ใน The Maze Runner โธมัส (ดีแลน โอ ไบรอัน) ตื่นขึ้นมาขณะเขากำลังถูกส่งตัวไปยังทุ่งที่เรียกว่าเดอะเกลด เขาสูญเสียความทรงจำว่าตัวเองเป็นใครและเพราะเหตุใดเขาจึงได้กลายเป็นสมาชิกของชุมชนคนหนุ่มสาว ซึ่งในกลุ่มนั้นมี มินโฮ (คี ฮง ลี) ผู้นำนักวิ่งในเขาวงกต, นิวท์ (โธมัส โบรดี-แซงสเตอร์) เพื่อนรักและที่ปรึกษา, แกลลี (วิลล์ โพลเตอร์) ผู้นำและศัตรู และเทเรซา (คายา สโคเดลาริโอ) ชาวทุ่งเพียงคนเดียวที่เป็นผู้หญิงและอาจมีความเป็นมาอันดำมืดร่วมกับโธมัส พวกเขาถูกขังไว้ด้วยกัน ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง 200 ฟุตและเขาวงกตที่แปรสภาพไปตลอดเวลา
สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วกลับเลวร้ายหนักขึ้นอีก เมื่อชาวทุ่งหนีออกจากเขาวงกตได้สำเร็จแต่กลับต้องมาพบสถานที่รกร้างว่างเปล่าที่เรียกว่าแดนมอดไหม้ ใน Maze Runner: The Scorch Trials โธมัสและชาวทุ่งที่เหลือได้มาพบพันธมิตรใหม่พร้อมค้นพบเงื่อนงำเกี่ยวกับกลุ่มลึกลับที่อยู่เบื้องหลัง “การทดสอบ” ทั้งหมด นั่นก็คือองค์กรที่มีชื่อว่า WCKD
ใน Maze Runner: The Death Cure แรงจูงใจขององค์กร WCKD ปรากฏชัดยิ่งขึ้น ดร. เอวา เพจ ผู้อำนวยการของ WCKD ใกล้จะค้นพบสิ่งซึ่งเธอเชื่อว่าสามารถรักษาโรคร้ายที่เรียกว่าโรคแฟลร์ ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่คร่าชีวิตประชากรโลกไปเป็นจำนวนมาก แต่การรักษานี้ได้มาจากการสังเวยคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะมีภูมิต้านทานโรค โธมัสต้องการช่วยให้คนที่ถูกจับตัวมาเป็นหนูทดลองได้เป็นอิสระ รวมถึงมินโฮเพื่อนของเขาด้วย เขาจึงต้องร่วมมือกับผู้รอดชีวิตที่เหลือทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่เพื่อเข้าต่อสู้ในสถานที่ซึ่งอาจเป็นเมืองสุดท้ายและเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของ WCKD เขาต้องบุกเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของ WKCD ซึ่งมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาและพยายามล้มล้างองค์กรจากภายใน
แอ็คชั่นเพิ่มความมันขึ้นไปอีกขั้นในการปฏิบัติภารกิจของภาคที่สามอันเป็นภาคสุดท้ายของซีรีส์ The Maze Runner ภาพยนตร์ที่กำกับโดยเวส บอลล์ และดัดแปลงจากวรรณกรรมวัยรุ่นขายดีของเจมส์ แดชเนอร์เรื่องนี้ เป็นผลงานการสร้างของ 20th Century Fox บทภาพยนตร์เขียนโดย ที เอส นาวลิน ผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ เอลเล็น โกลด์สมิธ-เวน จาก The Gotham Group, วิค ก็อดฟรีย์และมาร์ตี โบเวน จาก Temple Hill Productions, โจ ฮาร์ตวิค จูเนียร์, เวส บอลล์ และลี สโตลล์แมน ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดฉายในวันที่ 25 มกราคม 2018
ข้อมูลงานสร้างภาพยนตร์
“เราจากทุ่งมาไกลแล้วสินะ ใช่ไหม” -นิวท์
The Maze Runner ภาคแรกของหนังไตรภาคที่สร้างจากนวนิยายของเจมส์ แดชเนอร์ เริ่มต้นถ่ายทำเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2013 ที่เมืองบาตัน รูจ รัฐหลุยส์เซียนา โดยเป็นการรวมกลุ่มนักแสดงหนุ่มสาวมากความสามารถและหลากหลาย
ใน Maze Runner ภาคแรก เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งถูกจับมาอยู่อาศัยในค่ายลึกลับที่เรียกกันว่าทุ่งหรือเดอะเกลด สถานที่แห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยเขาวงกตที่มีกำแพงสูง 200 ฟุตและแปรสภาพไปตลอดเวลา เด็กหนุ่มเหล่านี้มีเป้าหมายเพียงประการเดียวคือการหนีออกจากทุ่งด้วยการไขปริศนาเขาวงกตให้ได้ เมื่อโธมัสปรากฏตัวขึ้น และไม่นานก็มีเด็กสาวคนแรกที่ชื่อเทเรซาตามมา ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ทางออกได้นำพวกเขาไปพบความจริงที่ว่าพวกเขาเป็นสมาชิกในการทดลองครั้งยิ่งใหญ่อันโหดร้าย
ใน Maze Runner: The Scorch Trials เหล่า “ชาวทุ่ง” ได้ค้นพบว่าเมื่อออกมาจากเขาวงกต พวกเขาไม่ได้เป็นคนกลุ่มเดียวที่ถูกบังคับให้ร่วมการทดสอบ ที่จริงแล้วมีเขาวงกตแห่งอื่นๆ และผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้พวกเขายังได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับองค์กรที่คัดเลือกผู้ถูกทดสอบซึ่งมีชื่อว่า WCKD โธมัสซึ่งกลายเป็นผู้นำกลุ่มไปโดยปริยาย ไม่เชื่อคำพูดที่ได้ยินมาว่า “WCKD นั้นดี” เมื่อหนีออกมาจากฐานซึ่งพวกเขาถูกนำตัวไปหลัง “ได้รับการช่วยเหลือ” โธมัสก็ได้นำผู้รอดชีวิตจากเขาวงกตแห่งแรกและคนอื่นๆ ที่ได้พบในฐานแห่งใหม่นั้นออกไปยัง “แดนมอดไหม้” ทะเลทรายรกร้างซึ่งดูเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในโลก
ขณะค้นหาแหล่งพักพิงอันปลอดภัยตามที่ลือกันมา คนกลุ่มนี้ก็ถูกล้อมจับ เทเรซาซึ่งกำลังสับสนลังเลในเรื่อง WCKD และภารกิจที่แท้จริงขององค์กร ได้บอกตำแหน่งที่อยู่ของกลุ่มผู้รอดชีวิตและกลุ่มต่อต้าน WCKD ซึ่งมีชื่อว่ากลุ่มไรท์อาร์ม หลังจากโธมัสถูกเทเรซาทรยศและตั้งใจแน่วแน่ที่จะช่วยมินโฮซึ่งถูก WCKD จับตัวไปกลับมาให้ได้ เขาก็ปิดฉากเรื่องราวใน The Scorch Trials ด้วยการประกาศว่า “ผมจะหยุดยั้งพวกมันให้ได้ ผมจะฆ่าเอวา เพจ” ผู้หญิงซึ่งกลายเป็นตัวแทนขององค์กรที่ตั้งชื่ออย่างเป็นปริศนาว่า WCKD ได้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเขา
Maze Runner: The Death Cure เล่าเรื่องราวหลังเหตุการณ์ใน Scorch Trials จบลงราวหกเดือน ในการต่อสู้ช่วงตอนจบของภาคสอง กลุ่มผู้รอดชีวิตจากเชื้อไวรัสแฟลร์ที่คร่าชีวิตประชากรโลกได้เริ่มต้นกำหนดเป้าหมายของตัวเอง นั่นคือการหาที่พักพิงอันปลอดภัยจากอิทธิพลขององค์กร WCKD เรื่องราวบทสรุปอันน่าตื่นเต้นของไตรภาค Maze Runner นี้ได้นำนักแสดงหลายคนจาก The Maze Runner เมื่อปี 2014 กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ดีแลน โอ ไบรอัน รับบทเป็นโธมัส, คายา สโคเดลาริโอ เป็นเทเรซา, คี ฮง ลี เป็นมินโฮ, โธมัส โบรดี-แซงสเตอร์ เป็นนิวท์, เด็กซ์เตอร์ ดาร์เดน เป็นฟรายแพน และแพทริเชีย คลาร์กสันเป็น ดร. เอวา เพจ ร่วมด้วยนักแสดงกลุ่มหลังจาก Maze Runner: The Scorch Trials อันได้แก่ จิอันคาร์โล เอสโพซิโต เป็นฮอร์เฮ, โรซา ซาลาซาร์ เป็นเบรนดา, เอแดน กิลเลน เป็นแจนสัน, แบร์รี เปปเปอร์ เป็นวินซ์ และวอลตัน ก๊อกกินส์เป็นลอว์เรนซ์ ทีมนักแสดงร่วมด้วยทีมงานเบื้องหลังหลายคนจาก Maze Runner ภาคแรกได้มารวมตัวกันในการถ่ายทำนานสามเดือนที่เคปทาวน์ แอฟริกาใต้ โดยหนังเริ่มเปิดกล้องเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2017
ในฐานะผู้กำกับหนังทั้งสามภาค เวส บอลล์ อธิบายความแตกต่างระหว่างโลกที่เกิดเหตุการณ์ในแต่ละภาคดังนี้ “หนังภาคแรกที่มีเขาวงกตจะให้ภาพของคอนกรีตและความผุพัง ภาคสองจะเป็นผืนทรายและสนิมในแดนมอดไหม้ ส่วนภาคนี้ The Death Cure เป็นโลกของกระจกและเหล็ก แต่ละภาคต่างก็มีโทนสีของตัวเอง” แต่โลกของเหล็กและกระจก โลกที่ชาวทุ่งไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามีอยู่จริงนี่เองที่กลายเป็นเป้าหมายเมื่อพวกเขาเปิดฉากต่อสู้กับ WCKD
ที่จริงแล้วการต่อสู้กับ WKCD เริ่มต้นขึ้นในตอนท้ายของภาค Scorch Trials ดังที่บอลล์อธิบายไว้ว่า “ในหนังสือเล่มสาม มีแนวคิดเรื่องฝ่ายต่อต้าน เป็นกลุ่มที่ต่อต้าน WCKD อยู่และผมคิดว่า ‘น่าจะดีนะถ้าดึงเรื่องนี้มาเล่าให้เร็วขึ้นหน่อย’” การให้คู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายมาปรากฏให้เห็นในตอนท้ายของหนังภาคสองทำให้หนังแตกต่างจากหนังสืออยู่บ้าง และบอลล์ก็ยินดีที่ได้อิสระในการดัดแปลงเรื่องราว “มีสิ่งที่ไม่ได้ตรงกับหนังสือเสียทีเดียวแต่ได้รับแรงบันดาลใจจากในหนังสือ ด้วยเหตุนี้เราจึงรู้สึกโชคดีที่ได้เจมส์ (แดชเนอร์) เข้ามาให้คำปรึกษาในเรื่องเหล่านี้ รวมถึงการตัดสินใจต่างๆ เราอยากทำสิ่งที่เราทำได้โดยเคารพต่อแฟนๆ และสิ่งที่แฟนๆ อยากเห็น”
เจมส์ แดชเนอร์ ยืนยันว่าเขาเห็นด้วย โดยกล่าวว่า “แฟนหนังสือยึดมั่นในตัวเนื้อเรื่องและอยากรักษาเนื้อเรื่องเดิมเอาไว้ แต่บางอย่างก็ได้ผลดีกว่าเมื่อนำมาใช้ในภาพยนตร์ เวส บอลล์ ค้นหาสิ่งเหล่านั้นได้เก่งมากจนผมคิดว่าแฟนๆ น่าจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน”
เพื่อเล่าการเดินทางครั้งนี้ ทีมผู้สร้างจำเป็นต้องหาสถานที่ซึ่งสามารถนำเสนอความหลากหลาย ทั้งสำหรับฉากแดนมอดไหม้ เมือง แหล่งพักพิง และอื่นๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทีมงานจึงได้เดินทางไปยังเมืองเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ เมืองแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งการออกแบบของโลกในปี 2014 โดย International Council of Societies of Industrial Design และนับว่าเป็นฉากอันสมบูรณ์แบบสำหรับใช้เป็น “เมืองสุดท้าย” ด้วยกลุ่มอาคารสูงและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
สถานที่ดังกล่าวช่วยให้กองถ่ายสามารถเดินทางไปยังส่วนนอกของทะเลทรายคาลาฮารีเพื่อถ่ายทำฉากรถไฟอันน่าตื่นเต้นในฉากเปิดของหนัง ฉากดังกล่าวใช้เวลาถ่ายทำกว่าห้าวันใกล้เมืองอัพพิงตัน เป็นฉากเปิดที่น่าตื่นเต้นและปลุกเร้าพลังได้เป็นอย่างดี
“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นฉากที่เจ๋งที่สุดฉากหนึ่งเท่าที่เราเคยทำมา” ดีแลน โอ ไบรอันกล่าว “มันช่วยเปิดเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมและช่วยกำหนดโทนให้หนังด้วย หนังทั้งเรื่องพูดถึงภารกิจช่วยเหลือคนและฉากนี้ก็เป็นฉากพิเศษในไตรภาคที่น่าตื่นเต้นนี้”
โอ ไบรอัน ชื่นชอบฉากนี้เพราะมันช่วยให้ผู้ชมปะติดปะต่อเรื่องราวจากภาคที่แล้วได้ “Scorch Trials เริ่มต้นต่อจากตอนจบของภาคแรกพอดี แต่สำหรับภาคนี้ เหตุการณ์ทิ้งระยะเวลานานหกเดือน คุณจะได้เห็นว่าคนกลุ่มนี้ทำงานหนักกันมาตลอด พวกเขาใช้เวลานั้นจัดการวางแผนช่วยมินโฮออกมา”
เวส บอลล์ มองว่าช่วงตอนจบของ Scorch Trials ตอนที่คนอื่นๆ หันมาหาโธมัสและถามว่าเขามีแผนหรือเปล่านั้น เป็นช่วงเวลาที่กำหนดตัวตนของตัวละครนี้ “คุณจะเห็นความเป็นผู้นำปรากฏออกมา” เขากล่าว
เมื่อเริ่มเรื่องใน Death Cure คุณจะเห็นได้ชัดว่าทีมนี้ใช้เวลาในการวางแผน พวกเขาเปลี่ยนไป มีการวางแผนจัดการและพร้อมบุกเต็มที่ เป็นแผนการที่เสี่ยงมากถึงขั้นที่จะขโมยตู้โดยสารรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่ทั้งตู้เพื่อช่วยมินโฮ
“ฉากบุกปล้นรถไฟสนุกดีครับ” แบร์รี เปปเปอร์กล่าว เขารับบทเป็นวินซ์ ผู้นำกลุ่มต่อต้านไรท์อาร์ม “ถือเป็นไฮไลท์สำคัญในการถ่ายทำเลยล่ะ น่าทึ่งมาก อากาศที่ทะเลทรายคาลาฮารีก็ร้อนมากด้วย ผมต้องเล่นฉากแอ็คชัน กระโดดจากรถ ปีนรถไฟ แล้วผมก็เหงื่อโชกเลย แต่พอยืนนิ่งๆ สักสิบนาทีตัวก็จะแห้ง แดดร้อนระอุเลยครับ ผมไม่เคยเจอความร้อนขนาดนี้มาก่อนเลย แต่ทิวทัศน์ก็สวยงามน่าตะลึงไม่แพ้กัน ผมไม่เคยไปถ่ายทำในสถานที่แบบนี้มาก่อน เป็นช่วงที่ดีมากของการถ่ายทำครับ”
โรซา ซาลาซาร์ ผู้รับบทเป็นเบรนดา บรรยายถึงสถานที่ดังกล่าวว่าสอดคล้องกับสถานที่ถ่ายทำในนิวเม็กซิโกซึ่งเป็นฉากตอนจบของ Scorch Trials ได้เป็นอย่างดี “เวลาที่คุณเดินทางไปอัพพิงตัน คุณคิดว่านี่อาจจะเป็นแอลบูเคอร์คีก็ได้ สภาพพื้นที่ใกล้เคียงกันมากเลยค่ะ อาจจะเป็นเมืองสักแห่งในมอนทานาก็ได้… แล้วพอชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเข้ามา คุณก็จะนึกขึ้นมาได้ว่าที่นี่แอฟริกานี่นา! สมองคุณจะรับรู้สิ่งที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงพอรู้ว่าตัวเองอยู่ในแอฟริกา ไม่ได้อยู่ในแอลบูเคอร์คีหรือเมืองสักแห่งในอเมริกา คุณอยู่ในสถานที่ซึ่งผู้คนยังคงจับกลุ่มกันลุกขึ้นต่อสู้ ที่ที่ผู้คนสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวและพูดออกมา ประกาศออกมา และพร้อมจะสู้ คนที่นี่ต่อสู้และลุกขึ้นต่อต้าน ซึ่งฉันชอบเพราะว่ามันคือประเด็นที่หนังเรื่องนี้พูดถึง”
หลังจากช่วยคนหนุ่มสาวในตู้รถไฟซึ่งล้วนมีภูมิคุ้มกันโรคแฟลร์และกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องทดลองของ WCKD เป้าหมายสูงสุดคือการนำทุกคนไปยังที่พักพิง เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไม่มีใครแน่ใจว่าสถานที่แห่งนั้นมีอยู่จริง หลังจากได้รับการกล่าวถึงเป็นครั้งแรกใน The Scorch Trials ตอนที่เบรนดาบอกโธมัสว่า “ฮอร์เฮคิดว่าพวกคุณเป็นตั๋วไปยังที่พักพิง” มันเป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนบท ที เอส นาวลิน บรรยายว่าเป็น “การเห็นเหยื่อล่อที่ปลายไม้ เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาได้รู้ว่ามีแดนสวรรค์อยู่”
คนที่จะพาหนุ่มสาวซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไปอาศัยในดินแดนแห่งใหม่นี้ก็คือวินซ์ “เขาเป็นคนที่เอาตัวรอดได้ดี” เปปเปอร์กล่าวถึงตัวละครที่เขาเล่น “ผมคิดว่าก็เหมือนกับทุกๆ คน เขาถูกบังคับให้ต้องเก่งขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่รอด WCKD มียาถอนพิษและองค์กรนี้ก็กำชีวิตแทบทุกคนไว้ในมือ ดังนั้นเขาจึงพยายามหาทางอยู่รอดและพาคนไปด้วยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
สำหรับความงดงามน่าตื่นตาของ “ที่พักพิง” ทีมผู้สร้างและนักแสดงได้เดินทางไปยังอุทยานชายฝั่งทะเลของแอฟริกาใต้ ซึ่งก็คืออ่าวโคเอลและโคเกล เบย์ บีช รีสอร์ต ด้วยเทือกเขาสูงตระหง่านรอบชายหาดอันงดงาม มันจึงกลายเป็นสถานที่อันสมบูรณ์แบบให้นักออกแบบงานสร้าง เดเนียล ดอร์แรนซ์ ได้สร้างค่ายที่พักซึ่งในหลายๆ แง่ก็เป็นการเลียนแบบมาจากค่ายเดิมของชาวทุ่ง แต่แทนที่จะล้อมด้วยกำแพงสูงของเขาวงกตที่เป็นคุกขังพวกเขาไว้ คราวนี้เทือกเขากลับช่วยให้ความปลอดภัย
การนำสถานที่ซึ่งงดงามอยู่แล้วมาอยู่ในโลกของ Maze Runner เหมาะสมอย่างยิ่งกับความสามารถของดอร์แรนซ์ ดังที่เวส บอลล์อธิบายว่า “แดนเก่งเรื่องการนำสถานที่จริงมาเปลี่ยนให้ดูเท่ มีเอกลักษณ์แตกต่าง และพิเศษขึ้นมา”
“เมื่อเราได้พบชายหาดที่งดงามแห่งนี้แล้ว” ดอร์แรนซ์ระบุ “เราก็รู้ว่าสามารถตั้งโครงสร้างคล้ายเต็นท์บนชายหาดได้ให้ดูเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของโลกของตัวละคร ซึ่งในแง่หนึ่งก็เหมือนการย้อนกลับไปอยู่ในเขาวงกต เพราะพวกเขาต้องดำรงชีพโดยอาศัยสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้น”
“ฉันบอกว่ามีทางเข้า…แต่ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าพวกนายจะชอบมัน”
-แกลลี
ในการสร้างสำนักงานใหญ่และห้องทดลองที่ยากจะเข้าถึงได้ของ WCKD นั้น ทีมสร้างใช้งานออกแบบอันเรียบหรูของอาคารศูนย์ประชุมนานาชาติเคปทาวน์เป็นฉากภายนอก ส่วนฉากภายในและห้องทดลองของ WCKD ที่ชั้น 20 นั้นเป็นฉากขนาดใหญ่ซึ่งสร้างขึ้นในโกดังดัดแปลงชานเมืองเคปทาวน์ การก่อสร้างฉากเริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2016 เพื่อให้พร้อมถ่ายทำในเดือนมีนาคม 2017 ฉากนี้มีห้องต่างๆ มากมายและทางเดินยาวหลายช่วงซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศคล้ายอยู่ในเขาวงกตขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ในคราวนี้ชาวทุ่งต้องพยายามบุกเข้าไป ไม่ใช่หนีออกมา งานออกแบบฉากนี้ช่วยให้สามารถถ่ายทำจากพื้นที่ส่วนหนึ่งไปยังอีกส่วนหนึ่งในช็อตยาวต่อเนื่องได้โดยไม่จำเป็นต้องตัดต่อ
“เวสถ่ายทำหลายส่วนในฉากห้องทดลอง” ดอร์แรนซ์ยืนยัน “ซึ่งเยี่ยมไปเลย คุณรู้ว่าตัวเองออกแบบฉากได้ดีเมื่อผู้กำกับต้องการใช้ฉากนั้นถ่ายทำเพิ่ม เวลาที่ทีมงานไปเจอมุมใหม่ๆ ที่ชอบและอยากถ่ายทำเพิ่มอีก”
ผู้รับบทเป็นแจนสัน ชายผู้รับผิดชอบการจองจำผู้มีภูมิคุ้มกันและรักษาความปลอดภัยในพื้นที่อาคารนี้ ก็คือเอแดน กิลเลน เขายกความดีความชอบให้งานออกแบบฉากอาคารที่ช่วยดึงพลังในการแสดงออกมา “งานออกแบบวิเศษไปเลยครับ การแสดงในฉากพวกนี้เป็นเรื่องง่ายมาก จริงๆ นะครับ ไม่ใช่ว่า ‘อ้อ ตรงนี้มีผนังขาวนะ แล้วผนังก็จะไปสิ้นสุดที่ตรงนั้นแล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่แถวนั้น’ มันให้ความรู้สึกว่าเป็นโลกที่คุณเข้าไปอยู่ในนั้นได้ เหมือนของจริง เพราะมันปรากฏอยู่ตรงนั้นจริงๆ คุณรู้ว่าสามารถเดินไปตามทางเดินนั้นแล้วก็จะไปเจอทางเดินอีกทาง คุณสามารถเดินเข้าไปตามทางเดินนั้นต่อ แล้วก็จะมีห้องทดลอง จากนั้นมันจะพาคุณกลับมายังทางเดินแรก การสร้างอารมณ์ก็เลยเป็นเรื่องง่ายครับ ผมคิดว่าการออกแบบงานสร้างมีบทบาทสำคัญในหนังเรื่องนี้”
“ฉันเคยเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคุณ ตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว พวกเขาก็เหมือนกัน”
-เบรนดาพูดกับฮอร์เฮ
ครอบครัวเป็นสิ่งหนึ่งที่นักแสดงทุกคนเห็นตรงกัน หลังจากทำงานร่วมกันมาเกือบห้าปีในหนังสามเรื่อง พวกเขาได้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“เราคงคิดถึงกันแน่ๆ ครับ” ดีแลน โอ ไบรอัน ยอมรับ “แน่นอนว่าเราจะยังคงติดต่อหากัน แต่การได้อยู่ร่วมกันในกองถ่ายก็มีความพิเศษบางอย่าง เราใช้เวลาหลายต่อหลายชั่วโมงอยู่ด้วยกันและอยู่ในห้องพักติดกัน ตอนนี้เราพยายามซึมซับประสบการณ์เหล่านี้เพราะทุกอย่างกำลังจะจบลง เราอยากให้งานนี้ประสบความสำเร็จและหวังว่ามันจะเป็นหนังที่ดีที่สุดในทั้งสามภาค นั่นคือสิ่งที่เราพยายามทำกันอยู่ ใช่ครับ เรารักกันมากจริงๆ เพราะฉะนั้นการมาทำงานทุกวันจึงเป็นเรื่องสนุก”
โรซา ซาลาซาร์ เชื่อว่าการได้โอกาสมาอยู่ร่วมกันทั้งหน้าฉากและหลังฉากมีส่วนสำคัญทำให้นักแสดงเข้ากันได้ดี “มันแทบจะเป็นการด้นสด นักแสดงด้นสดต้องใช้เวลาทุกวินาทีอยู่ร่วมกัน เพราะพวกเขาต้องมีสมองเดียวกัน เวลาที่ขึ้นไปบนเวทีจะไม่มีการมานึกว่า ‘ฉันทำอะไรอยู่…’ ไม่มีการกำหนดคิว คิวการแสดงเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น เกิดขึ้นในชั่วพริบตา อยู่ในการแสดงออกเพียงจุดเล็กๆ และนั่นคือสิ่งที่เป็นอยู่ระหว่างฉันกับฮอร์เฮ” เธอยิ้ม “เราไม่ต้องพูดทุกอย่างออกมา เพราะเราต่างรู้จักกันทุกแง่มุม เรามีสมองเดียวกัน”
ในฐานะคนที่เข้ามาตอนภาคสอง จิอันคาร์โล เอสโพซิโตกล่าวว่าครอบครัวเป็นคำที่กำหนดนิยามของเรื่องนี้ “หนังพูดถึงเรื่องนี้ล่ะครับ เรื่องครอบครัว ผมคิดว่ามันมีเอกลักษณ์มาก เวลาคุณทำงานกับคนที่คุณชอบ คุณอยากอยู่ใกล้ๆ พวกเขาเพราะคุณทำงานสร้างสรรค์อยู่หน้ากล้องซึ่งช่วยให้คุณได้รู้จักคนเหล่านั้นมากขึ้นอีกนิด เพราะฉะนั้นเมื่อคุณได้สังสรรค์กับพวกเขา เล่นพูล อาจดื่มเบียร์ด้วยกัน เล่นฟุตบอลโต๊ะด้วยกันหลังเลิกงาน คุณจะได้รู้จักตัวตนจริงๆ ของคนเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น และมันจะส่งผลต่อการแสดงบนจอด้วย”
เมื่อพูดถึงการนำความสัมพันธ์เหล่านี้มาใช้ในเรื่อง เอสโพซิโตอธิบายว่า “ฮอร์เฮเป็นทหารรับจ้าง เขาอยู่มานานมากจนคุณได้ค้นพบเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับเขาในภาค Death Cure นี้ คุณอาจเริ่มสงสัยว่าเขาทำงานให้ใครมาก่อนที่คุณได้เห็นในภาคนี้ สำหรับผมแล้วในแง่หนึ่งก็เหมือนการได้เห็นลูกๆ เติบโต คุณต้องปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจด้วยตัวเอง และคุณต้องสนับสนุนหรือไม่ก็คัดค้านการตัดสินใจเหล่านั้น แต่ฮอร์เฮเริ่มเปลี่ยนไป เขาเริ่มมีหัวจิตหัวใจมากขึ้นและเริ่มเชื่อใจคนอื่น ความเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญมากในครอบครัว ถ้าคุณสามารถเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเองก่อน จากนั้นก็เชื่อมั่นในตัวลูกหลาน คุณก็อาจได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง ผมคิดว่าการเดินทางของฮอร์เฮในหนังเรื่องนี้ค่อนข้างพิเศษ เพราะเขาถูกบังคับให้ถอยออกมา และดูคนหนุ่มสาวเหล่านี้ตัดสินใจในเรื่องที่ส่งผลต่อชีวิตของพวกเขา ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เราทำกับลูกๆ ของเรานั่นเองครับ”
เด็กซ์เตอร์ ดาร์เดน บรรยายถึงความเป็นครอบครัวว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญทั้งในจอและนอกจอ “เราอยู่ด้วยกันมาห้าปีแล้วดังนั้นเมื่อคุณได้ยินคำว่าครอบครัว ก็เหมือนกับคุณได้เห็นคนเติบโตขึ้น แต่งงาน มีลูก เลิกกับแฟน ผ่านทั้งขาขึ้นและขาลงในแง่ความสัมพันธ์ สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะผ่านอะไรมา เราก็ยังคงอยู่ดูแลกันและกัน เราได้ผ่านช่วงเวลาที่ดีมาด้วยกันและช่วงเวลาที่ย่ำแย่ด้วย นั่นคือส่วนหนึ่งของการเติบโต ตราบใดที่คุณได้เติบโตไปด้วยกันและผ่านทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายไปด้วยกัน นั่นล่ะครับที่ทำให้มันพิเศษ และนั่นคือสิ่งที่เรายังคงมีอยู่ในตอนนี้”
คายา สโคเดลาริโอ เห็นด้วย เธอชี้ว่าประสบการณ์แบบเดียวกันช่วยให้ความผูกพันแน่นแฟ้นขึ้น “คีฮงกับฉันคุยกันเรื่องที่เราไม่มีทางคุยเมื่อห้าปีก่อน เราทั้งคู่มีลูกที่เกิดห่างกันแค่สิบวัน เพราะฉะนั้นเราก็เลยคุยกันเรื่องผ้าอ้อม การเรอของเด็ก เรื่องเกี่ยวกับทารกซึ่งคนอื่นๆ ไม่สนใจเลย แต่นั่นล่ะค่ะที่ทำให้เราเหมือนเป็นครอบครัวกันจริงๆ”
“เมืองนั้นเป็นฐานปฏิบัติการของ WCKD ถ้ามันยังอยู่ มันก็เป็นที่สุดท้ายที่พวกเธอจะอยากเข้าไป มันคือการเข้าถ้ำเสือ”
-ฮอร์เฮ
แม้ไม่แน่ใจว่า “เมืองสุดท้าย” ยังตั้งอยู่หรือไม่ แต่ “ชาวทุ่ง” รู้ว่าการเข้าไปในเมืองนี้จะต้องยากแน่นอน การจะบุกเข้าไปยังสำนักงานใหญ่ของ WKCD ที่มินโฮถูกจับอยู่นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย สำหรับโธมัส การตั้งเป้าหมายยากๆ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ดีแลน โอ ไบรอัน กล่าวถึงตัวละครของเขาว่า “ในหนังภาคแรก ความท้าทายอยู่ที่การไขปริศนาเขาวงกตและออกจากทุ่งให้ได้ คนส่วนใหญ่ในกลุ่มซึ่งนำโดยแกลลีไม่ต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ พวกเขามองว่าทุ่งเป็นเหมือนบ้านและพวกเขาก็ปลอดภัยดีอยู่แล้ว ใน Scorch Trials เราออกจากเขาวงกตมาได้ มีอาคารให้อยู่อาศัยและได้รับการดูแล แต่ก็ต้องเสียบางอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน ในหนังภาคนี้ ใน Death Cure โธมัสต้องการบุกเข้าไปยังสถานที่ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดเพื่อช่วยมินโฮเพื่อนของเขาออกมาตามที่เขาได้สัญญาเอาไว้ คนส่วนใหญ่คิดว่ามันเป็นแผนการที่บ้าไปแล้ว”
ความกล้าหาญของโธมัสในทุกสถานการณ์นี่เองที่ดึงดูดผู้กำกับเวส บอลล์ให้มาสนใจไตรภาคนี้ตั้งแต่แรก “ตัวละครโธมัสคือคนที่ก้าวไปหาสิ่งที่ไม่รู้จักขณะที่ทุกคนถอยหลัง”
จิอันคาร์โล เอสโพซิโตพูดถึงการที่ตัวละครของเขามีมุมมองขัดแย้งต่อความบ้าระห่ำในแผนการของโธมัส “มันเป็นหนังที่พูดถึงการไม่ยอมทิ้งใครไว้เบื้องหลัง คุณรู้ว่าเราพยายามค้นหามินโฮ และนั่นก็คือการเดินทางของโธมัส ฮอร์เฮตั้งคำถามต่อความคิดนี้ รวมถึงชาวทุ่งบางส่วนด้วย นับเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่เมื่อคุณคิดจะตามไปช่วยคนคนเดียวที่ถูกจับตัวไป แล้วคุณจะทำอย่างไรกับคนหนุ่มสาวคนอื่นๆ ที่คุณพยายามช่วยเอาไว้ มันจะเท่าเทียมกันได้ยังไง เพราะฉะนั้นก็เลยเกิดเป็นปัญหาที่ซับซ้อนยุ่งยากขึ้นมาครับ ในฐานะพ่อของลูกสี่คน ผมก็เชื่อว่าเราไม่ควรทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ดังนั้นเรื่องนี้จึงนำไปสู่ปัญหาใหญ่และความน่าตื่นเต้นไม่น้อยในหนังเรื่องนี้ครับ”
ซาลาซาร์ ผู้รับบทเบรนดา ตัวละครที่มาร่วมกลุ่มพร้อมกับฮอร์เฮกล่าวเห็นด้วย “โธมัสเป็นแรงผลักดัน เขาเป็นวีรบุรุษที่สร้างความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างและนำเราไปสู่การเดินทางมากมาย”
ในฐานะเป้าหมายในปฏิบัติการของโธมัส ดร. เอวา เพจ ซึ่งรับบทโดยแพทริเชีย คลาร์กสันมองว่า จุดมุ่งหมายของ WCKD เป็นปัญหาทางศีลธรรมที่ท้าทายอย่างยิ่ง เธอบรรยายถึงตัวละครที่เธอเล่นว่าเป็นคนที่ห่วงใยในตัวผู้มีภูมิคุ้มกันอย่างแท้จริง แต่เธอก็มีความตั้งใจแรงกล้าที่จะต้องทำให้สำเร็จ “เธอมีความสัมพันธ์ที่น่าสะเทือนใจกับโธมัส ถ้าจะมีใครสักคนที่มีอิทธิพลต่อเอวาและเข้าถึงเธอได้ คนคนนั้นก็คือโธมัส” คลาร์กสันกล่าว เธออธิบายต่อไปว่าตัวละครของเธอไม่อาจรับมือกับความล้มเหลวได้ง่ายนัก “ฉันคิดว่าเธอคงไม่เคยนึกว่าความล้มเหลวจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอ และเธอก็มีบทพูดที่ทรงพลังกับแจนสันตอนที่เธอบอกว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องของการล้มเลิก แต่คือการรู้ตัวว่าคุณพ่ายแพ้ไปแล้วต่างหาก’”
แม้ว่าตัวละครทุกตัวมีความผูกพันเหมือนเป็นครอบครัวมาตลอดสองภาคแรก คราวนี้เพื่อโจมตีองค์กร WCKD โดยตรง กลยุทธ์ได้เปลี่ยนไปเป็นการแบ่งแยกและเอาชนะ โดยแบ่งกลุ่มออกเป็นทีมย่อยๆ เพื่อให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ดีแลน โอ ไบรอันพูดถึงภารกิจใหม่ของโธมัสว่า “ในภาคแรกๆ เราทุกคนอยู่ด้วยกันตลอดทั้งในจอและนอกจอ เรายังคงทำงานด้วยกันอยู่แต่เป็นงานคนละส่วนในภารกิจเดียวกัน ดังนั้นผมจึงมักจะได้เล่นฉากระหว่างวิลล์กับโธมัสอยู่หลายฉาก เรื่องราวเน้นไปที่ภารกิจดังนั้นเราจึงเดินหน้าปฏิบัติการเพื่อให้ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”
“พวกมันซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงตลอดไปไม่ได้หรอก วันนั้นจะมาถึง WCKD จะต้องชดใช้ทุกอย่างที่พวกมันทำ”
-แกลลี
ในหนังภาคแรก เป้าหมายหลักของชาวทุ่งคือการหนีออกมา ในภาคสอง พวกเขาถูกไล่ล่า โดยนำหน้า WCKD อยู่เพียงเล็กน้อย มาตอนนี้เมื่อพวกเขาพยายามพลิกเกมและเป็นฝ่ายรุกบ้าง พวกเขากลับได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ไม่น่าจะมาช่วยอย่างแกลลี จากที่นึกกันว่าเขาตายไปแล้ว ขณะที่พวกเขาต่อสู้กันเองในช่วงสุดท้ายก่อนออกจากเขาวงกต เพื่อนเก่าและศัตรูของโธมัสรายนี้กลับมาอยู่ในแนวหน้าของสงครามเพื่อต่อสู้กับ WKCD
เช่นเดียวกับที่แฟนหนังสือ Maze Runner หลายคนรู้ดี แกลลีกลับมาสร้างความประหลาดใจในหนังสือเล่มที่สาม ดังที่ผู้เขียน เจมส์ แดชเนอร์ได้บรรยายไว้ว่า “ตอนอยู่ในเขาวงกต แกลลีเป็นคนที่ไม่อยากล้มล้างเปลี่ยนแปลงอะไร แต่คราวนี้เขากลับมาและกลายเป็นทหารผู้นำการต่อสู้กับ WCKD คนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโธมัสไม่เชื่อใจเขา แต่ตอนนี้แกลลีกลับอยากเอาชนะ WCKD เขาอยากล้มล้างองค์กรนี้”
สำหรับวิลล์ โพลเตอร์ การที่แกลลีได้กลับมาในเรื่องนับเป็นโอกาสอันดียิ่ง “พวกเขาทิ้งผมให้ตาย พวกเขาเห็นแกลลีฆ่าชัคแต่แกลลีก็ติดเชื้อ เขาได้รับชีวิตใหม่ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่พวกเขาอยู่ด้วยกันในเขาวงกตและเขาก็เป็นทหารของฝ่ายไรท์อาร์ม เขามีโอกาสที่จะแก้ตัวถ้าเป็นไปได้ จึงเป็นเรื่องดีมากครับที่เขาได้กลับมา”
ขอต้อนรับสู่ที่พักพิง
-วินซ์
ขณะที่ชาวทุ่งปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือมินโฮ พวกเขาก็มีโอกาสที่จะได้ช่วยเด็กรายอื่นๆ ที่มีภูมิคุ้มกันและถูก WCKD จับไว้เป็นหนูทดลอง การทดลองของ WKCD มีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาว่าผู้มีภูมิคุ้มกันอาจมีสิ่งที่ใช้ผลิตซีรัมเพื่อรักษาโรคแฟลร์ได้
ผู้รับบทเป็นผู้อำนวยการอันลึกลับและทรงอำนาจของ WCKD ก็คือแพทริเชีย คลาร์กสัน เธออธิบายว่าภารกิจของ ดร. เอวา เพจนั้นเป็นภารกิจที่สำคัญ “มีประโยคหนึ่งในบทที่บอกว่าเราอาจต้องรับผิดชอบฐานที่มีส่วนกวาดล้างมนุษย์ไปจนหมดโลก ฉันคิดว่าเธอมองว่าตัวเองกำลังกู้โลก มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นในความคิดของเธอ”
คลาร์กสันยอมรับว่าวิธีการนี้อาจไร้ความเมตตาแต่นั่นก็เป็นธรรมชาติของตัวละครที่เธอเล่น “ฉันคิดว่าเธอมีเป้าหมายที่หนักแน่นชัดเจน ความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ของผู้คนไม่ใช่ส่วนสำคัญในชีวิตเธอ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเป็นพิเศษสำหรับเธอ สิ่งสำคัญสำหรับเธอคือการอยู่รอด ฉันคิดว่าเมื่อเราผ่านเรื่องราวทั้งสามตอน ผ่านหนังทั้งสามภาค ในภาคสามนี้คุณจะได้เห็นความเป็นมนุษย์ในตัวเอวามากขึ้น คุณจะได้เห็นว่าเธอใช้ชีวิตอย่างไร คุณเห็นว่าเธอก็อ่อนไหวเมื่อได้ติดต่อสื่อสารหรือมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นๆ สุดท้ายคุณจะพบว่าเธอคิดว่าเธอกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่จริงๆ”
ผู้กำกับ เวส บอลล์ ยืนยันว่าตัวละครนี้มีด้านที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นและกล่าวว่า “ผมพูดมาตลอดว่าแจนสันคือตัวร้ายที่แท้จริงของซีรีส์นี้”
เอแดน กิลเลน มองว่าความร้ายกาจของแจนสันนั้นอยู่ที่ความเสแสร้งหลอกลวงและกระหายอำนาจ “แจนสัน ตัวละครที่ผมเล่น อาจเรียกได้ว่าเป็นพนักงานขององค์กร WCKD แต่เป็นพนักงานที่ทะเยอทะยานมาก และผมไม่ได้พูดถึงแค่การทำตัวเป็นกาฝาก เขาแทบจะเหมือนตำรวจลับหรืออะไรแบบนั้น ผมพูดอะไรไม่ได้มากนักตอนที่เราถ่ายทำหนังภาคก่อนเพราะตอนแรกที่แจนสันเปิดตัวมาในเรื่องหรือเปิดตัวมาให้พวกเด็กๆ รู้จัก เขาดูเหมือนคนที่อาจให้ทางออกหรืออาจเป็นคนดีในองค์กรที่ดูคล้ายคุกแห่งนี้ แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น ซึ่งเราก็ได้เห็นแล้วระหว่างเหตุการณ์ในหนัง พอมาถึงจุดนี้ เขายิ่งมุ่งมั่น เหี้ยมโหด บ้าระห่ำ และทะเยอทะยาน ด้วยเป้าหมายที่จะชักใยบงการทุกอย่าง ผมเดาว่าอย่างนั้นครับ”
แม้ว่าเอวา เพจ อยู่เบื้องหลังข้อความที่ถูกย้ำอยู่บ่อยครั้งว่า “WCKD นั้นดี” แต่ในความคิดของโรซา ซาลาซาร์ ก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ตัวละครเบรนดาที่เธอเล่นไม่เชื่อเลยว่า WKCD เป็นองค์กรที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเหมือนที่นำเสนอ “ฉันไม่เชื่อว่า WCKD เป็นองค์กรที่ดี เหตุผลก็เพราะว่าพวกเขาเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อทำเงิน ขณะเดียวกันก็บอกคนว่าเราพยายามช่วยอยู่นะ พวกเขาเก็บเกี่ยวซีรัมไปจากเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พวกเขาพยายามหาประโยชน์จากโรคระบาดร้ายแรง พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อเรา ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ และไม่ได้ทำเพื่อรักษาชีวิต นั่นเป็นแค่คำพูดไร้สาระที่พวกเขาปั้นแต่งขึ้นมา พวกเขาทำเพื่อเงินเท่านั้นแหละ”
ตอนท้ายของการผจญภัย จิอันคาร์โล เอสโพซิโต ยกความดีให้ทีมผู้สร้างที่ได้นำเสนองานสร้างอันยิ่งใหญ่และครอบคลุมสำหรับเนื้อหาในภาคสุดท้ายของ Maze Runner “ผมชอบนะ” เขากล่าว “ไม่ใช่แค่ยิ่งใหญ่ แต่ยังชัดเจนในแง่การสะท้อนโลกดิสโทเปียแบบตะวันตกสมัยใหม่ เราอยู่ในสถานที่อันห่างไกลในทะเลทรายกาลาฮารีและเราก็ออกไปยังอ่าวเซนต์เฮเลนาติดกับมหาสมุทร คุณจะเพลิดเพลินไปกับสภาพภูมิประเทศที่เราถ่ายทำหนังเรื่องนี้ในแอฟริกาใต้ ขบวนรถไฟที่เราขนส่งและยกออกจากรถบรรทุกมาวางบนรางรถไฟ จากนั้นก็ใช้วิ่งบนรางจริงๆ หนังเรื่องนี้มีสเกลยิ่งใหญ่เกินความคาดฝันครับ มันช่วยให้นักแสดงอย่างผมรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่แค่งานที่ผ่านการคิดมาอย่างดี แต่ยังมีการลงทุน มีวิสัยทัศน์ซึ่งปรากฏออกมาอย่างอลังการ ซึ่งหนังก็ควรจะเป็นแบบนั้นล่ะครับ เราอยากเข้าไปยังอีกโลกหนึ่งเมื่อเราไปดูหนัง และในฐานะนักแสดงหนัง ผมก็เหมือนได้อยู่อีกโลกเมื่อมาถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ผมรอคอยที่จะได้เห็นครับว่ามันมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร”
ศิลปินผู้ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของตนออกมาในภาพยนตร์เมื่อห้าปีก่อนเป็นคนเดียวกับที่นำเรื่องราวนี้มาสู่บทสรุปใน The Death Cure นั่นก็คือผู้กำกับเวส บอลล์ การมีวิสัยทัศน์เดียวและได้ผู้กำกับคนเดียวมาดูแลทั้งแฟรนไชส์นับเป็นสิ่งที่ทีมนักแสดงยินดีเป็นอย่างยิ่ง
โธมัส โบรดี-แซงสเตอร์ยิ้มขณะกล่าวว่าความกระตือรือร้นของบอลล์นั้นไม่ลดน้อยถอยลงเลย “เขามักจะบรรยายว่าเขามองภาพฉากฉากหนึ่งเป็นอย่างไร โดยเคลื่อนไหวทำไม้ทำมือประกอบและทำเสียงเอฟเฟ็กต์มากมาย จากนั้นไม่ทันไรเขาก็เริ่มต้นเล่นเป็นตัวละครทุกตัว เป็นวิธีการที่สนุกมากครับในการทำความเข้าใจเรื่อง”
แพทริเชีย คลาร์กสัน ผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละภาคกล่าวว่า “ฉันคิดว่าคงไม่มีหนังภาคไหนประสบความสำเร็จถ้าขาดเวส เขามีวิสัยทัศน์ที่โดดเด่นชัดเจน ฉันไม่ได้คิดว่ามันเป็นแฟรนไชส์แต่เป็นเหมือนหนังยาวมากๆ หนึ่งเรื่อง เวสมีสไตล์เฉพาะตัว มีวิสัยทัศน์เฉพาะตัว เขามีโทนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร หนังพวกนี้คงไม่เวิร์คแน่ถ้าขาดเวส ผลงานเหล่านี้มีความเป็นตัวเขาอยู่ด้วย มีความชัดเจนเฉพาะเจาะจง และเขาก็มีเสน่ห์ดึงดูด เขาเป็นคนที่น่าทำงานด้วยเพราะเป็นคนมีความกระตือรือร้นสูง ยังมีความเป็นเด็กอยู่เลย คือจริงๆ เขาก็ไม่เด็กแล้วแต่เขาเหมือนเด็กน่ะค่ะ! ฉันว่านั่นเป็นเหตุผลให้คนชอบหนังพวกนี้ เพราะมีความเป็นตัวเขาอยู่ในนั้น”
จิอันคาร์โล เอสโพซิโต ชื่นชมจังหวะอันเกิดจากการทำงานสัมพันธ์กันระหว่างนักแสดงกับผู้กำกับตลอดทั้งสามภาค “นักแสดงทำงานอย่างหลวมๆ และสร้างสรรค์ได้เต็มที่เสมอ นักแสดงบางคนอาจไม่ชอบแบบนั้น พวกเขาไม่อยากต้องคิดทุกอย่างขึ้นมาเอง สำหรับเวสซึ่งทำหนังเรื่องนี้เป็นภาคที่สามแล้ว มันแสดงให้เห็นความตั้งใจจริงเพราะเขาจะไปทำหนังใหญ่กว่านี้ก็ได้ ผมแน่ใจว่าเขาต้องได้รับข้อเสนอมากมายและที่จริงเขาจะไม่ทำต่อก็ได้ แต่แทนที่จะทำอย่างนั้น เขาอยากที่จะเริ่มต้นและสรุปจบงานที่เขาได้เริ่มเอาไว้ วิสัยทัศน์ของเขาเชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆ ในงานชิ้นนี้ เราถ่ายทำฉากต่างๆ มากมาย แต่ส่วนมากก็ต้องอาศัยกรีนสกรีนและวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่เขาใส่เข้ามาในภายหลัง เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้ดีและจำได้ว่าเขาอยากให้ภาพที่ออกมามีแนวทางอย่างไร เขาอยากให้เรามองไปทางไหน และช่วงไหนที่เขาอยากให้เราไม่ต้องพูดอะไรเลย แค่มองอย่างเดียว และเขารู้ว่าจะตัดทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างไร เพราะฉะนั้นผมจึงชื่นชมที่เขาสามารถเก็บชิ้นส่วนทั้งหมดเอาไว้ในหัว และช่วยให้แนวทางนักแสดงในช็อตสำคัญต่างๆ เพราะการทำหนังแบบนี้ต้องอาศัยจินตนาการที่กว้างไกลมาก เขาอ่อนโยน นุ่มนวล หนักแน่น เขารับฟังและกระตือรือร้น คุณจะขออะไรมากไปกว่านี้อีกล่ะครับ”
เอสโพซิโตยอมรับด้วยว่า ถึงจุดนี้บอลล์รู้ว่าเมื่อไรที่ควรหลบออกมาและปล่อยให้นักแสดงค้นหาแนวทางด้วยตัวเอง “ผมชอบการทำงานของดีแลน เพราะเมื่อเราเจอสถานการณ์ที่ต้องหยุดถ่ายทำสักพักเพื่อชะลอการทำงานให้ช้าลงและคุยกันถึงแรงจูงใจของตัวละคร ดีแลนมักจะเป็นแนวหน้าเสมอ ในบางฉากเราเชื่อสิ่งที่เขาพูดอยู่แล้ว แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่า ‘อ้อ ผมพูดอะไรแบบนี้ไปเมื่อสามฉากที่แล้วนี่นา เดี๋ยวผมนึกก่อนนะว่าพูดยังไงให้มันดูต่างออกไป ขอผมคิดหน่อยว่าจะแสดงท่าทีให้ต่างจากเดิมยังไงดี’ เขาทำงานละเอียดมากครับ ผมชอบทำงานกับดีแลนเพราะเขาคิดนอกกรอบได้ เรามีฉากที่ดีแลนเล่นกับแบร์รี เปปเปอร์ซึ่งรับบทเป็นวินซ์ มีผม โรซา และเด็กซ์เตอร์ เราทุกคนยืนรอบโต๊ะตัวหนึ่ง แล้วก็ถูกขัดจังหวะ ฉากนั้นถูกขัดจังหวะด้วยเบิร์ก [ยานบิน] ที่บินเข้ามาและพวก WCKD ก็โฉบผ่านเราไป เราต้องดับไฟทุกดวงและมุดเข้าไปซ่อน เป็นฉากที่น่าสนใจมากเพราะผมพบว่าดีแลนพยายามหาคำตอบว่าเขาน่าจะอยู่ตรงไหน ทุกคนช่วยเสนอตัวเลือกกัน น่ารักดีครับ ทุกข้อฟังดูใช้ได้ ทุกข้อก็ดูเป็นไปได้หมด ดีแลนเลยพูดประมาณว่า ‘บางทีเราน่าจะลองตรงนี้ แล้วก็ไปลองตรงโน้น’ แล้วเขาก็กลับมาบอกว่า ‘ไม่ละ ผมคิดว่าต้องแบบนี้แหละ ขอบคุณนะทุกคน ผมว่าได้แล้วแหละ ลองกันดีกว่า’ เขาใส่ใจข้อเสนอของทุกคนเพราะเขาเข้าใจว่าเราก็อยากมีส่วนช่วยและสร้างหนังที่ดีออกมา สุดท้ายแล้วเขาก็คิดขึ้นได้ว่าต้องหาสมดุลของตัวละครตัวนี้ด้วยตัวของเขาเอง หลังจากเขาอยู่กับมันมานานมาก และเมื่อสุดท้ายเขาพูดวา ‘ขอบคุณนะทุกคน ผมว่าได้แล้วแหละ’ เขาก็มั่นใจมาก เขาเห็นคุณค่าของมัน และเขาก็ทำออกมาได้สุดยอด เขาเป็นคนที่คิดไตร่ตรองในงานที่ทำ โรซา ซาลาซาร์ก็เช่นเดียวกัน เธอละเอียดถี่ถ้วนมาก เราได้นักแสดงที่ศึกษาบทมาจริงๆ เป็นคนที่ซึมซับบทที่ตัวเองพูดไปตั้งแต่วันแรก เหมือนอย่างดีแลน คุณเก็บทุกอย่างไว้ในหัวได้ยังไง นี่หนังภาคสามแล้วนะ แต่เขารู้เส้นทางทั้งหมดของตัวละครที่เขาเล่นและอยากให้เกียรติตัวละครนั้น”
ดีแลน โอ ไบรอัน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งเมื่อนึกย้อนไปถึงการทำงานร่วมกับบอลล์ในหนังภาคแรก “เขาเป็นคนที่มั่นคงหนักแน่นที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาในชีวิตเลยครับ” โอ ไบรอัน ยิ้ม “เขาไม่ได้มีอารมณ์แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ เป็นคนที่มีความมั่นใจ คอยช่วยเหลือสนับสนุน มองในแง่บวก และสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอ ไม่มีความก้าวร้าวฉุนเฉียว ไม่มีอะไรที่ชวนให้อึดอัดใจ เขาเป็นคนน่าคบหาและส่งต่อพลังไปให้คนอื่นๆ ในฐานะผู้กำกับ เขามีสมดุลในแง่ความฉลาดปราดเปรื่องและเป็นอัจฉริยะด้านวิชวลเอฟเฟ็กต์ ด้านการเล่าเรื่อง ด้านการทำหนัง แล้วก็ยังมีคุณสมบัติอันน่าทึ่งของความเป็นมนุษย์และความเป็นเด็กตรงที่เขาเป็นคนธรรมดาๆ และถ่อมเนื้อถ่อมตัวมาก มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ เมื่อวันก่อนเขาก็ทำเรื่องที่น่าทึ่ง เหมือนกับว่าไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไง ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงจุดไหน เขาก็จะดึงคุณกลับมาได้ เหมือนกับเขาคอยช่วยดึงผมขึ้นมาตลอดเวลา”
ในฐานะผู้กำกับหนังทุกเรื่องในซีรีส์นี้ เวส บอลล์ ชื่นชมความทุ่มเทที่นักแสดงมอบให้แก่กัน การอุทิศตนให้การทำหนังเรื่องนี้ รวมถึงความเป็นเพื่อนที่พวกเขารักษาไว้ตลอดมา เมื่อมองย้อนกลับไปยังหนังภาคแรก บอลล์กล่าวว่า “ตอนที่ผมเริ่มมารับงาน ผมอยากนำนักแสดงทุกคนมาอยู่รวมกัน ผมอยากให้พวกเขาใช้เวลาทั้งสัปดาห์อยู่ในทุ่งกันตามลำพัง เรียนรู้วิธีการอยู่รอด แล้วเราก็ให้คนเก่งๆ มาช่วยฝึกวิธีการอยู่รอดให้พวกเขา นักแสดงได้คลุกฝุ่นคลุกดินกันบ้าง พวกเขาเป็นเด็กเมืองน่ะครับ เราช่วยให้พวกเขาได้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่จริงๆ”
เขากล่าวต่อไปว่า “ในขณะเดียวกัน วิธีนี้ก็ช่วยให้นักแสดงผูกพันกันเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาจะช่วยกันฮึดสู้ขึ้นมาได้เมื่อรู้สึกเหนื่อยหรืออะไรๆ ไม่เป็นใจ เหมือนกับว่าพวกเขาได้กลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิต เป็นเรื่องสนุกมากที่ได้ช่วยเหลือนักแสดง สร้างสิ่งนี้ให้เป็นจริงขึ้นมา คุณพอนึกออกไหมครับ ผมดีใจมากเลยในเรื่องนี้”
ในฐานะคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมมาตั้งแต่แรกแต่กลมกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม แบร์รี เปปเปอร์ ยืนยันว่าทุกคนล้วนมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือการสนองความคาดหวังของแฟนๆ “แฟนๆ ตื่นเต้นรอคอยกันอยู่แล้วครับ พวกเขาเป็นแฟนขนานแท้และจะต้องชอบ The Death Cure แน่นอน สถานที่ถ่ายทำงดงามและมีเอกลักษณ์ คุณจะได้อารมณ์คล้ายย้อนกลับเข้าไปในเขาวงกตบ้างเหมือนกัน ตัว ‘กรีฟเวอร์’ อาจปรากฏตัวขึ้นมาก็ได้…คุณได้รับทุกรสชาติเลยล่ะครับ มันเป็นบทสรุปของเรื่องราวจากหนังสือทั้งสามเล่ม และ The Death Cure ก็รวบรวมทุกอย่างเข้ามาไว้ด้วยกัน มันจะเป็นการผจญภัยอันน่าทึ่ง”