Resident Evil: The Final Chapter

image1ข้อมูลงานสร้าง

Resident Evil: The Final Chapter เป็นภาคที่หกและภาคสุดท้ายของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ ที่ดัดแปลงจากแฟรนไชส์เกมยอดนิยมจากค่ายแคปคอม ด้วยรายได้รวมกันกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญทั่วโลกจนถึงปัจจุบันและกลายเป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล

ส่วนหนึ่งของนักแสดงมากมายของเรื่องนี้คือนักแสดงจากภาคที่ผ่านๆ มา มิลลา โจโววิช (แฟรนไชส์ Resident Evil, The Fifth Element) ที่กลับมารับท “อลิซ” อีกครั้ง, อาลี ลาร์เตอร์ (Pitch, Resident Evil: Afterlife) ในบท แคลร์ เรดฟิลด์, ชอว์น โรเบิร์ตส์ (Edge of Darkness, Resident Evil: Afterlife) ในบท อัลเบิร์ต เวสเกอร์ และเอียน เกลน (ซีรีส์ Game of Thrones, Resident Evil: Extinction) ในบท ดร.อเล็กซานเดอร์ ไอแซ็คส์ และนักแสดงหน้าใหม่ของแฟรนไชส์นี้รวมถึงรูบี้ โรส (ซีรีส์ Orange is the new Black), โอเวน แม็คเคน (ซีรีส์ The Night Shift), นางแบบและพิธีกรคนดังชาวญี่ปุ่น โรลา ในบท โคบอลท์, นักแสดงชาวเกาหลีใต้ ลีจุนกิ (My Girl) ในบท ผู้บัญชาการ, เฟรเซอร์ เจมส์ (ซีรีส์ Law & Order), วิลเลียม เลวี (The Veil)

พอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สัน มือเขียนบท ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง ผู้ทำงานในแฟรนไชส์นี้มาโดยตลอด (The Three Musketeers, แฟรนไชส์ Resident Evil) กลับมานั่งแท่นผู้กำกับและเขาก็ได้ร่วมงานอีกครั้งกับผู้อำนวยการสร้างเจเรมี โบลท์ (The Three Musketeers, แฟรนไชส์ Resident Evil), โรเบิร์ต คัลเซอร์ (The Three Musketeers, แฟรนไชส์ Resident Evil) และซามวล ฮาดีดา (แฟรนไชส์ Resident Evil) โดยมีมาร์ติน มอสโควิคซ์ (คอนสแตนติน ฟิล์ม) และวิคเตอร์ ฮาดีดา (เมโทรโพลิแทน ฟิล์มส์) รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง

ทีมงานเบื้องหลังของเรื่องรวมถึงผู้กำกับภาพ เกลน แม็คเฟอร์สัน (แฟรนไชส์ Resident Evil, Momentum), ผู้ออกแบบงานสร้างเอ็ดเวิร์ด โธมัส (Doctor Who, Torchwood), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เรซา เลวี (10 000 B.C., Rendition), ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ เดนนิส เบราร์ดี้ (Fight Club, TRON: Legacy), มือลำดับภาพ ดูบี้ ไวท์ (Gamer, Crank: High Voltage), ผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดง ซูซานน์ เอ็ม. สมิธและผู้ประพันธ์ดนตรี พอล ฮาสลิงเกอร์

Resident Evil: The Final Chapter มีความยาว 106 นาที

image2เกี่ยวกับงานสร้าง

แฟนๆ ภายใต้มนต์สะกด

จุดเริ่มต้นที่เหลือเชื่อของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างวิเศษสุดของพอลดับบลิว. เอส. แอนเดอร์สันที่ดัดแปลงจากเกม Resident Evil นั้นกลับเป็นเหมือนตอนจบของภาพยนตร์ฮอลลีวูดผู้อำนวยการสร้างเจเรมีโบลท์ผู้ทำงานร่วมกับแอนเดอร์สันมา 25 ปีและได้ทำงานในทุกภาคของแฟรนไชส์นี้เล่าว่า “ในปี 2002 ผมกลับไปอังกฤษเพื่อสร้างหนังเล็กๆสองสามเรื่องส่วนพอลก็เก็บตัวอยู่ในบ้านของเขาที่เวนิสบีชที่เขาเล่นเกมนานหนึ่งเดือนจู่ๆเขาก็โทรมาบอกผมว่า ‘ผมเล่นเกม Resident Evil อยู่เราจะต้องคว้าสิทธิในการสร้างหนังเรื่องนี้ให้ได้’ น่ะครับ”

นับตั้งแต่นั้นมา Resident Evil ก็ได้เติบโตกลายเป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากเกมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ห้าภาคแรกของแฟรนไชส์ทำรายได้เกินกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญทั่วโลกและครองอันดับหนึ่งในสุดสัปดาห์แรกที่เปิดตัวเสมอแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับทั้งแฟนๆของเกมต้นฉบับจากค่ายแคปคอมและคอภาพยนตร์แนวแอ็กชัน/ไซไฟได้สร้างฐานแฟนพันธุ์แท้นับล้านๆคนและชื่อเสียงของตัวมันเองตลอด 14 ปีที่มันร่ายมนต์สะกดผู้ชมด้วยแอ็กชันแปลกใหม่และวิธีการแหวกแนวในการนำเสนอเรื่องราวไซไฟและแอ็กชันอย่างต่อเนื่องโบลท์ให้ความเห็นเกี่ยวกับความสำเร็จระดับโลกของแฟรนไชส์นี้ว่า “ผมคิดว่ามันเป็นการผสมผสานระหว่างสไตล์แอ็กชันกับสยองขวัญมันไม่ได้เป็นหนังสยองขวัญตรงๆและมันก็ไม่ใช่หนังซอมบี้ตามแบบฉบับด้วยมันมีองค์ประกอบมหัศจรรย์แบบไซไฟผมคิดว่าการที่พอลใส่ตัวละครอลิซ (มิลลาโจโววิช) เข้ามาทำให้มันแตกต่างจากเกมเพื่อที่เวลาคุณไปดูหนังเรื่องนี้คุณก็จะสนุกกับมันได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนเกมแต่คุณจะได้อะไรพิเศษแถมมาด้วยซึ่งก็คือตัวละครของอลิซนอกจากนี้ผมยังคิดว่าเรามีผู้ร้ายที่ยอดเยี่ยมอย่างบริษัทอัมเบรลลาคอร์ปอเรชันที่ชั่วร้ายและทรงอิทธิพลซึ่งเป็นเรื่องที่เราเข้าถึงได้จริงๆในโลกสมัยใหม่นี้ครับ”

โจโววิชเล่าถึงความเห็นของเธอถึงเหตุผลที่ผู้ชมหลงใหลใน Resident Evil ถึงเพียงนี้ว่า “ฉันเชื่อว่าคนเราจะตอบสนองต่อความตรงไปตรงมาความทุ่มเทและความสนุกสนานตอนที่เราเริ่มต้นเราไม่ได้คาดหวังว่ามันจะกลายเป็นแฟรนไชส์เราทำมันก็เพราะเรารักเกมนี้หนังทุกเรื่องกลายเป็นผลงานแห่งความรักและความสนุกสนานและเราก็ได้สัมผัสถึงมันมากขึ้นเรื่อยๆในโลกไซไฟที่สุดโต่งและน่าทึ่งนี้ทุกคนที่เกี่ยวข้องสนุกกับการทำงานในเรื่องนี้จริงๆฉันคิดว่าผู้ชมตอบสนองกับพลังงานและความกระตือรือร้นนั้นค่ะ”

รูบี้โรสนักแสดงชาวออสเตรเลียผู้รับบทอาบิเกลใน The Final Chapter อธิบายว่า “สิ่งหนึ่งที่ฉันชื่นชอบเกี่ยวกับ Resident Evil คือฉันรู้สึกว่าฮอลลีวูดโหยหานางเอกสาวนักบู๊ที่ไม่ต้องพึ่งพาแต่ผู้ชายคนที่ไม่ได้เป็นแค่ไซด์คิกสำหรับซูเปอร์ฮีโรหนุ่มหรือเป็นภรรยาของพระเอกท่านั้นมันจะต้องเป็นบทผู้หญิงเด่นซึ่งก็มีไม่มากนักหรอกค่ะพอคุณเกาหัวและมองหาบทอย่างที่ว่าคุณก็จะตระหนักได้ว่ามันมีอยู่แล้วนี่! มิลลาแสดงบทบาทนี้มาหลายปีมากแล้วและเธอก็เหมือนกับตัวละครของเธอมากๆในชีวิตจริงเธอเป็นผู้หญิงอิสระที่แข็งแกร่งและสร้างแรงบันดาลใจและฉันคิดว่ามันจะต้องเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้ชมรักแฟรนไชส์นี้และแน่นอนค่ะมันมีหายนะสิ้นโลกมีซอมบี้และมันก็สร้างจากเกมที่ได้รับความนิยมมากๆอีกด้วยหนังทุกภาครวมเอาประเทศที่แตกต่างกันเข้าไปด้วยทำให้มันกลายเป็นปรากฏการณ์ของโลกใบนี้อย่างแท้จริงค่ะ”

ในโลกภาพยนตร์ที่อุดมไปด้วยพระเอกในภาพยนตร์แอ็กชันโจโววิชเชื่อว่าอลิซเป็นตัวอย่างของฮีโรนักบู๊หญิงแกร่งผู้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์ไหนก็ตาม “ฉันคิดว่าอลิซเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงมากมายเป็นตัวของตัวเองให้พวกเธอไล่ตามสิ่งที่พวกเธอต้องการโดยไม่กลัวสิ่งที่พวกเธอเป็นน่ะค่ะ”

“มิลลาเป็นนักแสดงที่ดุดันมากๆและเธอก็สามารถถ่ายทอดความคลั่งแค้นได้ดีมากๆ” โบลท์กล่าว “เธอเป็นนักแสดงที่ออกท่าทางมากๆและมีเสน่ห์บนหน้าจออย่างเหลือเชื่อกล้องถูกดึงดูดเข้าหาเธอมากๆเธอเติมเต็มเฟรมกล้องด้วยบุคลิกโดดเด่นของเธอเธอมีทุกอย่างที่คุณต้องการตั้งแต่เริ่มแรกเธอมีเสน่ห์ดึงดูดใจครับ” “สิ่งที่ฉันแสดงบนหน้าจอคือสิ่งที่ผู้หญิงคนอื่นๆแสดงออกมาในชีวิตจริงในชีวิตประจำวันเวลาฉันได้เห็นภาพแบบนั้นจากแฟนๆที่เดินเข้ามาพูดว่าหนังเรื่องนี้หรือตัวละครตัวนี้มีความหมายแค่ไหนและใครที่ช่วยพวกเธอให้พ้นจากจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตพวกเธอไม่ว่าจะเป็นกับครอบครัวของพวกเธอแฟนหนุ่มของพวกเธอหรือประเทศของพวกเธอก็ตามน้ำตาฉันจะรื้นขึ้นมาแค่คิดถึงมันเพราะมันเป็นความคิดที่วิเศษสุดที่ฉันได้มีบทบาทเล็กๆในการเติบโตในแง่บวกของชีวิตคนหนุ่มสาวเหล่านี้น่ะค่ะ” โจโววิชกล่าว

image3ผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายแนะนำตัวละคร

ใน The Final Chapter อลิซกลับสู่ต้นกำเนิดของทีไวรัสในแรคคูนซิตี้อีกครั้งณเมืองแห่งนี้เธอจะพยายามหยุดยั้งการแพร่กระจายของไวรัสอีกครั้งหนึ่งและเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากการพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในกรุงวอชิงตันดี.ซี. และการล่มสลายของกองทัพส่วนตัวของเธอใน Resident Evil: Retribution เธอก็ได้รับโอกาสครั้งสุดท้ายที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากแผนการขั้นสุดท้ายของอัมเบรลลาคอร์ปอเรชัน

เมื่อไปถึงแรคคูนซิตี้อลิซก็ได้ติดต่อกับผู้รอดชีวิตกลุ่มใหม่ซึ่งเป็นหนึ่งในคนกลุ่มสุดท้ายที่เหลือรอดจากหายนะไวรัสซอมบี้หนึ่งในผู้รอดชีวิตกลุ่มใหม่นี้คือขวัญใจของแฟนๆแคลร์เรดฟิลด์ (อาลีลาร์เตอร์) “แคลร์ประสบอุบัติเหตุและตอนนี้เธอก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายนี้ตอนนั้นเองที่อลิซเข้ามาและเธอก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะได้พบกับเธออีกครั้ง” ลาร์เตอร์พูดพลางกล่าวเสริมว่าตัวละครของเธอสู้เพื่อเอาชีวิตรอดมาตั้งแต่ Resident Evil: Extinction ภาคที่สามของแฟรนไชส์นี้ “ตัวละครของฉันมีการพัฒนาขึ้นเยอะระหว่างเรื่องราวในแฟรนไชส์นี้และนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆสำหรับฉันเธออยากจะเชื่อและอยากจะสร้างความสัมพันธ์เธออยากจะรู้สึกอะไรบางอย่างแต่มันก็ไม่มีเวลาเลยเพราะเธอถูกไล่ล่าอยู่ตลอดเวลาค่ะ”

ผู้ที่อยู่เคียงข้างแคลร์คือนักแสดงหน้าใหม่โอเวนแม็คเคนในบทด็อคแม็คเคนเล่าถึงตัวละครของเขาว่า “ด็อคเป็นผู้นำกลุ่มผู้รอดชีวิตกบฏพวกนี้ซึ่งอยู่ใกล้กับแรคคูนซิตี้เขามีความสัมพันธ์กับแคลร์เรดฟิลด์และพวกเขาก็คำนึงถึงแต่เรื่องการเอาชีวิตรอดทุกอย่างถูกสร้างสมดุลเอาไว้อย่างดีเพราะตอนนี้เป็นเหมือนจุดจบของโลกแล้วและทุกคนต่างก็ตึงเครียดและก้าวร้าวมากๆตอนที่ตัวละครของมิลลาเข้ามาด็อคและแคลร์ช่วยให้เธอรอดชีวิตได้ครับ”

เรเซอร์ (เฟรเซอร์เจมส์) มือขวาของด็อคทำงานร่วมกับด็อคในค่ายพักของผู้รอดชีวิต “เรเซอร์เป็นผู้ชายที่ตรงไปตรงมา” เจมส์กล่าว “เขาพบตัวเองอยู่ในโลกที่โกลาหลจากสงครามนิวเคลียร์และผลลัพธ์ที่ตามมาของมันซึ่งก็คือภูมิประเทศที่เวิ้งว้างเรเซอร์เป็นผู้รอดชีวิตและคุณก็ต้องเป็นผู้รอดชีวิตถ้าคุณยังคงมีชีวิตอยู่หลังจากเรื่องทั้งหมดนั้นเขาพบว่าตัวเองกลายเป็นผู้ช่วยของด็อคครับ”

นอกเหนือจากอันตรายจากอัมเบรลลาคอร์ปอเรชันและสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่จ่ออยู่หน้าประตูก็มีความขัดแย้งภายในบางอย่างท่ามกลางกลุ่มผู้รอดชีวิตเกิดขึ้นด้วยเจมส์อธิบายว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับไมเคิลในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับด็อคคือการรักษาชีวิตของเขา “เพราะมันมีความขัดแย้งภายในกลุ่มและมีอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นที่คงไม่เป็นผลดีกับตัวเขามันเป็นความสัมพันธ์ที่สำคัญมากๆในหนังเรื่องนี้ครับ”

ทีมนักแสดงของเรื่องได้ต้อนรับขวัญใจแฟนๆหน้าเดิมกลับมาและได้เพิ่มเติมนักแสดงใหม่ๆที่น่าสนใจเข้ามาทีมนักแสดงของเรื่องในครั้งนี้มีความหลากหลายอย่างเหลือเชื่อแม็คเคนเล่าว่า “มันสนุกมากเพราะนักแสดงทุกคนมาจากที่ต่างๆอย่างคิวบาญี่ปุ่นไอร์แลนด์อังกฤษแคนาดายูเครนรัสเซียและอเมริกาทุกที่จริงๆครับทุกคนเป็นมิตรดีแล้วพอลและเจเรมีก็ได้นำพลังงานที่น่าตื่นเต้นใส่เข้ามาครับ”

วิลเลียมเลวีนักแสดงชาวคิวบา/อเมริกันได้เข้าร่วมครอบครัว Resident Evil ในบทคริสเตียนหนึ่งในทหารที่รอดชีวิตผู้ทำงานกับกลุ่มของด็อคเลวีพูดถึงสิ่งที่ทำให้เขาสนใจโปรเจ็กต์นี้ว่า “เรื่องราวนี้จะเข้าถึงผู้ชมกลุ่มต่างๆกันเสมอและผมก็ไม่ต้องคิดซ้ำสองเกี่ยวกับการได้เป็นส่วนหนึ่งของงานที่น่าทึ่งอย่าง Resident Evil เลยครับผมได้ดูภาคก่อนๆทุกภาคและได้เห็นว่ามันเยี่ยมแค่ไหนตอนที่ผมได้อ่านบท Final Chapter ผมก็รู้ว่ามันจะเป็นหนังที่ดีกว่าเดิมในทุกๆทางผมต้องเป็นส่วนหนึ่งของมันให้ได้” เลวีพูดถึงตัวละครของเขาว่า “เขามีบุคลิกที่แข็งแกร่งเขาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นเขาเป็นคนที่ยิงก่อนถามทีหลังเขาเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของผู้รอดชีวิตของมนุย์ทุกคนซึ่งนั่นรวมถึงการสละชีวิตตัวเองด้วยครับ”

ในอีกฟากฝั่งหนึ่งของกำแพงเวสเกอร์ (ชอว์นโรเบิร์ต์) ได้กลับมาสู่แฟรนไชส์นี้อีกครั้งในบทหัวหน้าของอัมเบรลลาคอร์ปอเรชันและตัวร้ายหลักของเรื่อง “เวสเกอร์มักต่อสู้เพื่อการครอบครองโลกใบนี้และเพื่อขจัดมนุษยชาติที่ดูเหมือนจะนำมาซึ่งหายนะของโลกใบนี้และเขาก็ต่อสู้เพื่อวัตถุประสงค์นั้นเสมอเขาเป็นคนที่นิ่งสงบเก็บอารมณ์และควบคุมทุกอย่างไว้ในมือครับ” โรเบิร์ตส์กล่าว “คุณรู้ว่าความโกลาหลเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งแต่เขาเป็นเหมือนจุดนิ่งสงบในโลกใบนี้เขาเป็นสุภาพบุรุษที่เนี้ยบและรักสะอาดแต่ก็บู๊กระจายด้วยซึ่งมันเจ๋งสุดๆไปเลยครับ!”

โรเบิร์ตส์และทีมงานสร้างได้ใช้ความพยายามเป็นพิเศษเพื่อนำเสนอตัวละครไอคอนจากเกมต้นฉบับอย่างตรงไปตรงมา “ทุกครั้งที่เราสร้างหนังเรื่องนี้มันก็จะเป็นการผจญภัยใหม่ๆเสมอเราอุทิศเวลามากมายไปกับการสร้างและขัดเกลาภาพลักษณ์นนั้นเพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างลงตัวและทำให้แน่ใจว่าทรงผมเขาจะออกมา ‘ใช่’ ในตอนที่แฟนๆได้ดูหนังเรื่องนี้พวกเขาจะไม่ผิดหวังครับมันช่วยให้ผมสวมบทเป็นตัวละครตัวนี้ง่ายขึ้นเวสเกอร์เป็นหนึ่งในตัวละครโปรดของผมผมก็เลยชอบมันสุดๆ!”

ผู้ที่อยู่เคียงข้างเวสเกอร์คือวายร้ายชั้นครูดร.ไอแซ็คส์ที่รับบทโดยเอียนเกลนผู้กลับมาสู่แฟรนไชส์นี้อีกครั้งนับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งล่าสุดใน Resident Evil: Extinction เกลนได้ขยายความถึงเหตุผลที่ทำให้ดร.ไอแซ็คส์เป็นวายร้ายที่ได้รับความนิยมในแฟรนไชส์นี้ว่า “เราชื่นชอบการได้เกลียดชังตัวร้ายที่เขียนขึ้นมาได้ดีเยี่ยมน่ะครับเขาเป็นคนสุภาพเป็นคนที่มีอำนาจควบคุมและเขาก็ค่อนข้างจะเจ้าเล่ห์ทีเดียวมันมีเรื่องราวทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นมากมายและเขาก็ทำให้ตัวเองมีพลังเหนือมนุษย์ด้วยเช่นกันดังนั้นพลกำลังของเขาก็น่ายำเกรงเหมือนกันไอแซ็คส์เป็นตัวละครที่เขียนขึ้นมาได้อย่างดีเยี่ยมโดยพอลผู้เขียนฉากที่วิเศษสุดหลายฉากให้กับผมและผมก็ชื่นชอบการได้แสดงบทนี้ในหนังเรื่องนี้ซึ่งมันจะมีจุดหักมุมหลายตอนด้วยล่ะครับ”

ในฐานะหัวหน้าร่วมของอัมเบรลลาคอร์ปอเรชันบริษัทวายร้ายดร.ไอแซ็คส์จะต้องหยุดยั้งอลิซจากความพยายามของเธอในการปิดฉากแผนการร้ายในการยึดครองโลกของพวกเขา “เขาเป็นคนบ้าหลงตัวเองเขาอยากจะยึดครองโลกเพราะอลิซเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่ซับซ้อนและยอดเยี่ยมที่สุดของเขาแต่แผนการเขากลับผิดพลาดเพราะเธอมีจิตใจดีงามและมีความปรารถนาที่จะแก้ไขสถานการณ์ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขาไม่ได้ใส่เข้าไปในสิ่งประดิษฐ์ที่เขาสร้างขึ้นครับ”

นักแสดงหน้าใหม่อีกคนหนึ่งของแฟรนไชส์นี้คือนักแสดงหญิงชาวออสเตรเลียรูบี้โรสผู้กล่าวว่าเธอคงจะได้เกรดที่โรงเรียนดีกว่านี้ถ้าเพียงแต่เธอเล่นเกม Resident Evil ให้น้อยลง “ฉันเป็นคอเกมค่ะและหลังจากเล่นมันมา 4 ปีซึ่งเป็นเวลาไม่น้อยเลยนะคะฉันก็พยายามจะกลับ “เข้าไป” โรงเรียนอีกครั้ง” เมื่อโรสได้ยินว่า Final Chapter เป็นภาคสุดท้ายและเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะได้ทำงานในแฟรนไชส์นี้เธอก็กระโจนเข้าสู่โอกาสนี้ทันที

ด้วยความที่อาบิเกลผู้อยู่ในกลุ่มผู้รอดชีวิตเล็กๆนี้เป็นตัวละครใหม่ของแฟรนไชส์นี้โรสกล่าวว่าเธออยากจะสร้างที่มาที่ไปที่ซับซ้อนให้กับอาบิเกล “ในการที่เธอยังคงรอดชีวิตในขณะที่หลายคนไม่รอดและในการที่เธอเหมือนกับมีอำนาจในมือในที่ที่เธออยู่เธอก็คงจะต้องเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งและฉลาดมากๆเธอถนัดการใช้มือและเธอก็เหมือนช่างเครื่องในกลุ่มเธอสร้างอาวุธสุดเจ๋งหลายอย่างแต่ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันสามารถเข้าไปในฉากและให้อะไรกับเธอที่มากกว่าแค่บทพูดที่ฉันได้รับมาไอเดียของฉันสำหรับที่มาที่ไปของเธอเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเธอว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาอะไรทำให้เธอเป็นแบบนี้และอะไรที่ทำให้เธอมีความเข้มแข็งที่จะเอาชีวิตรอดผ่านเรื่องทั้งหมดนั่นได้น่ะค่ะ”

ลีจุนกินักแสดงและนักร้องชาวเกาหลีใต้รับบท “ผู้บัญชาการลี” หนึ่งในลูกสมุนของอัมเบรลลาคอร์ปอเรชัน “ผู้บัญชาการลีมีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้าและเป็นนักรบฝีมือเยี่ยมครับเขาแข็งแกร่งมากๆไม่ใช่แค่ทางกายเท่านั้นแต่ทางจิตใจด้วย” ลีกล่าว

ในฐานะนักแสดงดรามาชื่อดังลีต้องผ่านการฝึกฝนร่างกายและได้รับคำสั่งให้ถ่ายทอดบุคลิกจอมวายร้ายนักบู๊ออกมา “ผมรู้มาว่าพอลได้ดูซีรีส์หนังและผลงานเรื่องก่อนๆของผมหลายเรื่องเพราะเขาเข้าใจบทและฉากแอ็กชันของผมผมมีเวลาเตรียมตัวสองหรือสามวันกับทีมสตันท์ในฮอลลีวูดและพวกเขาก็เปิดกว้างมากาๆกับไอเดียของผมสำหรับการออกแบบแอ็กชันผมรู้สึกเยี่ยมและสนุกจริงๆที่มีโอกาสมากขนาดนี้และผมก็ตื่นเต้นจริงๆครับ”

image6ฉากจบสุดอลังการ

ด้วยความสำเร็จของทั้งห้าภาคที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันในแฟรนไชส์ Resident Evil สำหรับ Resident Evil: The Final Chapter ทีมผู้สร้างจะต้องหาจุดแตกต่างสร้างมุมมองเรื่องราวที่พิเศษสุดและไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนและถ้าเป็นไปได้ก็ยกระดับมาตรฐานและนำเสนอบทสรุปที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของแฟรนไชส์นี้ให้กับผู้ชม

ผู้อำนวยการสร้างเจเรมีโบลท์กล่าวว่า “แฟนๆสามารถคาดหวังได้เลยว่าจะเจอกับอลิซที่เปราะบางกว่ามีความเป็นมนุษย์มากกว่าและโลกที่สิ้นหวังและโกลาหลกว่าเดิมตัวละครพวกนี้กำลังถูกไล่จนมุมทำให้เรารู้สึกว่ามนุษยชาติกำลังจะพ่ายแพ้ให้กับทีไวรัสและอัมเบรลลาคอร์ปอเรชัน” โบลท์อธิบายถึงการที่ทีมผู้สร้างได้ต่อยอดงานสร้างในแต่ละภาคออกไปด้วยการพยายามหาสิ่งแวดล้อมใหม่ๆให้กับเรื่อง “ภาคแรกเราถ่ายทำกันในเยอรมนีและโดยหลักๆแล้วเราอยู่ใต้ดินกันภาคที่สองถ่ายทำที่โตรอนโตโดยที่แปดสัปดาห์เป็นการถ่ายทำภายนอกช่วงกลางคืนภาคสามถ่ายทำในเม็กซิโกเป็นเหมือนหนังเดินทางในทะเลทรายภาคสี่ถ่ายทำในลอสแองเจลิสและภาคห้าถ่ายทำบนสเตจทั้งหมดคล้ายๆกับหนังแฟนตาซีสิ่งหนึ่งที่ผมกับพอลพยายามนำเสนอกับแฟนๆคือตอนที่พวกเขาได้ดูเทรลเลอร์ตัวแรกพวกเขาจะต้องรู้สึกเหมือนว่ามันเป็น Resident Evil ที่พวกเขาไม่เคยดูมาก่อนผมคิดว่าแฟรนไชส์จะด้อยค่าลงถ้าเทรลเลอร์ซีเควลออกมาแล้วผู้ชมพูดว่า ‘มันทำให้ฉันนึกถึงภาคที่แล้วเลยนะฉันรู้สึกเหมือนเคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว’ คุณจะต้องพยายามสร้างความแปลกใหม่แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องนำเสนอสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยไปด้วย” อาลีลาร์เตอร์กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นบทสุดท้ายแล้วฉันคิดว่ามันจะเป็นหนังที่ดิบที่สุดผู้ชมจะรู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่แตกต่างออกไประหว่างตัวละครและความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงค่ะ”

โอเวนแม็คเคนเชื่อว่าบทภาพยนตร์ที่เข้มข้นของภาคสุดท้ายนี้จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งใหญ่อลังการท่สุด “มันจะขมวดปมจากเรื่องราวทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันและมันก็จะไม่หยุดเพียงแค่นั้นมันเป็นแอ็กชันที่ฉับไวและทุกอย่างก็ยิ่งใหญ่ขึ้นนอกจากนั้นมันยังมีฉากจบที่ตระการตาที่คุณจะเข้าใจทุกอย่างสำหรับตัวละครของอลิซมันมีการพัฒนาอย่างใหญ่หลวงและมันก็ติดตรึงใจด้วยครับ”

เฟรเซอร์เจมส์กล่าวเห็นพ้องด้วยว่า “ผมคิดว่าพอล, เจเรมีและมิลลาต่างก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมในภาคนี้ฉากที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงเรื่องราวอีพิคนี้อลังการงานสร้างมากแอ็กชันก็พิเศษสุดและกลุ่มนักแสดงนานาชาติที่พวกเขานำมารวมตัวกันก็มหัศจรรย์! เรามารวมตัวกันและเกิดความผูกพันกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันครับ”

“พอลนำทุกอย่างมาสู่จุดเริ่มต้นได้อย่างชาญฉลาดและทำให้คุณเข้าใจว่าทำไมทุกอย่างถึงเกิดขึ้นได้มันปิดฉากได้อย่างพิเศษสุดครับ” เอียนเกลนกล่าวเสริม

โจโววิชกล่าวว่า “ฉันคิดว่าแฟนๆจะต้องรักหนังเรื่องนี้เพราะมันเป็นทุกอย่างที่เราต้องการแต่ไม่มีโอกาสที่จะทำในห้าภาคที่ผ่านมามาถึงตอนนี้ในที่สุดเราก็ได้ลงมือทำเสียทีมันมีแง่มุมต่างๆมากมายที่จะชวนอึ้งทั้งฉากสุดเวอร์สตันท์น่าทึ่งมันมีทุกอย่างสำหรับทุกคนค่ะหนังเรื่องนี้มีทุกอย่างเลยและฉันก็ภูมิใจกับมันมากๆ”

image4อมนุษย์และการออกแบบในโลก Resident Evil

“ผมหวังว่าหนังเรื่องนี้จะมีสิ่งแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมจากภาคก่อนๆ” เจเรมีโบลท์ผู้แยกโลกของ Resident Evil ออกเป็นสามส่วนที่แตกต่างกัน “ส่วนแรกคือวอชิงตันดี.ซี. ที่รกร้างที่ซึ่งราวกับว่าอลิซเป็นคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ส่วนที่สองคือหนังโร้ดมูฟวีที่อลิซเดินทางไปแรคคูนซิตี้และได้เจอกับตัวละครที่หลากหลายดร.ไอแซ็คส์กองกำลังจากอัมเบรลลาและพวกอมนุษย์ทั้งหลายองก์สุดท้ายของเรื่องจะเน้นองค์ประกอบไซไฟในตอนที่เราอยู่ในรวงผึ้งซึ่งเป็นรังลับของอัมเบรลลาคอร์ปอเรชันครับ”

สำหรับThe Final Chapter ผู้ชมจะได้พบกับภาคที่ตื่นตาตื่นใจและอลังการที่สุดในแฟรนไชส์ Resident Evil ตั้งแต่การจำลอง “รวงผึ้ง” จาก Resident Evil ภาคแรกไปจนถึงการเติมเต็มโลกหลังหายนะใบนี้ผู้ออกแบบงานสร้างเอ็ดเวิร์ดโธมัสเน้นว่าแบบดีไซน์ทั้งหมดของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากเกมนี้ทั้งสิ้น

แม้ว่า Resident Evil: The Final Chapter จะเป็นภาคแรกที่โธมัสได้ทำงานในแฟรนไชส์นี้เขาก็รำพึงว่า “จนผมเริ่มได้ดูหนังเรื่องนี้ผมถึงรู้ตัวว่าผมได้ใช้มันเป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการออกแบบหนังหลายเรื่องขนาดไหนในการทำงานของผม”

“หนังที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับข้อมูลอ้างอิงทั้งหมดและมันก็มีการอ้างถึงเกมหลายๆภาคในหนังพวกนั้นซึ่งผมก็ตั้งใจที่จะนำเสนอมันในหนังภาคนี้ด้วยมันน่าตื่นเต้นที่ได้ยินว่าพอลจะดึงเอาฉากคลาสสิกเก่าๆบางฉากจากภาคก่อนๆกลับมาและผมก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจอย่างมากในการจำลองฉากพวกนั้นขึ้นมาใหม่ครับ”

ในการกลับไปยังแรคคูนซิตี้และรวงผึ้งของอลิซโธมัสและทีมงานเจอกับความท้าทายในการจำลองฉากที่โด่งดังจาก Resident Evil ภาคแรกในปี 2002 ขึ้นมาใหม่ฉากสำคัญเหล่านั้นรวมถึงห้องควบคุมภายในรวงผึ้งฉากใต้ดินที่กว้างใหญ่ฉากบังเกอร์และฉากพื้นสังหาร “มันเป็นเรื่องวิเศษสุดที่ได้สร้างสิ่งที่ทั้งสกปรกและอับชื้นอย่างที่นั่นแล้วมาเปลี่ยนเป็นลุคสะอาดใสปิ๊งแบบที่เราสร้างขึ้นมาในห้องควบคุมน่ะครับ”

นอกเหนือจากนั้น การถ่ายทำตามโลเกชันในแอฟริกาใต้ก็ทำให้พวกเขาได้เจอกับโลเกชันและโอกาสสุดพิเศษที่จะแสดงให้เห็นถึงสโคปของโลกหายนะนี้เรามีฉากภายนอกที่กว้างใหญ่ไพศาลหลายฉากรวมถึงฉากอาคารพอนเต้ในกรุงโยฮันเนสเบิร์ก ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งทีมผู้สร้างเจอพื้นที่ที่เหมาะสมในพื้นที่โรงงานซีเมนต์ฟิลิปปี้ ซึ่งตั้งอยู่ในนยังก้า ทาวน์ชิพภายในเคปทาวน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น ทำให้ทีมผู้สร้างต้องทำงานด้วยความระมัดระวังอย่างสูง

หน้าที่ของเราคือการทำให้แน่ใจว่าเราจะสามารถร้อยเรียงสถานที่ต่างๆ เหล่านี้ด้วยกัน และทำให้แน่ใจว่าพวกมันเวิร์ค และผู้ชมจะเชื่อคุณในตอนที่คุณพาพวกเขาร่วมเดินทางไปด้วย ว่าสถานที่พวกนี้อยู่ติดกันจริงๆ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง พวกมันอยู่ห่างไกลกันเป็นพันๆ ไมล์ นั่นคือความสนุกของหนังเรื่องนี้ครับ

โธมัสเน้นถึงความสำคัญของการตอบแทนแฟนๆในตอนที่สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา “ผมคิดว่าความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผมในหนังเรื่องนี้คือการซื่อตรงต่อแฟนๆและเกมนี้ครับด้วยความที่ผมเคยทำงานกับโปรเจ็กต์เหมือนอย่างนี้มาก่อนผมรู้ว่ามันเป็นยังไงตอนที่คุณได้รับจดหมายจากแฟนๆบอกว่า ‘คุณทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเราจำเรื่องนี้จากเกมหรือจากแฟรนไชส์ได้’ น่ะครับผมก็เลยคิดว่าการซื่อตรงต่อเรื่องแบบนั้นและรู้ว่าแฟนๆจะเจอของแบบนั้นในหนังจะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยการทำให้แน่ใจว่าทั้งหมดนั้นจะอยู่ในเรื่องน่ะครับ”

