บทบาท-คาแร็คเตอร์
เรื่องนี้ผมรับบทเป็น “จือ” ครับ ประมาณว่าเป็นวัยรุ่นเพิ่งเรียนจบแล้วเข้ามาฝึกงานบริษัทในออฟฟิศนี้ จะเป็นคนขี้เกียจ ทำงานสะเพร่า ติดหญิง ซึ่งทำให้ไม่ผ่านโปรฯ มาหลายที่แล้ว และที่นี่ก็เป็นที่สุดท้าย แต่ก็จะเกิดเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า เราจะมาทำอะไรในออฟฟิศนี้ มาก่อเรื่องอะไรอีก เราจะมาทำตัวเสเพลเถลไถลอะไรอีก และจือจะเป็นคนที่มีอิโก้ในตัวเองด้วย จะบอกคุณแม่ตลอดเวลาว่า งานกำลังไปได้สวย แต่จริงๆ แล้วไม่ได้อะไรเลยซักอย่างเดียว อย่างจะอ้างแม่ว่าไปประชุมต่างประเทศ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก นอนอยู่บ้านอะไรอย่างนี้แหละครับ
การดำเนินเรื่องของตัวละครนี้
ในเรื่องจะมีการทำภารกิจ เราเองก็เป็นเด็กฝึกงาน เราก็ต้องช่วยเค้าทำนู้นนี่ ส่งเอกสาร เป็นคนวิ่งคอยช่วยอีกทีมหนึ่ง ซึ่งเราจะช่วยเท่าที่เราทำได้ คือแผนการตลาดอะไรเราไม่มีหรอก เอาแรงเข้าหาอะไรแบบนี้ แล้วจือก็บังเอิญไปเจอกับน้องนางฟ้าซึ่งน้องคนนี้จะสวยมาก เป็นพนักงานอยู่ต่างออฟฟิศ แล้วบังเอิญเราเจอเขาพอดี แล้วแบบว่าเราไปจีบเขา ภาษาอังกฤษก็พูดไม่เป็น เขาเป็นคนต่างชาติด้วยและไปมั่วภาษาอังกฤษใส่เขา และอ้างนู้นนี่ว่างานดี ก็จะไปเที่ยวกับสาว พอไปเที่ยวแล้วก็ไม่ไปทำงาน ทำงานสาย เสียงาน ลืมนู่นนี่ ก็เลยเกิดปัญหาตามมา ตอนจบจะเป็นยังไง งานจะสำเร็จหรือเปล่า จือจะเป็นยังไงต่อ ก็ต้องให้ไปติดตามในโรงภาพยนตร์กันครับ
ความรู้สึกแรกที่ได้แสดงหนังใหญ่เรื่องแรก
รู้สึกตื่นเต้นมาก แค่ได้มีโอกาสไปแคสติ้ง ไปลองเล่นดูก็แบบว่าดีใจมากแล้ว เพราะผมไม่เคยเล่นหนังมาก่อน ก็เป็นครั้งแรกในชีวิต ตื่นเต้นมากๆ ได้ไปแคสปุ๊บ และรู้ว่าได้เล่น ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ คือแบบเราต้องทำเต็มที่ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด และเราได้มาเจอพี่ๆ นักแสดงชั้นนำหลายๆ คน อย่างพี่ติ๊ก, พี่ต้นหอม หรือพี่ๆ ที่อยู่ในเรื่องนี้ก็เก่งๆ กันทั้งนั้น ผมก็จะพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตรงนั้นให้ได้เยอะที่สุดครับ ก่อนเปิดกล้องก็มีโอกาสได้เรียนการแสดงขั้นพื้นฐาน แต่ท้ายสุดครูก็บอกให้เราเล่นเป็นธรรมชาติมากที่สุดครับ
ตัวละครนี้เหมือนหรือต่างจากตัวเองยังไงบ้าง
ความเหมือนก็คือเป็นวัยรุ่น เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ แต่ผมยังเรียนไม่จบ อารมณ์อายุประมาณ 20 กว่าๆ ซึ่งเป็นเด็กที่กำลังสนุก รักสนุก ยังไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ แต่ตัวจริงเราอาจจะไม่ใช่คนเสเพลขนาดนั้น แต่เรามีนิสัยขี้เกียจบ้าง ตามประสาว่าไม่อยากไปเรียนเลย ขี้เกียจตื่นอะไรแบบนี้ ก็จะคล้ายๆ กันตรงนี้ ส่วนในเรื่องของจือ จือจะเป็นคนที่มีอีโก้สูง ซึ่งผมก็มีบ้างประปราย แล้วก็เหมือนตรงที่เป็นเด็กต่างจังหวัดมาลุยงานที่กรุงเทพฯ เหมือนกันครับ
ความยากง่ายในการแสดงหนัง
ก็ยากครับ เพราะว่าตื่นเต้น เกร็ง แต่พอสักพักก็ดีขึ้น ก็มีฉากที่หินเหมือนกัน อย่างฉากดราม่าซึ่งเราไปพูดสารภาพผิดกับคุณแม่ ซึ่งเป็นฉากเด็ดในเรื่องนี้ เราก็โทรไปสารภาพ แล้วให้ฟังคุณแม่พูดกลับมา ก็ต้องร้องไห้ออกมา ซีนแรกก็ร้องไห้ไปก็ยังไม่ผ่าน ซีนสองร้องไห้อีกก็ยังไม่ผ่าน ซีนสามก็ยังไม่ผ่าน ประมาณหลายเทคมาก 5-6 เทคแล้วก็ยังไม่ผ่าน อาจจะเพราะผู้กำกับฯ ยังไม่ได้ตามอารมณ์ที่ต้องการ ก็ออกมาทำสมาธิใหม่ พอถ่ายเทคสุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดีครับ
ฉากประทับใจหรืออินเป็นพิเศษ
ก็จะเป็นฉากที่รวมๆ กันหลายๆคน ได้มีโอกาสมาเจอกัน มีฉากที่เข็นเก้าอี้ในออฟฟิศแข่งกัน สนุก เป็นฉากที่ไม่ซีเรียส เอามันเอาฮาอย่างเดียว ซึ่งเวลาเข้าฉากกับแก๊งรุ่นพี่ 3 คนก็จะเป็นฉากที่สนุกครับ
ส่วนเข้าฉากกับน้องนางฟ้านี่ตื่นเต้นมากครับ เราต้องเล่นเป็นคนซื่อๆ จะเข้าไปจีบเขา พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น พูดติดๆ ขัดๆ เป็นคนขี้อวดว่ามีเงิน แต่จริงๆ ไม่มี แกล้งว่าเป็นพนักงานประจำ แต่จริงๆ ไม่ใช่ เป็นเด็กฝึกงานอยู่ และก็ห้อยป้ายไป ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะสงสัยอะไรเราหรือเปล่า ซึ่งน้องมาร์ดี้ที่เล่นเป็นน้องนางฟ้ามาจากต่างประเทศ น้องก็น่ารักมากจริงๆ ครับ
การร่วมงานกับทีมนักแสดงเป็นยังไงบ้าง
พี่ๆ นักแสดงน่ารักทุกคนครับ พี่เขาจะให้คำแนะนำ คุยเฮฮา สนิทกันเร็วมาก ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมฉากกับเขาบ่อยๆ เพราะเราจะต้องเข้าฉากกับแก๊งพี่ 3 คน ก็ต้องสนิทกันนะครับ ก็คือคุยเล่นกัน น่ารัก สนุกสนาน อยากมากองมาถ่ายทุกวันเลยครับ
อย่างพี่ติ๊กนี่เป็นไอดอลเลย เราติดตามผลงานเขาตั้งแต่เรื่อง “2499ฯ” พอได้มาเจอตัวจริงก็ตื่นเต้นมาก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เล่นกับพี่ติ๊ก ก็คุยกับพี่เขาทุกเรื่อง คุยเรื่องรายการพี่เป็นยังไงบ้าง ได้คำแนะนำว่าควรจะทำตัวยังไงดี พี่ติ๊กก็น่ารักครับ เขาเต็มที่และตั้งใจกับงานมาก
การทำงานร่วมกับผู้กำกับ
กับพี่โจ้ก็ร่วมงานเป็นครั้งแรก พี่โจ้เป็นคนที่น่ารักมาก เป็นคนที่ฮาเหมือนกันตอนผมเข้าฉากกับน้องนางฟ้า ให้คำแนะนำในเรื่องการแสดง ว่าเราควรจะทำอย่างนี้นะ เข้าฉากแบบนี้ ควรพูดแบบนี้ก็พอ ไม่ต้องเร่งเยอะ ซึ่งได้ความรู้เยอะมาก พี่โจ้เค้าจะสอนและรักนักแสดงทุกคน รักในตัวละครทุกตัวเลยครับ
คาดหวังกับหนังเรื่องแรกยังไงบ้าง
ก็คาดหวังครับ เพราะเป็นงานชิ้นแรก และทุกคนก็ตั้งใจทำงาน เราก็คาดหวังว่าคนดูจะชอบ ถ้าคนดูชอบเราก็ดีใจแล้วครับ
ความน่าสนใจโดยรวมของหนัง
เสน่ห์หลักๆ ของหนังก็จะเกี่ยวกับพนักงานเงินเดือน ถ้าใครใช้ชีวิต 8 โมงเช้าต้องไปออฟฟิศ 5 โมงเย็นต้องกลับบ้าน หรือว่าต้องทำโอที หรือมีหนี้ในบัตรเครดิต หรือเป็นเด็กฝึกงานที่ไม่ผ่านโปรฯ สักที ผมคิดว่าหลายคนในประเทศไทยจะมีอารมณ์แบบนี้ เพราะพนักงานออฟฟิศในประเทศไทยก็มีเยอะ ก็น่าจะโดนใจหลายๆ คน และก็มีแง่คิดในเรื่องต่างๆ ด้วย ไม่ใช่ตลกโปกฮาอย่างเดียว มีแง่คิดในแต่ละคนด้วย ก็อยากให้ทุกคนได้ติดตามหนังเรื่องนี้กันครับ รับรองว่าสนุกและก็คุ้มค่าแน่นอนครับ
ตัวละครนี้สะท้อนภาพความเป็นมนุษย์เงินเดือนยังไงบ้าง
จือจะเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ แต่เสียตรงที่ขี้เกียจกับรักสนุกมากไปหน่อย แต่จือเป็นคนที่ซื่อและจริงใจ จะตั้งใจทำงานเพื่อจะให้แม่ภูมิใจ ก็คือเป็นตัวแทนของวัยรุ่นสมัยนี้ซึ่งงานก็หายาก แล้วเราได้มีโอกาสมาฝึกงาน ไปฝึกงานไม่ผ่านมา 3-4 ที่ละ เราก็เลยคิดว่าที่สุดท้ายเราต้องเอาให้ได้ ก็ต้องเป็นตัวแทนของความอดทนและขยัน ช่วงหลังๆ อาจจะขยันขึ้นหน่อย เพราะว่าโดนเร่งโดนรัด แต่ก็เป็นตัวอย่างของเยาวชนสมัยนี้ที่เด็กก็เล่นเกมส์เยอะ อินเตอร์เน็ตเยอะ เทคโนโลยีเยอะ ก็อยากให้มาดูเรื่องนี้กันว่า ชีวิตของเด็กฝึกงาน พนักงานเงินเดือนเป็นยังไงครับ
นิยามคำว่ายอดมนุษย์เงินเดือน
ยอดมนุษย์เงินเดือน ถ้าฟังเผินๆ เหมือนเป็นยอดมนุษย์ฮีโร่ แต่ยอดมนุษย์เงินเดือนผมคิดว่าเป็นคนทำงานนี่แหละครับ เข้าออฟฟิศ 8 โมง บางทีก็ 5 โมงทำโอที มีโปรเจ็คต์ใหญ่มาปุ๊บ ก็ต้องรีบเร่งทำให้เสร็จตามที่เจ้านายสั่ง ถ้าทำได้นี่ก็เรียกว่าเป็นยอดมนุษย์ได้เลยครับ