ข้อมูลงานสร้าง
ใน Money Monster ทริลเลอร์ลุ้นระทึกแบบเรียลไทม์จอร์จคลูนีย์และจูเลียโรเบิร์ตส์นำแสดงในบทพิธีกรรายการโทรทัศน์ด้านการเงินลีเกทส์และผู้อำนวยการสร้างของเขาแพ็ตตี้ผู้ถูกต้อนให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเมื่อนักลงทุนผู้โมโหจากการสูญเสียทุกอย่างไป (แจ็คโอ’ คอนเนล) ได้ใช้กำลังยึดสตูดิโอของพวกเขาระหว่างการแพร่ภาพสุดตึงเครียดสู่สายตาผู้ชมนับล้านที่ชมอยู่ทางบ้านลีและแพ็ตตี้ต้องรีบเร่งทำงานแข่งกับเวลาเพื่อไขปริศนาเบื้องหลังการสมคบคิดที่อยู่ศูนย์กลางของตลาดโลกที่ไฮเทคและเปลี่ยนแปลงฉับไวในปัจจุบัน
ไทรสตาร์พิคเจอร์สร่วมกับแอลสต์แคปิตัลภูมิใจเสนอผลงานสร้างโดยสโมคเฮาส์/อัลลีเจียนซ์เธียเตอร์ภาพยนตร์โดยโจดี้ฟอสเตอร์ Money Monster ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยจอร์จคลูนีย์, จูเลียโรเบิร์ตส์, แจ็คโอ’ ดอนเนล, โดมินิคเวสต์, แคทรินาบัลเฟและจิอันคาร์โลเอสโพซิโตกำกับโดยโจดี้ฟอสเตอร์อำนวยการสร้างโดยแดเนียลดูบิ๊คกี้, ลาราอลาเม็ดดิน, จอร์จคลูนีย์และแกรนท์เฮสลอฟบทภาพยนตร์โดยเจมีลินเดนและอลันดิฟิโอเรและจิมคอฟด้วยเรื่องราวโดยอลันดิฟิโอเรและจิมคอฟโดยมีเคอร์รีโอเรนท์, ทิมเครน, เรจินาสคัลลีย์และเบนไวส์เบรนรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างทีมงานสร้างรวมถึงผู้กำกับภาพแมทธิวลิบาทิค, เอเอสซี, ผู้ออกแบบงานสร้างเควินธอมป์สัน, มือลำดับภาพแมทท์เชสเซเอซีอีและผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายซูซานลีออลดนตรีโดยโดมินิคลูอิสอำนวยการสร้างด้านดนตรีโดยเฮนรีแจ็คแมน
เกี่ยวกับภาพยนตร์
“ฉันรักหนังเรื่องนี้เพราะมันมีสองสิ่งที่บางครั้งคนจะคิดว่าเป็นเรื่องตรงข้ามกันค่ะ” โจดี้ฟอสเตอร์ผู้กำกับทริลเลอร์เรื่อง Money Monster ที่นำแสดงโดยจอร์จคลูนีย์และจูเลียโรเบิร์ตส์กล่าว “สิ่งหนึ่งคือมันเป็นทริลเลอร์เมนสตรีมที่น่าตื่นเต้นเดินเรื่องเร็วฉลาดแต่ก็มีความเข้าถึงได้จริงๆด้วยอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการไปดูหนังคือคุณจะรู้สึกประทับใจกับเรื่องราวจริงๆมันเป็นเรื่องราวที่เข้าถึงได้อย่างเหลือเชื่อค่ะ”
“สำหรับฉันสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดของเรื่องราวนี้นอกเหนือจากตำรวจเฮลิคอปเตอร์ปืนระเบิดและความตื่นเต้นที่รวดเร็วแล้ว” ฟอสเตอร์กล่าวต่อ “คือการที่ผู้ชายคนนี้ลีเกทส์ที่รับบทโดยจอร์จคลูนีย์เริ่มต้นเป็นแบบหนึ่งเขาเป็นคนตื้นเขินพอใจในตัวเองว่างเปล่าเขาประสบความสำเร็จกับงานของเขาแต่กลับเป็นความล้มเหลวในสายตาทุกคนรวมถึงตัวเขาเองด้วยแต่เขาก็เจอกับช่วงเวลาเลวร้ายที่บีบให้เขาเผชิญหน้ากับความท้าทายได้สำเร็จเขาพบความเป็นมนุษย์ของตัวเองเติบโตขึ้นพัฒนาขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปด้วยความช่วยเหลือของจูเลียค่ะ”
“โลกของเงินตราเติบโตขึ้นชนิดไม่อาจควบคุมได้เมื่อเกิดสิ่งผิดพลาดคุณก็จะไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรกันแน่ที่ผิดพลาดและคนธรรมดาๆนี่แหละที่จะจบเห่ครับ” จอร์จคลูนีย์ผู้รับบทพิธีกรรายการข่าวการเงินผู้เผชิญหน้ากับหนึ่งในคนธรรมดาพวกนี้ที่มุ่งมั่นจะหาใครซักคนเป็นผู้รับผิดชอบไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตามกล่าว
“โจดี้ไม่เคยปล่อยให้ความตึงเครียดลดลงเลยครับ” ผู้อำนวยการสร้างแดเนียลดูบิ๊คกี้ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับลาราอลาเม็ดดินหุ้นส่วนของเขา, คลูนีย์และแกรนท์เฮสลอฟหุ้นส่วนของเขากล่าว “หนังทั้งเรื่องเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์จากการที่เหตุการณ์นี้ออกอากาศแบบสดๆทางโทรทัศน์มันตึงเครียดมากๆครับ”
คลูนีย์รับบทลีเกทส์นักลงทุนในตลาดหุ้นคนดังพิธีกรผู้มีชื่อเสียงของรายการโทรทัศน์ด้านการเงินผู้โฉบเฉี่ยวไปมารอบเวทีตะโกนให้คำแนะนำด้านการลงทุนและพูดคุยเรื่องตลาดด้วยอุปกรณ์และซาวน์เอฟเฟ็กต์น่าขบขัน “รายการ ‘Money Monster’ ค่อนข้างน่าขันค่ะ” ฟอสเตอร์กล่าว “มันเป็นรายการข่าวการเงินแต่มันมีอุปกรณ์มากมายมีคลิปหนังเก่าระฆังนกหวีดและเบาะตดที่ลีเกทส์หยิบเอามาใช้อธิบายตลาดการเงินเขาร้องเพลงและเต้นรำกับสาวสวยสวมหมวกแบบต่างๆเพื่อที่เขาจะได้อธิบายถึงเคล็ดลับการเล่นหุ้นแต่มันก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเกลียดตัวเองลึกๆในใจหนังเรื่องนี้นำเสนอโอกาสที่คาดไม่ถึงให้เขาได้กลับตัวกลับใจเสียใหม่ค่ะ”
ผู้ที่แสดงร่วมกับจอร์จคลูนีย์คือจูเลียโรเบิร์ตส์ผู้รับบทแพ็ตตี้เฟนน์ผู้อำนวยการสร้างรายการ “Money Monster” ผู้แน่วแน่และมั่นคง “แพ็ตตี้เฟนน์เป็นสุดยอดผู้อำนวยการสร้างค่ะเธอสามารถทำงานหลายๆอย่างได้พร้อมกันอย่างชำนิชำนาญเธอน่าทึ่งค่ะ” ฟอสเตอร์กล่าว “เธอควบคุมทุกอย่างของรายการนี้และคอยสั่งการลีเกทส์ว่าต่อไปเขาต้องทำอะไรบ้างลีเกทส์อาจจะขี้เกียจเขาไม่ค่อยท่องบทของตัวเองเขาจะพูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูดและเธอก็คอยดูเพื่อทำให้แน่ใจว่ารายการนี้จะผ่านไปได้ด้วยดีเธอรู้ว่าจะรับมือกับคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้ยังไงน่ะค่ะ”
คลูนีย์กล่าวเสริมว่าการโอ้อวดคุยโวทั้งหมดนั้นซ่อนความรังเกียจที่มีต่อผู้ชมรายการนี้อย่างลึกซึ้ง “มันมีความเย้ยหยันที่ถูกถ่ายทอดออกมาในรายการพวกนี้ครับ” คลูนีย์บอก “คุณจะได้เห็นคนพวกนี้ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะบอกคุณว่าคุณควรจะลงทุนที่ไหนบ้างแล้วพอคุณทำตามนั้นและสูญเงินไปพวกเขาก็จะบอกว่า ‘มันเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้’ น่ะครับ”
อย่างไรก็ดีคลูนีย์ตั้งข้อสังเกตว่า “หนังเรื่องนี้เป็นมากกว่าเรื่องของตัวละครสามตัวและสิ่งที่พวกเขาเผชิญโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละครของแจ็คโอ’ คอนเนลครับ”
เมื่อราคาของอิบิสเคลียร์แคปิตอลหนึ่งในหุ้นที่เกทส์เชียร์อย่างหนักร่วงดิ่งอย่างน่าสงสัยเขากำลังแสดงท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องในตอนที่ไคล์บัดเวล (โอ’ คอนเนล) นักลงทุนผู้ทุกข์ร้อนได้ทำการบุกยึดการถ่ายทอดสดรายการ “Money Monster” เพื่อกดดันเกทส์และเฟนน์ให้ทำตามความต้องการของเขา
ในการยึดรายการของเกทส์เขาได้ก่อให้เกิดวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ในโทรทัศน์ “มันเป็นเรื่องสนุกสำหรับเราครับ” ผู้อำนวยการสร้างแกรนท์เฮสลอฟกล่าว “เราแทบจะเฉยชากับเรื่องราวที่เราเห็นทางโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ตการที่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับรายการสดเป็นวิธีการสนุกสนานในการให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้นครับ”
เกทส์เริ่มคุยกับไคล์ในตอนแรกก็เพื่อยืดชีวิตของตัวเองโดยได้ความช่วยเหลือจากแพ็ตตี้ผู้ยังคงความสงบอยู่ได้ในห้องควบคุม “ไคล์ไม่รู้ว่าลีคุยกับแพ็ตตี้ผ่านหูฟังตลอดเวลาครับ” เฮสลอฟอธิบาย “จากมุมมองด้านดรามามันเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมและผมคิดว่ามันก็เป็นอุปกรณ์สนุกๆให้จอร์จและจูเลียได้เล่นในฐานะนักแสดงด้วย”
ภายหลังเมื่อเกทส์และแพ็ตตี้พยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่พวกเขาก็เริ่มรู้สึกสะเทือนใจไปกับความเจ็บปวดของไคล์พวกเขาได้ปลุกความเป็นนักข่าวในตัวขึ้นมาใหม่และเปิดโปงการสมคบคิดในวอลล์สตรีทที่โยงใยไปเกินกว่าพวกเขาทั้งสามคนนี้
“สิ่งที่แปลกใหม่จริงๆคือการสร้างเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวอลล์สตรีทแต่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับมันซะทั้งหมด” อลาเม็ดดินกล่าว “มันเป็นเรื่องของคนสามคนที่มาพบกันจากคนละด้านของเหรียญท้ายที่สุดแล้วผู้ชายที่นิสัยตื้นเขินชอบการคุยโวโอ้อวดคนนี้ก็ได้พบความผูกพันที่แท้จริงกับคนที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน”
ในการสวมบทลีเกทส์คลูนีย์ได้สร้างตัวละครพิธีกรรายการโทรทัศน์ที่หยิ่งยะโสบ้าระห่ำและไร้สัมมาคารวะขึ้นมา “ลีเกทส์เป็นโชว์แมนนิดๆค่ะ” ฟอสเตอร์กล่าว “จอร์จมีไอเดียที่ให้ลีเกทส์เปิดตัวรายการ ‘Money Monster’ ด้วยการเต้นในตอนแรกที่เขามาซ้อมเขาบอกว่า ‘ผมขอเวลาครึ่งชั่วโมงเพื่อคิดท่าเต้น’ แล้วฉันก็บอกว่า ‘ฉันคิดว่าคุณต้องการมากกว่านั้นนะ’ เราก็เลยให้นักออกแบบท่าเต้นมาช่วยค่ะ”
เฮสลอฟกล่าวว่าบางครั้งการเป็นผู้อำนวยการสร้างก็เป็นงานหนักแล้วก็มีบางครั้งที่หุ้นส่วนการอำนวยการสร้างของคุณปรากฏตัวเพื่อเต้น “แค่ดูก็สนุกแล้วครับ” เขาบอก “มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่คุณจะได้นั่งผ่อนคลายและดูการแสดงการได้เห็นเขาเต้นท่าบ้าๆบอๆสองสามวันโดยเฉพาะผมเพราะผมรู้จักเขามานานแล้วและลูกๆผมก็อยู่นั่นด้วยเราสนุกกับการเต้นของเขาจริงๆครับ”
“จอร์จตั้งใจจะทำให้ตัวเองทำตัวน่าขันจริงๆค่ะ” ฟอสเตอร์กล่าวต่อ “ฉันชอบตรงนั้นของเขามันมีอะไรบางอย่างที่น่าขันเกี่ยวกับการได้เห็นคนผิวขาววัยกลางคนเดินออกมาแล้วเต้นฮิปฮ็อปแบบเพี้ยนๆ…คุณอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและคิดว่าตัวละครของเขาเป็นตัวตลก”
ไอเดียที่ว่าวิกฤติการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นแบบถ่ายทอดสดเป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคลูนีย์ “ผมโตมากับรายการถ่ายทอดสดทุกวันในชีวิตของผมตลอด 16 ปีแรกเป็นการถ่ายทอดสดเพราะพ่อผมมีรายการวาไรตี้สดและออกรายการข่าวถ่ายทอดสดด้วย” คลูนีย์เล่า “หลังจากนั้นผมก็เหมือนกับบังคับให้เอ็นบีซีถ่ายทอดสดเอพิโซดของ ‘ER’ และผมก็ถ่ายทำ ‘Fail Safe’ แบบสดๆเหมือนกันนั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนรายการอื่นๆจะเริ่มทำรายการที่ท้ามฤตยูจริงๆผมคิดว่าสิ่งเดียวที่โทรทัศน์สามารถทำได้และหนังทำไม่ได้ก็คือการออกอากาศสดๆนี่ล่ะมันเหมือนการบินโดยไม่มีตาข่ายรองรับและนั่นก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นครับ”
“ผมเคยร่วมงานกับจอร์จมาก่อนใน Up in the Air และตัวละครของเขาในหนังเรื่องนั้นก็มีแง่มุมที่คล้ายกับตัวละครของเขาในหนังเรื่องนี้” ดูบิ๊คกี้กล่าว “ตัวละครทั้งสองอาจจะเป็นคนที่น่ารังเกียจเรื่องแรกเพราะเขาบินไปทั่วโลกเพื่อไล่คนออกส่วนอีกเรื่องหนึ่งเพราะเขาเย้ยหยันหุ้นที่เขานำเสนอผ่านรายการของเขาเหลือเกินแต่สิ่งที่เหลือเชื่อเกี่ยวกับจอร์จในฐานะนักแสดงคือลักษณะที่ยอดเยี่ยมในการแสดงบทบาทเหล่านี้และทำให้ตัวละครพวกนี้เป็นคนที่เราชื่นชอบได้และเมื่อตัวละครเปลี่ยนแปลงไปเขาก็นำผู้ชมไปกับเขาด้วยครับ”
โรเบิร์ตส์ได้กลับมาร่วมงานกับจอร์จคลูนีย์อีกครั้งในบทแพ็ตตี้เฟนน์ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้างของเกทส์โรเบิร์ตส์พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฟนน์และเกทส์ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียด “เขาเป็นไวลด์การ์ดของเธอและเธอก็พยายามจะควบคุมเรื่องป่วนๆที่เกิดขึ้นเธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาจะทำอะไร” โรเบิร์ตส์อธิบาย “มันมีแง่มุมของความสัมพันธ์ของพวกเขาที่พวกเขาเป็นทีมที่ดีแล้วก็มีบางแง่มุมที่เธอเบื่อแสนเบื่อและอยากจะทำงานในที่ที่ทุกอย่างเมคเซนส์สำหรับเธอในขณะเดียวกันเธอก็มีความสุขมากเพราะพวกเขาแตกต่างกันสุดขั้วและเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณพบคนที่ตรงข้ามกับคุณมันก็จะมีเสน่ห์ดึงดูดบางอย่างค่ะ”
ความสัมพันธ์ในชีวิตจริงระหว่างโรเบิร์ตส์และคลูนีย์ส่งผลต่อเคมีบนหน้าจอระหว่างเฟนน์และเกทส์ “จอร์จคลูนีย์และจูเลียโรเบิร์ตส์รู้จักกันและแคร์กันพวกเขามีเคมีที่น่าสนใจที่ฉันไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะมันมีอยู่แล้วค่ะ” ฟอสเตอร์อธิบาย “พวกเขาสองคนให้ความรู้สึกว่าใกล้ชิดกันอย่างเหลือเชื่อพวกเขามีความจริงจังความเชื่อมโยงและการสื่อสารที่เกิดจากความใกล้ชิดสนิทสนมที่เป็นธรรมชาติระหว่างเพื่อนค่ะ”
“ฉันกับจอร์จเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและเราก็เข้าใจกันดีค่ะ” โรเบิร์ตส์กล่าวเสริม “เราพบสมดุลที่ยอดเยี่ยมในการที่ฉันคอยช่วยเหลือสนับสนุนเขาและสร้างฉากของเราด้วยกันทำความเข้าใจกับจังหวะการเดินเรื่องและวิธีที่เราจะสร้างตัวละครทั้งสองขึ้นมาด้วยกัน”
โรเบิร์ตส์สนใจองค์ประกอบเรียลไทม์ที่ต้องแข่งกับเวลาของสถานการณ์นี้ “แน่นอนว่าในฐานะนักแสดงคุณจะต้องทำงานแข่งกับเวลาเสมอมันเป็นข้อได้เปรียบที่ได้รู้ว่ามันไม่มีเวลาให้ผลาญค่ะ” เธอบอก “มันเป็นเรื่องของการไขปัญหาและการทำตัวฉลาดเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดสถานการณ์นี้ขึ้น”
ผู้ที่รับบทไคล์บัดเวลคนธรมดาที่ต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดหลังจากเจอกับเหตุการณ์ราคาหุ้นทิ้งดิ่งของธนาคารยักษ์ใหญ่ที่ทำให้เขาสูญเงินทั้งหมดที่เขาเก็บออมมาตลอดชีวิตคือแจ็คโอ’ คอนเนลโอ’ คอนเนลผู้แจ้งเกิดจาก Unbroken นำเสนอไคล์ว่าเป็นคนดีที่ทำงานหนักผู้สติแตกภายใต้ความกดดันของหายนะทางการเงิน “ไคล์เป็นคนชนชั้นแรงงานที่เชื่อว่าถ้าเขาทำในสิ่งที่ถูกต้องและขยันทำงานเขาก็สามารถมีสิ่งต่างๆในชีวิต” ฟอสเตอร์อธิบาย “เขาได้รับมรดกเป็นเงินบางส่วนและพยายามจะลงทุนมันอย่างชาญฉลาดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แต่เขากลับสูญเสียเงินทั้งหมดนั่นด้วยสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาสิ่งเดียวที่เขามีในโลกจู่ๆก็สลายหายไปในอากาศและเขาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงไคล์ยอมรับมันไม่ได้เขาไม่อาจยอมรับได้ว่าทั้งๆที่เขาทำทุกอย่างถูกต้องแต่เขาก็ต้องจำใจเดินจากไปเฉยๆไคล์ปฏิเสธที่จะยอมรับความล้มเหลวและทำใจกับมันแต่เขากลับเลือกที่จะสู้กลับ”
“ผมเห็นใจเขาครับ” โอ’ คอนเนลกล่าว “ผมคิดว่าสถานการณ์โชคร้ายของเขาค่อนข้างจะเข้าใจได้และเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้อย่างไรก็ดีไม่มีใครจะเห็นใจกับการกระทำที่ไคล์เลือกทำครับ”
ไคล์ผู้สิ้นหวังและเปลี่ยนไปใช้ความรุนแรงเพื่อหาผู้รับผิดชอบกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับเขาได้เล็งเป้าไปที่ลีเกทส์และวอลท์แคมบี้ซีอีโอของอิบิสเคลียร์แคปิตอล “ไคล์ไปที่กองถ่ายรายการ ‘Money Monster’ เพราะคิดว่าเขาจะได้เห็นตัวการสองคนที่ทำให้เขาประสบหายนะนั่นคือวอลท์แคมบี้ที่รับบทโดยโดมินิคเวสต์ซีอีโอของกองทุนซื้อขายหุ้นและลีเกทส์ผู้รบเร้าผู้ชมให้ลงทุนในอิบิสเคลียร์แคปิตอล” ฟอสเตอร์กล่าว “เขารู้สึกเหมือนพวกเขาฮั้วกันและเขาก็จะถือว่าพวกเขาเป็นคนรับผิดชอบ”
“ไคล์พร่ำถามคำถามยากๆที่ไม่มีใครถาม” ฟอสเตอร์กล่าว “เขาปฏิเสธที่จะมองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นเขารู้ว่าเขาจะไม่ได้เงินของเขากลับมาแต่เขาจะต้องได้รับคำตอบไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามค่ะ”
โอ’ คอนเนลมองตัวละครของเขาว่าเป็นเหยื่อระบบการเงินที่ขาดมาตรการป้องกันที่เหมาะสมในการป้องกันตลาดจากการบงการและความผิดปกติ “มันเป็นเรื่องง่ายที่จะตัดสินว่าไคล์เป็นผู้ร้ายมันเป็นเรื่องเกินขอบเขตที่จะคุกคามชีวิตแต่ผมรู้สึกว่าเขาถูกไล่ต้อนจนเกินจุดแตกหักแล้ว” โอ’ คอนเนลกล่าว “สิ่งที่ไคล์ทำเกิดขึ้นจากความสิ้นหวังและความหวังของผมในการแสดงบทนี้คือเราจะเข้าใจว่าอะไรที่ไล่ต้อนเขาไปจนถึงจุดแตกหักแม้ว่าเขาจะต้องเป็นคนจ่ายค่าตอบแทนราคาสูงสำหรับการกระทำของเขาก็ตาม”
ตลอดทั้งเรื่องไคล์กลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับเกทส์ “แน่นอนว่าปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเกทส์ที่มีต่อสถานการณ์คุกคามนี้คือพยายามจะบงการไคล์” ฟอสเตอร์บอก “เมื่อเขาตระหนักว่าลูกไม้เก่าๆและบทพูดเดิมๆที่บงการคนได้ของเขาใช้ไม่ได้ผลเขาก็ถูกบีบให้เผชิญหน้ากับความจริงที่โหดร้ายที่ว่าเขาไม่ได้มีสติรู้เนื้อรู้ตัวเลยและเขาก็ไม่สามารถจะอยู่เฉยๆระหว่างที่มีการพูดโกหกได้อีกต่อไปแล้ว”
ในการสวมบทบัดเวลโอ’ คอนเนลต้องดึงเอาอารมณ์ดิบของตัวเองออกมา “ไคล์ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งค่ะเขาทำการตัดสินใจโดยใช้อารมณ์อย่างหุนหันพลันแล่น” ฟอสเตอร์อธิบาย “หลายครั้งไคล์แสดงอาการสติอ่อนไหวและรับไม่ได้แต่ก็มีอีกหลายครั้งที่เขาเป็นเหมือนเด็กเล็กๆทำให้คุณอยากจะโอบกอดเขาไว้และบอกเขาว่าทุกอย่างจะโอเคแจ็คต้องสร้างไคล์ขึ้นมาจากความรู้สึกที่ขึ้นลงเหล่านั้นค่ะ”
“แจ็คจะคว้าตัวคุณไว้แล้วไม่ปล่อยค่ะ” อลาเม็ดดินกล่าว “เขามีส่วนผสมของความแข็งแกร่งและความอ่อนโยนแม้ว่าเขาจะทำในสิ่งที่น่ารังเกียจมากๆแต่เขาก็ทำลงไปเพราะเขาอยากให้ใครได้ยินเขาแจ็คทำให้คุณอยากจะรู้สึกอะไรบางอย่างเพื่อเขาที่จะเข้าใจข้อความของเขาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งค่ะ”
ฟอสเตอร์ชื่นชมความมุ่งมั่นที่โอ’ คอนเนลมีต่องานแสดงของเขา “แจ็คเป็นนักแสดงที่วิเศษสุดค่ะ” ฟอสเตอร์กล่าว “ฉันอยากที่จะมองการแสดงด้วยความมุ่งมั่นและความรักอย่างเหลือเชื่อแบบนั้นบ้างในตอนที่ฉันยังสาวฉันชอบเขาตรงนั้นค่ะเขาสามารถใส่อะไรให้กับบทได้มากมายและเขาก็ไม่หยุดที่จะให้ค่ะ”
ในฐานะหัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรของอิบิสเคลียร์แคปิตอลไดแอนเลสเตอร์ที่รับบทโดยแคทรินาบัลเฟจาก “Outlander” เป็นโฆษกของบริษัทที่เผชิญหน้ากับวิกฤติการณ์ทางการเงินอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ไดแอนเป็นคนที่น่าสนใจค่ะเธอเป็นคนที่ค่อนข้างทะเยอทะยานทีเดียวและงานของเธอก็สำคัญต่อเธอมากๆแต่เธอก็เป็นคนมีศักดิ์ศรีค่ะ” บัลเฟบอก “ตัวเธอมีความไร้เดียงสาแบบที่ฉันชอบเธอเชื่อในบริษัทที่เธอทำงานด้วยและรู้สึกว่าพวกเขาทำเรื่องดีๆไว้มากมายเธอไม่มีเหตุผลที่จะตั้งคำถามกับสิ่งที่มีคนบอกเธอแต่พอเธอเริ่มมองเห็นภาพใหญ่ของผลลัพธ์ที่เกิดจากงานของเธอว่ามันส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆยังไงเธอก็กลายเป็นคนที่ค้นหาความจริงอย่างรวดเร็วค่ะ”
ทีมนักแสดงคนอื่นๆรวมถึงจิอันคาร์โลเอสโพซิโตจาก “Breaking Bad” ผู้รับบทมาร์คัสพาวเวลสารวัตรตำรวจผู้พยายามคลี่คลายสถานการณ์และโดมินิคเวสต์จาก “The Wire” ในบทวอลท์แคมบี้ซีอีโอบริษัทอิบิสเคลียร์แคปิตอลที่จู่ๆหุ้นของบริษัทก็ดิ่งลงเหวและกระตุ้นให้ไคล์ต้องเคลื่อนไหว
เกี่ยวกับงานสร้าง
ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ส่วนใหญ่ผู้กำกับจะถ่ายทำด้วยกล้องหนึ่งตัว (หรือกล้องหลายตัวจำนวนไม่เยอะ) ด้วยฟอร์แมทเดียวกันในการกำกับ Money Monster ฟอสเตอร์ได้เผชิญกับความท้าทายใหม่ “ตัวรายการ ‘Money Monster’ ถูกถ่ายทำด้วยกล้องบรอดคาสต์สี่ตัวแล้วเราที่เป็นทีมงานก็ต้องถ่ายทำด้วยเช่นกันค่ะ”
ฟังดูง่ายเว้นแต่กล้องถ่ายทำและกล้องบรอดคาสต์เข้ากันไม่ได้ระหว่างที่บันทึกภาพ “ถ่ายทอดสด” กล้องถ่ายทำจะต้องถูกเก็บให้พ้นทางวิธีแก้ปัญหามาจากการวางแผนอย่างรอบคอบ
“การถ่ายทอดสดเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์และในโลเกชันหลายแห่งถ้ามีคนพูดบนมอนิเตอร์คนที่เขาพูดด้วยจะต้องตอบเขาในจังหวะเดียวกันค่ะ” ฟอสเตอร์กล่าวต่อ “ดังนั้นแมทท์ลิบาทิคผู้กำกับภาพกับฉันก็นั่งเอาหัวชนกันเพื่อหาคำตอบว่าเมื่อไหร่ที่เราจะอยู่ในสถานที่ไหนบ้างหลังจากนั้นซักพักเราก็รู้โดยสัญชาตญาณว่าเราจะต้องใช้กล้องไหนเวลานี้ควรจะอยู่บนกล้องโทรทัศน์และเวลานั้นควรจะอยู่ในกล้องถ่ายทำทำนองนั้นน่ะค่ะแล้วเมื่อเรารวมมันเข้าด้วยกันทุกอย่างก็แนบเนียนค่ะ”
ในการใช้กล้องที่แตกต่างกันฟอสเตอร์สามารถสร้างอารมณ์ที่แตกต่างกันสองแบบขึ้นมาได้ “กล้องถ่ายทำให้อารมณ์ที่มืดหม่นขุ่นมัวแบบที่คุณไม่สามารถหาได้จากอย่างอื่นและกล้องบรอดคาสต์ก็จะให้มุมมองที่สดใสสว่างกับคุณ” ฟอสเตอร์กล่าว “เมื่อเราสลับกลับไปกลับมาระหว่างกล้องทั้งสองแบบมันก็จะเกิดความตึงเครียดและพลังงานที่มาจากการที่ผู้ชมต้องเปลี่ยนไปมาระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องไม่จริงน่ะค่ะ”
“กล้องบรอดคาสต์ทำให้เกิดความรู้สึกของรายการโทรทัศน์สดเป็นเวอร์ชันมองทะลุกระจกที่ตัวละครของจูเลียเห็นในมอนิเตอร์แต่กล้องพวกนั้นไม่ได้บันทึกดรามาที่เกิดขึ้นจริงๆครับ” ผู้อำนวยการสร้างแดเนียลดูบิ๊คกี้กล่าว “กล้องถ่ายทำจะอยู่ข้างๆตัวละครเพื่อบันทึกอารมณ์ที่เกิดขึ้นครับ”
“เกร็ดตลกๆอย่างหนึ่งคือช่างกล้องสองสามคนในหนังเป็นช่างกล้องในชีวิตจริงด้วยค่ะ” อลาเม็ดดินกล่าว “โจดี้อยากจะทำให้แน่ใจว่าใครก็ตามที่ควบคุมกล้องอยู่จะสามารถทำให้มันดูสมจริงได้”
แต่อีกครั้งหนึ่งพวกเขาเจอปัญหาการไม่สามารถถ่ายทำโดยการใช้กล้องทั้งสองชนิดพร้อมกันคลูนีย์กล่าวว่าทางแก้ปัญหาก็คือส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วงเวลาทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนซาวน์สเตจของรายการโทรทัศน์นั้นจะถูกถ่ายทำสองครั้งครั้งหนึ่งจากมุมมองของกล้องบรอดคาสต์และอีกครั้งหนึ่งด้วยกล้องถ่ายทำ “วันหนึ่งๆคุณต้องเจอกับโมโนล็อกเก้าหน้าเต็ม” คลูนีย์บอก “พอคุณแสดงทั้งหมดนั่นเสร็จคุณก็ต้องแสดงใหม่อีกรอบเพื่อกล้องอีกตัว”
“สเตจทั้งหมดของ ‘Money Monster’ ถูกถ่ายทำตามลำดับและมันก็มีความยาวเกือบเท่าหนังทั้งเรื่องค่ะ” ฟอสเตอร์กล่าว “ตัวละครสองตัวนี้เริ่มต้นวันแรกของการถ่ายทำได้พบกันเป็นครั้งแรกและเมื่อเหตุการณ์ในแต่ละฉากเกิดขึ้นพวกเขาก็เปลี่ยนไปและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็งอกเงยขึ้นค่ะ”
นอกจากนี้เธอยังต้องคำนึงถึงกราฟิก 3D สำหรับรายการ ‘Money Monster’ อีกด้วย “เรามีทีมงานห้าคนที่คิดภาพกราฟิกทั้งหมดและแต่ละคนก็มีความชำนาญในสายของตัวเองค่ะ” ฟอสเตอร์เล่า “พวกเขาสงบนิ่งอย่างเหลือเชื่อเราสามารถทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นบนหน้าจอได้เหมือนอย่างที่มันจะเกิดขึ้นในรายการสดเลยค่ะ”
อีกหนึ่งโลเกชันสำคัญของเรื่องที่ปรากฏบ่อยครั้งในภาพยนตร์เรื่องนี้คือห้องควบคุมของรายการ “Money Monster” ที่ซึ่งแพ็ตตี้คอยกำกับรายการและพยายามรักษาชีวิตลีเอาไว้ “เราถ่ายทำที่สตูดิโอส์ซีบีเอสในเขตอัปเปอร์เวสต์ไซด์ของแมนฮัตตัน” ฟอสเตอร์เล่าพลางตั้งข้อสังเกตว่ามันเป็นห้องควบคุมจริงๆที่สามารถจัดการกับการถ่ายทอดสดแบบรายการ “Money Monster” ได้ “เราอยากจะรักษาระดับความสมจริงแบบที่ปรากฏในรายการสดและบันทึกความเข้มข้นและความหมกมุ่นที่เกิดขึ้นในชั่วขณะนั้นให้ได้ค่ะ”
แน่นอนมันมีความท้าทายเช่นกัน “หนึ่งในองค์ประกอบที่ยากที่สุดในการสร้างหนังเรื่องนี้คือห้องควบคุมขนาดสิบห้าคูณแปดฟุตห้องนี้ค่ะ” ฟอสเตอร์กล่าวต่อ “กล้องของเราเข้าไปในห้องนั้นได้ลำบากมากๆค่ะ”
“เราให้ผู้กำกับฝ่ายเทคนิคมืออาชีพของเราสอนจูเลียว่าจะทำตัวเป็นผู้อำนวยการสร้างจริงๆยังไง” ฟอสเตอร์กล่าวเสริม “เธอค่อนข้างภูมิใจกับความจริงที่ว่าเขาคิดว่าเธอทำได้เยี่ยมมากและมันก็ดูเหมือนว่าเธอรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ซะด้วยสิคะ”
ในการสร้างความแตกต่างระหว่างภาพยนตร์ Money Monsterและรายการโทรทัศน์ “Money Monster” เควินธอมป์สันผู้ออกแบบงานสร้างของเรื่องได้สร้างฉากภายในฉากขึ้นมา “เป็นเรื่องสำคัญเสมอสำหรับโจดี้ที่จะได้เห็นฉากของตัวรายการโทรทัศน์ ‘Money Monster’ ฉากของรายการที่ผู้ชมเห็นในโทรทัศน์รวมถึงด้านหลังฉากและกล้องบรอดคาสต์ที่ควรจะถ่ายทำรายการอยู่ด้วยน่ะครับ” ธอมป์สันอธิบายตัวกล้องถ่ายทำจะอยู่ด้านหลังทั้งหมดนี้เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งเรื่อง “ตอนที่เราออกแบบฉากเราเริ่มต้นจากตรงกลางแล้วค่อยสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับแอ็กชันที่เกิดขึ้นเราสร้างสเตจบรอดคาสต์ขึ้นมาภายในซาวน์สเตจแล้วค่อยสร้างฉากของรายการ ‘Money Monster’ ขึ้นมาด้านในสเตจนั้นน่ะครับ”
สุดท้ายธอมป์สันกล่าวว่าแผนกศิลป์สามารถออกแบบฉากที่จะสร้างความแตกต่างด้านภาพวิชวลที่ชัดเจนและยกระดับความตึงเครียดให้สูงขึ้นได้ “การออกแบบฉากที่สมบูรณ์มีลุคที่แตกต่างกันสองแบบแบบหนึ่งสำหรับการบรอดคาสต์ด้วยสีสันสดใสเอ็กซ์โปเจอร์ที่สม่ำเสมอส่วนอีกแบบหนึ่งจะเป็นบรรยากาศที่ขุ่นมัวกว่าและมุมมองที่แตกต่างกันครับ” ธอมป์สันกล่าวต่อ “เมื่อคุณตัดต่อภาพพวกนี้เข้าด้วยกันคุณก็จะสามารถสร้างความตึงเครียดและความเคลื่อนไหวในแบบที่คุณไม่ค่อยได้เห็นได้ครับ”
ในการสร้างฉากโทรทัศน์ของรายการ “Money Monster” ธอมป์สันต้องการให้มันคล้ายกับงานสร้างระดับอลังการงานสร้างในสถานีข่าวการเงินขนาดใหญ่ “ผมไม่อยากให้รายการนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรายการเล็กๆ” ธอมป์สันอธิบาย “เกทส์เป็นตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่มีเส้นสายไปถึงต่างประเทศดังนั้นฉากนี้ก็จะต้องให้ความรู้สึกเหมือนมันอยู่ในสถานีใหญ่ที่มีแพลทฟอร์มออกอากาศได้ทั่วโลก”
ในการทำให้ฉากนี้สมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ธอมป์สันได้ค้นคว้าและรวบรวมองค์ประกอบต่างๆที่ปรากฏในรายการข่าวการเงิน “โจดี้กับผมคุยกันเรื่องสีว่ารายกาพวกนี้มักใช้สีฟ้าที่สดใสมากๆ” ธอมป์สันกล่าว “เราอยากให้ ‘Money Monster’ มีส่วนผสมของสีฟ้าแบบนั้นกับสีของเงินเราก็เลยมีแบ็คกราวน์ที่เป็นสีเหลืองอมเขียวเรามีหน้าจอขนาดใหญ่หนึ่งจอเพื่อที่มันจะได้เต็มเฟรมโดยมีตัวละครของเรายืนอยู่หน้าภาพที่ฉายขึ้นจอมันมีตัววิ่งรายงานราคาซื้อขายในตลาดหุ้นมีหน้าจอทัชสกรีนมีหน้าจอสำหรับการสัมภาษณ์มีภาพกราฟิกและเคล็ดลับการซื้อหุ้นสำหรับกราฟิกเราได้สร้างคลังภาพสกรีนเซฟเวอร์เอาไว้ฉายตามความจำเป็นครับ”
