เรื่องย่อ
DEAD MAN DOWN เป็นแอ็คชั่นทริลเลอร์ระทึกขวัญที่มีเรื่องราวความรักเป็นศูนย์กลาง เกิดขึ้นในโลกอาชญากรรมของนิวยอร์ก ซิตี้ วิคเตอร์ (รับบทโดย โคลิน ฟาร์เรล) ซึ่งเป็นมือขวาของอัลฟองซ์ (รับบทโดยเทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด) เจ้าพ่ออาชญากรรมตัวเอ้ ที่กำลังโดนลบเหลี่ยมจากแกงค์ศัตรู ส่งมือดีมาปลิดชีพสมาชิกแก๊งของเขาทีละคนๆ แถมยังส่งคำขู่และคำเย้ยหยันมาถึงอัลฟองซ์ งานนนี้ ดาร์ซี (โดมินิค คูเปอร์) เพื่อนของวิคเตอร์ ลูกน้องอีกคนของอัลฟองซ์เริ่มหมกมุ่นกับการหาตัวฆาตกร เพื่อหวังจะเลียแข้งเลียขาอัลฟองซ์และถีบตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในองค์กร ระหว่างนี้ วิคเตอร์ได้พบกับเบียทริซ (นูมี ราเพซ) สาวหญิงฝรั่งเศสลึกลับ ที่อาศัยอยู่กับวาเลนไทน์ (อิซาเบล ฮัพเพิร์ท) แม่ของเธอ ใน อพาร์ทเมนต์หรูฝั่งตรงข้ามกับห้องพักของวิคเตอร์ และเมื่อวิคเตอร์เริ่มหลงใหลเธอ ไม่นานนักเขาก็ได้ค้นพบว่าเบียทริซไม่ได้เป็นคนอย่างที่เขาเห็น แต่เธอเป็นเหยื่ออาชญากรรมที่ต้องการแก้แค้น และเธอก็ต้องการความช่วยเหลือจากวิคเตอร์ และในขณะเดียวกันเบียทริซก็พบว่าวิคเตอร์ไม่ใช่คนอย่างที่เธอเห็นเช่นกัน แต่เขาคือผู้ต้องการแก้แค้นให้กับการเสียชีวิตของภรรยาและลูกสาวตัวน้อยของเขาที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน และเมื่อคนสองคนที่มีบาดแผลในใจ ที่ต่างก็หมกมุ่นอยู่กับการแก้แค้นได้มาพบกัน ปฏิกิริยาเคมีและความสัมพันธ์ที่เข้มข้นของทั้งคู่ก็นำไปสู่การวางแผนการแก้แค้นที่รุนแรงและเป็นการชำระล้างจิตใจของพวกเขาด้วย
เปิดใจผู้กำกับภาพยนตร์…นีลส์ อาร์เดน ออพเลฟ
นีลส์ อาร์เดน ออพเลฟ ผู้กำกับชาวเดนิชได้รับการทาบทามจากสตูดิโอฮอลลีวู้ด ที่ส่งบทภาพยนตร์มากมายให้เขาอ่านทันที ออพเลฟไม่ได้เลือกจะผูกมัดตัวเองกับโปรเจ็กต์ไหนเลย แต่แล้วเขาก็ได้อ่าน DEAD MAN DOWN
อย่างที่ออพเลฟเล่าว่า “ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ DEAD MAN DOWN คือมันเป็นบทที่ดี และนั่นก็คือความแตกต่างระหว่างบทหนังเรื่องนี้กับอีก 250 เรื่องที่ผมได้อ่าน ในบรรดาบท 250 เรื่องที่ผมได้อ่านมาประมาณสองปีครึ่ง มีเพียงแค่หยิบมือเดียวที่น่าสนใจ บางเรื่องก็ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนอีกหน่อย ซึ่งผมก็พูดได้ว่ามันอาจเป็นเรื่องที่ผมเลือกแสดง แต่บท DEAD MAN DOWN ก็เข้ามาในลักษณะที่เกือบเพอร์เฟ็กต์เลยครับ”
“แล้วมันก็เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากๆ ด้วย” ออพเลฟอธิบาย “มันมีอะไรมากมายในเรื่องราวนี้ ตัวละครมีความลึกซึ้ง มันเป็นส่วนผสมที่วิเศษสุดของสิ่งที่น่าจะถูกใจผู้ชมในวงกว้าง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีแง่มุม ‘อาร์ตๆ’ ที่ดีด้วย ตัวละครของเรื่องมีทั้งอารมณ์และมิติลึกซึ้ง แล้วบทเรื่องนี้ก็มีธีมโปรดของผมด้วย ซึ่งก็คือการไถ่บาปหัวใจ การไถ่บาปโชคชะตาของตัวเอง ในแง่ที่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ทุกสิ่งในชีวิตคุณแลดูมืดหม่น สิ้นหวังที่สุด จะมีบางคนหรือบางสิ่งที่จะให้โอกาสที่สองกับคุณเพื่อแก้ตัวและทำให้ชีวิตคุณกลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง นั่นเป็นเรื่องราวสำหรับวิคเตอร์และเบียทริซด้วยครับ และที่มันเกิดขึ้นก็เพราะพวกเขาได้พบกันใน ‘ใจกลางแห่งความมืดมิด’ ของทั้งคู่ การพบกันของทั้งคู่และสิ่งวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาสามารถไถ่บาปตัวเอง มาถึงจุดที่พวกเขาได้รับโอกาสครั้งที่สองครับ”
“และสำหรับผมแล้ว นั่นอาจจะเป็นธีมที่งดงามที่สุดก็ได้” ออพเลฟกล่าวต่อ “ธีมที่อยู่ใน `The Girl with the Dragon Tattoo’ สำหรับทั้งลิสเบธ ซาแลนเดอร์และบลอมค์วิสต์ รวมถึงในหนังเรื่องอื่นๆ ของผมอีกหลายเรื่องด้วย”
“ผมเชื่อจริงๆ ว่า DEAD MAN DOWN มีองค์ประกอบทุกอย่างของหนังอเมริกันคลาสสิก ในแง่ของความบันเทิงน่ะครับ” ออพเลฟเล่าอย่างกระตือรือร้น “มันมีการแก้แค้น แอ็คชั่น พล็อตลึกลับน่าสนใจ ที่จะคลี่คลายออกมาเรื่อยๆ ระหว่างที่เรื่องราวเดินหน้าไป หนังเรื่องนี้มีตัวละครที่น่าสนใจและมหัศจรรย์ และมีคุณค่าทางด้านการสร้างที่ยอดเยี่ยม อะไรพวกนั้นน่ะครับ แล้วภายในแพ็คเกจทั้งหมดนี้ก็จะมีเรื่องราวความรักพิลึกพิลั่นนี้ เป็นความรักจริงๆ ระหว่างชายและหญิงในแบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน และสำหรับผมแล้ว องค์ประกอบพวกนั้นก็เป็นอะไรที่น่าทำงานด้วยจริงๆ ครับ”
“ดังนั้น เมื่อคุณมองที่ตัวละครทั้งสองตัว ทั้งวิคเตอร์ ที่รับบทโดยโคลิน ฟาร์เรลและเบียทริซ ที่รับบทโดยนูมิ ราเพซ” ออพเลฟเล่า “รวมถึงเรื่องรักเรื่องนี้ มันก็ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่เรื่องรักที่เริ่มต้นแบบธรรมดาๆ มันเริ่มต้นด้วยสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นการเดทระหว่างผู้ชายที่ยังเป็นคนลึกลับในแง่ที่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนร้ายก็ยังไม่รู้เพราะตอนเริ่มต้นเรื่อง เขาได้ทำบางอย่างที่เลวร้ายไปแล้วด้วย และผู้หญิงคนนี้ที่ดูแปลกๆ ในแง่ของการใช้ชีวิตของเธอและแม่ แล้วเมื่อพวกเขาไปเดทกันครั้งแรก เดทนั้นก็ไปในทิศทางที่แตกต่างกับที่เราเคยเห็นมาโดยสิ้นเชิงเลย พอผมได้อ่านบทที่วิเศษสุดโดยโจเอล วีแมนเป็นครั้งแรก ผมก็นึกถึงว่าความสามารถของเขาในการทำให้ฉากเดทในหนังมีความแปลกใหม่ขึ้นมาก็เป็นความสำเร็จในตัวมันเองอยู่แล้ว ใครอาจจะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่นั่นคือสิ่งที่เรื่องราวนี้ทำครับ”
“ดังนั้น DEAD MAN DOWN ก็เลยมีการหักมุมจำนวนมหาศาลเลยครับ” ออพเลฟกล่าวต่อ “เมื่อคุณคิดว่าคุณรู้อะไรซักอย่าง ก็มีอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น และในแง่นั้นเอง หนังเรื่องนี้จะสนุกมากๆ และน่าตื่นเต้นมากๆ ด้วย มันมีองค์ประกอบตามที่ผมต้องการจริงๆ แหละครับ”
“และ DEAD MAN DOWN ก็เป็นหนังอินดี้ฟอร์มใหญ่ ผมก็เลยมีอิสระที่จะสร้างมันในแบบที่ผมต้องการด้วย” ออพเลฟกล่าวยืนยัน “ผมคิดว่ามันจะต้องเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะสร้างหนังแบบนี้ ที่มีฉากพวกนี้และสิ่งที่คนพวกนี้พูดและทำ ในระบบการสร้างหนังของสตูดิโออเมริกันน่ะครับ”
“โจเอล วีแมนเขียนบทเรื่องนี้มาหกปี และเขาก็พูดคุยกับนีล มอริทซ์และบริษัทออริจินอล ฟิล์มของเขาถึงเรื่องการสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา” ออพเลฟเล่า “แล้วตามที่ผมเข้าใจ ตอนที่โจเอลกำลังจะเขียนบทเรื่องนี้เสร็จ เขาก็ได้ดูหนังเรื่อง `The Girl wth the Dragon Tattoo’ ของผม และเขากับนีล มอริทซ์ก็ตัดสินใจที่จะส่งบทเรื่องนี้ให้ผม ในฐานะตัวเลือกแรกที่จะมากำกับหนังเรื่องนี้ ตอนที่ผมได้บทเรื่องนี้มา ก่อนหน้านั้นหนังที่ผมจะต้องสร้างก็ถูกพับไปก่อนพอดี ดังนั้น พอบทเรื่องนี้ถูกส่งมาให้ผม ผมก็อ่านมันอย่างเร็วมากและผมก็ชอบมันมาก ผมได้โทรคุยกับโจเอล ได้พบกับเขา และชื่อของนักแสดงคนแรกที่เราพูดถึงว่าน่าจะมานำแสดงในหนังเรื่องนี้ในบท ‘วิคเตอร์’ ก็คือโคลิน ฟาร์เรลครับ”
“ชื่อของโคลินปรากฏขึ้นเป็นเรื่องปกติเพราะนีล มอริทซ์กำลังทำงานใน ‘Total Recall’ ร่วมกับเขาอยู่ครับ” ออพเลฟเล่า “แล้วผมก็คิดว่ามันฟังดูเป็นไอเดียที่เจ๋งและน่าสนใจจริงๆ ผมกับโคลินเลยนัดพบกันและผมก็ได้ไปพบเขาที่นิวยอร์ก ผมรู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างและการสวมบทตัวละครตัวนี้ ที่มีองค์ประกอบคลาสสิก แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีมิติด้านอารมณ์ที่ลึกซึ้งและมีความอ่อนไหวแปลกประหลาดอย่างที่ผมต้องการ จากตัวเขา ดังนั้น มันก็เลยเป็นการพบกันที่เยี่ยมมากๆ”
“ในแบบเดียวกับที่โจเอลไม่เคยนึกถึงผู้กำกับคนอื่น” ออพเลฟกล่าว “โจเอล,นีลกับผมก็ไม่เคยนึกถึงนักแสดงคนอื่นเหมือนกัน มันก็เลยเป็นสิ่งที่แน่นอนตั้งแต่ต้น และโชคดีที่โคลินชอบบทเรื่องนี้และตอบ ‘ตกลง’ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นโปรเจ็กต์ที่เยี่ยมจริงๆ เมื่อคุณเริ่มต้นได้สวยแบบนั้น คุณก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วล่ะครับ”
“สำหรับโคลินในบทวิคเตอร์” ออพเลฟเล่า “ผมคิดว่าสิ่งแรกที่สำคัญจริงๆ สำหรับผม ซึ่งผมก็คุยเรื่องนี้กับโคลินตั้งแต่ที่เราพบกันครั้งแรก คือเราจะนำเสนอภาพเขาเป็นคนจริงๆ ไม่ได้เหมือนกับแอ็คชั่นฮีโร่ และพอผมได้เห็นโคลินในบทนั้น ผมก็กล้าพูดได้เลยว่าเขาถ่ายทอดความอ่อนไหวในตัวละครตัวนี้ออกมาอย่างมืดหม่นจริงๆ การเปลี่ยนแปลงของเขาในฐานะตัวละครได้ก้าวจากความมืดมิดไปสู่แสงสว่าง”
“และตรงนี้นี่เองที่เบียทริซเข้ามาและช่วยฟื้นฟูหัวใจของเขา” ออพเลฟกล่าว “วิคเตอร์ได้กลายเป็นมนุษย์อีกครั้ง ความรู้สึกของเขากลับคืนมา ระหว่างการดำเนินเรื่องราว หัวใจเขาเริ่มกลับมาเต้นอีกครั้ง และเขาก็เริ่มกลับมามีความรู้สึกแบบมนุษย์ธรรมดาอีกครั้ง ซึ่งคล้ายกับการเปลี่ยนแปลงของลิสเบธ ซาแลนเดอร์ใน ‘The Girl with the Dragon Tattoo’”
“วิคเตอร์เป็นคนที่สามารถฆ่าคนได้” ออพเลฟอธิบาย “แต่การติดต่อกับเบียทริซและความรักที่แปลกประหลาดที่เธอทำให้เขารู้สึกนั้น ทำให้อารมณ์แบบมนุษย์ของเขาค่อยๆ กลับคืนมา ทีละน้อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองก์ที่สามของเรื่อง และเขาก็กลายเป็นสิ่งที่ผมก็ไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ปกติได้ซะทีเดียว แต่เป็นคนที่ผ่านสิ่งเลวร้ายมาก่อนและเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์น่ะครับ”
“และสำหรับผม หลังจากได้คุยกับโคลินแล้ว ผมก็รู้สึกว่าเขาอยู่ใจจังหวะที่เขาสามารถถ่ายทอดบทวิคเตอร์ในฐานะคนที่เข้มแข็ง แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีระดับความอ่อนไหวและมีมิติอารมณ์ลึกซึ้ง ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างตัวละครที่เป็นมนุษย์ แต่เป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์แบบมนุษย์ออกมาน่ะครับ นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อตัวละครตัวนี้ ไม่อย่างนั้น ตัวละครตัวนี้ก็จะแบนราบ มืดหม่นอย่างเดียวเลย ตัวละครตัวนี้มีคุณสมบัติแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีมิติลึกซึ้ง ที่เรารู้สึกว่าภายในตัวเขาคือปริศนาของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาและปริศนาชะตากรรมของเขา และปริศนาของอารมณ์เขาที่เป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้าครับ”
“ผมไม่สามารถทำงานกับตัวละครที่ไม่มีชะตากรรมได้หรอกครับ” ออพเลฟสารภาพ สำหรับออพเลฟ ตัวละครผู้มีชะตากรรมจะเป็น “พวกยอมเสี่ยงหรือตัวละครภายใต้สถานการณ์พิเศษในชีวิต ที่จะมอบชะตากรรมและทิศทางให้กับพวกเขา นั่นเป็นเครื่องมือที่น่าค้นหา น่าสนใจและน่าทึ่ง ถ้าคุณรู้สึกถึงชะตากรรมบางอย่างในตัวละครนั้นๆ คุณก็จะรู้สึกถึงความลึกลับ และจุดหมายปลายทางของการเดินทางนั้น และสำหรับเราในฐานะผู้ชมที่มีชีวิตที่ปกติธรรมดากว่า แรงขับที่เรารู้สึกจากตัวพวกเขานี่เองที่ทำให้เราอยากจะเห็นว่าการเดินทางของพวกเขาจะไปถึงไหนและทำให้เราอยากจะไปกับพวกเขา พอเรารู้สึกเห็นใจตัวละครและเหตุผลของเขาและเธอแล้ว แม้ว่าตัวละครจะต้องการทำในสิ่งที่เกินเลยไป เราก็จะรู้สึกถึงความต้องการให้ตัวละครทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้น และเราจะยอมรับว่านั่นคือตัวตนของตัวละครตัวนั้น ถ้าเราไม่รู้สึกเห็นใจพวกเขา เราก็จะไม่อยากอยู่ในการเดินทางนั้นครับ ดังนั้น ความเห็นใจและการเอาตัวเองไปแทนตัวละครก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ”
“และผมก็รู้สึกว่าโคลินจะสามารถให้ชีวิต ความมีมิติและความอ่อนไหวกับวิคเตอร์ ในแบบที่จะทำให้ความมืดหม่นของการเดินทางของเขาน่าสนใจและทำให้เรารู้สึกเห็นใจเขาและอยากจะช่วยเหลือเขา” ออพเลฟอธิบาย “เราอยากให้เขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง และโคลินก็แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหนังเรื่องนี้ มันมีระดับอารมณ์หลากหลายในสิ่งที่โคลินได้ทำในหลายๆ ฉากของเขาและนั่นคือสิ่งที่ทำให้อารมณ์พวกนั้นทั้งซับซ้อนและน่าติดตาม”
“ตอนที่ผมได้เห็นโคลินรับบท ‘วิคเตอร์’ ในหนังเรื่องนี้” ออพเลฟกล่าว “มันมีความหยาบกระด้างในตัวเขา มีคุณสมบัติ ‘วายร้าย’ ในตัวเขา ที่ทำให้เรารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ เมื่อพิจารณาจากพื้นเพของเขา ได้เปลี่ยนตัวเองตามความจำเป็นกลายเป็นคนรุนแรง ไม่ใช่เพราะความต้องการของตัวเองที่อยากจะเป็นคนรุนแรง แต่เพราะเหตุผลที่เข้าใจได้ แม้ว่าในตอนที่คุณแก้แค้นหรือตั้งศาลเตี้ยด้วยตัวเอง มันก็มีค่าตอบแทนที่เกิดขึ้นตามมา และเขาก็จ่ายค่าตอบแทนนั้นด้วยอารมณ์ของตัวเอง ดังนั้น ทั้งหมดนี้ก็ช่วยเสริมสร้างความซับซ้อนของตัวละครตัวนี้มากขึ้นไปอีกครับ”
“และสำหรับนูมิ แน่นอนครับว่าผมกับเธอรู้จักกัน เราเคยผ่านงานหนักระหว่างการถ่ายทำ `The Girl with the Dragon Tattoo’ มาก่อน” ออพเลฟเล่า “ก่อนอื่นเราก็ต้องดูก่อนว่าโคลินต้องการแสดงเรื่องนี้มั้ย แล้วพอโคลินอยากแสดงเรื่องนี้ แล้วเราก็ค่อยคุยได้ว่าใครจะมารับบทเบียทริซ แต่สิ่งที่แปลกก็คือนูมิได้อ่านบทหนังเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วตอนที่เรื่องนั้นเกิดขึ้น กลายเป็นว่าเธออ่านบทเรื่องนี้และชอบมันจริงๆ ผมก็เลยบอกว่า ‘ว้าว มันคงเป็นไอเดียเจ๋งน่าดูที่จะเลือกเธอ’ แล้วเธอก็ได้พบกับโจเอลและนีลในลอสแองเจลิส และแน่นอนว่าเธอทำให้พวกเขาหลงใหลจนพวกเขาพูดอะไรไม่ออกเลย ซึ่งเป็นเรื่องเยี่ยมมากครับ”
“แต่สำหรับผม สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ เกี่ยวกับมันคือ แน่นอนครับผมรู้อยู่แล้วว่านูมิจะนำเอาอารมณ์และมิติมาสู่บทนี้ในแบบที่เธอกับบทลิสเบธใน `The Girl With the Dragon Tattoo’” ออพเลฟเล่า “แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ สำหรับผมคือการพยายามใช้นูมิในฐานะนักแสดงในบทที่ห่างไกลจากลิสเบธ ซาแลนเดอร์ที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถคิดออก ผมหมายถึง ใน DEAD MAN DOWN นูมิรับบทเด็กสาวชาวฝรั่งเศส/อเมริกัน ที่เป็นผู้หญิงจ๋า สวมส้นสูง ทำเล็บ ทำผมอย่างดี ดัดขนตางอน อะไรทำนองนั้น เธอเป็นคนร่างเล็ก ดูเปราะบาง แต่ในขณะเดียวกัน หัวใจเธอก็เต็มไปด้วยความขึ้งโกรธและความมืดหม่น ที่ทำให้เธอสามารถดึงเบรคมือรถของโคลิน เพื่อให้มันหมุนคว้างได้ และเธอก็ไม่กลัวตายด้วย ดังนั้น นี่คือเด็กสาวเปราะบาง ที่มีความเป็นผู้หญิงสูง ผู้มีพลังภายในและผมก็คิดว่ามันเป็นวิธีมองเธอที่เจ๋งจริงๆ และบางทีบทที่เธอแสดงใน DEAD MAN DOWN แม้ว่าเธอจะได้แสดงหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องตั้งแต่ `The Girl with the Dragon Tattoo’ ก็ตาม แต่นี่อาจจะเป็นบทที่ห่างไกลจากลิสเบธมากกว่าบทอื่นๆ ก็ได้ และผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์มากๆ และแน่นอนครับ” ออพเลฟกล่าวต่อ “ผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับเธออีกครั้ง และมันก็เป็นประสบการณ์ที่พิเศษสุดจริงๆ”
การคัดเลือกนักแสดง
หนึ่งในสิ่งที่มีการพูดคุยกันคือนักแสดงชายและหญิงคนไหนที่จะเหมาะกับบทวิคเตอร์และเบียทริซ ซึ่งเป็นสองตัวละครเอกของเรื่องมากที่สุด “ออริจินอล ฟิล์ม บริษัทของเรามีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับโคลิน ฟาร์เรลครับ” มาร์เมอร์อธิบาย “เขาเคยแสดง SWAT ให้กับเราเมื่อหลายปีก่อน และในตอนที่เราได้พบกับนีลส์ครั้งแรก โคลินก็กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำ ‘Total Recall’ ให้กับเรา เราก็เลยเสนอชื่อเขากับนีลส์ และนีลส์ก็เห็นด้วย เขาคิดว่าโคลินเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม โคลินก็เลยได้อ่านบท DEAD MAN DOWN ในกองถ่าย ‘Total Recall’ และเซ็นสัญญาอย่างรวดเร็วครับ”
“ชิ้นส่วนปริศนาต่อไปคือนูมิ ราเพซ” มาร์เมอร์เล่า “แน่นอนครับว่าเธอมีความสัมพันธ์อันดีกับนีลส์จาก `The Girl with the Dragon Tattoo’ และนีลส์ก็คิดว่าเธอน่าจะเพอร์เฟ็กต์สำหรับบทเบียทริซ เราก็เลยส่งบทไปให้เธอดู แล้วเธอก็ตอบสนองกับมันในทันที ผมคิดว่าเธอบอกเราในตอนที่เราพบกับเธอครั้งแรกว่าพอเธอได้อ่านบทเรื่องนี้ เธอก็ส่งข้อความหานีลส์ทันทีเพราะเธอได้ยินว่าเขาตกลงที่จะทำโปรเจ็กต์นี้แล้วน่ะครับ”
“หลังจากโคลินและนูมิแล้ว เราก็ได้เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ดมารับบทอัลฟองซ์ ซึ่งเราตื่นเต้นมาก” มาร์เมอร์เล่า “เทอร์เรนซ์ไม่เคยรับบทผู้ร้ายมาก่อน เขาเป็นคนที่น่าเห็นอกเห็นใจเสมอ ไม่อย่างนั้น เขาก็เป็นคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ร้าย แต่จริงๆ แล้วเป็นคนดี แต่ใน DEAD MAN DOWN เทอร์เรนซ์เป็นผู้ร้ายชัดๆ และก็คงความเป็นผู้ร้ายอยู่อย่างนั้น เขาทั้งน่าหวาดกลัวและน่าหวั่นสะพรึงด้วยครับ”
“เทอร์เรนซ์เป็นนักแสดงที่ยอเยี่ยมและเราก็ตอบสนองกับความต้องการของเขาที่จะทำให้เรื่องมีสีสันขึ้น” มาร์เมอร์กล่าวต่อ “เขาต้องการจะแสดงบทบาทที่ต่างออกไปจากผลงานเรื่องก่อนๆ ของเขา และเขาก็ไม่ได้แสดงบทนี้ในแบบของเจ้าพ่อแก๊งอาชญากรรมตามแบบฉบับที่โอเวอร์ แต่เมื่อได้เทอร์เรนซ์มารับบทนี้ อัลฟองซ์เลยกลายเป็นอาชญากรที่ดูดีมีสกุลมากๆ เขาเป็นคนช่างคิดคำนวณและคุณก็จะรู้สึกได้ถึงความคั่งแค้นที่เดือดพล่านอยู่ภายในตัวเขาครับ”
“เราตัดสินใจคล้ายๆ กันในการเลือกโดมินิค คูเปอร์มารับบทดาร์ซี” มาร์เมอร์อธิบาย “โดมินิคเป็นนักแสดงที่วิเศษสุด เขาเพิ่งจะแสดงใน ‘Devil’s Double’ มา ซึ่งเขาก็ยอดเยี่ยมมาก และผมคิดว่า เขากำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำ `Abraham Lincoln, Vampire Hunter’ ในตอนที่เราทาบทามเขาให้มาเล่น DEAD MAN DOWN เช่นเดียวกับนักแสดงคนอื่นๆ เขาชื่นชอบเรื่องราวนี้และตอบ ‘ตกลง’ กับเราในทันที เช่นเดียวกับการเลือกเทอร์เรนซ์มารับบทอัลฟองซ์ของเรา โดมินิคในบทดาร์ซีก็รับบทที่แตกต่างออกไปสำหรับตัวเขาเองเช่นกัน มันเป็นบทที่ท้าทายจริงๆ สำหรับเขาและเขาก็นำไอเดียที่สดใหม่และออริจินอลมาสู่การตีความบทนี้ของเขาด้วย ดาร์ซีเป็นเพื่อนและเพื่อนร่วมงานของวิคเตอร์ ทั้งคู่ทำงานให้กับอัลฟองซ์ครับ ดาร์ซีเป็นคนที่พยายามตามหาตัวคนที่ขู่บอสของเขาถึงขั้นที่เกือบจะเสียสติ แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าคนที่เขาตามหาอาจอยู่ใต้จมูกเขานี่เอง”
“เราโชคดีจริงๆ ครับ” มาร์เมอร์กล่าวอย่างตื่นเต้น “เมื่อได้โคลิน, นูมิ, เทอร์เรนซ์, โดมินิคและแน่นอน อิซาเบล ฮัพเพิร์ท DEAD MAN DOWN ก็มีนักแสดงระดับโลกอย่างแท้จริงครับ”
“อิซาเบล ฮัพเพิร์ทเป็นนักแสดงที่ล้ำค่าครับ” มาร์เมอร์เล่า “อย่างที่ทุกคนรู้ เธอเป็นตำนานของวงการแสดงฝรั่งเศส และเธอก็เป็นคนที่นีลส์ต้องการตัวในทันที เราต้องการนักแสดงหญิงฝรั่งเศสที่เก่งกาจมารับบทแม่ของนูมิ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เลย แต่แม้ว่าอิซาเบลจะแสดงความสนใจ แต่เธอก็มีตารางการทำงานที่รัดตัวมากๆ เพราะเธอเป็นที่ต้องการตัวสูง ดังนั้น ในการแสดง DEAD MAN DOWN เธอก็จะต้องทำงานกับเราระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์สองเรื่องในฝรั่งเศส การพาเธอไปที่โลเกชั่นถ่ายทำของเราก็เลยเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็คุ้มค่าครับ ฉากที่เธอถ่ายทำกับนูมิทั้งงดงาม ยอดเยี่ยมและสะเทือนอารมณ์ครับ”
“นีลส์คิดถูกครับ” มาร์เมอร์บอก “เขาตั้งใจให้อิซาเบลรับบทนี้ และนั่นก็คือหนึ่งในสิ่งที่เยี่ยมเกี่ยวกับนีลส์ เมื่อเขาหมายตานักแสดงคนใดคนหนึ่งและยึดติดกับความคิดนั้น เขาก็จะไม่ถอยครับ เขาจะตั้งใจแน่วแน่ ยืนกรานท่าเดียว เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และการกำกับของเขาก็เหมือนกัน เขาดื้อรั้น มั่นใจ มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ เขารู้ว่าเราจะต้องได้ตัวอิซาเบลมาแน่ๆ แม้ว่าตารางทำงานและระยะทางจะเป็นอุปสรรคก็ตาม แม้ว่าจะมีการเสนอชื่อนักแสดงหญิงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องคิวหรือตารางการทำงานหรือข้อผูกมัดอื่นๆ แต่เธอคือคนที่เขาต้องการ เขาคิดภาพของเธอในฉากอพาร์ทเมนต์ รับบทแม่ของนูมิ และผมก็ดีใจที่เขายืนกรานแบบนั้นเพราะนูมิกับอิซาเบลเข้ากันได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ”
“อิซาเบลยกระดับบทนั้นขึ้นมาจริงๆ” มาร์เมอร์ขยายความ “มันเป็นบทที่ท้าทายเพราะเธอเป็นแม่ผู้หัวใจสลายเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวเธอและเธอก็ต้องทำตัวเข้มแข็งและปะติดปะต่อชีวิตให้กลับคืนมาเหมือนเดิม คุณต้องการคนที่เข้มแข็ง ที่สามารถแสดงถึงแง่มุมที่อ่อนโยน อ่อนไหวและรักใคร่ได้ด้วย แต่เมื่อถึงเวลาจำเป็น เธอก็สามารถยืนหยัดเพื่อตัวเองได้ด้วย และอิซาเบลก็ถ่ายทอดเรื่องเหล่านั้นได้อย่างวิเศษสุด”
“ผมกล่าวชื่นชมทีมนักแสดงของหนังเรื่องนี้ได้ไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยครับ” มาร์เมอร์กล่าวอย่างตื่นเต้น “พออยู่นอกจอ พวกเขาก็เป็นคนที่น่ารักมากๆ และพวกเขาก็แสดงความสามารถ 100% เต็มบนหน้าจอ”
ทีมผู้สร้างยินดีอย่างยิ่งที่ตั้งแต่เริ่มต้น องค์ประกอบทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มาประกอบเข้าด้วยกันในแบบฟ้าบันดาลที่สุด “ตั้งแต่เริ่มต้น” รี้ด เชนกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ด้วยลำดับเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง เราได้ผู้กำกับ ได้พระเอกนางเอก เราไม่เคยส่งบทของเราไปให้กับผู้กำกับคนอื่น นักแสดงชายคนอื่นหรือนักแสดงหญิงคนอื่นเลย บทนี้ไม่เคยออกสู่ตลาด และถึงตอนนั้น เราก็เริ่มหาทุนและนีล มอริทซ์ก็ส่งมันไปให้กับสจวร์ต ฟอร์ด หัวหน้าไอเอ็ม โกลบอล ซึ่งก็มารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างร่วมกับออริจินอล ฟิล์มครับ”
เปิดใจนักแสดงนำ…โคลิน ฟาร์เรล
“บทหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมสนใจ DEAD MAN DOWN ครับ” โคลิน ฟาร์เรลเล่า “ก่อนที่ผมจะรู้ด้วยซ้ำว่านีลส์จะเป็น ผู้กำกับ ซึ่งเป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับหนังเรื่องนี้ ผมได้อ่านบทหนังเรื่องนี้และชอบมัน ผมชอบตัวละคร ชอบองค์ประกอบต่างๆ ของมัน ถึงเรื่องของสถานที่ที่ตัวละครของผมอาศัยอยู่ และที่ที่เบียทริซ ตัวละครของนูมิอาศัยอยู่ ความใกล้ชิดที่พวกเขามีต่อกันและกันและแง่มุมของการแอบติดตามเรื่องราวของกันและกันในช่วงเริ่มต้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ มันมีองค์ประกอบแบบหนังฮิทช์ค็อกที่ผมชื่นชอบครับ”
“DEAD MAN DOWN มีฉากหลังเป็นโลกอาชญากรในนิวยอร์ก แต่เรื่องราวความรักในนั้นทั้งแข็งแกร่งและให้ความรู้สึกว่ายิ่งใหญ่ครับ” ฟาร์เรลอธิบาย “ซีเควนซ์แอ็กชันในเรื่อง ซึ่งมีหลายซีเควนซ์ ค่อนข้างจะซับซ้อนและพวกมันก็ทั้งสนุกและน่าติดตาม แต่เรื่องราวความรักระหว่างวิคเตอร์ ตัวละครของผม และเบียทริซ ตัวละครของนูมิ สำหรับผมแล้ว คือแกนหลักของเรื่อง มันเป็นเรื่องของคนสองคน ที่มีบาดแผลในใจ จนดูเหมือนจะเกินเยียวยา แต่ด้วยการมาเกี่ยวข้องกันและกัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็หยิบยื่นโอกาสในการฟื้นตัวให้กับกันและกัน และนั่นคือสิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุดเกี่ยวกับเรื่องราวนี้สำหรับผม”
“และหลังจากอ่านบทเสร็จ ผมก็ได้ยินว่านีลส์ อาร์เดน ออพเลฟจะกำกับ” ฟาร์เรลกล่าวอย่างตื่นเต้น “ผมได้ดู `The Girl with the Dragon Tattoo’ มาแล้ว และผมก็ได้ดูหนังอีกเรื่องของเขาที่มีชื่อว่า `We Shall Overcome’ ซึ่งก็งดงาม แต่ถ้าดูในเรื่องของแนวแล้ว มันตรงข้ามกับ `The Girl with the Dragon Tattoo’ โดยสิ้นเชิงเลย ผมก็เลยคิดว่านีลส์สามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากจะทำและผมก็ตื่นเต้นจริงๆ กับโอกาสในการได้ร่วมงานกับเขา”
“เมื่อเร็วๆ นี้ ผมตระหนักได้ว่าผมได้รับบทคนน่าสงสารหกหรือเจ็ดครั้งในหนังและได้รับบทแก๊งสเตอร์มาสองสามครั้ง” ฟาร์เรลเล่า “ผมคิดว่าโลกของหนังเป็นสิ่งที่ดึงดูดผมในตอนเลือกเล่นหนังเพราะความเสี่ยงมักสูงเสมอ แต่ในหนังประเภทไหนก็ตาม อารมณ์ของเรื่องจะเป็นสิ่งที่พาคุณไปตลอดทั้งเรื่อง และเป็นสิ่งที่ผู้ชมจะถูกดึงดูดเข้าหา คุณจะต้องถูกดึงดูดเข้าหาตัวละครและเอาตัวเองเข้าไปอยู่กับสิ่งที่พวกเขาต้องพบเจอทั้งทางจิตใจและอารมณ์ด้วยครับ”
“แต่ผมก็ไม่อยากจะเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับหนังอีกเรื่องที่มีปืนและพวกคนเหี้ยม มีการแหกกฎหมายและมีซีเควนซ์แอ็คชั่น” ฟาร์เรลสารภาพ “แล้วผมก็ได้อ่านบท DEAD MAN DOWN ซึ่งผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไปเกี่ยวข้องกับหนังแก๊งสเตอร์ หรือหนังแอ็คชั่น เพราะสำหรับผมแล้ว แก่นของเรื่องอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างวิคเตอร์และเบียทริซ สิ่งอื่นๆ เป็นเหมือนโอกาสในการฟื้นฟูสภาพจิตใจตัวเองด้วยกันและกัน และเปิดโอกาสให้พวกเขาไปให้พ้นจากบางสิ่งและถูกดึงให้หันเหไปจากบางสิ่งน่ะครับ”
“เรื่องราวของ DEAD MAN DOWN ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการนำเสนอที่พิเศษสุด และลุคของโลกใบนี้ที่พิเศษสุด” ฟาร์เรลอธิบาย “และเราก็ได้เห็นมันผ่านปริซึมของคนสองคนที่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันทำให้ทั้งคู่มองหาบทสรุปของบางแง่มุมในชีวิตพวกเขา ที่ทำให้พวกเขาต่างฝ่ายต่างก็ต้องเจอกับอดีตที่เจ็บปวดมากๆ พวกเขาต่างก็มีดีเอ็นเอของความเจ็บปวด แต่จากที่มาที่แตกต่างกัน และพวกเขาก็พบบางสิ่งที่พวกเขาไม่ได้มองหาในตัวของกันและกัน ซึ่งนั่นคือโอกาสให้หัวใจได้เยียวยาตัวเอง และเพื่อลบล้างเรื่องในอดีตออกไปในแบบที่แตกต่างจากความตั้งใจดั้งเดิมของพวกเขาน่ะครับ”
“ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ทั้งวิคเตอร์และเบียทริซ” ฟาร์เรลกล่าวต่อ “เดิมทีตั้งใจที่จะลบล้างอดีตทิ้งไปด้วยการแก้แค้น และระหว่างการเล่าเรื่องราวนี้ ความปรารถนาที่จะแก้แค้นถูกดับลงเพราะการยอมรับในความรัก แม้ว่าทั้งคู่จะไม่มีใครมองหาความรัก ความปรารถนาดี หรือความอ่อนโยนเลย พวกเขาต่างก็เป็นเหยื่อของโลกที่พวกเขาเชื่อว่าได้พรากเอาโอกาสที่พวกเขาจะสัมผัสกับความเป็นเพื่อนพ้อง ความใกล้ชิดสนิทสนม ความแน่นแฟ้น หรือความรัก แต่ผลที่ตามมาของเรื่องราวคือการที่พวกเขาได้เจอสิ่งเหล่านั้นกับกันและกันครับ”
“วิคเตอร์เป็นผู้อพพยชาวฮังกาเรียน ที่เรียนมาเพื่อเป็นวิศวกร เขามานิวยอร์กเมื่อประมาณเจ็ดปีก่อนที่หนังจะเริ่มต้น” ฟาร์เรลบอก “เขามาอเมริกาเหมือนกับหลายคนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่แสวงหาชีวิตที่ดีกว่าเดิม และโอกาสที่ดีกว่าเดิม เขาเป็นสามี เป็นพ่อ และเหตุการณ์ที่รุนแรงอย่างเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นหนึ่งปีก่อนหน้าที่เรื่องราวของเราจะเริ่มต้นขึ้นก็ทำให้ภรรยาและลูกสาวเขาถูกพรากไปจากเขา เขาเลยเป็นคนที่ทุกอย่างที่มั่นคง ดีงามและบริสุทธิ์ในชีวิตเขาถูกพรากไปจากเขา และผมก็ไม่รู้ว่าเขาเชื่อมากน้อยแค่ไหนว่าเขาจะฟื้นตัวหรือรู้สึกสงบได้อีกในชีวิต ผมไม่รู้ว่าคุณจะทำได้รึเปล่าถ้าคุณเจอโศกนากฎกรรมแบบนั้น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเขาครับ ปัญหาของเขาอยู่ที่การปรับสเกลความยุติธรรมให้เที่ยงตรงมากขึ้นด้วยการไม่ปล่อยให้คนที่ทำลายชีวิตเขาด้วยการฆ่าภรรยาและลูกสาวเขาเดินลอยนวลโดยปราศจากการลงโทษน่นะครับ”
“วิคเตอร์เป็นคนที่ต้องสร้างโอกาสให้เกิดขึ้น เขาบงการความสัมพันธ์ สร้างระบบภายในที่ทำให้เขาสามารถแฝงตัวเข้าไปอยู่ในแก๊งหนึ่งได้” ฟาร์เรลอธิบาย “พวกเขาไม่เหมือนกับโคซา นอสทรา พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวที่แน่นแฟ้น จนแทรกตัวเข้าไปไม่ได้ แต่เขามีความรู้สูง และเฉลียวฉลาดอย่างเหลือเชื่อในเรื่องของรายละเอียดและโครงสร้าง และด้วยความที่เขาเป็นวิศวกร เพราะเขามีความเข้าใจสถาปัตยกรรมของวัสดุที่แข็งและเย็นบางอย่าง เขาก็เลยเข้าใจดีถึงสถาปัตยกรรมของความสัมพันธ์และระบบปฏิบัติการของคนแต่ละจำพวกด้วย”
“ดังนั้น ก่อนหน้าที่เรื่องราวของเราจะเริ่มต้นขึ้น” ฟาร์เรลกล่าวต่อ “เขาก็วางแผนที่เขาจะแฝงตัวเข้าไปในแก๊งนี้ เมื่อเขาได้โอกาสผ่านทางดาร์ซี ที่รับบทโดยโดมินิค คูเปอร์ ดาร์ซีเป็นหลายสิ่งหลายอย่างในบท แต่วิคเตอร์อาจจะคิดว่าเขาเป็นคนเปราะบาง เขาก็เลยเล่นดาร์ซีหน่อยๆ เขาอาจจะวางแผนเล่นละครบางอย่างเพื่อให้เขากับดาร์ซีได้เจอกัน ในแบบที่เขาจะสามารถช่วยดาร์ซีทำอะไรได้ และอาจจะทำให้เกิดมิตรภาพที่เบาบางมากๆ ตามมา และทีละน้อยๆ ตลอดระยะเวลาประมาณหกเดือน ดาร์ซีก็ได้แนะนำให้วิคเตอร์ได้รู้จักกับ อัลฟองซ์ หัวหน้าแก๊ง ที่รับบทโดยเทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด”
“แล้วก็เกิดบางสิ่งขึ้นในอพาร์ทเมนต์ของวิคเตอร์ สิ่งที่เขาไม่อยากให้ใครเห็น” ฟาร์เรลบอก “และผลจากเรื่องนั้นก็ทำให้เบียทริซทิ้งข้อความไว้ในกล่องจดหมายของวิคเตอร์ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ของเธอ เขาโทรหาเธอและพวกเขาก็ไปดินเนอร์ด้วยกัน เขาโทรหาเธอ เธอรับโทรศัพท์ พวกเขาคุยกันทางโทรศัพท์ ตะโกนคุยกันบนระเบียง ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นหลักปฏิบัติที่งดงามในตอนที่ผมได้อ่านบท และมีอะไรบางอย่างที่โรแมนติกมากๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าจะเห็นได้ชัดเจนว่ามันเต็มไปด้วยความตึงเครียด และความเป็นไปได้ที่จะเกิดความรุนแรงขึ้น เมื่อพิจารณาถึงโลกที่รุนแรงของหนังเรื่องนี้ ดังนั้น พวกเขาก็ออกไปดินเนอร์กัน ซึ่งมันก็เป็นเดทแรกที่ไม่ประสบความสำเร็จนักน่ะครับ”
“วิคเตอร์ใช้ชีวิตแบบว่างเปล่ามากๆ” ฟาร์เรลบอก “เขาใช้ชีวิตโดยจงใจละเลยสิ่งที่จะก่อให้เกิดความสุข เขาไม่ไปดูหนัง ไม่ฟังเพลง และเมื่อในที่สุดเขาได้ไปอพาร์ทเมนต์ของเบียทริซ ที่ซึ่งเธอใช้ชีวิตอยู่กับแม่ของเธอ ที่รับบทโดยอิซาเบล ฮัพเพิร์ทเป็นครั้งแรก มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งแวดล้อมที่อบอุ่นอย่างเหลือเชื่อ มันเหมือนกับการก้าวพ้นจากที่หนาวเย็นเล็กๆ มาสู่ห้องที่อบอุ่น ที่มีกลิ่นขนมปังและอาหารอุ่นๆ บนเตาอบโชยมายั่วจมูกตลอด มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกนัก มันเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้มีเวลาหรือที่ทางให้ในชีวิต แต่ขณะที่สัมผัสเหล่านั้นส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเราและขณะที่เรามองโลกรอบตัวเรา ทั้งสายตา เสียง กลิ่น สัมผัส มันก็ช่วยเปิดกว้างแง่มุมต่างๆ ของตัวเขา ที่เขาไม่อยากจะเปิดเผย ที่เขาไม่อยากจะเปิดใจออกมา แม้แต่กลิ่นของอาหารอบใหม่ๆ ก็ตาม แล้วมันก็มีความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาว ที่เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีปรากฏอีกแล้วในชีวิตของเขาด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ถูกพรากไปจากเขา แม่และลูกสาว ดังนั้น ในหลายๆ แง่มุมแล้ว สถานที่นี้เป็นสถานที่อันตรายสำหรับเขา เพราะเขาไม่มีเวลาจะทำตัวอ่อนโยนหรือเปิดใจ ที่จะถูกทำให้เปราะบาง เขามีภารกิจเดียวในชีวิตและทุกสิ่งที่ทำให้เขาไขว้เขวจากภารกิจนั้นคือภัยคุกคาม และนั่นก็คือเบียทริซในตอนแรกครับ แต่ในที่สุด เธอก็คุ้มค่ากับการไขว้เขวนั้น”
สำหรับการร่วมงานกับนูมิ ราเพซ ฟาร์เรลมีแต่คำชมเชยสำหรับเธอ “นูมิน่าทึ่งครับ” ฟาร์เรลกล่าวชื่นชม “เธอฉลาด ช่างคิดและกล้าอย่างเหลือเชื่อ เธอมีการถ่ายทอดอารมณ์ออกมาอย่างเหลือเชื่อ เธอท้าทายคุณในแบบที่น่ารักที่สุดในฐานะนักแสดงและเธอก็รู้จักตัวละครของเธอดี เธอออกแบบเบียทริซของเธออย่างดีและเฉพาะเจาะจง ทั้งงดงามและพิล้วไหวจนเธอรู้จักเบียทริซอย่างทะลุปรุโปร่ง และทุกครั้งที่ผมได้เข้าฉากกับนูมิ มันก็เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างที่สุด และถึงแม้ว่าผมจะพูดไปยืดยาวเกี่ยวกับการที่วิคเตอร์และเบียทริซเป็นแก่นของเรื่องและบอกว่าผมชื่นชอบการได้แสดงฉากระหว่างพวกเขามากแค่ไหน ในระดับหนึ่ง มันก็เป็นเรื่องของนูมิและการตีความตัวละครตัวนี้ของเธอ รวมถึงการยืนอยู่ตรงข้ามกับเธอและแสดงฉากที่เราแสดงมันเป็นอย่างไร มันเป็นความสุขที่สุด เธอเยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ ครับ”
“เรามีเวลาซ้อมที่เจ๋งมากๆ ก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น” ฟาร์เรลเล่า “เรามีเวลาเพียงแค่สามวัน แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เราได้มาจะเหมือนกับเราซ้อมกันเป็นสัปดาห์ๆ เลย เรานั่งกันในห้องโรงแรมในลอสแองเจลิสสามวัน มีโจเอล วีแมน (มือเขียนบท), นีลส์, นูมิ แล้วก็ผม เรานั่งคุยกันถึงบทเรื่องนี้ ทีละหน้าๆ แล้วบทเรื่องนี้ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนว่าต้องมีการปรับปรุงอะไรเลย แต่พอเรานั่งคุยกัน นีลส์ก็มีความเห็นของเขา นูมิมีความเห็นของเธอและผมก็มีความเห็นของผม ส่วนโจเอลก็นั่งฟังเฉยๆ เพราะความเห็นทั้งหมดของเขาอยู่ในบทอยู่แล้ว เขาก็เลยนั่งฟัง และพิจารณาไอเดียของเรา ผมคิดว่าเราทำให้บทดีขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้ดีขึ้นเยอะ แต่เป็นส่วนตัวมากขึ้น มันไม่มีอะไรในนั้นที่เราไม่อยากทำ แต่มันเป็นแค่การเปลี่ยนมุมมองในบางช่วงเวลาและเพิ่มความสำคัญให้กับบางสิ่งครับ”
