MAGIC MIKE XXL- เต้นเปลื้องฝัน เข้าฉาย 9 ก.ค. นี้

“Magic Mike XXL” เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของแชนนิง ทาทัม, แม็ตต์ โบเมอร์, โจ แมงกาเนลโล, เควิน แนช, อดัม โรดริเกซ และกาเบรียล อิเกลเซียส จากหนังฮิตทั่วโลกเมื่อปี 2012 “Magic Mike” 

MMXXL_1sht_Mainเรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงสามปีให้หลังนับจากไมค์ถอนตัวจากวงการนักเต้นเปลื้องผ้าระหว่างที่เขาอยู่ในจุดสูงสุด “Magic Mike XXL” นำเราไปพบว่าเหล่าราชาแห่งแทมป้าที่เหลืออยู่ก็พร้อมอำลาวงการเช่นกัน แต่พวกเขาอยากสั่งลาในแบบของตัวเองด้วยสุดยอดการแสดงที่ชายหาดเมอร์เทิล โดยมีนักเต้นระดับตำนานอย่างเมจิก ไมค์มาร่วมทีมด้วย  

บนเส้นทางสู่โชว์ครั้งสุดท้ายพวกเขาได้หยุดแวะที่แจ็กสันวิลล์และซาวานนาห์เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่าและพบเพื่อนใหม่ ระหว่างทางไมค์และหนุ่มๆ ได้เรียนรู้ท่วงท่าใหม่ๆ และสะบัดอดีตให้หลุดออกไปได้อย่างน่าประหลาดใจ 

นักแสดงที่เข้ามารับบทบาทใหม่ร่วมกับทีมนักแสดงเก่า ได้แก่ แอมเบอร์ เฮิร์ด (“The Rum Diary”), โดนัลด์ โกลเวอร์ (“Community”), สตีเฟนทวิตช์บอส (“Step Up Revolution”) และไมเคิล สเตรแฮน (“Live with Kelly and Michael”) ร่วมด้วยแอนดี แม็คโดเวลล์ (“Footloose”), เอลิซาเบธ แบงค์ส (ภาพยนตร์ชุด “The Hunger Games”) และจาดา พิงเคตต์ สมิธ (“Gotham”)

“Magic Mike XXL” กำกับโดยผู้ชนะรางวัล Emmy Award เกรกอรี เจค็อบส์ (“Behind the Candelabra”) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างของ “Magic Mike” และภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง โดยร่วมงานกับสตีเวน โซเดอร์เบิร์กมายาวนาน ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยนิค เวชสเลอร์, เกรกอรี เจค็อบส์, แชนนิง ทาทัม และเรด แคโรลิน จากบทภาพยนตร์โดยแคโรลิน ส่วนสตีเวน โซเดอร์เบิร์กซึ่งเป็นผู้กำกับภาคแรกนั้นทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร ทีมงานสร้างหนังร่วมด้วยนักออกแบบงานสร้าง โฮเวิร์ด คัมมิงส์ และนักออกแบบเครื่องแต่งกาย คริสโตเฟอร์ ปีเตอร์สัน

ผลงานภาพยนตร์ของ Warner Bros. Pictures เรื่อง “Magic Mike XXL” จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment

www.magicmikemovie.net

ดาวน์โหลดข้อมูลทั่วไปสำหรับสื่อมวลชนได้ที่

https://mediapass.warnerbros.com/

ข้อมูลการสร้างภาพยนตร์

พร้อมดูอังกอร์กันแล้วหรือยัง

หนุ่มๆที่สร้างความตื่นตาให้ผู้ชมทั่วโลกในหนังสุดเร้าใจ “Magic Mike” กลับมาอีกครั้งคราวนี้พวกเขาเร่งอุณหภูมิความร้อนแรงและออกตระเวนสายไปตามท้องถนนด้วยเรื่องราวใหม่ที่เปิดเผยมุมมองใหม่ต่ออนาคตและการแสดงที่เร้าใจยิ่งขึ้นจากท่วงท่าการเต้นอันสุดฮ็อตและน่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่เคยปรากฏบนจอภาพยนตร์

สามปีหลังจากไมค์เลนหันหลังให้เวทีเปลื้องผ้าเพื่อใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งเขาก็ได้ตระหนักว่ากำลังหนีเสือปะจระเข้ธุรกิจที่เขาทำอยู่ไม่ตรงใจเสียทีเดียวและหญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าคือคนที่ใช่…ก็กลับไม่ใช่แต่มีบางอย่างมากกว่านั้นแชนนิงทาทัมซึ่งกลับมารับบทนำและอำนวยการสร้าง “Magic Mike XXL” อธิบายว่า “คุณรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากขาดหายไปเขาไม่ได้ ‘เปิดติด’ เหมือนอย่างเวลาที่เขาเต้น”

สำหรับไมค์แล้วสิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องเงินทองผู้หญิงงานปาร์ตี้หรือชื่อเสียงแต่เป็นสิ่งที่เขารักแล้วทีมเต้นที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังล่ะนั่นคือเพื่อนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี

ทาทัมบรรยายถึงเรื่องราวใหม่นี้ว่า “ภาคแรกเล่าถึงการที่เขาปฏิเสธชีวิตแบบนั้นเพราะกลัวว่ามันอาจรั้งเขาไว้จากการลองดูว่าเขาทำอะไรอย่างอื่นได้อีกบ้างแต่ตอนนี้เมื่อเขาก้าวออกมาแล้วและเวลาผ่านไประยะหนึ่งเขาก็กลับมานึกถึงสิ่งดีๆและความสนุกของงานนี้และที่สำคัญที่สุดคือเพื่อนๆที่เคยร่วมการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นกับเขาอะไรๆอาจไม่ได้สมบูรณ์แบบและคนเหล่านั้นก็เช่นกันแต่เขาก็รักเพื่อนพ้องและพวกเขาก็เคยมีช่วงเวลาดีๆร่วมกันไมค์ทำงานหนักมากนับจากฉากจบของหนังภาคแรกและเราก็กลับมาพบเขาในจุดที่เขาตระหนักว่าต้องการมนต์ขลังแบบเดิมๆกลับมาเขาต้องการบางส่วนของวิถีชีวิตที่เต็มที่แบบนั้นเพื่อปลุกเร้าตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง”

ได้เวลาที่จะออกไปข้างนอกและสนุกให้เต็มที่เพื่อทำสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดดังนั้นเมื่อเหล่าอดีตราชาแห่งแทมป้าแวะไปหาเขาระหว่างทางไปยังงานชุมนุมนักเต้นเปลื้องผ้าที่ชายหาดเมอร์เทิลงานซึ่งชวนตื่นเต้นเร้าใจไม่แพ้ชื่องานเมจิกไมค์ก็ไม่อาจห้ามใจได้เขาเข้าร่วมทีมด้วย

เกรกอรีเจค็อบส์ผู้กำกับ “Magic Mike XXL” สะท้อนความรู้สึกของคนดูหนังทั่วโลกด้วยการกล่าวว่า “ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้ผมชอบตัวละครกลุ่มนี้และความเป็นไปได้ที่จะติดตามเรื่องราวของพวกเขาก็กระตุ้นความสนใจผมมากรวมถึงในแง่ที่ไมค์กลับมารื้อฟื้นความผูกพันและมิตรภาพกับคนกลุ่มนี้ด้วยการที่เขาตระหนักว่าตัวเองคิดถึงเพื่อนๆและเพื่อนๆก็คิดถึงเขาเช่นกันผมคิดว่าคงดีมากถ้าทีมนี้ได้กลับมารวมตัวกันอีกและทำออกมาเป็นหนังโร้ดทริป”

แม้เป็นเรื่องแต่งทั้งหมดแต่องค์ประกอบและบรรยากาศบางส่วนในโลกของไมค์ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ของทาทัมเองในช่วงแรกๆที่เขาเป็นนักเต้นและทั้งหมดนั้นไม่สามารถบรรจุอยู่ในการเล่าเรื่องครั้งเดียวได้  “สิ่งหนึ่งที่แชนนิงพูดขึ้นมาตั้งแต่แรกคือเรื่องที่เขาเดินทางไปยังงานชุมนุมนักเต้นเปลื้องผ้าเมื่อสมัยก่อน” มือเขียนบทเรดแคโรลินกล่าวตัวเขารวมถึงนิคเวชสเลอร์, เจค็อบส์และทาทัมกลับมาเป็นผู้อำนวยการสร้างในหนังภาคต่อนี้ “เราพยายามใส่เรื่องนี้ลงไปในภาคแรกแต่มันเป็นฉากใหญ่ซึ่งเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งในตัวมันเอง”