ที่สำคัญกว่านั้นฉาก “Money Monster” จะต้องยืดหยุ่นและกว้างขวางพอที่จะให้คลูนีย์เคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก “เราอยากได้ฉากที่มีทางเข้าหลายทางเพื่อที่เกทส์จะสามารถเข้าฉากได้จากหลายๆทิศทางซึ่งจะทำให้รายการนี้ไม่ซ้ำซากจำเจครับ” ธอมป์สันอธิบาย “แล้วมันก็ต้องมีพื้นที่มากพอสำหรับท่าเต้นของเกทส์ด้วย”
ระหว่างเรื่องเหตุการณ์ย้ายไปที่สำนักงานใหญ่ของอิบิสเคลียร์แคปิตอลบริษัทที่ราคาหุ้นที่ดิ่งลงเหวอย่างกระทันหันก็ให้เกิดเหตุการณ์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ “เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่โลเกชันของอิบิสเคลียร์แคปิตอลจะต้องมีสถาปัตยกรรมสมัยใหม่โดยใช้กระจกสีอ่อนๆและสีสว่างๆน่ะครับ” ธอมป์สันกล่าว “มันจะต้องเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งอำนาจและเทคโนโลยี”
มันตรงข้ามกับไคลแมกซ์ของเรื่องซึ่งเกิดขึ้นในท้องถนนของย่านการเงินในบริเวณโลเออร์แมนฮัตตัน “ในตอนที่พวกตัวละครออกจากฉาก ‘Monster Money’ พวกเขาก็ได้เดินผ่านย่านการเงินที่มีสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิกที่สร้างขึ้นในยุคที่ตลาดการเงินตั้งอยู่บนโมเดลธุรกิจที่มั่นคงแทนที่จะเป็นเทคโนโลยีครับ” ธอมป์สันกล่าวต่อ “แล้วเราก็ไปลงเอยอยู่ในเฟดเดอรัลฮอลซึ่งเป็นที่ที่จอร์จวอชิงตันสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์นี้ที่มีเสาแบบนีโอคลาสสิกหินสีเบจและสเกลมหึมาสร้างความรู้สึกที่ว่าตัวละครเหล่านี้กำลังย้อนเวลากลับไปในตอนที่โมเดลการลงทุนไม่เป็นแบบนี้น่ะครับ”
ผู้ที่ปะติดปะต่อชิ้นส่วนปริศนาต่างๆของ Money Monster ให้กลายเป็นเรื่องราวหนึ่งเดียวที่ไร้จุดโหว่คือมือลำดับภาพแมทเชสเซ “มันเป็นเรื่องราวที่ท้าทายที่จะรวมเข้าด้วยกันครับ” เชสเซผู้ไม่เพียงลำดับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้แต่ยังลำดับภาพให้กับตัวรายการ “Money Monster” อีกด้วย “มันมีฟุตเตจมากมายให้ต้องทำงานครับ” เขากล่าว “มีกล้องสามตัวที่ใช้ถ่ายทำรายการ ‘Money Monster’ ซึ่งผมต้องมาตัดต่อให้สามารถดูได้หลายรูปแบบทั้งในแบบผู้ชมที่ดูสถานการณ์จับตัวประกันที่เกิดขึ้นแบบมุมมองของตัวละครของจูเลียในห้องควบคุมที่มองเหมือนกับว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้นและผมก็ต้องเลือกฟุตเตจเพื่อสร้างรายการโทรทัศน์นั้นขึ้นมาด้วย”
“นอกจากนั้นแล้วผมยังต้องรวมหนังเรื่อง Money Monster ให้เป็นเรื่องเดียวกันด้วย” เชสเซกล่าวต่อ “ผมมีทางเลือกมากมายมันเหมือนมงกุฏห้าแฉกซึ่งผมมีสามแฉกที่ผมสามารถสลับไปมาได้ตลอดเวลามันมีทางเลือกมากมายครับ”
ในการสร้างซีเควนซ์รายการถ่ายทอดสดเชสเซได้เลือกใช้เทคนิคลำดับภาพแบบกระชับฉับไว “ผมคิดว่าการลำดับภาพรายการสดเป็นศิลปะที่แตกต่างออกไป” เชสเซอธิบาย “มันปัจจุบันทันด่วนมกๆคุณจะต้องพร้อมตลอดเวลาคุณจะต้องใช้ความคิดอย่างรวดเร็วและตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าคุณมันเป็นการตอบสนองต่อภาพที่เกิดขึ้นตามสัญชาตญาณในตอนที่ผมลำดับภาพฟุตเตจเพื่อสร้างรายการโทรทัศน์ขึ้นมาผมก็ไม่สามารถใช้ภาพที่ดูเตรียมตัวเกินไปได้ผมต้องแกล้งทำเป็นเหมือนว่าลีทำให้ผมแปลกใจด้วยการเดินจากกล้อง A ไปกล้อง B ผมคาดเดาการเคลื่อนไหวของเขาไม่ออกผมต้องตอบสนองกับการเคลื่อนไหวนั้นแล้วเปลี่ยนไปใช้กล้อง B ผมต้องคำนึงถึงช่วงเวลาที่ขาดหายไปด้วยโดยหลักแล้วตอนที่ผมลำดับภาพเพื่อรายการถ่ายทอดสดผมต้องแสร้งทำเหมือนว่าผมไม่มีเวลาคิดอย่างที่ผมมีในห้องลำดับภาพตามปกติน่ะครับ”
สำหรับเชสเซองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในกระบวนการลำดับภาพคือการแสดง “สำหรับหนังเรื่องนี้มันมีโอกาสมากมายที่จะลำดับภาพแบบเจ๋งๆแต่จากมุมมองของผมการลำดับภาพเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักแสดงการแสดงไดอะล็อครวมถึงลุคและการตอบสนองของผู้คนครับ” เชสเซอธิบาย “นอกเหนือจากการถ่ายทอดพลังงานจังหวะและความตึงเครียดของเรื่องแล้วผมยังอยากใช้ประโยชน์จากการผลักดันการแสดงให้ไปไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยครับ”
ฟอสเตอร์เลือกซูซานลีออลผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่ร่วมงานกับเธอมานานเพื่อมาสร้างลุคให้กับตัวละครของ Money Monster
สำหรับลุคโดยรวมของลีเกทส์ลีออลอยากให้ลักษณะของเขาสะท้อนบุคลิกตอนออกอากาศของเขาและความสำเร็จทางด้านการเงินของเขารวมถึงให้มันเข้ากับสุนทรียศาสตร์ของการออกแบบฉาก “Money Monster” ด้วย “ฉันอยากจะสรุปลักษณะของลีเกทส์ว่าสง่างามระยิบระยับค่ะ” ลีออลกล่าว “เขาสวมชุดสูทที่ทอเป็นแฉกแนวตั้งโทนสีเงินและมีลายทางชัดเจนและเสื้อเชิ้ตกับเน็คไทของเขาก็จะมีลายทางเหมือนกันมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเกทส์เป็นคนที่สามารถผลักดันเรื่องแบบนี้ได้มันเป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็จริงแต่มันก็เหมือนกับโชว์แมนนิดๆและสื่อไปถึงโลกการเงินค่ะ”
“สิ่งแวดล้อมของลีบนสเตจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการเลือกสิ่งที่เขาควรจะสวมค่ะ” ลีออลกล่าวเสริม “ฉันอยู่ใกล้ๆกับเควินธอมป์สันผู้ออกแบบงานสร้างตอนที่ทีมของเขาออกแบบแบ็คดร็อปสีในฉากอยู่ในวงจำกัดมากๆและเมื่อคุณมองดูเสื้อผ้าที่ลีสวมสีทั้งหมดก็อยู่ในครอบครัวเดียวกันพวกมันเข้ากันได้ดีมากๆค่ะ”
ผู้ที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงคือแพ็ตตี้เฟนน์ผู้ซึ่งลุคของเธอดูธรรมดาแต่ก็เป็นมืออาชีพ “ฉันมองแพ็ตตี้เฟนน์ตัวละครของจูเลียโรเบิร์ตส์ว่าเป็นผู้หญิงนิวยอร์กซิตี้ที่แต่งตัวเพื่อตัวเอง” ลีออลกล่าว “เธอไม่ได้พยายามจะสร้างความประทับใจให้ใครเธอรู้ว่าตัวเองเป็นใครและเธอก็เป็นที่รักของทีมงานมากๆเสื้อผ้าของเธอสื่อถึงเรื่องนั้นเธอมีความกิ๊บเก๋ที่ทั้งเจ๋งและชวนให้สบายใจค่ะ”
ประวัตินักแสดง
จอร์จ คลูนีย์ (ลี เกทส์/ผู้อำนวยการสร้าง) ได้รับการยกย่องจากงานการกุศลทั่วโลกของเขามากพอๆ กับจากความสำเร็จในวงการบันเทิงของเขา
ความสำเร็จของเขาในฐานะนักแสดงและผู้กำกับทำให้เขาได้รับสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด สี่รางวัลลูกโลกทองคำ รวมไปถึงรางวัลเซซิล บี. เดอมิลล์ อวอร์ด สี่รางวัลแซ็ก อวอร์ด หนึ่งรางวัลบาฟตา อวอร์ด สองรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ด หนึ่งรางวัลเอ็มมีและสี่รางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติ ในตอนที่เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งที่แปดเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว ชื่อของเขาก็ได้รับการบรรจุอยู่ในหนังสือรวบรวมสถิติของออสการ์ โดยตอนนี้ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขาต่างๆ มากกว่าคนอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ออสการ์ไปแล้ว
ผ่านทางสโมคเฮาส์ พิคเจอร์ส บริษัทโปรดักชันของเขา คลูนีย์จะกำกับภาพยนตร์ดรามาอาชญากรรมนัวร์ยุค 50s เรื่อง Suburbicon สำหรับซิลเวอร์ พิคเจอร์ส นอกจากนี้ เขายังจะอำนวยการสร้างบทภาพยนตร์โดยโจเอลและอีธาน โคเฮนกับแกรนท์ เฮสลอฟ หุ้นส่วนจากสโมคเฮาส์ของเขาและโจเอล ซิลเวอร์อีกด้วย เขาจะกำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Hack Attack ผ่านทางสโมคเฮาส์ จากหนังสือโดยนิค เดวีส์เรื่อง Hack Attack: How the Truth Caught Up with Rupert Murdoch
ล่าสุด ผ่านทางสโมคเฮาส์ เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง Our Brand is Crisis และอำนวยการสร้าง กำกับและนำแสดงใน The Monuments Men สำหรับโซนี พิคเจอร์ส นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังได้นำแสดงในภาพยนตร์โดยพี่น้องโคเอนเรื่อง Hail, Ceasar! ภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส, ดรามาโดยผู้กำกับอัลฟอนโซ คัวรอนเรื่อง Gravity ที่นำแสดงโดยแซนดรา บุลล็อค สำหรับวอร์เนอร์ บรอส., ภาพยนตร์ไซไฟโดยดิสนีย์เรื่อง Tomorrowland และ A Very Murray Christmas ทางเน็ตฟลิกซ์
ในปี 2013 สโมคเฮาส์ ร่วมกับฌอน ดูมาเนียน โปรดักชันส์ ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากละครเวทีรางวัลโทนี อวอร์ดและรางวัลพูลิทเซอร์ของเทรซี เล็ทส์เรื่อง August: Osage County ที่นำแสดงโดยเมอริล สตรีพ, ยวน แม็คเกรเกอร์และจูเลีย โรเบิร์ตส์ สำหรับเดอะไวน์สตีน คัมปะนี
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของสโมคเฮาส์รวมถึงดรามารางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง Argo และ The Ides of March ภาพยนตร์เรื่อง Ides ที่เขาร่วมเขียนบท กำกับและนำแสดง ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ดรามายอดเยี่ยม นอกเหนือจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในปี 2011 คลูนีย์ได้แสดงภาพยนตร์โดยอเล็กซานเดอร์เพย์นเรื่อง The Descendants สำหรับฟ็อกซ์เสิร์ชไลท์เขาได้รับรางวัลคริติกส์ชอยส์อวอร์ดรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมนอกเหนือจากนั้นเขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็กอวอร์ดและรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในปี 2009 เขาได้แสดงในภาพยนตร์ดังเรื่อง Up in the Air เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดรางวัลลูกโลกทองคำรางวัลแซ็กอวอร์ดและรางวัลบาฟตาอวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขานอกจากนี้เขรายังได้รับรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กจาก Up in the Air อีกด้วย
ในตอนที่คลูนีย์ได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Syriana ในปี 2006 เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจาก Good Night, And Good Luck อีกด้วยนั่นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อคาเดมีที่คนๆเดียวได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลทางด้านการแสดงและการกำกับสำหรับภาพยนตร์สองเรื่องในปีเดียวกัน
คลูนีย์และเฮสลอฟได้ร่วมงานกันครั้งแรกที่เซ็คชันเอธบริษัทที่คลูนีย์เป็นหุ้นส่วนกับสตีเวนโซเดอร์เบิร์กห์ผลงานของเซ็คชันเอธรวมถึง Ocean’s 11, Ocean’s 12, Ocean’s 13, Michael Clayton, The Good German, Good Night, and Good Luck., Syriana, Confessions of a Dangerous Mind, The Jacket, Full Frontal และ Welcome To Collinwood
ก่อนหน้างานภาพยนตร์คลูนีย์ได้แสดงซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่องและเขาก็กลายเป็นที่รู้จักดีที่สุดสำหรับผู้ชมจอแก้วจากการแสดงดรามายอดนิยมทางเอ็นบีซีเรื่อง “ER” นานห้าปีบทดร.ดักกลาสรอสทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำรางวัลแซ็กอวอร์ดรางวัลพีเพิลส์ชอยส์และรางวัลเอ็มมีอวอร์ด
สำหรับแผนกโทรทัศน์ของเซ็คชันเอธเขาทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างและได้กำกับห้าเอพิโซดของ “Unscripted” รายการเรียลลิตี้ของเอชบีโอนอกจากนี้เขายังทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างและช่างกล้องของ “K Street” อีกรายการหนึ่งทางเอชบีโออีกด้วย
นอกจากนี้เขายังดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างและนักแสดงของ “Fail-Safe” ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์และได้รับรางวัลเอ็มมีภายใต้การพัฒนาของบริษัทเมย์สวิลล์พิคเจอร์สของเขา “Fail-Safe” ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำปี 2000 สาขามินิซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยมภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่องนี้สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันในต้นยุค 60s
คลูนีย์เป็นผู้สนับสนุนบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกามาตราแรกอย่างแรงกล้าด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อมนุษยชาติในปี 2006 เขาและนิคพ่อของเขาได้เดินทางไปยังเมืองดาร์เฟอร์ในแอฟริกาที่ประสบปัญหาภัยแล้งเพื่อถ่ายทำสารคดีเรื่อง Journey to Darfur งานที่คลูนีย์ทำเพื่อบรรเทาทุกข์ให้กับชาวดาร์เฟอร์นำไปสู่การพูดต่อหน้าสภาความมั่นคงของสหประชาชาติของเขานอกจากนี้เขายังให้เสียงบรรยายสารคดีเกี่ยวกับดาร์เฟอร์ที่ชื่อ Sand and Sorrow อีกด้วยในปี 2006 เขาได้รับรางวัลอเมริกันซีเนมาธิคอวอร์ดและโมเดิร์นมาสเตอร์อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซานตาบาร์บารา
ในปี 2007 จอร์จคลูนีย์, แบรดพิตต์, แมทท์เดมอน, ดอนชีเดิลและเจอร์รีไวน์ทร็อบได้ก่อตั้ง “Not On Our Watch” องค์กรที่มีภารกิจในการรณรงค์ให้คนทั่วโลกหันมาสนใจและใช้ทรัพยากรเพื่อหยุดยั้งและป้องกันการกระทำโหดร้ายป่าเถื่อนในดาร์เฟอร์
หนึ่งในรางวัลมากมายที่เขาได้รับจากงานด้านมนุษยชนในดาร์เฟอร์คือพีซซัมมิทอวอร์ดปี 2007 ที่มอบให้เขาในงานเวิลด์ซัมมิทสำหรับผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพครั้งที่แปดในปี 2008 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตสันติภาพของสหประชาชาติโดยเขาเป็นหนึ่งในแปดคนที่ได้รับเลือกให้ดำเนินการภายใต้นามของสหประชาชาติและความพยายามในการรักษาสันติภาพของพวกเขา
ในเดือนมกราคมปี 2010 คลูนีย์ร่วมกับโจเอลกัลเลนและเทนธ์แพลเน็ตโปรดักชันส์ได้อำนวยการสร้างรายการระดมทุน “Hope for Haiti Now!” ซึ่งเรียกเงินได้กว่า 66 ล้านเหรียญนับเป็นสถิติใหม่ของการบริจาคโดยสาธารณชนผ่านทางรายการระดมเงินบริจาคเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ
สถาบันศิลปะและวิทยาการโทรทัศน์ได้มอบรางวัลบ็อบโฮปฮิวแมนิทาเรียนอวอร์ดให้กับคลูนีย์ที่งานประกาศผลรางวัลไพรม์ไทม์เอ็มมีปี 2010 ปลายปีนั้นเขาได้รับรางวัลโรเบิร์ตเอฟ. เคนเนดี้ริปเปิลออฟโฮปอวอร์ดจากความพยายามในทำงานด้านมนุษยชนของเขาในซูดานและเฮติ
ในเดือนธันวาคมปี 2010 เขาร่วมกับสหประชาชาติมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดและกูเกิลเปิดตัว launched “The Satellite Sentinel Project” เพื่อจับตามองความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างซูดานเหนือและใต้ “Not on Our Watch” ได้สนับสนุนเงินทุนในการสร้างเทคโนโลยีการจับตามองใหม่ซึ่งทำให้ดาวเทียมเอกชนสามารถถ่ายภาพภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับพลเรือนตรวจจับระเบิดสังเกตการณ์การเคลื่อนไหวของกองกำลังและตั้งข้อสังเกตเกี่ยกับหลักฐานอื่นๆเกี่ยวกับความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น
ในเดือนมีนาคมปี 2012 คลูนีย์เป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนที่เดินขบวนอย่างสงบหน้าสถานทูตซูดานในกรุงวอชิงตันดี.ซี. เพื่อเรียกร้องให้คนทั่วโลกสนใจการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในซูดานซึ่งส่งผลให้เขาถูกจับกุมตัว
ในเดือนตุลาคม ปี 2012 เขาเป็นผู้ทรงเกียรติในงานคารูเซล ออฟ โฮป บอล ซึ่งมอบเงินบริจาคให้กับมูลนิธิชิลเดรนส์ ไดอาเบทส์และศูนย์บาร์บารา เดวิส เซ็นเตอร์ ฟอร์ ไชลด์ฮู้ด ไดอาเบทส์ (บีดีซี)
จูเลีย โรเบิร์ตส์ (แพ็ตตี้ เฟนน์) นักแสดงเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจาก Erin Brockovich ได้แสดงในภาพนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในฮอลลีวูดหลายเรื่อง และได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการมากมาย ภาพยนตร์ของเธอทำรายได้รวมกันกว่า 2.5 พันล้านเหรียญทั่วโลก เธอได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นครั้งแรกจากบทบาทที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมของเธอใน Mystic Pizza หลังจากนั้น การแสดงของเธอใน Steel Magnolias ก็ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งแรก ผลงานถัดไปของเธอ Pretty Woman เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปี 1990 และทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งที่สอง การแสดงที่น่าจดจำของเธอในภาพยนตร์เรื่องนั้นตามมาด้วยผลงานภาพยนตร์ที่น่าทึ่งหลายเรื่อง รวมถึง Flatliners, Sleeping with the Enemy, Dying Young, The Pelican Brief และ Something to Talk About
นอกจากนี้เธอยังได้แสดงประกบเลียมนีสันในภาพยนตร์โดยนีลจอร์แดนเรื่อง Michael Collins และในโรแมนติกมิวสิคัลคอเมดีโดยวู้ดดี้อัลเลนเรื่อง Everyone Says I Love You ในปี 1997 เธอได้แสดงในภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง My Best Friend’s Wedding ภายใต้การกำกับของพี.เจ. โฮแกนและทริลเลอร์โดยริชาร์ดดอนเนอร์เรื่อง Conspiracy Theory ที่ร่วมแสดงโดยเมลกิ๊บสันเธอได้แสดงประกบซูซานซาแรนดอนและเอ็ดแฮร์ริสในภาพยนตร์โดยคริสโคลัมบัสเรื่อง Stepmom ในปี 1999 เธอได้แสดงในภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศสองเรื่องคือ Notting Hill ที่ร่วมแสดงโดยฮิวจ์แกรนท์และกำกับโดยโรเจอร์มิเชลและ Runaway Bride ซึ่งเธอได้กลับมาร่วมงานกับเพื่อนร่วมแสดงและผู้กำกับจาก Pretty Woman ของเธอริชาร์ดเกียร์และแกร์รีมาร์แชลอีกครั้ง
นับตั้งแต่ Erin Brockovich ในปี 2000 เธอก็ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Mona Lisa Smile และ America’s Sweethearts จากเรฟโวลูชันสตูดิโอส์เธอได้แสดงภาพยนตร์สามเรื่องโดยสตีเฟนโซเดอร์เบิร์กห์ได้แก่ Ocean’s Eleven, Ocean’s Twelve และ Full Frontal และเธอก็ได้แสดงประกบแบรดพิตต์เพื่อนร่วมแสดงของเธอจาก Ocean’s ใน The Mexican ที่กำกับโดยกอร์เวอร์บินสกี้และเธอก็ได้แสดงใน Confessions of a Dangerous Mind ผลงานการกำกับเรื่องแรกของจอร์จคลูนีย์เพื่อนร่วมแสดงของเธอจาก Ocean’s เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับไมค์นิโคลส์ในภาพยนตร์เรื่อง Closer และ Charlie Wilson’s War
เธอพากย์เสียงชาร์ล็อตต์ในภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง Charlotte’s Web และเปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในละครโดยริชาร์ดกรีนเบิร์กเรื่อง “Three Days of Rain”
ในเดือนมีนาคมปี 2009 เธอได้แสดงประกบไคลฟ์โอเวนใน Duplicity ที่กำกับโดยโทนีกิลรอยเธอได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Valentine’s Day ภายใต้การกำกับของแกร์รีมาร์แชลที่เข้าฉายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ปี 2010
โรเบิร์ตส์ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Eat, Pray, Love ที่สร้างจากอนุทินเบสต์เซลเลอร์ชื่อเดียวกันโดยอลิซาเบธกิลเบิร์ตภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กำกับโดยไรอันเมอร์ฟีย์เข้าฉายในช่วงฤดูร้อนปี 2010
เธอรับบทราชินีชั่วร้ายในภาพยนตร์เรื่อง Mirror Mirror (มีนาคมปี 2012)
เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดอีกครั้งรวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำรางวัลแซ็กอวอร์ดและรางวัลคริติกส์ชอยส์อวอร์ดจากการแสดงของเธอใน August: Osage County (ธันวาคมปี 2013)
เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีและรางวัลแซ็กอวอร์ดจากการแสดงใน The Normal Heart ที่เปิดตัวทางเอชบีโอในเดือนพฤษภาคมปี 2014
ล่าสุดเธอได้แสดงใน The Secret In Their Eyes ที่กำกับโดยบิลลีเรย์และร่วมแสดงโดยนิโคลคิดแมนและชิเวเทลเอจิโอโฟร์ (พฤศจิกายนปี 2015)
เธอจะได้แสดงในภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Mother’s Day ภายใต้การกำกับของแกร์รีมาร์แชลที่จะเข้าฉายในวันที่ 29 เมษายนปี 2016
อาชีพนักแสดงของแจ็ค โอ’ คอนเนล (ไคล์ บัดเวล) สว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ โดยเขาได้รับรางวัลอีอี ไรซิง สตาร์ อวอร์ดจากเวทีบาฟตา อวอร์ดปี 2015 รางวัลนิว ฮอลลีวูด อวอร์ดจากเวทีฮอลลีวูด ฟิล์ม อวอร์ดปี 2015 และกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงท่น่าตื่นเต้นและมีความสามารถหลากหลายที่สุดในอังกฤษ
เมื่อเร็วๆนี้เขาเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์ใหม่เรื่อง HHhH ที่เขารับบทเป็นนักต่อสู้ชาวเช็กประกบแจ็คเรย์เนอร์, ไมอาวาสิโคว์สก้า, โรซามุนด์ไพค์และเจสันคลาร์คภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สร้างจากนิยายเรื่องแรกของนักเขียนชาวฝรั่งเศสโลรองต์บิเน็ตกำกับโดยเซดริคฮิมิเนซและเล่าเรื่องของ “Operation Anthropoid” การลอบสังหารไรน์ฮาร์ดเฮย์ดริชผู้นำนาซีในกรุงปรากระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองนอกจากนี้เขายังได้แสดงในภาพยนตร์โดยพี่น้องไวน์สไตน์เรื่อง Tulip Fever โรแมนติกดรามายุคศตวรรษที่ 17 ประกบเดนเดอฮาน, อลิเซียวิคันเดอร์และฮอลลิเดย์เกรนเจอร์ที่มีกำหนดเข้าฉายในฤดูใบไม้ผลินี้อีกด้วย
เมื่อเดือนที่แล้วเขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเมื่อเขาหวนคืนสู่เวทีละครเพื่อนำแสดงในละครโดยริชาร์ดบีนเรื่อง “The Nap” ที่เดอะครูซิเบิลเธียเตอร์ในเชฟฟิลด์ละครเวทีเรื่องนี้กำกับโดยริชาร์ดวิลสันโดยที่แจ็ครับบทดีแลนตัวเอกของเรื่อง
ในปี 2014 โอ’ คอนเนลแสดงในภาพยนตร์โดยแองเจลินาโจลีเรื่อง Unbroken ในบทหลุยส์แซมเพอรินีนักกีฬาโอลิมปิคชาวอเมริกันผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันในสงครามโลกครั้งที่สองภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สร้างจากหนังสือเรื่องUnbroken: A World War II Story of Survival, Resilience and Redemptionโดยลอรา ฮิลเลนแบรนด์ เล่าถึงชีวิตของนักกีฬาที่รอดชีวิตจากการล่องแพนาน 47 วันหลังจากที่เครื่องบินทิ้งระเบิดของเขาถูกยิงตกลงมาก่อนที่จะถูกส่งไปยังค่ายเชลยสงครามของญี่ปุ่นหลายแห่ง
ในปี 2014 เขายังได้แสดงใน ’71 ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ด ทริลเลอร์เรื่องนี้ ที่สร้างจากปัญหาในเบลฟาสต์ ได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโต ไทรเบกาและนิวยอร์กและเข้าประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในภาพยนตร์โดยเดวิด แม็คเคนซีย์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากแบ็ค โฟร์เรื่อง Starred Up ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวทีบาฟตา สก็อตแลนด์ อวอร์ดปีนี้ ในเวทีเดียวกัน Starred Up ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ดรามาพ่อลูกเกี่ยวกับคุกเรื่องนี้ ที่เขารับบท อีริค นักโทษหนุ่ม ประกบรูเพิร์ต เฟรนด์ เปิดตัวท่ามกลางเสียงชื่นชมในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโต และยังได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ลอนดอน ไทรเบกาและแอลเอ นอกจากนี้ บทนี้ยังทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดปี 2013 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเซาธ์ แบงค์ สกาย อาร์ตส์ ไทม์ เบรคธรู อวอร์ดอีกด้วย
ในช่วงต้นปี 2014 เขาได้แสดงบทคาลิสโตใน 300: Rise of an Empire พรีเควลของภาพยนตร์อีพิคโดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง 300 ในปี 2012 ผู้ชมได้เห็นเขาในบท ชาร์ลีย์ พีซฟูล ตัวละครเอกในภาพยนตร์โดยแพท โอ’ คอนเนอร์เรื่อง Private Peaceful ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายโดยไมเคิล มอร์เพอร์โก้เรื่องนี้เล่าถึงขั้นตอนการเติบโตของพี่น้องสองคนในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้ เขายังรับบท เคอร์ติส ในทริลเลอร์เรื่อง Tower Block ประกบนักแสดงอังกฤษคนอื่นๆ รวมถึงเชอริแดน สมิธและรัสเซล โทวีย์และบท อดัม ในทริลเลอร์เรื่อง The Liability ในปี 2013 เขากลับมารับบทเดิมจาก Skins อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Skins Rise ที่นำเสนอพัฒนาการของตัวละครของเขานับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ผู้ชมได้เห็นเขา
ในปี 2011 โอ’ คอนเนลได้แสดงทั้งในภาพยนตร์และซีรีส์ ใน “The Runaway” เขารับบทอีมอนน์ในดรามาดังทางสกาย ประกบคีธ อัลเลนและอลัน คัมมิง ในปีเดียวกัน เขารับบท บ็อบบี้ ชาร์ลตันใน “United” ซีรีส์โดยบีบีซี ทู ที่เล่าถึงอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่มิวนิคในปี 1958 สำหรับภาพยนตร์ เขารับบท ดีแลน ในภาพยนตร์โดยคาร์ล โกลเดนเรื่อง Weekender หลังจากการผจญภัยสุดระห่ำของเพื่อนสองคนที่ย้ายจากคลับในแมนเชสเตอร์ไปยังคลับในอิบิซา ไม่นานนัก เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็พลิกผลันไปในทางเลวร้าย
ในปี 2006 โอ’ คอนเนล เปิดตัวผลงานภาพยนตร์ของเขาด้วยบท พูกี้ ในภาพยนตร์อังกฤษอื้อฉาวที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง This is England หลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทผู้ร้าย เบรทท์ ในภาพยนตร์สยองขวัญโดยเจมส์ วัตคินส์เรื่อง Eden Lake ประกบไมเคิล ฟาสเบนเดอร์และเคลลี ไรลีย์ ในปี 2009 เขาได้รับบท มาร์กี้ ในทริลเลอร์อาชญากรรมโดยแดเนียล บาร์เบอร์เรื่อง Harry Brown และหลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “Wuthering Heights” และ “Dive” ภายใต้การกำกับของโดมินิค ซาเวจ
ผลงานละครเวทีของเขารวมถึง “Scarborough” at the Royal Court, “The Spidermen,” “The Musicians” และ “Just”
โดมินิค เวสต์ (วอลท์ แคมบี้) ประสบความสำเร็จในการกรุยเส้นทางสายบันเทิงของเขาทั้งในอังกฤษและอเมริกา ด้วยบทบาทการแสดงในภาพยนตร์นานาชาติ จอแก้วอเมริกันและละครเวทีลอนดอน หลังจากสำเร็จการศึกษาจากไทรนิตี้ คอลเลจ ดับลิน และจากกิลด์ฮอล สคูล ออฟ มิวสิค แอนด์ ดรามาในลอนดอน เขาก็ได้รับรางวัลเอียน ชาร์ลสัน อวอร์ดสาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากการแสดงในละครโดยเซอร์ปีเตอร์ ฮอลเรื่อง “The Seagull”
หลังจากนั้นความสำเร็จในวงการภาพยนตร์ก็ตามมาด้วยการที่เวสต์ได้แสดงนำในภาพยนตร์จากสตูดิโอหลายเรื่องรวมถึง 28 Days ประกบแซนดราบุลล็อค, Mona Lisa Smile ประกบจูเลียโรเบิร์ตส์และ The Forgotten ประกบจูลีแอนน์มัวร์นอกจากนี้เขายังได้รับบทเธอรอนในภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บรอส. เรื่อง 300 อีกด้วยผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆรวมถึง Chicago, A Midsummer Night’s Dream, True Blue, Hannibal Rising, Rock Star, The Phantom Menace, Surviving Picasso และ Richard III
ในปี 2000 เขาได้รับบทแม็คนัลตี้ในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “The Wire” หนึ่งในซีรีส์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมสูงสุดในอเมริกาซีรีส์นี้แพร่ภาพนานห้าซีซันโดยที่เวสต์ได้กำกับเอพิโซดในซีซันสุดท้ายด้วย
ผลงานละครเวทีของเขารวมถึงละครโดยฮาร์ลีย์แกรนวิลล์บาร์เกอร์เรื่อง “The Voysey Inheritance” โปรดักชันของปีเตอร์กิล, ละครเวสต์เอนด์โดยเดวิดลันเรื่อง “As You Like It” ซึ่งเขาแสดงประกบเฮเลนแม็คโครรีและละครเวสต์เอนด์โดยเทรเวอร์นันน์ที่สร้างจากละครโดยทอมสต็อพเพิร์ดเรื่อง “Rock N’ Roll” ซึ่งเปิดตัวท่ามกลางเสียงชื่นชมที่เดอะรอยัลคอร์ทเธียเตอร์ในฤดูร้อนปี 2006
ในปี 2008 เขารับบทโอลิเวอร์ครอมเวลในซีรีส์ทางแชนแนลโฟร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาเรื่อง “The Devil’s Whore” หลังจากนั้นเขาก็ได้แสดงละครโดยเปโดรคัลเดอรอนเดอลาบาร์กาเรื่อง “Life Is a Dream” ที่ดอนมาร์แวร์เฮาส์ในลอนดอนตามด้วย “Centurion” ที่กำกับโดยนีลมาร์แชลและร่วมแสดงโดยไมเคิลฟาสเบนเดอร์
เวสต์ได้แสดงในภาพยนตร์ปี 2011 เรื่อง The Awakening, ภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Johnny English Reborn, มินิซีรีส์ดังทางไอทีวีเรื่อง “Appropriate Adult” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลทีวีบาฟตาและ “The Hour” โดยเอบี้มอร์แกนซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำด้านละครเวทีในปี 2011 เวสต์ได้ชนะใจผู้ชมจากการแสดงนำใน “Butley” ที่เดอะดัชเชสเธียเตอร์และได้ร่วมแสดงกับคลาร์คปีเตอร์สเพื่อนร่วมแสดงใน “Wire” ของเขาในละครเวทีเรื่อง “Othello” ที่ครูซิเบิลเธียเตอร์ในเชฟฟิลด์
ในปี 2012 เขาได้กลับมารับบทเฮ็คเตอร์แมดเดนอีกครั้งในซีซันที่สองของ “The Hour” และได้แสดงใน “The River” ละครเรื่องใหม่โดยแจซบัตเตอร์เวิร์ธที่โรงละครรอยัลคอร์ท
ในปี 2013 เวสต์ได้กลับไปเชฟฟิลด์อีกครั้งเพื่อแสดงในละครเวทีเรื่อง “My Fair Lady” ที่เดอะครูซิเบิลหลังจากนั้นเขาก็ได้รับบทริชาร์ดเบอร์ตันในดรามาทางบีบีซีโฟร์ประกบเฮเลนาบอนแฮมคาร์เตอร์ในบทอลิซาเบธเทย์เลอร์ในปี 2014 เขามีผลงานเป็นภาพยนตร์โดยแมทธิววอร์ชูสเรื่อง Pride ที่เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ท่ามกลางเสียงชื่นชมของนักวิจารณ์และผู้ชมและ Testament of Youth ประกบอลิเซียวิคันเดอร์นอกจากนี้เขายังได้แสดงซีรีส์รางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง “The Affair” ประกบรูธวิลสัน, มอราเทียร์นีย์และโจชัวแจ็คสันซึ่งเขาจะกลับมารับบทเดิมอีกในฤดูร้อนปีนี้ช่วงต้นปี 2016 เขาได้แสดงประกบเจเน็ตแม็คเทียร์ในละครโดยคริสโตเฟอร์แฮมป์ตันเรื่อง “Les Liaisons Dangereuses” ที่กำกับโดยโจซีโร้คสำหรับดอนมาร์แวร์เฮาส์
แคทรินา บัลเฟ (ไดแอน เลสเตอร์) นักแสดงหญิงชาวไอริช ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงนำในซีรีส์ดราโดยสตาร์ซ/โซนีเรื่อง “Outlander” ที่สร้างโดยรอน มัวร์และสร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ชื่อเดียวกันโดยไดอานา กาบัลดอน ล่าสุด เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำปี 2016 สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามาและ “Outlander” ก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลซีรีส์ดรามายอดเยี่ยมอีกด้วย บัลเฟเป็นนางเอกของเรื่องประกบแซม ฮิวฮัน “Outlander” ได้รับการยกย่องว่าเป็นซีรีส์ที่เปลี่ยนเกมให้กับทางสถานี และเป็นการแนะนำเธอในฐานะนางเอกหญิงผู้แข็งแกร่งในซีรีส์แนวนี้ ที่เต็มไปด้วยแอนตี้ฮีโรเพศชาย ซีซันที่สองแพร่ภาพในอเมริกาในวันที่ 9 เมษายน ปี 2016 และเป็นซีรีส์ที่มีการเปิดตัวซีซันด้วยเรตติ้งสูงสุดสำหรับสถานีนี้จนถึงตอนนี้
ด้านภาพยนตร์ล่าสุดเธอได้แสดงประกบอาร์โนลด์ชวอร์ซเนกเกอร์และซิลเวสเตอร์สตอลโลนใน Escape Plan สำหรับซัมมิท/ไลออนส์เกทผลงานก่อนหน้านี้รวมถึงภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บรอส. เรื่อง Now You See Me ที่กำกับโดยหลุยส์เล็ทเทอร์เรียร์, ภาพยนตร์พาราเมาท์โดยเจ.เจ. อับรามส์เรื่อง Super 8 และซีรีส์ดิจิตอลที่มีการจัดจำหน่ายแบบจำกัดโดยไบรอันซิงเกอร์และเจสันเทย์เลอร์เรื่อง “H+”
ปัจจุบันเธอใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอนและลอสแองเจลิส
จิอันคาร์โล เอสโพซิโต (สารวัตรพาวเวล) เป็นนักแสดง ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวที ที่ได้รับการยกย่อง ผลงานการทำงานของเขาครอบคลุมเกือบห้าทศวรรษ และในปี 2014 เขาก็ได้รับการประดับดวงดาวบนวอล์ค ออฟ เฟม ที่โด่งดังของฮอลลีวูด
ในปี 2015 เขาได้แสดงในภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกเรื่อง The Scorch Trials ซีเควลของภาพยนตร์แอ็กชันบล็อกบัสเตอร์โดยทเวนตี้เซ็นจูรีฟ็อกซ์เรื่อง The Maze Runner ที่เขารับบทจอร์จผู้นำของกลุ่มผู้รอดชีวิตที่เป็นที่รู้จักในชื่อของพวกแครงค์ตัวละครของเขาได้ปรากฏใน The Death Cure ภาคสามของไตรภาค Maze Runner ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำ
เอสโพซิโตเป็นที่รู้จักในบรรดาผู้ชมจอแก้วจากบทราชายาเสพติดกุสตาโว “กุส” ฟริงค์ในซีรีส์ที่ได้รับรางวัลและเสียงวิจารณ์ชื่นชมทางเอเอ็มซีเรื่อง “Breaking Bad” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลคริติกส์ชอยส์อวอร์ดปี 2012 และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีปี 2012 ด้วยเช่นกัน
ล่าสุดเขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับวิสัยทัศน์กว้างไกลจอนแฟฟโรในรีเมกภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ยอดนิยมโดยดิสนีย์เรื่อง The Jungle Book ที่เขาพากย์เสียงอาเคลาหัวหน้าฝูงหมาป่าในภาพยนตร์เรื่องนั้นเขาได้ร่วมพากย์เสียงกับบิลเมอร์เรย์, ลูพิตานียอง, คริสโตเฟอร์วอลเคน, เบนคิงส์ลีย์, สการ์เล็ตต์โยฮันสันและอิดริสเอลบา
ในปีถัดมาเขาได้กลับมาทำงานจอแก้วอีกครั้งด้วยการแสดงบทประจำในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์โดยบาซลูห์แมนเรื่อง “The Get Down” ซึ่งเล่าถึงกำเนิดฮิปฮ็อปในนิวยอร์กยุค 70s ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆรวมถึง “Revolution,” “Community,” “Once Upon a Time,” “Homicide: Life on The Streets,” “Law and Order,” “Bakersfield PD,” “Touched by an Angel” และ “Kidnapped”
เอสโพซิโตมีผลงานภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่กำลังจะเข้าฉายรวมถึง This Is Your Death ผลงานกำกับเรื่องที่สองของเขาเมื่อเร็วๆนี้เขาเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์โดยเจมส์ฟรังโก้เรื่อง The Long Home ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันโดยวิลเลียมเกย์ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉายในปี 2017
การแสดงที่น่าจดจำที่สุดของเขาปรากฏในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Rabbit Hole, The Usual Suspects, Smoke และ The Last Holiday เขาได้แสดงในภาพยนตร์โดยสไปค์ลีเรื่อง Do the Right Thing, Mo’ Better Blues, School Daze และ Malcolm X ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของเขารวมถึง Poker Night, Alex Cross, SherryBaby, Ali, Nothing to Lose, Waiting to Exhale, Bob Roberts, King of New York และ Cotton Club ในปี 1995 เอสโพซิโตได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์สปิริตอวอร์ดจากการแสดงของเขาใน Fresh
ภายใต้ไควเอ็ทแฮนด์โปรดักชันส์บริษัทโปรดักชันของเขาเอสโพซิโตได้เปิดตัวผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาด้วย Gospel Hill ซึ่งได้รับเก้ารางวัลจากงานเทศกาลภาพยนตร์ชื่อดังหลายแห่งในภาพยนตร์เรื่องเขาได้ร่วมแสดงกับแดนนีโกลเวอร์, แองเจลาบาสเซ็ทท์, จูเลียสไตล์, เทย์เลอร์คิสช์และซามวลแอล. แจ็คสันไควเอ็ทแฮนด์โปรดักชันส์ต้องการจะสร้างภาพยนตร์ที่ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่สร้างแรงบันดาลใจเอสโพซิโตวางแผนที่จะกำกับอำนวยการสร้างและนำแสดงในดรามาอินดีอิงประวัติศาสตร์เรื่อง Political Treason เรื่องราวเกี่ยวกับผู้สนับสนุนการเลิกทาสจอห์นบราวน์ในบทเฟรดริคดักกลาสประกบเอ็ดแฮร์ริสผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลอคาเดมีอวอร์ด
ประสบการณ์ที่โดดเด่นของเอสโพซิโตครอบคลุมไปถึงบรอดเวย์ด้วยเช่นกันในปี 2012 เขาได้แสดงในรอบปฐมทัศน์โลกของละครเรื่อง “Storefront Church” โดยแอตแลนติกเธียเตอร์คัมปะนีซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของไตรภาค “Church & State” เอสโพซิโตได้รับสองรางวัลโอบีอวอร์ดจาก “Zooman and The Sign” ที่นิโกรเอนเซมเบิลคัมปะนีและ “Distant Fires” ที่แอตแลนติกเธียเตอร์คัมปะนีที่ซึ่งเขายังคงแสดงและสอนในฐานะสมาชิกคณะละครผลงานละครบรอดเวย์ของเขารวมถึง “Sacrilege,” “Seesaw,” “Merrily We Roll Along” และ “Lost In The Stars” นอกจากนี้เขายังได้ร่วมแสดงในละครบรอดเวย์กับเจมส์เอิร์ลโจนส์, เทอร์เรนซ์โฮเวิร์ดและฟิลิเซียราชัดในละครคลาสสิกโดยเทนเนสซีวิลเลียมส์เรื่อง “Cat on a Hot Tin Roof” ที่เด็บบี้อัลเลนนำมาจัดแสดงอีกด้วย
เอสโพซิโตเป็นผู้ชื่นชอบโยคะและใช้เวลาว่างไปกับการขี่มอเตอร์ไซค์และฝึกเล่นแซ็กโซโฟนเขาสนับสนุนองค์กรการกุศลหลายแห่งที่สนับสนุนศิลปะและการศึกษารวมถึงวอเตอร์คีพเปอร์อัลลิแอนซ์, คิดส์ฟอร์พีซแอนด์เวิลด์เมอริตยูเอสเอ
ประวัติทีมผู้สร้าง
ผลงานการแสดงที่น่าทึ่งของโจดี้ ฟอสเตอร์ (ผู้กำกับ) ในบทผู้รอดชีวิตจากการถูกข่มขืนใน The Accused และบทเจ้าหน้าที่พิเศษ แคลริซ สตาร์ลิงในทริลเลอร์ยอดนิยมเรื่อง The Silence of the Lambs ทำให้เธอได้รับสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะหนึ่งในนักแสดงหญิงที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมสูงสุดในรุ่นของเธอ
ฟอสเตอร์เริ่มแสดงตั้งแต่อายุสามขวบโดยเธอได้แสดงบทคอปเปอร์โทนเกิร์ลในโฆษณาทางโทรทัศน์หลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นขาประจำในซีรีส์หลายเรื่องรวมถึง “Mayberry RFD,” “The Courtship of Eddie’s Father,” “My Three Sons” และ “Paper Moon” เธอเปิดตัวในวงการภาพยนตร์ด้วย Napoleon and Samantha เมื่อเธออายุได้แปดขวบ
แต่สิ่งที่ทำให้เธอเป็นที่สนใจของผู้ชมคือการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Alice Doesn’t Live Here Anymore (1975) และการแสดงที่ทรงพลังของเธอในบทวัยรุ่นกร้านโลกในภาพยนตร์โดยมาร์ตินสกอร์เซซีเรื่อง Taxi Driver (1976) ทำให้เธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างกว้างขวางและได้รับความสนใจจากทั่วโลกฟอสเตอร์ได้แสดงในภาพยนตร์สี่เรื่องในปี 1976 ได้แก่ Bugsy Malone, Echoes of Summer, Little Girl Who Lives Down the Lane และ Taxi Driver ซึ่งทุกเรื่องได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ภาพยนตร์โดยอลันปาร์คเกอร์เรื่อง Bugsy Malone ทำให้เธอได้รับรางวัลอิตาเลียนคอเมดีอวอร์ด
รวมแล้วฟอสเตอร์ได้แสดงภาพยนตร์กว่า 40 เรื่องรวมถึงผลงานล่าสุดอย่าง Elysium ประกบแมทท์เดมอนสำหรับผู้กำกับนีลบลอมแคมป์, Carnage ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, Nim’s Island ประกบเจอราร์ดบัตเลอร์, The Brave One สำหรับผู้กำกับนีลจอร์แดนซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, Inside Man ประกบเดนเซลวอชิงตันและไคลฟ์โอเวน, ภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Flightplan, ภาพยนตร์ภาษาฝรั่งเศสโดยฌอนปิแอร์จูเนต์เรื่อง A Very Long Engagement, ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศโดยเดวิดฟินเชอร์เรื่อง Panic Room, Anna and the King สำหรับผู้กำกับแอนดี้เทนเนนท์, Contact สำหรับผู้กำกับโรเบิร์ตซีเมคิส, Nell ประกบเลียมนีสัน, คอเมดีเรื่อง Maverick ประกบเมลกิ๊บสันและเจมส์การ์เนอร์และโรแมนติกดรามาเรื่อง Sommersby ประกบริชาร์ดเกียร์
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของเธอรวมถึงคอเดมีขาวดำสไตล์เก๋โดยวู้ดดี้อัลเลนเรื่อง Shadows and Fog, Siesta, Stealing Home และ Five Corners รวมไปถึงผลงานเก่าๆอย่าง Tom Sawyer, Freaky Friday, ภาพยนตร์โดยเอเดรียนไลน์เรื่อง Foxes, ภาพยนตร์โดยโทนีริชาร์ดสันเรื่อง The Hotel New Hampshire และภาพยนตร์โดยคลอดชาร์โบลเรื่อง The Blood of Others ซึ่งฟอสเตอร์ได้พูดไดอะล็อคทั้งหมดของเธอเป็นภาษาฝรั่งเศส
การแสดงใน The Silence of the Lambs ทำให้เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำรางวัลบริติชอคาเดมีอวอร์ดรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ชิคาโกฟอสเตอร์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งแรกและรางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิสจากการแสดงของเธอใน Taxi Driver นอกจากนี้เธอยังเป็นนักแสดงหญิงชาวอเมริกันคนเดียวที่ได้รับสองรางวัลในปีเดียวกันจากสาถบันศิลปะภาพยนตร์และโทรทัศน์อังกฤษในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมและนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากการแสดงของเธอใน Taxi Driver และ Bugsy Malone
ในปี 2013 เธอได้รับรางวัลเซซิลบี. เดอมิลล์อวอร์ดจากสมาพันธ์สื่อต่างประเทศฮอลลีวูดในสาขาความสำเร็จแห่งชีวิต
นอกเหนือจากการแสดงแล้วฟอสเตอร์ยังให้ความสนใจเรื่องงานสร้างภาพยนตร์มาโดยตลอด
เธอได้เปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 1991 ด้วยภาพยนตร์ดังเรื่อง Little Man Tate ซึ่งเธอร่วมแสดงด้วยในปี 1995 เธอได้กำกับภาพยนตร์เรื่องที่สอง Home for the Holidays ซึ่งเธออำนวยการสร้างด้วยภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยฮอลลีฮันเตอร์, แอนน์แบนครอฟท์และโรเบิร์ตดาวนีย์จูเนียร์ในปี 2011 เธอได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Beaver ซึ่งนำแสดงโดยเมลกิ๊บสัน, เจนนิเฟอร์ลอว์เรนซ์, แอนตันเยลชินและฟอสเตอร์
ล่าสุดฟอสเตอร์ได้เปิดตัวผลงานจอแก้วเรื่องแรกของเธอโดยเธอได้กำกับหลายเอพิโซดในสองซีรีส์ดังทางเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Orange is the New Black” และ “House of Cards” ฟอสเตอร์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีอวอร์ดและรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับสาขากำกับซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยมจาก Orange is the New Black และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับสาขากำกับซีรีส์ดรามายอดเยี่ยมจาก House of Cards
ฟอสเตอร์ก่อตั้งเอ็กก์พิคเจอร์สในปี 1992 และบริษัทแห่งนี้ก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Nell (1994) ซึ่งทำให้ฟอสเตอร์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม, Home for the Holidays (1995), ภาพยนตร์โชว์ไทม์เรื่อง The Baby Dance (1998) ซึ่งได้รับรางวัลพีบอดี้อวอร์ดได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลเอ็มมีอวอร์ดและสามรางวัลลูกโลกทองคำรวมถึงภาพยนตร์โดยยูเอสเอฟิล์มส์เรื่อง Waking the Dead ที่กำกับโดยคีธกอร์ดอนและนำแสดงโดยบิลลีครูดัพและเจนนิเฟอร์คอนเนลลีในปี 1996 เอ็กก์ได้นำภาพยนตร์ฝรั่งเศสเรื่อง Hate (L’Haine) เข้าฉายในอเมริกานอกจากนี้ฟอสเตอร์และเอ็กก์พิคเจอร์สยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Dangerous Lives of Altar Boys (2001) อีกด้วย
ฟอสเตอร์สำเร็จการศึกษาเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยเยลในปี 1985 ในสาขาวรรณคดี
แดเนียล ดูบิ๊คกี้ (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนของอัลลีเจียนซ์ เธียเตอร์ ร่วมกับลารา อลาเม็ดดิน เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากผลงานของเขาในภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่อง Up in the Air (2010) ที่นำแสดงโดยจอร์จ คลูนีย์ นอกเหนือจากรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแล้ว Up in the Air ยังได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลลูกโลกทองคำ ห้ารางวัลบาฟตาและหกรางวัลออสการ์อีกด้วย
ดูบิ๊คกี้เริ่มต้นทำงานตั้งแต่อายุ 18 ปีเขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ได้รับรางวัลกว่า 20 เรื่องก่อนที่จะเปิดตัวผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกด้วย Thank You for Smoking (2006) ที่กำกับโดยเจสันไรท์แมนเขาได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ฟ็อกซ์เสิร์ชไลท์เรื่อง Juno (2007) ซึ่งทำรายได้กว่า 230 ล้านเหรียญทั่วโลกและได้รับรางวัลมากมายรวมถงรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมสำหรับบทภาพยนตร์ของเดียโบลโคดี้ดูบิ๊คกี้ได้อำนวยการสร้างบทภาพยนตร์เรื่องที่สองของโคดี้ Jennifer’s Body (2009) โดยทเวนตี้เซ็นจูรีฟ็อกซ์ที่กำกับโดยคารินคูซามาและนำแสดงโดยเมแกนฟ็อกซ์และอแมนดาไซย์ฟรี้ดนอกจากนี้เขายังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยอะตอมเอโกยานเรื่อง Chloe (2010) สำหรับโซนีพิคเจอร์สคลาสสิกส์ซึ่งนำแสดงโดยอแมนดาไซย์ฟรี้ด, จูลีแอนน์มัวร์และเลียมนีสันและภาพยนตร์เรื่องแรกของแม็กซ์วิงค์เลอร์เรื่อง Ceremony (2011) ซึ่งนำแสดงโดยอูมาเธอร์แมนและจัดจำหน่ายโดยแม็กโนเลียพิคเจอร์สจนถึงวันนี้ภาพยนตร์ของดูบิ๊คกี้ทำรายได้รวมกันเกือบ 500 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก
อัลลีเจียนซ์เธียเตอร์เป็นบริษัทโปรดักชันภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นจุดหมายด้านความไว้วางใจและความคุ้มครองสำหรับศิลปินและผู้ชมในการได้สัมผัสกับการเล่าเรื่องที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและตัวละครผ่านสื่อทุกประเภทโปรเจ็กต์หลังจากนี้ของดูบิ๊คกี้กับบริษัทของเขารวมถึง Please Stand By ที่นำแสดงโดยดาโกต้าแฟนนิงและโทนีคอลเล็ตต์ที่ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชัน, Veronica’s Room ที่เขียนบทโดยมาร์คบอมแบ็คและสร้างจากบทละครโดยอิราเลวิน (Rosemary’s Baby) ร่วมกับทีดับบลิวซี/ไดเมนชัน, A Head Full of Ghosts ที่อำนวยการสร้างร่วมกับซูซานและโรเบิร์ตดาวนีย์จูเนียร์สำหรับโฟกัสฟีเจอร์สและ Gizelle’s Bucket List ที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากอ็อดล็อทเมื่อเร็วๆนี้อัลลีเจียนซ์เธียเตอร์ได้ซื้อสิทธิสำหรับนิยายเรื่องใหม่ของแกรียังค์เรื่อง Another Day in the Death of America ซึ่งพวกเขาจะอำนวยการสร้างร่วมกับดับเบิลอีและเดวิดโอเยลโลโอจากโยรูบาแซ็กซันโปรดักชันส์ผู้ถูกวางตัวให้นำแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้
ลารา อลาเม็ดดิน (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนของอัลลีเจียนซ์ เธียเตอร์ ร่วมกับแดเนียล ดูบิ๊คกี้ โดยบริษัทแห่งนี้เป็นบริษัทโปรดักชันภาพยนตร์และโทรทัศน์ ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นจุดหมายด้านความไว้วางใจและความคุ้มครองสำหรับศิลปินและผู้ชม ในการได้สัมผัสกับการเล่าเรื่องที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและตัวละครผ่านสื่อทุกประเภท
อลาเม็ดดินเริ่มต้นอาชีพภาพยนตร์ของเธอที่หลักสูตรภาพยนตร์ของมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียเธอเริ่มต้นจากภาพยนตร์โฆษณาขนาดสั้นให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างฮอนด้าและอะตอมฟิล์มส์ตลอดสิบปีที่ผ่านมาเธอได้ทำงานเป็นอิสระในการพัฒนาภาพยนตร์และซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่องจากไอเดียออริจินอลหนังสือบทความและบทภาพยนตร์
โปรเจ็กต์หลังจากนี้ของอลาเม็ดดินกับอัลลีเจียนซ์เธียเตอร์รวมถึง Please Stand By ที่นำแสดงโดยดาโกต้าแฟนนิงและโทนีคอลเล็ตต์ที่ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชัน, Veronica’s Room ที่เขียนบทโดยมาร์คบอมแบ็คและสร้างจากบทละครโดยอิราเลวิน (Rosemary’s Baby) ร่วมกับทีดับบลิวซี/ไดเมนชัน, A Head Full of Ghosts ที่อำนวยการสร้างร่วมกับซูซานและโรเบิร์ตดาวนีย์จูเนียร์สำหรับโฟกัสฟีเจอร์สและ Gizelle’s Bucket List ที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากอ็อดล็อทเมื่อเร็วๆนี้อัลลีเจียนซ์เธียเตอร์ได้ซื้อสิทธิสำหรับนิยายเรื่องใหม่ของแกรียังค์เรื่อง Another Day in the Death of America ซึ่งพวกเขาจะอำนวยการสร้างร่วมกับดับเบิลอีและเดวิดโอเยลโลโอจากโยรูบาแซ็กซันโปรดักชันส์ผู้ถูกวางตัวให้นำแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้
แกรนท์ เฮสลอฟ (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้รับการยกย่องจากผลงานของเขาในฐานะผู้อำนวยการสร้าง มือเขียนบท ผู้กำกับและนักแสดง
เขาเป็นหุ้นส่วนของสโมคเฮาส์พิคเจอร์สร่วมกับจอร์จคลูนีย์
เฮสลอฟผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลออสการ์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดครั้งล่าสุดและได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากการอำนวยการสร้างดรามาและทริลเลอร์อิงประวัติศาสตร์เรื่อง Argo นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำรางวัลบาฟตาอวอร์ดและรางวัลสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา (พีจีเอ) อีกด้วย
ก่อนหน้านี้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมจากดรามาการเมืองปี 2011 เรื่อง The Ides of March ซึ่งเขาเขียนบทร่วมกับคลูนีย์นอกเหนือจากนั้นเขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและบาฟตาอวอร์ดจากบทภาพยนตร์เรื่องนี้และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลพีจีเออวอร์ดในฐานะหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย
นอกจากนี้เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจาก Good Night, and Good Luck ซึ่งเขาร่วมเขียนบทกับคลูนีย์ด้วยผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลพอลเซลวินอวอร์ดจากสมาพันธ์นักเขียนแห่งอเมริกาและรางวัลสแตนลีย์เครเมอร์อวอร์ดจากพีจีเอนอกจากนั้นเขายังได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลบาฟตาอวอร์ดในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์สปิริตอวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงในฐานะส่วนหนึ่งของทีมนักแสดง
ในปี 2009 เขาได้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วย The Men Who Stare at Goats ที่นำแสดงโดยคลูนีย์, ยวนแม็คเกรเกอร์และเควินสเปซีย์
นอกจากนี้เขายังได้ร่วมเขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Monuments Men อีกด้วยผลงานการอำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆรวมถึงภาพยนตร์ที่กำกับโดยคลูนีย์เรื่อง Leatherheads และภาพยนตร์ทริลเลอร์โดยแอนตันคอร์บจินเรื่อง The American
นอกจากนี้เขายังทำหน้าที่ผู้ร่วมสร้างและผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Unscripted” ซึ่งเขากำกับครึ่งหนึ่งของเอพิโซดที่มีและทำหน้าที่ผู้ร่วมควบคุมงานสร้าง “K Street” สำหรับเอชบีโอเช่นกัน
นอกจากนี้เขายังเป็นที่รู้จักจากงานแสดงของเขาทั้งในจอแก้วและจอเงินอีกด้ว
เจมี ลินเดน (บทภาพยนตร์) เขียนบทและร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์ปี 2006 เรื่อง We Are Marshall ที่นำแสดงโดยแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ รวมถึงภาพยนตร์ปี 2010 เรื่อง Dear John ที่นำแสดงโดยแชนนิง ทาทัมและอแมนดา ไซย์ฟรี้ด
นอกจากนี้เขายังได้เขียนบทและกำกับภาพยนตร์ปี 2012 เรื่อง 10 Years ที่นำแสดงโดยแชนนิงทาทัม, ออสการ์ไอแซ็คและคริสแพรทท์อีกด้วยปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างการดัดแปลงบทภาพยนตร์เรื่อง Carter Beats the Devil ให้กับวอร์เนอร์บรอส. และผู้กำกับฟิลลอร์ดและคริสโตเฟอร์มิลเลอร์และเขาก็กำลังเขียนบทและถูกวางตัวให้กำกับภาพนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง Noggin โดยไลออนส์เกทฟิล์มส์
ลินเดนเกิดในเมืองออร์ลันโดรัฐฟลอริดาเขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาและใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