มันคงไม่ใช่ Resident Evil ถ้าไม่มีกองทัพซอมบี้และสัตว์ร้ายอมนุษย์อื่นๆแฟรนไชส์นี้โด่งดังจากซอมบี้ที่น่าสะพรึงกลัวและสร้างสรรค์ที่สุดเท่าที่เคยปรากฏบนหน้าจอคลินตันเอเดน-สมิธผู้ออกแบบชิ้นส่วนเทียมได้ยกระดับผลงานตัวเองขึ้นอีกครั้งด้วยแบบดีไซน์โฉมใหม่และการสร้างซอมบี้กว่า 1500 ตัวสำหรับงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะแฟนพันธุ์แท้ของเกมนี้เอเดน-สมิธรู้สึกมีความภาคภูมิใจกับผลงานของเขาเป็นการส่วนตัว “ตอนผมโตมาเกม Resident Evil ทำให้ผมอดตาหลับขับตานอนอยู่หลายคืนผมสนใจพวกซอมบี้มากๆการได้ทำงานในหนังเรื่องนี้เป็นโอกาสทองในการปลุกชีวิตให้กับประสบการณ์ในวัยเด็กนั้นและผมคิดว่าทุกคนที่โตมากับเกมนี้ก็เช่นกันครับ”

สำหรับภาคสุดท้ายของ Resident Evil ผู้กำกับพอลดับบลิว. เอส. แอนเดอร์สันได้มีวิสัยทัศน์ใหม่สำหรับรูปร่างหน้าตาของซอมบี้ใหม่พวกนี้เอเดน-สมิธอธิบายว่า “พอลอยากได้ลุคที่เฉพาะเจาะจงสำหรับซอมบี้ที่ตายมาได้ซักระยะแล้วพวกเขาจะต้องผ่านการเปลี่ยนโฉมบางอย่างนอกจากการมีฝุ่นเกาะมากๆเราก็พยายามที่จะสร้างบางสิ่งให้แตกต่างออกไปเล็กน้อยด้วยครับ” นอกเหนือจากซอมบี้ซึ่งเป็นอสุรกายกลายพันธุ์กระหายเลือดกลุ่มใหม่ซึ่งล่าสุดคือซอมบี้ “จาโว” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเกม Resident Evil ภาคล่าสุดเอเดน-สมิธอธิบายถึงกระบวนการในการสร้างสัตว์ประหลาดตัวี้ว่า “เราต้องผสมผสานองค์ประกอบต่างๆเข้าด้วยกันเพื่อสร้างลุคของตัวละครตัวนี้ทั้งชุดชิ้นส่วนเทียมงานเกี่ยวกับช่องปากฟันปลอมซึ่งค่อนข้างจะยุ่งยากทีเดียวตรงที่แก้มทั้งหมดของเขาหายไปและมันก็จะมีแต่ฟันเรียงตัวเป็นแถวมันก็เลยเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวของสิ่งต่างๆการที่คุณจะต้องรู้จักผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างดีและการที่คุณสามารถควบคุมมันได้ตามความต้องการของคุณน่ะครับ”

“พอลมีสไตล์ที่โดดเด่นและมีสายตาที่เฉียบคมมากๆดังนั้นหนังที่ได้ไม่เพียงแต่น่าติดตามเท่านั้นแต่ยังดูวิเศษสุดด้วยครับ” โบลท์กล่าว

image5แอ็กชันน่าตื่นตะลึง

The Final Chapter จะทำให้ผู้ชมได้พบกับการเล่าเรื่องและแนวทางการนำเสนอแฟรนไชส์นี้อย่างที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อนด้วยสตันท์ที่ทะเยอทะยานที่สุดเทาที่เคยปรากฏมาในประวัติศาสตร์แฟรนไชส์นี้ทีมงานได้ผลักดันขีดจำกัดเพื่อปูพื้นไปสู่การต่อสู้เพื่อมนุษยชาติครั้งสุดท้ายของอลิซ

ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์แกรนท์ฮัลลีย์กล่าวว่า The Final Chapter จะช่วยทำให้ชื่อเสียงของแฟรนไชส์ในเรื่องของแอ็กชันน่าตื่นตะลึงขจรขจายไปไกลยิ่งขึ้น “คุณไม่อยากให้ภาคถัดไปเป็นเหมือนเดิมกับภาคก่อนหน้านั้นอยู่แล้วเราก็เลยพยายามจะเสริมไลฟ์แอ็กชันและเสริม CGI และวิชวลเอฟเฟ็กต์เข้าไปผมคิดว่าภาคนี้ดิบเถื่อนและสมจริงกว่าเดิมอีกครับ”

“เราอยากให้สตันท์ของมิลลาให้ความรู้สึกสมจริงและไม่โอเวอร์เกินไปเราไม่อยากให้การต่อสู้ของเธอซ้ำรอยเดิมเราก็เลยเพิ่มการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจงและองค์ประกอบที่แตกต่างจากเดิมเข้าไปเพื่อที่ว่ามันจะไม่กลายเป็นการต่อสู้ธรรมดาอีกครั้งน่ะครับ” สิ่งสำคัญสำหรับทีมผู้สร้างคือการรักษาระดับความสมจริงในฉากแอ็กชันพร้อมไปกักบการใช้ประโยชน์จากวิชวลเอฟเฟ็กต์ “ภาพ CGI จะมีพื้นฐานจากความเป็นจริงและเราเชื่อว่าทุกช็อตควรจะเป็นของจริงซัก 50% และอีก 50% ก็อาจจะเป็น CGI ได้ครับ” ผู้อำนวยการสร้างเจเรมีโบลท์กล่าวการใช้วิชวลเอฟเฟ็กต์เป็นไปเพื่อส่งเสริมการนำเสนอประสบการณ์สุดวิเศษและซีเควนซ์ที่อัดแน่นไปด้วยแอ็กชันที่อลิซและสหายร่วมรบของเธอได้พบเจอ

การดิ้นรนครั้งสุดท้ายของอลิซ

โดยไม่มีข้อโต้แย้งหนึ่งในจุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดของแฟรนไชส์นี้คือนักแสดงหลักของเรื่องมิลลาโจโววิชผู้กลับมารับบท “อลิซ” เป็นครั้งที่หกและครั้งสุดท้ายตลอดเรื่องราวในแฟรนไชส์นี้อลิซได้เผชิญหน้ากับอุปสรรคที่เหลือเชื่อมากมายและรอดชีวิตจากกองกำลังชั่วร้ายของอัมเบรลลาคอร์ปอเรชันในฐานะผู้กอบกู้มนุษยชาติคนสุดท้าย

โจโววิชและตัวละครของเธอกลายเป็นไอคอนของภาพยนตร์แนวแอ็กชันไซไฟ Resident Evil: The Final Chapter เป็นการอำลาตัวละครตัวนี้ในแบบที่ทะเยอทะยานและน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดหลังจากจุดหักมุมที่ตื่นตะลึงของเรื่องแฟนๆจะได้พบกับบทสรุปที่สมบูรณ์เมื่อเรื่องราวกลับมาสู่ต้นกำเนิดของทีไวรัสอีกครั้งหนึ่ง “การถ่ายทำภาคสุดท้ายเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อจริงๆเพราะเราได้ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นสู่รวงผึ้งที่ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งและได้มองมันในแบบที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงค่ะ” โจโววิชกล่าวพลางเสริมว่า “ฉันรู้ว่าสำหรับพอลมันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นจริงๆเพราะคุณจะได้เจาะลึกเข้าไปในโลเกชันดั้งเดิมและเรื่องราวดั้งเดิมมากขึ้นได้ก้าวไปพ้นขอบเขตของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั่นฉันคิดว่ามันจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับแฟนๆเช่นกันเพราะพวกเขาจะได้เห็นเรื่องราวทั้งหมดและคำถามทั้งหมดที่ปรากฏในภาคแรกเราก็จะตอบมันในภาคนี้ค่ะ”

อลิซได้ผ่านการเดินทางสุดหฤโหดนับตั้งแต่การเริ่มปรากฏตัวในแฟรนไชส์นี้ในฐานะคนความจำเสื่อมในภาคแรก “ในภาคนี้อลิซเป็นตัวของตัวเองแทบจะสมบูรณ์แล้วและเธอก็เติบโตเป็นนักรบที่แข็งแกร่งฉันคิดว่าในภาคอื่นๆเธอกำลังค้นหาตัวเองอยู่ในภาคแรกเธอจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นส่วนในภาคสองเธอสู้กับสารอะไรก็ตามที่พวกเขาฉีดเข้ามาในตัวเธอเธอกำลังกลายเป็นใครเธอเป็นสัตว์ประหลาดหรือว่าเธอเป็นมนุษย์กันแน่”

โจโววิชกล่าวต่ออีกว่า “นั่นเป็นธีมที่ถูกส่งต่อไปอีกหลายภาคถัดไปอลิซสู้กับอัมเบรลลาและสิ่งที่พวกเขาทำกับเธอในทางการแพทย์เธอมีพลังรึเปล่าหรือว่าเธอไม่มีเธอควบคุมมันได้ยังไงเธอไม่เคยแน่ใจว่าตัวเองเป็นใครและตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเธอกลายเป็นคนที่เธอกลายมาเป็นแล้วจริงๆเธอไม่ได้ตั้งคำถามกับมันและเธอก็ไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไปแล้วแนวคิดของเธอก็คือ ‘ฉันเป็นอย่างที่ฉันเป็น! ถ้าคุณไม่ชอบก็ลงนรกไปซะเถอะ!’ ฉันชอบแง่มุมนั้นของเธอเพราฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะมีความสุขกับตัวตนที่คุณเป็นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นการมีความมั่นใจและความเข้มแข็งแบบนั้นเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจได้จริงๆและครั้งนี้เธอก็ได้พบตัวของเธอเองแล้วค่ะ”

Resident Evil: The Final Chapter

การอำลาครอบครัว

อาลีลาร์เตอร์กล่าวเสริมว่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกันและเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณแสดงหนังทุกคนก็จะได้ใกล้ชิดกันก่อนที่จะแยกย้ายกลับไปสู่ชีวิตของตัวเองทุกครั้งที่เรากลับมาเจอกันมันให้ความรู้สึกเหมือนเวลาไม่ได้ผ่านไปเลยแต่ครั้งนี้ฉันมีลูกสองคนส่วนมิลลาก็มาทำงานพร้อมด้วยลูกของเธอเหมือนกันทุกคนโตขึ้นด้วยกันในรูปแบบนั้นมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆที่ฉันได้คุยกับเธอและมีความเชื่อมโยงกับมิลลาในระดับนั้นฉันชอบความรู้สึกนั้นนะคะ! เราเป็นแม่ที่ต้องทำงานแต่เราก็ยังบู๊ได้ซึ่งสำหรับฉันมันเป็นสิ่งที่ฉันภูมิใจจริงๆฉันภูมิใจกับความจริงที่ว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์หญิงแกร่งเรื่องนี้มิลลารับบทอลิซมาหลายปีแล้วและเธอก็เป็นสาวนักบู๊มาโดยตลอดเราไม่ต้องการให้ผู้ชายมาดูแลเทคแคร์เราและฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายยิ่งกว่าเก่าอีกค่ะ”

รูบี้โรสเสริมความเห็นเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวว่า “มันมีความกดดันนิดๆในตอนที่คุณสร้างหนังภาคสุดท้ายเพราะมันเป็นหนังภาคสุดท้ายสำหรับพอลและมิลลาผู้สร้างแฟรนไชส์ใหญ่ยักษ์เรื่องนี้การได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาคสุดท้ายเป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะและคุณก็อยากจะทำอย่างดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ดังนั้นเมื่อทุกคนทำตัวเป็นมิตรสนุกสนานและรักใคร่กันดีเหมือนครอบครัวแสนสุขมันก็ทำให้การทำงานหนักเป็นเรื่องที่น่าพอใจมากยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ”

การเป็นส่วนสำคัญในการสร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่องนี้มาเป็นเวลากว่า 15 ปีทำให้ Resident Evil ก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตของโจโววิชทั้งในระดับส่วนตัวและการทำงาน “ระหว่างช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ฉันได้พบกับสามีฉันพ่อของลูกๆฉันดังนั้นมันก็เลยกลายเป็นเรื่องครอบครัวค่ะมันน่าเศร้าในแง่นั้นเพราะเราต่างก็รู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องราวนี้กับตัวละครตัวนี้ทีมงานและนักแสดงที่เราได้ร่วมงานกันซ้ำแล้วซ้ำอีกมันจะต้องเป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยคำอำลากับอลิซและแฟรนไชส์ Resident Evil” โจโววิชกล่าวพลางเสริมว่าสำหรับเธอแล้วมันเป็นการอำลาที่ทั้งสุขและเศร้า

ประวัติทีมนักแสดง

มิลลาโจโววิช (อลิซ)

มิลลา โจโววิช อาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดในโลกแฟชันในฐานะแรงบันดาลใจของช่างภาพในตำนาน ปีเตอร์ ลินด์เบิร์ก และในฐานะนักแสดงนำหญิงของแฟรนไชส์ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ Resident Evil นอกจากนี้ เธอยังมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกจากการแสดงแจ้งเกิดของเธอในบท ลี ลูในภาพยนตร์โดยลุค เบซงเรื่อง The Fifth Element และจนถึงปัจจุบัน เธอก็มีผลงานภาพยนตร์กว่า 40 เรื่อง รวมถึงภาพยนตร์โดยเซอร์ริชาร์ด แอทเทนโบโรห์เรื่อง Chaplin ประกบโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, ภาพยนตร์โดยวิม เวนเดอร์เรื่อง Million Dollar Hotel ประกบเมล กิ๊บสัน, Stone ประกบโรเบิร์ต เดอ นีโรและเอ็ดเวิร์ด นอร์ตันและ Zoolander ประกบเบน สติลเลอร์, โอเวน วิลสันและวิล เฟอร์เรล

มิลลาเกิดในครอบครัวของแพทย์ชาวเซอร์เบียและนักแสดงหญิงชื่อดังชาวรัสเซีย ครอบครัวของเธอย้ายไปอเมริกาในปี 1981 และเธอก็เริ่มต้นอาชีพการทำงานที่น่าทึ่งของเธอเมื่ออายุเก้าขวบ เมื่อเธอได้รับบทนำในภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง Night Train to Katmandu พออายุได้สิบเอ็ดปี เฮิร์บ ริทซ์ก็ได้ส่งให้เด็กหญิงมิลลาเป็นดาวเด่นด้วยการถ่ายภาพเธอขึ้นปกนิตยสารเดอะ เฟซ แม็กกาซีนและไล แม็กกาซีน ที่มีฟรังก้า ซอสซานี บรรณาธิการบริหารของโว้ค อิตาเลีย คนปัจจุบัน เป็นบรรณาธิการ พออายุได้สิบสองขวบ ริชาร์ด อาเวดอน ช่างภาพชื่อดัง ก็ได้ถ่ายภาพมิลลาในฐานะหนึ่งในผู้หญิงที่ตราตรึงใจที่สุดในโลกของเรฟลอน ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็ได้ขึ้นปกนิตยสารมาดมัวแซลล์ ซึ่งถ่ายภาพโดยอาเวดอนอีกเช่นเคย ทำให้เธอเป็นนางแบบที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ขึ้นปกนิตยสารแฟชันสตรี

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอได้แสดงแคมเปญโฆษณาทั่วโลกสำหรับชาแนล, ดิออร์, เวอร์ซาเช, พราดา, อาร์มานี, เคลวิน ไคลน์, ทิฟฟานี แอนด์ โค., จิมมี ชู, บลู มารีน, ฮิวโก้ บอส, อิซาเบล มาแรนท์, แอนนา โมลินารี, อัลแบร์โต้ บิอานี, เอโทร, มาเรลลา, เอสคาดา, เดอะ แก็ป, แมงโก้, ดามีอานี, เอล คอร์เต อิงเกิลส์, ไอซีบี, ซิสลีย์, เอช แอนด์ เอ็มและไลน์ต่างๆ ของดอนนา คาแรน รวมถึงดีเคเอ็นวาย นอกจากนี้ เธอยังเป็นแอมบาสเดอร์สำหรับลอรีอัลเป็นเวลาสิบเจ็ดปี ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์เครื่องสำอาง และภาพของเธอก็ได้ปรากฏหลายครั้งในปฏิทินของพิเรลลี ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับนางแบบคนไหนๆ ก็ตามอีกด้วย นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในโฆษณาญี่ปุ่นสำหรับฮอนด้าและกล้องแคนนอน IXY อีกด้วย 

บางที ผลงานที่โดดเด่นที่สุดคือการที่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มิลลาก็ได้ขึ้นปกนิตยสารต่างประเทศกว่าร้อยฉบับ นอกเหนือจากผลงานการแสดงที่หลากหลายและน่าประทับใจแล้ว เธอยังเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย เธอได้ปล่อยอีพีชุดแรกของเธอในชื่อ The Divine Comedy ในปี 1994 และเปิดตัว Electric Sky ที่ไลฟ์ บอล งานกาลาการกุศลเกี่ยวกับโรคเอดส์

เธอถูกวางตัวให้นำแสดงในภาคที่หก ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของแฟรนไชส์ Resident Evil ที่จะเข้าฉายในเดือนมกราคม ปี 2017 แฟรนไชส์ที่กวาดรายได้หลายพันล้านเหรียญเรื่องนี้ทำให้มิลลาเป็นนักแสดงหญิงเพียงคนเดียวที่ได้สวมบทตัวละครตัวเดิมในภาพยนตร์หลายภาคขนาดนี้ในแฟรนไชส์หนึ่งๆ

นอกจากนั้น ในปี 2017 เธอยังจะได้แสดงประกบเจมส์ ฟรังโก้ใน Future World และในปี 2018 เธอก็จะได้แสดงประกบวู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและทอมมี ลี โจนส์ในดรามาการเมืองโดยร็อบ ไรเนอร์เรื่อง Shock and Awe อีกด้วย

นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว เธอยังทำงานเป็นนักออกแบบที่ได้รับการยกย่องและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักออกแบบหน้าใหม่ยอดเยี่ยมโดยสภานักออกแบบแฟชันแห่งอเมริกาในปี 2006 จากแบรนด์โจโววิช-ฮอว์คของเธอ

