คอลัมน์ คุยกับดาว
เรื่อง – อนันต์ ธัญญ์รัตน์ / ภาพ – จิรา จันทรวงศ์
ในช่วงชีวิตที่เดินผ่านวัยรุ่นก้าวสู่วัยทำงานมาได้พักใหญ่ ผมเคยเดินทางไปยังบ้านพักของศิลปินดาราต่างๆ มาแล้วประปราย แม้จำนวนสถานที่ที่ผมเคยไปเยือนไม่อาจเทียบเท่าสถานที่ที่พิธีกรบางรายการได้สัมผัส แต่ก็ยังไม่มีบ้านพักของศิลปินดาราหลังไหนที่จะทำให้ผมแปลกใจได้มากถึงเพียงนี้ วินาทีแรกที่ผมย่างก้าวเข้าสู่รั้วบ้าน ผมพบเห็นเหล่าชายหนุ่มรูปร่างกำยำเดินไปมา อีกทั้งผมยังสามารถพบเห็นสิ่งมีชีวิตนานาชนิดได้อีกด้วย
“สวัสดีค่ะ” , “สวัสดีค่า” เสียงใสและเสียงทุ้มที่ผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัวดังมาแต่ไกล เจ้าของเสียงนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นเสียงของ “เอม-สาธิดา ปิ่นสินชัย” และ “น้ำ-กัญญ์กุลณัช ปัญญากิตตินันท์” สองศิลปินสาวสุดฮอตผู้เป็นขวัญใจของสาวเล็ก สาวใหญ่ รวมถึงบรรดาหนุ่มๆ ทั่วประเทศ เมื่อได้มีโอกาสมาพบเจอสองสาวอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปพักใหญ่ งานนี้ผมก็ไม่รีรอที่จะขออาสาทำความรู้จักพวกเธอให้มากยิ่งขึ้น
หลังจากออกจากบ้าน True AF มาได้ร่วมปี ทั้งเอมและน้ำต่างผ่านงานในวงการบันเทิงมามากมาย จนทำให้มีแฟนคลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นความเป็นคู่ของพวกเธอก็ยังไม่ได้ลดลงไปแต่อย่างใด ดีกรีความฮอตกลับพุ่งสูงขึ้น จนเรียกได้ว่าเป็นคู่ฮอตโดนใจที่สุดคู่หนึ่งเลยทีเดียว
เพราะเหตุใดผู้หญิงที่ ‘ไม่เคยรู้จักกัน’ ถึงกลายมาเป็นสองสาวที่รักใคร่ สนิทสนม และโดนใจผู้คนได้มากมายถึงขนาดนี้ เอมน้ำกระซิบบอกว่าทั้งหมดมาจากการที่เธอได้ใกล้ชิดกัน นั่นเอง
น้ำ “เราก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาสนิทกันมากเท่านี้หรือเปล่า (หัวเราะ) ถ้าสมมุติว่าหนูเดือดร้อน หรือว่ามีเรื่องไม่สบายใจก็สามารถมาหาเค้าที่บ้านได้เลย ไม่ได้รู้สึกว่าเค้าจะอึดอัดใจหรือเปล่า แต่ต่อให้เค้าอึดอัดใจหนูก็จะไม่สนใจค่ะ (หัวเราะ)”
เอม “ก็ไม่มีอะไรค่ะ ปกติเรื่อยๆ เป็นคนที่สนิทที่สุดค่ะ”
น้ำ “ถ้าสมมุติว่าโดนขังอยู่ในห้องกันสองคนก็ไม่มีปัญหานะคะ อยู่ได้ค่ะ”
เอม “อาจจะตีกัน แล้วก็ดีกัน แล้วก็ตีกันอีก แล้วก็ดีกัน สลับกันไปเรื่อยๆ เป็นวงจรชีวิตของพวกหนูสองคนค่ะ ทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่ทะเลาะกันนี่จะเริ่มแปลกล่ะ”
แม้ร่างกายจะหยุดนิ่ง แต่ความคิดกลับไม่หยุดทำงาน มันเคลื่อนไหล ไหววิ่ง กระโดดจากจุดนี้ไปจุดนั้น จากเรื่องนั้นไปเรื่องโน้น ตลอดเวลา จนนำพาให้ผมนึกหาเหตุผลที่แฟนๆ ชอบอะไรในตัวของทั้งสองสาวมากที่สุด
“หนูรู้สึกว่ามันไม่ได้อยู่ที่คำว่า ทำยังไงให้มันจิ้นตลอดเวลา หนูแค่ใช้ชีวิตตามปกติค่ะ ในบ้านทั้ง 12 คน ก็จะสนิทกัน แต่หนูกับน้ำจะสนิทกันมากเพราะว่าเราสองคนอยู่ด้วยกันจนถึงวีคสุดท้าย พอออกมาก็มีโอกาสได้ไปทัวร์ด้วยกัน ทุกคนก็ยังเห็นภาพเราอยู่เรื่อยๆ” เอมตอบชัดเจน
“หนูว่าพอมาถึงตรงนี้แล้ว คนก็ไม่ได้มองเรื่องจิ้นเป็นหลักแล้ว เพราะเขารักเรามากขึ้น เขาก็จะรู้สึกว่าอยากจะให้เราไปไกลที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาชอบในมิตรภาพของเรา เขาจะรักเราที่เราเป็นและอยากให้เราดีมากขึ้นไป เราสองคนก็พยายามเต็มที่ค่ะ” น้ำส่งยิ้มกลับมา
ตลอดเวลากว่าห้านาทีที่สองสาวเล่าเรื่องการใช้เวลาด้วยกันในวันหยุด จึงกลายเป็นความตื่นตาตื่นใจและเพลิดเพลินที่ทั้งสองมอบให้แก่ผมในวันหยุดประจำสัปดาห์เช่นนี้
น้ำ “ส่วนมากจะไปกินข้าวกัน ช่วงหลังเค้าก็จะมีกิจกรรมเยอะ เวลาว่างอาจจะไม่ตรงกัน”
เอม “เคยคุยกันในรุ่นว่าอยากไปทะเล”
น้ำ “แต่คนอื่นไม่เห็นอยากไปกับเราเลยอ่ะ”
เอม “ก็นั่นน่ะสิ! คุยไปคุยมาเหลือแค่เราสองคนได้ยังไงก็ไม่รู้ คนอื่นเขาก็อยากทำอันนู้นอันนี้อันนั้น ก็เลยยังไม่ได้ไปสักที แต่ก็ยังเป็นมิชชั่นที่เรายังรอพวกคุณอยู่นะคะ”
น้ำ “คือเราสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอยู่แล้ว แต่เราอยากให้คนอื่นมาร่วมกับเราด้วย”
อากาศช่วงบ่ายค่อนข้างร้อนอบอ้าว น้ำเอื้อมไปหยิบน้ำอัดลมแก้วโตที่วางอยู่ ประกบขอบแก้วด้วยริมฝีปากก่อนจะซดดื่ม เอมและน้ำยังคงคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน สองสาวทำให้ผมแปลกใจอยู่บ่อยครั้งกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า ไม่ว่าจะเป็นการโอบกอด ดอมดมเส้นผม หรือแม้กระทั่งสัมผัสริมฝีปาก ผมละสายตาจากภาพที่เห็นเบื้องหน้าเพื่อให้ความคิดกลับเข้าสู่ข้อคำถามอีกครั้ง
“ต้องเรียกว่าเผชิญกับความเป็นจริงเนอะ” น้ำบอกกับผมหลังจากที่ผมป้อนคำถามไปว่า ออกจากบ้านมาร่วมปีแล้วเหนื่อยขึ้นไหม “อยู่ข้างในเหมือนเราเรียนอยู่ เราเจออยู่แค่นั้น แต่พอออกมาแล้ว ถามว่ามันหนักกว่าไหม มันน่าจะหนักกว่าในการรับผิดชอบ ไม่มีใครมาคอยอุ้มเราเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สิ่งที่ต้องการันตีก็คือชื่อของเรา ถ้าเราทำพลาดมันก็พังเลย” น้ำเสริม
“ตั้งแต่ในบ้าน AF รุ่นพี่ก็จะบอกว่า น้องๆ เหนื่อยในบ้าน แต่พอออกมาน้องจะรู้ว่าในบ้านมันเล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่เชื่อ เราคิดว่าในบ้านมันเหนื่อยที่สุดแล้ว เราร้องเพลงอาทิตย์ละหนึ่งเพลง แต่พอออกมาเจอโลกความจริง บางทีสามวันต้องร้องห้าเพลง อาทิตย์นึงร้องสิบกว่าเพลง มันเป็นอะไรที่เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลาอยู่กับที่ไม่ได้ ในบ้านเป็นแค่บททดสอบหนึ่งเท่านั้น ออกมาชีวิตจริงยากกว่าเยอะเลยค่ะ” เอมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
สำหรับสองสาวที่ผ่านเวทีประกวดครั้งยิ่งใหญ่มาร่วมปีแล้ว ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเวทีการประกวด True AF ให้กำเนิดศิลปินใหม่อยู่ทุกปี ทั้งสองสาวยอมรับว่าแอบมีหวั่นอยู่บ้าง แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้อยู่รอดในวงการได้หรือไม่ได้อยู่ที่ความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
น้ำ “มันเป็นสิ่งที่รุ่นพี่เจอกันมา เขาบอกว่าเดี๋ยวมันก็มาใหม่ ฟีลเดิมๆ ก็ต้องเข้าใจยอมรับกันไป ตอนแรกเราก็ชอบความรู้สึกที่เป็นเฟรชชี่ แต่พอมาเจอกับตัวเองก็มีแป้วบ้าง แต่ก็ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาบ้าง ถ้าไม่มีศิลปินใหม่ๆ เข้ามาทุกปี ปีที่แล้วเราก็คงไม่ได้เข้ามาเหมือนกันค่ะ”
เอม “คือจริงๆ ศิลปินใหม่ก็มีตลอดเวลาอยู่แล้วนะคะ ไม่ใช่แค่เฉพาะรายการ AF ศิลปินใหม่ก็จะมีออกมาทุกวัน เราเองนั่นแหล่ะที่จะต้องรู้วิธีที่ทำยังไงให้เราอยู่ได้ ต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ค่ะ”
และนั่นก็คือที่มาของการเป็นส่วนหนึ่งของ True AF ซึ่งหากเล่าแบบย่นย่อก็จะเห็นว่าเส้นทางการก้าวเข้ามาเป็นนักร้องของทั้งสองช่างเรียบง่ายไม่ยุ่งยากอะไร แต่เบื้องหลังเส้นทางที่ดูเหมือนเรียบง่ายนั้น มีอุปสรรคมากมายคอยขวางกั้นอยู่ แต่ในวันนี้ทั้งสองเติบโตขึ้นกลายเป็น ‘รุ่นพี่’ ทำให้ผมอยากรู้ว่าพวกเธอจะมีคำแนะนำอะไรให้กับรุ่นน้องบ้าง
น้ำ “โอ๊ย! เราก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นนะ”
เอม “ถ้าเจอก็จะบอกว่า ตอนนี้เราออกมาใหม่ๆ เราอาจจะรู้สึกว่ามีคนชื่นชอบเยอะ มีแฟนคลับมากมาย แต่จริงๆ เราเป็นแค่คนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง อยากจะให้ทุกคนไม่คิดว่าตัวเองดังหรือเก่งแล้ว ก็จะบอกรุ่นน้องเสมอว่าอย่าหยุดแค่ตรงนี้ พัฒนากันไปเรื่อยๆ ค่ะ”
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการเป็นทั้งนักร้องนักแสดงในเวลาเดียวกัน แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับหญิงสาวแสนสวยมากความสามารถ 2 คน ที่อยู่ตรงหน้าผม จากประสบการณ์ที่ทั้งสองได้รับมาจนถึงตอนนี้ ผมเริ่มอยากรู้ว่าพวกเธอชอบงานด้านการร้องหรืองานด้านการแสดงมากกว่ากัน
น้ำ “หนูว่าทำควบคู่กันไป มันก็ทำให้สนุกอีกแบบหนึ่งนะ เวลาเราร้องเพลงเราก็จะเจอแต่ในค่ายเรา หรือว่าอาจจะไปร้องคนเดียว ได้เจอแฟนคลับ ได้เจอผู้คนหน้างาน แต่พอไปเล่นละครเราก็จะเจอกับคนอื่น เราต้องทำงานร่วมกับคนอื่นเป็นหลัก มีเจอพี่ๆ เพื่อนๆ ในวงการบันเทิง มันก็จะทำให้เรารู้จักกับผู้คนมากมายไปด้วย การทำงานคนเดียวกับทำงานเป็นทีม หนูว่าสลับๆ กันไป มันจะมีความสุขมากกว่าค่ะ”
เอม “เช่นกันค่ะ หนูก็รู้สึกว่าชอบทั้งสองอย่างค่ะ การร้องเพลงมันเป็นอะไรที่บ่งบอกความเป็นตัวเองตลอดเวลา อยู่บนเวที เฮฮากับแฟนคลับ การเป็นนักแสดงได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น มันก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่ทำให้รู้สึว่าเราชอบค่ะ”
มีงานไหนบ้างที่ยังไม่ได้ทำ แล้วอยากลองทำเป็นพิเศษ ผมถามต่อ ซึ่งเอมบอกกับผมว่า “ตอนนี้ก็ทำพิธีกรแล้ว ก็ชอบเหมือนกันค่ะ ตอนนี้ก็เลยชอบทุกอย่างเลย” น้ำด้วยไหม? “ชอบหมดเลยค่ะ (หัวเราะ)”
ด้วยคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นของน้ำ ที่มาพร้อมรอยยิ้มอันสดใส จนใครที่พบเห็นเธอเป็นอันต้องตกหลุมรัก และด้วยความน่ารัก สดใส ขี้เล่นที่แอบเซ็กซี่เล็กๆ ของเธอนี่เอง ก็เลยเป็นเหตุให้น้ำไม่มั่นใจว่าจะทำหน้าที่พิธีกรได้เต็มความสามารถ
น้ำ “ของหนูก็กำลังจะทำพิธีกรรายการหนึ่งด้วยค่ะ ยังไม่เคยทำเลยค่ะ ก็ยังไม่รู้ว่า…”
เอม “แต่เราเชื่อมั่นว่าเธอพูดได้ตลอดเวลา ในรายการจะไม่มีอะไรเลย มีแต่น้ำพูดไม่หยุดเลยค่ะ”
น้ำ “หนูก็อยากพูด แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะอยากฟังหนูพูดหรือเปล่า เดี๋ยวรอดูกันก่อนว่าจะทำได้ไหม”
แม้ทั้งสองเพิ่งจะเริ่มชิมลางงานด้านพิธีกร แต่ประสบการณ์ที่เอมได้รับในทุกด้านนั้นก็ทำให้เธอได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ว่า ‘รัก’ ในการร้องเพลงมากยิ่งขึ้น แถมตอนนี้กำลังซุ่มผลิตผลงานไว้ต้อนรับแฟนๆ ในปีหน้าอีกด้วย
เอม “เรารู้สึกว่าเรารักในการร้องเพลง เราอยากเป็นนักร้อง ช่วงนี้เราก็เตรียมผลงานเพลงนะ ไม่ได้หายไปไหน ทุกคนอาจจะไม่เห็นเพลงใหม่ออกมา แต่รู้ว่าทุกคนก็ยังรอผลงานเพลงของเราอยู่ ทุกคนอาจจะอยากเห็นเราคู่กัน หรือบางคนอาจจะอยากเห็นน้ำร้องเดี่ยว หรือเอมร้องเดี่ยว รับรองว่าปีหน้าได้ฟังกันแน่นอน พวกเรากำลังตั้งใจทำให้ทุกคนอยู่ค่ะ เรารู้สึกว่าถ้าออกเพลงต้องดี เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลาบ่มให้มันได้ที่ อยากให้เพลงเราดัง อยากให้เพลงเราเปิดตามวิทยุแล้วคนร้องตามได้ เป็นความฝันของนักร้องทุกๆ คน ไม่อยากให้ทุกคนทิ้งกันไปไหน เรายังไม่ไปไหนนะ ยังมีอีเว้นท์ที่เราไปออก มีงานนู่นนี่นั่นตลอด”
น้ำ “ใช่ค่ะ ยังไม่ไปไหน ยังติดสัญญาอยู่ (หัวเราะ) เป็นนักร้องก็ต้องการเพลงที่ดีที่สุด เป็นความหวังของนักร้องทุกๆ คน ตอนนี้ก็กำลังคุยกันอยู่ เรื่องซิงเกิ้ล เรื่องความลงตัวด้วย เพราะว่ามันเป็นซิงเกิ้ลแรกที่จะออกมา ก็เลยต้องตั้งใจทำงานหน่อย อยากให้ออกมาดีที่สุดค่ะ”
เอมน้ำต่างรักในการร้องเพลงและการแสดงละคร เมื่อผนวกทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดจุดเริ่มของความสนใจที่จะทำงานด้านละครเวที ซึ่งทั้งสองสาวบอกกับผมว่าเป็นเรื่องท้าทาย ถ้ามีโอกาสเข้ามาก็อยากจะลองทำด้วยเช่นกัน
น้ำ “หนูว่าเป็นศาสตร์ที่ท้าทายที่สุด มันใช้ความเป็นนักแสดงและความเป็นนักร้อง ซึ่งเราก็เคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่อยู่ในบ้าน AF ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่ายากแล้วนะ เป็นละครเวทีแค่หนึ่งชั่วโมงที่เหมือนเด็กๆ เล่นกันเอง แต่ครูเงาะใส่มาเต็มที่ ทำให้เป็นละครเวทีที่อัพขึ้นมา จากละครเด็กหน้าห้อง ก็รู้สึกว่าสนุกแต่ว่ายากมาก”
เอม “ร้องเพลงก็ว่ายาก เล่นละครก็ว่ายาก ยิ่งเอาสองอย่างที่ยากมารวมกัน มันก็เลยยากมากค่ะ คิดสภาพว่าทำแบบเดิมเป็น 100 รอบ อย่างรุ่นพี่เล่นกัน 20 รอบ สมมุติว่าร้องไห้ตรงจุดนี้เดิมๆ การที่เราต้องทำอารมณ์เดิมๆ รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ท้าทายมากๆ แต่ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากลองเล่นละครเวทีสักเรื่องในชีวิตค่ะ”
เชื่อว่าแฟนๆ คงตั้งตารอชมผลงานละครเวทีเรื่องแรกของทั้งสอง แต่ผมยังเชื่อที่สุดว่าผลงานคอนเสิร์ตก็คงตั้งตารอไม่แพ้กัน
น้ำ “เราคุยกันว่าอยากจัดคอนเสิร์ตรุ่นกันมาสักพักหนึ่งแล้วค่ะ แต่ว่าเราก็ยังคงรอโอกาสอยู่ อีกทั้งหมดปีนี้ก็มีบางคนที่ไม่ได้ต่อสัญญา อาจจะต้องรอสักพักแล้วค่อยกลับมาเจอกัน”
เอม “ก็เข้าใจนะคะ พอถึงจุดๆ หนึ่งที่เราทำมา ทั้ง 12 คน อาจจะไม่ได้อยากเดินบนเส้นทางสายบันเทิงต่อ บางคนอาจจะอยากทำอย่างอื่น มันก็เลยเป็นเรื่องยากที่ทั้ง 12 คน จะกลับมารวมตัวกัน มีเพลงหรือโปรเจคร่วมกัน คงต้องรอโอกาสหรือจังหวะจริงๆ ค่ะ”
ผมนั่งอยู่ข้างๆ ผู้หญิงสองคน รับฟังเรื่องราวต่างๆ ของพวกเธอด้วยความตั้งอกตั้งใจ จดจำสรรพสิ่งที่พวกเธอเอ่ยออกมาไว้ราวกับว่าจะไม่ยอมให้มันหล่นหายไปจากความทรงจำ เป็นเวลากว่าชั่วโมงนับจากที่ผมเริ่มต้นการสนทนาในครั้งนี้ บ่อยครั้งที่พวกเธอเอ่ยถึงแฟนๆ อันเป็นที่รักให้ผมฟัง แม้กระทั่งก่อนจากกันสองสาวก็ยังแอบอ้อนถึงแฟนๆ ว่า
น้ำ “อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะคะ เราจะผลิตผลงานที่ดีออกมาให้ทุกคนได้ติดตามกันอยู่แล้ว เรามีความตั้งใจ มุ่งมั่นมากๆ สำหรับผลงานของเราในแต่ละอย่าง อยากขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้ แล้วก็รอติดตามชมว่าเราสองคนจะทำงานได้ออกมาดีมากน้อยแค่ไหนค่ะ”
เอม “อยากขอบคุณที่ทุกคนตั้งใจรอมากๆ อีกไม่นานเกินรอก็จะได้ชมเพลงและผลงานของพวกเรา อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะ อยู่ด้วยกันก่อน ขอบคุณทุกคนมากๆ จริงๆ ค่ะ”
ถ้าการได้ออกผจญภัยไปบน ‘เส้นทางสายดนตรี’ คือความฝันที่ถูกก่อร่างมาตั้งแต่วัยเยาว์ การได้สวมบทบาทเป็นบุคคลอื่นบน ‘เส้นทางสายการแสดง’ ก็คือจุดเริ่มอีกหนึ่งความฝันที่สำคัญไม่แพ้กัน สองสาวเอมน้ำกล่าวทิ้งท้ายในวันที่ความฝันของทั้งสองกลายเป็นความจริง