นักแสดงที่มารับบทบาทรู้สึกยินดีเช่นเดียวกับตัวละครที่ได้นำโชว์นี้ออกตระเวนไป “ไม่เคยมีช่วงที่น่าเบื่อเลยครับ” โจแมงกาเนลโลกล่าวเขากลับมารับบทบิ๊กดิ๊กริชชี (บีดีอาร์) ร่วมกับแม็ตต์โบเมอร์ในบทหนุ่มหล่อเพอร์เฟ็กต์เคน, อดัมโรดริเกซในบทหนุ่มละตินสุดฮ็อตติโต, เควินแนชในบทหนุ่มดิบเถื่อนทาร์ซานและการ์เบรียลอิเกลเซียสในบทเอ็มซีผู้ใช้ชีวิตเสเพลโทไบแอส “ตอนที่เราได้รับเลือกให้มาเล่นภาคแรกไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเราจะเข้ากันได้ดีขนาดนี้แต่มันกลับใช้เวลาไม่นานเลยเหมือนโชคชะตาพาให้เรามาร่วมทีมกันทุกอย่างลงตัวพอดีเกร็กเป็นคนใจดีและผมคิดว่าอารมณ์นั้นได้ถ่ายทอดลงมาสู่บทด้วยซึ่งโดยหลักแล้วก็เป็นเรื่องของเพื่อนพ้องที่ช่วยดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวอีกฝ่ายออกมาและมีช่วงเวลาดีๆร่วมกัน”

ทีมผู้สร้างที่ร่วมงานกันมานานอย่างทาทัมและแคโรลินใช้เวลาอยู่กับแนวคิดบางส่วนมานานหลายปีก่อนสร้างหนังภาคแรกขึ้นมาด้วยซ้ำทั้งสองเห็นด้วยในประเด็นดังกล่าว “เกร็กตั้งใจมากแต่ก็เปิดรับความคิดเห็นของเราในฐานะผู้ร่วมสร้างสรรค์มาตั้งแต่แรก” ทาทัมกล่าว “เราใช้เวลาไม่รู้กี่ชั่วโมงทบทวนแนวคิดเหล่านี้และสร้างให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเขาเข้าใจดีว่าสิ่งที่จะทำให้เรื่องราวนี้ดำเนินไปได้ก็คือตัวละครหนุ่มๆที่เราสร้างขึ้นมาแต่ที่ผ่านมาเราได้รู้จักสิ่งที่พวกเขาเป็นแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น”

ด้วยเหตุนี้แม้ว่า “Magic Mike XXL” จะนำเสนอทีมเวิร์คที่เหนียวแน่นแต่ขณะเดียวกันก็ยังหยิบยกบุคลิกและความสามารถเฉพาะตัวมาถ่ายทอดให้เห็นมากยิ่งขึ้นทีมนักแสดงมีโอกาสได้แสดงในบทตลกด้วยเมื่อเรื่องราวนำตัวละครจากการกลับมารวมตัวกันในแทมป้าไปสู่การออกนอกเส้นทางที่ซาวานนาห์ซึ่งวุ่นวายน่าขำแต่ก็คุ้มค่าระหว่างเดินทางไปงานใหญ่

เจค็อบส์กล่าวว่า “มันเป็นการเดินทางของไมค์แต่ก็เป็นการเดินทางของทุกคนด้วย เราใช้เวลามากมายไปกับการปรับแต่งและเชื่อมโยงตัวละครแต่ละตัวลงไปในเรื่องราว เพราะเราทุกคนมองว่ามันสำคัญมากที่ตัวละครตัวอื่นๆ จะต้องมีพัฒนาการและต่างคนต่างมีช่วงเวลาของตัวเองที่จะได้เปล่งประกายออกมา”

“ทุกคนยึดตัวอักษร XXL เอาไว้ในใจ” โบเมอร์กล่าว เขาร้องเพลงในหนังเป็นครั้งแรกในเรื่องนี้ด้วย “เราใส่ทุกอย่างลงไปในการแสดงเพราะหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับบทสรุปของการเดินทางครั้งสุดท้ายที่คนเหล่านี้อยากแบ่งปันร่วมกัน พวกเขาอยากให้มันเป็นโชว์ที่สุดยอดเพื่อที่ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ พวกเขาก็จะพูดได้ว่า ‘เราปิดฉากได้อย่างงดงาม’”

ทีมงานยังได้เพิ่มพลังลงไปด้วยตัวละครใหม่ๆที่สร้างความท้าทายและนำพาเรื่องราวไปยังทิศทางที่ไม่คาดฝันด้วยแอมเบอร์เฮิร์ดเป็นโซอีช่างภาพผู้ดึงดูดความสนใจของไมค์แอนดีแม็คโดเวลล์เป็นแนนซีสาวแดนใต้ผู้เปิดเผยซึ่งอาจมีบางสิ่งที่บีดีอาร์เคยคิดว่าคงไม่มีทางหาเจอเอลิซาเบธแบงค์สเป็นปารีสคนที่พวกเขาจะต้องเกลี้ยกล่อมเพื่อให้ได้ที่แสดงในงานนี้และจาดาพิงเคตต์สมิธเป็นโรมหญิงสาวซึ่งมีอดีตเกี่ยวข้องกับไมค์

ตอนนี้โรมเป็นผู้จัดงานในสถานบันเทิงอันเย้ายวนใจไม่เหมือนใคร สถานที่ซึ่งนำพวกเขาไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและมอบสิ่งใหม่ๆ ให้การแสดงของพวกเขา พิงเคตต์ สมิธ ซึ่งไม่เคยไปคลับเปลื้องผ้ามาก่อน กล่าวว่า “ฉันได้เห็นว่ามันน่าตื่นเต้นเร้าใจแค่ไหนที่ได้อยู่พร้อมผู้หญิงคนอื่นๆ ในบรรยากาศตอนนั้น และเห็นว่าทุกคนสนุกสนานมากแค่ไหนกับการได้ชื่นชมหนุ่มหล่อและสำรวจสัญชาตญาณตามธรรมชาติในตัวเรา มันเป็นประสบการณ์ที่ช่วยเปิดหูเปิดตาได้มากเลยค่ะ”

“คลับของโรมแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากอะไรก็ตามที่พวกเขาเคยรู้จักพวกเขาออกจากที่นั่นมาโดยรู้ว่าทุกคนต่างมีบางสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ให้นำเสนอ” อดัมโรดริเกซเสริม

นักแสดงหลักของโรมได้แก่  โดนัลด์โกลเวอร์ในบทหนุ่มโรแมนติกเจ้าเสน่ห์อังเดรซึ่งมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงนักอเมริกันฟุตบอลแชมป์ซูเปอร์โบลว์ที่กลายมาเป็นคนบันเทิงไมเคิลสเตรแฮนในบทออกัสตัสซึ่งได้ผสานความแข็งแรงแบบนักกีฬาลงไปในการแสดงของเขาและนักเต้นผู้สร้างปรากฏการณ์สตีเฟน ‘ทวิตช์’ บอสในบทมาลิคซึ่งแสดงฝีมือในการเต้นเดี่ยวก่อนมาร่วมเต้นกับไมค์ในการแสดงหยุดโลกที่นำการเต้นขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง “เหตุการณ์เกิดขึ้นสามปีให้หลังดังนั้นคุณจะถอยหลังกลับไม่ได้” ทวิตช์กล่าวย้ำ “คุณย่ำอยู่กับที่ไม่ได้คุณต้องทำให้มากขึ้นอีกทำให้ดีขึ้นอีกและทุกคนในหนังเรื่องนี้ก็มุ่งมั่นที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมายนี้”

“ถึงจะเป็นภาคต่อ แต่ ‘Magic Mike XXL’ ก็เป็นหนังที่โดดเด่นในตัวมันเองในแง่การเดินทางแบบโร้ดทริปและการเต้นที่ผมเชื่อว่าคุณต้องประหลาดใจและสนุกกับมันไปในทุกๆ ช่วงทุกๆ ตอน” ผู้อำนวยการสร้าง เวชสเลอร์ กล่าว

เพราะรู้ดีว่าจะต้องก้าวไปอีกขั้นพร้อมกันนั้นก็ยังต้องคงสิ่งที่ผู้ชมชอบใน “Magic Mike” เอาไว้ด้วยทีมงานจึงต้อนรับการกลับมาของนักออกแบบท่าเต้นมือหนึ่งอลิสันฟอล์กและที่กลับมาเช่นกันก็คือนักออกแบบงานสร้างโฮเวิร์ดคัมมิงส์และนักออกแบบเครื่องแต่งกายคริสโตเฟอร์ปีเตอร์สันซึ่งพัฒนาและยกระดับฉากและเครื่องแต่งกายเพื่อให้สอดคล้องกับกรอบเวลาสามปีให้หลังโดยที่ยังคงไม่ลืมว่าหนุ่มๆเหล่านี้เป็นใครและมาจากไหน

สตีเวน โซเดอเบิร์ก ผู้กำกับภาคแรกและผู้อำนวยการสร้างบริหารของ “Magic Mike XXL” กลับมาทำหน้าที่ควบเป็นผู้กำกับภาพและผู้ตัดต่อ

ด้วยการเลือกเน้นความเป็นธรรมชาติและการใช้แสงจริง เจค็อบส์กล่าวว่า “เพราะมีโทนสีที่กำหนดไว้จากหนังภาคแรก ผมจึงไม่อยากให้มันแตกต่างไปจากเดิมมากนัก แต่ต้องการให้ภาคนี้มีความรู้สึกที่แตกต่างและผสมผสานกันได้ในแง่ภาพ เรื่องหนึ่งก็คือมีการเคลื่อนกล้องมากขึ้น ดังนั้นสไตล์ภาพจึงพัฒนาไปจากเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากงานชุมนุม”

ด้วยบรรยากาศของมิตรภาพในกองถ่ายนักแสดงที่ทำงานเสร็จในแต่ละวันจึงมักอยู่ต่อจนถึงดึกเพื่อคอยดูและให้กำลังใจระหว่างที่นักแสดงคนอื่นๆแสดงในโชว์ของตัวเองเวชสเลอร์กล่าวว่า “มันเหมือนการเข้าค่ายฤดูร้อนและได้กลับมาพบเพื่อนทุกคนใครๆก็อยากทำแบบนั้น” “พวกเขาตอบสนองกับเรื่องราวและเมื่อเริ่มต้นทำงานแล้วความผูกพันต่อกันก็ช่วยให้แน่ใจได้ว่าพวกเขาจะทุ่มเทเต็มที่เพื่อเป็นนักเต้นที่เก่งที่สุดความสนุกที่คุณเห็นในตัวนักแสดงบนจอเป็นของจริงพวกเขาสนุกด้วยกันจริงๆ”

เจค็อบส์เห็นด้วยว่าการนำเอาพลังที่เป็นธรรมชาติความผูกพันและความตื่นเต้นมาใส่ลงในจอภาพยนตร์นั้นทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็น “เหมือนห้องล็อคเกอร์ติดล้อนั่นล่ะครับ”

ต้อนรับการกลับมา   

การถ่ายทำเริ่มต้นในซาวานนาห์ จอร์เจีย โดยใช้สถานที่ทั้งภายในและโดยรอบซาวานนาห์และเกาะไทบีในรัฐจอร์เจีย รวมถึงหาดเมอร์เทิลในรัฐเซาท์แคโรไลนาตามตารางการถ่ายทำหลักซึ่งเต็มเหยียดตลอด 30   วัน แต่การเตรียมตัวเริ่มต้นขึ้นหลายเดือนก่อนหน้านั้นเมื่อทีมนักแสดงหลักต้องฝึกฝนเรื่องความอึด ความแข็งแกร่ง จังหวะ และท่าเต้น รวมทั้งฟิตหุ่นที่ดีอยู่แล้วให้เป๊ะยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาในชีวิตของพวกเขา

สิ่งสำคัญคือรูปแบบการเต้นต้องไม่เพียงโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เซ็กซี่ และหนักหน่วงจนลืมหายใจ แต่ต้องสอดคล้องไปกับเรื่องราวและตัวละครด้วย เจค็อบส์ยืนยันว่า “เราต้องการให้ท่าเต้นเชื่อมโยงกับตัวละครแต่ละตัวและสะท้อนพัฒนาการบางอย่างของตัวละครจนไปถึงจุดสูงสุดในตอนจบ ไม่ใช่แค่ความน่าตื่นตาตื่นใจที่ไม่สัมพันธ์กับอะไรเลย”

อลิสันฟอล์กและผู้ช่วยออกแบบท่าเต้นเทเรซาเอสปิโนซารับเอาแนวคิดต่างๆมาจากผู้กำกับทาทัมแคโรลินและทีมนักแสดงรวมถึงผู้ประสานงานฝ่ายดนตรีซีซันเคนต์เพื่อปรับแต่งให้ทุกๆช่วงทุกๆจังหวะเหมาะกับบทบาทและทักษะของนักแสดงแต่ละคน “พูดตามตรงแล้วแชนนิงมีแนวคิดที่น่าทึ่งมากที่สุดเขามีสัญชาตญาณที่ดีและท่าเต้นหลายส่วนก็มาจากเขา” ฟอล์กกล่าวเธอให้ตัวอย่างว่า “อดัมอาศัยความแข็งแกร่งแบบผู้ชายและเขาเป็นนักกีฬาดังนั้นเราจึงสร้างความท้าทายให้เขาด้วยการเต้นแบบฮิพฮอพและการเต้นคิพ-อัพซึ่งเป็นการยกทั้งตัวขึ้นมาจากพื้นซึ่งต้องอาศัยความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อท้องมากทีเดียวส่วนเควินก็มีจุดแข็งอยู่ที่ท่วงท่าการแสดงเราจึงเน้นส่วนนั้นรวมถึงท่อนขาของเขาด้วยเขามีกล้ามเนื้อเด่นชัดไปจนถึงส่วนต้นขาดังนั้นคริสนักออกแบบเครื่องแต่งกายของเราจึงให้เขาใส่ผ้าคลุมและกางเกงขาสั้นที่สั้นมากๆ”

ฟอล์กมักกำหนดแนวทางการเต้นไว้ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงแต่ก็ไม่เสมอไปเธอเล่าพร้อมกลั้วหัวเราะว่า “บางครั้งเรดจะเขียนคำบรรยายเอาไว้ว่าการเต้นแต่ละฉากมีอะไรบ้างอย่างเช่นฉากของโจในมินิมาร์ตก็จะเขียนเอาไว้ว่า ‘เขาเทน้ำราดบนตัวและฉีกเสื้อออก’ แต่ถ้าเป็นฉากเต้นโหดๆของแชนนิงก็จะมีแค่ว่า ‘แล้วก็ถึงฉากการเต้นที่บ้าคลั่งที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์’”

แคโรลินกล่าวเสริมว่า “เราทุกคนทบทวนแนวทางกว้างๆไปด้วยกันจากนั้นเมื่อเราไปถึงสตูดิโอฝึกเต้น 90 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่เราเห็นจะตรงเป๊ะกับที่เราจินตนาการเอาไว้ว่าอยากให้เป็นส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์คือความเป็นไปได้ที่จะทดลองสิ่งอื่นๆและส่วนนั้นอาจทำให้ผมต้องกลับไปปรับฉากใหม่เป็นกระบวนการที่ต้องร่วมงานกันหลายฝ่ายเพราะท่าเต้นเหล่านี้มีส่วนสำคัญมากในเรื่อง”

ทาทัมใช้ความเชี่ยวชาญของเขาในการทำงานร่วมกับฟอล์กและเจค็อบส์อย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างสรรค์การเต้นที่ทรงพลังไม่เพียงเฉพาะในส่วนของเขาเองแต่สำหรับทุกๆบทซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจน่าอึดอัดใจกว่านี้ถ้าหากตัวเขาและนักออกแบบท่าเต้นรายนี้ไม่ได้ทำงานร่วมกันมานาน “เราใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆในห้องเพื่อพยายามค้นหาท่าเต้นที่ใช่” เขากล่าว “เราพูดกันว่า ‘อย่าเอาเป้าคุณไว้ตรงนี้สิขยับไปตรงนั้นอีกหน่อย’ มันตลกมากเลยล่ะครับ”

ความทุ่มเทของพวกเขาปรากฏชัดเจนโดยตลอด เริ่มต้นตั้งแต่จังหวะแรกในการเต้นเปิดของทาทัม การเต้นเดี่ยวฟรีสไตล์ที่น่าตื่นเต้นของไมค์ในโรงรถที่เขาทำเฟอร์นิเจอร์เมื่อได้ยินเพลง “Pony” ของ Ginuwine ทางวิทยุ สำหรับเมจิก ไมค์ นี่เป็นเพลงประจำตัวของเขา และการได้ยินเพลงนี้ก็ยังคงทำให้ร่างกายเขาอดไม่ได้ที่จะขยับตาม เหมือนเขาเต้นตามลำพังเพียงเพื่อความพอใจของตัวเอง โดยนำเอาสว่านและเครื่องขัดที่เขาใช้ทำงานมาประกอบการเต้นอย่างลงตัวขณะไถลตัวไปตามโต๊ะงานช่างและหมุนเก้าอี้พร้อมกับมีดนตรีช่วยนำไป อาจกำลังย้ำเตือนกับตัวเองว่าการเต้นยังคงเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของเขา

เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย “การเต้นของแชนนิงยอดเยี่ยมอย่างเหลือเชื่อ” เจค็อบส์กล่าว “เราละสายตาไปไม่ได้เลยเมื่อเขาเริ่มขยับตัว ทุกอย่างอยู่ในการเต้นครั้งแรกเมื่อเขาได้ยินเสียงเพลง และเสียงเพรียกของการเดินทางครั้งนี้ก็แรงกล้าจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้”

หนุ่มๆ เริ่มต้นอย่างเป็นทางการด้วยการเดินทางไปยังค่ำคืนสำหรับสาวประเภทสองที่งานแมดแมรีในแจ็กสันวิลล์ซึ่งเป็นงานสมมุติ โดยมีนักแสดงสาวประเภทสองตัวจริง วิกกี ว็อกซ์ เล่นเป็นมิส โทรี สแนตช์ มันเป็นงานอิสระสุดป่วนที่พาทุกคนขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางกระแสคลื่นของการเต้น รวมถึงโทไบแอสซึ่งสวมรองเท้าส้นสูง แขนเสื้อจับจีบ และเครื่องประดับศีรษะที่เต็มไปด้วยผลไม้ที่คาร์เมน มิแรนดาต้องภูมิใจ “ข้อตกลงคือพวกเขาจะจ่ายเงินบางส่วนให้ผู้ชนะ โทไบแอสก็เลยได้แรงบันดาลใจขึ้นมา” นักแสดงตลกกาเบรียล อิเกลเซียสเป็นคนเซ็ตฉากนี้ “หลังจบภาคแรก ผมบอกทีมงานว่า ‘นี่ ถ้าอยากให้ผมทำอะไรในภาคนี้ก็บอกเลยนะ… ตราบใดที่ยังพอมีใบมะเดื่อหรืออะไรมาปิดบ้าง’ บางอย่างเราก็ต้องเก็บเป็นความลับกันบ้างครับ”

นักออกแบบงานสร้างโฮเวิร์ด คัมมิงส์ ใช้คลับเปลื้องผ้าที่มีอยู่แล้วซึ่งเจ้าของไม่ต้องการให้ปิดในช่วงเวลาที่มีลูกค้ามาก ดังนั้นทีมงานจึงเปลี่ยนสถานที่ให้เป็นอะไรก็ตามสำหรับงานแมดแมรีในช่วงวันซ้อมและวันถ่ายทำ จากนั้นก็ปล่อยพื้นที่ให้เป็นของลูกค้าในละแวกนั้นเมื่อถึงตอนค่ำ

เมื่องานรื่นเริงขยายออกไปยังปาร์ตี้ชายหาดซึ่งได้แสงจากไฟรถยนต์เป็นหลักไมค์ก็มีโอกาสได้พบกับตัวละครโซอีที่แอมเบอร์เฮิร์ดเล่นเป็นครั้งแรกโซอีหญิงสาวผู้มีเสน่ห์ดึงดูดและชื่นชอบการถ่ายภาพแคนดิดเป็นคนที่เขาอยากรู้จักให้มากขึ้นแต่ในเวลานั้นสิ่งที่เธอมอบให้เขามีเพียงรอยยิ้มและอะไรบางอย่างให้กลับไปคิด “สิ่งที่ฉันชอบในปฏิสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้คือพวกเขาไม่ได้ทำตามธรรมเนียมแบบ ‘หนุ่มเจอสาวหนุ่มไล่จีบสาว’” เฮิร์ดตั้งข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์แบบทิ้งอะไรให้เดาของทั้งสอง “มันไม่ใช่อะไรแบบนั้นเรารู้สึกได้ว่าพวกเขามีบางสิ่งที่อยากบอกกันและกันซึ่งยังเป็นไปไม่ได้ในการพบกันครั้งแรกแม้พวกเขาจะรู้สึกถูกดึงดูดเข้าหากันก็ตาม”

คืนนั้นยังได้เกิดเหตุปะทุจากความขัดแย้งที่เก็บเงียบไว้ระหว่างไมค์กับเคนซึ่งปกติเป็นคนง่ายๆสบายๆทำให้เควินแนชหยอดคำพูดว่า “ต้องเป็นเรื่องสาวสวยทุกทีสิน่า” บทพูดที่คิดขึ้นมาเองและใส่เข้ามาอย่างลงตัวท่ามกลางความชอบใจของเพื่อนนักแสดง “ผมยืนอยู่ข้างเขาไม่ได้เลยครับเพราะเขาจะคอยพูดแทรกด้วยอะไรก็ตามที่อยู่ในหัวเขาและทำให้ผมต้องหัวเราะออกมา” โบเมอร์ยอมรับ “ส่วนผสมระหว่างตัวละครทาร์ซานกับการทำหน้าตายของเควินรวมถึงร่างกายที่ใหญ่โตของเขาที่ทำให้เราต้องหลุดขำออกมาทุกที””

ทีมนักแสดงยกความดีให้ผู้กำกับเจค็อบส์ที่ช่วยสร้างบรรยากาศของการกระเซ้าเย้าแหย่กันรวมถึงการให้นักแสดงได้มีส่วนช่วยพัฒนาตัวละครที่นำเสนอไปแล้วในภาคแรกและเราจะได้รู้จักเพิ่มมากขึ้นในภาคนี้ “เมื่อมองย้อนกลับไปคุณจะเห็นการเติบโตของคนกลุ่มนี้” แนชกล่าว “ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ในจุดที่เราสบายใจมันก็เหมือนเราได้กลับเข้าค่ายและทุกคนก็อยากปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”

แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนไมค์ชี้ว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นยังไม่ได้ส่งผลต่อการโชว์ซึ่งถึงจะดีอยู่แล้วแต่ก็ยังมีท่าเต้นที่ผู้จัดการเก่าคิดเอาไว้ให้พวกเขาเมื่อหลายปีก่อนทำไมไม่สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆล่ะถ้าจะให้มันเป็นการแสดงที่สุดยอดทำไมไม่เปิดรับความเสี่ยงและความตื่นเต้นเร้าใจและทำให้มันเป็นไปตามใจของพวกเขาเอง

บิ๊กดิ๊กริชชีเป็นคนแรกที่กล้าเสี่ยงออกมาด้วยการเต้นซึ่งน่าจะเปลี่ยนมุมมองของผู้ชมต่อร้านมินิมาร์ตตามปั๊มน้ำมันไปเลยยังไม่นับรวมมันฝรั่งทอดและขวดน้ำ