“เราสนุกกับช่วงเวลาซ้อมกันจริงๆ” ฟาร์เรลบอก “นีลส์เยี่ยมมาก ผมสื่อสารกับเขาแบบทางลัดตั้งแต่ช่วงแรกๆ และเขาก็ตื่นตัวอยู่เสมอ เขาทำงานไม่ลดละและไม่ประนีประนอมเลย ในฐานะนักแสดง สิ่งที่คุณอยากจะมีกับผู้กำกับของคุณคือความรู้สึกไว้วางใจ และผมก็ไว้วางใจนีลส์ว่าเขาจะไม่ขยับเขยื้อนไปจากฉากนั้นๆ เว้นแต่เขาจะยินดีกับมันแล้ว แล้วคุณก็ต้องถามตัวเองว่า ความยินดีของเขาคืออะไร มันเหมือนกับความยินดีของผมรึเปล่า แต่เขาเป็นคนฉลาดจริงๆ และเขาก็เป็นผู้กำกับที่วิเศษสุด เขาเป็นคนที่ดื้อรั้น เหมือนสุนัขที่กัดกระดูกไม่ปล่อย เขาฝังเขี้ยวลงไปในหนังเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว และเขาก็ใช้ชีวิตอยู่กับมันมาประมาณปีหนึ่งแล้ว เขาเป็นคนที่ละเอียดมากด้วยครับ”
“นีลส์น่าทึ่งในทุกเรื่องเลยครับ” ฟาร์เรลกล่าวเน้น “ใน DEAD MAN DOWN เขาเลือกที่จะทำงานกับผู้กำกับภาพพอล คาเมรอน นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมได้ร่วมงานกับพอล ผมเคยทำงานกับเขามาก่อนใน ‘Total Recall’ และเขาก็เหลือเชื่อเลย เขาได้ใช้แสงถ่ายทอดอารมณ์ออกมาด้วยรายละเอียดและความมีชีวิตชีวา ผมกังวลตอนที่อ่านบทว่าถ้ามันดูเหมือนดรามาเกินไปหรือสกปรกเกินไป มันก็อาจจะเหมือนกับเอพิโซดจากซีรีส์ตำรวจ แต่ผมรู้สึกเหมือนว่า DEAD MAN DOWN มีโอกาสที่จะซึมซับไปด้วยความเจ็บปวด ความสุข ความหวัง ความผิดพลั้ง ความคาดหวังและความผิดหวังทั้งหมดทั้งมวลในชีวิต แต่มันก็สามารถถูกยกระดับขึ้นมาได้และขับเน้นบางเรื่องได้ มันอาจจะสร้างความรู้สึกที่ลึกลับหรือเหมือนกับเทพนิยายให้กับหนังได้ ไอเดียนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากความสัมพันธ์ระหว่างวิคเตอร์และเบียทริซบนระเบียง และพอลก็ให้แสงมันในแบบที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่เหมือนกับ ‘Pride and Glory’ ดรามาตำรวจที่ผมเคยเล่นเมื่อหลายปีก่อนในนิวยอร์ก มันมืดหม่นมากๆ และผู้กำกับภาพดีแคลน ควินน์ก็ให้แสงมันอย่างวิเศษมาก แต่มันก็เฉพาะเจาะจงมากๆ มืดหม่นมากๆ และหนักอึ้งมากๆ ด้วย แต่หนังเรื่องนี้จะมีแสงมากกว่าหน่อย แม้ว่าธีมของเรื่องจะค่อนข้างหนักและถูกสำรวจอย่างอ้อมๆ มันก็ยังคงมีแสงสว่างอยู่ แสงที่ใช้มีความรู้สึกเหมือนจะเย้ายวนครับ ผมไม่อยากจะบอกว่ามันเหมือนกับ `In the Mood for Love’ แต่ผมรู้ว่านีลส์ดูหนังเรื่องนั้นแล้วยืมธีมแสงของมันมานิดๆ น่ะครับ”
“นีลส์วิเศษสุดครับ” ฟาร์เรลกล่าวอย่างตื่นเต้น “คำสั่งที่เขาสั่งคุณเป็นอะไรที่พิเศษสุด ผู้กำกับบางคนจะปล่อยคุณตามสบายและไปกังวลกับเรื่องของตำแหน่ง เฟรม การเคลื่อนไหวของกล้อง และการเล่าเรื่อง รวมถึงการลำดับภาพมากกว่า ถ้ามือลำดับภาพอยู่ในกองถ่ายด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องวิเศษสุดและสำคัญจริงๆ แต่นีลส์เป็นผู้กำกับที่แม้ว่าเขาจะกังวลกับเรื่องทั้งหมดข้างต้น เขาก็นำเสนอแนวทางการกำกับที่ตรงไปตรงมาและน่าสนใจ รวมทั้งเต็มไปด้วยรายละเอียดจริงๆ ด้วย ดังนั้น ถ้าฉากนั้นๆ ไปในทิศทางหนึ่งๆ เขาก็จะเข้ามาแล้วขอให้คุณเปลี่ยนความคิด 180 องศาแล้วให้คุณแสดงอีกแบบหนึ่งดู ซึ่งผมก็ต้องถามเสมอว่า ทำไม ทำไมและทำไม เขาพยายามจะใส่แสงเข้าไปในเรื่องให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะธีมมันค่อนข้างจะมืดหม่น เขาก็เลยพยายามจะใส่แสง รวมถึงความลื่นไหล ที่ไม่ให้มีการติดอยู่กับอารมณ์แบบใดแบบหนึ่ง แต่ให้มีแท่งแสงทิ่มแทงเข้ามาในเรื่องให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ”
“แต่สิ่งที่นีลส์กังวลเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดคือปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งหมด” ฟาร์เรลกล่าวย้ำ “ผมหมายถึงแน่นอนว่าเขาควรจะกังวลเรื่องนี้เพราะเขาเป็นผู้กำกับ แต่เขาหมกมุ่นกับปฏิสัมพันธ์และพฤติกรรมระหว่างตัวละครทั้งหมดจริงๆ และคุณก็มักจะไม่เจอกับการใส่ใจในรายละเอียดพวกนั้นมากขนาดนี้ มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นครับ ผมหมายถึงนี่เป็นการถ่ายทำ 43 วัน และก็มีอะไรต้องทำมากมายในช่วงเวลาเหล่านั้น มันมีฉากใหญ่ๆ สามฉาก ที่หรูหราจริงๆ และกว่าจะสร้างมันขึ้นมาได้ก็แสนสาหัส แล้วมันก็มีการย้ายโลเกชันหลายครั้ง ภายในระยะเวลาจำกัด แต่แม้ว่าจะมีแรงกดดันที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อย ผมไม่ได้รู้สึกเลยว่าแง่มุมสร้างสรรค์ของเรื่องถูกลดทอนไป และมันก็แสดงให้เห็นถึงวิธีการทำงานที่ค่อนข้างจะแน่วแน่ของเขาในการทำความเข้าใจกับสิ่งที่สำคัญในหนังเรื่องนี้และสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อถ่ายทอดมันออกมา”
เปิดใจนักแสดง…นูมิ ราเพซ
นูมิ ราเพซกระโจนเข้าใส่โอกาสที่จะรับบทเบียทริซใน DEAD MAN DOWN “สิ่งที่ทำให้ฉันสนใจโปรเจ็กต์นี้ในตอนแรกคือบทค่ะ” ราเพซกล่าว “ตอนที่ฉันได้อ่านบทครั้งแรก มันโดนใจฉันอย่างจังเลย ฉันอึ้งเลยค่ะ สำหรับฉัน มันเป็นสุดยอดเรื่องราวความรัก ระหว่างคนหลงทางสองคน แล้วฉันก็ได้ยินว่านีลส์ อาร์เดน ออพเลฟจะกำกับมัน แต่ฉันไม่เชื่ออะไรทั้งนั้นค่ะ ฉันต้องตรวจสอบให้แน่ใจอีกที ฉันก็เลยส่งข้อความไปถามเขาว่ามันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า และเขาก็ตอบว่า ‘ใช่’ ฉันก็เลยบอกว่า พระเจ้า เยี่ยมเลย ฉันชอบบทหนังเรื่องนี้นะ แล้วเราก็เริ่มส่งข้อความถึงกันเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ แล้วเขาก็บอกว่าเขาอยากให้โคลิน ฟาร์เรลมารับบทวิคเตอร์ ซึ่งก็ฟังดูเยี่ยม ไม่นานนัก เขาก็อยากให้โคลินกับฉันได้พบกัน และเราก็พบกันในแอลเอ ประมาณแปดเดือนก่อนที่เราจะเริ่มถ่ายทำ ฉันกับโคลินคุยกันถึงเรื่องราวนี้เล็กน้อย เพื่อทำความรู้จักกัน และฉันก็คิดว่าเรารู้สึกถึงความผูกพันบางอย่างระหว่างกันตั้งแต่การพบกันครั้งแรกนั้นค่ะ”
“แล้วฉันก็เริ่มนึกถึงเรื่องราวนี้และตัวละครเหล่านี้จนไม่อาจปล่อยวางได้” ราเพซบอก “ฉันคิดว่ามันเป็นหนึ่งในปฏิกิริยาที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดของฉันที่มีต่อบทหนังเรื่องหนึ่งๆ ฉันคิดว่าฉันตกหลุมรักเรื่องราวนี้ และฉันก็ยังตกหลุมรักมันตลอดระยะเวลาถ่ายทำ แม้ว่าเราจะทำงานกันยาวนาน และบางฉากก็ถ่ายทำยากทีเดียว ฉันก็ยังรักเรื่องราวนี้จริงๆ ค่ะ”
บทเรื่องนี้มีอะไรที่สะดุดใจและทำให้ราเพซรู้สึกเชื่อมโยงกับมันอย่างลึกซึ้งล่ะ? “มันเป็นเรื่องราวคู่ขนานสองเรื่องค่ะ” ราเพซอธิบาย “มันมีสถานการณ์ชีวิตสองสถานการณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างเบียทริซ ตัวละครของฉันและวิคเตอร์ ตัวละครของโคลิน และฉันก็ตอบสนองกับลักษณะที่พวกเขาปฏิสัมพันธ์กันและลักษณะที่พวกเขาเปลี่ยนแปลงการเดินทางของกันและกัน ฉันโตขึ้นมากับการดูหนังอย่าง `True Romance,’ `Natural Born Killers’ และ `Thelma and Louise’ ที่มีเรื่องราวความสัมพันธ์บิดเบี้ยว ที่ผูกพันกันอย่างลึกซึ้งระหว่างคนที่ยืนอยู่บนขอบเหว และฉันคิดว่าบทหนังเรื่องนี้มีพลังงานและจิตวิญญาณที่ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องราวความรักอมตะพวกนั้น ที่ทั้งรุนแรงและทารุณ แต่ก็ยังมีแสงสว่างในนั้น มันคือการผสมผสานสิ่งเหล่านั้นและความสัมพันธ์ระหว่างวิคเตอร์และเบียทริซนั่นเองค่ะ ฉันคิดว่ามันงดงามมาก ในแง่หนึ่ง พวกเขาเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่พวกเขามีอะไรบางอย่างที่เหมือนกันและฉันก็คิดว่ามันงดงามทีเดียวค่ะ”
“เบียทริซ ตัวละครของฉันมีแม่เป็นชาวฝรั่งเศส ที่รับบทโดยอิซาเบล ฮัพเพิร์ท และพ่อชาวอเมริกัน ที่ออกจากบ้านไปตั้งแต่เธอเป็นเด็กหลังจากที่พวกเขาย้ายจากฝรั่งเศสมานิวยอร์ก” ราเพซอธิบาย “มันก็เลยมีแต่เบียทริซ ที่มีแง่มุมแบบเด็กยังไม่โต และแม่ของเธอตั้งแต่นั้นมา พวกเธอเหมือนกับใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ฟองสบู่นี้ มันเหมือนเวลาในอพาร์ทเมนต์ของพวกเธอถูกแช่แข็ง พวกเธอมีความสัมพันธ์ที่เกือบจะเหมือนการพึ่งพาซึ่งกันและกัน พวกเธอพูดต่อประโยคกันได้ เป็นเหมือนพี่น้อง หรือเพื่อนสนิทมากกว่าแม่กับลูกสาว และสำหรับพวกเธอแล้ว สิ่งสำคัญคือความงดงาม การหาความงดงามในชีวิตและมีความสุขกับชีวิตน่ะค่ะ”
“และแล้วก็มีบางสิ่งที่ค่อนข้างจะรุนแรงเกิดขึ้นกับเบียทริซ และมันก็เปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของเธอ” ราเพซกล่าว “มันเหมือนว่าชีวิตเธอหยุดลงในวันนั้น และนับตั้งแต่นั้นมา เธอก็พยายามจะหาหนทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม เธอพยายามหาหนทางที่จะรับมือมัน ที่จะยอมรับมัน ที่จะหาเครื่องมือบางอย่างมารับมือกับหายนะน่าเศร้าที่เกิดขึ้นกับเธอ และฉันคิดว่าในตอนนั้น มีบางสิ่งเกิดขึ้นระหว่างเบียทริซและแม่ของเธอ พวกเธอไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสนิทสนมกันได้เหมือนเดิม เบียทริซไม่เล่าให้แม่ฟังอีกแล้วว่าเธอคิดอะไรในใจบ้าง ดังนั้น ความโดดเดี่ยวของเธอก็เลยเพิ่มพูนขึ้นทุกวันๆ จนถึงช่วงเวลาหนึ่งในหนังค่ะ”
“เบียทริซและแม่ของเธอเหมือนเป็นผู้อพยพค่ะ” ราเพซอธิบาย “อย่างน้อยที่สุดแม่ของเธอก็เหมือนอย่างนั้น ถ้าคุณเป็นเด็กที่มาประเทศใหม่ คุณก็อยากจะทำตัวกลมกลืน อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา แต่ในขณะเดียวกัน บ้านของพวกเขาจะเหมือนเป็นประเทศเอกราช ฉันคิดว่ามีแง่มุมหนึ่งของเบียทริซที่อยากจะโบยบิน ที่จะจากลา ที่จะทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ผูกพันและใกล้ชิดกับแม่ของเธอมากๆ ฉันไม่แน่ใจว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่เหมาะสม 100% รึเปล่า แต่พวกเธอรักกันและกันอย่างลึกซึ้ง พวกเธอผูกพันกันมาก และมันก็มีเรื่องของความเป็นผู้หญิง ความเป็นคนสวย เซ็กซี มีเสน่ห์ด้วย ฉันคิดว่าแม่ของเบียทริซ ที่รับบทโดยอิซาเบล ฮัพเพิร์ทเป็นคนที่น่าทึ่งและเซ็กซีมากๆ และเธอก็มีความเข้มแข็งที่เปราะบางด้วย ดังนั้น การเป็นลูกสาวของเธอก็คงเป็นเรื่องยากแน่ๆ ค่ะ”
“ฉันคิดว่าส่วนใหญ่ของความสัมพันธ์ระหว่างเบียทริซและแม่ของเธอเป็นสิ่งที่อิซาเบลและฉันพบร่วมกันค่ะ” ราเพซกล่าว “มันเกิดขึ้นกับฉันตอนที่ฉันทำงานร่วมกับเธอ ฉันไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลยก่อนหน้าที่เราจะก้าวเข้าไปในฉากและเริ่มทำงานด้วยกันน่ะค่ะ”
“ในตอนที่เบียทริซพาวิคเตอร์มาดินเนอร์ที่อพาร์ทเมนต์ของเธอ วาเลนไทน์อยากให้วิคเตอร์ได้เห็นว่าเธอสวยขนาดไหน” ราเพซบอก “ดังนั้น แม้ว่าเธอจะอยากให้เบียทริซออกไปข้างนอก อยากให้เธอหาหนทางกลับเข้าร่องเข้ารอย กลับมามีชีวิตอีกครั้ง อยากให้เธอเป็นผู้ใหญ่ ให้เธอหาสถานการณ์ของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน วาเลนไทน์ยังอยากจะเป็นคนสำคัญในชีวิตเบียทริซ และเธอก็อยากให้ทุกคนได้เห็นว่าตัวเธอเองยังเป็นคนพิเศษอยู่ บางที เธออาจจะยังมองเห็นตัวเองว่าเป็นหญิงสาวที่จากปารีสมาเมื่อหลายปีก่อนก็ได้ มันเกือบเหมือนว่าเบียทริซและแม่ของเธอไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ มันเหมือนช่วงเวลาที่ถูกตรึงเอาไว้ และพวกเธอก็ไม่ได้ขยับไปในทิศทางไหนทั้งสิ้นก่อนที่วิคเตอร์จะเข้ามาในโลกของพวกเธอน่ะค่ะ”
“มันเกือบเหมือนว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นตำนานที่โหดร้าย ซึ่งฉันก็ชอบนะคะ” ราเพซเล่า “และเบียทริซก็เปลี่ยนแปลงจากการเป็นเด็กสาวหวาน มีความเป็นเด็กสุดๆ ไปเป็นคนที่เข้มแข็ง มีความเป็นผู้ใหญ่มากๆ และรับรู้ถึงทุกสิ่งรอบตัวเธออย่างมาก เหมือนกับเธอเป็นเอลฟ์ เอลฟ์ที่ถูกทำร้ายมาก่อนน่ะค่ะ”
“แล้วคืนหนึ่ง เธอก็เห็นวิคเตอร์อยู่ฝั่งตรงข้าม” ราเพซกล่าวต่อ “และฉันคิดว่าเธอรู้สึกถึงความเชื่อมโยงอะไรบางอย่างกับเขาเพราะเธอเห็นได้ชัดเจนว่าเขาก็เหงาเหมือนกัน มีแค่เขายืนอยู่ตรงนั้น แล้วมันก็เป็นเหมือนความหมกมุ่นสำหรับเธอ ฉันคิดว่าเธอมองเขา ศึกษาเขา ประกอบชิ้นส่วนปริศนาเข้าด้วยกัน พยายามจะปะติดปะต่อปริศนาที่ว่าชายคนนี้เป็นใครน่ะค่ะ”
“หลังจากเย็นนั้น เบียทริซและวิคเตอร์ถึงเริ่มที่จะทำความรู้จักกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป” ราเพซเล่าต่อ “และเธอก็แปลกใจเล็กน้อยที่เขามีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อเธอ วันหนึ่ง เธอก็เลยตามเขาไป และเขาก็ได้ไปพัวพันกับสถานการณ์ตึงเครียดที่วุ่นวายและรุนแรงมากๆ แล้วเธอก็ได้ช่วยเขาไว้ด้วยรถของเธอ เขากระโดดขึ้นรถและพวกเขาก็เริ่มกลายเป็นเพื่อนกัน พวกเขาเริ่มทำงานร่วมกันในการแก้แค้นของอีกฝ่าย และแล้วเธอก็ตกหลุมรักเขาค่ะ”
สำหรับการทำงานร่วมกับโคลิน ฟาร์เรล ราเพซมองว่ามันเป็นประสบการณ์ที่พิเศษสุด “ฉันรักการได้ทำงานร่วมกับโคลินค่ะ” ราเพซกล่าวอย่างตื่นเต้น “ระหว่างการถ่ายทำ เราส่งข้อความหากันในกลางดึกและเกือบทุกเช้าเกี่ยวกับฉากต่างๆ ‘ถ้าฉันพูดแบบนี้ล่ะ?’ หรือ ‘คุณคิดยังไงกับการแสดงฉากนี้แบบนั้นแทนล่ะ?’ มันเหมือนสมองเราทำงานกันแบบไฮสปีดค่ะ ฉันคิดว่าพลังงานของเราค่อนข้างจะคล้ายคลึงกันในแง่นั้น เราไม่เคยหยุดเลย เราอยู่ในโลกนี้ ใช้ชีวิตในนี้ หายใจเป็นมัน คิดถึงมัน ฉันถึงขั้นฝันว่าฉันกับโคลินกำลังขับรถในเมืองที่มีไฟลุกไหม้ โดยที่เขาขับเหมือนกับคนบ้า และฉันก็นั่งข้างๆ เขาคิดว่า ‘ฉันไม่เป็นไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็ไม่เป็นไรเพราะฉันอยู่ข้างๆ เขา’ ฉันเลยคิดว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเรื่องของเราสองคนมากๆ ค่ะ ฉันอยากจะแสดงทุกฉากกับเขา เรามีฉากที่ยาวมากๆ ประมาณเก้านาที และเหมือนกับว่าฉันลืมโลกรอบตัวเราไปเลย มันมีแค่เราสองคนเท่านั้นค่ะ”
“และโคลินก็ทั้งอ่อนไหว มีสมาธิ มุ่งมั่นและมีอารมณ์รุนแรงเหลือเกิน และเขาก็เปิดกว้าง โดยไม่ปิดกั้นด้วยค่ะ” ราเพซอธิบาย “มันมีแค่เขากับฉัน…และนั่นก็เป็นสิ่งที่งดงามที่สุดเท่าที่คุณจะสัมผัสได้ในฐานะนักแสดง การมีความรู้สึกเชื่อมโยงแบบนั้น มันเกิดขึ้นระหว่างเราและสิ่งอื่นก็ถูกกันออกไป และฉันก็ชอบการมีความรู้สึกแบบนั้นกับเขา และเขาก็ไม่มีความถือตัวเลยค่ะ มันมีแค่เรื่องงานเท่านั้น และเขาก็ทำงานหนักมาก ฉันประทับใจและทึ่งในตัวเขาจริงๆ ค่ะ”
“ฉันกับโคลินไม่ได้เตรียมฉากของเราล่วงหน้าหรือพูดถึงมันมากนัก” ราเพซเล่า “ฉันคิดว่าเราทั้งคู่ต่างก็มีมันในตัวอยู่แล้ว แล้วพอเราก้าวไปในฉาก สิ่งต่างๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น ฉันมักพยายามเตรียมตัวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้รู้เกี่ยวกับตัวละครให้ได้มากที่สุด แล้วค่อยต่อยอดจากตรงนั้น ไม่ใช่เป็นการเรียบเรียง วางแผน เพื่อควบคุมทุกอย่าง แต่เป็นการพยายามทำตัวกล้าพอที่จะก้าวเข้าไปและเปิดตัวเองออก และพูดว่า ‘โอเค วันนี้เราจะทำอะไรกัน?’ เพราะฉันไม่รู้เลยว่าเขาจะทำอะไร และฉันคิดว่าคุณไม่สามารถวางแผนมันได้จริงๆ หรอกค่ะ คุณไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ล่วงหน้ามากเกินไป เพราะคุณไม่รู้หรอกค่ะ คุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ และฉันคิดว่าเราสองคนคล้ายกันในแง่นั้น ในแง่ที่ว่าเราอยากจะทดลองสิ่งต่างๆ น่ะค่ะ”
“เราไม่ได้ซ้อมกันจริงๆ จังๆ ในช่วงสี่วันแรกนั้นในลอสแองเจลิส” ราเพซกล่าว “เราแค่พูดกันถึงเรื่องตัวละครและฉากต่างๆ แต่ภายหลัง ฉันก็อีเมลหามือเขียนบทโจเอล วีแมนถึงฉากที่ฉันอยากจะเพิ่มเติมอะไรบางอย่าง…แล้วเขาก็อีเมลฉากที่เขาเขียนใหม่มาให้ฉัน ซึ่งถ่ายทอดสิ่งที่ฉันต้องการและสิ่งที่ฉันกำลังคิดได้พอดี ความสัมพันธ์ในการทำงานแบบนั้น ที่มีการค้นหาหรือสำรวจสิ่งต่างๆ เริ่มต้นในแอลเอ ตอนที่เราทุกคนนั่งลงคุยกันและเริ่มฝันถึงตอนที่เราก้าวเข้าสู่โลกของหนังเรื่องนี้ด้วยกัน ฉันเลยรู้สึกว่าการทำงานในหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่เป็นส่วนตัวมากๆ”
“และแน่นอนว่ากับนีลส์ ด้วยความที่เราเคยร่วมงานกันมาก่อน เขาก็รู้ว่าฉันพยายามจะแสดงให้ลึกที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ และฉันก็ค่อนข้างจะดื้อทีเดียว” ราเพซอธิบาย “ตอนที่ฉันคิดว่าฉันรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ ตอนที่ฉันรู้สึกเหมือนฉันมีคำบอกใบ้บางอย่าง ฉันก็รู้ว่าฉันมีกุญแจไขคนๆ นี้ มีกุญแจไขหัวใจของเขา แล้วฉันก็รู้ว่าฉันต้องลอง ฉันรู้ว่าฉันจะต้องเกลี้ยกล่อมนีลส์ ให้เขาเชื่ออย่างฉัน และฉันก็คิดว่าพวกเราสี่คนต่างก็เป็นแบบนี้ ทั้งนีลส์, ฉัน, โจเอลและโคลิน จริงๆ แล้วมันเหลือเชื่อเลยนะคะ และฉันก็รู้ในตอนที่เรากำลังถ่ายทำหนังเรื่องนี้ แม้ว่าฉันจะไม่เคยมองตัวเองและกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ก็จริง แต่สัญชาตญาณของฉันก็บอกฉันว่าเรามาถูกทางแล้วน่ะค่ะ”
สำหรับการร่วมงานกับผู้กำกับนีลส์ อาร์เดน ออพเลฟอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาและราเพซมีความสัมพันธ์ที่พิเศษ “นีลส์บอกว่าฉันเป็นเหมือนระเบิดน้อยหน่า เพราะพลังงานของฉันมันพลุ่งพล่านเหลือเกิน แต่ฉันก็จะต้องโยนคำพูดนี้กลับไปหาเขาค่ะ” ราเพซกล่าวกลั้วหัวเราะ “เขาเป็นเหมือนระเบิดน้อยหน่าค่ะ เขามีพลังงานที่น่าทึ่งและมีอารมณ์เข้มข้นมากๆ เขามีอารมณ์ที่รุนแรง และอาจจะใช้อารมณ์กับหลายเรื่องมากๆ แต่เขาก็ทุ่มเทให้กับหนังเรื่องนี้ 150% เสมอ มันเหมือนกับว่าเขาประนีประนอมไม่ได้ มันไม่มีตัวเลือก นั่นเป็นวิธีการทำงานของเขาค่ะ บางครั้ง เขาก็มองหาบางสิ่ง และเขาก็ไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้ ฉันก็เลยจะบอกว่าฉันคิดว่าฉันรู้ว่ามันหมายถึงอะไร แล้วฉันก็จะแสดงซักเวอร์ชันหนึ่งออกมา แล้วเขาก็ ‘ใช่ ใช่เลย!’ มีครั้งหนึ่ง เขาเดินมาหาฉันด้วยน้ำตาคลอเบ้า เขาจูบฉัน กอดฉันแล้วบอกว่า ‘ใช่เลย ใช่เลยล่ะ’ เขาไม่เคยลังเลอะไรเลย เขายืนอยู่ตรงนั้นใจกลางภูเขาไฟค่ะ”
“ฉันชอบการทำงานกับนีลส์เพราะฉันไม่รู้เลยว่าเขาจะพาฉันไปไหน หรือเราจะไปลงเอยที่ไหนในตอนที่ถ่ายทำเสร็จ” ราเพซอธิบาย “แต่ฉันรู้สึกเหมือนว่าพลังงานของเขาเป็นอะไรในแง่บวกเสมอ แม้ว่าเขาจะมีพลังงานที่แข็งแกร่ง และเขาก็อาจจะรู้สึกโกรธหรืออะไรก็ตาม แต่มันก็เป็นไปด้วยเหตุผลที่ดีเสมอ ที่มันเป็นแบบนั้นเพราะเขาอยากจะสร้างหนังที่วิเศษสุดและมหัศจรรย์ และความสัมพันธ์ของเราก็ตรงไปตรงมาและซื่อตรงมากๆ เราไม่ปกป้องกันและกันในความสัมพันธ์ด้านการทำงานของเราเพราะเรารู้ว่าเรามีวิสัยทัศน์เดียวกัน และเราก็รู้ว่าเราทั้งต่างก็ทำงานเพื่อทำในสิ่งที่โดดเด่น และฉันก็คิดว่าเราเริ่มต้นความสัมพันธ์แบบนั้นในตอนที่เราทำงานใน `The Girl with the Dragon Tattoo’ ค่ะ”
“และกับนีลส์ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองมีพื้นที่ในการแสดงความคิดของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่” ราเพซให้ความเห็น “มีฉากหนึ่งที่ฉันกับโคลินอยากได้ในบท คือพวกเขาต้องรีไรท์มันใหม่เพราะมันยาวเกินไป แล้วโคลินก็มาหาฉันแล้วบอกว่า ‘คุณจำฉากนั้นที่มีเราอยู่ในรถ ด้านนอกบ้านคุณได้มั้ย เราอยากได้มันกลับมานะ’ และฉันก็บอกว่า ‘ใช่ค่ะ’ เราคิดเหมือนกันค่ะ และนีลส์ก็เปิดกว้างมากๆ ฉันคิดว่าเขาอยากให้นักแสดงมามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ฉันก็เลยคิดว่าเขาได้สร้างพื้นที่ให้กับเราและเขาก็เปิดโอกาสให้กับฉันเสมอ เผื่อว่าฉันจะอยากแสดงอีกเทคหรือลองทำอย่างอื่น และก็มีบางสิ่งที่ฉันเปลี่ยนแปลงไปมากจากที่อยู่ในบทตั้งแต่ตอนแรก เช่นเรื่องของพลังงานและอารมณ์ของตัวละครของฉันในตอนนั้นน่ะค่ะ ฉันคิดว่านีลส์เชื่อใจฉันเพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการร่วมงานกันระหว่างเรา เราไม่ต้องเจรจาต่อรองเลยค่ะ”
“ทีมนักแสดงใน DEAD MAN DOWN ที่มีโดมินิค, เทอร์เรนซ์, อิซาเบล, โคลินและฉันก็เป็นเหมือนทีมนักแสดงในฝันค่ะ” ราเพซกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ฉันดีใจมากๆ ตอนที่นีลส์ส่งข้อความหาฉันว่าเราได้ตัวโดมินิค คูเปอร์ หรือเราได้เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ดมา ซึ่งแต่ละครั้งฉันก็จะบอกว่า ‘โอเค เจ๋งเลย!’ และพอเขากำลังติดต่อกับอิซาเบล ฮัพเพิร์ท ฉันก็เขียนอีเมลไปหาเธอด้วยตัวเอง ก่อนหน้าที่เธอจะตอบตกลง ว่าฉันนับถือเธอและชื่นชมเธอมากแค่ไหน เธอเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับฉันจริงๆ และฉันก็ดูหนังของเธอมาหลายปีมากๆ แล้ว ฉันก็เลยบอกเธอไปว่า ‘ถ้าคุณแสดงหนังเรื่องนี้กับฉัน ฉันจะดีใจมากๆ และมันคงเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ฉันรู้ว่าเราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาวที่งดงามและผิดแผกไปทางอารมณ์ได้’ แล้วพอนีลส์ส่งข้อความมาหาฉันบอกว่าเธอตกลง ฉันก็บอกไปว่า ‘เยี่ยมเลย!’ น่ะค่ะ”
“และทุกคนก็จริงจังกับการสร้างหนังเรื่องนี้มากๆ” ราเพซกล่าวต่อ “มันเหมือนกับเป็นวิธีการทำงานที่บริสุทธิ์ แบบไม่ป้องกันตัวเองเลย มันเป็นเรื่องของฉากล้วนๆ ของการพยายามจะถ่ายทอดแก่นแท้ของฉาก สิ่งที่เราต้องทำ สิ่งที่ฉากบอกเกี่ยวกับคนพวกนี้ และการหาวิธีทำให้ได้แบบนั้นบางครั้งก็ให้ความรู้สึกเหมือนว่าคุณต้องโหดกับตัวเองและกระโจนเข้าไปในนั้นเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนใหญ่แล้ว ฉันจะรู้สึกกลัวค่ะ ฉันไม่รู้อะไรเลย เหมือนว่าฉันไม่รู้ว่าวันนี้คนๆ นี้เป็นใคร ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ฉันไม่รู้ว่านูมิเป็นใคร บางครั้ง ฉันก็รู้สึกหลงทาง และทันทีที่ฉันทำงาน ทันทีที่ฉันก้าวเข้าไปในนั้น และเราเริ่มถ่ายทำฉากนั้นๆ มันเหมือนหมอกควันที่ฉันรู้สึกว่าห้อมล้อมตัวฉันอยู่มันก็หายไป และหนังก็สว่างและชัดเจนขึ้น ดังนั้น มันก็เป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถคาดเดาหรือวางแผนได้เลยน่ะค่ะ”
เปิดใจนักแสดงถึงผู้กำกับ
สิ่งที่ทำให้เทอร์เรนซ์ตกลงที่จะทำงานในโปรเจ็กต์นี้และสวมบทตัวละครที่แตกต่างจากบทที่เขาเคยเล่นมาก่อนน่ะหรือ? “มันมีองค์ประกอบเย้ายวนใจหลักๆ สามประการที่ทำให้ผมอยากจะทำงานในหนังเรื่องนี้ครับ” โฮเวิร์ดอธิบาย “ประการแรกคือการได้ร่วมงานกับโคลิน ฟาร์เรลอีกครั้ง เราได้แสดงหนังเรื่อง ‘Hart’s War’ กับบรูซ วิลลิสในปี 2000 และมันก็มีผลที่น่าทึ่งมากสำหรับผม การได้เห็นโคลินพัฒนาตัวละครของเขาและความสามารถของเขาที่ไม่เพียงแต่การเปลี่ยนตัวเองเป็นตัวละครเท่านั้น แต่เขายังสามารถเผยถึงเลเยอร์ต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวละครออกมาได้ด้วย เขาไม่ได้นึกถึงแค่ตัวเองเท่านั้น เขายังมีไอเดียที่วิเศษสุดของการได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ของทุกคนด้วยกัน เหมือนวงซิมโฟนี แทนที่จะเป็นแค่การเล่นไวโอลิน เขากลับนึกถึงออร์เคสตราทั้งคณะในใจ ผมก็เลยคิดถึงการได้ร่วมงานกับเพื่อนผมอย่างมากเลย”
“อีกสิ่งหนึ่งคือนีลส์ อาร์เดน ออพเลฟ” โฮเวิร์ดกล่าวต่อ “เขาเป็นคนกำกับ `The Girl with the Dragon Tattoo’ ต้นฉบับในสวีเดน และเมื่อคุณพบคนที่มีสายตาเฉียบคมในเรื่องของจินตนาการและความสร้างสรรค์ คุณก็อยากมีโอกาสได้ร่วมงานกับเขา และเขาก็ทำงานในแบบที่เกือบจะเหมือนการสะกดจริง เพราะเขาบอกเล่าความจริงที่เรียบง่ายเหลือเกิน แต่การจัดวางตำแหน่งคนของเขาเพอร์เฟ็กต์เหลือเกิน ปกติแล้ว ผมไม่ค่อยได้ไปหาผู้กำกับเพื่อถามพวกเขาว่าผมควรจะทำอะไรในฉากนั้นๆ ดี แต่ผมทำแบบนั้นบ่อยกับนีลส์เพราะผมชื่นชมความคิดเห็นของเขาน่ะครับ”
“ประการที่สามคือผมเล่นบทคนดีมานานมากแล้ว” โฮเวิร์ดบอก “และบางครั้ง มันก็จำเป็นที่จะก้าวไปสู่ด้านมืดเมื่อดูว่าคุณเป็นใครในสถานการณ์อื่นๆ คำที่อธิบายถึงอัลฟองซ์ได้ดีที่สุดคือการอ้างถึง ‘The Criminal’ ของคาฮิล ยิบราน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มที่พยายามจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เขาพยายามจะไปโรงเรียน และถูกบอกว่าเขามีเงินไม่พอ เขาต้องหางาน แต่เขาก็หางานไม่ได้เพราะเขาไม่มีการศึกษา แล้วเขาก็ถูกทิ้งให้ต้องขอทาน แต่คนก็พูดว่า ‘คุณยังแข็งแรงอยู่ ไปหางานทำสิ’ เขาก็เลยไปลงเอยอยู่บนยอดเขาด้วยความรู้สึกโกรธ วันนั้นเอง เขาตัดสินใจว่าเขาจะเข้าไปในเมืองเพื่อเป็นอาชญากรที่ร้ายกาจที่สุดตลอดกาล เขาบอกว่า ‘ฉันเคาะประตูแล้ว แต่มันไม่เปิดต้อนรับฉัน ดังนั้น ตอนนี้ ฉันจะฉกฉวยทุกอย่างที่ฉันต้องการ ฉันจะกระชากคอโลกใบนี้และบีบเค้นเอาทุกอย่างที่มีค่าจากมัน’ มันเป็นความเห็นต่อมนุษยชาติที่น่าเศร้า ว่าการขาดความเมตตาเปลี่ยนให้คนดีมีเมตตากลายเป็นอาชญากรน่ะครับ”
“นั่นคืออัลฟองซ์” โฮเวิร์ดบอก “เขาไม่เริ่มต้นจากการเป็นเด็กแล้วบอกว่า ‘เอาล่ะ ฉันอยากฆ่านกพิราบ เขารักในหลายสิ่งหลายอย่าง สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่าง รู้สึกผิดหวัง และถูกบีบให้ต้องปกป้องตัวเอง และผลที่ได้ก็คือเขาลืมไปแล้วว่าโลกควรจะเป็นเหมือนชุมชนใหญ่ เขาเริ่มทำงานเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่เขาก็ไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ตัวจนกระทั่งเกือบจะจบเรื่อง ว่าเขาสูญเสียความฝันทั้งหมดของตัวเองไปแล้วน่ะครับ”
เปิดใจนักแสดง…โดมินิค คูเปอร์
โดมินิครู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมแสดงใน DEAD MAN DOWN ในบทของดาร์ซี “ผมกำลังหนักใจกับการตัดสินใจเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ถัดไปของผม และผมก็อ่านบทหนังมาหลายสิบเรื่องแล้ว” คูเปอร์เล่า “แล้ว DEAD MAN DOWN ก็เข้ามา ใกล้ๆ กับตอนที่มันจะเริ่มถ่ายทำ และผมก็รู้ทันทีเลย คนมักจะพูดกันถึงการที่คุณรู้ในตอนที่คุณอ่านไปแค่สองสามหน้าแรก แต่มันแทบไม่ได้เกิดขึ้นแบบนั้นเพราะคุณยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่บทหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนอากาศบริสุทธิ์ จู่ๆ มันก็เข้ามาและผมก็รู้เลยว่านี่คือหนังที่ผมตามหาและรอคอยอยู่”
“มันมีทุกอย่างที่ผมมองหาในหนังเรื่องหนึ่งๆ ที่ผมจะไปดูครับ” คูเปอร์กล่าวอย่างตื่นเต้น “คุณจะต้องมองดูบทแล้วถามว่า ‘ฉันจะนำอะไรมาสู่บทนี้ได้บ้าง ฉันมองเห็นตัวเองเป็นคนๆ นี้รึเปล่า ฉันจะช่วยเสริมเลเยอร์พิเศษเข้าไป เพื่อทำให้มันน่าสนใจได้มั้ย’ นอกจากนี้ มันยังเป็นเรื่องวิเศษสุดที่ได้เห็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นอย่างดี ที่มีการเปลี่ยนแปลง มีการเดินทาง และไปลงเอยในที่ที่แตกต่างจากจุดเริ่มต้นของเขาอย่างมากน่ะครับ”
“แล้วมันก็มีองค์ประกอบอื่นๆ อีกหลายอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ทั้งผู้กำกับ โคลิน นูมิและเทอร์เรนซ์ที่ร่วมทำงานในหนังเรื่องนี้” คูเปอร์บอก “พวกเขาเป็นนักแสดงและผู้กำกับที่ผมชื่นชมจริงๆ มันก็เลยเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ที่ตัวผมไม่ต้องหนักใจเลยที่จะบอกว่า ‘ตกลง’ มันชัดเจนมากๆ ครับ”
“มันเป็นบทที่มีบทพูดน้อยมากๆ และมันก็พูดในสิ่งที่มันต้องการจะพูดครับ” คูเปอร์ให้ความเห็น “มันแสดงออกทางภาพมากๆ และมันก็เหลือเชื่อที่ได้เห็นนีลส์เฉพาะเจาะจงกับเรื่องราวที่เขากำลังบอกเล่าเหลือเกิน บางครั้ง กับฉากพวกนี้ เขาก็มีแอ็กชันมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง มีซีเควนซ์แอ็กชันยากๆ เข้า และสิ่งที่ผมชื่นชมเกี่ยวกับวิธีการทำงานของนีลส์คือเขาไม่เคยปล่อยให้การแสดงปล่อยผ่านเลยไปโดยไม่ทดสอบเลยแม้ซักวินาทีเดียว เพราะท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในกองถ่าย ด้วยทุนที่ค่อนข้างต่ำและเวลาน้อยนิด มันมักจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ถูกพิจารณาเสมอ และมันก็เป็นเรื่องโล่งอกและความรู้สึกที่ปลอดภัยมากๆ ที่นีลส์จะมีตัวเลือกที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสิ่งที่เขาต้องการให้เราทำและความเข้าใจที่กระจ่างชัดที่เขามีต่อเรื่องราวที่เขาอยากจะบอกเล่า ซึ่งนั่นสำหรับผมแล้วเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมมากๆ เพราะคุณจะรู้สึกเหมือนว่าคุณผ่านกระบวนการอย่างหนึ่ง เหมือนว่าคุณกำลังทำงานอยู่ ในหนังมากกว่าในละครเวที ที่คุณจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากอยู่บ้าง ดังนั้น การได้มีการพูดคุยกัน ผ่านกระบวนการทางความคิด ก็ทำให้คุณรู้สึกเหมือนคุณบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของตัวเองแล้วครับ”
“เหตุผลที่ผมสนใจบทดาร์ซี” คูเปอร์อธิบาย “คือเขาเปิดเรื่องด้วยคำวิงวอนที่กระทบใจ เต็มไปด้วยอารมณ์และเปิดเผยต่อเพื่อนคนหนึ่ง เกี่ยวกับสถานการณ์เลวร้ายที่เขาเผชิญ ด้วยแฟนที่ทิ้งเขาไปและความต้องการที่จะทำให้ได้ตัวคนที่เขารักกลับคืนมา ในระหว่างที่เขาอุ้มลูกที่เพิ่งเกิดใหม่ ผู้ที่เขาถูกเกลี้ยกล่อมหรือชักจูงให้มีน่ะครับ ดังนั้น คุณก็จะเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงกลไกของคนๆ นี้ และเราก็ไม่รู้ว่าคุณอยู่ที่ไหนหรือคนพวกนี้เป็นใคร มันดูไม่เข้ากันเลย ลุคของคนพวกนี้ กับเด็กทารก ความย้อนแย้งของสิ่งที่พวกเขาพูดและสิ่งที่พวกเขาเป็นมันไม่เข้ากันเลย และผมก็ชอบซีเควนซ์เปิดตัวนั้น แล้วมันก็ค่อยเผยออกมาว่าพวกเขาเป็นใคร พวกเขาไม่ใช่คนดีเด่อะไรนักและพวกเขาก็สามารถทำเรื่องรุนแรงได้ และผมก็หวังว่าเมื่อคุณเข้าใจว่าความโกรธ ความต้องการและความสิ้นหวังนั้นมาจากไหน คุณจะเห็นใจคนๆ นี้บ้างน่ะครับ”
“และในความคิดเห็นของผม เขาก็เติบโตขึ้นมา” คูเปอร์ขยายความ “เขาเริ่มต้นจากการเป็นคนที่ค่อนข้างจะไร้เดียงสาและเห็นแก่ตัว ถูกครอบงำได้ง่ายมากๆ และเขาก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องมากนัก เขาอยากจะมีความสำคัญในแก๊งมากขึ้น โดยไม่รู้หรอกว่ามันจะอันตรายแค่ไหน ขณะที่เหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้น จู่ๆ เขาก็ต้องยิงหรืออาจจะต้องฆ่าคน ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้พร้อมทำเรื่องแบบนั้น แล้วเขาก็ได้ทำการสืบสวนเพราะเขาอยากจะช่วยเหลือหัวหน้าแก๊งนี้จริงๆ เขาอยากจะหาคำตอบให้กับบอสของเขาเพื่อที่เขาจะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น และพิสูจน์ตัวเองกับแฟนสาวที่ทิ้งเขาไป เพื่อจะดึงเธอกลับคืนมา เขาก็เลยมีเป้าหมายสูงสุดที่วิเศษสุด ผมชอบการมีเป้าหมายที่ชัดเจน กระจ่างชัดแบบนั้น แล้วทุกอย่างก็ระเบิดออก โลกของเขาเหมือนกับพังครืนรอบๆ ตัวเขา มันเป็นหายนะเลยครับ แต่เขาก็โตขึ้นและประสบความสำเร็จในตอนท้าย มันมีจุดหักมุมอย่างเหลือเชื่อในพล็อตที่ผมก็ชอบด้วยเหมือนกันครับ”
นอกจากนี้ คูเปอร์ยังชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างดาร์ซีกับวิคเตอร์อีกด้วย “คุณได้เห็นผู้ร้ายโฉดชั่วสองคนนั่งอยู่ในรถ คุยกันเรื่องที่ค่อนข้างจะสะเทือนอามณ์” คูเปอร์อธิบาย “มันก็เลยมีความตรงไปตรงมาระหว่างคนสองคน ที่ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่เปิดเผยตัวตนของทั้งคู่มากๆ มันมีความไว้วางใจที่วิเศษสุด ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ มีความห่วงใยกันจริงๆ พวกเขาเป็นเหมือนพี่น้องกันจริงๆ ซึ่งทำให้การสืบสวนของดาร์ซีและสิ่งที่เขาพบในตอนท้าย รวมทั้งการทรยศหักหลังที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องน่าเศร้ามากยิ่งขึ้น และผมก็หวังว่า มันจะมีผลกระทบต่อผู้ชมด้วยเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเหมือนแสงสว่าง ที่แยกจากความรักระหว่างเบียทริซและวิคเตอร์ และสิ่งที่มันพัฒนาเกิดขึ้นหลังจากนั้น คนพวกนี้เป็นเหมือนพี่น้องที่ห่วงใยกันและกันอย่างลึกซึ้ง และยอมทำทุกอย่างเพื่อกันและกัน และพวกเขาก็ถูกผลักดันไปถึงจุดที่พวกเขาควรจะกำจัดอีกฝ่าย แต่จริงๆ แล้ว พวกเขาเหมือนกับช่วยอีกฝ่ายเอาไว้ครับ”
“มันมีช่วงเวลาเบาๆ และช่วงเวลาเดียวที่มีเสียงหัวเราะก็เกิดจากพวกเขานี่แหละครับ” คูเปอร์กล่าวเสริม “แม้ว่าผมคิดว่าดาร์ซีจะเป็นคนแนะนำวิคเตอร์เข้าแก๊ง เขาก็อยู่ในแก๊งนานกว่าหน่อยเท่านั้นเอง แต่ผมคิดว่าเขาพยายามจะทำให้วิคเตอร์ประทับใจเสมอ และเขาก็ประทับใจกับวิคเตอร์ด้วย ผมคิดว่าดาร์ซีรู้ว่าเขาไม่มีวันจะได้รู้จักเขาหรือเข้าใจเขา แต่ดาร์ซีเป็นคนที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไปด้วยสิ่งที่เขาค้นพบ ซึ่งมันทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ เขาจะต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าจะเปิดโปงคนที่เขารักอย่างเหลือเกินรึเปล่า”
“มันมีความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นมาได้อย่างดีมากๆ ในหนังเรื่องนี้” คูเปอร์บอก “และคุณก็จะเชื่อในไดอะล็อคระหว่างคนพวกนี้จริงๆ แม้ว่าโดยปกติแล้ว ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องยากมากๆ ในการเขียนถึงคนที่เป็นแก๊งสเตอร์ เพราะผมพบว่ามันเป็นเรื่องยากทีเดียวที่จะทำความรู้จักกับคนพวกนี้ แม้ว่าพวกเขาจะยังมีอยู่จริงก็ตาม แต่พวกเขาก็มีหัวใจครับ พวกเขาอาจจะเป็นแก๊งสเตอร์นิวยอร์กกลุ่มสุดท้ายก็ได้ แต่พวกเขามีอยู่จริง สิ่งที่งดงามเกี่ยวกับบทหนังเรื่องนี้คือมันทลายความคิดหรือคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมของแก๊งสเตอร์ รวมถึงไอเดียของเราในตอนที่เราโตขึ้นว่าเรารู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไร คนพวกนี้แตกต่างออกไปอย่างมากเพราะคุณจะได้สัมผัสถึงพวกเขาในฐานะคนจริงๆ ซึ่งผมชอบมากครับ”
สำหรับการร่วมงานกับโคลิน ฟาร์เรล คูเปอร์มีความสุขกับประสบการณ์นี้อย่างยิ่งและมีแต่คำชื่นชมสูงสุดให้กับนักแสดงผู้นี้ “ก่อนหน้าที่ผมจะร่วมงานกับโคลิน ผมได้ยินแต่เรื่องดีๆ เกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมามากๆ” คูเปอร์เล่า “คนชื่นชอบการได้ร่วมงานกบเขา และผมก็รู้สึกอย่างเดียวกันเมื่อได้ร่วมงานกับเขาใน DEAD MAN DOWN เขาเป็นคนพิเศษสุด เขาอยากจะพูดถึงสิ่งต่างๆ ให้ละเอียดและอยากจะคุยถึงแต่ละฉาก เขามักจะคอยระแวดระวัง เพื่อทำให้แน่ใจว่าเราจะไม่พลาดอะไรซักอย่าง ทุกอย่างเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับเขา และเขาก็นำทุกสิ่งได้ดีมากๆ ซึ่งผมคิดว่าน้อยคนนักจะทำได้ กองถ่ายหนังเป็นสิ่งแวดล้อมที่แปลกประหลาด และมันก็สำคัญจริงๆ ที่พระเอกของคุณจะต้องแข็งแกร่ง และคู่ควรกับการต่อกรด้วย เขาจะต้องมีไอเดีย เป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจ ต้องตื่นเต้นและไม่หลบเลี่ยงการทดสอบต่างๆ เขาเป็นทั้งหมดนั้นครับ เขาเป็นทุกสิ่งตามที่ทุกคนที่ผมพูดด้วยที่เคยร่วมงานกับเขาบอกและยิ่งกว่านั้นเสียอีก มันไม่มีความเป็นดาราอะไรเลย แต่เขาเป็นเหมือนเพื่อนที่คุณสามารถหันไปขอคำแนะนำได้น่ะครับ”
“และนูมิก็มีกระบวนการความคิดเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นในทุกชั่วขณะครับ” คูเปอร์กล่าวอย่างตื่นเต้น “ผมชื่นชอบการได้ร่วมงานกับทั้งคู่ ในตอนที่คุณแสดงประกบคนอย่างโคลิน, นูมิและเทอร์เรนซ์ งานคุณก็เสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วเพราะคุณทำแค่แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบหรือตอบสนองเป็นส่วนใหญ่ และถ้ามีความเข้มข้นหรือความจริงเบื้องหลังนัยน์ตาของพวกเขา คุณก็จะเหมือนกับอยู่ในช่วงเวลานั้นกับพวกเขา มันเป็นความยินดีอย่างยิ่งครับ”
“ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือการค้นหาความจริงในชั่วขณะนั้นครับ” คูเปอร์อธิบาย “ตราบใดที่บทมันดี และคุณเชื่อช่วงตอนที่ตัวละครเหล่านี้ได้พบกัน และคุณได้ร่วมงานกับคนอย่างนูมิ ผู้ที่เหมือนมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้น พอคุณสบตากับเธอ กระบวนการความคิดที่ว่าคุณอยู่ไหน คุณจะไปไหน และคุณต้องการอะไรจากฉากนั้นจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง และกลายเป็นของจริง แล้วคุณก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ และแน่นอนว่านีลส์จะไม่ปล่อยให้มันเป็นอะไรอย่างอื่นนอกจากนั้น และถ้าคุณมีผู้กำกับภาพที่เก่งกาจและมีผู้กำกับที่น่าทึ่งอย่างที่เรามี พวกเขาจะทำให้มันดูทั้งน่าทึ่งและน่าเชื่อน่ะครับ”
“นีลส์เปิดกว้างต่อการตีความของนักแสดงในสิ่งที่พวกเขารู้สึกหรือสิ่งที่พวกเขารู้สึกสบายใจกับมันเสมอ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกสบายใจกับอะไร มันก็จะทำให้พวกเขาแสดงได้อย่างดีที่สุด” คูเปอร์บอก “แต่ถึงพูดแบบนั้น นีลส์ก็สู้ในสิ่งที่เขาเชื่อว่าถูกต้อง เป็นจริงและมีส่วนช่วยต่อเรื่องราวเหมือนกัน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักแสดง ผมหมายถึงถ้านักแสดงเดินมาพร้อมกับไอเดียต่างๆ เหล่านี้แล้วบอกว่า ‘ผมอยากจะแสดงแบบนี้ มันน่าจะเป็นแบบนี้สิ’ แล้วคุณสามารถเหยียบย่ำผู้กำกับได้ มันคงเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวน่าดูเพราะคุณจะคิดว่าคนๆ นี้ไม่ได้เป็นผู้นำ และบางที เขาอาจจะไม่มีความคิดของตัวเองก็ได้…”
“คุณก็เลยจะรู้สึกปลอดภัยมากๆ เมื่ออยู่กับนีลส์ และบ่อยครั้งที่จะเกิดการถกเถียงอย่างดุเดือดระหว่างนักแสดงและเขา” คูเปอร์เล่า “แต่ผมชอบที่เขารู้จริงๆ และเขาไม่ได้แค่พูดว่า ‘ผมอยากให้มันเป็นแบบนี้’ แต่เขาจะฟังสิ่งที่คุณพูด ประมวลผล แล้วบางทีอาจจะพูดด้วยซ้ำไปว่า ‘ผมเข้าใจแต่ผมต้องการเวลาเพื่อประมวลผลในสิ่งที่คุณพูด ขอเวลาผมซักหน่อยเถอะ’ แล้วเขาจะกลับมาบอกว่า ‘จริงๆ แล้ว มันเป็นไอเดียที่ดีมากๆ เลยนะ มันช่วยแบบนี้และอย่างนี้ แล้วก็ ‘ลองนึกถึงแบบนั้นดูสิ มันจะช่วยตรงนั้นนะ’ หรือเขาอาจจะบอกว่า ‘รู้อะไรมั้ย มันไม่เวิร์คหรอกเพราะมันไม่เมคเซนส์ตรงนั้นตรงนี้’ คุณก็เลยจะได้รับเหตุผล คุณจะไม่ถูกกีดกัน คุณจะเข้าใจอย่างชัดเจนว่าทำไมมันถึงไม่เวิร์ค และมันก็ทำให้คุณรู้สึกว่ามันเป็นการร่วมมือกันจริงๆ ว่าความเห็นของคุณก็สำคัญ ว่าคุณอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สร้างสรรค์มากๆ ผมชอบสิ่งแวดล้อมแบบนี้ มันเป็นสิ่งแวดล้อมที่เพอร์เฟ็กต์เลยครับ”
ประวัตินักแสดง
Colin Farrell (โคลิน ฟาร์เรล) รับบท Victor (วิคเตอร์)
นักแสดงชาวไอร์แลนด์ ยังคงได้รับความสนใจในฮอลลีวูดอย่างต่อเนื่อง ในปี 2009 ฟาร์เรลได้รับรางวัลลูกโลกทองคำจากการแสดงใน “InBruges” และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาก็เพิ่งได้กลับไปร่วมงานกับผู้กำกับมาร์ติน แม็คโดนัฟอีกครั้งสำหรับภาพยนตร์ซีบีเอสเรื่อง “Seven Psychopaths” ฟาร์เรลรับบทมือเขียนบทผู้ซึ่งระหว่างความพยายามเขียนบทภาพยนตร์ของเขาที่มีชื่อว่า Seven Psychopaths ก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับคดีลักพาตัวสุนัขของเพื่อนเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมแสดงโดยแซม ร็อคเวลและคริสโตเฟอร์ วอลเคน และเขียนบทและกำกับโดยแม็คโดนัฟ
ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดเรื่องอื่นๆ ของฟาร์เรลได้แก่การนำแสดงภาพยนตร์โดยปีเตอร์ เวียร์เรื่อง “The Way Back” ซึ่งร่วมแสดงโดยเอ็ด แฮร์ริสและจิม สเตอร์เจส และบอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มทหารผู้วางแผนหลบหนีจากค่ายกักกันในไซบีเรียในปี 1942 และภาพยนตร์โดยวิลเลียม โมนาฮันเรื่อง “London Boulevard” ที่สร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์โดยเคน บรูเอนเกี่ยวกับอาชญากรจากเซาธ์ ลอนดอน ที่เพิ่งถูกปล่อยตัวจากคุก และต้องยับยั้งตัวเองไม่ให้กลับไปสู่ชีวิตอันธพาลแบบเดิมๆ ด้วยการรับงานดูแลนักแสดงหญิงผู้เก็บตัว ที่รับบทโดยเคียรา ไนท์ลีย์
นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ ฟาร์เรลยังได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง “Fright Night,” “Horrible Bosses,” “Ondine” โดยผู้กำกับไอริช นีล จอร์แดน ซึ่งเล่าเรื่องของชาวประมงไอริช ที่พบผู้หญิงที่เขาคิดว่าเป็นนางเงือก ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยกาวิน โอ’ คอนเนอร์เรื่อง “Pride and Glory,” ภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง “Cassandra’s Dream,” “Miami Vice,” ภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง “Alexander,” ภาพยนตร์โดยเทอร์เรนซ์ มาลิคเรื่อง “The New World,” “Ask the Dust” ที่สร้างจากนิยายโดยจอห์น แฟนเต้, “The Recruit” ซึ่งเขาแสดงประกบอัล ปาชิโน, “ A Home at the End of the World” ที่สร้างจากนิยายโดยไมเคิล คันนิงแฮมและการแสดงในภาพยนตร์สองเรื่องของโจเอล ชูมัคเกอร์เรื่อง “Phone Booth” และ “Tigerland” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฟาร์เรลรวมถึง “Minority Report,” “Daredevil,” “American Outlaws,” “SWAT” และ “Intermission”
Noomi Rapace (นูมิ ราเพซ) รับบท Beatrice (เบียทริซ)
นักแสดงสาวที่กำลังเป็นที่สนใจของแวดวงบันเทิงระดับโลกด้วยการแสดงที่สะกดสายตา สั่นประสาท และได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลามของเธอในบทลิสเบธ ซาแลนเดอร์ในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายไตรภาคโดยสติ๊ก ลาร์สันเรื่อง Millennium Trilogy ที่ประกอบไปด้วย The Girl With the Dragon Tattoo, The Girl Who Played With Fire และ The Girl Who Kicked the Hornet’s Nest
ในปี 2011 ราเพซได้แสดงประกบโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และจู๊ด ลอว์ในซีเควลโดยกาย ริทชีเรื่อง “Sherlock Holmes: A Game of Shadows“ ซึ่งเธอรับบทหมอดูยิปซี ผู้เห็นมากกว่าสิ่งที่เธอบอกกับโฮล์มส์และวัตสัน เธอเริ่มต้นงานแสดงตั้งแต่อายุเจ็ดขวบในภาพยนตร์ไอซ์แลนด์เรื่อง “In the Shadow of the Raven” นับตั้งแต่นั้นมา เธอก็ได้แสดงในภาพยนตร์และซีรีส์กว่ายี่สิบเรื่อง ในปี 2007 เธอได้สร้างชื่อในแวดวงจอเงินด้วยการแสดงแจ้งเกิดในภาพยนตร์เดนิชปี 2007 เรื่อง “Daisy Diamond” ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอรับบทคุณแม่ยังสาว ผู้จากบ้านเพื่อไล่ตามความฝัน ก่อนที่จะล้มเหลวและสิ้นหวัง นำมาซึ่งผลที่ร้ายแรงตามมา การแสดงของราเพซทำให้เธอได้รับรางวัลโบดิล อวอร์ด (เดนิช คริติกส์ อวอร์ด) และโรเบิร์ต อวอร์ด (อคาเดมี อวอร์ดของเดนมาร์ค) สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
ราเพซได้รับเสียงชื่นชมอย่างสูงจากการแสดงที่ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกของเธอใน “The Girl with the Dragon Tattoo” ภาคแรกของไตรภาค Millennium ที่เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2009 ในสวีเดน เธอได้รับรางวัลกูลด์แบ็กก์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (อคาเดมี อวอร์ดของสวีเดน) และรางวัลอินเตอร์เนชันแนล จูปิเตอร์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (เยอรมนี) รวมทั้งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออเรนจ์ บริติช อคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมและรางวัลยูโรเปียน ฟิล์ม อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากการแสดงของเธออีกด้วย หลังจากนั้น เธอก็ได้รับเสียงชื่นชมจากการแสดงของเธอในภาคที่สองและภาคที่สามของแฟรนไชส์นี้ “The Girl Who Played With Fire” และ “The Girl Who Kicked the Hornet’s Nest” ด้วย
Terrence Howard (เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด) รับบท Alphonse (อัลฟองซ์)
นักแสดงมากความสามารถ ที่เป็นที่รู้จักสูงสุดจากการแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อชิงลูกโลกทองคำและอคาเดมี อวอร์ดของเขาใน “Hustle & Flow” และบทสมทบใน “Crash” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติสาขาการแสดงแจ้งเกิดยอดเยี่ยม
โฮเวิร์ดเริ่มต้นอาชีพนักแสดงด้วยบท ‘แจ็คกี้ แจ็คสัน’ ในมินิซีรีส์เอบีซีเรื่อง “The Jacksons: An American Dream” ตามมาด้วการแสดงจอแก้วในซีรีส์ “Living Single” และ “NYPD Blue”
โฮเวิร์ดเปิดตัวในภาพยนตร์ปี 1992 เรื่อง “Who’s the Man?” ซึ่งตามมาด้วยบท ‘คาวบอย’ ในพีเรียดเรื่อง “Dead Presidents” ในปี 1995 โฮเวิร์ดได้รับการยกย่องจากการแสดงในบทนักกีฬาไฮสคูลใน “Mr. Holland’s Opus” และไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทนำในซีรีส์ยูพีเอ็นเรื่อง “Sparks” ในปี 1999 โฮเวิร์ดได้รับรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ด สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดและรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชิคาโกจากการแสดงในบท ‘เควนติน’ ในภาพยนตร์เรื่อง “The Best Man”
โฮเวิร์ดเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงมากความสามารถแห่งรุ่นของเขา ที่มีบทบาทหลากหลายในภาพยนตร์มากมายเช่นภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Ray,” “Pride,” “The Brave One,” “August Rush” และ “Iron Man” นอกเหนือจากจากผลงานภาพยนตร์แล้ว โฮเวิร์ดยังได้รับการยกย่องในเรื่องพรสวรรค์ของเขาในการแสดงละครบรอดเวย์อีกด้วย ในปี 2008 โฮเวิร์ดได้ทำความฝันในวัยเด็กของตัวเองให้เป็นจริงด้วยการแสดงในละครบรอดเวย์ประกบเจมส์ เอิร์ล โจนส์ในละครโดยเด็บบี้ อัลเลนที่นำ “Cat on a Hot Tin Roof” โดยเทนเนสซี วิลเลียมส์มาแสดงใหม่
¨ Dominic Cooper (โดมินิค คูเปอร์) รับบท Darcy (ดาร์ซี)
กำลังสร้างชื่อในฐานะหนึ่งในนักแสดงที่น่าตื่นเต้นที่สุดในวงการภาพยนตร์ในแวดวงบันเทิง คูเปอร์ ที่ประสบความสำเร็จทั้งในละครเวทีและจอเงิน ยังคงแสดงให้เห็นถึงความสามารถเชิงสร้างสรรค์ที่หลากหลายของเขา
ล่าสุด คูเปอร์ได้แสดงบทเฮนรี สเตอร์เจส อาจารย์ของลินคอล์นเรื่องของการล่าแวมไพร์ใน “Abraham Lincoln: Vampire Hunters” ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยทิเมอร์ เบคแมมเบทอฟ และร่วมแสดงโดยเบนจามิน วอล์คเกอร์, แอนโธนี แม็คกี้และรูฟัส ซีเวล ดัดแปลงจากนิยายเบสต์เซลเลอร์ชื่อเดียวกันโดยเซธ เกรแฮม-สมิธ
ก่อนหน้านี้ คูเปอร์ได้แสดงใน “My Week with Marilyn” ที่กำกับโดยไซมอน เคอร์ติส และร่วมแสดงโดยทีมดาราระดับแนวหน้า ซึ่งประกอบไปด้วยมิเชลล์ วิลเลียมส์, เคนเนธ บรานาห์และจูดี้ เดนช์ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ คูเปอร์รับบทมิลตัน กรีน ช่างภาพชื่อดัง ผู้อำนวยการสร้างและผู้ร่วมทำธุรกิจกับมาริลิน มอนโร
เมื่อเร็วๆ นี้ คูเปอร์ได้แสดงในดรามาอินดีเรื่อง “The Devil’s Double” ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2011 และได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินปี 2011 ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยลี ทามาโฮริและเขียนบทโดยไมเคิล โธมัส เป็นเรื่องราวแอ็กชันตึงเครียด เกี่ยวกับชีวิตของลาทีฟ ยาเฮีย ผู้ถูกบังคับให้ต้องเป็นดับเบิลให้กับอูเดย์ ฮุสเซน โดมินิครับบทบาทที่ท้าทาย ยาเฮียและฮุสเซน ก่อนหน้านั้น คูเปอร์ยังได้แสดงในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนเรื่อง “Captain America: The First Avenger” ที่กำกับโดยโจ จอห์นสตันและร่วมแสดงโดยคริส อีวานส์, ทอมมี ลี โจนส์และเฮย์เลย์ แอทเวล ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขารับบทโฮเวิร์ด สตาร์ค นักประดิษฐ์จอมเพี้ยน ผู้ก่อตั้งสตาร์ค อินดัสทรีส์ ตัวละครที่นำเค้าโครงมาจากโฮเวิร์ด ฮิวจ์
¨ Isabelle Huppert (อิซาเบล ฮัพเพิร์ท) รับบท Valentine (วาเลนไทน์)
หนึ่งในนักแสดงหญิงที่โด่งดังที่สุดในแวดวงภาพยนตร์ ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและได้รางวัลมากมาย ไม่เพียงแต่ในฝรั่งเศส ประเทศบ้านเกิดของเธอเท่านั้น แต่ยังทั่วทุกมุมโลกด้วย จนถึงตอนนี้ เธอเป็นนักแสดงหญิงที่มีผลงานภาพยนตร์เข้าฉายสายประกวดของงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์มากที่สุด (18 เรื่อง) และเป็นหนึ่งในสี่คนที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงสองครั้ง จาก “Violette” ในปี 1978 และ “The Piano Teacher” ในปี 2001 นอกจากนี้ เธอยังเป็นนักแสดงหญิงที่ได้รับการเสนอชื่อชิงซีซาร์ อวอร์ดมากที่สุดด้วย เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล 13 ครั้งและได้รับรางวัลหนึ่งครั้งสำหรับ “La Ceremonie” ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่อง “Amour” ที่เธอแสดงประกบฌอน-หลุยส์ ทรินทิคแนนท์ และกำกับโดยไมเคิล ฮาเนเก้ ก็ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2012 เธอได้ทำงานในภาพยนตร์กว่า 100 เรื่อง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์หลายเรื่องโดยผู้กำกับในตำนาน คล็อด ชาบรอล และผู้กำกับชื่อดัง ไมเคิล ฮาเนเก้
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฮัพเพิร์ทได้แก่ “Dormant Beauty,” “Lines of Wellington,” “In Another Country,” “Captive,” “My Worst Nightmare,” “My Little Princess,” “Special Treatment” และ “Copacabana” รวมถึงภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายเรื่อง “Abus de Fairbless,” “La religieuse,” “Tip Top,” “The of Eleanor Rigby: His” และ “The Disappearance of Eleanor Rigby: Hers”
ฮัพเพิร์ทเปิดตัวในโลกภาพยนตร์ในปี 1971 และไม่นานนัก เธอก็กลายเป็นหนึ่งนักแสดงระดับแนวหน้าของรุ่นของเธอ และเธอก็ได้แสดงอย่างยอดเยี่ยมในภาพยนตร์สำคัญๆ หลายเรื่องเช่นภาพยนตร์โดยคล็อด ชาร์บรอลเรื่อง “The Lacemaker” (1977) ในบทเด็กสาวเรียบง่าย ผู้ตกหลุมรักและถูกหักหลังจากนักศึกษาคนหนึ่ง, ภาพยนตร์โดยฌอน-ลุค โกดาร์ดเรื่อง “Every Man For Himself” (1980) ในบทโสเภณีและ “Maurice Pialat’s “Loulou” (1980) ในบทสาวชั้นสูง ผู้หลงเสน่ห์หนุ่มเร่ร่อน
ฮัพเพิร์ทเปิดตัวในภาพยนตร์อเมริกันด้วยภาพยนตร์อื้อฉาวโดยไมเคิล ซิมิโนเรื่อง “Heaven’s Gate” (1980) เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับคล็อด ชาร์บอลหลายครั้ง รวมทั้งหมดในภาพยนตร์แปดเรื่อง ซึ่งเธอได้แสดงอย่างยอดเยี่ยม ผลงานเหล่านั้นรวมถึง “Violette” (1978) ซึ่งเธอรับบทหญิงสาวผู้สังหารพ่อแม่ของตัวเองและ “Story of Women” (1988) ที่เธอรับบทหญิงทำแท้งไร้ยางอาย ซึ่งเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายที่ถูกประหารในฝรั่งเศส นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์ห้าเรื่องของผู้กำกับไมเคิล ฮาเนเก้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งการแสดงของเธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมมากมาย ผลงานของเธอรวมถึง “The Piano Teacher” ซึ่งเธอรับบทครูสอนเปียโนที่เก็บกดทางเพศและ “Amour” ที่เพิ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2012
ประวัติทีมผู้สร้าง
¨ Niels Arden Oplev (นีลส์ อาร์เดน ออพเลฟ) ผู้กำกับ
เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกเรื่อง “The Girl with the Dragon Tattoo”ที่สร้างจากนิยายเบสต์เซลเลอร์โดยสติ๊ก ลาร์สัน มันเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ห้าของออพเลฟและเป็นภาพยนตร์สแกนดิเนเวียนที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล โดยเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านเหรียญ และเป็นภาพยนตร์ยุโรปที่ทำรายได้สูงสุดในปี 2009 ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในสหภาพอาณาจักร อเมริกา ญี่ปุ่นและออสเตรเลียในปี 2010 และได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลยูโรเปียน ฟิล์ม อคาเดมี ได้รับรางวัลพีเพิลส์ ชอยส์ อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์ปาล์ม สปริงส์และเทศกาลภาพยนตร์พอร์ตแลนด์ในโอเรกอน รวมถึงได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมและพีเพิลส์ ชอยส์ อวอร์ดจากเวทีสวีดิช ฟิล์ม อวอร์ดอีกด้วย นอกจากนี้ “The Girl With the Dragon Tatoo” ยังได้รับรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดในลอสแองเจลิสในปี 2011 และรางวัลบาฟตา อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่ไม่อยู่ในภาษาอังกฤษอีกด้วย
ผู้กำกับชาวเดนิชผู้นี้สำเร็จการศึกษาจากเนชันแนล ฟิล์ม สคูล ออฟ เดนมาร์ค ในปี 1989 ที่ซึ่งภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา “Kyndelmisse” และสารคดีเรื่อง “Hugo fra Himmerland” ของเขา เป็นการเปิดตัวที่น่าประทับใจ สำหรับดีอาร์/เดนิช บรอดคาสติ้ง คอร์ป. ออพเลฟได้กำกับสารคดีดรามาเรื่อง “Den sovende” (1990) และภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง “Tusmorke” (1990) และ “Nogen” (1992), สารคดีเรื่อง “Ritualer, enerum” (1992) และภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “En success” (1993)
หลังจากนั้น เขาก็กำกับเก้าเอพิโซดของซีรีส์ทางแชนแนล วัน (ดีอาร์) เรื่อง “Taxa/Taxi” เขายังมีผลงานจอแก้วอย่างต่อเนื่องด้วยซีรีส์ที่ได้รับรางวัล 2002 อินเตอร์เนชันแนล เอ็มมี อวอร์ดเรื่อง “Rejseholdet/Unit One” (2002-2003) ในการกำกับสามเอพิโซดแรก เขาได้พัฒนาคอนเซ็ปต์วิชวลสำหรับซีรีส์เรื่องนี้และได้เลือกนักแสดงสำหรับบทปัจจุบันขึ้นมา หลังจากทำหน้าที่เดียวกันกับซีรีส์ “Forsvar/Defense” (2003-2004) สำหรับทีวีทู/เดนมาร์คแล้ว เขาก็ทำงานคอนเซ็ปต์ต่อในฐานะผู้กำกับ “Omen/The Eagle” (2003-2006 ) ซึ่งได้รับรางวัลอินเตอร์เนชันแนล เอ็มมี อวอร์ดในปี 2005 เช่นกัน
“Portland” (1996) ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา เป็นภาพยนตร์อื้อฉาวที่สุดเรื่องแรกใน “คลื่นลูกใหม่” ของภาพยนตร์เดนิชจากกลางยุค 90s ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่นำเสนอโลกใต้ดินที่รุนแรงในชนบททางตอนเหนือของเดนมาร์ค ถูกเลือกให้เข้าประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน (1996) ได้เปิดสัปดาห์ภาพยนตร์เดนิช (1997) ในลินคอล์น เซ็นเตอร์ในนิวยอร์กและได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากเดอะ ฮอลลีวูด รีพอร์ทเตอร์และนิวยอร์ก เพรส นอกจากนี้ มันยังได้แพร่ภาพทางดีอาร์ แชนแนลอีกด้วย หลังจากนั้น เขาก็สร้างคอเมดีตลกร้ายเรื่อง “Fukssvansen/Chop Chop” ขึ้นในปี 2001 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับสามรางวัลภาพยนตร์เดนิช ภาพยนตร์เรื่องที่สามของเขา “We Shall Overcome/Drommen” เข้าฉายในปี 2006 ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์เดนิชที่ทำรายได้สูงสุดในปีนั้นและได้รับรางวัล 30 รางวัลจากทั่วโลก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรางวัลหมีคริสตัลจากงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน ผลงานล่าสุดของเขา “To Verdener/Worlds Apart” เข้าฉายในปี 2008 ได้รับความนิยมอย่างสูงในเดนมาร์ค และเข้าประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน นอกจากนี้ มันยังได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ไทรเบกาและเอเอฟไอในอเมริกาและได้รับรางวัลซิกนิสที่เฟสทรอยในโปรตุเกสอีกด้วย “Dead Man Down” เป็นภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกของออพเลฟ