OLYMPUS HAS FALLEN
ผู้กำกับ Antoine Fuqua (อังตวน ฟูกัว)
อำนวยการสร้าง Gerard Butler (เจอราร์ด บัตเลอร์)
นำแสดงโดย
Gerard Butler (จอราร์ด บัตเลอร์ ) รับบท Mike Banning (เจ้าหน้าที่ไมค์ แบนนิ่ง)
Aaron Eckhart (แอรอน เอ็คฮาร์ท)รับบทPresident Benjamin Asher (ปธน.เบนจามิน แอชเชอร์)
Morgan Freeman (มอร์แกน ฟรีแมน) รับบท Speaker Trumbull (โฆษกทรัมบุล)
Ashley Judd (แอชลี่ย์ จั๊ดด์) รับบท Margaret Asher (มาร์กาเร็ต แอชเชอร์)
Radha Mitchell (ราดาห์ มิเชลล์) รับบท Leah (ลีอาห์ แบนนิ่ง)
กลุ่มหัวรุนแรงที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีและอาวุธครบมือกลุ่มเล็กๆ ได้ทำการอุกอาจเข้ายึดทำเนียบขาวกลางวันแสกๆ พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในทำเนียบและจับตัวประธานาธิบดีเบนจามิน แอชเชอร์ (แอรอน เอ็คฮาร์ท) และเจ้าหน้าที่ของเขาเป็นตัวประกันภายในหลุมหลบภัยใต้ดินของประธานาธิบดี ที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ขณะที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่ลานสนามหญ้าหน้าทำเนียบขาว ไมค์ แบนนิ่ง (เจอราร์ด บัตเลอร์) อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัย ก็กระโจนเข้าร่วมวงด้วย ก่อนที่เขาจะพบว่าเขาเป็นสมาชิกหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ในอาคารที่ถูกยึดหลังนี้
แบนนิ่งใช้การฝึกฝนอย่างหนักและความรู้อย่างละเอียดเกี่ยวกับที่พำนักของประธานาธิบดีในการเป็นหูเป็นตาให้กับอัลลัน ทรัมบุล (มอร์แกน ฟรีแมน) ผู้รักษาการแทนประธานาธิบดีและที่ปรึกษาของเขา เมื่อผู้บุกรุกเริ่มสังหารตัวประกันและขู่ที่จะฆ่าตัวประกันเพิ่มเติมหากไม่มีการทำตามข้อเรียกร้องที่สุดโต่งของพวกเขา แบนนิ่งก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาตัวลูกชายของประธานาธิบดีที่ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนซักแห่งในอาคารแห่งนี้และช่วยชีวิตประธานาธิบดีเอาไว้ให้ได้ก่อนที่ผู้ก่อการร้ายจะใช้แผนการขั้นสุดท้ายที่น่าสะพรึงกลัวของพวกเขา เมื่อจำนวนศพมากขึ้นและเวลาเหลือน้อยลงเรื่อยๆ สิ่งที่ปรากฏชัดคือแบนนิงเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้อเมริการอดพ้นจากหายนะได้
เกี่ยวกับงานสร้าง
OlympusHas Fallen การผจญภัยสุดท้าทายที่นำเสนอเรื่องของเจ้าหน้าที่สายลับตกอับ สายลับที่แฝงกายอยู่นานหลายทศวรรษ อดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้ทรยศและกลุ่มนักรบกองโจรผู้มีศรัทธาแรงกล้า ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้กำกับอังตวน ฟูกัวตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านและมันก็ทำให้เขาเชื่ออย่างรวดเร็วว่าเขาได้พบเรื่องราวต่อไปที่เขาต้องการจะถ่ายทอดแล้ว
“ในตอนที่ผู้ควบคุมงานสร้างอาวี เลิร์นเนอร์ส่งบทเรื่องนี้ให้ผม ผมก็รู้ทันทีว่ามันเป็นเรื่องราวที่มีศักยภาพไร้ที่สิ้นสุด” ฟูกัว ผู้กำกับผู้โด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง Training Day ที่ทำให้เดนเซล วอชิงตันได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมกล่าว “ชื่อเรื่องทำให้ผมนึกถึงจักรวรรดิโรมันและเรื่องเทพปกรณัมครับ ภูเขาโอลิมปัสเป็นที่พำนักของเทพกรีกและโรมัน มันเป็นสัญลักษณ์ของพลังไร้ขีดจำกัด ในหนังของเรา ทำเนียบขาวพังครืนลงมาอย่างไม่น่าเชื่อ มันโดนใจผมมาก โรม จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ กลายเป็นอเมริกา และอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันก็ถล่มลงมาครับ”