ฟอล์กเน้นจุดแข็งหลายๆ ด้านของโจ แมงกาเนลโล ด้วยการใช้ฉากและอุปกรณ์ที่หลุดจากกรอบเดิมๆ เพื่อให้ได้อารมณ์ที่เป็นธรรมชาติและฉับพลันทันที “โจเป็นคนทุ่มเทสุดๆ” เธอกล่าว “ไม่ว่าจะทำอะไร เขาทำเต็มที่เสมอ เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว มีทั้งพละกำลัง ความแข็งแกร่ง และความแม่นยำ เขาถ่ายทอดท่วงท่าต่างๆ ออกมาได้อย่างสวยงาม เก่งเรื่องการสไลด์และการทำ body roll เขามาหาเราระหว่างการซ้อมและบอกว่าเขาฝึกท่า dolphin dive มาและอยากใช้ในการเต้นด้วย”

แมงกาเนลโลยังได้นำอารมณ์ขันมาสอดแทรกลงไปในฉากที่สนุกสนานนั้นด้วย

เจค็อบส์จัดฉากโดยให้เพื่อนๆ ของบีดีอาร์เต้นตามเขาอย่างกระตือรือร้นอยู่นอกกระจกร้าน ขณะที่เขาเต้นเดี่ยวให้คนดูซึ่งอาจจะเป็นพนักงานหลังเคาน์เตอร์ที่โชคดีที่สุด การตัดสินใจครั้งนี้ให้ผลดีกว่าที่ผู้กำกับคาดไว้ “ผมรู้ว่าอยากให้หนุ่มๆ อยู่ข้างนอกคอยเชียร์เขา แต่ไม่ทันได้คิดว่ามันสำคัญแค่ไหนที่เราจะได้ตัดภาพปฏิกริยาของพวกเขาขณะที่บีดีอาร์กำลังเต้น และมันจะดูมีชีวิตชีวาขนาดไหนในตอนนั้น พวกเขาสนุกกันมากจริงๆ ที่ได้เห็นเขาทำแบบนั้น” เขากล่าว

โดมินา: ค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ

ถ้าความเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่พวกเขาตามหา ไมค์ เคน บีดีอาร์ ติโต และทาร์ซาน ก็มาถูกทางแล้วเมื่อพวกเขามาหยุดแวะที่โดมินาโดยไม่ตั้งใจ ที่นั่นเป็นถิ่นเดิมของไมค์แม้ว่ามันจะแตกต่างจากที่เขาจำได้โดยสิ้นเชิง คลับส่วนตัวในแมนชั่นสไตล์วิกตอเรียนที่ผสมผสานรูปแบบกรีกคลาสสิกลงไป มีตัวอักษร “R” ปรากฏอย่างโดดเด่นแทนชื่อเจ้าของซึ่งก็คือโรม ภายในคืออีกโลกหนึ่งซึ่งน่าอัศจรรย์และเย้ายวนใจ เร้าอารมณ์และประณีตงดงาม

กลุ่มอาคารนี้ประกอบด้วยอาคารสองแห่งซึ่งดูเหมือนตั้งอยู่ข้างกันแต่ที่จริงแล้วอยู่ห่างกันแปดช่วงตึกในย่านสองย่านของซาวานนาห์ หลังหนึ่งเป็นบ้านซึ่งมีครอบครัวอาศัยอยู่และทีมงานได้ขอใช้งานในชั้นหนึ่ง ส่วนอีกหลังนั้นเป็นบ้านเปล่าที่กำลังประกาศขายซึ่งต้องอาศัยการตกแต่งและจัดภูมิทัศน์ใหม่ ร้านอาหาร Elizabeth on 37th ซึ่งอยู่ติดกับบ้านเปล่ายอมให้ทีมงานเจาะผ่านกำแพงเพื่อสร้างช่องโค้งอันน่าประทับใจซึ่งโรมใช้ส่งแขก การตกแต่งภายในมีความหรูหราและคัดสรรมาเป็นอย่างดีด้วยฝาผนังแต่งลาย ผ้าม่านงามวิจิตร ผ้าตกแต่งที่ระยิบระยับ และรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างรูปปั้นเสือดำที่ใช้ในการเต้นชุดหนึ่งด้วย ขณะที่ภายนอกมีการเล่นแสงเงาอันเย้ายวนใจใต้ร่มไม้

“นี่คือการตีความภาพของโลกที่โรมเชื่อว่าควรจะเป็น นั่นคือเป็นสนามแข่งที่เท่าเทียมกันระหว่างพลังของความเป็นหญิงและความเป็นชาย เป็นที่ซึ่งผู้หญิงและผู้ชายสามารถสำรวจและเพลิดเพลินไปกับพลังนั้นด้วยกัน” พิงเคตต์ สมิธกล่าว “เธอไม่ได้ขายเซ็กส์แต่เธอยกย่องความสวยงาม มันเป็นสถานที่ซึ่งผู้หญิงมีโอกาสได้เพลิดเพลินกับโลกจินตนาการตามที่ตัวเองเลือก แทนที่จะตามสิ่งที่ผู้คนบอกว่าควรจะเป็น เป็นการนำเอาสิ่งที่อยู่ในความมืดออกมาสู่แสงสว่าง ไม่มีใครต้องเจ็บปวด ไม่มีใครถูกเอาเปรียบ เรามารวมตัวกันในฐานะคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว อิ่มเอมกับพลังนี้ และมีช่วงเวลาดีๆ นั่นคือรากฐานความเข้าใจของฉันที่มีต่อตัวละครนี้และสิ่งที่เธอทำ”

ทัศนคติของโรมครอบคลุมแนวคิดหลักข้อหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ทาทัมอธิบายว่า “มันเป็นเรื่องของผู้ชายห้าคนซึ่งไม่ได้ทำอย่างที่ผู้ชายอีกมากมายทำอยู่ในโลกของการเต้นเปลื้องผ้าชาย แนวคิดของ ‘Magic Mike XXL’ คือการให้พวกเขาได้ค้นพบด้วยตนเองว่าอะไรที่ร้อนแรง สนุก และเซ็กซี่ ซึ่งส่วนสำคัญก็มาจากการถามผู้หญิงว่าพวกเธอต้องการอะไร แทนที่จะบอกพวกเธอว่าต้องเป็นคาวบอยใส่กางเกงเปิดก้น ความดีงามในคลับของโรมคือมันได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษ คุณสามารถเดินจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งในบ้านแบบทางใต้นี้โดยไม่รู้ว่าจะได้พบอะไรต่อไป”

แนวคิดนี้ยิ่งตรงจุดมากขึ้นเมื่อนึกถึงพัฒนาการของบท พิงเค็ตต์ สมิธ เล่าว่า “ตอนที่ฉันได้รับโทรศัพท์จากตัวแทน เขาบอกว่า ‘ฟังนะ มีบทใน “Magic Mike XXL” ที่เขียนให้ผู้ชายแต่เกร็กกับแชนนิงอยากคุยกับคุณเรื่องบทนี้’ ในบทร่างแรก โรมเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายที่น่าสนใจเลยล่ะค่ะ แต่ฉันชอบความเป็นไปได้ที่ฉันเห็นในตัวละครนี้และโอกาสที่จะได้ทำงานกับเรดและเกร็กเพื่อค้นหาว่าผู้หญิงที่เป็นเจ้าของคลับคนนี้เป็นใคร ฉันว่ามันน่าสนใจมาก”

“จาดาคือคำตอบ” เจค็อบส์กล่าว “เราสร้างตัวละครนั้นขึ้นมาแต่เธอทำให้มันพิเศษยิ่งขึ้นและเป็นเพราะเธอโรมจึงเป็นคนที่เข้มแข็งมีความเป็นผู้หญิงและฉลาดคุณจะเชื่อเรื่องราวภูมิหลังของเธอกับไมค์ได้เต็มที่เลยล่ะเธอเหมือนกระแสไฟฟ้าที่ชาร์จพลังเข้ามาในองก์ที่สองของเรื่อง”

โรมยังได้นำนักเต้นหลักของเธอมาร่วมปาร์ตี้นี้ด้วยอังเดรออกัสตัสและมาลิครับบทโดยโดนัลด์โกลเวอร์, ไมเคิลสเตรแฮนและสตีเฟน ‘ทวิตช์’ บอสตามลำดับ

ในการแสดงที่แตกต่างจากที่เห็นได้ตามคลับเปลื้องผ้าทั่วไปอังเดรในชุดแจ็กเก็ตที่เปิดให้เห็นแผงอกเปลือยเปล่าทำให้สาวๆหัวใจเต้นแรงด้วยการทักทายผ่านเพลงโรแมนติกที่พวกเธอรู้จักกันดีตามด้วยเพลงที่เขาแต่งขึ้นในตอนนั้นให้สาวผู้โชคดีที่โรมเลือกมาให้ได้รับการดูแลเป็นพิเศษโกลเวอร์กล่าวถึงตัวละครตัวนี้ว่า “เขามองตัวเองว่าเป็นผู้เยียวยาไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหาสาวๆที่จะไปมีอะไรกันแต่ผมคิดว่าเขามองตัวเองเป็นคนมอบบริการให้ผู้หญิงไม่ใช่เรื่องเซ็กส์แต่เป็นเรื่องของจินตนาการมากกว่า”

โกลเวอร์ได้รับคัดเลือกหลังจากทาทัมได้ฟังเขาร้องเพลงแร็พแบบฟรีสไตล์ทางสถานีวิทยุและนำเขามาเสนอกับคาร์เมน คิวบา ผู้คัดเลือกนักแสดงของ “Magic Mike XXL” เขาเขียนเพลงที่ตัวละครของเขาร้องโดยเป็นเพลงที่แต่งขึ้นสดๆ ให้ลูกค้าคลับผู้ขี้อายคนหนึ่ง

อังเดรได้ช่วยเป็นแรงผลักดันให้เคนซึ่งเก็บความอยากร้องเพลงของตัวเองไว้ โกลเวอร์กล่าวว่า “อังเดรช่วยให้เขาเห็นความเป็นไปได้ที่จะนำเอาเพลงใส่ลงไปในโชว์เพราะมันเป็นความสามารถที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของเขา มันสอดคล้องกับแนวคิดอีกข้อหนึ่งของหนัง ซึ่งก็คือการตระหนักว่าคุณทำอะไรได้ดีและคุณอยากนำอะไรเข้ามา”

การคัดเลือกสเตรแฮนก็เกิดขึ้นคล้ายกันย้อนกลับไปตอนที่ทาทัมไปโปรโมต “Magic Mike” ในรายการ “Live with Kelly and Michael” ทางช่อง ABC ซึ่งสเตรแฮนเป็นพิธีกรวันแรก  แคโรลินกล่าวว่า “พวกเขาคุยกันเรื่องการเปลื้องผ้าและไมเคิลพูดว่าเขาจะทำถ้ามีโอกาสแชนนิงบอกว่าถ้ามีหนังภาคสองเขาน่าจะมาเล่นด้วยและไมเคิลก็ตกลงสามปีต่อมาเขาก็ยังรักษาคำพูดนั้นเขามาเล่นจริงๆและกล้ามากด้วย”

“ผมไม่รู้ว่าจะได้พบกับอะไร” สเตรแฮนกล่าวถึงการเล่นหนังใหญ่ครั้งแรกของเขา “เวลาผมมองดูในกระจกผมไม่เห็นตัวเองด้วยซ้ำมีสาวฮ็อตอยู่ที่นั่นมากมายแต่หนุ่มๆขโมยความเด่นไปหมดเลยล่ะครับ”

เดิมทีฟอล์กตั้งใจคิดฉากนวดที่เย้ายวนและไม่แรงมากให้ออกัสตัสแต่ว่าหลังจากดูภาพไฮไลต์ Hall of Fame ของสเตรแฮนเธอก็ออกแบบการเต้นให้แสดงความเป็นนักกีฬาและใช้ร่างกายที่ฟิตเปรี๊ยะของเขาให้เต็มที่ “ไม่มีใครก้าวเข้ามาในหนังเรื่องนี้แบบครึ่งๆกลางๆ” เควินแนชยืนยันเขาเป็นอีกคนที่ประสบความสำเร็จหลังผันตัวจากวงการกีฬา “ไมเคิลดูเหมือนพร้อมเข้าค่ายฝึกเขามีรูปร่างดีและทุ่มเททุกอย่างลงไปเต็มที่มีฉากหนึ่งที่เขากระโจนข้ามโต๊ะและผมคิดว่า ‘ให้นายคนนี้เล่น NFL   ต่อก็ยังได้นะ’”

ทีมทำหนังรู้แต่แรกว่าจะมีบทให้ทวิตช์และเช่นเคยทาทัมมีส่วนในการนำเขามาร่วมทีมในฐานะผู้ที่ชื่นชอบเพลงฮิพฮอพและเทคนิค “popping and ticking” ของเขา  ทวิตช์เป็นแฟนหนังภาคแรกและรอคอยภาคต่อไปรวมถึงโอกาสที่อาจจะได้ร่วมแสดงด้วยเขากล่าวว่า “‘Magic Mike’ อยู่ในใจผมมาตลอดเมื่อทีมงานถามว่าผมสนใจหรือเปล่าผมจึงตอบว่า ‘แน่นอนครับ!’”  มันเป็นหนังตลกเกี่ยวกับนักเต้นชายที่เร้าใจแต่สิ่งที่คนดูจะได้เห็นนั้นเป็นศิลปะเราได้ผสมผสานความเป็นศิลปะเข้าไปในนั้นมีอะไรมากกว่าการถอดเสื้อเยอะการฝึกท่าเต้นช่วยปรับร่างกายใหม่ให้เคลื่อนไหวในรูปแบบที่แตกต่างออกไปและเป็นเรื่องยากมากๆผมเต้นมา 16 ปีแล้วและผมก็ยังต้องยกนิ้วให้นักแสดงทุกคนในหนังเรื่องนี้”

แม้เขาและทาทัมทำงานร่วมกับฟอล์กในฉากจบอันยิ่งใหญ่แต่การเต้นเดี่ยวของทวิตช์ที่โรมนั้นเป็นของเขาเองล้วนๆถ่ายทอดออกมาด้วยความทุ่มเทและการสร้างสรรค์ที่ตั้งใจจะทำให้ไมค์กลัวทาทัมกล่าวว่า “การดูมาลิคเต้นทำให้ไมค์ได้ตระหนักว่าไม่ว่าเขาจะคิดว่าตัวเองเก่งแค่ไหนในสมัยก่อนถ้านี่คือการแข่งขันเขาก็ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งเมื่อโรมเรียกเขาออกไปในห้องที่เต็มไปด้วยผู้หญิงที่จะคอยตัดสินว่าคุณเต้นเป็นจริงหรือเปล่าเขาพบว่าตัวเองตกอยู่ในภาวะล่อแหลมน่าหวั่นเกรงเขาต้องกระโดดและฝ่ากองไฟไปหรือไม่ก็ถอยหลังกลับไปหลบอยู่ในมุมมืดไปเลย”

แน่นอนว่าไมค์เลือกเข้าหาไฟ

โรดริเกซตั้งข้อสังเกตว่า “ครั้งสุดท้ายที่คุณจะทำสิ่งหนึ่งกลับกลายเป็นครั้งแรกที่คุณได้เริ่มต้นเดินออกไปอีกทาง และเรื่องราวการเดินทางครั้งนี้ก็มุ่งหน้าไปแบบนั้น”

เช่นเดียวกันสำหรับอดีตราชาแห่งแทมป้าแต่ละราย เจค็อบส์กล่าวว่า “คลับของโรมและการแสดงที่พวกเขาได้เห็นที่นั่นช่วยสร้างแรงบันดาลใจและทำให้พวกเขาตระหนักว่าอะไรที่เป็นไปได้ และพวกเขาต้องใส่อะไรลงไปในการเต้นของตัวเองและในงานชุมนุม”

ระวังไว้ในสิ่งที่คุณขอ

การออกนอกเส้นทางที่ไม่ได้วางแผนไว้แต่สร้างแรงบันดาลใจไม่แพ้กันนั้นอยู่ที่บ้านไร่หน้าตาธรรมดาของผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย แนนซี ซึ่งรับบทพร้อมด้วยเสน่ห์แบบแดนใต้ขนานแท้โดย แอนดี แม็คโดเวลล์ นักแสดงที่เกิดในเซาท์แคโรไลนาและแจ้งเกิดจากบทในภาพยนตร์ที่กลายเป็นผลงานคลาสสิกของสตีเวน โซเดอร์เบิร์ก เรื่อง “sex, lies and videotape”  เจค็อบส์กล่าวว่า “เธอเป็นคนแรกที่ผมนึกถึงเมื่อตัวละครนี้ถูกเขียนขึ้นมา”

แนนซีซึ่งเพิ่งหย่าร้างมาไม่นาน หว่านเสน่ห์อย่างไม่อายใคร และออกจะขี้เหล้าเล็กน้อย กำลังฉลองอิสระที่เพิ่งได้รับกับเพื่อนสาวกลุ่มหนึ่ง และพวกเธอก็ดีใจเป็นที่สุดเมื่อหนุ่มหล่อห้าคนในชุดกางเกงขาสั้นและเสื้อกล้ามเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่ติดวอลล์เปเปอร์ลายดอกไม้เหมือนนักสู้เดินเข้ามายังสนามประลอง แม็คโดเวลล์กล่าวว่า “มันเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากที่ฉันเคยพบมาตลอดอาชีพนักแสดงค่ะ เต็มไปด้วยพลังของชายหนุ่มที่เปี่ยมความสามารถ ยิ่งใหญ่ และบ้าคลั่ง”

เมื่อจำเป็นต้องแนะนำตัวให้สาวๆ เหล่านี้รู้จัก หนุ่มๆ ก็ขุดลึกลงไปอย่างน่าประหลาดใจ เปิดเผยข้อมูลที่แม้แต่พวกเขาด้วยกันเองยังไม่รู้ และสุดท้ายก็กลายเป็นหนทางไปสู่บุคลิกบนเวทีอย่างที่พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ในตอนนั้น ไมค์ได้โอกาสเชื่อมสัมพันธ์กับโซอีโดยบังเอิญอีกครั้ง แต่ผู้ชนะที่แท้จริงของค่ำคืนนั้นน่าจะเป็นบีดีอาร์

แมงกาเนลโลกล่าวถึงการรับบทเป็นหนุ่มลึกลับว่า “ตัวละครของผมมีอุปสรรคอยู่บ้างในเรื่องโรแมนติกซึ่งกลายเป็นจุดที่เขากังวล พูดได้ว่าต้องหาผู้หญิงให้ถูกประเภทจึงจะจัดการกับคนอย่างบิ๊กดิ๊กริชชีได้ครับ”

“และแนนซีก็พูดว่า ‘เข้ามาเลย’” แม็คโดเวลล์กล่าวตอบอย่างกระตือรือร้น “เธอพร้อมจะมีช่วงเวลาดีๆและเธออาจได้พบผู้ชายที่ใช่ในที่สุด”

ปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่

ทุกสิ่งมาถึงจุดไคลแม็กซ์ที่งานชุมนุมนักเต้นเปลื้องผ้า

ในสถานที่ซึ่งถนนหลายสายจะมาบรรจบกัน ไมค์และโซอีกลับมาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์ที่อาจเป็น “โชคดีครั้งที่สาม” และไมค์ก็ได้พบเพื่อนเก่าที่กลายมาเป็นพิธีกรสุดมั่นของโชว์นี้ ปารีส รับบทโดยเอลิซาเบ็ธ แบงค์ส  ผู้เฝ้าประตูของงานนี้ซึ่งสงสัยว่าไมค์ยังคงมีความมหัศจรรย์อยู่ในตัวจริงหรือไม่ ปารีสยังได้พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเธอยังคงทำให้เขาประหลาดใจได้เมื่อไมค์ค้นพบว่าพวกเขาอาจไม่ได้เป็นผู้ร่วมงานกลุ่มเดียวที่มีอดีตน่าสนใจ

แต่สิ่งที่งานนี้นำเสนอคือโอกาสที่จะให้สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มนักเต้นที่มีความสามารถนี้ได้ฉายแสงในการเต้นเดี่ยวอันเร้าใจหลากหลายรูปแบบ ก่อนจะนำไปสู่การเต้นอันน่าตื่นตาที่ทุกคนรอคอย ซึ่งก็คือการเต้นของแชนนิง ทาทัมและทวิตช์ ที่จะมาปะทะกันด้วยพลังอันร้อนแรงในการเต้นคู่ โดยอยู่คนละฝั่งของกรอบรูปขนาดยักษ์ที่แบ่งเวทีหลักออกเป็นสองส่วน

นักออกแบบเครื่องแต่งกาย คริสโตเฟอร์ ปีเตอร์สัน กล่าวว่า “เราต้องการภาพแบบกราฟฟิกเพื่อที่ว่าเวลาคุณเห็นการเคลื่อนไหวที่สะท้อนตามกันมันจะได้ชัดเจนมากๆ เราก็เลยใช้สีดำ ขาว และเงิน Nike ทำรองเท้าให้เราซึ่งทำจากวัสดุสะท้อนแสง Scotchlite ของ 3M ซึ่งปกติใช้กับป้ายจราจร เราตกแต่งกางเกงยีนส์ของพวกเขาด้วยแถบวัสดุแบบเดียวกันเพราะฉะนั้นเวลาแสงไฟส่องมา มันก็จะสะท้อนแสง และเวลาที่พวกเขาขยับขา คุณก็จะเห็นการเคลื่อนไหวนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะว่าแถบนั้นแสดงให้เห็นแนวขา แต่เพราะแสงจะสะท้อนกลับมาที่กล้องด้วย”

รูปแบบการเต้นนั้นเป็นความคิดของทาทัม โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาและทวิตช์มีร่างกายที่เข้ากันได้พอดีและการเต้นนี้ก็น่าจะช่วยสร้างสิ่งที่แตกต่างออกไปมาก สำหรับตัวละครไมค์และมาลิค มันเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างการเต้นร่วมกันและการแข่งขันกัน

“มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนการเต้นโดยเป็นเงาสะท้อนของคนอีกคนหนึ่งยิ่งเป็นการเต้นกับแชนนิงทาทัมด้วยแล้วซึ่งแค่เรื่องนั้นก็น่าตื่นเต้นแล้วล่ะ” ทวิตช์กล่าว “เวลาที่คู่เต้นของคุณเคลื่อนตัวไปทางขวาคุณจะต้องไปทางซ้ายและต้องเต้นด้วยความเร็วที่ตรงกันและมีรายละเอียดที่เหมือนกันด้วย” นักเต้นรายนี้ยอมรับว่ามันเป็นแนวทางใหม่ด้วยในแง่ที่ว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเต้นโดยมีเครื่องแต่งกายน้อยชิ้นมากเพราะฉะนั้นผมไม่ได้กังวลแค่เรื่องการเต้นให้ถูกสเต็พและถูกจังหวะรวมถึงมุมที่เหมาะกับกล้องแต่ผมรู้ว่าเมื่อถึงตอนจบผมจะต้องยืนโชว์ก้นอยู่ความร่วมมือร่วมใจเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยได้ครับผมมองซ้ายมองขวาแล้วก็ยังเห็นว่ามีเพื่อนๆที่ยืนอยู่เหมือนกัน”

อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าคนจะต้องชอบ “ผมคิดว่าเราเก็บค่าเข้าชมจากคนที่มาดูแชนนิงกับทวิตช์ซ้อมก็ยังได้” เจค็อบส์กล่าวเขาจัดฉากการเต้นครั้งนี้ในห้องที่เต็มไปด้วยนักแสดงตัวประกอบที่กระตือรือร้น “ทั้งคู่เป็นนักเต้นที่เก่งมากการเต้นครั้งนั้นน่าทึ่งและผลตอบรับก็ถล่มทลายเมื่อการเต้นจบลงและกางเกงถูกถอดออกและพวกเขายืนอยู่โดยใส่แต่กางเกงในนั่นเป็นเสียงฮือฮาดังที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาเลย”

