ทีมผู้อำนวยการสร้างจาก “Godzilla” นำตำนานความเป็นมาของสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังที่สุดอีกตัวหนึ่งมาสร้างสรรค์ใหม่ใน “Kong: Skull Island” จากค่าย Warner Bros. Pictures, Legendary Pictures และ Tencent Pictures
การผจญภัยอันแปลกใหม่ชวนติดตามจากผู้กำกับจอร์แดน วอกท์-โรเบิร์ตส์ (“The Kings of Summer”) เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของทีมนักวิทยาศาสตร์ ทหาร และนักผจญภัย ที่มารวมตัวกันเพื่อสำรวจเกาะในตำนานกลางมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อน เป็นเกาะที่มีความอันตรายไม่แพ้ความงดงาม ทีมสำรวจถูกตัดขาดจากโลกที่พวกเขาคุ้นเคยแล้วก้าวเข้าสู่อาณาจักรของคองผู้ทรงพลัง พร้อมทั้งจุดชนวนการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เมื่อภารกิจการสำรวจครั้งนี้กลายเป็นภารกิจเพื่อความอยู่รอด พวกเขาจึงต้องต่อสู้เพื่อหาทางหนีออกจากสรวงสวรรค์ยุคดึกดำบรรพ์ซึ่งมนุษย์ไม่ควรเหยียบย่างเข้าไป
“Kong: Skull Island” นำแสดงโดยทอมฮิดเดิลสตัน (“The Avengers”, “Thor: The Dark World”), นักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ซามูเอลแอลแจ็คสัน (“Pulp Fiction”, “Avengers: Age of Ultron”), จอห์นกู๊ดแมน (“Transformers: Age of Extinction”, “Argo”), นักแสดงผู้ชนะรางวัลออสการ์บรีลาร์สัน (“Room”, “Trainwreck”), จิ่งเถียน (“Police Story: Lockdown”), โทบีเค็บเบลล์ (“Dawn of the Planet of the Apes”), จอห์นออร์ทิซ (“Steve Jobs”), โครีย์ฮอคคินส์ (“Straight Outta Compton”), เจสันมิตเชลล์ (“Straight Outta Compton”), เชวิกแกม (“The Wolf of Wall Street”), โธมัสมานน์ (“Me and Earl and the Dying Girl”), ร่วมด้วยเทอร์รีโนทารี (“Dawn of the Planet of the Apes”) และนักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์จอห์นซีไรลีย์ (“Chicago”, “Guardians of the Galaxy”)
วอกท์-โรเบิร์ตส์กำกับหนังเรื่องนี้จากบทภาพยนตร์โดยแดนกิลรอยแม็กซ์บอเรนสไตน์และดีเรคคอนนอลลีเรื่องโดยจอห์นเกทินส์ “Kong: Skull Island” อำนวยการสร้างโดยโธมัสทัลล์, แมรีแพเรนท์, จอนแจชนีและอเล็กซ์การ์เซียโดยมีเอริคแม็คเคลาด์และเอ็ดเวิร์ดเชงทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ทีมงานเบื้องหลังได้แก่ผู้กำกับภาพแลร์รีฟง (“Batman v Superman: Dawn of Justice”), นักออกแบบงานสร้าง สเตฟาน เดแชนท์ (หัวหน้าผู้กำกับศิลป์ของ “True Grit,” “Avatar”), มือตัดต่อผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ริชาร์ด เพียร์สัน (“United 93,” “The Bourne Supremacy”), นักออกแบบเครื่องแต่งกาย แมรี วอกท์ (หนังในกลุ่ม “Men in Black”) และนักแต่งเพลง เฮนรี แจ็คแมน (“Captain America: Civil War”) นอกจากนี้ยังมีทีมงาน ได้แก่ หัวหน้าฝ่ายเมคอัพผู้ชนะรางวัลออสการ์ บิลล์ คอร์โซ และหัวหน้าผู้ประสานงานสตันท์ จอร์จ คอตเทิล (“Interstellar”, “The Dark Knight Rises”) ตัวละครในตำนานอย่างคองได้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งด้วยขนาดอันมหึมาจากฝีมือของ Industrial Light & Magic โดยมีผู้ชนะรางวัลออสการ์สองสมัย สตีเฟน โรเซนบอม (“Avatar”, “Forrest Gump”) ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ และผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เจฟฟ์ ไวท์ (“The Avengers”) เป็นผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์
