ขายตั๋วล่วงหน้าวันแรก แรงแซงทุกภาค
ตั๋วล่วงหน้าของ Breaking Dawn – Part 2 ภาคสุดท้ายของแวมไพร์ ทไวไลท์ ที่เปิดขายในวันที่ 1 ตุลาคมเป็นวันแรกในอเมริกา ก็ทำยอดขายได้ถึง 1.17 ล้านเหรียญ มากกว่า Breaking Dawn – Part 1 ที่ขายวันแรกได้ 626,000 เหรียญ และยังมากกว่าทุกภาคที่ผ่านๆมา โดยปัจจุบันตั๋วก็ถูกขายหมดไปแล้วมากกว่า 3,500 รอบ
ขนแวมไพร์มาประชันกันมากที่สุด พร้อมพลังพิเศษใหม่มากมายที่น่าตื่นตา
นอกจากครอบครัวคัลเลนและกลุ่มโวลตูรี่ ในภาคนี้ก็มีแวมไพร์ใหม่อีกกว่า 30 ชีวิต ที่มาจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์เดนาลี, แวมไพร์อะเมซอน, แวมไพร์อิยิปต์, แวมไพร์โรมาเนีย, แวมไพร์ไอริช และแวมไพร์เร่ร่อน ซึ่งแต่ละคนก็มีพลังพิเศษใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เช่น เบนจามิน แห่งกลุ่มอียิปต์ที่สามารถควบคุมดิน น้ำ ลม ไฟ หรือ เคท แห่งกลุ่มเดนาลี ที่สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าจากร่างกาย
ทั้งโลกจับตาดู “เรเนสเม่” ชนวนแห่งสงครามแวมไพร์ครั้งสุดท้าย
นอกจากจะเป็นภาคที่เล่าถึงมหากาพย์สงครามแวมไพร์ครั้งสุดท้าย กุญแจสำคัญที่เป็นชนวนของเรื่องก็คือ เรเนสเม่ ลูกครึ่งมนุษย์-แวมไพร์ ซึ่งก็ยังเป็นคนที่เชื่อม เอ็ดเวิร์ด, เบลล่า และ เจคอบ ให้เป็นครอบครัวเดียวกัน โดยหลังจากคัดเลือดนักแสดงกว่า 3 เดือนทั่วทั้งอเมริกา ในที่สุด แม็คเคนซี่ ฟอย ก็ได้เข้ามารับบท โดยเธอมีความคล้ายคลึงกับ คริสเต็น ที่รับบทเป็น เบลล่า อย่างไม่น่าเชื่อ
เตรียมชมงานเวิลด์พรีเมียร์ครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เพื่อให้สมกับเป็นงานพรีเมียร์หนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ทีมงานก็เปิดพื้นที่ให้แฟนๆมาตั้งแค้มป์มากถึง 2,250 จุด ในบริเวณงานล่วงหน้าก่อนถึง 4 วัน โดยงานเวิลด์พรีเมียร์ Breaking Dawn – Part 2 จะจัดขึ้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน ตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็น ตามเวลาแอลเอ หรือเช้าวันที่ 13 พฤศจิกายน เวลา 08.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย โดยครั้งนี้นอกจากสามนักแสดงนำ ทีมนักแสดงตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคสุดท้ายก็จะมาร่วมเป็นสักขีพยานในภาคสุดท้ายอีกด้วย
ความในใจของสามนักแสดงนำกับการ “ทไวไลท์” กันเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2008 สามนักแสดงนำก็ได้เผยถึงความรู้สึกกับประสบการณ์ที่ผ่านมา โดย เทย์เลอร์ เผยว่า “ผมคงไม่เอ่ยคำลากับมัน เพราะ เจคอบ จะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปตลอดกาล”, ร็อบ เผยว่า “มันคือความรู้สึกที่ประหลาดที่สุด เพราะนี่คือครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ ผมคงรู้สึกแปลกแน่ๆเมื่อต้องเดินพรมแดงครั้งนี้” และ คริสเต็น เผยว่า “ฉันคิดว่าทุกอย่างในชีวิตต้องมีช่วงเวลาที่คุณรู้สึกว่ามันถึงจุดหมายแล้ว สำหรับฉันที่อยู่กับมันมาตั้งแต่อายุ 17 จนถึง 22 มันคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต”