Darin (ดาริน) นักร้อง/นักแต่งเพลงวัย 28 ปี
ผู้คว้าตำแหน่งรองอับดับหนึ่งจากรายการ ‘Idol’ ที่ประเทศสวีเดนบ้านเกิด
ทำให้เขาโด่งดังภายในชั่วข้ามคืน
การันตีด้วยยอดขายระดับแพลตทินั่มของซิงเกิ้ล ‘Nobody Knows’
และติดอันดับ 1 บนชาร์ต iTunes ของสวีเดนตั้งแต่วันแรกที่ปล่อยซิงเกิ้ล
ล่าสุด Darin กำลังจะมาโปรโมทผลงานใหม่ที่กรุงเทพ
ช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้
MV ‘Nobody Knows’
DARIN – Biography
Darin ชายหนุ่มผู้ที่ไร้ประสบการณ์แต่มีเสียงที่วิเศษมากๆ ได้เข้าประกวดรายการ “Idol” ของสวีเดน เขาได้กลายเป็นจุดสนใจภายในชั่วข้ามคืน และได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ในรอบสุดท้าย
เขากล่าวว่า “การที่ผมได้ที่สองนั้นถือเป็นข้อดี อย่างเช่น ผมได้มีเพลงของผมเองถึงสองเพลงในอัลบั้มเปิดตัว ซึ่งสิ่งนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นหากผมได้ชนะเลิศที่ 1 เพราะว่าอัลบั้มของผมคงถูกผลิตอย่างเร่งรีบ”
Darin ได้เริ่มแต่งเพลงมาตั้งแต่อายุ 14 ปี พออายุได้ 17 ปี เขาได้ปล่อย “The Anthem” ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของเขาในปี 2005 ประกอบไปด้วยเพลงฮิตๆ เช่น “Money for Nothing” และ “Why Does It Rain”
เขาได้เล่าว่า “ในอัลบั้มแรกจะประกอบไปด้วยแนวเพลงป็อปยุค 90 ซึ่งถือว่าก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับช่วงนั้นและยังได้แสดงแนวเพลงที่ผมได้ฟังมาตลอด อีกทั้งยังแสดงตัวตนของผมนั่นก็คือ อารมณ์สดใสและความรู้สึกของเพลงแนวป็อป”
หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เมื่อตอนที่เขาอายุได้ 18 ปีก็ได้ปล่อยอัลบั้มต่อมาที่มีชื่อว่า “Darin” เขาได้เล่าว่า “อัลบั้มนี้ได้บรรยายภาพพจน์ของผมให้ดูเป็น “Cool Darin” เพราะว่าแนวเพลงจะออกเป็น R&B เช่น “Step Up” และ “Who’s That Girl” บางส่วนของอัลบั้มนี้ได้นำเสนอสิ่งใหม่ๆ เช่น เสียงและภาพพจน์ที่มีความเป็นสากลมากขึ้นโดยที่ผมจะใส่เสื้อแจ๊คเก็ตลายทหาร เป็นต้น
“Break the News” อัลบั้มที่สามที่ถูกปล่อยออกในปี 2006 จะออกแนวร็อคและอิเล็คโทรนิค เขาจึงต้องปรับเปลี่ยนภาพพจน์อีกครั้ง เขาเล่าว่า “ถึงผมจะยังเด็กในตอนนั้นแต่ก็ได้คิดแนวการแต่งตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น สูท เสื้อเชิ้ต และทรงผม”
อัลบั้มนี้ถูกติดตามเป็นระยะเวลาที่ยาวนานไปทั่วยุโรป เมื่อเขากลับมาสวีเดน แน่นอนว่าขาไม่ใช่แค่วัยรุ่นอีกต่อไป อัลบั้มนี้ได้นำชื่อเสียงมาให้อัลบั้ม “Flashback” (2008) ที่มีเพลงอย่าง “Breathing Your Love” และ “Runaway” ซึ่งโด่งดังและมีโปรดักชันที่ก้าวหน้าซึ่งเกือบจะนำหน้าในยุคนั้น เขากล่าวว่า “ผมเจาะกลุ่มคนที่มีวัยเดียวกับผม เพลงของผมจึงถูกเปิดในผับหลายๆที่”
“Lovekiller” (2010) เป็นอัลบั้มที่ห้าและยังนำชื่อชื่อเพลงมาเป็นชื่ออัลบั้มอีกด้วย ในอัลบั้มนี้จะออกแนว Arena Rock เช่น “You’re out of My Life” (ชนะเลิศรองอันดับสามในการประกวด Eurovision Song Concert) “Viva la Vida” คัฟเวอร์จาก Coldplay และ “Can’t Stop Love” ที่ถูกเขียนเพื่อใช้ในงานแต่งงานระหว่างเจ้าชาย Daniel และ เจ้าหญิง Victoria แห่งสวีเดน
ในปี 2011 เขาได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เขาได้เล่าว่า “ผมรู้สึกว่าอยากจะโตเป็นผู้ใหญ่ให้มากขึ้นและอยากเรียนรู้เกี่ยวกับตัวผมเอง และผมก็ได้ทำทุกอย่างตั้งแต่การไต่เขาในป่าไปจนถึงการได้รับใบประกาศนียบัตรการดำน้ำในประเทศบราซิล คุณจะโตขึ้นมากๆจากการได้ทำสิ่งต่างๆ ซึ่งในทางกลับกันก็ช่วยพัฒนาด้านดนตรีด้วย”
ในปี 2012 การที่เขาได้ปรากฏตัวในรายการ “Så mycket bättre”(So Much Better) ที่โด่งดังมากๆในประเทศสวีเดน ทำให้ผู้ชมชาวสวีเดนได้เห็นการปฏิบัติตัวและความคิดของเขาอย่างใกล้ชิด เขายังได้ติดต่อกับกลุ่มคนที่มีอายุซึ่งปกติฟังเพลงประเภทอื่นๆอีกด้วย เขากล่าวว่า “ผมคิดว่าการที่ผู้คนไม่ได้เป็นแฟนเพลงของผมได้รับรู้ว่าจริงๆแล้วนั้นดนตรีมีความหมายกับผมยังไง”
อัลบั้ม “Exit” ที่ส่วนใหญ่จะเขียนขึ้นในอเมริกาโดยแนวเพลงจะเป็น R&B ป๊อป และ แดนซ์ โดยเพลง “Nobody Knows” จะถูกปล่อยเป็นซิงเกิ้ลแรก