ตัวละครทุกตัวมาถึงสถานที่แห่งนั้นด้วยความมั่นใจและความเร่าร้อนที่เพิ่งค้นพบเพราะพวกเขากำลังทำสิ่งนี้ตามแบบฉบับของพวกเขาเองการเต้นแบบเก่าได้จากไปแล้วในหลายๆแง่และนักเต้นแต่ละคนก็ได้ขึ้นเวทีด้วยการแสดงของตัวเองที่ผสมผสานสไตล์การเต้นประสบการณ์และจินตนาการแล้วนำออกเสิร์ฟด้วยความร้อนแรง

แม้กระทั่งเสื้อผ้าของพวกเขาก็สะท้อนถึงตัวตนที่เพิ่งค้นพบใหม่ด้วยแม้ปีเตอร์สันจะกล่าวว่า “หนุ่มๆกลุ่มนี้หน้าตาดีมากๆผมจับพวกเขาใส่ถุงขยะผูกเข็มขัดก็ยังดูดีเลย” ชุดนักเต้นเปลื้องผ้าตามมาตรฐานถูกโละทิ้งและแทนที่ด้วยเครื่องแต่งกายซึ่งกลุ่มนักเต้นหากันมาเองระหว่างคิดค้นท่าเต้นตัวอย่างเช่นทาร์ซานผู้มีความเป็นศิลปินใช้ผ้าปูโต๊ะจากโรงแรมมาทำเป็นผ้าคลุมสวยงามสำหรับความเป็นแฟนตาซีที่ปีเตอร์สันเรียกว่า “สไตล์แบบเอลิซาเบ็ธผ่านเสื้อผ้าของ International Male” เจ้าของกิจการไอติมโยเกิร์ตหน้าใหม่ติโตเปิดตัวท่าเต้นแฝงรสชาติในชุดคนขายไอศกรีมและบีดีอาร์ผู้โรแมนติกเปิดตัวอย่างสง่างามด้วยชุดทักซีโดเจ้าบ่าวที่ฉีกออกเพื่อเผยความดิบเถื่อนอีกด้านหนึ่งเมื่อล่วงเข้าสู่คืนวันแต่งงานพร้อมด้วยเพลงที่ปลุกเร้าอย่าง “Closer” ของ Nine Inch Nails

งานชุมนุมนี้ยังเป็นที่ซึ่งเคนได้ประกาศความเป็นนักร้องด้วยการถ่ายทอดบทเพลง “Untitled (How Does it Feel)” ของ D’Angelo อย่างเปี่ยมอารมณ์ซึ่งก็เป็นการร้องเพลงในหนังครั้งแรกของแม็ตต์โบเมอร์ด้วย “มันเหมือนฝันที่กลายเป็นจริงเลยครับ” เขากล่าวก่อนจะบรรยายถึงที่มาของแนวคิดนี้ “ระหว่างถ่ายทำหนังภาคแรกเราออกไปข้างนอกและสนุกสนานกับนักแสดงตัวประกอบวันหนึ่งแชนนิงส่งไมโครโฟนให้ผมแล้วถามว่า ‘คุณทำอะไรได้บ้าง’ แล้วโจซึ่งรู้จักผมตั้งแต่อายุ 18 ก็พูดว่า ‘ร้องเพลงสักเพลงสิ’ ผมก็เลยร้องแชนนิงจำเรื่องนั้นได้และเมื่อเราเริ่มทำภาคต่อเขาก็คิดว่าผมควรจะร้องเพลงมันเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงเลยครับผมต้องขอบคุณมากที่เกร็กให้ทุกคนได้นำความสามารถบางอย่างของตัวเองมาใส่ลงไปในหนังเรื่องนี้”

“มันน่าทึ่งมากครับที่ได้ดูหนุ่มๆเหล่านี้แสดงเราทุกคนคอยเอาใจช่วยพวกเขา” เจค็อบส์กล่าวเขาถ่ายทำฟุตเทจส่วนสุดท้ายนี้โดยใช้เวลาราวสี่วันและยอมรับว่า “ผมชอบถ่ายทำฉากเต้นพวกนั้นเราไม่จำเป็นต้องตัดต่อมากเพราะมันออกมาดีอยู่แล้วส่วนใหญ่แล้วเป็นการพยายามถ่ายให้ครอบคลุมพื้นที่และไม่เข้าไปขัดจังหวะเท่านั้นเอง”

แม้ว่าประสบการณ์เดิมของทาทัมในงานชุมนุมนักเต้นเปลื้องผ้าจะเป็นเหมือนการเต้นมาราธอนทั้งวันทั้งคืนในคลับเปลื้องผ้าขนาดใหญ่แต่ผู้กำกับกลับเปิดทางเลือกให้กว้างขึ้นด้วยการเลือกศูนย์ประชุมในซาวานนาห์เพื่อค้นหาแนวทางที่เน้นบรรยากาศโดยมีคนดูล้อมรอบเวทีให้เข้ากับแนวคิดที่ว่าทุกคนต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันนักออกแบบงานสร้างคัมมิงส์ได้สร้างเวทีหลายเวทีขึ้นมารอบเวทีหลักโดยเอ็มซีจะคอยนำจุดสนใจเพื่อเปลี่ยนจากเวทีหนึ่งไปยังอีกเวทีหนึ่ง

สถานที่แห่งนี้มีความจุที่นั่งเพียงพอสำหรับตัวประกอบราว 900 คนซึ่งนักแสดงและทีมงานเห็นตรงกันว่า “ช่วยเพิ่มพลังได้ดีมากๆ พวกเธอทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นร็อคสตาร์” โรดริเกซกล่าว

“มันเป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นเร้าใจหูดับตับไหม้และทำให้ผมขนลุกเลยล่ะครับ” แมงกาเนลโลกล่าว “ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนน่าทึ่งมากที่ได้เห็นสาวๆคอยเชียร์การเต้นทุกๆช่วงผมต้องยกความดีให้นักออกแบบท่าเต้นที่คิดท่าออกมาได้ดีมากจนคนดูอดไม่ได้ที่จะมีปฏิกริยาตอบกลับมาที่สำคัญก็ต้องขอบคุณเกร็กที่นำเอาทุกสิ่งมารวมเข้าด้วยกันอย่างมีพลังจนกระทั่งคุณรู้สึกเหมือนอยู่ในโชว์คอนเสิร์ต”

ความจริงใจการช่วยเหลือซึ่งกันและกันและความสนุกสนานร่วมกันในหมู่นักแสดงปรากฏชัดในตัวหนังเวลาหลายชั่วโมงที่พวกเขารวมตัวกันเพื่อทำงานฝึกฝนฝึกซ้อมและสังสรรค์ด้วยกันสะท้อนถึงมิตรภาพความผูกพันที่ปรากฏใน “Magic Mike XXL” ได้อย่างชัดเจน

สำหรับทาทัมแล้วแกนหลักของหนังคือ “เรื่องของผู้ชายที่ทำอะไรแบบผู้ชายและพยายามค้นหาว่าผู้หญิงต้องการอะไรครั้งนี้คุณจะได้เข้าใกล้พวกเขามากขึ้นและเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงอยู่พวกเขาออกจะบ้าบออยู่บ้างแต่พวกเขาก็แค่พยายามใช้ชีวิตและสนุกกับมันมีหลายส่วนที่ตลกและไร้สาระแต่หลายครั้งมิตรภาพก็เป็นอย่างนี้ล่ะ

“พวกเขาออกโชว์ในคืนสุดท้ายและคุณรู้ว่ามันจะจบลงโดยทุกคนใส่กางเกงในอยู่บนเวที” เขากล่าวต่อ “คนเหล่านี้เดินอยู่ที่ริมขอบและรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น แต่ทุกคนต่างก็รักกันและจะไม่มีใครยอมปล่อยให้คนอื่นต้องตกลงไป สุดท้ายคุณก็รักพวกเขาที่เป็นแบบนั้น”

“ผมหวังว่าผู้ชมจะรู้สึกเหมือนได้ออกเดินทางไปกับหนุ่มๆ กลุ่มนี้ มันเป็นการเดินทางที่สนุก ตลก และสุดขีดกับกลุ่มเพื่อนดีๆ” เจค็อบส์สรุป “เหนือสิ่งอื่นใดผมหวังว่าผู้ชมจะพบว่าการดูหนังเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่เพลิดเพลินเช่นเดียวกับที่เรารู้สึกตอนทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา”