ความสยองต่อเนื่องจากภาคแรกหลังจากที่ เนลล์ สวิทเซอร์ (รับบทโดย แอชลี่ย์ เบล) ได้ให้กำเนิดทารกในคราบของซาตาน ทำให้ครอบครัวของเธอก็ถูกพวกคลั่งลัทธิฆ่าตายอย่างโหดเหี่ยมแบบยกครัว เหลือเพียงแค่เนลล์ที่หนีการตามล่าเข้าไปอยู่ในป่าก่อนจะถูกช่วยออกมาโดยหน่วยกู้ภัยในสภาพสกปรกและเลือดเกราะกรัง เธอทั้งสับสันและหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหมอพยายามรักษาช่วยเธอให้ฝืนสภาพร่างกายและจิตใจ แต่เนลล์กลับจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้นอกจากรู้ว่าครอบครัวของเธอถูกฆ่าตายหมดเพียงอย่างเดียว เธอย้ายที่ออกไปแห่งใหม่โดยยังมีแพทย์คอยติดตามเฝ้าดูอาการของเธออย่างสม่ำเสมอ เนลล์พยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่ออกเที่ยวกับ คริส (รับบทโดยสเปนเซอร์ ทรีท คลาร์ก) หนุ่มหน้าใสที่มาตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจัง และเธอก็มีโอกาสได้เข้าทำงานในโรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง แต่อยู่ๆ ก็มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเนลล์ เมื่อปิศาจตนเดิมหวนกลับมาตามหลอกหลอนเธออีกครั้ง คราวนี้มันจู่โจมเธอแบบไม่ทันได้ตั้งตัว สุดท้ายแล้วเนลล์จะหลุดพ้นจากการตามหลอกหลอนของปีศาจร้ายได้หรือไม่? หาคำตอบได้ใน…The Last Exorcism Part II ทุกโรงภาพยนตร์
เกี่ยวกับภาพยนตร์
เนล สวีทเซอร์ (แอชลีย์ เบล) เป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากพิธีกรรมสยดสยอง ชวนตะลึง ในบทสรุปของ THE LAST EXORCISM การผจญภัยของเธอยังดำเนินต่อไปใน THE LAST EXORCISM PART II แม้ว่าลูกทีมถ่ายทำสารคดีที่ถูกสังหารและกล้องของพวกเขาจะถูกทิ้งไว้ในลำธาร แทนที่จะใช้สไตล์เลียนแบบสารคดีแบบภาคแรก THE LAST EXORCISM PART II กลับใช้มุมมองการเล่าเรื่องที่สดใหม่แทน
“เราอยากจะทำการเปลี่ยนแปลงด้านสไตล์จากสไตล์สารคดีของภาคแรกไปเป็นการเล่าเรื่องตรงๆ ในซีเควลนี้อย่างชัดเจนครับ” ผู้อำนวยการสร้างอีไล ร็อธกล่าวอธิบาย “วิธีการใหม่นี้ทำให้เราสามารถทำเรื่องให้ลึกซึ้งขึ้นและมืดหม่นขึ้นได้ ผมไม่อยากจะเผยความลับที่ซ่อนอยู่ภายในบ้านผีสิงหรอกนะครับ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราต้องรับมือกับใครและอะไร และเราก็จะได้ล้วงลึกลงไปในเรื่องนั้นมากขึ้น”
องค์ประกอบของ “สารคดี” ใน THE LAST EXORCISM กลายเป็นจุดสนในใจซีคเวล “สิ่งที่เราตัดสินใจก็คือภายในโลกของ THE LAST EXORCISM PART II หนังภาคแรกมีอยู่จริง มันไม่ได้เป็นหนัง แต่เป็นวิดีโอส่งต่อกันที่คนได้ดูกันน่ะครับ” ร็อธกล่าว “มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นวิธีที่ชาญฉลาดที่สุด และเป็นธรรมชาติที่สุดในการนำหนังเรื่องแรกเข้ามา แต่ก็ยังมีหลายๆ คนในหนังเชื่อว่าเธอเป็นแค่เด็กเพี้ยนๆ ที่หักนิ้วตัวเองในอินเตอร์เน็ตน่ะครับ”
“เราสร้างหนังสไตล์สารคดีของเราแล้ว” ผู้ควบคุมงานสร้างกาเบรียล นีมานด์ กล่าวเสริม “หนังแนวนั้นจะเวิร์คก็ต่อเมื่อมันมีเหตุผลชัดเจนว่าทำไมกล้องถึงอยู่ตรงนั้น ซึ่งทีมงานของเราก็ตายในหนังภาคแรกไปแล้ว หนังสไตล์สารคดีจะทำให้คุณเข้าถึงความคิดของผู้กำกับ แต่ในหนังเรื่องนี้ เราอยากจะถ่ายทอดหนังที่ทำให้คุณเข้าถึงความคิดของเนลครับ”
“หนึ่งในคำถามที่มักไม่มีคำตอบในหนังแนวไล่ผีคือ ‘ปีศาจต้องการอะไรกันแน่?’ น่ะครับ” ผู้อำนวยการสร้างอีริค นิวแมนบอก “เราชื่นชอบการสำรวจไอเดียที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ปีศาจตนนี้และเด็กสาวคนนี้ได้สร้างสายสัมพันธ์ระหว่างกัน พวกเขาถูกทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันและปีศาจตนนี้ก็ไม่อาจคงอยู่ในโลกนี้ได้ถ้าไม่มีเธอครับ”
นิวแมน ผู้มีเมล็ดพันธุ์แรงบันดาลใจสำหรับภาพยนตร์ภาคแรก กล่าวว่าสัญชาตญาณแรกของเขาคือการสร้างซีเควลเกี่ยวกับเมืองอีแวนวู้ด หลังจากเหตุฆาตกรรมในภาคแรก “แน่นอนว่ามันมีโอกาสสร้างเรื่องน่ากลัวมากมาย แต่ผมไม่รู้ว่าหนังจะบอกอะไรได้” เขาบอก “แล้วผมก็เริ่มนึกถึงพลังของการที่ใครซักคนยอมรับว่าพวกเขาไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกกลัว แต่จริงๆ แล้ว พวกเขาเป็นคนที่ควรจะถูกกลัวต่างหาก พอผมนึกเรื่องนั้นมาได้ เราก็ให้เดเมียน ชาเซลล์ มาเขียนบทครับ”
“THE LAST EXORCISM PART II ติดตามการเดินทางของเนลหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก ผมก็เลยคิดว่ามันจะช่วยทำให้ตัวละครของเธอสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น” มือเขียนบทร่วม เดเมียน ชาเซลล์บอก “เธอเป็นตัวเอกของเรื่องราวจริงๆ และทุกสิ่งที่เราเห็นในซีเควลเรื่องนี้ก็มาจากมุมมองของเธอ”
ตัวละครบางตัวจาก THE LAST EXORCISM ก็อยู่ในภาคสองนี้ด้วย แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทำให้มีใส่ตัวละครเหล่านี้เข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ ในแบบที่ทำให้แน่ใจว่าผู้ชมที่ไม่เคยดูภาคแรกมาก่อนจะสนุกกับภาคใหม่นี้ได้โดยไม่รู้สึกว่าพวกเขาพลาดอะไรที่สำคัญไป แต่แฟนๆ ของ THE LAST EXORCISM ก็จะรู้สึกยินดีเมื่อพวกเขาได้เห็นตัวละครและรายละเอียดบางอย่างในภาคใหม่ ที่อ้างไปถึงภาคแรก
“วิธีการใหม่นี้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงมุมมองและดำดิ่งลงไปในสภาพจิตใจของเนล ทั้งอดีตของเธอ ความหวังที่เธอมีต่ออนาคต และมุมมองที่เธอมีต่อโลกใบนี้” ชาเซลล์กล่าวต่อ “มันเป็นเหมือนโอกาสในการสร้างหนังสยองขวัญที่คลาสสิกมากๆ และผลที่ออกมาคือสิ่งที่เราไม่ค่อยจะเห็นบ่อยนักในหนังไล่ผีครับ”
เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับการไล่ผี
¥ ชาวอเมริกัน 42% เชื่อเรื่องปีศาจเข้าสิง
¥ อาร์คบิช็อปแห่งกัลกัตต้าเคยสั่งให้มีการไล่ผีแม่ชีเธเรซาก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต
¥ คาธอลิค เชิร์ช มีนักไล่ผีอาชีพอย่างน้อย 10 คนในอเมริกา
¥ ในการประมาณการคร่าวๆ มีบาทหลวงที่ทำพิธีไล่ผีอย่างน้อยๆ ห้าหรือหกร้อยคนในปัจจุบัน
¥ มีการอ้างถึงการที่พระเยซูขับไล่ปีศาจมากกว่าสิบครั้งในกอสเปล
¥ การไล่ผี (Exorcism ) เป็นคำที่มาจากภาษากรีก คำว่า “exorkizein” หมายถึง “การผูกมัดด้วยคำสาบาน” วิญญาณชั่วร้าย (ปีศาจ) ที่สิงในร่างคนจะถูกไล่ (บังคับให้จากไป) ด้วยผู้มีอำนาจสูงกว่า เช่นพระเจ้าหรือพระเยซู การไล่ผีของคาธอลิคเริ่มต้นด้วยคำว่า ,Adjure te, spiritus nequissime, per Deum omnipotentem ซึ่งหมายความว่า “ข้าขอสั่งเจ้า วิญญาณชั่วร้าย ด้วยอำนาจแห่งพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์…”
¥ ระหว่างยุค 80s วิทยาลัยคริสตธรรมฟูลเลอร์ในพาซาเดนา ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาลัทธิต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ได้เสนอคอร์สการไล่ผีให้กับผู้จะเป็นบาทหลวงในอนาคต แม้จะไม่มีการสอนคอร์สนี้อีกแล้ว แต่กำลังมีการดำเนินการเพื่อเปิดสอนหลักสูตรนี้ในอีกรูปแบบหนึ่ง
¥ มีการกล่าวว่าการถูกสิงสู่โดยวิญญาณร้าย (จินน์) หรือปีศาจ (ไชตัน) และการไล่ผีเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลามมาตั้งแต่เริ่มแรก เชื่อกันว่าจินน์สามารถควบคุมได้แต่ผู้ที่ไม่ยึดมั่นในพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง
¥ ในบรรดาชาวคริสเตียนเกือบ 1,600 คนที่มีการสำรวจ 57% มั่นใจว่าผู้มีศรัทธาจะมีพลังที่จะขับไล่ปีศาจในพระนามของพระเยซูได้
¥ ภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแนวนี้ (ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ทั้งหมด) คือภาพยนตร์ปี 1973 ของวิลเลียม ฟรายด์คิน เรื่อง The Exorcist ที่อ้างว่าสร้างขึ้นจากเหตุการณ์จริง
¥ ความสำเร็จอย่างไม่คาดฝันของภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยปลุกให้เกิดความสนใจในบทบาทของปีศาจในศาสนศาสตร์คริสเตียน และได้ทำให้เกิดกระแสการตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับซานตา มนต์ดำ และหัวข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การสิงสู่ของปีศาจกลายเป็นเหมือนแฟชัน และนักบวชก็ได้รื้อฟื้นพิธีไล่ผีที่ถูกลืมไปนานแล้วกลับมาอีกครั้ง
¥ อย่างไรก็ดี คาธอลิค เชิร์ชในเยอรมนี ได้ทำให้การอนุญาตให้มีการไล่ผีเป็นเรื่องยากหลังจากการเสียชีวิตในปี 1973 ของแอเนลิส มิเชล เหยื่อการไล่ผีวัย 23 ปี ผู้ปรากฏอาการผิดปกติทางจิตครั้งแรกตอนอายุได้ 16 ปี เห็นได้ชัดว่าเธอทุกข์ทรมานจากอาการซึมเศร้า โรคลมชัก และการมองเห็นภาพหลอนต่างๆ
¥ การไล่ผีเวอร์ชันทางโลกเกิดขึ้นจากฝีมือของนักบำบัดบางคนที่มีความชำนาญในการเปิดเผยและกำจัด “สิ่งซ่อนเร้น” ในตัวคนไข้ ซึ่งนักบำบัดเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากับคนไข้ นักบำบัดที่ปลดปล่อยสิ่งซ่อนเร้าเหล่านี้ยังคงทำงานต่อไปแม้จะไม่มีหลักฐานในเรื่องของ “สิ่งซ่อนเร้น” นี้พอๆ กับหลักฐานของปีศาจที่ถูกขับไล่โดยนักบวชคาธอลิคและนักการศาสนาโปรเตสแตนท์
¥ ในช่วงยุค 80s การไล่ผีได้รับความสนใจอย่างมากภายในแวดวงศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพวกเพนเทคอสตอล
¥ ไม่ควรมีการไล่ผีหากไม่มีการได้รับอนุญาตจากบิช็อปในเขตปกครองนั้น และไม่ควรมีการไล่ผีจนกว่าจะมีการตัดความเป็นไปได้ในเรื่องของการป่วยทางจิตใจหรือร่างกายออกไปหมดเสียก่อน
¥ การไล่ผีถูกให้ความสำคัญมากขึ้นในโบสถ์แบบคาริสเมติค ที่ซึ่งมันถูกพูดถึงว่าเป็น “สมรภูมิแห่งจิตวิญญาณ”
เรียบเรียงข้อมูลโดยดร.ซามูร์ เอ็ม. ฟลอเรส-เพนนา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์
คณะศิลปะศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โอทิส คอลเลจ ออฟ อาร์ต แอนด์ ดีไซน์ ลอสแองเจลิส, แคลิฟอร์เนีย