เพื่อให้ผู้ชมได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ในเกาะกะโหลกอันลึกลับ ผู้กำกับ จอร์แดน วอกท์-โรเบิร์ต รวมถึงนักแสดงและทีมงานต้องไปถ่ายทำกันในสามทวีปตลอดระยะเวลาหกเดือน เพื่อนำเสนอทิวทัศน์ยุคดึกดำบรรพ์จากเกาะโออาฮูของฮาวาย ที่โกลด์โคสต์ในออสเตรเลีย และสุดท้ายในเวียดนาม ซึ่งมีการถ่ายทำกันในสถานที่หลายแห่งและบางส่วนก็ไม่เคยปรากฏในภาพยนตร์เรื่องใดมาก่อน
Warner Bros. Pictures/Legendary Pictures และ Tencent Pictures ขอเสนองานสร้างของ Legendary Pictures ผลงานการกำกับของจอร์แดน วอกท์-โรเบิร์ตส์ เรื่อง “Kong: Skull Island” หนังเรื่องนี้จะเข้าฉายทั่วโลกในโรงภาพยนตร์ระบบสองมิติ ระบบสามมิติในโรงภาพยนตร์บางแห่ง รวมถึงในระบบ IMAX จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment
kongskullislandmovie.net
ราชาจงเจริญ
ยิ่งใหญ่เก่งกล้า ผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์ตัวสุดท้าย ราชาแห่งเกาะกะโหลก
ในครั้งแรกที่ปรากฏสู่สายตาผู้ชมเมื่อแปดทศวรรษก่อน คิงคองได้ทะลุจอภาพยนตร์มาสู่โลกของเราด้วยพลังที่สั่นสะเทือนจิตสำนึกภายในของมนุษย์ มาบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะคืนบัลลังก์ให้แก่ตำนานสัตว์ประหลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกภาพยนตร์
“คองเป็นตัวแทนของความลึกลับน่ามหัศจรรย์ที่ยังคงอยู่ในโลก” ผู้กำกับจอร์แดน วอกท์-โรเบิร์ตส์กล่าว “ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังคงอยู่ได้ในทุกยุคทุกสมัย”
ภารกิจการสร้างสรรค์วานรผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกภาพยนตร์ครั้งนี้ได้นำทีมผู้สร้างหนังดังปี 2014 เรื่อง “Godzilla” กลับมาร่วมงานกันใหม่อีกครั้ง
สำหรับโธมัส ทัลล์ ซึ่งอำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ร่วมกับแมรี แพเร็นท์, จอน แจชนี และอเล็กซ์ การ์เซีย งานนี้เป็นทั้งโอกาสที่น่าตื่นเต้นและภาระที่น่าหวั่นใจ “เราต้องการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้ผู้ชม” ทัลล์กล่าว “ด้วยความที่เราเองก็เป็นแฟนของคิงคอง เราจึงมองว่าสิ่งสำคัญคือจะต้องให้เกียรติองค์ประกอบหลักของตัวละครนี้ที่ตรงใจผู้คนทั่วโลกในเรื่องราวการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งมอบความบันเทิงและนำเสนอความตระการตาของหนังสัตว์ประหลาดที่อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็คชัน”
ตำนานและเอกลักษณ์อันโดดเด่นของคองยังคงครองใจแฟนๆ หลายรุ่นอย่างเหนียวแน่นในแง่มุมที่แตกต่างกันไป “คองมีลักษณะเด่นหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นขนาด พละกำลัง สัญชาตญาณสัตว์ป่า แต่เขาก็มีหัวใจและจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งด้วย” ผู้อำนวยการสร้าง แมรี แพเรนท์ ตั้งข้อสังเกต “คองเข้าถึงธรรมชาติของมนุษย์เราในแง่ที่เรามักจะชอบสัตว์ในตระกูลไพรเมตด้วยกัน ท่าทางและสีหน้าของเขาดูคล้ายมนุษย์ยิ่งกว่าสัตว์ในตระกูลไพรเมตตามธรรมชาติเสียอีก ซึ่งทำให้คองแตกต่างจากสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ ถึงเขาเป็นนักล่าที่น่าสะพรึงกลัวแต่เราก็อดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วย ในบางแง่เขาเป็นเหมือนฮีโร่ในเรื่องราวโรแมนติกแบบดั้งเดิมมากกว่าตัวร้าย”
คองเป็นตัวละครสุดโหดตัวสำคัญบนจอภาพยนตร์และยังคงสะท้อนถึงหลายสิ่งหลายอย่าง ตั้งแต่พายุแห่งความกราดเกรี้ยวของธรรมชาติไปจนถึงตัวแทนสัญชาตญาณดิบของเราเอง นักแสดง ทอม ฮิดเดิลสตัน กล่าวว่า “คองเป็นสัญลักษณ์แทนความขัดแย้งภายในระหว่างตัวตนของเราที่ผ่านการขัดเกลากับจิตสำนึกบางส่วนที่ยังคงสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง คุณจะเข้าใจสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่นี้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นพลังธรรมชาติอันน่าสะพรึงกลัว ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสัมผัสไวและมีสติปัญญาแตกต่างจากเราแต่ก็ไม่ได้ซับซ้อนน้อยไปกว่ากันเลย”
คิงคองได้รับการสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ วิลลิส เอช โอไบรอัน และประติมากร มาร์เซล เดลกาโด ให้เป็นตัวละครหลักอันลึกลับและเป็นหัวใจของภาพยนตร์คลาสสิกเมื่อปี 1993 เรื่อง “King Kong” โดยเมเรียน ซี คูเปอร์ และเออร์เนสต์ บี โชดแซ็ค ผลงานชิ้นนั้นเป็นเหมือนการผสมผสานระหว่างเรื่องราวแบบโฉมงามกับเจ้าชายอสูร การผจญภัยอันน่าตื่นเต้น และสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่ทำให้คนดูหนังนับล้านๆ ทั่วโลกต้องตกตะลึงและเกรงกลัว หนังเรื่องนี้มีคนดูเต็มทุกที่นั่งแม้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และทำลายสถิติด้วยการเข้าฉายซ้ำและการออกอากาศทางโทรทัศน์ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา มันกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของหนังทำเงินและหนังสัตว์ประหลาดที่ใช้เอฟเฟ็กต์ และได้ถูกนำไปทำใหม่ นำไปล้อเลียน และแตกแขนงเป็นเรื่องราวต่างๆ บนสื่อทุกประเภท คองยังได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ติดแน่นอยู่ในวัฒนธรรมกระแสนิยมและเป็นแรงบันดาลใจให้หลายสิ่งหลายอย่าง ตั้งแต่วิดีโอเกม เนื้อเพลงฮิพฮ็อพ ไปจนถึงวิทยานิพนธ์ รวมทั้งถูกนำไปผลิตเป็นหุ่นจำลอง ของเล่น และเกมต่างๆ มากมาย
ฉากจบที่คองแสดงอาการท้าทายจากยอดตึกเอ็มไพร์สเตทนับเป็นฉากจบที่โดดเด่นที่สุดฉากหนึ่งเท่าที่เคยมีมา แต่สำหรับแฟนๆ รวมถึงทัลล์ด้วยนั้น จุดเริ่มต้นของคองก็ยังคงเป็นเรื่องราวความเป็นมาของตัวละครที่น่านำมาเล่ามากที่สุด อันที่จริงแล้ว เป้าหมายที่เขาวางไว้มานานสำหรับการนำเสนอจักรวาล MonsterVerse ในยุคศตวรรษที่ 21 คงจะไม่สมบูรณหากขาดเรื่องราวส่วนนี้ ทีมผู้อำนวยการสร้างได้นำมือเขียนบท แดน กิลรอย, แม็กซ์ บอเรนสไตน์ และดีเรค คอนนอลลี มาเขียนบทภาพยนตร์จากเรื่องโดยจอห์น เกทินส์ ทัลล์กล่าวว่า “องค์ประกอบที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งในตำนานเกี่ยวกับคองก็คือเกาะกะโหลก สถานที่ซึ่งมีห่วงโซ่อาหารอันลึกลับและอันตรายที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ และคองก็เป็นนักล่าหัวหน้าใหญ่ที่ควบคุมให้สัตว์อื่นๆ อยู่ในความสงบ นั่นเป็นตำนานที่เราต้องการเปิดเผยในหนังเรื่องนี้ ตัวละครของเราไม่ได้จะนำคองออกจากเกาะ แต่พวกเขาต้องเอาตัวรอดในอาณาเขตของคอง”
ซามูเอล แอล แจ็คสัน ผู้รับบทเป็นพันโท เพรสตัน แพ็คการ์ด หัวหน้าฝ่ายมนุษย์ในเรื่องนี้เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว “เราอยากเห็นคองในสภาพแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่ตระการตาไม่แพ้ตัวคองเอง” นักแสดงระดับตำนานรายนี้กล่าว “เรารู้ว่าเขาอาศัยอยู่ในป่าดงดิบ แต่มีอะไรอีกในป่าดงดิบนั้น ที่นั่นมีอะไรที่ช่วยให้เขาอยู่รอดได้ มีตัวอื่นๆ อีกหรือว่าเขาเป็นกรณียกเว้น และเราก็ค้นพบว่าเขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ถูกกวาดล้างโดยสิ่งอื่นที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้น ตอนนี้เขาเป็นผู้พิทักษ์ที่คอยตรวจตราสิ่งเหล่านั้นอยู่”
ทีมอำนวยการสร้างใช้ “Kong: Skull Island” และ “Godzilla” ซึ่งออกมาก่อนหน้านี้ เพื่อวางรากฐานสำหรับจักรวาลอันกว้างใหญ่ที่มีสัตว์ประหลาดหลายตัว เป็นจักรวาลที่วางพื้นฐานตามแบบโลกของเราแต่ปรุงแต่งให้มีสีสันมากขึ้นเพื่อให้เหมาะกับการมีอยู่ของ MUTOs (Massive Unidentified Terrestrial Organisms หรือสิ่งมีชีวิตบนโลกที่มีขนาดใหญ่และไม่สามารถระบุได้ ตามศัพท์ใน “MonsterVerse”) แต่การสร้างจักรวาลนี้ให้เหมาะสมไม่ได้หมายถึงเพียงการให้ตำนานเก่าแก่บนจอภาพยนตร์สองตำนานมาปะทะกันเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการนำลำดับเหตุการณ์ที่แตกต่างมารวมเข้าด้วยกันด้วย
กุญแจสำคัญคือแนวคิดที่ช่วยพลิกเกมจากวอกท์-โรเบิร์ตส์ ผู้กำกับดาวรุ่งที่เคยมีผลงานหนังยาวเพียงเรื่องเดียวคือหนังอิสระเรื่องดังอย่าง “The Kings of Summer” ผู้อำนวยการสร้าง อเล็กซ์ การ์เซีย เผยว่า “เรื่องราวใน Godzilla มีเสาหลักอยู่ที่ว่าการทดสอบนิวเคลียร์ปี 1954 นั้นไม่ใช่การทดสอบ แต่รัฐบาลพยายามฆ่าอะไรบางอย่าง จอร์แดนเดินเข้าห้องมาพร้อมแนวคิดที่จะให้หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคทศวรรษ 1970 แล้วเรื่องนี้ก็จุดจินตนาการของพวกเราขึ้นมาทันที ไม่เพียงแต่ยุค 70 จะสอดคล้องกับ MonsterVerse แต่ยังเป็นยุคที่เหมาะแก่การสำรวจแนวคิดต่างๆ และช่วยให้เราสามารถนำเหตุการณ์สงครามที่จริงจังมารวมกับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ในหนังเรื่องเดียวกันได้”
สำหรับวอกท์-โรเบิร์ตส์ “King Kong” เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาหันมาหลงใหลภาพยนตร์ “‘King Kong’ เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นผลงานชิ้นสำคัญในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ตอนที่ผมดูหนังปี 1933 เรื่องนี้เป็นครั้งแรก สมองผมแทบระเบิดเมื่อได้เห็นความเป็นไปได้มหาศาลในโลกภาพยนตร์” เขากล่าว “มันเป็นหนังเรื่องแรกที่นำผู้ชมไปยังโลกที่ไม่ได้รับการสำรวจและไม่ถูกควบคุม ถึงแม้ว่ามันจะเป็นโลกของเราก็ตาม แต่เราได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เราถูกสอนมาว่าไม่มีทางเกิดขึ้นบนโลกใบนี้”
ผู้กำกับชาวดีทรอยต์เรียกตัวเองว่าเป็น “เนิร์ด” เขาเติบโตมากับหนังสัตว์ประหลาด หนังดังช่วงซัมเมอร์ และวิดีโอเกม การค้นพบหนังยุค 70 กลายเป็นป้ายนีออนที่ส่องแสงนำทางให้เขามาทำหนังของตัวเอง แม้ว่าหนังที่รุนแรง วูบวาบ และสะท้อนจิตสำนึกทางสังคมในยุคนั้นได้ถูกสร้างขึ้นมานานก่อนที่วอกท์-โรเบิร์ตส์จะเกิด แต่มันกลับสื่อสารกับประสบการณ์และความรู้สึกที่เขาได้รับในยุคปัจจุบัน “ยุค 70 เป็นเหมือนกระจกเงาสีดำที่สะท้อนโลกยุคใหม่ของเรา” เขากล่าว “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอื้อฉาวทางการเมือง การก่อความไม่สงบ สงครามแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาล ล้วนแต่สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ในขณะเดียวกันยุค 70 ก็เป็นเหมือนยุคสุดท้ายที่วิทยาศาสตร์กับตำนานอยู่ร่วมกันได้ นับจากนั้นเราก็ค่อยๆ เดินหน้าทำลายสิ่งลึกลับที่เราไม่รู้จัก”
วอกท์-โรเบิร์ตส์หวังว่า ด้วยการนำโลกสัตว์ประหลาดของคูเปอร์และโชดแซ็คมาปะทะกับยุคอันปั่นป่วนที่เต็มไปด้วยเฮลิคอปเตอร์ ระเบิดนาปาล์ม และร็อคแอนด์โรลล์ จากนั้นก็ทิ้งผู้ชมลงไปท่ามกลางการวิวาทขัดแย้ง เขาจะสามารถนำเอาพลังและความยิ่งใหญ่ของคองมามอบให้คนดูหนังยุคปัจจุบัน “ผมอยากให้หนังเรื่องนี้นำผู้ชมออกจากพื้นที่ที่คุ้นเคยและผลักผู้ชมเข้าไปยังการผจญภัยที่เร่งเครื่องเต็มพิกัดโดยมีทั้งความดิบเถื่อนหนักหน่วงไม่เหมือนอะไรก็ตามที่ผู้ชมเคยเห็นมา ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคุณคงไม่ได้เห็นสัตว์หน้าตาคล้ายวานรยักษ์ชกเฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้ในหนังเรื่องอื่นๆ” เขายิ้ม “แต่หนังแบบนี้ล่ะครับที่ผมอยากดู”
การย้ายเรื่องราวจากยุคทศวรรษ 1930 มายังยุคที่ใหม่ขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่ยุคปัจจุบันนั้น เชื่อมโยงกับแนวคิดที่ผู้สร้างหนังต้องการสำรวจได้เป็นอย่างดี ฮิดเดิลสตันตกลงมารับบทเป็นทหารผ่านศึกผู้ผิดหวังจากหน่วย SAS ร้อยเอก เจมส์ คอนราด มาตั้งแต่ก่อนที่ผู้กำกับจะเข้ามาร่วมงาน เขากล่าวว่า “ยุคนั้นทุกคนยังไม่ได้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของดาวเทียม การสอดแนมแทบทุกรูปแบบ และข้อมูลข่าวสารที่ล้นเกิน เราไม่ได้หลงคิดไปว่าเรารู้ทุกอย่างบนโลก เหมือนอย่างทุกวันนี้ที่เรามีอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ และจีพีเอส ยุคสมัยในเรื่องช่วยให้เราได้มีกระจกสะท้อนว่าคองอาจนำเสนออะไรในบทสนทนาเกี่ยวกับสงคราม รวมถึงแนวโน้มที่มนุษย์จะทำลายสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ”
สำหรับบรี ลาร์สัน ผู้รับบทเป็นนักข่าวสงคราม เมสัน วีฟเวอร์ ความสัมพันธ์นี้ช่วยให้นักแสดงมีพื้นที่ให้สำรวจแนวคิดมากมายระหว่างการค้นหาสัตว์ประหลาด “สำหรับฉันแล้ว เรื่องนี้คล้ายการเปรียบเทียบถึงสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ในตัวเราทุกคน” เธอกล่าว “ทุกวันนี้เราถอยห่างจากสัญชาตญาณส่วนนั้นมามากแล้ว ดูเหมือนเราต้องการเอาชนะมันด้วยวิธีการต่างๆ นานา มันยังพูดถึงวิธีที่เราจัดการกับโลกรอบตัวเราด้วย วิธีที่เราปฏิบัติต่อธรรมชาติและให้คุณค่าต่อธรรมชาติ รวมถึงให้คุณค่าต่อมนุษย์คนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน”
ปี 1973 ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเวียดนามแต่เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ Landsat เมื่อ NASA เริ่มต้นทำแผนที่โลกจากอวกาศ ซึ่งช่วยให้ทีมผู้สร้างหนังสามารถสร้างเรื่องราวการค้นพบที่อยู่อันลึกลับของคอง “แต่เกาะกะโหลกก็เป็นสถานที่ซึ่งความเย่อหยิ่งของมนุษย์อาจเป็นต้นเหตุของหายนะ ถ้าคุณไม่หยุดคิดก่อนทำ” ผู้อำนวยการสร้าง จอน แจชนี ให้ความเห็น
แม้ว่าคองเป็นผู้ครองเกาะ แต่เท่าที่ผ่านมาเขาก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ดุร้ายหรือน่ากลัวที่สุด “เกาะกะโหลกถูกปิดตายจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง และเดินตามเส้นทางวิวัฒนาการที่แปลกประหลาดและมีเอกลักษณ์ของมันเอง” การ์เซียกล่าว “มันเป็นสถานที่ซึ่งงดงามน่าเหลือเชื่อแต่ก็อันตรายที่สุดในโลก เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันไม่มีที่สำหรับมนุษย์ และการที่มนุษย์ไปปรากฏตัวก็จะส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อระบบนิเวศน์อันละเอียดอ่อนภายในเกาะ”
วอกท์-โรเบิร์ตส์ กำหนดจุดของอารมณ์ความรู้สึกซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามพื้นที่ต่างๆ ภายในเกาะ รวมถึงสิ่งอัศจรรย์และความน่าสะพรึงกลัวต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตัวละครและทางเลือกของตัวละคร “เรื่องหนึ่งที่น่าทึ่งมากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยทำมาก็คือการนำตัวเองออกจากห่วงโซ่อาหาร” เขากล่าว “ตัวละครเหล่านี้มาถึงเกาะกะโหลกด้วยความคิดแบบเดิมๆ ว่ามนุษย์เรามีสถานะอยู่ตรงไหนในโลกภายนอก แล้วความคิดพวกนั้นก็ใช้ไม่ได้โดยทันที…เพราะพวกเขาต้องกลับเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อาหาร ผมอยากสำรวจว่าความเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อคนเราอย่างไร ใครที่จะสติแตก ใครที่จะแข็งแกร่งขึ้น และใครที่จะร่วมมือร่วมใจกัน”
ผู้กำกับเสริมว่าคำถามเหล่านั้นเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวใน “Kong: Skull Island” “ผมชอบแนวคิดเรื่องการนำตัวละครกลุ่มหนึ่งซึ่งผ่านสงครามเวียดนามมาโดยไม่เชื่ออะไรทั้งนั้นและไม่ค่อยรู้ว่าที่ทางของตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วผลักพวกเขาเข้ามายังสถานที่ลึกลับแห่งนี้ ในหนังของเรา คองไม่ใช่แค่สัตว์ขนาดยักษ์ นี่ไม่ใช่เรื่องราวของมนุษย์ปะทะธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้คองของเราจึงเป็นคองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ด ผมอยากให้ผู้ชมได้สัมผัสความรู้สึกของการมองขึ้นไปแล้วเห็นบางสิ่งที่มีสัมผัสรับรู้และดุร้าย เป็นร่างสูง 100 ฟุตที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือตัวคุณ”
“Kong: Skull Island” จะนำผู้ชมไปประจันหน้ากับภูเขามีชีวิตที่สง่างามและมีพลังมหาศาล แต่ร่างกายใหญ่มหึมาไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่ทีมผู้สร้างหนังได้ทำการเปลี่ยนแปลง แพเรนท์อธิบายว่า “คองเป็นสัตว์วัยหนุ่มซึ่งตอนที่เราพบเขาในหนังนั้น เขายังคงเติบโตเพื่อเตรียมไปเป็นผู้ครองเกาะ และเกาะแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายยิ่งกว่า รวมถึงสกัลล์ครอว์เลอร์ซึ่งฆ่าบรรพบุรุษของคองและทำให้คองเป็นตัวสุดท้ายของเผ่าพันธุ์ นั่นเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นในการสำรวจตำนานส่วนนี้ คองเป็นตัวละครที่น่าสนใจมากอยู่แล้ว แต่เขากำลังเผชิญหน้ากับการต่อสู้ชี้ชะตาในหนังเรื่องนี้ เป็นการต่อสู้เพื่ออ้างสิทธิ์อันชอบธรรมในการขึ้นเป็นราชาแห่งเกาะกะโหลก”
ด้วยความตั้งใจที่จะนำผู้ชมในยุคปัจจุบันไปสัมผัสเกาะกะโหลก นักแสดงและทีมงานต้องเดินทางไปทั่วโลกตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีความงดงามและเสน่ห์ชวนค้นหายิ่งกว่าที่เคยพบเห็นในหนังเรื่องใดๆ วอกท์-โรเบิร์ตส์ กล่าวว่า “เมื่อคุณนำตำนานมาสู่จอภาพยนตร์ ไม่ใช่ในฐานะสัญลักษณ์แต่มีเลือดเนื้อจริงๆ สิ่งสำคัญคือการนำเขาไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สมจริง จับต้องได้ และมีชีวิตชีวา ดังนั้นเราจึงต้องถ่ายหนังเรื่องนี้ในสภาพแวดล้อมจริงซึ่งนักแสดงสามารถมีปฏิสัมพันธ์ด้วยได้ แทนที่จะให้นักแสดงเล่นอยู่ในโรงถ่ายที่ใช้ฉากเขียว ผมอยากให้คนมองมาที่จอแล้วพูดว่า ‘ที่แบบนี้อาจมีอยู่จริงก็ได้นะ’”
“Kong: Skull Island” ถ่ายทำในสามทวีป โดยใช้สถานที่ในออสเตรเลีย ฮาวาย และเวียดนาม เพื่อเก็บฟุตเทจซึ่งจะนำมาผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียนภายหลังให้เกิดเป็นโลกที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เรื่องแรกที่ถ่ายทำหลายฉากในเวียดนาม ซึ่งต้องอาศัยการดำเนินการทางลอจิสติกส์ที่ซับซ้อนเพื่อเข้าไปถ่ายทำในสภาพแวดล้อมอันบริสุทธิ์ของเวียดนามตอนเหนือ ตลอดจนปกป้องระบบนิเวศน์ของที่นั่นทั้งก่อนหน้า ระหว่าง และหลังการถ่ายทำหลัก
เพื่อนำตัวละครหลักของหนังกลับมาถล่มจอภาพยนตร์อีกครั้ง วอกท์-โรเบิร์ตส์ได้รวมทีมงานเบื้องหลังมือหนึ่งซึ่งจะก้าวข้ามกรอบเดิมๆ ในแง่การออกแบบและเอฟเฟ็กต์ รวมถึงยกระดับมาตรฐานในการสร้างตัวละครแบบดิจิตัล
“Kong: Skull Island” เป็นหนังเรื่องที่สองและนับเป็นหนังฟอร์มใหญ่ที่สุดเท่าที่วอกท์-โรเบิร์ตส์เคยทำมา แต่เขาก็ไม่ได้หวั่นใจ เขากล่าวว่า “สิ่งที่นำทางผมตลอดการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่นี้คือการสร้างประสบการณ์ที่สมจริงมากพอที่จะช่วยให้ผู้ชมได้เปิดรับตำนานและความลึกลับต่างๆ ในชีวิต ถึงแม้ว่าเราจะสร้างหนังเรื่องใหม่ที่เล่าเรื่องต่างไปจากเดิมมาก…แต่นี่ก็คือคิงคอง”