สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เผยปี 2558 มูลค่าส่งออกอาหารของไทยไปเมียนมาร์ ยอดพุ่ง เติบโตสูงถึงร้อยละ 23.90 เมื่อเทียบจากปีก่อน ก้าวขึ้นเป็นตลาดส่งออกอันดับ 4 รองจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และจีน และยังขึ้นแท่นเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ในตลาดอาเซียน ด้วยมูลค่า 39,229.82 ล้านบาท คาดปี 2559 แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจเมียนมาร์จะขยายตัวดีราวร้อยละ 8.39 ล่าสุดนำ เอสเอ็มอีอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของไทยเปิดตลาดแนะนำสินค้าและเจรจาธุรกิจในงาน Myanmar International Franchise & SME Expo 2016 ณ เมืองย่างกุ้ง พร้อมสำรวจพฤติกรรมการบริโภคชาวเมียนมาร์ พบคุ้นเคยอาหารไทยดี นิยมอาหารประเภทเส้น ชอบวิธีการผัดมากกว่าการต้ม ไม่ติดหวาน เน้นรสเค็ม และไม่นิยมใช้กะทิในการประกอบอาหาร
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เผยว่า ในปี 2558 การส่งออกอาหารของไทยไปประเทศเมียนมาร์ มีมูลค่า 39,229.82 ล้านบาท มีอัตราเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 23.90 ปัจจุบันเมียนมาร์เป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 4 ของไทย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.35 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด รองจากญี่ปุ่น ร้อยละ 13.5 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 11.4 และ จีน ร้อยละ 8.7 ตามลำดับ นอกจากนี้ เมียนมาร์ยังเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยมีสัดส่วนส่งออกร้อยละ 16.95 จากมูลค่าส่งออกตลาดอาเซียนทั้งหมด 231,433.17 ล้านบาท สินค้าส่งออกอันดับ 1 คือ น้ำตาลทราย คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 21 รองลงมาคือเครื่องดื่มให้พลังงาน, เบียร์, วิสกี้, ครีมเทียม, อาหารทางการแพทย์, กาแฟสำเร็จรูป, น้ำมันปาล์ม และขนมปังกรอบ
นายยงวุฒิ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลของ IMF พบว่าในปี 2559 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมียนมาร์จะขยายตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่ถือว่าอยู่ในระดับสูง คือ ร้อยละ 8.397 ซึ่งยังคงเป็นแนวโน้มที่ผู้ประกอบการของไทยควรให้ความสนใจ ถือเป็นโอกาสในการเข้าไปรุกตลาดเมียนมาร์ โดย Euromonitor ประเมินว่าอัตราขยายตัวเฉลี่ยของมูลค่าตลาดอาหารแปรรูปในเมียนมาร์ในช่วงปี 2557- 2561จะมีอัตราถึงร้อยละ 15 ต่อปี ขณะที่สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยในช่วงเดียวกันนี้ถึงร้อยละ 23 ต่อปี
“โดยเมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันอาหารได้นำผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของไทยจำนวน 20ราย เข้าร่วมงาน Myanmar International Franchise & SME Expo 2016 ณ เมืองย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ นำผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปไปจัดแสดงและเจรจาธุรกิจ อาทิ ไข่มดแดงกระป๋อง, เห็ดเผาะกระป๋อง, ซาลาเปาลาวา, หมี่โคราชกึ่งสำเร็จรูป, ชาสมุนไพร, เครื่องดื่มเม็ดแมงลักกลิ่นผลไม้, เครื่องดื่มน้ำส้มแขก และกล้วยน้ำว้าอบแห้ง เป็นต้น เพื่อเปิดตลาดเมียนมาร์ ซึ่งสามารถสร้างการรับรู้ในตราสินค้า และเกิดการเจรจาซื้อขายจากผู้จัดจำหน่ายสินค้าอาหารในเมียนมาร์ได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เพื่อแสวงหาแนวทางความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเมียนมาร์ นอกจากนี้สถาบันอาหารได้ร่วมแสดงอัตลักษณ์อาหารไทยด้วยการสาธิตการปรุงอาหารด้วยการใช้เครื่องปรุงรสสำเร็จรูปต่างๆ เช่น น้ำซอสผัดไทย ผงปรุงรสลาบ น้ำตก ขนมจีนอบแห้งและน้ำยาสำเร็จรูป แกงไตปลาสำเร็จรูป ซึ่งจากการทำแบบสอบถามกับผู้เข้าร่วมงานจำนวน 100 คน ทำให้ทราบว่าชาวพม่ารู้จักอาหารไทยเป็นอย่างดี เนื่องจากคุ้นเคยกับรสชาติอาหาร เพราะมีอาหารไทยหลายอย่างที่มีรสชาติใกล้เคียงกับของ เมียนมาร์ โดยนิยมบริโภคอาหารประเภทเส้น ชอบวิธีการผัดมากกว่าการต้ม ไม่ติดหวาน เน้นรสเค็ม และไม่นิยมใช้กะทิในการประกอบอาหาร”
อย่างไรก็ตามในการจัดแสดงสินค้าครั้งนี้มีจำนวนผู้ประกอบการเข้าร่วมงานรวม 80 บริษัท เป็นบริษัทภายในประเทศเมียนมาร์ 48 บริษัท หรือร้อยละ 60 จากต่างประเทศ 32 บริษัท หรือร้อยละ 40 ประกอบด้วย ไทย สิงคโปร์ อินเดีย ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ประเภทสินค้าที่จัดแสดงและสินค้าที่มีศักยภาพได้แก่ อาหารสำเร็จรูป, น้ำปรุงรส, ผลไม้แปรรูป, แฟรนไชส์ขนาดเล็ก, เครื่องสำอางค์ และสินค้าเพื่อสุขภาพ มีจำนวนผู้เข้าชมงาน 3,758 คน ประเมินว่าจากการเจรจาธุรกิจในภาพรวมของงาน คาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าการซื้อขายภายใน 1 ปี รวม 16 ล้านเหรียญสหรัฐ