แล้วฟูกัวรู้ว่าเจอราร์ด บัตเลอร์ได้เซ็นสัญญาที่จะนำแสดงและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ และเขาก็กระโจนเข้าใส่โอกาสที่จะได้ร่วมงานกับนักแสดงผู้นี้ ที่เขารอคอยจะได้ร่วมงานด้วยมาหลายปีแล้ว
ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง บัตเลอร์กระตือรือร้นที่จะได้เห็นฟูกัวมาทำงานโปรเจ็กต์นี้ “ตอนที่เราได้บทเรื่องนี้ ผมก็นึกถึงอังตวนทันที ในบรรดาผู้กำกับเก่งๆ ที่ยังทำงานอยู่ในปัจจุบันนี้ ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่จะสามารถถ่ายทอดมันออกมาได้ดีที่สุด ผมชอบหนังของเขาตั้งแต่ Training Day ซึ่งผมคิดว่าเป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดที่เคยมีการสร้างขึ้นมา มาจนถึง Tears of the Sun และ Brooklyn’s Finest เขาสร้างแอ็คชั่นดิบเถื่อนและความสมจริงในแบบที่ไม่มีใครทำได้ครับ”
เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีไมค์ แบนนิ่ง ตัวละครของบัตเลอร์ กลายเป็นคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่หลังจากที่กลุ่มคอมมานโดชาวเกาหลีเหนือได้เข้าบุกยึดทำเนียบขาว เมื่อติดอยู่ด้านในอาคารที่พังถล่มลงมาโดยปราศจากกองหนุน แบนนิ่งก็ท้าทายเหล่าผู้ก่อการร้ายในแบบการเล่นแมวจับหนูที่มีเดิมพันสูงลิบลิ่ว บัตเลอร์กล่าวว่า
“ตอนที่ผมโตขึ้น ผู้ร้ายจะเป็นพวกรัสเซียตลอด แต่สำหรับเรื่องราวร่วมสมัย การเคลื่อนไหวของเกาหลีทั้งน่ากลัวและเป็นภัยคุกคาม หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นที่สถานทูตอเมริกันในลิเบีย เราก็ได้เห็นว่าจริงๆ แล้วตอนนี้เราเปราะบางแค่ไหน ไอเดียของการที่พวกเกาหลีเหนือบุกเข้าไปในทำเนียบขาวเป็นอะไรที่น่าสนใจครับ”
ฟูกัวชื่นชอบโครงเรื่องที่ท้าทายของบท “ทำเนียบขาวถูกจู่โจม ประธานาธิบดีถูกจับเป็นตัวประกัน คำถามเดียวของผมก็คือ มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร”
เขาได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับฉากหลักในบทและตกใจที่ได้รู้ว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ที่ทหารอาวุธครบมือที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีกลุ่มเล็กๆ จะสร้างความแปลกใจและความเสียหายรุนแรงให้กับทำเนียบขาวในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อเชื่อว่าเขามีเรื่องราวที่ทั้งน่าติดตามและเป็นไปได้แล้ว ผู้กำกับก็เริ่มต้นทำการค้นคว้าเจาะลึกเรื่องของทำเนียบขาวและหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีเพื่อให้แน่ใจว่าเรื่องราวนี้จะน่าเชื่อจริงๆ
“มันเป็นเรื่องราวใหญ่โต เราก็เลยต้องปูพื้นให้มันอย่างแข็งแรงครับ ไม่อย่างนั้น มันก็จะเป็นเรื่องเพ้อฝันเปล่าๆ เรารู้ว่าถ้าเราทำออกมาอย่างเหมาะสมล่ะก็มันจะทำให้ผู้ชมอึ้งและพวกเขาก็จะร่วมผจญภัยไปกับตัวละครต่างๆด้วย ซึ่งทุกช่วงเวลาจะต้องสมจริงและเกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผลครับ”
ฟูกัวนั่งคุยกับทีมที่ปรึกษา ที่รวมถึงอดีตสายลับ เอฟบีไอ ซีไอเอ และเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายอื่นๆ “เราได้พบโจ แบนน่อน ที่เป็นสายลับ แล้วก็ริคกี้ ไบรแอนท์ โจนส์และดาริล คอนเนอร์ตัน ที่เคยใช้เวลาในทำเนียบขาวมาก่อน เพื่อพิจารณาว่าส่วนไหนของบทที่จะใช้ได้ และส่วนไหนที่จะต้องมีการปรับให้แน่นหนาขึ้นอีก”
โจนส์ ผู้มีความรอบรู้ในเรื่องเทคนิคการต่อต้านผู้ก่อการร้าย รับประกันกับฟูกัวว่าการโจมตีที่พำนักของประธานาธิบดีโดยตรงนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องของคำว่า ถ้า แต่เป็นเรื่องที่ว่า เมื่อไหร่จะมีคนพยายามทำการเช่นนั้น
“และถ้าทำเนียบขาวถูกยึดครอง คนข้างในที่รู้เรื่องอาคารหลังนี้อย่างดีก็จะต้องเป็นผู้กำจัดภัยคุกคามนั้น คนอย่างไมค์ แบนนิ่งจะสามารถแทรกซึมเข้าไปเพื่อยึดทำเนียบขาวกลับคืนมาได้ ถ้าเขาสามารถหาวิธีสื่อสารกับโลกภายนอกได้ด้วย เขาก็จะสามารถมีส่วนช่วยในเรื่องการตอบสนองของรัฐบาล ทุกอย่างดูน่าเชื่อมากๆ สำหรับผมครับ”
ที่ปรึกษาของเขาทำให้ฟูกัวได้รู้ว่ากองทหารฉุกเฉินต้องใช้เวลาอย่างน้อย 15 นาทีกว่าจะไปถึงทำเนียบขาว เพื่อสนับสนุนบรรดาเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสถานที่นั้นอยู่แล้ว ซึ่งทำให้การบุกยึดทำเนียบขาวเป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
ฟูกัวกล่าวว่า… “ลักษณะการวางผังของวอชิงตัน, ดี.ซี. ทำให้ไม่มีถนนที่ไปถึงทำเนียบขาวโดยตรงครับ มันจะต้องใช้เวลาซักพักสำหรับกองกำลังไหนก็ตามที่จะมาถึงโดยภาคพื้นดิน ถ้าเป็นทางอากาศ ก็คงใช้เวลาน้อยกว่านั้นเยอะ แต่แผนการที่วางแผนมาอย่างดีก็คงจะก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่ดีนั่นแหละครับ ถึงแม้พวกเขาจะมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด คอนเซ็ปต์ที่คนสามารถก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงให้กับมันได้ก็เป็นจริงได้ คุณเดินไปตรงรั้วพร้อมด้วยเป้แบ็คแพ็ค พวกเขาจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าอะไรอยู่ในนั้น ถ้าคุณสามารถเข้ามาในน่านฟ้าของเราได้ และคุณเต็มใจที่จะสละชีวิต คุณจะทำอันตรายอะไรเป็นอันดับแรกล่ะครับ”
บัตเลอร์กล่าวเสริมว่า… “ด้วยช่องว่างเวลา 15 นาทีเป็นจุดเริ่มต้น ที่ปรึกษาก็ช่วยกันวางแผนการโจมตีหลอกๆ จนถึงจำนวนที่น้อยที่สุดของกลุ่มผู้ร้ายที่จำเป็นต่อการยึดครองทำเนียบขาว รวมถึงพิจารณาว่าอาวุธแบบไหนที่น่าจะมีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย เราพิจารณาไปถึงรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุดครับ ไม่มีอะไรเกิดจากการคิดฝัน ทุกอย่างเป็นเรื่องของความยอดเยี่ยมของแผนการนี้ มากกว่าจะเป็นแค่ระดับของแอ็คชันน่ะ จำได้มั้ยครับ 9/11 เป็นเรื่องของใครบางคนที่เอาคัตเตอร์ขึ้นเครื่องบินเท่านั้นเอง นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมสะดุดกับเรื่องนี้ ว่ามันเกี่ยวข้องและกระตุ้นเร้าอารมณ์แค่ไหน”
ทีมงานได้ใช้ตุ๊กตุ่นทหารในการวางแผนอย่างละเอียดลออ คอนเซ็ปต์การโจมตีของฟูกัวคือการที่คอมมานโดชาวเกาหลีเหนือจะใช้อาวุธของอเมริกากับอเมริกาเอง คอนเซ็ปต์ของการที่ศัตรูทำลายสัญลักษณ์สูงสุดของอเมริกาด้วยอาวุธของเราเองเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงครับ เราพิจารณาว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าผู้ก่อการร้ายได้ครอบครองอาวุธบางอย่าง ถ้าพวกเขาสร้างเหตุเบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าพวกเขามีคนอยู่ข้างใน เกาหลีเหนือได้ใช้เครื่องมือของเรา ปืนของเราและอุปกรณ์ทั้งหมดของเราในการทำลายล้าง ส่วนเราก็ใช้ของธรรมดาๆ อย่างรถบรรทุกขยะ และอาวุธที่ซับซ้อน ทุกอย่างที่เรามองไม่เห็นค่าอาจถูกผู้ก่อการร้ายใช้ประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งครับ”
โจนส์กล่าว…“เราคิดว่ารถบรรทุกขยะน่าจะหาได้ง่าย และน่าจะเป็นบังเกอร์ที่ค่อนข้างแน่นหนา เราก็เลยเริ่มต้นจากตรงนั้นครับ” “เราวางเรื่องเอาไว้วันที่ 5 กรกฎาคม ดังนั้น รถบรรทุกก็เลยดูเหมือนว่ากำลังเก็บกวาดขยะหลังวันเฉลิมฉลอง อังตวนนำไอเดียนั้นมาเสริมแต่งในแบบของเขาเองครับ”
ฟูกัวอธิบายเสริมว่า… “แม้กระทั่งอิสรภาพขั้นพื้นฐานที่สุดของอเมริกายังถูกพวกคอมมานโดใช้ประโยชน์เพื่อเข้าถึงเป้าหมาย พวกเขาบางคนปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยว และเดินทางไปไหนมาได้โดยอิสระ ไอเดียที่ว่าคนใช้อิสรภาพของเราเป็นอาวุธนี่เป็นเรื่องจริงนะครับ มีคนทิ้งแบ็คแพ็คที่เต็มไปด้วยระเบิดไว้ที่ไทม์สแควร์ แต่ความเสียหายไม่เกิดขึ้นเพราะมีคนขายของแผงลอยบังเอิญไปเจอมันเข้า อะไรทำให้เราเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นที่ทำเนียบขาวล่ะครับ ผู้ก่อการร้ายที่เต็มใจจะสละชีพเพื่ออะไรบางอย่างอาจก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงก่อนที่พวกเขาจะถูกจับตัวได้น่ะครับ”
ฉากการจู่โจมเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ โดยที่ผู้ก่อการร้ายเข้ายึดทำเนียบขาวได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 13 นาทีเท่านั้น มันโหดมากเพราะมันมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริงครับ เราได้ค้นคว้าอย่างหนักเพื่อทำให้มันสมจริง เราคุยกันว่าอาวุธแบบไหนจะมีประสิทธิภาพที่สุดและตัดสินใจใช้ปืน 50 คาลิเบอร์กระบอกใหญ่พวกนั้น เครื่องบิน Lockheed C-130 Hercules ที่ผู้ก่อการร้ายใช้ก็เป็นอุปกรณ์ที่ร้ายกาจทีเดียว คุณสามารถเห็นได้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำอะไรได้บ้างทาง YouTube มันพ่นไฟได้ด้วยครับ ถ้าคุณบินอยู่ และถ้าคุณเตรียมใจจะตายอยู่แล้ว ตอนที่เครื่องบินเจ็ทยิงคุณร่วง คุณก็สามารถสร้างความเสียหายได้มหาศาลครับ”
“เราคุยกับมือเขียนบททีละฉากๆพวกเขาสร้างภาพที่ละเอียดลออของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอาคารหลังนั้นอยู่แล้ว และเราก็ได้ขยายมันออกไปตรงลานสนามด้านหน้าและถนนด้านหน้า ซึ่งในแง่ของการยึดทำเนียบขาวแล้ว ไม่มีฉากไหนในเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ ครับ”
โจนส์กล่าวว่าการได้เห็นทั้งหมดนี้ปรากฏขึ้นบนหน้าจอเป็นอะไรที่น่าขนลุก “การเห็นผู้ก่อการร้ายเดินเข้าไปในทำเนียบขาวทำให้ผมขนลุกครับ ฉากนี้สมจริงอย่างน่าทึ่ง และมันก็เป็นอะไรที่เซอร์เรียลและสั่นคลอนประสาทที่ได้เห็น มันทำให้ผมอึ้งไปเลย นั่นเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ที่มีนักรบที่ผ่านการฝึกฝนอย่างดีที่สุดในโลก อย่างหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดี เป็นผู้คุ้มครองมัน การได้เห็นมันพังครืนลงมาในการต่อสู้เป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งครับ เมื่อกองกำลังเล็กๆ นี้เข้าถึงเป้าหมายแล้ว พวกเขาก็เคลื่อนที่ไปยังศูนย์ปฏิบัติการณ์ฉุกเฉินประธานาธิบดี (หรือพีอีโอซี) บังเกอร์ใต้ทำเนียบขาว ที่เป็นที่ลี้ภัยของประธานาธิบดียามฉุกเฉิน และฟูกัวก็ทำการบ้านอย่างขะมักเขม้นเช่นเคย
นี่เป็นที่ที่ดิค เชนีย์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ถูกพาตัวไประหว่างเหตุ 9/11 ครับ” เขาอธิบาย “เราทำอย่างดีที่สุดเพื่อให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง ซึ่งรวมถึงทำให้แน่ใจด้วยว่าประตูจะเป็นสีแดง เหมือนกับประตูพีอีโอซีของจริง ไม่ว่าเราจะได้ข้อมูลภายในอะไรมา ผมก็พยายามใส่มันเข้าไปในหนังครับ”
ตอนที่เขาเริ่มต้นเตรียมงานสร้างของ Olympus Has Fallen ฟูกัวรู้เกี่ยวกับกลไกการทำงานและวัฒนธรรมของหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีน้อยมาก การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขารับรู้ถึงความมุ่งมั่นที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้มีต่องานของเขาและการเสียสละที่พวกเขาเต็มใจทำด้วย
“ผมไม่รู้มาก่อนว่าพวกเขาสำคัญแค่ไหน หน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีมีโปรแกรมการฝึกที่แยกจากกองทัพ ซีไอเอและเอฟบีไอโดยสิ้นเชิง พวกเขามักจะอยู่ในโหมดป้องกัน เพื่อทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างกับกองทัพ ที่ฝึกฝนเพื่อโจมตี พวกเขาจะเข้าไปก่อนเพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างปลอดภัย และพวกเขาก็จะร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องถิ่น ในบางแง่มุม พวกเขาเป็นคนควบคุมตารางงานของประธานาธิบดี ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาเป็นบุคคลที่โดดเด่นทีเดียวล่ะครับ”
หน้าที่ของพวกเขายังรวมถึงการเต็มใจที่จะรับกระสุนเพื่อประธานาธิบดีอีกด้วย ลองนึกดูสิครับ หน้าที่ของคุณคือการปกป้องประธานาธิบดีและครอบครัวของเขาไม่ให้เป็นอันตราย คุณถูกคาดหวังว่าจะต้องไปยืนรับกระสุน หากจำเป็น ผมไม่รู้จักคนที่อาสาจะทำแบบนั้นซักเท่าไหร่หรอกครับ ผมชื่นชมพวกเขามหาศาลเลย ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงเสมอและพอผมรู้เรื่องพวกนี้ ผมก็อยากจะยกย่องพวกเขาด้วยหนังเรื่องนี้ครับ”
ระหว่างการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ โชคชะตาทำให้ผู้กำกับได้พบกับหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกอีกด้วย “ระหว่างที่เราถ่ายทำ ภรรยาผมโทรมาบอกว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีอยู่ที่บ้านของเรา ผมตกใจมาก คิดว่ามันต้องเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้แน่ๆ กลายเป็นว่าในวันนั้น มีคนพิเศษเดินทางเยือนละแวกบ้านผม และมันก็มีจุดหนึ่งจากบ้านผมที่สามารถมองเห็นบ้านที่เขาไปเยือนได้ พวกเขาก็เลยอยากใช้บ้านผมเพื่อสังเกตการณ์ ผมก็ยังไม่รู้ว่าใครอยู่บ้านหลังนั้น แต่ผมว่ามันตลกดีที่ในวันที่ผมถ่ายทำฉากการยึดทำเนียบขาว หน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีก็มาปรากฏตัวตรงหน้าประตูบ้านผมน่ะครับ”
หลังการรอบฉายทดสอบในอริโซน่าเมื่อไม่นานมานี้ ฟูกัวก็มักจะได้พบกับผู้ชมที่บอกว่าพวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้ “หลายคนบอกว่ามันทำให้พวกเขารักชาติมากขึ้นและทำให้พวกเขาอยากจะสู้เพื่อประเทศนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าดีใจมาก นี่ไม่ใช่หนังรณรงค์ แต่มันเป็นเรื่องราวอเมริกัน มันก็เลยเป็นเซอร์ไพรส์ที่น่ายินดีสำหรับผมครับ”
เพียงแค่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ที่ปรากฏใน Olympus Has Fallen อาจจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ผู้กำกับกล่าวว่า “แต่ตั้งแต่ 9/11 เราเริ่มมองโลกเปลี่ยนไปแล้ว หนังเรื่องนี้ให้ความบันเทิงใจอย่างมากก็จริง แต่มันก็เป็นเรื่องราวเตือนใจด้วย ในตอนที่เราลดเกราะกำบังตัวเองลง อะไรๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นครับ”