อลัน ดิฟิโอเร (บทภาพยนตร์โดย/เรื่องราวโดย) เกิดในเมืองแอ็ครอน รัฐโอไฮโอ และเติบโตขึ้นมาด้วยความต้องการจะเป็นนักเขียน ระหว่างศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแอ็ครอน เขาตระหนักว่าในการจะเป็นนักเขียน คุณต้องเขียนในสิ่งที่คุณรู้ เขาก็เลยออกเดินทาง โดยเขาได้ทำการจัดการชุมชมให้กับกลุ่มชาวนาเม็กซิกัน/อเมริกัน และทำงานในโรงงานอาหารสุนัข โรงงานปลา และงานสนุกอื่นๆอีกหลายงาน จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขาถูกสายไฟแรงสูงตีกระทบบนเรือลากซุงที่ขโมยซุงจากตะข่ายดักท่อนซุง เขาถึงคิดได้ว่าเขาอาจตายก่อนที่จะได้กลายเป็นนักเขียนจริงๆ ก็ได้ งั้นทำไมเขาไม่ลองใช้จินตนาการแทนล่ะ และเขาก็ทำตามนั้น
ท้ายที่สุดดิฟิโอเรก็เริ่มเขียนงานให้กับจอแก้วและตลอด 25 ปีที่ผ่านมาเขาก็ได้รับรางวัลมากมายด้านการเขียนบททั้งในอเมริกาและแคนาดาในแคนาดาเขาได้รับห้ารางวัลเจมินีอวอร์ด (เอ็มมีของแคนาดา) สามรางวัลลีโออวอร์ดและห้ารางวัลสมาพันธ์นักเขียนผลงานสำคัญในแคนาดาของเขารวมถึงผลงานของเขาตลอดเจ็ดซีซันในฐานะหัวหน้าทีมเขียนบทซีรีส์ “DaVinci’s Inquest” และภาพยนตร์ประจำสัปดาห์ที่ได้รับรางวัลของเขารวมถึง “DaVinci’s City Hall” ทางซีบีซีและ “The Life” และ “Milgaard” ทางซีทีวีที่ได้รับแปดรางวัลเจมินีรวมถึงสาขาดรามายอดเยี่ยมนอกจากนี้เขายังเป็นผู้สร้างและผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ดรามาชื่อดัง “The Bridge” ทางซีทีวีอีกด้วย
สำหรับผลงานในอเมริกาของเขาเขาได้เขียนบทให้กับซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Ghost Whisperer” และ “The Handler” เขาดำรงตำแหน่งผู้ร่วมควบคุมงานสร้างซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Grimm” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลฮิวโก้อวอร์ดผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆของเขารวมถึงมินิซีรีส์เรื่อง “Vendetta” ซึ่งได้รับรางวัลดอนนาเทลลาอวอร์ด
ปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างการทำงานในซีรีส์ดรามาที่แพร่ภาพจำกัดของฟินิกซ์พิคเจอร์สและเนชันแนลจีโอกราฟิกท่สร้างจากหนังสือเรื่อง The Long Road Home โดยมาร์ธาแร็ดแดทซ์
ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึง A Fork in the Road ซึ่งเขาร่วมเขียนบทกับจิมคอฟ
อลันดิฟิโอเรใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
จิม คอฟ (บทภาพยนตร์โดย/เรื่องราวโดย) ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างและมือเขียนบทในซีรีส์ดรามาชื่อดังทางเอ็นบีซีเรื่อง “Grimm”
ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกๆของเขาที่ร่วมเขียนบทโดยเดวิดกรีนวอลท์ได้แก่ Class, American Dreamer และ Secret Admirer นอกจากนี้เขายังได้เขียนบทเรื่อง The Hidden โดยใช้นามแฝงว่าบ็อบฮันท์อีกด้วยในปี 1984 คอฟได้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วย Miracles ที่นำแสดงโดยทอมคอนติ, เทอรีแกร์และคริสโตเฟอร์ลอยด์
ในปี 1985 เขาย้ายไปโรงถ่ายดิสนีย์ที่ซึ่งเขาเริ่มต้นเป็นหุ้นส่วนกับลินน์บิเกโลว์เพื่อสร้างคอฟ/บิเกโลว์โปรดักชันส์ระหว่างนั้นเขาได้เขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Stakeout และ Another Stakeout นอกจากนี้เขายังเขียนบทและกำกับ Disorganized Crime และร่วมเขียนบท Operation Dumbo Drop อีกด้วย
คอฟ/บิเกโลว์โปรดักชันส์ได้ควบคุมงานสร้งาภาพยนตร์เรื่อง Kalifornia สำหรับพร็อพพาแกนดานำแสดงโดยแบรดพิตต์และจูเลียตลูอิส, Silent Fall สำหรับมอร์แกนครี้ก/วอร์เนอร์บรอส. ที่นำแสดงโดยริชาร์ดดรายฟัสและลิฟไทเลอร์และกำกับโดยบรูซเบเรสฟอร์ดและ Con Air สำหรับทัชสโตนที่นำแสดงโดยนิโคลัสเคจ
คอฟได้เขียนบทและกำกับ Gang Related ที่นำแสดงโดยจิมเบลุชชี, ทูปัคชาคูร์, เดนนิสเควด, ลีลาโรชอนและเจมส์เอิร์ลโจนส์สำหรับโอไรออนพิคเจอร์สและเอ็มจีเอ็มที่เข้าฉายในปี 1997
คอฟได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Rush Hour ที่นำแสดงโดยเฉินหลงและคริสทัคเกอร์สำหรับนิวไลน์ในปี 1998, Snow Dogsที่นำแสดงโดยคิวบากู๊ดดิ้งจูเนียร์และเจมส์โคเบิร์นในปี 2002 และ Taxi ที่นำแสดงโดยควีนลาติฟาห์และจิมมีฟัลลอนในปี 2004
นอกจากนี้เขายังทำงานจอแก้วด้วยการอำนวยการสร้างและเขียนบทซีรีส์เรื่อง “Angel” และ “The Handler” อีกด้วย
ในปี 2004 ผลงานดิสนีย์เรื่องสุดท้ายของเขาคือ National Treasure ที่นำแสดงโดยนิโคลัสเคจภายใต้การกำกับของจอนเทอร์เทิลท็อบและอำนวยการสร้างโดยเจอร์รีบรั๊คไฮเมอร์ National Treasure 2 ซึ่งสร้างจากตัวละครของเขาเข้าฉายในปี 2007
ในปี 2007 เขาได้ร่วมเขียนบทและกำกับภาพยนตร์อินดีเรื่อง A Fork in the Road ที่นำแสดงโดยเจมีคิง, ซิลัสเวียร์มิทเชลและจอชคุกร่วมอำนวยการสร้างโดยลินน์คอฟ, อลันดิฟิโอเร, พอลเบอร์นาร์ดและเจมส์สคูรา
นอกจากนี้เขายังได้ควบคุมงานสร้างและเขียนบทซีรีส์ “Ghost Whisperer” ที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์เลิฟฮูวิตต์ระหว่างสองซีซันแรกอีกด้วย
ในปี 2011 เขาได้เขียนบทตอนไพล็อตของซีรีส์ “Buck” ทางฟ็อกซ์เคเบิล
เคอร์รี โอเรนท์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Michael Clayton ที่นำแสดงโดยจอร์จ คลูนีย์และกำกับโดยโทนี กิลรอย ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี (โอเรนท์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลร่วมกับซิดนีย์ พอลแล็คและเจนนิเฟอร์ ฟ็อกซ์) และทิลดา สวินตันก็ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม สาขาอื่นๆ ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อคือสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม (โทนี กิลรอย), บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม (โทนี กิลรอย), นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (จอร์จ คลูนีย์), นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (ทอม วิลคินสัน) และดนตรีประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยม (เจมส์ นิวตัน โฮเวิร์ด) หลังจากนั้น เขาก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยกิลรอยเรื่อง Duplicity ที่นำแสดงโดยจูเลีย โรเบิร์ตส์และไคลฟ์ โอเวน
นอกจากนี้เขายังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง A Walk Among the Tombstones ที่กำกับโดยสก็อตแฟรงค์และนำแสดงโดยเลียมนีสัน, A Most Violent Year ที่กำกับโดยเจ.ซี. แชนเดอร์และนำแสดงโดยเจสสิกาเชสเทนและออสการ์ไอแซ็ค, Blood Ties ที่กำกับโดยกิโยมคาเน็ตและนำแสดงโดยมิลาคูนิส, โซอี้ซัลดานา, มาริยงคอติยาร์ด, ไคลฟ์โอเวนและบิลลีครูดัพและ Not Fade Away ที่กำกับโดยเดวิดเชสและนำแสดงโดยจอห์นมากาโรและเจมส์แกนดอลฟินีผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของเขาในฐานะผู้ควบคุมงานสร้างรวมถึง Definitely, Maybe ที่นำแสดงโดยไรอันเรย์โนลด์ส, ราเชลไวส์, อบิเกลเบรสลินและเควินไคลน์, Kate & Leopold ที่นำแสดงโดยเม็กไรอันและฮิวจ์แจ็คแมนภายใต้การกำกับของเจมส์แมนโกลด์, Rounders ที่นำแสดงโดยแมทท์เดมอนและเอ็ดเวิร์ดนอร์ตัน, ภาพยนตร์โดยโจนาธานเกลเซอร์เรื่อง Birth ที่นำแสดงโดยนิโคลคิดแมนและภาพยนตร์โดยเฟร็ดเชพิซีเรื่อง It Runs in the Family ที่นำแสดงโดยมาร์ควอห์ลเบิร์ก, วาคินฟินิกซ์และชาร์ลิซเธอรอน
นอกจากนี้เขายังร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยเจมส์แมนโกลด์เรื่อง Cop Land ที่นำแสดงโดยซิลเวสเตอร์สตอลโลน, โรเบิร์ตเดอนีโร, ฮาร์วีย์เคเทลและเรย์ลิออตต้า, คอเมดีสุดฮาโดยเดวิดโอ. รัสเซลเรื่อง Flirting With Disaster ที่นำแสดงโดยเบนสติลเลอร์, แพทริเซียอาร์เควทท์, อลันอัลดาและลิลลีทอมลิน, ผลงานการกำกับเรื่องแรกของเจมส์เกรย์ Little Odessa ที่นำแสดงโดยทิมร็อธและเอ็ดเวิร์ดเฟอร์ลอง, ภาพยนตร์โดยจอห์นดูแกนเรื่อง The Journey of August King และภาพยนตร์โดยฟิลิปฮาสเรื่อง The Music of Chance
ระหว่างปี 2004-2011 เขาได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างดรามายอดนิยมเกี่ยวกับนักผจญเพลิงทางเอฟเอ็กซ์เรื่อง “Rescue Me” ที่นำแสดงโดยเดนิสเลียร์รีในปี 2005 ซีรีส์นี้ได้รับรางวัลวิชชันนารีอวอร์ดจากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกาซึ่งยกย่องผู้อำนวยการสร้างผู้ซึ่งผลงานของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่โดดเด่นหรือน่ายกย่องนอกจากนี้เขายังได้อำนวยการสร้างซีซันแรกของซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง “The Affair” ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำอีกด้วย
ผลงานการอำนวยการสร้างจอแก้วเรื่องอื่นๆของเขารวมถึง “Royal Pains” และซีรีส์เอบีซีปี 2001-2002 เรื่อง “The Job” ที่นำแสดงโดยเดนิสเลียร์รีก่อนหน้านี้เขาทำหน้าที่ซูเปอร์ไวเซอร์งานโพสต์โปรดักชันในภาพยนตร์เรื่อง The Pelican Brief, Reversal of Fortune, Peggy Sue Got Married และ The Cotton Club
ทิม เครน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) – รอประวัติ
เรจินา สคัลลีย์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) – รอประวัติ
เบน ไวส์เบรน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้อำนวยการและประธานแอลเอสซี ฟิล์ม คอร์ปอเรชัน ซึ่งร่วมให้ทุนภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่กับโซนี พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ อิงค์. นอกจากนี้ เขายังเป็นทนายความให้กับบริษัทกฎหมายนานาชาติ วินสตัน แอนด์ สตรอว์น ที่ซึ่งเขาได้ให้คำแนะนำลูกค้าในอเมริกาและยุโรป ในธุรกิจสื่อ บันเทิงและการเงิน ลูกค้าของเขารวมถึงบริษัทสร้างและจัดจำหน่าย บริษัทสินทรัพย์ภาคเอกชน เฮดจ์ฟันด์ ธนาคารเพื่อการลงทุนและธนาคารพาณิชย์
ในช่วงที่เขาเริ่มทำงานใหม่ๆ เขาทำหน้าที่กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าแผนกปรับโครงสร้างการลงทุนที่ซาโลมอน บราเธอร์สในนิวยอร์ก หลังจากการทำงานกฎหมายที่บริษัทลอร์ด, บิสเซล แอนด์ บรู๊ค บริษัทกฎหมายขนาดใหญ่ในชิคาโก ที่ซึ่งเขาดูแลคดีล้มละลาย
ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานกับวินสตัน แอนด์ สตรอว์น ในต้นปี 2013 ไวส์เบรนดำรงตำแหน่งประธานคอนติเนนตัล เอนเตอร์เทนเมนต์ แอลพี ซึ่งเป็นบริษัทลูกของซิตี้กรุ๊ป ที่ดำเนินการในนิวยอร์ก, ลอสแองเจลิสและปารีส ก่อนหน้านั้น เขาเป็นกรรมการผู้จัดการของสตาร์ค อินเวสต์เมนต์ บริษัทเฮดจ์ฟันด์ระดับโลก ที่ซึ่งเขาเป็นผู้จัดการพอร์ตร่วมของแผนกตราสารหนี้และหุ้นนอกตลาด และดูแลการลงทุนในแวดวงภาพยนตร์และการก่อตั้งกองทุนสนับสนุนด้านเงินทุนของบริษัท ตลอดจนฟรีพอร์ต ไฟแนนเชียล ซึ่งเป็นผู้ให้กู้ยืมในกลุ่มตลาดระดับกลางอีกด้วย ไวส์เบรนดำรงตำแหน่งสมาชิกบอร์ดอำนวยการของไวลด์ บันช์,เอส.เอ.แห่งฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบริษัทขาย จัดจำหน่ายและสร้างภาพยนตร์ในยุโรป ระหว่างปี 2005-2009 ร่วมกับการลงทุนในหุ้นนอกตลาดที่เขาเป็นผู้ดูแลอยู่
เขาดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส.เรื่อง 300, Blood Diamond, V for Vendetta, Nancy Drew, The Good German, Poseidon และ The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford นอกเหนือจากนั้น เขายังดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์อินดีหลายเรื่อง ได้แก่ Cassandra’s Dream, First Born, Next, Bangkok Dangerous และ Gardener of Eden เขาทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง 22 Jump Street, Sex Tape, The Equalizer, Fury, Chappie, Paul Blart: Mall Cop 2, Aloha, Pixels, Goosebumps, The Night Before, Concussion และ The 5th Wave, ภาพยนตร์ไทรสตาร์ พิคเจอร์สเรื่อง Ricki and the Flash, ภาพยนตร์โดยโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันเรื่อง Hotel Transylvania 2 และภาพยนตร์สกรีนเจมส์เรื่อง The Wedding Ringer
แมทธิว ลิบาทิค, เอเอสซี (ผู้กำกับภาพ) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ได้สร้างผลงานที่โดดเด่นตลอดเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมา เขาเริ่มต้นด้วยเป้าหมายที่จะเป็นผู้กำกับภาพมิวสิค วิดีโอเพราะเขาหลงใหลในศักยภาพของการควบคุมภาพอิเล็คทรอนิค แต่ไม่นานนัก เขาก็ได้สร้างภาพแปลกใหม่ให้กับสื่อที่มีขนาดยาวกว่า ลิบาทิคมีความสัมพันธ์ด้านการทำงานที่ยาวนานกับผู้กำกับดาร์เรน อาโรนอฟสกี้ ผู้ซึ่งเขาได้ร่วมงานด้วยใน Pi ภาพยนตร์สั่นคลอนจิตใจที่ถ่ายทำด้วยฟิล์มขาวดำ 16 ม.ม. เขาได้ผลักดันความไวแสงของฟิล์มให้ก้าวไกลเกินขีดจำกัดเพื่อนำเสนอจิตใจที่สั่นคลอนและเสื่อมถอย และหมกมุ่นไปกับตัวเลข Pi ได้รับรางวัลสาขาการกำกับจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์และลิบาทิคก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดจากผลงานของเขา เส้นทางสายภาพยนตร์ของลิบาทิคได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ล่าสุด เขาและอาโรนอฟสกี้ได้ร่วมงานกันใน Noah ซึ่งเป็นครั้งที่หกที่พวกเขาร่วมงานกัน ลิบาทิคได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพอเมริกัน (เอเอสซี) อวอร์ดและรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจาก Black Swan ที่กำกับโดยอาโรนอฟสกี้ด้วยเช่นกัน Black Swan ถ่ายทำด้วยกล้องซูเปอร์ 16 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ในสาขากำกับภาพ ผลงานของเขาใน Black Swan ยังทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา รางวัลคริติกส์ ชอยส์และรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดอีกด้วย
ผลงานอื่นๆ ที่เขาได้ร่วมมือกับอาโรนอฟสกี้รวมถึง Requiem for a Dream ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขากำกับภาพยอดเยี่ยม รวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์บอสตันและสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ออนไลน์ นอกจากนี้ เขายังได้ทำหน้าที่ผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์โดยอาโรนอฟสกี้เรื่อง The Fountain อีกด้วย โดยพวกเขาได้ร่วมงานกันครั้งแรกในภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Protozoa ในปี 1993
เขามีความสัมพันธ์ด้านการทำงานที่ต่อเนื่องกับผู้กำกับหลายคน รวมถึงสไปค์ ลี ผู้ที่เขาทำหน้าที่กำกับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง photographed Chi-Raq, Miracle at St. Anna, She Hate Me และ Inside Man, โจเอล ชูมัคเกอร์ ใน Tigerland และ Phone Booth และจอน แฟฟโรใน Iron Man, Iron Man 2 และ Cowboys & Aliens
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึง Straight Outta Compton สำหรับเอฟ. แกรี เกรย์, Gothika สำหรับแมทธิว คัสโซวิทซ์, Abandon สำหรับสตีเฟน กาแกน, Everything Is Illuminated สำหรับลิฟ ชไรเบอร์, My Own Love Song สำหรับโอลิเวียร์ ดาฮานและ Ruby Sparks สำหรับผู้กำกับโจนาธาน เดย์ตันและวาเลรี ฟาริส โปรเจ็กต์หลังจากนี้ของเขารวมถึง The Circle สำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับเจมส์ พอนซอลด์อีกด้วย
เขาได้ศึกษาที่สถาบันภาพยนตร์อเมริกันที่โด่งดัง ที่ซึ่งเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขากำกับภาพ ในปี 1995 เขาเริ่มต้นทำงานเป็นผู้กำกับภาพในวงการมิวสิค วิดีโอ ผลงานของเขาได้ปรากฏทางเอ็มทีวีสำหรับศิลปินมากมายเช่นเดอะ เคียว, อัชเชอร์, เดธ อิน เวกัส, เอริกาห์ บาดู, อินคิวบัส, ทูปัค ชาคูร์, โมบี้, สนู้ป ด็อกก์, เจย์-ซีและเดอะ เฟรย์ เขาได้รับรางวัลสมาพันธ์งานสร้างมิวสิค วิดีโอสาขากำกับภาพยอดเยี่ยมในปี 2002 จากเพลง “Mad Season” ของแมทช์บ็อกซ์ ทเวนตี้ ในการทำงานโฆษณาและมิวสิค วิดีโอ เขาได้ร่วมมือกับผู้กำกับมากพรสวรรค์เช่นสเตซี วอล, ฟลอเรีย ซิกิสมอนดิ, ดันเต้ อาริโอลา, ไบรอัน เบเลติค, ฟิล ฮาร์เดอร์, เทอร์รี ริชาร์ดสัน, มาร์ค เพลลิงตัน, แทร็คเตอร์, คินก้า อัชเชอร์, สไตล์วอร์และโนม เมอร์โร
เควิน ธอมป์สัน (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ได้รับรางวัลออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมจากสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์จากงานของเขาที่ทำให้กับผู้กำกับอเลฮันโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตูใน Birdman ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์จากเรื่อง Michael Clayton ผลงานภาพยนตร์มากมายของเขารวมถึงงานที่ทำร่วมกับผู้กำกับโทนี กิลรอย, มาร์ค ฟอร์สเตอร์, เจสัน ไรท์แมน, เดวิด โอ. รัสเซล, เจมส์ เกรย์และไมเคิล ฮาเนเก้
ผลงานภาพยนตร์มากมายของเขารวมถึง Little Odessa, Kids, Party Girl, Flirting with Disaster, The Proprietor, Kicked in the Head, Office Killer, Two Girls and a Guy, 54, Down to You, The Yards, World Traveler, Igby Goes Down, Birth, Trust the Man, Stay, Stranger than Fiction, Funny Games, Duplicity, Did You Hear About the Morgans?, The Adjustment Bureau, Young Adult, The Bourne Legacy และ Trainwreck โปรเจ็กต์ปัจจุบันของเขารวมถึง Okja สำหรับผู้กำกับจุนโฮบองและ The Girl on the Train สำหรับผู้กำกับเทท เทย์เลอร์
แมทท์ เชสเซ เอซ (มือลำดับภาพ) – รอประวัติ
ในตอนที่ซูซาน ลีออล (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) มาเยือนนิวยอร์กในช่วงต้นยุค 80s เพื่อทำงานด้านออกแบบแฟชัน ความหลงใหลในดนตรี การแสดงและศิลปะได้นำเธอมาสู่อาชีพปัจจุบันในการพัฒนาตัวละครและบอกเล่าเรื่องราวผ่านเครื่องแต่งกาย ลีออลเริ่มต้นทำงานในโรงละครกับเซอร์เคิล รีเพอร์ทอรี คัมปะนี ที่โด่งดัง และท้ายที่สุด งานนี้ก็ได้นำพาเธอสู่โลกภาพยนตร์อินดีของนิวยอร์ก ที่ตอนนั้นกำลังเริ่มตั้งไข่
Money Monster เป็นการสานต่อการร่วมมือกันยาวนาน 25 ปีระหว่างเธอกับผู้กำกับโจดี้ ฟอสเตอร์ โดยเธอได้ร่วมงานกับฟอสเตอร์ครั้งแรกในปี 1990 ในภาพยนตร์เรื่อง Little Man Tate ตามด้วย Home for the Holidays ในปี 1994 และ The Beaver ในปี 2010 นอกจากนี้ เธอยังได้จัดหาเครื่องแต่งกายให้กับฟอสเตอร์ในภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต ชเวงค์เก้เรื่อง Flight Plan และภาพยนตร์โดยไมเคิล แอ็พเท็ดเรื่อง Nell อีกด้วย
ผู้กำกับชื่อดังคนอื่นๆที่เธอได้ร่วมงานด้วยรวมถึงสตีเวนโซเดอร์เบิร์กห์ที่ปัจจุบันเธอได้ร่วมงานด้วยในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Mosaic” (Side Effects, King of the Hill), โจนาธานเดมม์ (Rachel Getting Married, Line of Sight) และเดวิดมาเม็ต (The Spanish Prisoner, State & Main) ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่เธอได้ร่วมงานกับไมเคิลแอ็พเท็ดรวมถึง Thunderheart, Blink และ Extreme Measures และผลงานที่เธอได้ร่วมงานกับโรเบิร์ตชเวงค์เก้รวมถึง RED และ RIPD
โดมินิค ลูอิส (ดนตรี) เป็นนักประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ที่เกิดในอังกฤษ ที่อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส เขาเกิดในครอบครัวนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ เขาได้สัมผัสกับดนตรีตั้งแต่แรกเกิด ดังนั้น ดนตรีก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งปัจจุบันนี้
นักดนตรีผู้เล่นเครื่องดนตรีหลายชนิดผู้นี้เริ่มต้นศึกษาเชลโลตั้งแต่อายุ 3 ขวบเขาใช้เวลาในวัยเด็กและวัยรุ่นไปกับการร้องเพลงและแต่งเพลงด้วยเปียโนและกีตาร์ในปี 2002 เขาได้เข้าศึกษาที่รอยัลอคาเดมีออฟมิวสิคในกรุงลอนดอนที่ซึ่งเขาได้รับการฝึกฝนเชลโลและการประพันธ์ดนตรีระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่นั่นด้วยวัยเพียง 22 ปีเขาก็มีโอกาสได้ร่วมแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา The Poet ภายใต้การกำกับของเดเมียนลีจาก Ski-School
ระหว่างที่เขาศึกษาที่รอยัลอคาเดมีเขาได้รับการสอนจากรูเพิร์ตเกร็กสัน-วิลเลียมส์ผู้ประทับใจกับศักยภาพของเขาในทันทีและขอให้เขาร่วมร้องเพลงและเรียบเรียงเสียงให้กับดนตรีประกอบภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Bee Movie, Bedtime Stories และ The Prisoner
ก่อนหน้าที่จะโบกมือลาอังกฤษเพื่อมุ่งหน้าไปอเมริกาเขาได้ควบคุมวงดนตรีและเรียบเรียงเพลงให้กับอัลบัมคลาสสิกสองชุดได้แก่ “Camilly Kerslake” และ “The Priests” และได้แต่งเพลงอัลบัมให้กับ “Lilly May Show” หลังจากที่มาถึงอเมริกาในปี 2009 เขาก็ได้ร่วมงานกับจอห์นพาวเวลในการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ได้รับการเสอชื่อชิงรางวัลออสการ์ปี 2011 เรื่อง How to Train Your Dragon
ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาเขาได้พัฒนาไปมากกว่าที่ผ่านมาโดยเขาได้ร่วมงานกับนักประพันธ์ดนตรีที่โด่งดังและเป็นที่นับหน้าถือตาของฮอลลีวูดหลายคนรวมถึงฮันส์ซิมเมอร์, รามินดจาวาดี้, เฮนรีแจ็คแมนและจอห์นพาวเวลปัจจุบันเขาเป็นนักประพันธ์ประจำรีโมทคอนโทรลโปรดักชันศูนย์ดนตรีที่โด่งดังของซิมเมอร์ในซานตามอนิกา
ผลงานดนตรีของเขายังรวมถึงงานในภาพยนตร์เรื่อง How to Train Your Dragon, Gulliver’s Travels, Clash of the Titans, Rango, Rio, Kung Fu Panda 2, Puss in Boots, Man on a Ledge, Wreck-It Ralph, Red Dawn, X-Men: 1st Class, Sherlock Holmes: A Game of Shadows, G.I. Joe: Retaliation, Captain Phillips, This is the End, Captain America: The Winter Soldier, The Amazing Spider-Man 2, Big Hero 6, Kingsman: The Secret Service และ The Interview รวมถึงโฆษณาหลายชิ้น
ในปี 2014 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแอนนีอวอร์ดจากดนตรีประกอบภาพยนตร์ปี 2013 เรื่อง Free Birds เมื่อเร็วๆนี้เขาได้แต่งดนตรีปรระกอบภาพยนตร์ปี 2015 เรื่อง Spooks: The Greater Good และภาพยนตร์ซีบีเอสฟิล์มส์เรื่อง The DUFF รวมถึงร่วมงานกับเฮนรีแจ็คแมนในการแต่งดนตรีประกอบ “The Man in the High Castle” ตอนไพล็อตของซีรีส์ที่อำนวยการสร้างโดยริดลีย์สก็อตที่เพิ่งจัดจำหน่ายทางอเมซอน
ลูอิสมีความเข้าใจในการผสมผสานดนตรีและภาพเข้าด้วยกันและทฤษฎีดนตรีเป็นอย่างดีเขามีแบ็คกราวน์ที่แน่นหนาทางด้านออร์เคสตราและเขาก็เป็นคนหนุ่มมากพรสวรรค์ที่น่าจับตามองในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย
เฮนรี แจ็คแมน (ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายดนตรี) ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในผู้ประพันธ์ดนตรีระดับแนวหน้าในปัจจุบันด้วยการผสมผสานการฝึกฝนคลาสสิกของเขาและประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้อำนวยการสร้างแผ่นเสียงและผู้สร้างดนตรีอิเล็คทรอนิคที่ประสบความสำเร็จ ความสามารถด้านดนตรีที่หลากหลายของเขาได้ยกระดับความตึงเครียดในภาพยนตร์โดยพอล กรีนกราสเรื่อง Captain Phillips (ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา), เร่งพลังให้กับภาพยนตร์ฮิตที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนเรื่อง X-Men: First Class และ Captain America: Winter Soldier, แสดงความโดดเด่นใน Kingsman: The Secret Service และ Kick-Ass, สร้างชีวิตให้กับตัวละครอนิเมชันที่โด่งดังใน Winnie the Pooh, Puss in Boots, Wreck-It Ralph และ Big Hero 6 ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ผลงานล่าสุดของเขาปรากฏในคอเมดีไซไฟเรื่อง Pixels และดรามาเกี่ยวกับโลกหลังหายนะ The Fifth Wave ที่นำแสดงโดยโคลอี้ เกรซ มอเรทซ์ ผลงานหลังจากนี้ของเขารวมถึง Birth of a Nation ที่นำแสดงโดยอาร์มี แฮมเมอร์และกาเบรียล ยูเนียน (ซึ่งได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2016) และภาพยนตร์มาร์เวลที่หลายคนรอคอย Captain America: Civil War
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของเขารวมถึงภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง Monsters vs. Aliens และ Turbo, พีเรียดดรามาเรื่อง Henri 4, ภาพยนตร์ผจญภัยสำหรับครอบครัวเรื่อง Gulliver’s Travels (ที่นำแสดงโดยแจ็คแบล็ค), ทริลเลอร์อาชญากรรมเรื่อง Man on a Ledge, แฟนตาซีสยองขวัญเรื่อง Abraham Lincoln: Vampire Hunter และคอเมดีโดยเซ็ธโรแกนและเจมส์ฟรังโก้เรื่อง This is the End และภาพยนตร์ที่สร้างเสียงฮือฮาเรื่อง The Interview
แจ็คแมนโตมาในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษที่ซึ่งเขาเริ่มต้นแต่งซิมโฟนีแรกของเขาตอนอายุหกขวบเขาได้ศึกษาดนตรีคลาสสิกที่อ็อกซ์ฟอร์ดและร้องเพลงในคณะนักร้องประสานเสียงโบสถ์เซนต์ปอลแต่พร้อมกันนั้นเขาก็ได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงคลับใต้ดินและเริ่มผลิตดนตรีอิเล็คทรอนิก้ายอดนิยมและแดนซ์รีมิกซ์และท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังอย่างซีลและดิอาร์ตออฟนอยซ์ในปี 2006 เขาได้รับความสนใจจากผู้ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ฮันส์ซิมเมอร์และจอห์นพาวเวลและเริ่มแต่งดนตรีเพิ่มเติมให้กับซิมเมอร์และพาวเวลในภาพยนตร์เรื่อง Kung Fu Panda และให้กับซิมเมอร์ในภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight, The Da Vinci Code และแฟรนไชส์ The Pirates of the Caribbean ซึ่งนำไปสู่การแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ของเขาเองอย่างรวดเร็ว