ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ นักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสาขาดราม่า ถ่ายทอดบทบาทมาแล้วหลากหลายตั้งแต่ฮาวเวิร์ด ฮิวจ์ ไปจนถึงเจย์ แกตสบี และจอมเสเพล จอร์แดน เบลฟอร์ตใน Wolf of Wall Street แต่บทฮิวจ์ กลาสเป็นความท้าทายใหม่ที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เป็นการนำนักแสดงรายนี้ไปสู่ดินแดนชายขอบที่น้อยคนในโลกสมัยใหม่จะเคยสัมผัส นับเป็นบทที่สมบุกสมบันที่สุดสำหรับดิคาปริโอและในขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงแบบดิบๆ โดยแทบไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ เลย
“ผมมองว่าหนังเรื่องนี้มีแนวคิดอันทรงพลัง นั่นก็คือความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่และความสัมพันธ์ที่เรามีต่อป่าดงพงไพร” ดิคาปริโออธิบายถึงสาเหตุที่เขาสนใจเรื่องนี้ทันที “ก่อนหน้านี้ผมรับบทเป็นตัวละครมากมายซึ่งถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาอย่างชัดเจนด้วยวิธีการต่างๆ และมีเรื่องให้พูดมากมาย บทนี้จึงเป็นความท้าทายที่แตกต่างออกไป เป็นการถ่ายทอดสิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องใช้คำพูดหรือใช้ภาษาที่แตกต่างออกไป ส่วนมากเป็นการปรับตัวตามสถานการณ์ในเวลานั้นๆ เป็นการตอบสนองต่อสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้เราและสิ่งที่กลาสต้องเผชิญขณะเราถ่ายทำ เป็นการสำรวจส่วนลึกของสัญชาตญาณในการอยู่รอด”
ดิคาปริโอประทับใจเป้าหมายของอินาร์ริตูในการนำเรื่องราวของกลาสมาทำให้มีชีวิตอย่างสมจริงเพื่อนำผู้ชมไปสู่ชีวิตในดินแดนตะวันตกยุคแรกๆ เป็นเวลานานก่อนหน้าที่จะมีคาวบอยและคนนอกกฎหมาย “ผมไม่เคยเห็นประวัติศาสตร์อเมริกายุคนี้อยู่ในหนังมาก่อนเลย ก็เลยรู้สึกสนใจครับ” เขากล่าว “นี่คือช่วงเวลาและสถานที่อันเป็นเอกลักษณ์ในประวัติศาสตร์แดนตะวันตกของอเมริกา เพราะมันป่าเถื่อนยิ่งกว่า ‘ตะวันตกแดนเถื่อน’ ที่เรารู้จักเสียอีก เหมือนกับแถบแอมะซอนซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักโดยสิ้นเชิง เป็นเขตแดนไร้คนจับจองซึ่งแทบไม่มีกฎหมายควบคุม นักวางกับดักซึ่งมาจากยุโรปและฝั่งตะวันออกต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศที่โหดร้ายและเอาชีวิตรอดเหมือนสัตว์อื่นๆ ในธรรมชาติ”
อินาร์ริตูประทับใจเมื่อได้พบว่าดิคาปริโอพร้อมที่จะสำรวจขีดจำกัดเช่นเดียวกับที่กลาสเคยทำมา“ลีโอมีความไม่ธรรมดาในรายละเอียดทุกส่วน ในการสังเกตการณ์และพฤติกรรมมนุษย์ทุกๆ แง่มุม เขาเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติในจุดเล็กๆ น้อยๆ การเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ และทุกอย่างที่ทำให้ตัวละครดูมีชีวิตจริงๆ เขาร่วมมือเป็นอย่างดีและฉลาดมาก รวมทั้งคอยตั้งคำถามว่าทำอย่างไรฉากจึงจะมีพลังยิ่งกว่าเดิม และเขานำเอาความผูกพันที่เขามีต่อธรรมชาติอย่างลึกซึ้งมาใส่ลงไปด้วย สิ่งที่เขาถ่ายทอดลงบนจอไม่เพียงน่าประทับใจแต่ยังน่าตื่นตาตื่นใจด้วย”
ผู้กำกับเน้นว่าดิคาปริโอต้องเผชิญการทดสอบที่ไม่มีนักแสดงคนไหนจะเตรียมพร้อมรับมือได้ในการแสดง “ลีโอทำงานในสภาพที่โหดร้ายที่สุดโดยต้องใส่เครื่องแต่งกายที่ท้าทาย ผ่านการเมคอัพอย่างหนัก ไปยังสถานที่ซึ่งให้ความรู้สึกอึดอัดและมืดมนหดหู่ แต่ไม่ว่าเขาต้องเผชิญกับอะไร เมื่อลีโออยู่หน้ากล้อง บางสิ่งบางอย่างก็มีชีวิตขึ้นมาทันที มีพลังอย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะครับ” อินาร์ริตูตั้งข้อสังเกต “แนวทางการถ่ายทำของเราต้องอาศัยหลายอย่างจากเขาทั้งในแง่จังหวะ ช่วงเวลา แรงผลักดัน และความเงียบ แต่ลีโอทำให้ทุกสิ่งสำเร็จลงได้เพราะเขาโดดเด่นมาก”
ในทางกลับกัน ดิคาปริโอกล่าวว่าเขามอบความไว้วางใจให้อินาร์ริตูเต็มที่ “ผมชอบแนวทางของอเลฮานโดรตรงที่ว่าเขาเป็นคนทำหนังแบบเก่าที่เชื่อในศิลปะของการสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาบนจอ และเขาก็เป็นคล้ายคนนอก ถึงแม้จะทำงานอยู่ในวงในก็ตาม เขาเข้าใจอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่เขาก็ได้รับอิทธิพลจากการศึกษาประวัติศาสตร์ภาพยนตร์มาตลอดชีวิตแล้วพัฒนาสไตล์ของตัวเองที่ไม่ประนีประนอมและกลายเป็นชื่อของเขาไปแล้ว มีนักทำหนังน้อยคนนักที่สามารถหลีกหนีจากแบบฉบับของฮอลลีวู้ดแต่ก็ยังทำหนังแบบเรื่องนี้ได้ในสเกลใหญ่ขนาดนี้”
การโจมตีของหมีซึ่งเกือบทำให้กลาสเอาชีวิตไม่รอดได้นำดิคาปริโอมาสู่การต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับนักล่าที่เชี่ยวชาญมากที่สุดชนิดหนึ่งในธรรมชาติ “การโจมตีของหมีเป็นงานที่ยากลำบากมากครับ” ดิคาปริโอเล่า “แต่ก็น่าประทับใจอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน ในหนังอเลฮานโดรนำคุณไปอยู่ที่นั่น แทบจะเหมือนแมลงวันที่บินวนไปมาอยู่รอบการโจมตีครั้งนี้ คุณจึงรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกลาสและลมหายใจของหมี ผลงานที่ออกมาเหนือกว่าสิ่งใดๆ ก็ตามที่ผมเคยเห็น กลาสต้องหาทางจัดการกับสัตว์โตเต็มวัยที่ทับอยู่บนตัวเขา เขาเฉียดใกล้ความตาย และคุณก็ได้ซึมซับช่วงเวลานั้นพร้อมกับเขาอย่างเต็มอิ่ม”
อินาร์ริตูกับดิคาปริโอคุยเรื่องกลาสกันอย่างละเอียดซึ่งช่วยให้การแสดงที่ขับเคลื่อนไปอย่างไม่หยุดนิ่งนี้มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขากล่าวว่าภรรยาและลูกชายชาวพอว์นีของกลาสซึ่งเป็นตัวละครที่แต่งขึ้นนั้นทำให้เขาแตกต่างจากนักวางกับดับคนอื่นๆ อยู่แล้ว “กลาสจมจ่อมอยู่กับธรรมชาติและคล้ายจะทิ้งโลกแห่งวัตถุของพวกนักวางกับดักเอาไว้เบื้องหลังอยู่แล้ว” เขาตั้งข้อสังเกต “เขาได้พบความท้าทายอีกชุดหนึ่งในฐานะพ่อในสภาพแวดล้อมแบบนี้ สิ่งนี้เองที่เป็นคุณสมบัติแฝงในบุคลิกของเขาโดยตลอด มีความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาและฮอว์คอยู่โดดเดี่ยวตามลำพังอยู่แล้ว ดังนั้นความผูกพันระหว่างพ่อลูกของทั้งสองจึงเป็นแรงผลักดันอันทรงอานุภาพที่คอยขับเคลื่อนเขา”
ดิคาปริโอเล่นคิวบู๊เองในหลายฉาก เขาถูกฝังในหิมะ เปลือยกายในอุณหภูมิลบห้าองศา และกระโดดลงไปในแม่น้ำที่เย็นจัด ซึ่งช่วงเวลาต่างๆ เหล่านี้ก็ได้นำเขาไปสัมผัสความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของกลาสมากยิ่งขึ้น แต่ขณะเดินทางไป กลาสไม่ได้แค่ไหลไปตามเหตุการณ์ เขายังเปลี่ยนแปลงตัวเองในส่วนลึกอีกด้วย ซึ่งดิคาปริโอก็ได้เผยให้เห็นผ่านรายละเอียดอันลุ่มลึกที่ช่วยเสริมจุดไคลแม็กซ์อันน่าตื่นเต้นของหนัง
“ตลอดทั้งเรื่องมีคำถามขึ้นมาว่าในที่สุดแล้วการแก้แค้นจะดับความกระหายอยากของกลาสได้หรือไม่ แต่ความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าต่อไปกลายเป็นบางสิ่งที่มากกว่านั้นสำหรับเขา…กลายเป็นภารกิจทางจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง” เขาสรุป
The Revenant –ต้องรอด เข้าฉาย 4 กุมภาพันธ์ 2559 นำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, ทอม ฮาร์ดี้, ดอมนัล กลีสัน, วิล โพลเตอร์, ลูคัส ฮาส กำกับการแสดงโดย อเลฮังโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/RevenantMovieThailand