คอตเตอร์กำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้างโปรเจ็กต์วิชวล เอฟเฟ็กต์สำหรับมูฟวิง พิคเจอร์คัมปะนี และพัฒนาโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ของตัวเองในลอนดอน
คอตเตอร์ มีสัญชาติอังกฤษและอเมริกา เธอเกิดในลอสแองเจลิสและใช้ชีวิตในลอนดอน
นิวตัน โธมัส ซีเกล, เอเอสซี (Newton Thomas Sigel, ASC)—ผู้กำกับภาพ
นิวตัน โธมัส ซีเกล, เอเอสซี เริ่มต้นทำงานเป็นจิตรกรและผู้กำกับทดลองที่วิทนีย์ มิวเซียม ออฟ อเมริกัน อาร์ต ในนิวยอร์ก ซิตี้ ภาพยนตร์ของซีเกลเริ่มมีกลิ่นไอสารคดีในตอนที่เขาล้วงลึกเรื่องราวสงครามในอเมริกาตอนกลางในยุค 80s ภาพยนตร์เหล่านั้นรวมถึงภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ด Witness to War: Dr. Charlie Clements และภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง When the Mountains Tremble
ซีเกลไปสะดุดตาฮัสเกล เว็กซ์เลอร์เข้า ทำให้ซีเกลมีโอกาสได้ทำงานภาพยนตร์เล่าเรื่องครั้งแรกใน Latino ภาพยนตร์ที่ส่วนหนึ่งสร้างจากประสบการณ์ชีวิตของซีเกลในสงคราม เมื่อเขาได้สะสมประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการถ่ายทำยูนิทที่สองกับโอลิเวอร์ สโตนใน Platoon และ Wall Street ซีเกลก็ใช้เวลาไม่นานนักในการไต่เต้าไปเป็นผู้กำกับภาพที่โด่งดังด้วยตัวเอง
หลังจากได้ร่ววมงานกับผู้กำกับไบรอัน ซิงเกอร์ในภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกเรื่อง The Usual Suspects ทั้งคู่ก็ได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์อีกหกเรื่อง ซึ่งรวมถึง X-Men: Days of Future ผลงานดังของซีเกลเรื่อง Three Kings เปลี่ยนแปลงทิศทางการกำกับภาพด้วยการใช้สต็อคฟิล์มและกระบวนการแล็บที่น่าทึ่ง ในปี 2011 เขาได้ถ่ายทำผลงานฮอลลีวูดเรื่องแรกของวินดิ้ง เรฟเน Drive ซึ่งได้รับการยกย่องไปทั่วโลกจากลุคที่น่าตื่นตาตื่นใจของเรื่อง
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของซีเกลรวมถึง Confessions of a Dangerous Mind และ Leatherheads ที่เขาร่วมมือกับจอร์จ คลูนีย์, ภาพยนตร์โดยซิงเกอร์เรื่อง Jack the Giant Slayer, X-Men, X-Men 2, Superman Returns และ Valkyrie, ภาพยนตร์โดยเทอร์รี กิลเลียมส์เรื่อง The Brothers Grimm และผลงานการกำกับเรื่องแรกโดยอลัน บอล Towelhead นอกจากนี้ เขายังได้ถ่ายทำภาพยนตร์นัวร์มืดหม่นโดยบ็อบ ราเฟลสันเรื่อง Blood and Wine ซึ่งนำแสดงโดยแจ็ค นิโคลสัน, ภาพยนตร์โดยเกรกอรี ฮ็อบลิทเรื่อง Fallen ซึ่งนำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตัน, Leap Year ซึ่งนำแสดงโดยเอมี อดัมส์, ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต เรดฟอร์ดเรื่อง The Conspirator และ Frankie & Alice ซึ่งนำแสดงโดยฮัลลี เบอร์รี
นอกเหนือจากผลงานการกำกับภาพแล้ว เขายังได้กำกับซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Point of Origin และได้ร่วมกำกับภาพยนตร์เรื่อง The Big Empty ที่นำแสดงโดยเซลมา แบลร์ กับภรรยาของเขา เจ. ลิซา จาง
ซีเกลกลายเป็นสมาชิกของสมาคมผู้กำกับภาพอเมริกันในปี 2000
ดันเต้ เฟอร์เร็ตติ (Dante Ferretti)—ผู้ออกแบบงานสร้าง
ดันเต้ เฟอร์เร็ตติ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ออกแบบงานสร้างที่สื่ออารมณ์ได้ยอดเยี่ยมที่สุด ลบช่องว่างระหว่างภาพยนตร์ยุโรปและฮอลลีวูดได้อย่างไม่มีใครเหมือน เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยมในปี 2004 จากภาพยนตร์โดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง The Aviator และในปี 2008 สำหรับภาพยนตร์โดยทิม เบอร์ตันเรื่อง Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street และในปี 2012 ในตอนที่เขาร่วมมือกับสกอร์เซซีใน Hugo เฟอร์เร็ตติได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดอีกหกครั้ง และได้รับรางวัลหลายครั้งจากบาฟตา และสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์ โดยเขาได้รับรางวัลเกียรติยศจากทั้งสองสถาบันจากผลงานของเขาใน Hugo
ในอิตาลี บ้านเกิดของเขา เฟอร์เร็ตติได้ออกแบบภาพยนตร์ห้าเรื่องให้กับเฟ็ดเดอริโก เฟลลินี ซึ่งรวมถึง La voce dellaluna และ City of Women และภาพยนตร์อีกห้าเรื่องสำหรับปิแอร์ เปาโล พาโซลินี ซึ่งรวมถึง The Decameron และ Medea
ผลงานล่าสุดของเขารวมถึงภาพยนตร์ใหม่ของเคนเนธ บรานาห์เรื่อง Cinderella สำหรับวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการทำงานใน Silence ภาพยนตร์ใหม่ของสกอร์เซซี ซึ่งกำลังถ่ายทำในไต้หวัน
นอกเหนือจากผลงานภาพยนตร์แล้ว เฟอร์เร็ตติยังได้ออกแบบเวทีให้กับโรงละครโอเปราที่ใหญ่ที่สุดของโลกหลายแห่ง รวมถึงทีโทรอัลลา สกาลาในมิลาน, โอเปรา บาสติลล์ในปารีสและทีโทร โคลอนในบัวโนส ไอเรส รวมถึงโรงะครโอเปราในกรุงโรม ตูรินและฟลอเรนซ์ เขาได้ออกแบบเวทีให้กับละครโดยเวอร์ดี้เรื่อง La Traviata, Tosca โดยปุชชินีและ La Bohème และ ฯลฯ
พอล รูเบล, เอซีอี (Paul Rubell, ACE)—ลำดับภาพโดย
พอล รูเบล ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากภาพยนตร์ที่กำกับโดยไมเคิล แมนน์ ในปี 2000 รูเบลได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลร่วมกับวิลเลียม โกลเดนเบิร์กและเดวิด โรเซนบลูม สำหรับ The Insider และในปี 2005 ร่วมกับจิม มิลเลอร์ สำหรับ Collateral ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่ทั้งคู่ร่วมมือกันได้แก่ Public Enemies และ Miami Vice
เมื่อเร็วๆ นี้ รูเบลได้ลำดับภาพให้กับ Transformers: Age of Extinction, Need for Speed, Battleship และ Thor ในปี 2012 เขาได้ทำหน้าที่มือลำดับภาพเพิ่มเติมให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Avengers
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Hancock, Transformers, The Island, Peter Pan, The League of Extraordinary Gentlemen, S1m0ne, XXX, The Cell, Blade, The Island of Dr. Moreau, Ruby Cairo, The Stone Boy และ The Final Terror
เขามีผลงานจอแก้วหลายเรื่องและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดจาก Andersonville และ My Name Is Bill W. ซึ่งเรื่องหลังนี้ เขาได้รับการเสนอชื่อร่วมกับจอห์น ไรท์
แจ็คเกอลีน เวสต์ (Jacqueline West)—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
แจ็คเกอลีน เวสต์ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากผลงานของเธอในภาพยนตร์เรื่อง The Curious Case of Benjamin Button และ Quills สำหรับ Benjamin Button เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาและสมาพันธ์ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายอีกด้วย เวสต์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายอีกหนึ่งรางวัลจาก Argo
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์คลีย์ เวสต์ก็ได้ดำเนินตามรอยเท้าของแม่เธอ ซึ่งเป็นแฟชัน ดีไซเนอร์หัวก้าวหน้ายอดนิยมในยุค 40s และ 50s ระหว่างปี 1988-1997 เวสต์ได้บริหารบริษัทของตัวเองและออกแบบไลน์เสื้อผ้าที่โด่งดังระดับประเทศของตัวเอง หลังจากนั้น เธอก็ได้เป็นเจ้าของร้านค้าปลีกในย่านซานฟรานซิสโก เบย์ และห้างสรรพสินค้าสมัยใหม่ที่บาร์นีย์ ในนิวยอร์กและโตเกียว
การก้าวเข้าสู่แวดวงภาพยนตร์ครั้งแรกของเวสต์ ในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายศิลป์ในภาพยนตร์เรื่อง Henry & June เป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือกันอันยาวนานระหว่างเธอกับผู้กำกับรางวัล ฟิลิป คอฟแมน และนำไปสู่โปรเจ็กต์ในอนาคตกับผู้กำกับชื่อดังเช่น เทอร์เรนซ์ มาลิค, เดวิด ฟินเชอร์, อเลฮันโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตูและเบน เอฟเฟล็ค เธอได้ร่วมงานกับมาลิคในภาพยนตร์ห้าเรื่อง ได้แก่ The New World, The Tree of Life, To the Wonder, Knight of Cups ที่กำลังจะเข้าฉายและอีกหนึ่งเรื่องที่ยังไม่มีชื่อเรื่อง
ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Revenant สำหรับอินาร์ริตูและ The Gambler สำหรับผู้กำกับรูเพิร์ต ไวแอทท์ ซึ่งเปิดตัวในเดือนธันวาคม
เธอเป็นหนึ่งในบอร์ดที่ปรึกษาของสถาบันออกแบบและจำหน่ายแฟชันในลอสแองเจลิส เธอแบ่งเวลาอยู่ที่ลอสแองเจลิสและบ้านไร่ของเธอในเดดวู้ด รัฐเซาธ์ ดาโกต้า
มาร์โก เบลทรามี (Marco Beltrami)—ดนตรีโดย
หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยบราวน์ มาร์โก เบลทรามีก็ได้รับทุนให้ศึกษาที่มหาวิทยาลัยเยล ความสนใจในการประพันธ์ดนตรีนำเขาไปสู่เวนิส ประเทศอิตาลี เพื่อใช้เวลาในสตูดิโอเรียนรู้จากหลุยจี้ โนโน ปรมาจารย์ชาวอิตาเลียน ก่อนที่เขาจะไปลอสแองเจลิส เพื่อร่วมงานกับเจอร์รี โกลด์สมิธ ผู้ประพันธ์เพลงเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด
ไม่นานหลังจากมาถึงลอสแองเจลิส เบลทรามีก็ได้ทำงานในภาพยนตร์โดยเวส คราเวนเรื่อง Scream ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแฟรนไชส์สยองขวัญที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ในการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ เบลทรามีได้สลัดดนตรีสยองขวัญแบบเดิมๆ ทิ้งไปและเลือกใช้รากเหง้าดนตรีคอนเสิร์ตของเขาเพื่อสำรวจภูมิทัศน์ด้านเสียงใหม่ๆ
หลังจาก Scream เขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์โดยกุยเลอร์โม เดล โทโรเรื่อง Mimic ซึ่งนี่เป็นการร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างเขากับเดลโทโร ซึ่งตามมาด้วย Hellboy และ Don’t Be Afraid of the Dark หลังจากนั้น เขาก็มีผลงานหลากหลายตั้งแต่อีพิค ดรามาไปจนถึงคอเมดีตลกร้าย และเขาก็ได้ร่วมมือกับผู้กำกับที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในวงการหลายคน เช่นแคธริน บิเกโลว์, เจมส์ แมนโกลด์, โรเบิร์ต โรดริเกซ, ลุค เบซง, เดวิด เอส. โกเยอร์, เบอร์แทรนด์ ทาเวอร์เนียร์, อเล็กซ์ โปรยาส, โจนาธาน มอสโทว์, โรแลนด์ จอฟฟ์, เลน ไวส์แมน, โจดี้ ฟอสเตอร์, เดวิด อี. เคลลีย์และทอมมี ลี โจนส์
เบลทรามีได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสองครั้ง คือ 3:10 to Yuma ซึ่งนำแสดงโดยรัสเซล โครว์และคริสเตียน เบล และจากภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม The Hurt Locker ล่าสุด ดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง Soul Surfer ของเขาได้รับรางวัลแซทเทิลไลท์ อวอร์ดปี 2011 สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม
—seventh son—