“The LEGO NINJAGO® Movie” หนังแอนิเมชันผจญภัยเรื่องใหม่ในแฟรนไชส์ LEGO® ของ Warner Bros. Pictures พากย์เสียงโดยเดฟ ฟรังโก, จัสติน เธอโรซ์, เฟรด อาร์มิเซน, แอบบี จาค็อบสัน, โอลิเวีย มันน์, คุมาอิล แนนจิอานี, ไมเคิล เพนยา, แซ็ค วูดส์ และนักแสดงระดับตำนานอย่างเฉินหลง
ในเรื่องราวการผจญภัยของ NINJAGO บนจอภาพยนตร์ มาสเตอร์บิวเดอร์หนุ่มอย่างลอยด์ หรือนินจาเขียว จะต้องออกโรงปกป้องเมืองนินจาโกร่วมกับเหล่าเพื่อนๆ นินจาลับ ด้วยการนำของอาจารย์วูผู้มีฝีปากคมกล้าไม่แพ้สติปัญญา พวกเขาต้องเอาชนะขุนศึกผู้ชั่วร้าย การ์มาดอน สุดยอดวายร้ายซึ่งบังเอิญเป็นพ่อของลอยด์ด้วย เมื่อหุ่นยนต์มาปะทะหุ่นยนต์และพ่อมาปะทะลูก การตัดสินชี้ชะตาครั้งยิ่งใหญ่นี้จะเป็นบททดสอบของเหล่านินจายุคใหม่ผู้แกร่งกล้าแต่ไร้วินัย พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเลิกถือตัวเองเป็นใหญ่และร่วมมือกันเพื่อปลดปล่อยพลังภายในออกมา
เฉินหลงพากย์เสียงเป็นอาจารย์วู, จัสติน เธอโรซ์เป็นการ์มาดอน, เดฟ ฟรังโกเป็นลอยด์ และโอลิเวีย มันน์เป็นโคโค่แม่ของลอยด์ ส่วนทีมนินจาลับนั้น ได้แก่ ไมเคิล เพนยา รับบทเป็นไคย์ เฟรด อาร์มิเซน เป็นโคล, คุมาอิล แนนจิอานีเป็นเจย์, แอบบี จาค็อบสันเป็นนียา และแซ็ค วูดส์เป็นเซน
“The LEGO NINJAGO Movie” กำกับโดยชาร์ลี บีน, พอล ฟิสเชอร์ และบ็อบ โลแกน บทภาพยนตร์โดยบ็อบ โลแกน, พอล ฟิสเชอร์, วิลเลียม วีลเลอร์และทอม วีลเลอร์ ร่วมด้วยแดน เฮจแมนและเควิน เฮจแมน โดยอ้างอิงจากชุดของเล่นตัวต่อ LEGO
แดน ลิน, ฟิล ลอร์ด, คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์, มาร์ยานน์ การ์เกอร์, รอย ลี และคริส แม็คเคย์ รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ส่วนผู้อำนวยการสร้างบริหารนั้น ได้แก่ จิลล์ วิลเฟิร์ต, คีธ มาโลน และเซธ เกรแฮม-สมิธ ทีมงานเบื้องหลัง ได้แก่ นักออกแบบงานสร้าง คิม เทย์เลอร์และไซมอน ไวท์ลีย์ ดนตรีโดยมาร์ค มาเธอร์สบอว์
งานแอนิเมชันโดย Animal Logic
“The LEGO NINJAGO Movie” จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั้งระบบสามมิติและสองมิติ
Warner Bros. Pictures และ Warner Animation Group ร่วมด้วย LEGO System A/S ขอเสนอผลงานการสร้างของ Lin Pictures/Lord Miller/Vertigo Entertainment เรื่อง “The LEGO NINJAGO Movie” ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดจำหน่ายทั่วโลกโดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment
LEGO, ตราสัญลักษณ์ LEGO, NINJAGO, หุ่นมินิฟิเกอร์และตัวต่อ รวมถึงลักษณะปุ่มบนตัวต่อเป็นเครื่องหมายการค้าของ The LEGO Group © 2017 The LEGO Group ใช้โดยได้รับอนุญาต สงวนลิขสิทธิ์
ข้อมูลงานสร้างภาพยนตร์
เรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของความดี…ปะทะคุณพ่อ
ทีมงานเบื้องหลังหนังดังตระกูล LEGO ที่สร้างความหรรษาให้ผู้ชมทุกเพศทุกวัยมาแล้วทั่วโลกขอนำเสนอผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ “The LEGO NINJAGO Movie”
ด้วยความน่าประทับใจ อารมณ์ขัน และความสนุกแบบฉุดไม่อยู่ที่ทำให้หนังสองเรื่องแรกเป็นผลงานอันยากจะลืมเลือน “The LEGO NINJAGO Movie” นำเราไปสำรวจโลกภาพยนตร์อีกใบหนึ่งบนเกาะมหัศจรรย์อันห่างไกลที่ชื่อนินจาโก พร้อมด้วยเหล่าตัวละครที่มีสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ โดยเป็นการผสมผสานระหว่างงานแอนิเมชันจากตัวต่อดิจิตัลอันล้ำสมัยกับองค์ประกอบในโลกความเป็นจริง ซึ่งผู้อำนวยการสร้าง แดน ลิน กล่าวว่าเป็น “พัฒนาการขั้นต่อไปของหนัง LEGO”
สิ่งที่ทีมผู้สร้างหนังจินตนาการไว้คือการผจญภัยแอ็คชันในโลกอันกว้างใหญ่ด้วยรูปลักษณ์และอารมณ์แบบแฮนด์เมดคล้ายภาพจินตนาการของเด็กที่กำลังสร้างจักรวาลเลโก้ในสวนหลังบ้านของตัวเอง ทั้งยังได้ถ่ายทอดความตื่นเต้นของการเป็นมาสเตอร์บิวเดอร์ซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคน
“เรามีฉากต่อสู้ที่ออกแบบโดยตำนานกังฟู เฉินหลง เป็นการต่อสู้ระหว่างหุ่นยนต์ยักษ์และสัตว์ประหลาดที่มาทำลายเมือง ฉากพวกนั้นมันสุดๆ ไปเลยครับ” ชาร์ลี บีนกล่าว เขาเป็นแฟน LEGO มานานและเป็นหนึ่งในผู้กำกับหนังเรื่องนี้ “ผมชอบหนังศิลปะการต่อสู้ หนังหุ่นยนต์ และหนังสัตว์ประหลาด หนังเรื่องนี้เป็นจดหมายรักถึงหนังเหล่านั้นโดยมองผ่านเลนส์อันเป็นเอกลักษณ์ของ LEGO”
ในขณะเดียวกันเรื่องราวนี้ก็ได้พูดถึงประเด็นและคุณค่าซึ่งไม่เพียงเป็นเอกลักษณ์ของหนังเหล่านี้ แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญในการเล่น LEGO ของคนหลายรุ่น “มันพูดถึงครอบครัวและการค้นพบตัวเอง” บีนกล่าว โดยอ้างถึงปมขัดแย้งหลักระหว่างนินจาหนุ่ม ลอยด์ ผู้อุทิศตนเพื่อปกป้องเมืองนินจาโก กับพ่อของเขา การ์มาดอน ซึ่งพยายามทำลายเมืองนี้ตลอดเวลา “ถึงแม้ว่ามันจะถ่ายทอดออกมาในสเกลที่ยิ่งใหญ่ แต่หนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวใกล้ตัวที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก พวกเขาไม่ลงรอยกันด้วยเหตุผลหลายประการนอกเหนือจากเรื่องที่ว่าคนหนึ่งเป็นพระเอกและอีกคนหนึ่งเป็นตัวร้าย ลอยด์รู้สึกว่าเขาพลาดโอกาสที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับพ่อ ตลอดเรื่องราวการผจญภัย ทั้งสองต้องรับมือกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง และจำเป็นต้องรับมือกับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งต่างคนต่างก็ต้องค้นหาวิธีการกันไป”
“ตอนที่ผมเป็นเด็ก ส่วนใหญ่ผมมักจะใส่ชุดนินจาในวันฮัลโลวีน เพราะฉะนั้นเลยไม่แปลกครับที่ผมตื่นเต้นมากกับการมาพากย์เสียงเป็นตัวละครใน ‘The LEGO NINJAGO Movie’” เดฟ ฟรังโกกล่าว เขาแสดงเป็นลอยด์ ตัวละครผู้กล้าหาญแต่มีปมขัดแย้งในใจ ตอนกลางวันเขาเป็นนักเรียนไฮสคูลที่ไม่มีใครคบ แต่เมื่อมีภารกิจ เขาจะกลายเป็นนินจาลับผู้ไม่เปิดเผยตัว “ผมคิดว่าเหตุผลที่หลายคนรวมถึงตัวผมชื่นชอบเลโก้ ก็คงเป็นเพราะเวลาที่คุณต่อเลโก้เสร็จ คุณจะรู้สึกว่าทำภารกิจสำเร็จแล้ว คุณต้องลงมือลงแรงก่อนจะเริ่มต้นเล่นของเล่นพวกนี้ เลยทำให้การเล่นเลโก้เป็นประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่งเลยล่ะครับ”
เช่นเดียวกัน เรื่องราวนี้ก็ทำให้ลอยด์และเหล่าเพื่อนนินจาต้องมองเข้าไปภายในเพื่อค้นหาจุดแข็งและความสามารถที่แท้จริงของตนเอง รวมถึงความสงบ…หรือชิ้นส่วน…ที่ซ่อนอยู่ภายในด้วย
“เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กยุคใหม่ที่หลงใหลเทคโนโลยีเหมือนกับเราทุกคน” บีนกล่าว “อาจารย์วูพยายามปลูกฝังพื้นฐานซึ่งเป็นแก่นแท้ของการเป็นนินจา แต่พวกเขากลับชอบต่อสู้ด้วยหุ่นยนต์ที่ขึ้นเงาวาววับและส่งเสียงดัง อาจารย์วูพยายามสอนลูกศิษย์ว่าหุ่นอาจถูกทำลายได้และเทคโนโลยีก็อาจสร้างความผิดหวังให้เราได้ เหล่านินจาจะต้องเข้าใจว่าสิ่งที่อยู่ภายในตัวพวกเขานั้นสำคัญกว่าสิ่งเหล่านั้น”
เมื่อลอยด์และผองเพื่อนออกโรงต่อสู้ “The LEGO NINJAGO Movie” ก็ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับมิตรภาพและการทำงานเป็นทีม หนังได้นำเสนอให้เห็นจุดแข็งของแต่ละคนเมื่อพวกเขาสลัดคราบเด็กเนิร์ดในโรงเรียนไฮสคูลทิ้งไปแล้วรับบทบาทลับเพื่อปกป้องเมืองนินจาโกจากการ์มาดอน แต่เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไป เราก็ยิ่งเห็นชัดว่าพรสวรรค์เหล่านี้จะใช้งานได้ดีกว่าเมื่อมาประสานเข้าด้วยกัน ตราบใดที่ยังไม่ได้ได้ทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง พวกเขาก็จะไม่มีทางได้มาซึ่งพลังอันยิ่งใหญ่ที่ตนปรารถนา
บทเรียนนี้เป็นสิ่งที่การ์มาดอนเองก็ยังไม่ได้เรียนรู้ จัสติน เธอโรซ์ ผู้พากย์เสียงเป็นตัวละครที่ถูกเรียกว่า คนที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์กล่าวว่า “เขาเป็นพวกหลงตัวเองขั้นสุดยอดที่พยายามยึดครองทุกเมืองที่เขาโจมตีได้และทำตัวเป็นเผด็จการ เขาต้องมาลำบากเพราะความคิดที่ว่า ‘ฉันทำทุกอย่างได้คนเดียว’… แต่ก็คิดด้วยว่า ‘ทำไมไม่มีใครช่วยฉันเลยล่ะ?!’”
ยังมีจุดพลิกผันที่ทำให้สถานการณ์ยากขึ้นด้วย การ์มาดอนรู้ว่าลอยด์เป็นลูกของตัวเอง สิ่งที่จอมเผด็จการซึ่งมีสี่แขนและดวงตาสีแดงไม่รู้ก็คือลอยด์เป็นนินจาเขียว ศัตรูตัวฉกาจของการ์มาดอนซึ่งปรากฏตัวในหุ่นมังกรสีเขียวที่คอยเล่นงานและขัดขวางแผนการของเขาที่จะยึดครองเมืองนินจาโกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขากำลังจะได้รู้
เมื่อการ์มาดอนพยายามเข้ายึดครองเมืองในคราวนี้ด้วยหุ่นฉลามขนาดมหึมาซึ่งปล่อยฉลามจริงๆ ออกมา ลอยด์ก็ได้เตรียมอาวุธขั้นสุดยอดเอาไว้พร้อมแล้ว โชคร้ายที่อาวุธสุดยอดนี้ปล่อยภัยคุกคามที่ทั้งสองไม่คาดคิดและไม่อาจควบคุมได้ สองคนพ่อลูกจึงถูกส่งไปผจญภัยในดินแดนอันตรายเพื่อค้นหาสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาพปกติ
ลินกล่าวว่า “ลอยด์จำเป็นต้องปกป้องครอบครัวของตัวเองก่อนที่จะปกป้องเมือง เขาไม่สามารถเอาแต่โทษพ่อในทุกๆ เรื่อง นั่นล่ะครับคือการเดินทางของเขาตลอดทั้งเรื่อง การเรียนรู้ที่จะเติบโตและมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น”
แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยความสนุกสนานติงต๊องที่เหมาะสำหรับเด็กมุขตลกจากภาพและตลกท่าทางแต่ก็ยังมีเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่อยู่มากมายหรือดังที่ผู้อำนวยการสร้างคริสแม็คเคย์กล่าวว่า “เราสร้าง ‘NINJAGO’ เพื่อความเป็นเด็กในตัวเราทุกคนอาจฟังดูซ้ำซากน่าเบื่อแต่ก็เป็นเรื่องจริงเราพยายามถ่ายทอดจินตนาการชวนหัวและเรื่องราวเพ้อฝันอันยิ่งใหญ่อลังการที่เราคิดตอนเป็นเด็กแต่เราก็สร้างหนังเรื่องนี้จากความรักที่มีต่อหนังกำลังภายในของพี่น้องตระกูลชอว์และหนังสัตว์ประหลาดด้วยดังนั้นจึงมีจุดอ้างอิงหลายๆส่วนให้แฟนๆได้สังเกตเห็น”
“เราแค่พยายามนึกเรื่องตลกที่สุดเท่าที่เราจะนึกออกในตอนนั้นอารมณ์ขันที่สื่อถึงคนทุกเพศทุกวัยและทุกวัฒนธรรมนั่นคือจุดมุ่งหมายสูงสุดที่เราต้องการจะไปให้ถึง” บีนเสริม
ตัวอย่างเช่นผู้ชมวัยผู้ใหญ่เข้าใจความหมายแฝงในปฏิสัมพันธ์ระหว่างการ์มาดอนกับโคโค่อดีตภรรยาของการ์มาดอนและแม่ของลอยด์ซึ่งพากย์เสียงโดยโอลิเวียมันน์แม้แยกกันอยู่มานานแล้วและด้วยเหตุผลที่ดีนั่นคือการแต่งงานกับศัตรูอันดับหนึ่งของทุกคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่คำพูดโต้ตอบระหว่างทั้งสองก็แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยยังมีคนหนึ่งที่เก็บความทรงจำเก่าๆเอาไว้ “ความสัมพันธ์ระหว่างโคโค่กับการ์มาดอนนั้น…ออกจะซับซ้อนยุ่งยาก” มันน์ยอมรับ
ชื่อเรียกง่ายๆว่า “แม่ของลอยด์” หรือ “ภรรยาเก่าของการ์มาดอน” นั้นเป็นความตั้งใจที่จะบรรยายถึงโคโค่ให้น้อยกว่าความเป็นจริงบทบาทที่แท้จริงของเธอนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่จะเฉลยในเรื่องและน่าจะเป็นที่ชื่นชอบทั้งในหมู่เด็กหญิงและเด็กชายเช่นเดียวกันนียา นินจาธาตุน้ำ ก็เป็นสมาชิกผู้เก่งกาจด้านการต่อสู้ในทีมของลอยด์ พากย์เสียงโดยแอบบี จาค็อบสัน เธอกล่าวว่า “นียา ขี่มอเตอร์ไซค์ ใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนัง และขับหุ่นยนต์ยักษ์ เธอเท่สุดๆ ไปเลยค่ะ”
นักแสดงคนอื่นๆ ที่มาพากย์เสียงเป็นสมาชิกกองกำลังนินจาลับ ได้แก่ เฟรด อาร์มิเซน, คุมาอิล แนนจิอานี, ไมเคิล เพนยา และแซ็ค วูดส์
ฟิล ลอร์ดและคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ ผู้เขียนบทและกำกับ “The LEGO Movie” รวมถึงอำนวยการสร้าง “The LEGO Batman Movie” ได้กลับมาอีกครั้งในเรื่องนี้ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ทั้งสองมองว่าหนังแต่ละเรื่องในกลุ่มนี้เป็นเรื่องราวที่แยกจากกัน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความต่อเนื่องอยู่ในจักรวาลใหญ่ของ LEGO “แต่ละเรื่องมีน้ำเสียงและบุคลิกของตนเอง นั่นเป็นข้อดีที่เราได้รับจากการทำงานกับผู้สร้างหนังที่นำเสนอแนวคิดและสไตล์ภาพตามแบบของตัวเอง” มิลเลอร์กล่าว
หลังจากเปิดตัวหนังที่แปลกใหม่และแสดงให้โลกเห็นว่าตัวต่อพลาสติกสีสันสดใสสามารถออกท่าออกทางสื่ออารมณ์และถ่ายทอดความน่ารักได้มากขนาดไหนในฉากสเกลใหญ่ลอร์ดและมิลเลอร์ก็พร้อมเดินสู่ก้าวต่อไปของการเล่าเรื่องด้วยการขยายสภาพแวดล้อมและยกระดับแอ็คชันให้ไกลกว่าเดิม “เรารักหนังศิลปะการต่อสู้มาตลอดครับ” ลอร์ดเสนอ “มันเป็นเรื่องของการเชื่อมั่นในพลังของตัวเองเผชิญหน้าสิ่งที่คุณกลัวที่สุดและพัฒนาตัวเองจนถึงจุดสูงสุดนอกจากนี้เราคิดว่าเราไม่เคยเห็นหนังศิลปะการต่อสู้เรื่องไหนมีแมวยักษ์ด้วยนอกจากเราจะสร้างมันขึ้นมาเอง”
เพื่อสร้างฉากแอ็คชันให้ออกมาในรูปแบบและโทนที่ผู้สร้างหนังต้องการเฉินหลงไม่เพียงพากย์เสียงในบทอาจารย์วูแต่ยังได้นำทีมสตันท์อันโด่งดังของเขามาช่วยออกแบบการต่อสู้ให้โดยยังคงเอกลักษณ์การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและน่าตื่นตาตื่นใจคั่นด้วยอารมณ์ขันที่สอดแทรกเข้ามาอย่างลงตัวแต่ว่าการเตะการพลิกตัวและการกระโดดในแบบแอนิเมชันนั้นแตกต่างกันอย่างไรกับในโลกความเป็นจริง “คุณสามารถสร้างการเคลื่อนไหวรูปแบบไหนก็ได้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ร้อยแปดอย่างและด้วยการใช้แอนิเมชันคุณสามารถทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิมและสนุกกว่าเดิมอีก 10 เท่า” ปรมาจารย์ตัวจริงกล่าวนอกจากนี้ด้วยการยอมรับว่าประวัติอาการบาดเจ็บของเขานั้นโด่งดังไม่แพ้บทแอ็คชันที่เขาเล่นมาตลอดชีวิตเฉินหลงกล่าวเสริมพร้อมกับหัวเราะไปด้วยว่า “วิธีนี้ทำให้ผมไม่ต้องเล่นคิวบู๊เองแล้วก็ไม่มีใครต้องเจ็บตัวด้วย”
การเตรียมหุ่นเลโก้ให้พร้อมต่อสู้โดยยังคงคุณสมบัติของข้อต่อที่ขาดความยืดหยุ่นเอาไว้กลายเป็นบททดสอบใหม่ทุกอย่างต้องใช้การได้ในแบบของ LEGO
แม็คเคย์ซึ่งเคยทำงานร่วมกับทีมแอนิเมชันในหนัง LEGO กล่าวว่า “คุณต้องคิดให้หนักขึ้นและฉลาดขึ้นในสื่อแอนิเมชัน เลือกทางเลือกที่โดดเด่นและกล้าเสี่ยงมากขึ้น ผมมองว่าการทำแบบนี้ทำให้มันเป็นแอนิเมชันแท้ๆ มากขึ้นด้วย”
นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทีมผู้สร้างทำงานร่วมกับบริษัทเอฟเฟ็กต์ระดับรางวัล Animal Logic และได้ต้อนรับนักออกแบบ LEGO ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทในเดนมาร์คเพื่อระดมความคิดรวมถึงสร้างและทดสอบโมเดลเป้าหมายก็คือตัวต่อเลโก้ทั้งหมดที่เห็นอยู่บนจอตั้งแต่หุ่นไปจนถึงห้างสรรพสินค้าและร้านขายฮ็อตด็อกเคลื่อนที่จะต้องสามารถสร้างให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้จริงๆด้วยวิธีการเช่นเดียวกับหนังเรื่องก่อนหน้า “The LEGO NINJAGO Movie” สร้างขึ้นจากตัวต่อดิจิตัลแบบชิ้นต่อชิ้นแต่ละชิ้นได้รับการเรนเดอร์แยกจากกันและต่อเข้าด้วยกันในคอมพิวเตอร์ราวกับว่ามันเป็นพลาสติกหล่อจริงๆแต่ก็มีความแตกต่างประการสำคัญอยู่
ในฐานะสถาปนิกคนหนึ่งในทีมแฟรนไชส์หนัง LEGO ลินกล่าวว่า “ในหนังเรื่องแรกนั้นมีเครเกิล ส่วน ‘LEGO Batman’ ก็ได้นำเสนอเอฟเฟ็กต์ควันและน้ำ แต่ในเรื่องนี้ความเป็นจริงจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ มีทั้งต้นหญ้า ต้นไม้ ทราย ไฟ น้ำไหล หรือแม้กระทั่งป่าไผ่” ไม่ต้องพูดถึงแมวขนาดเท่าตัวจริงที่เรนเดอร์ออกมาได้อย่างสมจริง และเป็นสัตว์ร้ายตัวอันตรายสำหรับเลโก้ตัวเล็กจิ๋ว มันสามารถทำลายเมืองนินจาโกได้ด้วยการปัดอุ้งเท้าเพียงครั้งเดียว “เมื่อตัวละครมีปฏิสัมพันธ์กับโลกที่สมจริง” เขาเสริม “คุณจะได้เห็นว่าธรรมชาติสามารถผสมผสานเข้ากับตัวต่อเลโก้ได้อย่างไร มันเป็นโลกที่เขียวชอุ่มมีสีสันและให้แสงเหมือนในหนังที่ใช้คนแสดง มีภาพที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์”
สำหรับซีรีส์โทรทัศน์ NINJAGO ซึ่งเป็นแอนิเมชันแบบดั้งเดิมมากกว่าหนังเรื่องนี้ ลินกล่าวว่า “ตัวละครเหล่านี้มีแฟนๆ ติดตามมากมายและเราก็นำส่วนนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจ แนวคิดคือเราจะนำสิ่งที่เราชอบในซีรีส์นั้นมาขยายต่อ สร้างโลกที่กว้างกว่า และนำเสนองานภาพอันทรงพลังอย่างที่ควรจะปรากฏบนจอภาพยนตร์ ซึ่งก็เกิดจากการผลักดันแอนิเมชันให้ก้าวขึ้นไปอีกระดับ”
ในงานภาพยนตร์ยังได้มีการดัดแปลงเพิ่มเติมเพื่อให้ตัวละครได้มาเล่าเรื่องราวของตนเองด้วย
แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสื่อไหน “แนวคิดหลักว่าด้วยการเล่นสนุก จินตนาการ และการผจญภัยก็ยังคงอยู่เสมอ” บีนกล่าว “มีแนวคิดหนึ่งซึ่งปรากฏอยู่ในหนังกลุ่มนี้ทุกเรื่องและอยู่ในกระบวนการเล่นเลโก้ด้วย นั่นก็คือการสร้างสรรค์ คุณสามารถสร้างหนทางออกจากวิกฤติได้ คุณสามารถสร้างสภาพแวดล้อมขึ้นมาใหม่เพื่อแก้ปัญหาและเล่าเรื่องราว นั่นล่ะครับที่ทำให้ตัวต่อพวกนี้ยอดเยี่ยมและน่าตื่นเต้น”
“ไม่เป็นไร ลอยด์ ไม่มีพ่อแม่ใครเพอร์เฟ็กต์หรอกน่า”
ลอร์ดการ์มาดอนกับละ-ลอยด์
ณ ใจกลางการต่อสู้อันดุเดือดเพื่อแย่งชิงเมืองนินจาโก เมื่อหุ่นยนต์มาปะทะกัน ตัวต่อปลิวว่อน ประชาชนวิ่งหาที่หลบภัย และควันลอยเต็มท้องฟ้า มีพ่อลูกอยู่คู่หนึ่งซึ่งสื่อสารกันไม่เป็น
“ลอยด์เป็นเด็กน่ารักที่มีความตั้งใจดีเขาขยันขันแข็งและเป็นเพื่อนแท้” ฟรังโกยืนยัน “แต่เขาอาจรู้สึกโกรธและเก็บกดหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้จากสถานการณ์ในครอบครัวพ่อทิ้งเขาไปเมื่อยังแบเบาะแล้วพ่อของเขากลายเป็นคนชั่วร้ายที่สุดในโลก”
เนื่องจากการ์มาดอนโจมตีเมืองโดยได้ทำลายบ้านเรือนและกิจการของคนแทบทุกคนที่ลอยด์รู้จัก ลอยด์จึงมีสถานะทางสังคมระดับติดลบเมื่ออยู่ในโรงเรียน นอกจากเพื่อนรักห้าคนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาคือนินจาเขียว คนอื่นๆ ก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่อยากยุ่งกับเขา
“คนอื่นไม่รู้ว่าเขาคือฮีโร่ รู้แต่ว่าเขาเป็นลูกการ์มาดอน ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย” บีนกล่าว “แค่เดินตามถนนก็เป็นเหมือนฝันร้ายของเด็กน้อยผู้น่าสงสารรายนี้แล้ว เพราะเขาไม่ได้รับการยกย่องชื่นชมใดๆ เขาได้แต่ถูกต่อว่าอยู่ตลอดเวลา”
“เขาใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาการทำลายล้างของการ์มาดอนมาทั้งชีวิตและเบื่อหน่ายที่ถูกมองในแง่ลบ สิ่งเดียวที่ลอยด์ต้องการคือการเป็นคนปกติ” ฟรังโกเสริม แต่ถึงอย่างไร “การ์มาดอนก็ยังคงเป็นพ่อของเขา และลอยด์ก็ยังอยากทำความรู้จักการ์มาดอนและเข้าใจว่าทำไมการ์มาดอนถึงเป็นแบบนี้”
แต่ใช่ว่าการ์มาดอนจะเป็นคนที่คุยด้วยได้ง่ายๆ อันดับแรก เขาต้องเป็นฝ่ายถูกในทุกเรื่อง…แม้ในเวลาที่เขาไม่ถูกก็ตาม ซึ่งนำไปสู่มุขตลกในเรื่องที่ว่าการ์มาดอนออกเสียงชื่อลูกชายผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า บีนเผยว่าเธอโรซ์เป็นคนเริ่มต้นออกเสียงชื่อลอยด์ผิดๆ ด้วยเสียงแอลสองตัวซ้อน “เราอัดเสียงพากย์ของเดฟและจัสตินร่วมกันหลายครั้ง สองคนนี้จะลองด้นสดและนำแนวคิดที่มีอยู่ไปขยายต่อจนเกิดเป็นช่วงที่ตลกและช่วงที่ซาบซึ้งหลายช่วงในหนัง ละ-ลอยด์ก็เป็นสิ่งที่จัสตินคิดขึ้นมาได้ในห้องอัดเสียง”
เธอโรซ์พากย์เสียงเป็นขุนศึกผู้เจนการรบโดยใช้เสียงแหบต่ำฟังคล้ายเสียงขู่ตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะพูดอะไร “ผมชอบเล่นเป็นการ์มาดอนนะครับ ทุกครั้งที่ได้เป็นตัวร้ายร่างใหญ่ มันจะสนุกมาก และการ์มาดอนก็เป็นพวกหลงตัวเองอย่างไม่มีอะไรซับซ้อน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายไม่อยากเป็นเหมือนเขาหรือมีอำนาจครอบครองเมืองทั้งเมือง” นักแสดงรายนี้กล่าว
ทั้งสองไม่อยากต่อสู้กันไปเรื่อยๆ แต่ในเมื่อการ์มาดอนไม่สามารถก้าวข้ามความโอ้อวดหลงตัวเองได้ และลอยด์ก็ไม่อาจคลี่คลายความเจ็บปวดของตน แล้วจะมีทางไหนอีกล่ะ
โคโค่: อดีตมิสซิสการ์มาดอน
ขณะที่ลอยด์มองว่าการ์มาดอนมีแรงจูงใจที่ยากจะเข้าถึง โคโค่กลับไม่คิดเช่นนั้น ที่จริงแล้วไม่มีใครรู้จักการ์มาดอนมากไปกว่าอดีตภรรยา โคโค่ตกหลุมรักการ์มาดอนตอนที่เขาเป็นหนุ่มหลงตัวเองผู้โรแมนติกด้วยทรงผมสุดเท่และความฝันอยากครองโลก มาตอนนี้เธอเป็นเพียงคนเดียวในเมืองนินจาโกที่ไม่กลัวการเผชิญกับใบหน้าอันน่าเกรงขามของเขา จ้องมองดวงตาสีแดงที่ลุกโชนและตำหนิเขาด้วยท่าทีอันสง่างาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกชายของทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย
ไม่ใช่ความผิดของเธอถ้าเขายังคงคิดว่าความอารมณ์ร้อนของเธอนั้น…ช่างร้อนแรงจริงๆ
“โดยทั่วไปแล้วการ์มาดอนไม่เข้าใจ” โอลิเวียมันน์กล่าว “เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองเขาคิดว่า ‘เราก็หน้าตาดีเรื่องนี้ผ่านเรามีอำนาจนะเรื่องนี้ผ่านเรามีเงินทองเรื่องนี้ก็ผ่านมีอะไรให้ไม่พอใจล่ะ’ สำหรับโคโค่ปัญหาอยู่ที่เรื่องจิตใจรวมทั้งความเห็นแก่ตัวและหลงตัวเองเธอจึงทิ้งเขาไปเพื่อให้ลูกชายได้มีชีวิตที่ดีกว่า”
ในฐานะคุณแม่ที่ทำงานเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวโคโค่พยายามช่วยชี้แนะและสนับสนุนลอยด์ให้ผ่านช่วงวัยรุ่นไปได้โดยไม่เคยสงสัยเลยว่าแท้จริงแล้วเขาคือนินจาเขียว “เธอพยายามเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่พิเศษและเข้าอกเข้าใจกันในหลายๆแง่เธอก็เห็นตัวเองอยู่ในตัวลอยด์” มันน์กล่าว
“ความผูกพันระหว่างลอยด์กับแม่ระหว่างโคโค่กับการ์มาดอนและระหว่างการ์มาดอนกับลอยด์เป็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจมากบางครั้งก็ตลกและน่าประทับใจ” เธอกล่าวต่อ “ในช่วงแรกเราจะเห็นว่าพวกเขาเป็นตัวละครตามแบบฉบับอย่างเช่นว่าโคโค่ก็เป็นคุณแม่ผู้มีความสุขและมองโลกในแง่ดีจากนั้นคุณจะค้นพบว่าเธอมีอดีตที่เป็นความลับเพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ว่าตัวละครทุกตัวจะตรงตามแบบฉบับความสนุกอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงในตัวละครเหล่านี้และการที่ตัวละครมีความสมจริงและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น”
“เมื่อคุณได้ค้นพบอดีตระหว่างเธอกับการ์มาดอน” บีนยืนยัน “คุณจะได้เห็นว่าเธอยอมเสียสละอะไรบ้างเพื่อลูกชาย”
การ์มาดอนกับวู: พี่น้องแต่เพียงในนาม
การ์มาดอนมีปัญหาในการเข้ากับทุกคนอย่างเห็นได้ชัด เขามีปัญหากับลูกชาย กับภรรยาเก่า และแน่นอนว่ากับบรรดาแม่ทัพของเขาด้วย เขาชอบไล่คนเหล่านั้นออกเพียงเพราะการฝ่าฝืนกฎเล็กน้อยหรือแม้แต่เรื่องที่เขาคิดไปเอง และไม่ใช่แค่ไล่ออก แต่เป็นยิงออกจากยอดภูเขาไฟ การ์มาดอนไม่สามารถทำดีแม้แต่กับพี่ชายของตัวเองอย่างอาจารย์วูผู้เป็นที่เคารพ ชายผู้ทรงภูมิ ไว้เครา ใส่ชุดขาว และเป่าขลุ่ย ผู้รอบรู้ในหลักเซนและมีฝีปากคมอย่างน่าเหลือเชื่อ ลินบรรยายถึงเขาไว้ว่าเป็น “หัวใจและแกนหลักทางอารมณ์ของหนังเรื่องนี้ และเป็นขั้วตรงข้ามของการ์มาดอน”
“เฉินหลงสร้างความขำขันให้ตัวละครวู และเขาก็น่ารักจริงๆ ด้วยเสียงพากย์ที่ออกมา” ลินกล่าว “เขาช่วยเพิ่มสีสันทางอารมณ์เข้าไปในหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นหรืออารมณ์ขัน แล้วยังช่วยให้ความสมจริงด้วย เพราะเราต้องการให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังศิลปะการต่อสู้ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเอเชีย และเฉินหลงก็ช่วยดูแลด้านแอ็คชันอย่างแข็งขันเพื่อให้แน่ใจว่าเรานำเสนอออกมาได้อย่างถูกต้อง”
“อาจารย์วูเป็นพี่ชายของการ์มาดอน แต่ก็เป็นศัตรูด้วย” เฉินหลงอธิบายโดยทำท่าทางเอาจริงเอาจัง “อาจารย์วูเป็นลุงของลอยด์ แต่ก็เป็นอาจารย์ของเขาด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะมองยังไง มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ละเอียดอ่อน และน่าสนใจ”
ความเกลียดชังที่สั่งสมมานานระหว่างวูและการ์มาดอนมาถึงจุดระเบิดบนสะพานเชือกเหนือแม่น้ำไหลเชี่ยว ซึ่งเฉินหลงกล่าวว่าเป็นฉากการต่อสู้ที่เขาชื่นชอบในหนังเรื่องนี้
เธอโรซ์กล่าวว่า “มันเป็นการขับเคี่ยวระหว่างพี่น้องตามแบบคลาสสิก เราไม่เห็นว่าอะไรทำให้การ์มาดอนเข้าสู่ด้านมืด แต่เมื่อเวลาผ่านไป สองพี่น้องก็ยิ่งห่างเหิน คนหนึ่งเข้าสู่ด้านมืดขณะที่อีกคนหนึ่งยังอยู่ในด้านสว่าง ดังนั้นสองคนนี้จึงเข้ากันไม่ได้ ถึงตอนนี้รอยร้าวยิ่งบาดลึกเข้าไปอีกเมื่อการ์มาดอนรู้ว่าวูคอยดูแลลูกชายที่เขาทอดทิ้ง และอบรมสั่งสอนลูกของเขาให้เป็นคนดี”
ที่จริงแล้วเพราะเห็นศักยภาพในตัวนินจาหนุ่มและรู้ว่าเมืองนินจาโกต้องการฮีโร่ “อาจารย์วูได้ช่วยให้ลอยด์บรรลุสิ่งที่โชคชะตาลิขิตไว้ให้เขา” เฉินหลงกล่าว
นอกจากเตรียมตัวให้ลอยด์รับหน้าที่เป็นนินจาเขียวอาจารย์วูยังได้ฝึกฝนเพื่อนๆของลอยด์เพื่อนร่วมโรงเรียนผู้กระตือรือร้นแต่ขาดสมาธิทั้งห้าคนได้แก่โคลนียา เจย์ ไคย์ และเซน แต่ละคนมีความสามารถพิเศษซึ่งแสดงให้เห็นผ่านการต่อสู้ด้วยหุ่นรบประจำตัวและลีลาการต่อสู้เฉพาะตัว และถ้าพวกเขาทำได้ สิ่งเหล่านี้ก็จะสะท้อนพลังธาตุประจำตัวของพวกเขาออกมา นั่นคือ ธาตุดิน น้ำ สายฟ้า ไฟ และน้ำแข็ง
ทันทีที่ได้รับแจ้ง พวกเขาต้องทิ้งทุกอย่าง รีบออกจากบ้านหรือห้องเรียน ใส่ชุดนินจาและออกไปขับไล่กองกำลังของการ์มาดอน พวกเขาปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างจริงจัง…ไม่มากก็น้อย ความจริงคือ แม้ว่าจะกล้าหาญ ฉลาด และกระตือรือร้นที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่าง (เสียเป็นส่วนใหญ่) แต่ลอยด์และผองเพื่อนก็ยังต้องพัฒนาอีกมากในเรื่องการทำงานร่วมกันและบรรลุศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง ในความเห็นของอาจารย์วู พวกเขาต้องหยุดคาดหวังให้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีมาช่วยรบ แล้วพึ่งพาตัวเองและคนในทีมให้มากขึ้น
โคล/ ธาตุดิน
เฟรดอาร์มิเซนพากย์เสียงเป็นโคลนินจาดินชายหนุ่มที่เป็นคนสบายๆชอบใส่เสื้อกล้ามสีดำและหลงใหลเรื่องดนตรีอย่างจริงจัง “โคลจะไม่ชอบถ้าใครมาบอกว่าเขาเป็นฮิปสเตอร์แต่เขาชอบแผ่นไวนิลและของวินเทจแถมยังตั้งใจทำตัวเป็นคนคูลๆเอามากๆด้วย” บีนกล่าว
โคลไม่ค่อยชอบไปไหนหากขาดเสียงเบสดังกระหึ่ม และเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยอมรับว่าชื่นชอบการเป่าขลุ่ยของอาจารย์วู หุ่นของเขาซึ่งตั้งชื่อได้อย่างพอเหมาะพอเจาะว่าหุ่นพลังสั่นสะเทือนเป็นเหมือนเครื่องวิทยุเทปขนาดใหญ่ พร้อมด้วยเครื่องเล่นแผ่นเสียงคู่ในตัว และระบบซับวูฟเฟอร์ที่ช่วยให้เขามันไปกับจังหวะเพลง ขณะถล่มศัตรูด้วยแรงสั่นสะเทือนจากคลื่นเสียง
“พูดในฐานะมือกลอง” อาร์มิเซนกล่าว “การสั่นสะเทือนแบบนั้นมันทรงพลังมากนะครับและเขาก็ใช้มันเป็นเหมือนค้อนหุ่นของโคลเป็นเหมือนบูธดีเจที่ดัดแปลงมา””
ถึงอย่างนั้นอาร์มิเซนก็เข้าใจหลักการของวูเป็นอย่างดี “ในการฝึกนินจานั้นมีเรื่องของการฝึกจิตและการค้นพบความเป็นนินจาภายในตัวคุณและควบคุมพลังนั้นให้ได้แทนที่จะเอาแต่พึ่งหุ่นยนต์ทันสมัยพวกนี้”
นอกจากการทำงานเดี่ยวแล้วอาร์มิเซนยังได้พากย์เสียงในห้องอัดร่วมกับนักพากย์คนอื่นด้วย “มีครั้งหนึ่งที่เราพากย์พร้อมกันหมดและมีครั้งหนึ่งที่ผมพากย์พร้อมกับเดฟฟรังโก” เขาเล่า “ผมรู้จักจัสตินเธอโรซ์มานานและเคยทำงานกับเขามาก่อนทุกคนตลกมากซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยบางครั้งคุณนำคนตลกๆมารวมกันแล้วอารมณ์ขันของแต่ละคนกลับไม่เข้ากันแต่ทีมนี้เยี่ยมมากครับคนคัดเลือกทำงานได้ดีมากในการรวมคนที่เหมาะสมมาทำงานร่วมกัน”
นียา / ธาตุน้ำ
แอบบี จาค็อบสัน แสดงเป็นนียา นินจาธาตุน้ำในชุดแจ็คเก็ตหนังสีเงิน เธอควบคุมหุ่นวอเตอร์สไตรเดอร์ตะลุยทั้งบนบกและในน้ำ ยานพาหนะคันโปรดอีกคันก็คือรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งเธอแต่งใหม่เพื่อคารวะต้นแบบของเธอ เลดี้มังกรเหล็ก ซึ่งเป็นบุคคลในตำนาน บีนมองว่า “เธอน่าจะเป็นคนที่มั่นใจที่สุดในกลุ่ม แข็งแกร่งสุดยอด และเป็นคนที่คุณไม่ควรไปหาเรื่องด้วย”
นียา อาจเป็นน้องสาวของไคย์ก็จริง แต่เมื่อถึงเวลาเป็นนินจา เธอก็ไม่เป็นสองรองใคร จาค็อบสันกล่าวว่า “เธอมีพลังเต็มเปี่ยม มุ่งมั่น และยืนหยัดด้วยตนเอง นียา ไม่ใช่แค่ลูกสมุนในแก๊งค์ เธอเป็นส่วนสำคัญของกองกำลังนินจาลับและรับบทบาทหลักในการปกป้องเมือง”
ในการรับบทนี้ จาค็อบสันมักนึกถึงหลานสาวของเธอซึ่งอายุสองขวบและสี่ขวบ “พวกแกอาจยังเด็กเกินไปที่จะดูหนังในตอนนี้” เธอกล่าว “แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อหลานๆ ได้ดู ฉันจะบอกพวกแกว่า ‘นี่คือคนที่หนูควรดูไว้เป็นตัวอย่างของการทำงานเป็นทีมและการให้กำลังใจกัน เธอคอยช่วยเหลือเพื่อนๆ และพยายามหาทางแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา” ฉันภูมิใจที่ได้พากย์เสียงตัวละครนี้นะคะ พูดตามตรงเลย”
จาค็อบสันมองว่าผู้ชมจะเปิดรับแนวคิดในเรื่องนี้เช่นเดียวกับเธอ โดยกล่าวว่า “มันน่าประทับใจค่ะ เป็นเรื่องของมิตรภาพและครอบครัว รวมถึงการตระหนักว่าเราทุกคนมีสิ่งที่พิเศษอยู่ในตัวเองและมีทักษะในแบบของตัวเอง เมื่อคุณหาสิ่งนั้นเจอ โลกก็จะเป็นของคุณ””
เจย์/ สายฟ้า
คุมาอิล แนนจิอานี รับบทเป็นเจย์ นินจาสายฟ้า ผู้แต่งตัวด้วยชุดสีน้ำเงินตัดกับผ้าพันคอสีส้ม…เผื่อไว้ในเวลาอากาศหนาว เจย์อาจดูระวังตัวมากไปหน่อยสำหรับคนที่บินไปบินมาด้วยหุ่นที่มีชื่อว่าไลท์นิงเจ็ตและปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมา แต่นั่นเป็นเพียงเสน่ห์ส่วนหนึ่งของคนนอกอยางเขา
“ความกล้าหาญของเจย์ค่อยๆ พัฒนาไปตลอดทั้งเรื่อง” บีนเสนอ แนนจิอานีมองว่าประเด็นนี้ “เข้าถึงได้ง่าย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในโรงเรียนไฮสคูลเท่านั้น ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เคยหายไป การที่คนเราอยากมีคนชื่นชม อยากอยู่ร่วมในสังคม และได้รับการยอมรับ เจย์ได้รับการยอมรับในหมู่เพื่อนนินจาแต่เขาไม่ค่อยได้รับการยอมรับในกลุ่มคนอื่นๆ เด็กเหล่านี้ไม่ใช่เด็กเท่ที่โรงเรียน ทุกคนชอบนินจาแต่ไม่มีใครรู้ว่าเด็กเหล่านี้เป็นนินจา ลอยด์กลายเป็นคนนอกเพราะพ่อของเขาคือการ์มาดอน ส่วนคนอื่นๆ นั้นผมคิดว่าก็ได้รับผลกระทบไปด้วยจากการคบหากับลอยด์ ถ้าเพียงแต่เด็กคนอื่นๆ รู้ความจริง ทุกอย่างก็คงจะวิเศษมาก”
แม้กระทั่งภายในทีมความประหม่าและไม่มั่นใจในตัวเองของเจย์ก็ยังทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่นไปบ้างเวลาที่ทุกคนห้าวหาญพร้อมออกรบเจย์จะมาพร้อมกับคำว่า “ก็คงงั้นมั้ง” แต่เพื่อนๆรู้ดีว่าแม้เจย์จะไม่วางท่าแสดงความกล้าหาญแต่เขาก็ทำหน้าที่ได้ดีเสมอเมื่อถึงคราวจำเป็นด้วยพลังที่ประจุไว้เต็มเหนี่ยว
คงจะดีถ้าเขาสามารถนำความกล้าหาญนั้นไปบอกรักคนที่เขาชอบแบบไม่ค่อยแอบเท่าไหร่ นียา …
“เป็นเรื่องราวที่ตลกแต่ก็น่าประทับใจครับ” แนนจิอานียอมรับ “แก่นเรื่องอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก แต่มันก็พูดถึงความสัมพันธ์ที่ตัวละครทั้งหมดมีต่อกันและกัน รวมถึงความสัมพันธ์ต่อตัวเองด้วย”
ไคย์/ นินจาไฟ
ผู้ที่มาพากย์เสียงเป็นไคย์พี่ของนียา ก็คือไมเคิล เพนยา นินจาไฟรายนี้สวมชุดสีแดงตามชื่อ ยิงลูกไฟออกจากหุ่นยนต์ไฟซึ่งมีปืนสองลำกล้อง และเขาหวังว่าวันหนึ่งจะสามารถปล่อยหิ่งห้อยออกมาจากปลายนิ้วได้เหมือนที่อาจารย์วูเคยสัญญาไว้ ถ้าเพนยาสามารถทำอะไรแบบนั้นได้ก็คงถูกใจลูกชายวัยแปดขวบ ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นเหตุผลหลักในการมารับบทครั้งนี้ “เผื่อผมจะเป็นยอดคุณพ่อกับเขาบ้าง” เขากล่าว
“ผมเริ่มดูหนังแอนิเมชันกับลูก แล้วเขาก็หัวเราะใหญ่เลย” เพนยาเล่า “ทุกคนรู้ดีว่าถ้ามีลูก คุณจะทำทุกอย่างให้ลูกหัวเราะ ลูกผมเป็นลูกค้าที่เอาใจยากนะ แต่เขาชอบทุกอย่างที่เป็น LEGO เขาพูดถึงมันราวกับว่าเพิ่งกลับจากประชุมสัมมนา เหมือนกับว่ามีโลกใต้ดินเกี่ยวกับ LEGO ซึ่งมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ ผมก็เลยรีบคว้าโอกาสที่จะทำงานนี้ ผู้ชมต้องชอบมันแน่ๆ แต่สำหรับที่บ้านผมทำได้ตามเป้าแล้วล่ะ”
ไคย์มักถูกกล่าวถึงว่าเป็นคนอารมณ์ร้อนเขาอาจมีความอดทนต่ำก็จริงแต่ก็เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจและชอบปกป้องผู้อื่นเขาเป็นคนแรกที่จะกระโจนเข้าสู่สนามรบแล้วก็มักจะเป็นคนแรกที่สวมกอดเพื่อนอย่างอบอุ่นเมื่อเพื่อนท้อแท้ใจ
สำหรับเพนยา การอัดเสียงร่วมกับผู้พากย์คนอื่นๆ นั้น “เหมือนกีฬาโอลิมปิกของการแสดงตลกเลยครับ เป็นการทำงานกับนักพากย์เก่งๆ ซึ่งบางคนก็เป็นนักเขียนเรื่องตลกด้วย พวกเขากระโดดขึ้นเวทีและโชว์ลีลาท่าทางของตัวเอง เหมือนผมต้องพยายามเข้าไปกระโดดเชือกร่วมกับพวกเขาเลยล่ะ”
เซน/ นินจาน้ำแข็ง
จากไฟก็มาถึงน้ำแข็ง แซ็ค วูดส์ พากย์เสียงเป็นเซน นินจาน้ำแข็งสุดเท่ครึ่งมนุษย์ครึ่งหุ่นยนต์ในชุดสีขาวโพลนเหมือนตู้เย็นรุ่นเก่า เซนปล่อยธารน้ำแข็งออกมาจากหุ่นของเขาที่มีชื่อว่าไอซ์แท็งค์ วูดส์กล่าวว่าหุ่นนี้ “เหมือนรถแทรกเตอร์ขั้วโลกเหนือที่มีสายพานอันใหญ่”
“ในบรรดาบททั้งหมดที่ผมเคยเล่นมา บทนี้น่าจะใกล้เคียงตัวผมในชีวิตจริงมากที่สุดแล้วครับ” วูดส์กล่าวติดตลก “เซนอยากให้คนมองว่าเขาเป็นวัยรุ่นธรรมดาเหมือนคนอื่นๆ แต่กระบวนการคิดแบบหุ่นยนต์ก็คอยมาขัดขวางเขาอยู่เรื่อย”
ชีวิตไฮสคูลเป็นเรื่องยากอยู่แล้วโดยไม่ต้องเป็นคนที่แตกต่างขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำแต่ถึงแม้ว่าสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเขาเป็นฟรีออนแทนที่จะเป็นเลือดและตรงที่ควรเป็นหัวใจกลับเป็นแผงวงจรคอมพิวเตอร์เซนผู้มีตรรกะเหตุผลและระบบระเบียบก็แสดงผลข้อมูลทางอารมณ์ได้อย่างเที่ยงตรงโดยมีความซื่อสัตย์จริงใจเป็นอันดับแรกการที่เขาปรารถนาจะกลมกลืนในสังคมอาจเป็นลักษณะความเป็นมนุษย์ที่น่าประทับใจที่สุดของเขารวมไปถึงการอยากควบคุมหุ่นยนต์ขนาดใหญ่ด้วย
“หนังเรื่องนี้เน้นไปที่เด็กๆ ซึ่งเป็นนักเรียนในตอนกลางวันและใช้ชีวิตตามปกติ จากนั้นจู่ๆ ก็ต้องแปลงร่างกลายเป็นนินจาเพื่อต่อสู้กับกองกำลังอันชั่วร้าย” วูดส์กล่าว “ผมคิดว่าเด็กจำนวนมากอาจฝันถึงการทิ้งความจำเจของชีวิตประจำวันแล้วออกไปต่อสู้กับคนชั่วด้วยหุ่นยนต์ยักษ์ ใครจะไม่คิดกันล่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นการทำความปรารถนาของเด็กๆ ให้เป็นจริงครับ”
“นินจาทุกคนรู้ว่าเมื่อใดควรต่อสู้และเมื่อใดควรกลมกลืน”
บีนตื่นเต้นกับทีมนักพากย์ทีมนี้มาก เขากล่าวว่า “ทุกคนเก่งมากและตลกมากครับ มีเสน่ห์มาก แล้วก็นำความเป็นตัวเองมาใส่ในงานนี้ด้วย หลายคนเป็นนักเขียน เมื่อเราได้พวกเขามารวมกันและต่างคนต่างก็โต้ตอบและช่วยขัดเกลาให้กันและกัน เราก็จะได้ฉากตลกๆ มากมาย รวมถึงหลายๆ ช่วงที่ผมชอบจากการอัดเสียงเหล่านั้น สิ่งที่ยากที่สุดคือเราต้องพยายามไม่ทำเทคเสียจากการหลุดหัวเราะออกมาหรือเล่นหลุดจากบทเพราะมีใครสักคนพูดอะไรที่เราไม่คาดคิด”
มีการจับคู่เพื่ออัดเสียงพร้อมกันอยู่บ้างเช่นฟรังโกกับเธอโรซ์การทำงานร่วมกันระหว่างคู่นี้ช่วยถ่ายทอดความลึกซึ้งทางอารมณ์ในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกแต่ส่วนใหญ่แล้วผู้พากย์อัดเสียงแยกทีละคนโดยได้รับคำสั่งและแนวทางจากบีนผ่านทาง Skype ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ใช้กันทั่วไปในงานแอนิเมชันการอัดเสียงใช้เวลาราว 18 เดือนระหว่างนั้นงานแอนิเมชันก็ได้รับการปรับปรุงไปเรื่อยๆงานพากย์ก็ช่วยให้ข้อมูลสำหรับการทำงานด้านภาพและในทางกลับกันด้วย
“ชาร์ลีสื่อสารอย่างชัดเจนและเปิดกว้างให้ทุกคนได้ทำงานร่วมกัน” มันน์กล่าว “การพากย์หนังแอนิเมชันเป็นการทดสอบสัญชาตญาณด้านการแสดงทั้งหมดของคุณคุณต้องเข้าไปในห้องอัดและออกท่าออกทางตะโกนกรีดร้องและกระโดดไปทั่วรวมทั้งคิดหาวิธีการพูดอะไรสักอย่างออกมา 15 แบบเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ที่ถูกต้องชาร์ลีจะโยนบทมาให้หนึ่งประโยคแล้วคุณจะได้เห็นปฏิกริยาของเขาขณะที่คุณลองพากย์ด้วยวิธีต่างๆกันพอเห็นประกายในดวงตาเขาแล้วคุณก็จะรู้เขาจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลยการทำให้เขาหัวเราะเป็นเรื่องสนุกดีค่ะ”
สำหรับรอบโบนัส นักพากย์หลักเกือบทุกคนมารวมตัวกันเพื่ออัดเสียงเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งเป็นการอัดเสียงที่ทุกคนชื่นชอบกันมาก ด้วยการย้อนกลับไปยังเนื้อหาเรื่องราวส่วนใหญ่ พวกเขาจะต้องตอบสนองต่อปฏิกริยาของกันและกันเหมือนนักแสดงในหนังทั่วไป สร้างความขำขัน และมุ่งความสนใจไปยังเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ด้วยแนวทางที่แตกต่างออกไป
“ทุกคนสวมบทบาทอยู่ตลอดเวลาและสามารถด้นสดในสถานการณ์ไหนก็ได้ ฉากบางฉากถูกสร้างขึ้นให้สอดคล้องกับการพากย์ เป็นกระบวนการที่ยอดเยี่ยมไปเลยครับ” แนนจิอานีกล่าว
นักพากย์สมทบของหนังเรื่องนี้ ได้แก่ โรบิน โรเบิร์ตส์และไมเคิล สเตรแฮน พวกเขาพากย์เสียงเป็นตัวละครหุ่นเลโก้ที่ปลุกชาวเมืองด้วยรายการยอดนิยม “Good Morning NINJAGO” อาลี หว่อง พากย์เสียงเป็น พลหญิงโอลิเวีย คนของการ์มาดอนที่ต้องอยู่ติดกับภูเขาไฟตลอดเวลา และชาร์ลีน ยี เป็นเทอร์รี หนึ่งในเหล่าเนิร์ดด้านไอที ในส่วนตัวละครชาวเมืองนินจาโกนั้น ลอรา ไคท์ลิงเกอร์ พากย์เสียงเป็นครูโรงเรียนไฮสคูล มิสลอดิทา ขณะที่แรนดัลล์ พาร์คและเร็ตตาพากย์เสียงเป็นเชียร์ลีดเดอร์สองคนประจำโรงเรียน คริส ฮาร์ดวิค เป็นดีเจของสถานีวิทยุท้องถิ่น และบ็อบบี ลี เป็นเจ้าของสตูดิโอพิลาทีสซึ่งถูกทำลายโดยการ์มาดอน คอนสแตนซ์ วู เป็นนายกเทศมนตรีของเมืองนินจาโก และในส่วนที่ใช้คนแสดงของหนังเรื่องนี้ คาน กัลเดอร์ เป็นเด็กชายตัวน้อยที่แสดงร่วมกับเฉินหลง
ประกอบชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน
“The LEGO NINJAGO Movie” ใช้เวลาในการสร้างราวสี่ปีโดยผู้สร้างหนังนักสร้างแอนิเมชันและนักออกแบบทำงานร่วมกันจากสำนักงานในลอสแองเจลีสจาก Animal Logic ในซิดนีย์ออสเตรเลียและจากสำนักงานใหญ่ของ LEGO ในบิลลันด์เดนมาร์คเช่นเดียวกันกับที่เคยทำมาใน “The LEGO Movie” และ “The LEGO Batman Movie”
ในช่วงสองปีระหว่างนั้น บีน ผู้กำกับชาวสหรัฐ อาศัยอยู่ในออสเตรเลียเพื่อลงมือทำงานร่วมกับทีมแอนิเมชัน “Animal Logic เป็นศูนย์รวมของผู้มีพรสวรรค์จากทั่วโลกในงานด้านแอนิเมชันและวิชวลเอฟเฟ็กต์ เป็นบรรยากาศการทำงานที่มีผู้คนจากหลายประเทศครับ” เขากล่าว
“สิ่งที่น่าทึ่งของ Animal Logic คือพวกเขาใส่ใจอย่างมากว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะให้อารมณ์และมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร” แดนลินเสริม “พวกเขาทำการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อผลักดันงานให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ”
นักสร้างแอนิเมชันได้ดึงเอาฐานข้อมูลตัวต่อดิจิตัลมาใช้จากที่ได้รวบรวมไว้ตั้งแต่สร้างหนังเรื่องแรก ตัวต่อแต่ละชิ้นได้รับการเรนเดอร์ ให้แสงเงา กำหนดพื้นผิว และปรับแต่งเพื่อสะท้อนร่องรอยการใช้งานที่สมจริง จากนั้นจึงนำมาใช้สร้างเป็นฉาก ของประกอบฉาก ยานพาหนะ และประชากรในแบบ LEGO นอกจากนี้ยังมีการสร้างตัวต่อดิจิตัลอีก 3,463 แบบขึ้นมาใหม่ รวมถึงมีการออกแบบเครื่องแต่งกายของหุ่นเลโก้ดิจิตัลอีก 350 แบบ และหินดิจิตัลอีก 100 แบบ มีเม็ดทรายกว่า 100 ล้านเม็ดปรากฏอยู่บนชายหาดเมืองนินจาโกในช็อตเดียว ขณะที่ตัวเมืองและภูเขาที่โอบล้อมนั้นสร้างขึ้นจากตัวต่อเกือบ 12.7 ล้านชิ้น ด้วยขนาดราว 841 ตารางเมตรในโลกความเป็นจริง เมืองนี้จึงมีขนาดเล็กกว่าฐานของมหาพิระมิดแห่งกีซาเพียงเล็กน้อย
แต่หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่ “The LEGO Movie” เปิดตัวในปี 2014 เกรกอรีโจว์ลีผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์กล่าวว่า “เรายกเลิกการใช้เทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่เราพัฒนาในหนังเรื่องแรกและปรับปรุงทุกอย่างให้ดียิ่งขึ้นเราต้องการทำให้ใหญ่ขึ้นและไปให้ไกลขึ้นรวมถึงเพิ่มความซับซ้อนให้มากขึ้นไปอีกเราเพิ่มตัวต่อในคลังของเราและปรับแต่งรายละเอียดของตัวต่อแต่ละชิ้นให้มันมีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับตัวต่อที่คุณพบได้ในโลกความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นตัวต่อชิ้นใหม่หรือตัวต่อที่ใช้เล่นมานานแล้วเราถึงขั้นนำหุ่นเลโก้มาผ่านการสแกนความละเอียดสูงเพื่อให้แน่ใจว่าทุกมุมออกมาอย่างถูกต้อง
“เราไม่ใช้วิธีลัดในเรื่องไหนเลย” โจว์ลีเสริม “เราไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของตัวต่อยิ่งเมื่อเพิ่มสิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติอย่างต้นไม้และหินเข้าไปก็ยิ่งต้องอาศัยความสามารถในการเรนเดอร์ที่เพิ่มขึ้นผมเชื่อว่าสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือโอกาสที่จะสร้างเอฟเฟ็กต์ซึ่งมีความถูกต้องในเชิงกายภาพอย่างเช่นเอฟเฟ็กต์น้ำเปลวไฟประกายไฟและการระเบิดขนาดเล็กจิ๋ว”
การนำตัวต่อเลโก้มารวมกับองค์ประกอบในโลกความเป็นจริงรวมถึงพืชชนิดต่างๆถึง 254 ชนิดนับเป็นสิ่งที่ทำให้ “The LEGO NINJAGO Movie” มีงานภาพที่แตกต่างออกไป
“เราต้องการก้าวไปอีกขั้นในการขยายภาพจักรวาลของ LEGO” แม็คเคย์กล่าว “ตอนเป็นเด็กเราเคยนำของเล่นออกไปเล่นในสวนเล่นในกระบะทรายหรือไปออกแคมป์แนวคิดนี้กลายเป็นสิ่งสำคัญต่อเนื้อเรื่องเพราะนินจาของเราจำเป็นต้องย้อนกลับสู่รากเหง้าเดิมเพื่อค้นหาพลังธาตุของตนการเดินทาง ‘คืนสู่สามัญ’ มีความหมายทั้งในแง่การฝึกฝนและการผจญภัยของตัวละครผ่านป่าดงดิบอันตรายที่ล้อมรอบเมืองนินจาโกอยู่ดังนั้นเราจึงต้องนำเสนอองค์ประกอบทางธรรมชาติที่สมจริงเหมือนภาพถ่ายนอกเหนือไปจากตัวต่อพลาสติกที่สมจริง”
ด้วยแนวคิดดังกล่าว คิม เทย์เลอร์ นักออกแบบงานสร้างหนึ่งในสองคนของหนังเรื่องนี้กล่าวว่า “หนังเรื่องนี้เน้นแสงภายนอกมากกว่าเรื่องอื่นๆ มีท้องฟ้าจริง เมฆจริง และแสงแดดที่อบอุ่น การนำเสนอธรรมชาติจากมุมมองของหุ่นเลโก้นั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ผมใช้ภาพถ่ายมาโครความละเอียดสูงเพื่อดูว่าใบหญ้าหรือต้นบอนไซมีหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อเราอยู่ใกล้แค่เซนติเมตรเดียว แล้วก็ได้เห็นพืชต้นเล็กๆ หลายชนิดซ่อนอยู่ตามต้นมอส ที่พื้นดินเป็นเหมือนสวนอีกรูปแบบหนึ่งเลยครับ”
เหนือขึ้นมาจากระดับของต้นมอสภาพมุมไกลของเมืองนินจาโกเผยให้เห็นมหานครยุคใหม่อันน่าตื่นตาที่รวมความเป็นเอเชียเข้าไว้ด้วยกันและครึกครื้นไปด้วยกิจกรรมและสีสันหรือถ้าจะให้เฉพาะเจาะจงลงไปก็คือสีทางการของ LEGO รวม 57 สี
ลินกล่าวว่า “นินจาโกเป็นเกาะที่ลึกลับน่าค้นหาเป็นโลกที่ไม่เหมือนโลกไหนๆมันไม่ใช่เป็นตัวแทนประเทศหรือวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่งแต่เป็นการผสมผสานอิทธิพลแบบเอเชียที่แตกต่างกันทั้งจากไทยไปจนถึงจีนและญี่ปุ่นในแง่นี้พูดได้ว่ามันเลียนแบบมาจากจินตนาการของเด็ก”
แตกต่างจากเมืองบริคส์เบิร์กซึ่งวางผังเมืองตามแนวตารางและอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ของก็อตแธมซิตี้เมืองนินจาโกกลับซ้อนกันขึ้นไปตามแนวตั้ง “มันไม่ใช่เมืองที่อาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัยที่สุดแต่เป็นเมืองที่สนุกที่สุดเมืองหนึ่งอย่างแน่นอน” เทย์เลอร์กล่าว “มันไม่เป็นแนวเส้นตรงทั้งเมืองไม่มีเส้นตรงเลยเราต้องการให้บรรยากาศที่สื่อถึงประวัติศาสตร์ดังนั้นตรงใกล้ด้านล่างที่ติดกับคลองจะเป็นอาคารเก่าและเหนือขึ้นไปเป็นตึกระฟ้าขนาดใหญ่ที่สร้างทับลงบนตึกอื่นๆ”
สถานที่อันโดดเด่นของเมืองนี้ซึ่งแน่นอนว่าการ์มาดอนตั้งใจจะยึดครองก็คือตึกสูงที่สุดในเมืองตึกนินจาโกตึกนี้มีความสูงกว่า 22 ฟุตถ้าคิดเป็นหน่วยของมนุษย์
แม็ตต์เอเวอริตต์ผู้ดูแลการกำกับแอนิเมชันอธิบายว่า “คุณจำเป็นต้องรักษาสเกลของโลกที่สร้างขึ้นเพราะหุ่นมินิฟิเกอร์สูงแค่นิ้วครึ่งและถึงแม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในโลกอันยิ่งใหญ่จากมุมมองของหุ่นแต่ตึกสูงที่สุดก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าห้องธรรมดาห้องหนึ่งในสายตาของเรามันช่วยเป็นพื้นฐานในการทำงานเวลาเราทำช็อตแอนิเมชันเราต้องคิดว่าตัวละครเหล่านี้เป็นมนุษย์ตัวจิ๋วที่อาศัยอยู่ในจักรวาลแบบมาโครโดยมีกล้องตั้งอยู่แค่หนึ่งนิ้วจากใบหน้าของพวกเขา”
ที่จริงแล้วเทย์เลอร์กล่าวว่า “ชาร์ลีต้องการถ่ายทอดทุกอย่างเสมือนผ่านทีมกล้องสองทีมทีมหนึ่งในสเกลของมนุษย์เพื่อถ่ายทำช็อตที่เรารู้สึกว่าเรากำลังมองไปที่ตัวต่อเลโก้อีกทีมหนึ่งนั้นอยู่ในสเกลของเลโก้เหมือนกับว่าตัวหุ่นเลโก้เป็นผู้ถือกล้องเอง”
เมืองนินจาโกในหนังเรื่องนี้มีประชากรไม่น้อยกว่า 315 ตัวมีใบหน้าที่แตกต่างกัน 80 แบบและรูปแบบสีหน้าที่ผสมกันออกมาได้ถึง 12,000 รูปแบบเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ที่เข้าถึงได้นักสร้างแอนิเมชันยังได้ขับเน้นบุคลิกภาพของตัวละครเหล่านี้ให้เด่นชัดขึ้นด้วยของตกแต่งเช่นพลาสเตอร์บนหน้าผากของไคย์เพื่อแสดงให้เห็นถึงนิสัยที่ชอบกระโจนเข้าใส่ทุกสิ่งและดวงตาสีเขียวของลอยด์ซึ่งไม่ใช่เฉดสีมาตรฐานของ LEGO และพัฒนาขึ้นเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะเพื่อให้สื่อถึงตัวตนที่ซ่อนอยู่ภายใน
“คุณต้องคิดเหมือนงานแอนิเมชันยุคเก่า” แม็คเคย์กล่าว “คุณไม่สามารถใช้แอนิเมชันแบบยืดหดเด้งดึ๋งได้ไม่สามารถใช้ใบหน้าที่มีลักษณะกายวิภาคชัดเจนได้คุณอาจต้องใช้ร่างกายทั้งหมดของตัวละครเพื่อแสดงความรู้สึกหรือถ่ายทอดอารมณ์ออกมาผมชอบหน้าตาท่าทางของตัวละครความเรียบง่ายในการออกแบบตัวละครช่วยให้เกิดแอนิเมชันที่อ่อนโยนจริงใจและเปี่ยมด้วยอารมณ์”
การแสดงของผู้พากย์ก็มีส่วนสำคัญมากเนื่องจากมีพื้นที่จำกัดเทย์เลอร์กล่าวว่า “แค่รายละเอียดที่แนบเนียนอย่างความกว้างตรงหว่างตาเปลี่ยนไปนิดเดียวก็ทำให้ตัวละครเปลี่ยนไปอีกทางได้แล้วครับตัวอย่างเช่นในตัวละครลอยด์เราใช้สีหน้าของเดฟฟรังโกอย่างการอมยิ้มที่แตกต่างจากออกไปจากคนอื่นๆ”
ความแนบเนียนอาจไม่ใช่ประเด็นสำหรับพวกหุ่นยนต์ในส่วนนี้ผู้สร้างแอนิเมชันได้ร่วมทีมกับนักออกแบบของ LEGO เพื่อสร้างสรรค์ผลงานซึ่งไม่เพียงมีขนาดใหญ่น่าเกรงขามงดงามโดดเด่นและเหมาะกับบุคลิกของนินจาแต่ละรายแต่ยังมีโครงสร้างที่มั่นคงแข็งแรงด้วย “เราพยายามทำให้หุ่นยนต์ทุกตัวดูมีขนาดใหญ่“ เอเวอริตต์กล่าวเวลาหุ่นของไคย์ย่ำไปตามท้องถนนคุณจะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักในทุกย่างก้าวของหุ่นโคลก็เช่นเดียวกันเวลาที่เขาซิ่งผ่านมุมถนนด้วยล้อหุ่นยนต์ขนาดยักษ์เขาจะทำให้พื้นสั่นสะเทือนจนรู้สึกได้เมื่อการ์มาดอนกลับมาพร้อมกับหุ่นที่ทรงพลังที่สุดอย่างการ์มาเมคาแมนมันมีขนาดสูงพอๆกับเด็กตัวเล็กๆถ้าสร้างจากตัวต่อจริงและเรารู้ว่าเป็นอย่างนั้นก็เพราะไซมอนไวท์ลีย์หนึ่งในทีมนักออกแบบงานสร้างได้ต่อมันขึ้นมาจริงๆ”
การที่หุ่นเลโก้ไม่งอเข่าและข้อศอกกลายเป็นความท้าทายประการสำคัญที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจอีกเช่นเคยโดยเฉพาะอย่างยิ่งดังที่ลินชี้ว่า “มีแอ็คชันที่เป็นเอกลักษณ์อยู่มากมายในหนังเรื่องนี้ทั้งแอ็คชันแบบศิลปะการต่อสู้หุ่นสู้กับหุ่นนินจาสู้กับหุ่นและนินจาสู้กับสัตว์ประหลาด”
เพื่อให้การต่อสู้มีกลิ่นอายแบบเฉินหลงนักสร้างแอนิเมชันได้ศึกษาฉากการต่อสู้ระหว่างบรูซลีกับบัสเตอร์คีตันซึ่งเป็นส่วนที่สร้างชื่อเสียงให้กับหนังโดยสังเกตแรงปะทะจากการเตะและการต่อยแต่ละครั้งรวมถึงการนำที่ว่างและวัตถุต่างๆในสภาพแวดล้อมมาใช้ให้เป็นประโยชน์เอเวอริตต์กล่าวว่า “เฉินหลงมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการสร้างแอนิเมชันให้ตัวละครอาจารย์วูไม่เพียงแค่วิธีการต่อสู้ของเขาแต่ยังรวมถึงการเคลื่อนไหวในแต่ละฉากหรือเวลาที่เขาเลิกคิ้วขึ้นหรือพูดคุยกับเด็กๆ”
จากนั้นทีมงานก็ยกระดับผลงานขึ้นไปอีกขั้นด้วยการให้ทีมสตันท์รวม 15 คนของเฉินหลงแสดงการต่อสู้ในหนังออกมาจากนั้นนักสร้างแอนิเมชันก็จะนำการต่อสู้นั้นไปแยกส่วนตั้งแต่การวางท่าก่อนเริ่มการต่อสู้ไปจนถึงวิธีการใช้ไม้กระบองหรือดาบบีนเล่าถึงครั้งแรกที่เขากับลินยกเรื่องนี้มาคุยกับเฉินหลง “เขาจ้องดูหุ่นเลโกและจับแขนมันหมุนไปมาแล้วพูดว่า ‘อืมผมว่ามันไม่น่าจะเวิร์คนะ’ จากนั้นเราก็ให้ดูคลิปที่เราทำกันอยู่แล้วผมก็พูดว่า ‘อย่ากังวลเรื่องข้อจำกัดของตัวต่อเลยครับเราจะหาทางทำจนได้ล่ะออกแบบการต่อสู้ให้เหมือนที่คุณทำในหนังเรื่องอื่นๆเลยครับ’”
บางครั้งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับ…ล้อเกวียนและไส้กรอก เอเวอริตต์ยอมรับว่า “เราทำสิ่งที่เรียกว่าการเบลอตัวต่อ โดยเลือกชิ้นส่วนจากคลังตัวต่อของเราที่ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวอย่างเช่น ชิ้นส่วนกระจกหน้ารถ เขาไดโนเสาร์ ล้อเกวียนที่ใส่เอฟเฟ็กต์หมุน และไส้กรอก มีไส้กรอกอยู่ทั่วทุกที่ เวลาดูภาพเคลื่อนไหวปกติคุณอาจไม่เห็น แต่ถ้าดูแบบช้าๆ คุณก็จะเห็น”
องค์ประกอบขั้นสุดท้ายก็คือตัวร้ายโดยบังเอิญซึ่งก็คือแมวบ้านขี้เล่นธรรมดาๆที่เป็นจอมทำลายล้างตามธรรมชาติของมันแต่สำหรับเหล่าประชากรตัวจิ๋วของเมืองนินจาโกลินกล่าวว่า “มันก็คือสัตว์ประหลาดดีๆนี่เอง” หลังจากต้องรับมือกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบทีมซีจีก็รับหน้าที่สร้างแมวตัวนี้ขึ้นมาในรูปแบบดิจิตัลทั้งหมด
“ถือเป็นโอกาสให้เรานั่งดูวิดีโอแมวทางอินเตอร์เน็ตได้ตามใจชอบครับ” เอเวอริตต์หัวเราะ ทีมงานยังได้สร้างฉากสถานการณ์โดยใช้แมวจริงในสตูดิโอ ให้แมวเล่นกับตัวต่อเลโก้แล้วศึกษาว่ามันวางอุ้งเท้าอย่างไร กระพริบตาหรือจ้องตาแบบไหน เราเอาขนมไปวางล่อไว้ที่หุ่นยนต์เพื่อบันทึกภาพเวลาที่แมวเข้าไปใกล้หุ่น ดม ตะครุบ หรือปัดให้มันล้ม และดูว่าหุ่นจะแยกออกเป็นชิ้นๆ อย่างไรเมื่อถูกฟาด “เนื่องจากขนาดที่ไม่ได้สัดส่วนกับโลกของเลโก้ แมวตัวนี้จึงปรากฏตัวในภาพที่ซึ่งเป็นการโคลสอัพแบบใกล้มากๆ ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องออกมาถูกต้อง ตั้งแต่หูและหนวดไปจนถึงปลายหางของมัน”
“ผมคิดว่ามันน่าจะมีขนมากเท่าแมวจริงเลย” เทย์เลอร์กล่าว ที่จริงแล้วขนแมวที่ใช้ซีจีสร้างขึ้นมามีจำนวน 6,493,248 เส้น นับว่าเป็นความสำเร็จทางเทคนิคที่น่าประทับใจ “ไม่มีทางที่เราจะโกงได้ คุณต้องใส่ขนจำนวนมากลงไปบนตัวแมวซีจีแล้วทำให้ขนนั้นตอบสนองต่อแสงอย่างถูกต้อง ชาร์ลีต้องการให้แมวดูน่ารัก นุ่มนิ่ม และขี้เล่น ถึงแม้ว่ามันจะกำลังทำลายเมืองอยู่ก็ตาม”
“เพื่อเข้าใจอนาคต คุณต้องย้อนกลับไปยังอดีตของนินจา”
ศิลปินมัลติมีเดีย นักดนตรี และนักแต่งเพลง มาร์ค มาเธอร์สบอว์ กลับมาทำงานสร้างสรรค์ร่วมกับฟิล ลอร์ด และ คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์อีกครั้ง หลังจากหนัง LEGO เรื่องแรก
“หนังเรื่องนี้ประสานองค์ประกอบของโลกความเป็นจริงเข้ากับความคิดของเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งได้สร้างตัวละครที่ผสมผสานความเป็นจีนและความเป็นญี่ปุ่นตามแบบฉบับเข้าด้วยกัน ผมต้องการให้ดนตรีสะท้อนถึงสิ่งเหล่านั้น” มาเธอร์สบอว์กล่าว “คุณจะได้ยินทั้งเสียงเครื่องดนตรีจีนและญี่ปุ่น แต่เนื่องจากเขาเป็นเด็กยุคใหม่ ดังนั้นจึงมีองค์ประกอบของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อยู่ด้วย ไม่ใช่แค่ตัวดนตรี แต่การเรียบเรียงและกำหนดเสียงประสานสำหรับดนตรีออร์เคสตราสามารถนำคุณไปสู่จินตนาการอันกว้างไกลของเด็กหรือไปยังสถานที่เล็กๆ และใกล้ชิดขึ้นอยู่กับว่าฉากนั้นๆ ต้องการอะไร” เขาเสริม เพราะหนังเรื่องนี้มีทั้งความตลกขำขันไปจนถึงแอ็คชันมันเร้าใจและการครุ่นคิดอันละเอียดอ่อน
มาเธอร์สบอว์ใช้วงออร์เคสตราเต็มวงซึ่งเขามองว่าช่วยสร้างชีวิตชีวาและความเป็นมนุษย์ให้ “หุ่นพลาสติกตัวเล็กๆ พวกนี้” เสียงร้องก็มีความสำคัญเพราะ “เสียงของมนุษย์ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านนั้นง่ายยิ่งขึ้น มีการใช้นักร้องประสานเสียงมากขึ้นในหนังเรื่องนี้ซึ่งก็ช่วยยกระดับผลลัพธ์ทางดนตรีแบบที่เราต้องการ รวมถึงคณะประสานเสียงที่ร้อง ‘เหมียว-เหมียว’ ขณะที่ลอยด์คุยกับสัตว์ประหลาดด้วย”
“เป้าหมายที่เราต้องการในหนัง LEGO เหล่านี้ก็คือการให้ผู้คนได้รับรู้ถึงความสุขเราต้องการให้ผู้คนได้หัวเราะ” ลินกล่าวในขณะเดียวกัน “เราก็ชอบสร้างความประหลาดใจให้ผู้ชมด้วยอารมณ์ความรู้สึกสำหรับเราแล้วหุ่นเลโก้เหล่านี้มีหน้าตาท่าทางที่ตลกตามธรรมชาติอยู่แล้วถ้าเราสามารถนำเสนอความสนุกสนานและเสียงหัวเราะจากนั้นก็แทรกด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงอย่างที่คนดูไม่คาดคิดมันก็น่าจะเป็นประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบครับ”
บีนเห็นด้วย “ผมหวังว่าผู้ชมจะสนุกกับแอ็คชันและอารมณ์ขัน รวมถึงการเดินทางที่น่าตื่นเต้นของตัวละครเหล่านี้” เขากล่าว “ผมหวังว่าผู้ชมจะชอบฉากศิลปะการต่อสู้ซึ่งไม่เหมือนที่เราเคยเห็นมาก่อนในหนัง LEGO เรื่องไหนๆ หรือในหนังศิลปะการต่อสู้เรื่องไหนๆ แต่ท้ายที่สุดผมเชื่อว่าสิ่งที่ผู้ชมจะได้รับกลับไปคือหัวใจของหนังเรื่องนี้ ซึ่งอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างลอยด์กับครอบครัวและเพื่อนๆ ของเขา”