นอกจากนี้ เธอยังทำงานการกุศลหลายอย่าง ด้วยการระดมทุนและทำหน้าที่แอมบาสเดอร์สำหรับแอมฟาร์และกองทุนวิจัยโรคมะเร็งรังไข่และ Love.Org อีกด้วย

เอียนเกลน (ดร. ไอแซ็คส์)

เอียน เกลน นักแสดงละครเวทีและภาพยนตร์ชาวสก็อต เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงในแฟรนไชส์ Resident Evil และจากการรับบทเซอร์โจราห์ มอร์มอนท์ใน Game of Thrones เกลนเข้ารับการศึกษาที่เอดินเบิร์กห์ อคาเดมี โรงเรียนสำหรับเด็กผู้ชาย (ซึ่งตอนนี้ เป็นสหศึกษา) ตามด้วยมหาวิทยาลัยอเบอร์ดีน เขาสำเร็จการศึกษาจากรอยัล อคาเดมี ออฟ ดรามาติก อาร์ต ที่ซึ่งเขาได้รับเหรียญทองบานครอฟท์ เขาเป็นสมาชิกสมทบของสถาบันราดา

หลังจากออกจากราดาในปี 1985 เอียนก็โด่งดังในทันทีด้วยการแสดงที่ได้รับการยกย่องของเขาในบทหัวหน้าแก๊งผู้มีเสน่ห์ใน The Fear for Euston Films หลังจาการแสดงยอดเยี่ยมที่ทำให้เขาได้รับรางวัลมากมายในบทกวีชาวสก็อตผู้ถูกคุมขัง แลร์รี วินเทอร์สใน Silent Scream อาชีพนักแสดงของเขาก็มีแนวโน้มที่จะสดใสและหลากหลาย มีนักแสดงไม่กี่คนที่จะสามารถรักษาสมดุลระหว่างงานละครเวทีและภาพยนตร์และประสบความสำเร็จในทั้งสองอย่างได้แบบเขา ด้านละครเวที เขาได้แสดงใน The Crucible และ Uncle Vanya บนเวทีเวสต์เอนด์ของลอนดอน ที่ได้รับรางวัลมากมายทั้งสองเรื่อง

ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงละครโดยเฮนดริค อิบสันเรื่อง Ghosts ซึ่งเขานำแสดงและเป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขา, ละครโดยแอนตัน ไชคอฟเรื่อง The Seagull ที่งานเทศกาลเอดินเบิร์กห์ นอกจากนั้น ที่โรงละครเนชันแนล เธียเตอร์ในลิตเติลตัน เขาก็ได้แสดงประกบเกลนน์ โคลสในละครเวทีเรื่อง A Streetcar Named Desire และในงานเทศกาลชิคเชสเตอร์ เขาก็ได้แสดงในละครเวทีโดยเทอร์เรนซ์ รัตติกันเรื่อง Separate Tables, King Lear และ Edward II

เกลนได้แสดงนำใน Longing และรับบทนำในรอบปฐมทัศน์โลกของละครเวทีเรื่อง Wallenstein ที่เทศกาลชิคเชสเตอร์และใน The Broken Heart ที่ย้ายมาเปิดการแสดงจากเวสต์เอนด์ ที่อาร์เอสซี สแตรทฟอร์ด นอกจากนี้ เขายังได้รับบทแม็คเบธ (โรงละครทรอน), เฮนรีที่ห้า (รอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนี) แสดงบทมาร์ติน กัวเรและแสดงประกบนิโคล คิดแมนใน The Blue Room ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลบรอดเวย์ ดรามา ลีค อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เขาได้แสดงใน Hedda Gabler ที่โรงละครดยุค ออฟ ยอร์ค เธียเตอร์ในกรุงลอนดอนและที่เบลเกรด เธียเตอร์ในเมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษ และได้แสดงใน Scenes from a Marriage ภายใต้การกำกับของเทรเวอร์ นันน์อีกด้วย

การได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลลอว์เรนซ์ โอลิเวียร์ เธียเตอร์ อวอร์ดของเกลนรวมถึงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในละครเวทีในปี 2007 จาก The Crucible ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลวอทส์ออนสเตจ เธียเตอร์ โกเออร์ส สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในละครเวทีด้วย, รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขาใน The Blue Room (1999) และรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในมิวสิคัลในปี 1996 จากการแสดงของเขาใน Martin Guerre ในปี 1995 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขาใน Henry V

ในปี 1990 เกลนได้รับรางวัลหมีเงินนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินครั้งที่ 40 จากการแสดงของเขาใน Silent Scream ในปีเดียวกัน เขาได้รับเลือกให้รับบท แฮมเล็ท เจ้าชายแห่งเดนมาร์คในภาพยนตร์โดยทอม สต็อพเพิร์ด ที่ดัดแปลงจากบทละครเรื่อง Rosencrantz and Guildenstern are Dead ของเขา ซึ่งได้รับรางวัลสิงโตทองคำในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิส

ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึง Eye in the Sky, Lara Croft: Tomb Raider, Kick-Ass 2, The Iron Lady, Dusty and Me, What About Love, Kingdom of Heaven, The Bad Education Movie, Pope Joan, Harry Brown, Resident Evil: Apocalypse, Resident Evil: Extinction ในบทดร.ไอแซ็คส์, Tara Road, The Last Legion, Man to Man, Gabriel and Me, The Case of Unfaithful Klara, Mrs. Ratcliffe’s Revolution และ Beautiful Creatures

ด้านจอแก้วเกลนรับบทคุณพ่ออ็อคตาเวียนใน The Time of Angels และ Flesh and Stone เรื่องราวสองเอพิโซด ที่เป็นส่วนหนึ่งของซีซันที่ห้าของซีรีส์ Doctor Who โฉมใหม่ เขาได้แสดงในซีซันที่สองของซีรีส์ Downton Abbey ในบทริชาร์ด คาร์ลิส

ผลงานซีรีส์โทรทัศน์ของเขารวมถึง The Red Tent, Breathless, Agatha Christie: Poirot, Borgia, Prisoners Wives, Ripper Street, Haven, The Hollow Crown, Wives & Daughters, Strike Back: Project Dawn, MI-5, Dr. Who, Masterpiece Classic, Law & Order: UK, The Fear และ The Diary of Anne Frank ในบทออตโต้แฟรงค์ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ของเขารวมถึง Autopsy: The Last Hours Of, Masterpiece Mystery, Into the Storm และบทนำใน Jack Taylor in Shot Down, Priest, The Pikemen, The Dramatist, The Guards และ The Magdalen Martyrs

ผลงานเรื่องอื่นๆรวมถึง Death of a Salesman, Henry IV, Part II, Taggart และ Kidnapped

นอกจากนี้เขายังให้เสียงบรรยายสารคดีเรื่อง Monsters Behind the Iron Curtain และ Spitfire โดยกายมาร์ตินอีกด้วยในปี 2012 เขาได้แสดงในซีรีส์สี่ตอนทางบีบีซีเรดิโอ 4 เรื่อง The Count of Monte Cristo ที่กำกับโดยเจเรมีมอร์ติเมอร์และซาชาเยฟทูเชนโก้

 

อาลี ลาร์เตอร์ (แคลร์)

อาลี ลาร์เตอร์ เป็นนักแสดงหญิง ผู้เขียนตำราทำอาหาร แม่ของ “เด็กเฮฮา” สองขวบ  ลาร์เตอร์ ผู้อาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง Heroes ได้ร่วมแสดงในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Resident Evil และได้ร่วมแสดงประกบบียอนเซ โนว์ลและอิดริส เอลบาในภาพยนตร์เรื่อง Obsessed ปัจจุบัน เธอกำลังแสดงในซีรีส์ยอดนิยมทางฟ็อกซ์เรื่อง Pitch

ลาร์เตอร์เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ยอดนิยมเรื่อง Varsity Blues ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอรวมถึง A Lot Like Love, American Outlaws, Jay and Silent Bob Strike Back, The House on Haunted Hill และ Drive Me Crazy

เธอได้แสดงในภาคที่หนึ่งและภาคที่สองที่ประสบความสำเร็จของแฟรนไชส์ Final Destination และได้แสดงประกบรีส วิทเธอร์สปูนใน Legally Blonde นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง Resident Evil: Extinctio, Resident Evil: Afterlife และหลังจากนี้ เธอก็จะได้แสดงใน Resident Evil: The Final Chapter ที่จะเข้าฉายในเดือนมกราคม ปี 2017 นอกจากนี้ เธอยังจะได้แสดงภาพยนตร์อินดีเรื่อง Crazy และ Marigold อีกด้วย ลาร์เตอร์ประสบความสำเร็จในการแสดงละครเวทีนิวยอร์กเรื่อง The Vagina Monologues

ลาร์เตอร์เป็นชาวเชอร์รี ฮิล รัฐนิวเจอร์ซีย์ เธอเริ่มเดินแบบเมื่ออายุสิบสามขวบและได้เดินทางไปทั่วโลก ปัจจุบัน เธออาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส เธอมีความสุขกับการได้จัดงานปาร์ตี้ดินเนอร์และงานเลี้ยงสังสรรค์ที่โด่งดัง อาลีได้ร่วมเฉลิมฉลองกับฮาเยส แม็คอาร์เธอร์ สามีของเธอและธีโอดอร์ ลูกชายและ วิเวียน ลูกสาว

โปรเจ็กต์อื่นๆ ของเธอรวมถึง Legends ดรามาสายลับสำหรับทีเอ็นทีและภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ที่รวมถึง You’re Not You และโรแมนติกคอเมดีอินดีเรื่อง Lovesick และ The League

ลาร์เตอร์ไม่ใช่คนที่จะหยุดพักจากการทำงาน ในเดือนกันยายน ปี 2013 สำนักพิมพ์เซนต์ มาร์ติน เพรสได้ตีพิมพ์ตำราอาหาร/ความบันเทิงเล่มแรกของลาร์เตอร์ในชื่อ Kitchen Revelry ซึ่งนำไปสู่การได้เป็นผู้ตัดสินรับเชิญในรายการ Top Chef, Chopped:  Junior Edition และ Next Food Network Star รวมถึงได้สาธิตการทำอาหารในรายการต่างๆ เช่น The Today Show และ The Chew ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนารายการที่เกี่ยวกับอาหารและความบันเทิงหลายรายการ

โอเวน แม็คเคน (ด็อค)

ปัจจุบันโอเวนแม็คเคนได้รับบททีซีคัลลาฮานในซีรีส์ดรามาการแพทย์ใหม่ของเอ็นบีซีเรื่อง The Night Shift สไตล์แข็งกร้าวของคัลลาฮานหมอทหารผู้เพิ่งกลับมาจากอัฟกานิสถานและใช้วิธีการแหวกแนวในการรักษาชีวิตไม่ค่อยจะเป็นที่ชอบใจนักของบรรดาเจ้านายของเขาแต่เขาก็เป็นศัลยแพทย์ฝีมือเยี่ยมและเป็นผู้ที่เป็นกำลังใจสำคัญให้กับคนไข้ของเขาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร

แม็คเคนอาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานของเขาในซีรีส์ทางบีบีซีวันเรื่อง Merlin ซึ่งเขารับบทกาเวนตัวละครผู้ทำตัวสบายๆแต่ก็กล้าหาญและทรงเกียรติ

ด้านจอเงินผลงานของเขารวมถึง Centurion ที่นำแสดงโดยไมเคิลฟาสเบนเดอร์และโดมินิคเวสต์และภาพยนตร์โดยลีโครนินเรื่อง  Through the Night รวมถึงภาพยนตร์โดยแอนดรูว์ฮัลเรื่อง Siren และภาพยนตร์โดยไมค์ฟิกกิสเรื่อง Suspension of Disbelief

ก่อนหน้านี้เขาได้แสดงในซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง The Tudors, ซีรีส์ไอริชเรื่อง Raw และ Fair City รวมถึงภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ของมาสเตอร์พีซเธียเตอร์เรื่อง Small Island

เมื่อปีที่แล้วแม็คเคนผู้มีผลงานการทำงานเบื้องหลังในภาพยนตร์หลายเรื่องเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Cold ซึ่งเขารับหน้าที่มือเขียนบทและผู้กำกับและได้แสดงประกบแจ็คเรย์นอร์และทอมฮ็อปเปอร์

แม็คเคนได้เขียนบทและลำดับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Christian Blake ซึ่งเข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์มิดอัลสเตอร์, เทศกาลภาพยนตร์กัลเวย์ปี 2008 และได้เข้าฉายในเดือนพฤษภาคมปี 2009 ในปี 2008 แม็คเคนได้กำกับเขียนบทลำดับภาพและแสดงใน Dreaming for You ภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขาที่ได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ขนาดสั้นลอสแองเจลิสและเทศกาลภาพยนตร์กัลเวย์ปี 2009

ในปี 2009 เขาได้กำกับสารคดีความยาวหนึ่งชั่วโมงเกี่ยวกับวงการแฟชันไอริชในชื่อ The Fashion of Modeling ซึ่งแพร่ภาพทางอาร์ทีอี 2 ในเดือนพฤษภาคมปีนั้น

 

เฟรเซอร์ เจมส์ (เรเซอร์)

เฟรเซอร์เจมส์นักแสดงละครเวทีภาพยนตร์และโทรทัศน์ชาวอังกฤษเกิดในย่านแคมเดนทาวน์กรุงลอนดอนเขามีเชื้อสายจากเกรนาดาแห่งหมู่เกาะแคริบเบียนเขาได้เข้าศึกษาที่เดอะกิลด์ฮอลสคูลออฟมิวสิคแอนด์ดรามาผลงานมากมายของเขาในแวดวงละครเวทีรวมถึง The Seagull (ปาร์คโอเพนแอร์ในรีเจนท์), Liberian Girl (รอยัลคอร์ท), Wildefire (แฮมป์สเตด), The Winter’s Tale (เซาธ์วอคเพลย์เฮาส์) ในบท ‘ลีออนเทส’ ใน King Lear & Troilus & Cressida ที่โด่งดัง (เชคสเปียร์โกลบ) และ The President of an Empty Room, at the Cottesloe (รอยัลเนชันแนลเธียเตอร์) เขาได้ร่วมทัวร์แสดงทั่วโลกเพื่อแสดงละครเวทีเรื่อง Our Country’s Good กับเอาท์ออฟจอนท์คัมปะนี

ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึง Birds of Heaven, Sometimes in April, The Purifier, Wing Commander และภาพยนตร์โดยพอลดับบลิว. เอส. แอนเดอร์สันเรื่อง Shopping ในปี 1994 เขาได้แสดงในซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่องรวมถึง Loch Ness, Wolfblood, Strike Back, Outnumbered, The Armando Iannoucci Show, Holby City, Judge John Deed, In Exile, Love Lies Bleeding, Prime Suspect 2, Frank Stubbs Promotes, Rules of Engagement, The Guardians, Life After Birth และ Second Sight

รูบี้ โรส (อาบิเกล)

รูบี้ โรส นักแสดงพรสวรรค์ดาวรุ่งผู้กำลังมาแรง เป็นนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลผู้ท้าทายตัวเองกับบทบาทใหม่ๆ และยังคงเดินหน้าพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ด้วยแต่ละโปรเจ็กต์ของเธอ

โรสได้รับความสนใจจากผู้ชมจากการแสดงแจ้งเกิดของเธอในซีรีส์ยอดนิยมของเน็ตฟลิกซ์เรื่อง Orange Is the New Black ในเดือนมิถุนายนปี 2015 เธอได้เปิดตัวในซีซันที่สามของซีรีส์นี้ในบท “สเตลลาคาร์ลิน” นักโทษอันตรายผู้ที่เสน่ห์ของเธอสะดุดตา “ไปเปอร์” (เทย์เลอร์ชิลลิง) ในปี 2016 เธอได้รับรางวัลแซ็กอวอร์ดสาขา “การแสดงยอดเยี่ยมโดยทีมนักแสดงในซีรีส์คอเมดี” จากการแสดงของเธอในซีรีส์ดังกล่าว Orange Is the New Black ซึ่งโด่งดังจากเรื่องราวที่เน้นเพศหญิงของมันได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลลูกโลกทองคำและเอ็มมีอวอร์ด

ปัจจุบันเธออยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์แอ็กชันโดยวอร์เนอร์บราเธอร์สเรื่อง Meg ที่สร้างจากนิยายปี 1997 โดยสตีฟอัลเทนเรื่อง Meg: A Novel of Deep Terror ภาพยนตร์เรื่อง Meg เล่าเรื่องของโครงการสำรวจใต้น้ำระดับโลกที่นำทีมโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนที่ถูกโจมตีโดยสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จักเมื่อติดอยู่ใต้ก้นบึ้งของร่องลึกมาเรียนาโดยที่เรือดำน้ำใช้การไม่ได้พวกเขาก็ต้องการความช่วยเหลือโรสรับบทวิศวกรอัจฉริยะและสมาชิกของทีมวิจัยทางทะเล

หลังจากนี้ในวันที่ 20 มกราคมเธอจะมีผลงานในภาพยนตร์โดยวินดีเซลเรื่อง XXX: The Return of Xander Cage ซึ่งเป็นภาคที่สามของแฟรนไชส์สุดยอดสายลับนอกจากนี้แอล. แจ็คสันยังได้แสดงในซีเควลที่กำกับโดยดี.เจ. คารูโซเรื่องนี้อีกด้วยปลายเดือนนี้เธอจะได้แสดงประกบมิลลาโจโววิช, อาลีลาร์เตอร์และชอว์นโรเบิร์ตส์ในภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil: Final Chapter เรื่องราวในซีเควลนี้จะกลับสู่แรคคูนซิตี้ที่ซึ่งองค์กรอัมเบรลลาจะรวบรวมกองกำลังของพวกเขาเพื่อการโจมตีผู้รอดชีวิตจากหายนะไวรัสร้ายครั้งสุดท้าย

