จุดเด่นภาพยนตร์
Hummingbird เป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของสตีเว่น ไนท์ มือเขียนบทผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ (Eastern Promises, Dirty Pretty Things) จากบทภาพยนตร์ดั้งเดิมของเขาเอง และอำนวยการสร้างโดย พอล เว็บสเตอร์ ผู้อำนวยการสร้างที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ จากผลงานภาพยนตร์ Anna Karenina, Salmon Fishing in The Yemen, Eastern Promises, Atonement นำแสดงโดย นักแสดงมากความสามารถอย่าง Jason Statham (เจสัน สเตแธม) ประกบนักแสดงหญิงชาวโปลิช Agata Buzek (อากาต้า บูเซ็ค) ผู้ได้รับตำแหน่งดาราดาวรุ่งแห่งปี 2010 ร่วมด้วยนักแสดงหญิงเจ้าบทบาทอย่าง Vicky McClure (วิคกี้ แม็คคลัวร์) เจ้าของรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีบาฟต้าจาก This is England ’86 (ซีรีส์) และทีมงานเบื้องหลังได้แก่ผู้กำกับภาพเจ้าของสองรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด คริส เมนเกส (Extremely Loud & Incredibly Close, The Reader, The Killing Fields, The Mission), ผู้ออกแบบงานสร้างผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล อคาเดมี่ อวอร์ด ไมเคิล คาร์ลิน, ช่างแต่งหน้าและทำผมเจ้าของรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด พอล แพททิสัน, ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า หลุยส์ สเจิร์นสวอร์ด, ผู้ผสมเสียงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า จอห์น คาซาลีและมือลำดับภาพ วาเลริโอ โบเนลลี ดนตรีโดยดาริโอ มาเรียเนลลี ผู้ได้รับรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด เรียกได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการรวมตัวของนักแสดงและทีมงานคุณภาพมืออาชีพที่มีรางวัลการันตีผลงานจากหลากหลายเวทีเลยทีเดียว
เรื่องย่อ
Hummingbird เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ โจอี้ โจนส์ (เจสัน สเตแธม) อดีตทหารหน่วยรบพิเศษที่ต้องระเหเร่ร่อนหลังจากที่หนีจากการถูกตัดสินโทษจากศาลทหาร คืนหนึ่ง เขาได้บุกรุกเข้าไปในอพาร์ทเมนต์หลังหนึ่งในโคเวนท์ การ์เดน และเขาก็พบว่าเพนท์เฮาส์หรูหลังนี้จะถูกทิ้งร้างเป็นเวลาสามเดือน เขาเจอบัตรเครดิต กุญแจรถและเงินในบัญชีธนาคารที่จะให้เขาได้ถลุงอย่างเต็มที่ แต่เขากลับตัดสินใจใช้โอกาสนี้กลับตัวและหางานทำ เขาเลิกเหล้ายาและได้งานทำเป็นเด็กล้างจานในร้านอาหารจีน ไม่นานนัก เขาก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเด็กยกกระเป๋า ก่อนจะไปเป็นผู้ดูแลอย่างไม่เป็นทางการ ด้วยการทำงานที่ขยันขันแข็งจนเข้าตาบอสชาวจีนที่ต้องการให้เขามาเป็นคนขับรถและผู้คุ้มกฎให้กับเขา
โจอี้ไต่เต้าในโลกใต้ดินของชาวจีนในโซโหขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ดี เขาก็ไม่เคยลืมเพื่อนเก่าบนท้องถนนของเขา ตอนที่เขาไร้บ้าน เขามีแฟนสาวคนหนึ่งชื่ออิซาเบล โจอี้ต้องการจะช่วยเธอและเขาก็โทรหา คริสติน่า (อากาต้า บูเซ็ค) แม่ชีผู้ดูแลสถานสงเคราะห์คนเร่ร่อน ที่เขาเคยได้รับอาหารและเสื้อผ้า เมื่อโจอี้และคริสติน่าได้มาพบกัน ประกายวูบวาบก็เริ่มเกิดขึ้น
เมื่อโจอี้หาเงินได้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ส่งพิซซ่า อาหารและเค้กแฟนซีไปให้ที่สถานสงเคราะห์คนเร่ร่อน คริสติน่ายอมรับของขวัญเหล่านั้น จนกระทั่งโจอี้มอบเงินให้กับเธอ และซื้อชุดเดรสผ้าไหมแสนสวยให้เธอ คริสติน่าเผชิญหน้าโจอี้ แต่ไม่นานนัก พวกเขาก็ค้นพบว่าพวกเขามีอะไรหลายอย่างเหมือนกันมากกว่าที่พวกเขาจะคาดถึงเสียอีก คริสติน่าตกลงที่จะตามหาตัวแฟนสาวที่กำลังตั้งท้องของโจอี้ ก่อนจะพบว่าเธอถูกฆาตกรรมไปแล้ว โจอี้เริ่มต้นภารกิจแก้แค้นด้วยการตามหาตัวคนที่ลงมือสังหารแฟนสาวของเขา
การเสวยสุขในโลกของอาชญากรรมของโจอี้สิ้นสุดลงเมื่อเขาเข้าไปพัวพันในเหตุการณ์ยิงในห้องครัวของร้านอาหารอิตาเลี่ยน เมื่อตำรวจไล่ล่าตัวเขา เขาก็กลับไปสถานสงเคราะห์คนเร่ร่อนอีกครั้งและได้พบกับคริสติน่า การสารภาพเรื่องราวในอดีตเกิดขึ้นตามมาและทั้งคู่ก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น
จากหน้ากระดาษสู่หน้าจอ
สตีเว่น ไนท์ มือเขียนบทและผู้กำกับ Hummingbird เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลของเขาเรื่อง Dirty Pretty Things และ Eastern Promises ภาพยนตร์เหล่านี้ รวมถึง Hummingbird ได้กลายเป็นภาพยนตร์สามเรื่องที่สำรวจชีวิตของผู้คนในลอนดอน ที่อยู่ผิดที่ผิดทางและใช้ชีวิตอยู่บนชายขอบของสังคม ไนท์ต้องการจะกำกับภาพยนตร์มานานแล้วและเขาก็ได้เขียนบทเรื่อง Hummingbird ขึ้นมาโดยตั้งใจให้มันเป็นงานกำกับเรื่องแรกของเขา
ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ผู้คร่ำหวอดในวงการ และได้รับการยกย่องอย่างสูง พอล เว็บสเตอร์ ได้สานสายสัมพันธ์ด้าน การทำงานที่ใกล้ชิดกับไนท์ใน Eastern Promises และเขาก็รับรู้ถึงความใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้กำกับของเขาอย่างดี หลังจากนั้น เมื่อไนท์ได้ให้เว็บสเตอร์อ่านบท Hummingbird เว็บสเตอร์ก็สนับสนุนความต้องการจะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ของเขาทันทีและเสนอตัวที่จะทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้
ตามที่เว็บสเตอร์ขยายความว่า “…ในฐานะมือเขียนบท คุณบอกเล่าเรื่องราวในหัวของคุณออกมา คุณกำลังสร้างภาพที่คุณพยายามจะถ่ายทอดออกมาผ่านทางหน้ากระดาษ และสตีฟก็ตัดกระบวนการคนกลางออกไปใน Hummingbird ซึ่งหมายความว่าเขาจะมาพร้อมกับวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนมากๆ มีคนวิพากษ์วิจารณ์คนที่ทำหน้าที่เป็นทั้งมือเขียนบทและผู้กำกับมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้กำกับที่เคยเป็นมือเขียนบทมาก่อน แล้วค่อยขยับมากำกับภายหลัง คำวิจารณ์พวกนั้นบอกว่าพวกเขายึดติดกับเรื่องราวที่พวกเขาเขียนขึ้นมากเกินไป และพวกเขาก็ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญในวันนั้นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วอาจทำให้เรื่องราวสมบูรณ์ขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องราวไปน่ะครับ และสตีฟก็ดูเหมือนจะไม่เป็นคนแบบนั้น เขาดูเหมือนสามารถจะไหลไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นและใช้ประโยชน์จากความบังเอิญที่ผ่านเข้ามา ซึ่งนั่นเป็นเรื่องน่าประทับใจมาก เขาเป็นคนสงบอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งก็ทำให้นี่เป็นกองถ่ายที่สงบมากๆ นักแสดงที่สงบมากๆ และกองถ่ายที่ให้การสนับสนุนกันและกันมากๆ ผมคิดว่าเขาเป็นผู้กำกับได้อย่างเป็นธรรมชาติครับ…”
เมื่อถึงตอนเขียนบท Hummingbird ไนท์ได้สำรวจที่มาที่ไปของคนเร่ร่อนในลอนดอน บ่อยครั้งที่คนพวกนี้กลายเป็นเหมือนไม่มีตัวตนสำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตประจำวันอย่างเร่งด่วนรอบตัวพวกเขา พวกเขามักถูกเมินเฉย เสียงของพวกเขาไม่มีคนฟังหรือยอมรับ ระหว่างการค้นคว้า เขาแปลกใจที่ได้ค้นพบว่าคนจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ตามท้องถนนเป็นอดีตทหาร
ไนท์อธิบายว่า “…ถ้าคุณค้นคว้าซักหน่อยว่าคนพวกนี้เป็นใคร และพวกเขามาเป็นคนเร่ร่อนได้ยังไง สิบเปอร์เซ็นต์ของคนพวกนี้เป็นอดีตทหารครับ สำหรับผม มันน่าทึ่งที่คนที่มีวินัยแบบทหาร ในแง่ของความสะอาด หรือการที่พวกเขาเก็บสัมภาระของตัวเอง และ ฯลฯ จะมาลงเอยเป็นคนเร่ร่อนแบบนี้ แต่ผมก็ค้นพบว่าจริงๆ แล้ว มันมีเส้นทางตรงระหว่างการออกจากกองทัพไปเป็นคนเร่ร่อน ดังนั้น มันก็เลยทำให้ผมคิดว่า คนเร่ร่อนสิบเปอร์เซ็นต์นั้นที่เป็นทหาร พวกเขามีเรื่องราว มันจะต้องมีอดีตเบื้องหลัง ผมก็เลยค้นคว้าเพิ่มเติมและคุยกับอดีตทหารที่กลายเป็นคนเร่ร่อน และผมก็เริ่มร้อยเรียงโครงสร้างของเรื่องราวเข้าด้วยกันครับ…”
Hummingbird เป็นเรื่องราวของโจอี้ อดีตทหารหน่วยรบพิเศษที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้นบนท้องถนน แต่เขาก็ลุกขึ้นยืนหยัดและสร้างชีวิตใหม่ เพื่อแก้ไขอดีตที่ผ่านมา เขาทรมานจากความเครียดหลังเรื่องสะเทือนใจ ที่เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของมันและได้พบเห็น ระหว่างสงครามในอัฟกานิสถาน เขาได้หันไปหาเหล้าและยาเสพติดเพื่อหนีจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองและฝันร้ายที่ตามหลอนเขา ซ้ำร้าย เขาก็เหมือนกับคนเร่ร่อนคนอื่นๆ ที่หาความอบอุ่นและแหล่งพักพิง ที่ตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งจากคนที่มีอำนาจมาก กว่าพวกเขา ผู้แย่งชิงเงินและยาเสพติดของพวกเขาไป จนกระทั่งคืนหนึ่ง เขาตัดสินใจสู้กลับ ซึ่งมันก็ทำให้เขาถูกซ้อมยับเยิน
ไนท์พูดถึงตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมาว่า “…เขาชื่อโจอี้ โจนส์เพราะเขาจะเป็นใครก็ได้ เขาไม่ได้มีพรสวรรค์พิเศษอะไร เขาก็เป็นแค่ชาวอังกฤษชนชั้นแรงงานที่ได้เป็นทหาร และสู้รบในสงคราม อย่างที่พวกผู้ชายทำกันมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว และพอเขากลับมาบ้าน ก็พบว่าตัวเองไม่สามารถปรับตัวได้ อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ เขาเสียสละตัวเองเพื่อประเทศของเขา และเมื่อเขากลับมา เขาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นคนเร่ร่อนครับ…”