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2017 เธอได้แสดงในแฟรนไชส์ภาพยนตร์แอ็กชันที่หลายคนรอคอย John Wick: Chapter Two ประกบคีอานูรีฟส์, คอมมอนและเอียนแม็คเชนภายใต้การกำกับของแช็ดสตาเฮลสกี้และเขียนบทโดยดีเร็คโคลสแต็ด

ผลงานการแสดงเรื่องอื่นๆของโรสรวมถึงภาพยนตร์อินดีเรื่อง Around the Block ซึ่งเธอแสดงประกบคริสตินาริชชีและเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตในเดือนกันยายนปี 2013 นอกจากนี้เธอยังได้แสดงใน Sheep’n’Wolves โปรเจ็กต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสตูดิโออนิมชันสัญชาติรัสเซียผู้อยู่เบื้องหลังแฟรนไชส์ The Snow Queen ภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง Sheep’n’Wolves ที่เธอได้ร่วมงานกับทอมเฟลตันเล่าเรื่องราวของดินแดนเวทมนตร์ที่ซึ่งฝูงแกะพบว่าวันเวลาที่อิสระเสรีของพวกเขาถูกรบกวนโดนฝูงหมาป่าที่ย้ายมาอาศัยอยู่ในหุบเขาใกล้ๆ

นอกจากนี้เธอยังได้เขียนบทอำนวยการสร้างและนำแสดงในภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Break Free ซึ่งยกย่องการผสมผสานของเพศสภาพอีกด้วยโดยภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและมียอดผู้ชมกว่า 18 ล้านครั้งทางยูทูป

นอกจากนี้พรสวรรค์ของหญิงสาวมากพรสวรรค์ผู้นี้ยังครอบคลุมถึงแฟชันและดนตรีอีกด้วยในปี 2016 เธอได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์เครื่องสำอางเออร์เบินดีเคย์ในฐานะนางแบบเธอได้ขึ้นปกนิตยสารชั้นนำอย่างแอลล์อเมริกา, โว้คออสเตรเลีย, อินสไตล์, จีคิวออสเตรเลีย, มารีแคลร์, คอสโมโพลิแทน, ลอฟฟิเชียลและไนลอนปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเครื่องสำอางเออร์เบินดีเคย์และพรีเซ็นเตอร์ของแคมเปญฤดูใบไม้ผลิปี 2016 ของราล์ฟลอเรนเดนิมแอนด์ซัพพลาย

สำหรับวงการดนตรีโรสได้งานแรกในปี 2007 ในฐานะวีเจของเอ็มทีวีออสเตรเลียภายในเวลาไม่ถึงสิบสองเดือนบทบาทดีเจก็ทำให้เธอได้รับรางวัลแอสทราอวอร์ดสาขา ‘ดาราหญิงยอดนิยม’ เธอได้ทำหน้าที่ดีเจตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก

เธอเป็นผู้สนับสนุนหลักขององค์กรการกุศลมากมายรวมถึงองค์กรการกุศลที่เธอทุ่มเทให้กับมันอย่างแอนตี้บุลลีอิ้ง, วีเมนแอนด์เกย์ไรท์, แอนนิมอลเวลแฟร์และยูธเมนทัลเฮลธ์

ล่าสุดเธอได้รับรางวัลสตีเฟนเอฟ. โคลแซ็คอวอร์ดจากงานแกลดมีเดียอวอร์ดปี 2016 ซึ่งถูกมอบให้กับผู้เกี่ยวข้องกับสื่อของกลุ่มคนรักร่วมเพศผู้สร้างความแตกต่างชัดเจนในการประชาสัมพันธ์การได้รับการยอมรับและความเท่าเทียมกัน

ปัจจุบันเธอใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส

 

ชอว์น โรเบิร์ตส์ (เวสเกอร์)

ชอว์น โรเบิร์ตส์ ได้แสดงในแฟรนไชส์  Resident Evil สำหรับโซนี สกรีน เจมส์และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาก็เพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาคสุดท้ายของแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบเมล กิ๊บสันในภาพยนตร์เรื่อง Edge of Darkness สำหรับวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ภายใต้การกำกับของมาร์ติน แคมป์เบลอีกด้วย

นอกจากนี้ โรเบิร์ตส์ยังได้แสดงในภาพยนตร์โดยไวน์สไตน์ คัมปะนีเรื่อง George A. Romero’s Diary of the Dead และในภาพยนตร์โดยไลออนส์เกท ฟิล์มส์เรื่อง Skinwalkers อีกด้วย ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึง I Love You, Beth Cooper สำหรับผู้กำกับคริส โคลัมบัสและทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์, Land of the Dead ที่กำกับโดยจอร์จ เอ. โรเมโรสำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส, X Men ที่กำกับโดยไบรอัน ซิงเกอร์สำหรับทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์และคอเมดีวัยรุ่นสัญชาติแคนาเดี้ยนที่ประสบความสำเร็จเรื่อง Going the Distance

โรเบิร์ตส์เติบโตขึ้นในรัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา และเริ่มยึดอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ในตอนที่เขาได้รับบทนำในซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง Emily of New Moon ซึ่งอำนวยการสร้างโดยไมเคิล โดโนแวน ผู้อำนวยการสร้างเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด หลังจากซีรีส์นั้นจบลงอย่างประสบความสำเร็จแล้ว โรเบิร์ตส์ก็เริ่มทำงานอย่างต่อเนื่องทั้งในจอเงินและจอแก้ว 

ปัจจุบัน โรเบิร์ตส์ได้ใช้เวลาอยู่ในลอสแองเจลิสและแคนาดา

วิลเลียม เลวี (คริสเตียน)

วิลเลียม เลวี ได้นำแสดงในทริลเลอร์อาชญากรรมโดยยูนิเวอร์แซลเรื่อง Term Life ประกบเทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ดและวินซ์ วอห์น ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึงภาพยนตร์โดยไทเลอร์ เพอร์รีเรื่อง  The Single Mom’s Club และ Addicted จากไลออนส์ เกททั้งสองเรื่อง

วิลเลียมเกิดในประเทศคิวบา เขาอพยพไปอาศัยอยู่ในไมอามี รัฐฟลอริดาตอนอายุได้ 14 ปี เขาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเซนต์โธมัสด้วยทุนการศึกษาด้านเบสบอล ก่อนที่เขาจะทุ่มเทให้กับการยึดอาชีพนักแสดง ในปี 2008 ผู้อำนวยการสร้างโทรทัศน์ชาวเม็กซิกัน คาร์ลา เอสทราดาได้เลือกวิลเลียมให้แสดงนำในซีรีส์ Cuidado con el Angel ซีรีส์ภาษาสเปนที่ทำให้วิลเลียมโด่งดังในชั่วข้ามคืนและทำลายสถิติด้วยยอดผู้ชมเฉลี่ยห้าล้านคนต่อคืนในอเมริกา

หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงใน Sortilegio ซึ่งตอนสุดท้ายมียอดผู้ชมสูงถึง 6.6 ล้านคน เอาชนะยอดผู้ชมของเอบีซีและซีบีเอสในเวลาเดียวกันได้ ซีรีส์เรื่องถัดไปของเขา  Triunfo del Amor เป็นซีรีส์ที่มีผู้ชมสูงสุดในวันศุกร์ในบรรดาทุกเครือข่าย ซีรีส์ของเขาถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ กว่าสิบภาษาและออกอากาศในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

ในขณะที่เลวีค่อยๆ ตอกย้ำสถานะของเขาในฐานะไอคอนป๊อปคัลเจอร์สำหรับคนเชื้อสายลาตินหลายล้านคนทั่วอเมริกา เขาก็ได้แสดงแคมเปญโฆษณาที่ประสบความสำเร็จมากมายให้กับแบรนด์ดังอย่าง เป็ปซี, เอ็มแอนด์เอ็ม, ซาบริทาส, เอทีแอนด์เอ, เครสต์และโตโยต้า ซาบริทาสให้ความเห็นว่าแคมเปญของพวกเขาที่นำแสดงโดยวิลเลียมเป็นแคมเปญโฆษณาที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของพวกเขาจนถึงปัจจุบัน แคมเปญดิจิตอล “Gran Decision” ที่แปลกใหม่ของโตโยต้าได้ใช้ประโยชน์จากโซเชียล เน็ตเวิร์คของวิลเลียม ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดตามรวมกัน 8.4 ล้านคน และมีปฏิสัมพันธ์กับแฟนๆ ของเขาในรูปแบบใหม่ด้วยการเสนอโอกาสให้พวกเขาสร้างเรื่องราวของตัวเองกับวิลเลียมและโตโยต้า แคมรีใหม่

ในปี 2014 วิลเลียมได้รับการยกย่องจากนิตยสารวาไรตี้ให้เป็นหนึ่งใน ‘ท็อปเท็นดาราเชื้อสายลาติน’ ในปีถัดมา เขาก็ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการประกาศผลรางวัลพรีมิออส ยูเวนตุ๊ด อวอร์ดทางยูนิวิชัน และเขาก็ได้รับการยกย่องจากนิตยสารพีเพิล สเปน เป็นหนึ่งใน “50 บุคคลที่งดงามที่สุดเป็นเวลาสี่ปีติดต่อกันอีกด้วย

โรลา (โคบอลท์)

โรลาเป็นหญิงสาวที่มีทั้งความงามมันสมองและพรสวรรค์โรลาหนึ่งในนางแบบแฟชันที่ทรงอิทธิพลและได้รับความนิยมสูงสุดในเอเชียกำลังสร้างชื่อเสียงของเธอเองในฐานะพิธีกรและนักแสดงหญิง

โรลาเกิดในกรุงโตเกียวจากครอบครัวของคุณแม่ชาวญี่ปุ่นผู้เป็นลูกเสี้ยวรัสเซียและคุณพ่อชาวบังกลาเทศเธอเปิดตัวในฐานะนางแบบเมื่ออายุได้ 16 ปีและไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ได้ขึ้นปกนิตยสารแฟชันระดับแนวหน้ามากมายเธอได้รับรางวัลต่างๆจากสไตล์ที่โดดเด่นและสร้างแรงบันดาลใจของเธอและได้รับการยกย่องให้เป็นไอคอนแฟชันอันดับหนึ่งในญี่ปุ่นเธอได้แสดงโฆษณาทางโทรทัศน์ให้กับสินค้าต่างๆมากมายตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ความงามและแบรนด์แฟชันไปจนถึงเครื่องดื่มและการซื้อขายหุ้นในปี 2014 เธอติดอันดับสาวญี่ปุ่นคนดังในโฆษณาทางโทรทัศน์

โรลาได้ใช้ประโยชน์จากความสำเร็จในแวดวงแฟชันของเธอในการสร้างฐานแฟนๆทางโซเชียลมีเดียด้วยการมีผู้ติดตามทางทวิตเตอร์และอินสตาแกรมรวมกันแล้ว 5.3 ล้านคนในต้นปี 2015 เธอมีจำนวนผู้ติดตามในทวิตเตอร์มากที่สุดเป็นอันดับสามสำหรับคนดังชาวญี่ปุ่นและเป็นอันดับสองสำหรับคนดังผู้หญิงชาวญี่ปุ่น

อิทธิพลยิ่งใหญ่ของโรลาในสื่อญี่ปุ่นทำให้ค่ายเพลงมักจะขอให้เธอประชาสัมพันธ์ศิลปินต่างประเทศใหม่ๆในญี่ปุ่นเสมอตามคำขอของยูนิเวอร์แซลมิวสิคญี่ปุ่นเธอได้ร่วมสัมภาษณ์คาร์ลีเรย์เจ็ปสันตอนที่เธอมาเยือนญี่ปุ่นและเธอก็ได้แนะนำคาร์ลีในบล็อกของเธอโดยการล้อเลียนเพลง Call Me Maybe ของคาร์ลีซึ่งส่งผลให้เพลงของคาร์ลีทำยอดขายได้ระดับโกลด์ในญี่ปุ่น

โรลาหญิงสาวผู้มีสำนึกด้านความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแรงกล้าใช้ความสำเร็จของเธอเพื่อทำให้ชีวิตของคนอื่นดีขึ้นในปี 2013 เธอได้ก่อตั้งมูลนิธิโรลาเวิลด์สกอลาร์ชิพซึ่งมอบโอกาสด้านการศึกษาให้กับเด็กๆที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่ขาดแคลนอุปกรณ์และสื่อการสอนในโรงเรียน

ลีจุนกิ (ผู้บัญชาการลี)

ลีจุนกิเป็นนักแสดง/นักร้อง/นายแบบมากความสามารถชาวเกาหลีใต้ผู้โด่งดังจากบทกงกิลในภาพยนตร์เรื่อง The King and the Clown ในเดือนสิงหาคมปี 2009 องค์กรการท่องเที่ยวเกาหลีได้แต่งตั้งเขาให้เป็นทูตการท่องเที่ยวของเกาหลี

เขาได้แสดงในซีรีส์กว่า 10 เรื่องและภาพยนตร์ 8 เรื่องรวมถึง My Girl, Iljimae, Time Between Dog and Wolf, Arang and the Magistrate, Two Weeks และ Scholar Who Walks the Night ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของเขารวมถึง Never Said Goodbye, Virgin Snow, May 18, Fly Daddy, Flying Boys และ Hotel Venus

ผลงานจอแก้วของเขารวมถึงLee Joon Gi’s JG World ทางเคเอ็นทีวีของญี่ปุ่น, Healing Camp, Aren’t You Happy? ทางเอสบีเอส (Ep.79 Lee Joon Gi), Lee Joon Gi’s JG Style ทางเอ็มเน็ตญี่ปุ่น, Golden Fishery ทางเอ็มบีซี (Ep.36 Lee Joon Gi), World Special LOVE Lee Joon Gi and Kim Ha Neul ทางทีวีเอ็น, Seo Tae Ji Comeback Special Book Notioc ทางเอ็มบีซี, 25th, A First grade in a First class Seo TaJi MC และ Chonan2 ทางฟูจิทีวี

คอนเสิร์ตมากมายของเขารวมถึง Joon Gi’s Day, Lee Joon Gi Asia Tour ‘Together’ ในญี่ปุ่น / จีน, Lee Joon Gi Asia Tour at Home ‘JG Night’ (เกาหลี) , Lee Joon Gi Asia Tour ‘JG Time with you…’ ในปักกิ่ง, Lee Joon Gi Asia Tour ‘JG TIME with you…’ at Home (เกาหลี) , Lee Joon Gi Asia Tour ‘JG TIME with you…’ in Japan’ ‘Coming Back!’ ในเซี่ยงไฮ้, ‘Coming Back!’ ในญี่ปุ่น, ‘Last J-style’ แฟนคอนเสิร์ตในไทเป, Fan Concert in China’, ‘Fan Concert in Japan’, ‘Episode II The Mask’ (เกาหลี) , ‘Episode Ⅰ’ (เกาหลี)

เขาได้รับรางวัลมากมายรวมถึงรางวัล 2014 เคบีเอสดรามาอวอร์ดสาขาคู่รักยอดเยี่ยม, นักแสดงยอดเยี่ยม, รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากเอพีเอเอ็นสตาร์อวอร์ดครั้งที่สอง, รางวัลโซลอินเตอร์เนชันแนลดรามาอวอร์ดครั้งที่แปดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในกลุ่มนักแสดงเกาหลีรุ่นใหม่ในปี 2013, รางวัลเอ็มบีซีดรามาอวอร์ดสาขาคู่รักยอดเยี่ยมในปี 2012, รางวัลสกายเปอร์อวอรอ์ดแกรนด์ไพรซ์ในกลุ่มนักแสดงเกาหลีรุ่นใหม่ในปี 2012, รางวัลเอ็มบีซีดรามาอวอร์ดสาขาดารายอดนิยมในปี 2009, รางวัลเอสบีเอสดรามาอวอร์ดปี 2008, รางวัลท็อปเท็นสตาร์อวอร์ด, รางวัลความนิยม, รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม, รางวัลโซลอินเตอร์เนชันแนลดรามาอวอร์ดครั้งที่ 3 ในปี 2008: รางวัลยอดนิยมจากโลกอินเทอร์เน็ต, รางวัลเอ็มบีซีดรามาอวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 2007, รางวัลไชนาแฟชันอวอร์ดโอเวอร์ซีส์ไอคอนอวอร์ดปี 2007, รางวัลดาราดาวรุ่งจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฮาวายครั้งที่ 27 ในปี 2007, รางวัลดาราต่างประทศจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเซี่ยงไฮ้ครั้งที่ 10 ในปี 2007, รางวัลดารายอดนิยมจากการประกาศผลรางวัลแบ็คแซงอาร์ตส์อวอร์ดครั้งที่ 43 ในปี 2007, รางวัลเอเชียโมเดลอวอร์ดโคเรียเวฟอวอร์ดครั้งที่สองในปี 2007, รางวัลดารายอดนิยม, รางวัลคู่รักยอดเยี่ยมจากการประกาศผลรางวัลบลูดรากอนฟิล์มอวอร์ดครั้งที่ 27 ในปี 2006, รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในมิวสิควิดีโอจากเทศกาลดนตรีเอ็มเน็ตเคเอ็มในปี 2006, รางวัลภาพยนตร์เกาหลีครั้งที่ห้าสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 2006ฅรางวัลนักแสดงยอดนิยมในประเทศจากการประกาศผลรางวัลภาพยนตร์แดจงครั้งที่ 43 ในปี 2006, รางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดนิยม, รางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากเวทีแบ็คแซงอาร์ตส์อวอร์ดครั้งที่ 42 ในปี 2006, รางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์ทองคำครั้งที่ 29 ในปี 2006 และรางวัลนักแม็กซ์มูฟวีอวอร์ดครั้งที่สามสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 2006

ผลงานตีพิมพ์ของเขารวมถึง Switzerland Photo Book – Letter From Switzerland, Hello Korea with Lee Joon Gi, Photo Book O`boy, Photo Book Good & Bye, Boy, Hello Korea with Lee Joon Gi, Thailand Photo Book Sawadee Kap

เขาทำหน้าที่เป็นทูตให้กับองค์กรและอีเวนต์ต่างๆรวมถึงการเป็นทูตเกียรติยศชาวเกาหลีของเซี่ยงไฮ้เอ็กซ์โปในปี 2010, ทูตเกียรติยศขององค์กรการท่องเที่ยวเกาหลีในปี 2009, ทูตเกียรติยศของเทศกาลโซลฮัลยูปี 2008, ทูตเกียรติยศของโครงการป้องกันการลอกเลียนแบบภาพยนตร์ปี 2007 และทูตเกียรติยศของเทศกาลภาพยนตร์แฟนตาซีบูชอนครั้งที่ 10

ประวัติทีมงาน

พอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สัน (ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง/มือเขียนบท)

พอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สัน เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากภาพยนตร์ลุ้นระทึกที่พลุ่งพล่านไปด้วยแอ็กชันของเขา รวมแล้วภาพยนตร์ของเขาทำรายได้ไปกว่าสองพันล้านเหรียญทั่วโลก และทำรายได้เป็นอันดับหนึ่งในช่วงสุดสัปดาห์เปิดตัวของบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก ความสำเร็จนี้ผลักดันให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของผู้กำกับระดับแนวหน้า แอนเดอร์สันได้เปลี่ยนเรื่องราวอีพิคให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่พลาดไม่ได้ โดยเขาได้สร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสี่เรื่อง และได้เลือกใช้ประเด็นที่หลากหลายเช่นวรรณกรรมคลาสสิก, ไซไฟ, แฟรนไชส์วิดีโอเกมและนิยายอิงประวัติศาสตร์

แอนเดอร์สันเกิดและเติบโตนิวคาสเทิล อัพพอน ไทน์ ประเทศอังกฤษ เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาภาพยนตร์และวรรณกรรมจากมหาวิทยาลัยวอร์ริค หลังจากนั้น เขาก็ศึกษาต่อที่เดิมและกลายเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่จบปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัย 

ผลงานเรื่องแรกของแอนเดอร์สันคือภาพยนตร์ทุนต่ำที่ประสบความสำเร็จ Shopping ในปี 1994 ที่เขาเขียนบทและกำกับ ภาพยนตร์มืดหม่นเรื่องนี้ ที่นำแสดงโดยซาดี้ ฟรอสท์และจู๊ด ลอว์ (ร่วมด้วยการปรากฏตัวของนักร้องในตำนาน มารีแอนน์ เฟธฟูล) ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยาวชนอังกฤษ ที่ขับรถที่ขโมยมาและขับรถพุ่งชนกระจกร้านค้า ถูกแบนในโรงภาพยนตร์บางแห่งของอังกฤษ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความชื่นชอบแอ็กชันที่ส่งผลกระทบรุนแรงของแอนเดอร์สันด้วย

Shopping เป็นใบเบิกทางสู่ฮอลลีวูดสำหรับแอนเดอร์สัน และ Mortal Kombat ในปี 1995 ก็เป็นภาพยนตร์ที่ขึ้นอันดับหนึ่งบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่องแรกของเขา และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากเกมเรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จด้วย ชัยชนะของ Mortal Kombat ส่งให้แอนเดอร์สันกลายเป็นผู้กำกับที่สามารถนำเกมเครื่องจากโทรทัศน์มาระเบิดบนจอเงิน เป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จได้ แอนเดอร์สันปฏิเสธข้อเสนอที่จะกำกับซีเควล Mortal Kombat แต่เลือกที่จะไปสนใจไซไฟแทน โปรเจ็กต์ถัดไปของเขาได้แก่ Event Horizon ภาพยนตร์เรื่อง Event Horizon ที่ตอนนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกไปแล้ว นำแสดงโดยลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น, แซม นีลล์, เจสัน ไอแซ็คส์และโจลี ริชาร์ดสัน

แอนเดอร์สันกลับมาดัดแปลงเกมเพื่อขึ้นสู่จอเงินอีกครั้งด้วยภาพยนตร์เซอร์ไววัลสยองขวัญ Resident Evil (2002) ที่นำแสดงโดยมิลลา โจโววิชและมิเชลล์ โรดริเกซ แอนเดอร์สันได้เขียนบท กำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งประสบความสำเร็จด้านรายได้ถล่มทลาย นำมาสู่แฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จเรื่องที่สองของแอนเดอร์สัน แฟรนไชส์นี้ประกอบไปด้วยภาพยนตร์ฮิตอันดับหนึ่ง Resident Evil: Apocalypse (2004), Resident Evil: Extinction (2007), Resident Evil: Afterlife (2010) และ Resident Evil: Retribution (2012) โดยแอนเดอร์สันได้เขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ซีเควลเหล่านี้ร่วมกับเจเรมี โบลท์ คู่หูจากอิมแพ็ค พิคเจอร์ส เขากลับมานั่งเก้าอี้ผู้กำกับอีกครั้งสำหรับภาค Afterlife & Retribution

แอนเดอร์สันตอกย้ำพลังในบ็อกซ์ออฟฟิศของเขาเมื่อเขาเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ที่เป็นที่จับตามองอย่างสูงเรื่อง AVP: Alien vs. Predator (2004) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จเรื่องที่สามของเขา ด้วยการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวที่อันดับหนึ่งและกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในทั้งแฟรนไชส์ Alien และ Predator

ในปี 2008 ภาพยนตร์โดยแอนเดอร์สันเรื่อง Death Race ที่นำแสดงโดยเจสัน สเตแธมและโจน อัลเลน ได้เข้าฉาย ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นรีเมกภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกปี 1975 เรื่อง Death Race 2000 ที่นำแสดงโดยเดวิด คาร์ราดินและซิลเวสเตอร์ สตอลโลน แอนเดอร์สันได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับโบลท์ผ่านทางอิมแพ็ค พิคเจอร์ส

ในปี 2009 แอนเดอร์สันได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์สยองขวัญไซไฟเรื่อง Pandorum ที่นำแสดงโดยเดนนิส เควดและเบน ฟอสเตอร์ ซึ่งเขารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง แอนเดอร์สันและโบลท์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านทางอิมแพ็ค พิคเจอร์สของพวกเขา 

Resident Evil: Afterlife ภาคสี่ของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเข้าฉายในปี 2010 ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยมิลลา โจโววิชและถ่ายทำโดยใช้ระบบวินเซนต์ เพซ 3D ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อภาพยนตร์เรื่อง Avatar ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์อันดับหนึ่งทั่วโลกของแอนเดอร์สัน และครองอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกตลอดทั้งเดือน ที่สุดแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำรายได้ไปกว่า 300 ล้านเหรียญทั่วโลก

หลังจากจุดสูงสุดของแฟรนไชส์ Resident Evil ที่ยังพัฒนาอยู่เรื่อยๆ แอนเดอร์สันก็ได้ฉีกออกไปกำกับและอำนวยการสร้าง The Three Musketeers ภาพยนตร์ที่นำเอานิยายคลาสสิกของอเล็กซานเดร ดูมัสมาสร้างใหม่ สำหรับคอนสแตนติน ฟิล์มและซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนต์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ถ่ายทำใน 3D มีทีมนักแสดงระดับแนวหน้า ซึ่งรวมถึงมิลลา โจโววิช, ออร์ลันโด้ บลูม, คริสตอฟ วอลท์และโลแกน เลอร์แมน ร่วมด้วยลุค อีวานส์, เรย์ สตีเฟนสันและแมทธิว แม็คเฟดเยน ในบทสามทหารเสือ ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในปี 2011 และได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั่วโลกด้วยรายได้ 150 ล้านเหรียญ

หลังจากนั้นในปี 2011 แอนเดอร์สันก็ได้กลับสู่แฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์ของเขา ด้วยการเขียนบท อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil: Retribution ภาคห้าที่หลายคนรอคอยของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Resident Evil ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รวมนักแสดงที่แฟนๆ รักและคุ้นเคยเข้ากับนักแสดงหน้าใหม่สุดร้อนแรงในภาคใหม่ที่ชาญฉลาดของแฟรนไชส์นี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เข้าฉายในเดือนกันยายน ปี 2012 ทำรายได้อย่างน่าประทับใจที่ 240 ล้านเหรียญทั่วโลก ทำให้แฟรนไชส์ Resident Evil ทำรายได้รวมกันกว่า 930 ล้านเหรียญทั่วโลกอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

ในปี 2014 แอนเดอร์สันมีผลงานเรื่อง Pompeii ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยทีมนักแสดงระดับแนวหน้าที่นำทีมโดยคิท แฮร์ริงตันที่โด่งดังจาก Game of Thrones, ไคเฟอร์ ซุทเธอร์แลนด์, เอมิลี บราวนิง, อะเดเวล อาคินนูเย-แอ็กบาเจ, แคร์รีย์-แอนน์ มอสและจาเร็ด แฮร์ริส มันเป็นเรื่องราวคลาสสิกเกี่ยวกับความรัก มิตรภาพ ความโลภและการทรยศหักหลังที่มีฉากหลังเป็นการระเบิดของภูเขาไฟเวสุเวียส ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่มีภาพน่าทึ่งเป็นภาพยนตร์อลังการงานสร้างที่ทำรายได้ไป 120 ล้านเหรียญจนถึงปัจจุบัน

แอนเดอร์สันกลับมานั่งแท่นผู้กำกับแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ทำลายสถิติของเขาอีกครั้งในปี 2015 เพื่อกำกับ Resident Evil: The Final Chapter บทสรุปของแฟรนไชส์พันล้านเหรียญ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ขมวดปมเรื่องราวที่ยาวนาน 16 ปีและนำตัวละครคลาสสิกในเกมมาประชันกับคู่ปรับร้ายกาจใหม่ๆ เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายสำหรับแฟรนไชส์นี้ และอลิส นางเอกที่หาตัวจับยากของภาพยนตร์แนวนี้ ภาคสุดท้ายที่แฟนๆ รอคอยและอัดแน่นไปด้วยแอ็กชันเรื่องนี้ ที่ถ่ายทำในแอฟริกาใต้ กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนโพสต์โปรดักชัน และมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 27 มกราคม ปี 2017

เจเรมีโบลท์ (ผู้อำนวยการสร้าง)

เจเรมี โบลท์ได้ก่อตั้งอิมแพ็ค พิคเจอร์สขึ้นมาร่วมกับพอล ดับบลิว. เอส. แอนเดอร์สันในปี 1992 Shopping ภาพยนตร์เรื่องแรกของโบลท์ในปี 1994 ที่นำแสดงโดยจู๊ด ลอว์ (แชนแนล โฟร์ ฟิล์มส์) เป็นภาพยนตร์แอ็กชันเกี่ยวกับเยาวชนอังกฤษที่ขับรถที่ขโมยมาและขับรถพุ่งชนกระจกร้านค้า ภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยแจ้งเกิดให้กับโบลท์และแสดงให้เห็นถึงความรักที่เขามีต่อรถและการแข่งท้ามฤตยูด้วย หลังจากได้รับความสนใจจากฮอลลีวูด โบลท์ก็อำนวยการสร้างภาพยนตร์ทุนหนาหลายเรื่องเช่น Event Horizon (พาราเมาท์) และ Soldier (วอร์เนอร์ บรอส.) Resident Evil (โซนี สกรีน เจมส์) ปี 2002 เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกภายใต้การร่วมทุนระหว่างอิมแพ็ค พิคเจอร์สและคอนสแตนติน ฟิล์ม ผู้จัดจำหน่ายอิสระของเยอรมนี และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำรายได้ไปกว่า 100 ล้านเหรียญทั่วโลก

ภายใต้การร่วมมือกับคอนสแตนติน โบลท์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ปี 2004 เรื่อง Resident Evil: Apocalypseให้กับโซนี สกรีน เจมส์, ภาพยนตร์สยองขวัญจิตวิทยาเรื่อง The Dark, ภาพยนตร์แอ็กชันวัยรุ่น DOA: Dead Or Alive ที่ดัดแปลงจากแฟรนไชส์วิดีโอเกมขายดีของเท็คโม และ Resident Evil: Extinction ปี 2007 ภาคสามของแฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์ Resident Evil ที่เปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศอเมริกาและทำรายได้ไปกว่า 150 ล้านเหรียญทั่วโลก นอกจากนั้น ในปี 2007 โบลท์ยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Death Race ที่นำแสดงโดยเจสัน สเตแธม, โจน อัลเลนและเอียน แม็คเชน และเป็นการนำภาพยนตร์คลาสสิกของโรเจอร์ คอร์แมนมาสร้างใหม่ ร่วมกับครูส/แว็กเนอร์ โปรดักชันส์สำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2009 เขามีผลงานเป็นภาพยนตร์ไซไฟสยองขวัญเรื่อง Pandorum สำหรับโอเวอร์เจอร์ ฟิล์มส์และคอนสแตนติน ฟิล์ม ที่นำแสดงโดยเดนนิส เควดและเบน ฟอสเตอร์ ภาคสี่ของแฟรนไชส์ Resident Evil เข้าฉายในฤดูใบไม้ร่วงปี 2010 และทำรายได้สูงถึง 300 ล้านเหรียญทั่วโลก ภาพยนตร์แอ็กชันสยองขวัญ Resident Evil: Afterlife ถ่ายทำในระบบ 3D สำหรับคอนสแตนติน ฟิล์ม และ โซนี สกรีน เจมส์และนำแสดงโดยมิลลา โจโววิชและอาลี ลาร์เตอร์ หลังจากความสำเร็จเรื่องนี้ ผลงานของเขาคือการปัดฝุ่นให้กับ The Three Musketeers เรื่องราวคลาสสิกของอเล็กซานเดร ดูมาสในระบบ 3D สำหรับคอนสแตนติน ฟิล์มและซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนต์ (150 ล้านเหรียญทั่วโลก)

ในปี 2013 Resident Evil: Retribution ได้ครองบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวด้วยอันดับหนึ่งในอเมริกา และทำลายสถิติโลกในญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ไทย ฮ่องกง เกาหลี รัสเซียและลาติน อเมริกา

ล่าสุด Pompeii อีพิคผจญภัย 3D ที่มีฉากหลังเป็นการระเบิดของภูเขาไฟเวสุเวียสในปีค.. 79 ได้เข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 สำหรับคอนสแตนติน ฟิล์ม ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่า 120 ล้านเหรียญทั่วโลก

ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการทำงานในขั้นตอนโพสต์โปรดักชันของภาพยนตร์เรื่อง Resident Evil: The Final Chapter

แฟรนไชส์ Resident Evil จะข้ามเส้นรายได้พันล้านเหรียญในโรงภาพยนตร์ด้วยภาคสุดท้ายนี้

 

โรเบิร์ต คัลเซอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง)

โรเบิร์ต คัลเซอร์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานร่วมของคอนสแตนติน ฟิล์ม ดีเวล็อปเมนต์ ลอสแองเจลิสในปี 2005 ที่ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายโปรดักชันตั้งแต่ปี 2000 และก่อนหน้านั้น เขาก็ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายพัฒนาและจัดซื้อระหว่างปี 1991-2000 ภาพยนตร์ที่เขาซื้อสิทธิสำหรับคอนสแตนติน ฟิล์มได้แก่ American Pie, The Sixth Sense และ Sleepy Hollow ในฐานะผู้บริหารงานสร้าง เขาได้มีส่วนร่วมในการทำงานในภาพยนตร์เรื่อง The House of the Spirits, Smilla’s Sense of Snow, Wrongfully Accused และแฟรนไชส์ The Fantastic Four

ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้าง The Mortal Instruments ซึ่งสร้างจากวรรณกรรมเยาวชนขายดีของคาสซานดรา แคลร์ คัลเซอร์ได้รับตำแหน่งรองประธานร่วมของคอนสแตนติน ฟิล์ม ดีเวล็อปเมนต์ ลอสแองเจลิสในปี 2005 ที่ซึ่งเขาได้ทำงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายโปรดักชันมาตั้งแต่ปี 2000 และทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายพัฒนาและจัดซื้อตั้งแต่ปี 1991-2000 ผลงานที่เขาซื้อสิทธิมาให้กับคอนสแตนติน ฟิล์มได้แก่  American Pie, The Sixth Sense และ Sleepy Hollow นอกจากนี้ เขายังได้มีส่วนร่วมในงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง The House of the Spirits, Smilla’s Sense of Snow, Wrongfully Accused และ The Fantastic Four อีกด้วย

คัลเซอร์ได้ควบคุมงานสร้าง Resident Evil และ Resident Evil: Apocalypse เขาได้อำนวยการสร้างทั้ง Resident Evil: Extinction ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์อินดีที่ทำรายได้สูงสุดของปี 2007, Resident Evil: Afterlife และ  Resident Evil: Retribution

ผลงานการอำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์ไซไฟสยองขวัญเรื่อง Pandorum, The Three Musketeers, The Mortal Instruments: City of Bones, Pompeii และโรแมนติกคอเมดีเรื่อง Love, Rosie

ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการควบคุมงานสร้างซีซันที่สองของซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง Shadowhunters ที่สร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ชุด The Mortal Instruments

ซามวล ฮาดีดา (ผู้อำนวยการสร้าง

ซามวล ฮาดีดา เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างและผู้จัดจำหน่ายที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลกภาพยนตร์ เขาและวิคเตอร์ พี่ชายของเขา เป็นผู้ที่ทำให้ เมโทรโพลิแทน ฟิล์มเอ็กซ์พอร์ต ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นยุค 80s โดยสองพี่น้องและเดวิด พ่อของพวกเขา กลายเป็นบริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์ภาษาอังกฤษอิสระที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จสูงสุดในฝรั่งเศส

เมโทรโพลิแทนได้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จหลายร้อยเรื่องในฝรั่งเศสและได้พัฒนาความเข้าใจด้านการจัดจำหน่ายและการตลาดอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับฮาดีดาที่จะขยับขยายสู่สายงานสร้างภาพยนตร์

ผลงานสร้างเรื่องแรกของเขาคือ True Romance ภาพยนตร์เรื่องแรกที่อำนวยการสร้างจากบทภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโน และเป็นเรื่องแรกที่เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับโทนี สก็อต ปัจจุบัน ฮาดีดาได้อำนวยการสร้างหรือร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องในแต่ละปีผ่านทางเดวิส ฟิล์มส์ บริษัทโปรดักชันที่มีเจ้าของและดำเนินการโดยตัวเขาและวิคเตอร์ ผลงานเหล่านี้รวมถึงภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมฝรั่งเศส ภาพยนตร์ยุโรปหรือร่วมทุนสร้างกับยุโรปและภาพยนตร์อเมริกัน

ฮาดีดาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Imaginarium of Doctor Parnassus ภาพยนตร์แปลกใหม่โดยเทอร์รี กิลเลียมที่นำแสดงโดยฮีธ เล็ดเจอร์ในผลงานเรื่องสุดท้ายในชีวิต, คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์, ลิลลี โคล, จอห์นนี เด็ปป์, โคลิน ฟาร์เรลและจู๊ด ลอว์, Solomon Kane อีพิคผจญภัยเรื่องแรกที่ดัดแปลงจากเรื่องราวพัลพ์คลาสสิกโดยโรเบิร์ต อี. โฮเวิร์ด ผู้สร้าง Conan The Barbarian ที่กำกับโดยไมเคิล เจ. บาสเซ็ทท์และนำแสดงโดยเจมส์ เพียวฟอย, ภาพยนตร์โดยคริสตอฟ แกนส์เรื่อง Silent Hill และภาพยนตร์โดยโทนี สก็อตเรื่อง Domino ที่นำแสดงโดยเคียรา ไนท์ลีย์และมิคกี้ โร้ค

ฮาดีดาได้รักษาสถานภาพการร่วมงานที่ยาวนานและประสบความสำเร็จกับคอนสแตนติน ฟิล์ม ในงานสร้างแฟรนไชส์ Resident Evil นอกเหนือจากนั้น เขายังได้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยคอนสแตนตินเรื่อง Perfume, Story of a Murderer ที่กำกับโดยทอม ไทเควอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากเรื่องราวเกี่ยวกับฌอน แบ็บติสท์ เกรนุยล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอม กับการสังหารคนเพื่อหากลิ่นที่สมบูรณ์แบบของตัวเอง

นอกจากนี้ ฮาดีดายังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Bridge of San Luis Rey กับโรเบิร์ต เดอ นีโรและทริลเลอร์โดยฟาเบียง บีลินสกี้เรื่อง El Aura และได้ทำหน้าที่ผู้ร่วมควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดของจอร์จ คลูนีย์เรื่อง Good Night and Good Luck อีกด้วย

นอกเหนือจากการอำนวยการสร้างภาพยนตร์สองเรื่องให้กับโทนี สก็อต ฮาดีดายังได้ร่วมงานกับผู้กำกับและมือเขียนบทระดับแนวหน้าของวงการอีกหลายคน การร่วมงานระหว่างเขากับโรเจอร์ เอวารีนำมาสู่ผลงานเรื่อง Killing Zoe, Rules of Attractions และ Silent Hill การร่วมงานระหว่างเขากับคริสตอฟ แกนส์สานต่อจากภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของแกนส์เรื่อง Necromonicon และ Crying Freeman ไปจนถึงภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเรื่อง Le Pacte des Loups (หนึ่งในภาพยนตร์ภาษาฝรั่งเศสที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลและได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลซีซาร์ อวอร์ดและแปดรางวัลแซทเทิร์น อวอร์ด) และ Silent Hill ที่นำแสดงโดยราดาห์ มิทเชล

ผลงานเมื่อเร็วๆ นี้ของฮาดีดารวมถึงภาพยนตร์ยอดนิยมสัญชาติฝรั่งเศสโดยคล็อด เลอโล้คเรื่อง Un Plus Une ที่นำแสดงโดยฌอน ดูจาร์ดินและเอลซา ซิลเบอร์สไตน์, Silent Hill: Revelation 3D ที่สร้างจากแฟรนไชส์เกมเซอร์ไวเวิลชื่อดังของค่ายโคนามิและซีเควลของ Silent Hill, ภาพยนตร์โดยแฟรงค์ มิลเลอร์เรื่อง Sin City: A Dame to Kill For ซึ่งเป็นซีเควลของภาพยนตร์คลาสสิกยอดนิยมเรื่อง Sin City, ภาพยนตร์โดยแอเรียล วโรเมนเรื่อง Criminal และ Mechanic: Resurrection ที่นำแสดงโดยเจสัน สเตแธม ผู้กลับมารับบทเดิมที่ได้รับความนิยมของเขาจาก The Mechanic อีกครั้งหนึ่ง

ผลงานเรื่องอื่นๆ ของฮาดีดาได้แก่ทริลเลอร์จิตวิทยาชื่อดังโดยเดวิด โครเนนเบิร์กเรื่อง Spider ที่นำแสดงโดยราล์ฟ ไฟน์และมิแรนดา ริชาร์ดสัน, ภาพยนตร์โดยเชลดอน เล็ททิชเรื่อง Only the Strong (ภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้/คาโปเอราเรื่องแรก ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่แนะนำทั้งมาร์ค ดาคัสคอสและดนตรีประกอบชื่อดัง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่นิยมในอเมริกา ในโฆษณารถมาสด้าซูม ซูม ซูม”), ภาพยนตร์โดยไมเคิล แรดฟอร์ดเรื่อง Dancing at the Blue Iguana, ภาพยนตร์โดยสตีฟ แบร์รอนเรื่อง Pinocchio กับมาร์ติน แลนเดา (หนึ่งในภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ที่ผสมผสานภาพ CG กับไลฟ์แอ็กชัน), ภาพยนตร์โดยแมทธิว ไบรท์เรื่อง Freeway (ผู้ได้รับรางวัลสูงสุดจากงานเทศกาลค็อกน็คและบทบาทการแสดงครั้งแรกของรีส วิทเธอร์สปูน) และภาพยนตร์โดยกาเบรียล ซัลวาโทเรสเรื่อง Nirvana

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งประกาศการถ่ายทำภาพยนตร์ปี 2017 เรื่อง The Crow Reborn ซึ่งเป็นการปลุกชีพให้กับแฟรนไชส์คลาสสิกเรื่อง The Crow อีกครั้ง ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโปรเจ็กต์ญี่ปุ่นหลายเรื่องที่สร้างจากการ์ตูนและตัวละครอนิเมที่โด่งดังของญี่ปุ่น

มาร์ติน มอสโควิคซ์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง)

มาร์ติน มอสโควิคซ์ ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการอำนวยการของคอนสแตนติน ฟิล์ม

ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ผู้ควบคุมงานสร้างและผู้ร่วมอำนวยการสร้าง มอสโควิคซ์ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานภาพยนตร์กว่า 200 เรื่องและซีรีส์โทรทัศน์อีกกหลายเรื่อง โปรเจ็กต์ล่าสุดของเขารวมถึง Love, Rosie (2014), Frau Müller Muss Weg! (2015), Ostwind 2 (2015), Fack Ju Göhte 2 (2015), Look Who’s Back (2015), Shadowhunters (2015/16), No Manches Frida (2016), Dieses Bescheuerte Herz (2016) และ Resident Evil: The Final Chapter (2017)

มอสโควิคซ์สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยลุดวิค แม็กซิมิลเลียนในมิวนิค เขาเริ่มต้นทำงานในสายภาพยนตร์ด้วยการทำงานเป็นผู้จัดการกองถ่ายและผู้อำนวยการสร้างทั่วไป ก่อนหน้าที่เขาจะหันไปอำนวยการสร้างภาพยนตร์ด้วยตัวเอง ในปี 1985 เขากลายเป็นผู้อำนวยการสร้างและกรรมการผู้จัดการของบริษัทเอ็ม+พี ฟิล์ม จำกัด ในมิวนิค ในปี 1991 เขาได้เข้าทำงานที่คอนสแตนติน ฟิล์มในฐานะผู้อำนวยการสร้างและได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในปี 1996 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาถือครองระหว่างที่บริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้นได้สำเร็จในปี 1999 เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการอำนวยการของบริษัทนับตั้งแต่นั้นมา เขาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการตั้งแต่ปี 2015

นอกจากนี้ เขายังเป็นสมาชิกคณะกรรมการสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างเยอรมันอีกด้วย

วิคเตอร์ ฮาดีดา (ผู้ควบคุมงานสร้าง)

วิคเตอร์ ฮาดีดา ประธานร่วมของบริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์อิสระ เมโทรโพลิแทน ฟิล์มเอ็กซ์พอร์ต ร่วมกับซามวล น้องชายของเขา เป็นผู้อำนวยการสร้าง ผู้จัดจำหน่าย ผู้บุกเบิก ผู้ได้รับการยกย่องในวงกว้าง จากวิธีการใหม่ๆ ในการจัดจำหน่ายคอนเทนท์บันเทิงและค้นพบผู้มีพรสวรรค์ใหม่ๆ ปัจจุบัน ผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการภาพยนตร์ฝรั่งเศสและยุโรปผู้นี้ ได้ครองตำแหน่งระดับสูงสุดในสมาพันธ์การค้าภาพยนตร์ที่โด่งดังหลายแห่ง 

ฮาดีดาเกิดในปี 1960 เขาเติบโตขึ้นมากับการค้นพบความหลากหลายของภาพยนตร์ยอดนิยมคุณภาพเพราะพ่อของเขา เดวิด ผู้ก่อตั้งเมโทรลิแทน ฟิล์มเอ็กซ์พอร์ตขึ้นมาในปี 1978 หลังจากสำเร็จการศึกษาจากอีเอสซีพีในปี 1981 และจากมหาวิทยาลัยปารีส-โดฟินด้านธุรกิจนานาชาติ เขาก็อุทิศตัวเองให้กับความรักในภาพยนตร์ของเขา การทำงานร่วมกับซามวล น้องชายของเขา ในการบริหารงานเมโทรโพลิแทนประสบความสำเร็จชนิดไม่มีบริษัทโปรดักชันและจัดจำหน่ายอิสระแห่งไหนในยุโรปเทียบได้ เขาได้ทำงานร่วมกับน้องชายของเขาในทุกโปรเจ็กต์ของเดวิส ฟิล์มส์ บริษัทโปรดักชันของพวกเขา ความกล้าหาญและความรักของเขานำพวกเขาไปสู่งานสร้างภาพยนตร์อย่างรวดเร็ว ในปี 1993 พวกเขาได้มอบโอกาสให้กับเควนติน ทารันติโน มือเขียนบทที่ตอนนั้นโนเนมอยู่ และผลิตบทภาพยนตร์เรื่อง True Romance ของพวกเขาเป็นภาพยนตร์โดยมีโทนี สก็อตกำกับ ผลงานของพวกเขา ที่จัดจำหน่ายโดยเมโทรโพลิแทนด้วยเช่นกัน รวมถึงภาพยนตร์ฝรั่งเศสชื่อดัง ภาพยนตร์ที่สร้างและร่วมสร้างโดยยุโรปและภาพยนตร์อเมริกัน

ภายใต้การนำของวิคเตอร์และซามวล เมโทรโพลิแทนได้มุ่งสู่ความสำเร็จเชิงรายได้และคำวิจารณ์ในฝรั่งเศสด้วยไตรภาค Lord of the Rings, Resident Evil และ Hunger Games, แฟรนไชส์ Silent Hill และ Expendables และภาพยนตร์โดยผู้กำกับที่โด่งดังอย่างจอร์จ คลูนีย์, เทอร์รี กิลเลียม, ไบรอัน เดอ พัลมา, เดวิด โครเนนเบิร์ก, คริสตอฟ กันส์, เดวิด ฟินเชอร์, ปาร์คชานวุค, มาร์ติน สกอร์เซซี, คล็อด เลอโล้ช และสตีเวน สปีลเบิร์ก

ในขณะที่ซามวลทุ่มเทให้กับงานพัฒนา งานแพ็คเกจและงานสร้างโปรเจ็กต์ของพวกเขา วิคเตอร์ก็ได้ดูแลด้านการหาทุนและการจัดจำหน่าย ด้วยผลลัพธ์ที่แปลกใหม่ เมโทรโพลิแทนได้ทำข้อตกลงระยะยาวกับบริษัทชื่อดังต่างๆ เช่นนิวไลน์ ซีเนมา, ไลออนส์ เกทและดรีมเวิร์คส์ ซึ่งเป็นการรับประกันถึงผลงานภาพยนตร์ที่หลากหลายและทำให้พี่น้องฮาดีดามีช่องทางในการพัฒนางานสร้างของพวกเขาเองด้วยความทะเยอทะยานและความอยากรู้อยากเห็นที่น่าทึ่ง

นอกจากนี้ วิคเตอร์ยังนำเมโทรโพลิแทนให้ไปข้องเกี่ยวกับภาพยนตร์เอเชียอีกด้วย ผ่านทางเอชเค ที่อยู่ภายใต้เมโทรโพลิแทน มีการให้ความสำคัญกับภาพยนตร์เอเชียนับตั้งแต่ปี 1980 ที่มีการแนะนำภาพยนตร์และนักแสดงเอเชียให้ผู้ชมกลุ่มใหม่ในยุโรปได้รู้จัก

บริษัทแห่งนี้กลายเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งในการทำการตลาดและการนำเสนอคอนเทนท์ ในปี 2008 เมโทรโพลิแทน ฟิล์มส์เป็นผู้บุกเบิกด้านการเปลี่ยนแปลงไปสู่ภาพยนตร์ดิจิตอลและเทคโนโลยี 3D ในโรงภาพยนตร์และวิดีโอ พวกเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของบริษัท เลอ เมยเยอร์ ดู ซีเนมา ผู้ดำเนินการ VOD ในฝรั่งเศส (รวมถึงผู้จัดจำหน่ายดีวีดีและผู้ครอบครองสิทธิด้วย) ซึ่งผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ของบริษัทแห่งนี้รวมถึงรัฐบาลฝรั่งเศสเอง (ผ่านทางสถาบันการเงิน Caisse des Dépôts et Consignations), นักลงทุนเอกชนและผู้อำนวยการสร้างและผู้จัดจำหน่ายอิสระชาวฝรั่งเศสที่มีการเคลื่อนไหวสูงสุด วิคเตอร์ ฮาดีดาเป็นผู้วางแผนการพัฒนาในต่างประเทศของบริษัท รวมถึงการขยายตัวสู่แพลทฟอร์ม VOD ทั่วทั้งยุโรป (เช่นในเบเนลักส์และสเปน) และการเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย ยูโรวีโอดี

บริษัท เลอ เมยเยอร์ ดู ซีเนมา ได้ดำเนินการแพลทฟอร์มวีดีโอ ออนด์ ดีมานด์ในฝรั่งเศสให้กับเมโทรโพลิแทน ในฐานะผู้ให้บริการเอ็กซ์คลูซีฟของพวกเขา และให้บริการด้านเทคนิคกับองค์กรในภาครัฐและภาคเอกชน เช่นทีวี 5 มอนด์, บิบลิโอเธค เนชันแนล เดอ ฟรองซ์ (บีเอ็นเอฟ) และบริการโทรทัศน์ อาร์เต้ ซึ่งทำให้มีเดียเธคสามารถเข้าถึงได้ในห้องสมุดประชาชน และล่าสุด แพลทฟอร์ม La CINETEK ซึ่งขับเคลื่อนโดยนักเขียน

คุณภาพและความแปลกใหม่ของภาพยนตร์ที่นำเสนอโดยพี่น้องฮาดีดาทำให้พวกเขาได้รับเลือกจากเทศกาลภาพยนตร์ที่โด่งดังที่สุดในโลกหลายครั้ง รวมถึงเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ด้วย

ความเป็นมืออาชีพที่ยอดเยี่ยมและความน่าเชื่อถือในเชิงศิลป์ของวิคเตอร์บวกกับทักษะความเป็นผู้นำของเขาทำให้วิคเตอร์ได้รับเลือกอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ดำรงตำแหน่งประธานสหพันธ์ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทฝรั่งเศสกว่า 60 แห่ง ซึ่งเป็นรายได้ 80% ของรายได้การจำหน่ายตั๋วทั้งหมดของโรงภาพยนตร์ฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2002 ภายใต้กรอบการทำงานนี้ เขาได้ทำงานเพื่อผลประโยชน์โดยรวมของวงการภาพยนตร์ในฝรั่งเศส โดยเฉพาะภายในบีแอลไอซี ซึ่งเขาเพิ่งได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการในปี 2015

นอกเหนือจากนั้น วิคเตอร์ยังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานบริหารสมาพันธ์ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์นานาชาติ (เฟียด) ในยุโรปตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งเป็นการรวมตัวกันขององค์กรผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์แห่งชาติของประเทศ 12 ประเทศในยุโรปและบริษัทที่เปิดทำการอยู่กว่า 275 แห่ง ภายใต้การนำของวิคเตอร์ เฟียดมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นเร่งด่วนของการจัดจำหน่ายและการสสร้างกฎเกี่ยวกับคอนเทนท์ออดิโอวิชวลในยุโรป

เอ็ดเวิร์ด โธมัส (ผู้ออกแบบงานสร้าง)

เอ็ดเวิร์ด โธมัส เกิดในเมืองสวอนซี รัฐเซาธ์เวลส์ เขามีความสนใจในศิลปะและการละครตั้งแต่อายุน้อย เขาได้สำเร็จการศึกษาคอร์สพื้นฐานด้านศิลปะจากวิทยาลัยสวอนซีในปี 1989 หลังจากนั้น เขาก็สำเร็จการศึกษาเกียรตินิยมจากวิมเบิลดัน สคูล ออฟ อาร์ตด้านการออกแบบละครเวทีสามมิติในปี 1992 การทำงานในแวดวงละครเวทีของเขาเริ่มต้นขึ้นที่รอยัล โอเปรา เฮาส์ในตำแหน่งผู้ช่วยนักออกแบบในละครเวทีเรื่อง Tourandot

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เอ็ดเวิร์ดได้ออกแบบโฆษณาหลายชิ้นก่อนที่จะเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ที่ซึ่งเขาได้รับประสบการณ์แรกจากภาพยนตร์พีเรียดเรื่อง The Mystery of Edwin Drood ที่ดัดแปลงจากเรื่องราวนักสืบที่เขียนไม่จบของชาร์ลส์ ดิคเคนส์

งานภาพยนตร์ของเขาพัฒนาขึ้นและเขาก็ได้รับประสบการณ์หลากหลายจากการทำงานทั่วแอฟริกา และส่วนอื่นๆ ของโลก เขาได้สร้างประวัติผลงานภาพยนตร์สิบแปดเรื่องที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงแนวเวสเทิร์น ไวกิ้ง ครอบครัว แฟนตาซี ทริลเลอร์ ไซไฟ พีเรียดและร่วมสมัย

หลังจากกลับเวลส์ เอ็ดเวิร์ดก็ได้เริ่มทำงานใน Doctor Who  (ซีซัน 1-5) รวมถึง Torchwood (ซีซัน 1-3), The Sarah Jane Adventures และ Sherlock สำหรับบีบีซี เวลส์ เอ็ดเวิร์ดกลับไปแอฟริกาชั่วคราว เพื่อออกแบบงานสร้างให้กับ Outcasts สำหรับคุโดส์ ซึ่งเป็นซีรีส์ไซไฟสเกลยักษ์อีกเร่องหนึ่ง พอกลับไปอังกฤษ เขาก็ได้สำรวจเรื่องราวของหายนะทางอากาศที่มิวนิคใน United สำหรับเวิลด์ โปรดักชันส์และดรามาทางบีบีซีทูเรื่อง Line of Duty ล่าสุด เขาได้ออกแบบงานสร้างและร่วมอำนวยการสร้างซีซันที่ 1-3 ของดรามาไฮคอนเซ็ปต์ชื่อดังเรื่อง Da Vinci’s Demons  ที่สร้างโดยเดวิด โกเยอร์สำหรับสตาร์ซ ทีวีและ Set fire to the Stars ชีวประวัติของดีแลน โธมัส ที่นำแสดงโดยเอไลยาห์ วู้ด ผลงานของเขาในฐานะผู้ควบคุมงานสร้างรวมถึงภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Jack to a King: The Swansea Story

เขาได้รับรางวัลมากมายจากงานของเขา รวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา ซิมรู และอาร์ทีเอส อวอร์ดสาขาการออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาแห่งชาติจาก Break Through Talent ในปี 2006 เขาได้รับรางวัลบาฟตา ซิมรู อวอร์ดสาขาการออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมจากผลงานของเขาใน Torchwood และในปี 2010 เขาก็ได้รับรางวัลการออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมจาก Doctor Who Waters of Mars นอกจากนี้ เขายังได้รับการโหวตให้ติดอันดับต้นๆ ของลิสต์ผู้ทรงอิทธิพลด้านศิลปะของเวลส์ในปี 2015 อีกด้วย

เขาใช้ชีวิตอยู่ในสวอนซีกับภรรยาของเขา นาตาลี และลูกสาวสองคน เนลและเมซี เขาดำรงตำแหน่งรองประธานสโมสรฟุตบอลสวอนซีและวิทยาลัยรอยัล เวลช์ คอลเลจ ออฟ มิวสิค แอนด์ ดรามา และเป็นผู้นำโปรเจ็กต์การศึกษาต่อเนื่อง ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เขารัก

เกลน แม็คเฟอร์สัน (ผู้กำกับภาพ)

เกลน แม็คเฟอร์สัน ซีเอสซี/เอเอสซี แห่งมอนทรีอัล รัฐควิเบค เป็นผู้กำกับภาพชาวแคนาเดี้ยน ที่ทำงานในลอสแองเจลิส

แม็คเฟอร์สันเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยตากล้องที่ดูแลโฟกัสในภาพยนตร์ปี 1981 เรื่อง Gas ในปี 1983 แม็คเฟอร์สันได้เปิดตัวผลงานในฐานะผู้กำกับภาพด้วยภาพยนตร์โดยทเวนตี้ เซ็นจูรีเรื่อง Chocolate Cake ภายใต้การกำกับของโลอิส ซีเกล ในปีที่เหลือของยุค 80s แม็คเฟอร์สันได้ทำงานหลายอย่าง รวมถึงผู้ช่วยช่างกล้อง ผู้ควบคุมกล้องและผู้กำกับภาพ ในปี 1989 เขาได้ทำงานในหลายเอพิโซดของ The Hitchhiker ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่การทำงานในอเมริกาและที่อื่นๆ

ผลงานภาพยนตร์ของเกลนรวมถึง Resident Evil: Retribution, The Three Musketeers, Resident Evil: Afterlife, Momentum, Pompeii, The Final Destination, Rambo IV, Trick R Treat, One Missed Call, Rebound, Walking Tall, Rome Must Die, 16 Blocks, Friday After Next, All About the Benjamins, Exit Wounds, Romeo Must Die และ Wrongfully Accused

ในฐานะผู้กำกับภาพ เกลนได้รับรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพแคนาเดี้ยนรวมถึงรางวัลจินนี, เจมินี, ลีโอ, เอ็มมีและบาฟตา อวอร์ด เขาได้ยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านภาพดิจิตอลและการบันทึกภาพ 3D เพื่อใช้เป็นเครื่องมือใหม่ในช่วยบอกเล่าเรื่องราวที่น่าติดตามบนจอเงิน

เดนนิส เบราร์ดี้ (ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์)

เดนนิส เบราร์ดี้ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและประธานร่วมของมิสเตอร์เอ็กซ์ สตูดิโอวิชวล เอฟเฟ็กต์ระดับแนวหน้าของโตรอนโต มิสเตอร์เอ็กซ์ บริษัทอนิเมชันและคอมพิวเตอร์กราฟิก ที่มีเบราร์ดี้และท็อปปิกซ์เป็นเจ้าของ ถูกซื้อกิจการไปโดยเทคนิคคัลเลอร์ในปี 2014 และปัจจุบัน มันกลายเป็นบริษัทลูกของเทคนิคคัลเลอร์อย่างเต็มรูปแบบและเป็นส่วนหนึ่งของแผนกบริการงานสร้างของบริษัท เขายังคงทำหน้าที่กรรมการผู้จัดการทั่วโลกให้กับมิสเตอร์เอ็กซ์

ผลงานของมิสเตอร์เอ็กซ์รวมถึง Vikings ทางฮิสทอรี แชนแนล, Penny Dreadful และ The Strain ทางโชว์ไทม์ ผลงานภาพยนตร์ของพวกเขารวมถึงภาพยนตร์โดยกุยเลอร์โม เดล โทโรเรื่อง Crimson Peak, RoboCop, Anchorman 2: The Legend Continues และ 42 เขาเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานของเขาในภาพยนตร์โดยเดวิด ฟินเชอร์เรื่อง Fight Club ในปี 1999 และในปี 2003 เขาก็ได้ออกแบบภาพพรีวิชวลไลเซชันสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Pacific Rim

เบราร์ดี้ได้ (ร่วม) รับรางวัลและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลมากมายจากความสำเร็จด้านวิชวล เอฟเฟ็กต์ และวิชวล เอฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยม ตั้งแต่รางวัลเอ็มมี ไพรม์ไทม์ อวอร์ด, แคนาเดี้ยน สกรีน อวอร์ด จากแคนาดา, เจมินี อวอร์ด, จินนี อวอร์ด, ออนไลน์ ฟิล์ม แอนด์ เทเลวิชัน อวอร์ด (ออฟตา) ไปจนถึงสครีมเฟสต์ อวอร์ดจากผลงานของเขาใน Vikings, Pompeii, The Mortal Instruments: City of Bones, Mama, Resident Evil: Retribution, Silent Hills: Revelation 3D, A Dangerous Method, Scott Pilgrim vs. the World และ Club Zero

ผลงานมากมายของเบราร์ดี้และมิสเตอร์เอ็กซ์ในฐานะซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์/ผู้อำนวยการสร้าง/ผู้ควบคุมงานสร้างรวมถึง Pompeii, Endless Love, The Best Man Holiday, Carrie, Mama, The Factory, Resident Evil: Retribution, Cosmopolis, The Vow, The Thing, A Dangerous Method, The Three Musketeers, Hanna, Beastly, TRON: Legacy, Resident Evil: Afterlife, Charlie St. Cloud, Scott Pilgrim vs. the World, Hot Tub Time Machine, Repo Men, Remember Me, Amelia, The Boondock Saints II: All Saints Day, Love Happens, Whiteout, Away We Go, Taking Woodstock, Grey Gardens (ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์), Fast & Furious, Max Payne, Flash of Genius, Pontypool, Death Race, Pg Hunt, Kit Kittredge: An American Girl, The Rocker, The Seeker: The Dark is Rising, Resident Evil: Extinction, Closing the Ring, Eastern Promises, Lust, Caution, Balls of Fury, Shoot ‘Em Up, Dead Silence, Talk to Me, Happily N’Ever After, The Return, Man of the Year, Hollywoodland, Skinwalkers, Waist Deep, Silent Hill, 16 Blocks, Spymate, The Ice Harvest, The Perfect Man, History of Violence, Where the Truth Lies, Ice Princess, Assault on Precinct 13, Some of the Things that Stay, Resident Evil: Apocalypse, New York Minute และ Dawn of the Dead

ผลงานของเบราร์ดี้ในฐานะซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์กับทอย บ็อกซ์ รวมถึง Jason X, The Cell, Thomas the Magic Railroad, Keeping the Faith, Superstar, Fight Club และ Bride of Chucky

คลินตัน เอเดน สมิธ (ผู้ออกแบบชิ้นส่วนเทียม)

คลินตัน เอเดน สมิธ เจ้าของรางวัล เป็นหัวหน้าทีมที่คอสเมซิส แอดวานซ์ พรอสเธติคส์ สตูดิโอส์ ผู้นำในแวดวงนี้ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของแอฟริกาใต้ เขามีผลงานในสายชิ้นส่วนเทียมนี้กว่า 30 เรื่อง (ในฐานะผู้ออกแบบ ผู้ออกแบบร่วม ซูเปอร์ไวเซอร์และผู้ออกแบบเมคอัพ เอฟเฟ็กต์ ที่ปรึกษาและผู้สร้าง) รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง World War Z, Mandela: Long Walk to Freedom, Guardians of the Galaxy (ในฐานะช่างแต่งหน้าชิ้นส่วนเทียม) , Dredd, 419, Safe House, Mister Bob, Albert Schweitzer, Invictus, Attack on Darfur, The Three Investigators and the Secret of Terror Castle, The Last House on the Left, Doomsday, 10 000 BC, Mama Jack, Dracula 3000 และ Les deux Mondes

ผลงานจอแก้วของเขารวมถึง Black Sails, Young Ones, Flight of the Storks, The Girl, Planet of the Apemen, Battle for Earth,The Sinking of the Laconia, Silent Witness, ER (ซีรีส์), Charlie Jade, 12 Days of Terror (ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์), King Solomon’s Mines (ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์) และ Death Race Inferno

เรซี เลวี (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)

เรซี เลวี มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่ใช้นวัตกรรมแปลกใหม่ที่สุดของแอฟริกาใต้ เขาเริ่มต้นทำงานในวงการบันเทิงในแผนกศิลป์ แต่แบ็คกราวน์ที่แข็งแรงของเขาในการผลิตเสื้อผ้าและแฟชันทำให้เขาเลือกงานออกแบบเครื่องแต่งกาย

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เรวาได้สะสมประสบกาณ์และความชำนาญในฐานะผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ผู้ออกแบบร่วม สไตลิสต์ ผู้จัดหาเครื่องแต่งกายและผู้ช่วยผู้ออกแบบ และได้ร่วมงานกับนักแสดงมากมายเช่น ทิม ร็อบบินส์, โรเบิร์ต แพททินสัน, คริสทันนา โลคัน, จูเลียน แซนด์, ซิดนีย์ พอยเทียร์, ไมเคิล เคนและไคเฟอร์ ซุทเธอร์แลนด์

ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยโรแลนด์ เอ็มเมอริคเรื่อง 10 000 BC, ภาพยนตร์โดยกาวิน ฮู้ดเรื่อง Rendition (ควบคุมงานสร้างโดยโทบี้ เอ็มเมอริค), ภาพยนตร์โดยฟิลลิป นอยซ์เรื่อง Catch a Fire, ภาพยนตร์โดยไมเคิล แมนน์เรื่อง Ali, ภาพยนตร์โดยซิดนีย์ พอลแล็คเรื่อง The Interpreter และภาพยนตร์หลายรางวัลโดยโอลิเวอร์ เฮอร์มานุสเรื่อง Skoonheid

ผลงานจอแก้วของเขารวมถึง Cape of Good Hope, Curse of the Ring, Mandela & de Klerk และการทำหน้าที่ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายในส่วนแอฟริกาใต้ของซีรีส์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง 24 Redemption ผลงานเรื่องอื่นๆ รวมถึง Pavement, Borderline (กับจีนา เกอร์ชอน), The Piano Player (นำแสดงโดยเดนนิส ฮ็อปเปอร์และไดแอน ครูเกอร์), Diamond Hunters, Flight of the Storks สำหรับทีเอฟวัน อินเตอร์เนชันแนลและซีรีส์บีบีซีเรื่อง Outcasts

นอกเหนือจากผลงานในฐานะสไตลิสต์แล้ว เรซายังได้ผลิตไลน์เครื่องแต่งกายสำหรับสุภาพบุรุษและเป็นเจ้าของของหนึ่งในบริษัทให้เช่าเครื่องกายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

เกี่ยวกับคอนสแตนติน ฟิล์ม

คอนสแตนตินฟิล์มเอจีบริษัทภายใต้ไฮไลท์คอมมิวนิเคชันส์เอจีเป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพและความสำเร็จมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้วและได้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาและส่งเสริมภาพยนตร์เยอรมันทั้งในและต่างประเทศบริษัทแห่งนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคอนสแตนตินมีเดียนเอจีตั้งแต่ปี 2009 เป็นบริษัทโปรดักชันและจัดจำหน่ายอิสระสัญชาติเยอรมันที่สำคัญที่สุดในแวดวงฟิคชันและนอนฟิคชันออดิโอ-วิชวลกิจการของบริษัทถูกแบ่งออกเป็นห้าเสาหลักของงานสร้าง/ซื้อสิทธิภาพยนตร์, การจัดจำหน่ายภาพยนตร์, ความบันเทิงในบ้านพักอาศัย, การซื้อขายลิขสิทธิ์/การแพร่ภาพทางโทรทัศน์และงานสร้างโทรทัศน์ (โดยเฉพาะความบันเทิงทางโทรทัศน์)

คอนสแตนตินฟิล์มเอจีได้จัดจำหน่ายภาพยนตร์เยอรมัน 39 ใน 100 เรื่องที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในรอบ 15 ปีรวมถึงสี่ในห้าภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดได้แก่ MANITOU’S SHOE (ผู้ชม 11.7 ล้านคน), DREAMSHIP SURPRISE – PERIOD 1 (ผู้ชม 9 ล้านคน), SUCK ME SHAKESPEER (ผู้ชม 7.3 ล้านคน) และ FACK JU GÖHTE 2 (ผู้ชม 7.64 ล้านคน) ผลงานภาพยนตร์ที่โดดเด่นของเขาในช่วงไม่กี่ปีมานี้รวมถึงผลงานภาพยนตร์ดังโดยเบิร์นด์ไอชิงเกอร์เรื่อง Perfume – The Story of a Murderer, ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง “Downfall” และภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง “Nowhere in Africa” รวมถึงผลงานที่พวกเขาสร้างและร่วมสร้างเองอย่าง The White Massai, The Wave, The Baader-Meinhof Complex, Vicky the Viking, Look Who’s Back และแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอย่าง Resident Evil

ปีภาพยนตร์ 2015 ที่พวกเขามีผลงานภาพยนตร์ห้าเรื่องที่มีผู้ชมถึงหลักล้านเป็นหนึ่งในปีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของคอนสแตนตินฟิล์มเอจีนอกเหนือจาก Frau Müller muss weg, Famous Five 4 และ Ostwind 2 แล้ว ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากเบสต์เซลเลอร์เรื่อง Look Who’s Back และ Fack Ju Göhte 2 ยังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วเยอรมนีในฤดูใบไม้ร่วงปี 2015 อีกด้วย ด้วยยอดผู้ชมทั้งหมด 7.64 ล้านคน Fack Ju Göhte 2 จึงเป็นภาพยนตร์ที่มีจำนวนผู้ชมสูงสุดในปี 2015 และทำได้ดีกว่าภาคที่ผ่านมาเสียอีก

นอเหนือจากผลงานสร้างและร่วมสร้างในส่วนของภาพยนตร์แล้วคอนสแตนตินฟิล์มยังขยายขอบเขตการดำเนินงานของพวกเขาอยู่เสมอในยุคที่ซีรีส์ได้รับความนิยมนี้บริษัททำตามกระแสด้วยการพัฒนาซีรีส์ของตัวเองในหลายๆแพลทฟอร์มจุดเริ่มต้นคือในเดือนมกราคมปี 2016 ด้วยซีรีส์อำนวยการสร้างระดับโลกอย่าง Shadowhunters ที่สร้างจากซีรีส์แฟนตาซีเบสต์เซลเลอร์เรื่อง The Mortal Instruments โดยคาสซันดราแคลร์ซึ่งเข้าฉายทางอเมริกันฟรีฟอร์ม (อดีตเอบีซีแฟมิลี) และแพร่ภาพนอกอเมริกาผ่านทางเน็ตฟลิกซ์ Shadowhuntersได้รับไฟเขียวให้สร้างซีซันที่สองต่อโดยที่การถ่ายทำกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

“Oscar®” และ “Academy Award®” เป็นเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการจดทะเบียนของ

สถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์

“Emmy®” เป็นเครื่องหมายการค้าของสถาบันศิลปะและวิทยาการโทรทัศน์และสถาบันศิลปะและวิทยาการโทรทัศน์แห่งชาติ