พวกเธอมีความสวย พวกเธอมีความฝัน และพวกเธอมีความลับ
หลังม่านแห่งแสงสี สูงส่งเหมือนนางฟ้า หรือตกต่ำแค่นางโชว์
ผลงานการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของนักแสดงสาวมืออาชีพ
“ตั๊ก-บงกช คงมาลัย”
ร่วมด้วยนักแสดงสาวมากความสามารถ “หญิง-รฐา โพธิ์งาม”
และนางเอกใหม่แกะกล่อง “อมยิ้ม-จุฬาลักษณ์ จุฬานนท์”
ในบท 3 สาวนางโชว์สุดเซ็กซี่ที่จะมาโชว์ความพลิ้วไหว เร่าร้อน และงดงาม
เธอจะโชว์ เธอจะเต้น เธอจะเปิด…ความลับ
6 มิถุนายนนี้
เปิดม่านนางโชว์ให้โลกได้รู้
เปิดม่าน…
เรื่องราวของ 3 สาวนางโชว์สุดฮ็อต ดาวเด่นสุดเซ็กซี่ประจำร้าน ANGEL BAR (แองเจิล บาร์) ทั้ง 3 สาวเป็นเพื่อนสนิทและยังเป็นที่หลงใหลของบรรดาชายหนุ่มที่เข้ามาดูลีลาการเต้นโชว์ของพวกเธอ โดยเฉพาะ “เฟิร์น” (บงกช คงมาลัย) สาวพิเศษที่เป็นใบ้ แต่มีลีลาการเต้นโชว์สุดเร่าร้อนสวยงามแบบมัดใจชาย ส่วน “มิ้นท์” (จุฬาลักษณ์ จุฬานนท์) สาวสวยที่รักงานศิลปะทุกแขนงโดยเฉพาะด้านการเต้น ถึงแม้จะถูกรัศมีของเฟิร์นบดบังอยู่ แต่มิ้นท์ก็ทั้งรักและดูแลเฟิร์นเหมือนน้องสาว ด้าน “รุ้ง” (รฐา โพธิ์งาม) เธอเป็นนางโชว์ลีลาดี มากประสบการณ์ และมีความทะเยอทะยานอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าการเป็นแค่นางโชว์ประจำบาร์แห่งนี้
แต่ทว่าชีวิตจริงของพวกเธอนั้นกลับไม่ได้สวยงามอย่างการแสดงโชว์บนเวที
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป คลื่นลูกใหม่ขึ้นมาแทนที่ ปัญหาชีวิตต่างๆ เริ่มรุมเร้า เฟิร์นและรุ้งต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ด้านมิ้นท์เลิกเป็นนางโชว์ในบาร์ แล้วหันมาเปิดร้านขายดอกไม้แทน พร้อมกับเลี้ยงดู “เก้า” (มาเรียวโน่ คอนเซนติโน่) ลูกชายสุดที่รักวัย 15 ที่เกิดมาโดยไม่เคยรู้ว่าพ่อของตัวเองคือใคร เก้าจึงถูกเพื่อนๆ ล้อว่าไม่มีพ่อมาตลอด จึงทำให้เก้าตัดสินใจตามหาพ่อ จนกระทั่งหนีออกจากบ้านไปในที่สุด โดยทิ้งให้มิ้นท์ต้องทนทุกข์ระทมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ความรัก ความสุข ความทะเยอทะยาน และความฝันของแต่ละคนแตกต่างกันสิ้นเชิงกับการแสดงอันงดงามพลิ้วไหวบนเวที
มรสุมชีวิตซัดกระหน่ำเข้ามาให้พวกเธอต้องหยัดยืนกล้ำกลืนผ่านประสบการณ์เจ็บปวดที่งดงามนี้ไปให้ได้
เรื่องราวดราม่าเข้มข้นกับสุดยอดโชว์เต้นสวยงามสุดเซ็กซี่ที่ชวนให้มาสัมผัส…
หลังม่านนางโชว์
เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางด้านการแสดงภาพยนตร์มานานกว่า 12 ปีตั้งแต่แจ้งเกิดจาก “บางระจัน” (2543) จนถึงการแสดงคุณภาพที่เพิ่งผ่านไปใน “จันดารา ปฐมบท-ปัจฉิมบท” (2555-2556) ล่าสุด นักแสดงสาวมากความสามารถ “ตั๊ก-บงกช คงมาลัย” ขอก้าวมาอยู่เบื้องหลังเต็มตัวในภาพยนตร์เรื่อง “นางฟ้า” ที่เป็นผลงานการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์(ยาว)เรื่องแรกในชีวิต ซึ่งสะท้อนภาพจริงทั้งด้านดีและร้ายของนางโชว์ในบาร์
“เรื่องนี้เป็นงานกำกับหนังยาวเรื่องแรกของตั๊กเลยค่ะ คือพอตั๊กเล่นหนังมาเรื่อยๆ ได้สัมผัสกับคนทำหนังมาตั้งแต่เข้าวงการ พอโตขึ้นเราก็รู้ว่าชอบทำงานด้านภาพยนตร์ แล้วก็อินกับมันจนรักและรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่เราจะต้องอยู่กับมันต่อไป ด้วยความที่เป็นนักแสดง ตั๊กก็ชอบเก็บรายละเอียด เก็บมุมมองเรื่องราวชีวิตต่างๆ ชอบศึกษาชีวิตคนโน้นคนนี้ เป็นคนชอบอะไรก็อยากหยิบยกมาทำ มาสะท้อนให้คนได้เห็น ก็เลยอยากลองมาเป็นผู้กำกับหนังใหญ่ดูสักครั้ง แล้วโอกาสก็มาถึงตั๊กกับหนังเรื่องนี้
ก็รู้สึกทั้งตื่นเต้น ทั้งสนุกมากค่ะ มันก็มีเหนื่อยบ้าง เพราะเราต้องทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน แต่ตั๊กได้ทีมงานมีฝีมือมาช่วย ทุกคนตั้งใจทำงานเต็มที่มากค่ะ
ไอเดียแรกกับหนังเรื่องนางฟ้านี้ต้องย้อนไปสมัยก่อน หนังต่างประเทศชอบให้ตั๊กไปแคสบทผู้หญิงกลางคืนอะไรอย่างนี้แทบทุกเรื่อง ตั๊กเลยรู้สึกว่าต่างชาติมักจะมองผู้หญิงไทยที่ทำงานกลางคืนในแง่ลบเพียงด้านเดียว เราก็เลยคิดอยากจะทำหนังที่ให้เกียรติผู้หญิงเหล่านี้ที่สะท้อนให้เห็นแง่มุมชีวิตต่างๆ ที่ชัดเจนมากขึ้น ก็เลยลงตัวที่เรื่องราวของพวกสาวนักเต้นหรือนางโชว์ ซึ่งจริงๆ แล้วอยากให้รู้ว่าพวกเค้าก็มีชีวิตทั้งด้านดีและร้ายแบบคนทำอาชีพอื่นๆ เหมือนกัน ก็จะเป็นหนังชีวิตที่มีครบทุกรสค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความสนุกสนานไปกับการแสดงโชว์ต่างๆ และเนื้อหาดราม่าโดนใจที่สอดแทรกแง่มุมชีวิตจริงของสาวๆ อาชีพนี้” พร้อมกันนี้ยังได้ “อ.วิโรจน์ ศรีสิทธ์เสรีอมร” (ผู้กำกับละคร “สงคราม 9 ทัพ” และผู้ช่วยกำกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “สุริโยไท”) มาร่วมเขียนบทและร่วมกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
“เริ่มจากตั๊กกับคุณอ้วน (อ้วน รีเทิร์น – ผู้ร่วมอำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้) อยากทำหนังเกี่ยวกับผู้หญิงที่ทำงานโชว์กลางคืน ซึ่งจะมีด้านที่ให้ความสุขกับคนมาเที่ยว ในขณะเดียวกันเบื้องหลังชีวิตคนพวกนี้มีอะไรที่น่าสนใจ ตั๊กเป็นคนคิดโครงเรื่องหนังและก็ไปทำรีเสิร์ชข้อมูลมาก่อนหลายเดือน จากนั้นผมก็นำมาช่วยกันพัฒนาบทซึ่งรวมๆ แล้วน่าจะประมาณ 6-7 เดือนนะกว่าจะออกมาเป็นบทภาพยนตร์
หนังจะพูดถึงมนุษย์กลุ่มหนึ่งซึ่งให้ความสุขกับคนอื่น แต่ว่าชีวิตของตนเองไม่ได้สวยงามเหมือนภาพที่ออกไป เหมือนว่าเราได้ค้นเข้าไปในชีวิตมนุษย์ที่ลึกเข้าไปกว่าที่เราเคยเห็น และกลับได้สิ่งที่สังคมกำลังค้นหากันอยู่ด้วย
การทำงานกับตั๊ก มีความสุขมากครับ ตั๊กเป็นคนหนึ่งที่รักหนังมาก ชอบดูหนังที่หลากหลาย ดูหนังเยอะมาก หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องราวชีวิตของผู้หญิง ตั๊กจึงเหมาะที่จะกำกับเรื่องนี้ เพราะเขาจะเข้าอารมณ์ผู้หญิงได้ดี ความสวยงาม ความลึกซึ้งจะได้จากตั๊กเยอะมาก ทางผมร่วมเขียนบทและกำกับก็จะเน้นทิศทางของหนัง ฉากนี้ต้องการอะไร มันควรจะเดินไปทางไหนยังไง เพราะฉะนั้นเวลาทำงานมันจะไม่ทับซ้อนกัน ต่างคนต่างช่วยเหลือกันครับ”
อีกหนึ่งหัวเรือใหญ่ผู้ปลุกปั้นโปรเจ็คต์นี้มาตั้งแต่เริ่มต้นพร้อมกันกับ “ตั๊ก บงกช” ก็คือผู้บริหารและผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงอย่าง “อนันต์ เสมาทอง” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “อ้วน รีเทิร์น” ซึ่งถือเป็นการพลิกบทบาทของตัวเองสู่เบื้องหลังการสร้างภาพยนตร์เป็นครั้งแรกด้วย
“พี่ก็ได้มีโอกาสไปทำบุญกับตั๊ก ไปสร้างวัดกันที่ภาคอีสาน ก็คุยกันระหว่างเดินทาง ตั๊กบอกว่ามีโปรเจ็คต์จะทำหนังเกี่ยวกับผู้หญิงโชว์กลางคืนประมาณนี้นะ แล้วน้องก็มีความตั้งใจมาก ก็บอกให้ตั๊กเริ่มเขียนโครงเรื่องมา จากนั้นเราก็แนะนำพี่วิโรจน์ให้รู้จักกับตั๊ก เพราะเรารู้จักพี่วิโรจน์มานาน เขาเป็นคนมีฝีมือ จึงชวนให้มาช่วยเขียนบทและร่วมกำกับเรื่องนี้ มันเป็นหนังเรื่องแรกจึงอยากทำให้มันออกมาดีที่สุด ก็ผันชีวิตตัวเองมาอยู่ในอีกบทบาทหนึ่งด้วยการเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังในนามบริษัท แม่(มามอง) แล้วก็สร้างหนังเรื่อง ‘นางฟ้า’ นี้เป็นเรื่องแรกในชีวิตเลย ก็ได้ร่วมทุนสร้างกับทางสหมงคลฟิล์ม
เรื่องนี้ใช้เวลาเตรียมตัวก่อนเปิดกล้องประมาณ 2 ปีเต็ม ตั้งแต่เขียนบท วางตัวนักแสดง หาสถานที่ รวมถึงในส่วนอื่นๆ ถึงเราจะอยู่วงการมานาน แต่เรายังไม่เคยทำตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง พี่ก็ต้องลงไปคลุกคลีกับกองถ่ายอยู่ประมาณครึ่งปีก่อนจะเปิดกล้อง ช่วงรีเสิร์ชพี่กับตั๊กก็จะตะลุยเข้าไปในพัฒน์พงษ์ เข้าไปในบาร์ที่มีโชว์กันจริงๆ ศึกษาบาร์นางโชว์ว่าเขาใช้ชีวิตกันยังไง ทำตัวยังไง เต้นกันยังไง มีจริตกันยังไง เราจะได้มาปรับใช้ให้เข้ากับหนังได้
การร่วมงานกับตั๊กในหนังเรื่องนี้ ไม่มีผิดหวังเลย ตั๊กจะเป็นผู้หญิงที่พูดจาตรงๆ แต่มีเหตุผล พี่เชื่อใจตั๊กมีความเป็นมืออาชีพในเรื่องการแสดง ทุ่มเท่ให้กับการแสดง 100 เปอร์เซนต์ไม่มีกั๊ก พอได้ร่วมงานกัน ตั๊กเป็นคนทุ่มเท ลุยหนักมากกับหนังเรื่องนี้ เล่นเองด้วย กำกับเองด้วย ทั้งตากแดด ทั้งดูหน้ามอนิเตอร์ ใครที่ได้ร่วมงานกับตั๊กแล้วจะรักตั๊กนะ เพราะว่าตั๊กเป็นคนทุ่มเท เป็นคนมีฝีมือมากๆ”
เพื่อให้งานสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตออกมาดั่งใจต้องการและเป็นชิ้นงานที่ดีที่สุด ผู้อำนวยการสร้างหน้าใหม่คนนี้ก็ยอมทุ่มทุนสร้างในทุกๆ องค์ประกอบกันเลยทีเดียว
“เม็ดงานจะสำคัญกว่าเม็ดเงิน ถ้าเม็ดงานมันออกมาดีเม็ดเงินมันจะออกมาเอง เพราะเรื่องแรกจึงต้องทำทุกอย่างดีที่สุด บางซีนอยู่ในหนังไม่เกิน 1 นาที ค่าใช้จ่าย 2-3 แสนเราก็ต้องยอม หรืออย่างฉากเต้นต้องมีการเซ็ตฉากเป็นล้านสองล้านแค่ฉากอย่างเดียวเราก็ทุ่มเทหมด โลเกชั่นต่างๆ ด้วย ฉากพัทยาบางฉากที่ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ถ่าย เราก็ต้องยอม เพราะมันเป็นงานทุกอย่าง ต้องมีการใช้ความร่วมมือหลายๆ ฝ่าย พองานเสร็จออกมาแล้วก็น่าพอใจ ทุกคนทำกันเต็มที่มากๆ”
ด้าน “ตั๊ก บงกช” ผู้กำกับหญิงหน้าใหม่แต่เก๋าประสบการณ์ นอกจากจะทั้งกำกับ, เขียนบท และแสดงนำแล้ว เธอยังดีไซน์ชุดโชว์ ร่วมคัดเลือกนักแสดงอีกด้วย เรียกได้ว่าเหมาหลายตำแหน่ง ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจกับงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
“สนุกมากค่ะ ตอนเขียนบทก็ร่วมเขียนกับพี่วิโรจน์และก็มีพี่อ้วนเป็นที่ปรึกษาด้วย เพราะพี่อ้วนจะมีมุมของเขาที่อยากจะให้เป็น ก่อนจะเขียนก็ต้องมีการรีเสิร์ชกลุ่มคนทำงานกลางคืน ไปดูโชว์เต้นมา โชว์ที่เขาลือชื่อกันอยู่ในเมืองไทยมีที่ไหนบ้าง เราก็ไปดูกัน รวมถึงเรื่องเสื้อผ้าการแต่งกาย เจาะไปถึงชีวิตเบื้องหน้า-เบื้องหลังของพวกเขาว่าเป็นยังไง แล้วก็นำมาเขียนมาปรับให้เข้ากับบท ให้มันดูเป็นหนังเรื่องนี้ขึ้นมา จากนั้นเริ่มแคสติ้งหานักแสดงให้เข้ากับคาแร็คเตอร์ที่เราเขียน แล้วต่อด้วยการเวิร์คช็อปนักแสดงร่วมกัน เรื่องนี้ตั๊กก็แสดงเองด้วย ก็เขียนบทตัวเองให้เป็นคนใบ้ ก็เป็นอีกบทที่ท้าทาย เรื่องนี้เราต้องโฟกัสหลายอย่างเลยค่ะ ในส่วนของเรื่องการออกแบบเสื้อผ้าก็ขออาสารับหน้าที่นี้เองเช่นกัน มีไปศึกษาจากพวกพี่คอสตูมมืออาชีพมาบ้าง ศึกษาจากตัวตนนางโชว์ด้วยเช่นกัน ซึ่งในเรื่องจะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นที่พัทยา เราก็ต้องดูกับสถานที่ เหมาะกับท่าเต้น หรือแม้แต่เพลงในแต่ละโชว์ควรจะเป็นเสื้อผ้าแบบไหน”
ในส่วนตัวละครในเรื่องนี้ถือได้ว่ามีความหลากหลายทั้งคาแร็คเตอร์และการแสดงดราม่าและโชว์เต้นที่จะเพิ่มสีสันความสนุกน่าติดตามให้กับเรื่องได้เป็นอย่างดี
“ตัวละครในเรื่องนี้ เราจะเลือกคนที่ใกล้เคียงแล้วนำมาปรับให้เข้ากับคาแร็คเตอร์ในเรื่องค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ‘มิ้นท์’ (อมยิ้ม จุฬาลักษณ์) ตามคาแร็คเตอร์จะเป็นคนที่มีความเป็นผู้หญิงสูงมาก เรียบร้อยทั้งกิริยาท่าทาง แล้วตัวน้องอมยิ้มเองก็เป็นคนเรียบร้อย ด้วยสรีระต่างๆ รูปร่าง เหมาะที่จะเป็นนางโชว์ แต่ก็ต้องฝึกซ้อมทั้งการแสดงและการเต้น เพราะนี่เป็นการแสดงเรื่องแรกของน้องเขาเลย
‘รุ้ง’ (หญิง รฐา) คาแร็คเตอร์เป็นผู้หญิงสวย เต้นเก่ง จะเป็นผู้ออกแบบท่าเต้นให้กับโชว์นางฟ้าแต่ละโชว์ในหนัง บุคคลิกไม่ยอมคน ตั๊กเลือกหญิง เพราะเขาเต้นเก่งและเหมาะสมกับบทนี้มาก
‘เฟิร์น’ ตั๊กเล่นเอง คาแร็คเตอร์เป็นผู้หญิงที่เศร้า เหงา หัวอ่อนเชื่อคนง่าย แล้วก็เป็นใบ้พูดไม่ได้ แต่มีความเก่งด้านการจำท่าเต้นได้อย่างดีค่ะ ภาษามือก็ไม่ยากนะคะ จริงๆ แล้วความยากของภาษามือคือความเร็ว พอเร็วขึ้นปุ๊ปก็จะเริ่มงง ตั๊กไปเรียนกับครูที่สอนเฉพาะภาษามือ และเวลาเราถ่ายเขาก็จะไปดูเราหน้ากองด้วย มาช่วยสอนหน้ากอง ก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ค่ะ
อีกคนคือพี่หนึ่ง ชลัฏ มารับบทเป็น ‘ชารีฟ’ จะเป็นผู้ชายจอร์แดนหน้าตาคมๆ ที่ดูภายนอกจะขรึม ภายในเป็นคนดุและน่ากลัว ผู้หญิงเห็นภายนอกจะมองว่าดูดี สำหรับพี่หนึ่งเราร่วมงานกันมาหลายเรื่องแล้ว และในเรื่องนี้พี่หนึ่งสามารถถ่ายทอดออกมาให้ดูแล้วรู้สึกเกลียดเขาได้เลยค่ะ
นอกจากนี้ ยังมีนักแสดงหน้าใหม่อีกหลายคนค่ะอย่างน้องจ๊อบ ไตรรงค์ มารับบทเป็น ‘ตรัย’ ตามคาแร็คเตอร์จะเป็นคนที่กลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวทุกอย่าง เป็นนักดนตรีที่เล่นทั้งเปียโน, ทรัมเป็ตอยู่ในวงเดียวกับนางฟ้าด้วยซึ่งน้องจ็อบเขามีพื้นฐานการเล่นดนตรี แต่เขาก็ยังไปเรียนเพิ่มเติมเพื่อที่จะได้ดูเป็นนักดนตรีจริงๆ ด้วยค่ะ
น้องโน่ มาเรียวโน่ มารับบท ‘เก้า’ (หรือ ‘ไนน์’) เป็นเด็กที่เกิดมาจากนางโชว์ มีปมด้อย ชอบความรุนแรง ชอบชกมวย รู้สึกไม่ดีกับครอบครัวตัวเอง จึงกลายเป็นปัญหาในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ จึงกลายเป็นเด็กคิดมาก แปลกๆ หน่อย สำหรับน้องโน่จะมีปัญหาด้านภาษาไทยที่พูดไม่ค่อยชัด แต่น้องมีพื้นฐานการต่อยมวย เราจะบอกน้องว่าต้องฝึกบทนี้มาให้ได้กลับไปบ้านห้ามพูดอังกฤษนะ ต้องพูดภาษาไทย และการแสดงเรื่องแรกของโน่ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากค่ะ
น้องเจ็ม กรรณิการ์ มารับบท ‘โซฟี’ มาเล่นเป็นเพื่อนของเก้า ที่คอยช่วยเหลือเก้าอยู่ตลอด เป็นลูกสาวของชารีฟซึ่งพ่อจะหวงและดุมาก ก็จะทำให้มีปมเหมือนกัน น้องเจ็มหน้าจะดูเป็นลูกครึ่ง ดูเหมาะสมที่จะมารับบทเป็นลูกสาวของพี่หนึ่ง ชลัฏ ในเรื่องการแสดงถือว่าทำออกมาได้ดีเช่นกันค่ะ”
โชว์หน้าม่าน ละลานตา ลีลาเด็ด
อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้เลยในภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นก็คือ สุดยอดการแสดงโชว์จากเหล่านางฟ้าที่เตรียมสร้างสีสันแห่งความบันเทิง งดงาม เร่าร้อน สุดเซ็กซี่ ผสมผสานลีลาความน่ารักสดใส ด้วยอลังการงานโชว์ถึง 6 โชว์ 6 สไตล์ที่โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์แตกต่างกันไป ณ เบื้องหน้าเวที แสงไฟสาดส่อง พวกเธอพร้อมสะกดทุกสายตาผู้ชม
โดยเฉพาะ “โชว์โพลแดนซ์” อีกหนึ่งโชว์ที่เน้นความเซ็กซี่สวยงามและแข็งแรงของร่างกาย ซึ่งนักแสดงทั้ง ตั๊ก บงกช, หญิง รฐา และ อมยิ้ม จุฬาลักษณ์ จะต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว
(ตั๊ก บงกช) “ในส่วนของการออกแบบท่าเต้นแต่ละโชว์นั้น ตั๊กก็ได้ครูเบิร์ด (สุรินทร์ เมทะนี) มาออกแบบท่าเต้นและเป็นครูสอนพวกเรา ครูเบิร์ดเป็นคนเก่งมาก คิวแน่นมากแต่ก็แบ่งเวลามาสอนพวกเรา เขาออกแบบท่าเต้นให้กับงานต่างๆ มากมายทั้งในรายการโทรทัศน์, คอนเสิร์ต, โฆษณา และภาพยนตร์ เยอะมากค่ะ
การโชว์ในแต่ละแบบ จะมีทั้งที่เป็นแบบแฟนตาซีบ้าง แต่ตั๊กจะเน้นเป็นโชว์ที่น่ารัก ดูแล้วสนุกสนาน เพราะเราตั้งใจเล่าแง่มุมนางโชว์ เบื้องหลังเวทีมันเศร้าอยู่แล้ว ดังนั้นหน้าเวทีจึงต้องการให้สนุกสนาน สวยงามค่ะ ทุกโชว์ ทุกชุดพิเศษหมดเลยค่ะ ซึ่งแต่ละโชว์มีความแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างโชว์ที่เน้นดุดัน แต่เซ็กซี่ ก็คือโชว์โพลแดนซ์ ดูเร้าใจแน่นอน เป็นโชว์ที่ต้องโหนตัวลงมาจากข้างบน มีเหล็กหรือเสาและก็หมุนตัวลงมา มันยากมากที่จะโหนตัวอยู่บนนั้นนานๆ เราต้องมีร่างกายที่แข็งแรงมาก และต้องมีการเหวี่ยงตัว ร่างกายของเรากับเสาจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นโชว์ที่ยากและเป็นอีกหนึ่งโชว์ไฮไลต์มากๆ ค่ะ”
รวมถึง “โชว์นางฟ้า” ที่เน้นความสวยงามพลิ้วไหว และยังสะท้อนชีวิตของหญิงสาวซึ่งเปรียบเสมือนแมลงเม่าอยู่ในแสงไฟ แฝงความรู้สึกในใจที่อยากจะบินหนีไปให้ไกลจากวงจรชีวิตนี้ และเป็นการนำท่าเต้นหลายแขนงมาผสมผสานกลายเป็นท่วงท่าที่งดงาม อีกหนึ่งโชว์ที่จะสร้างความประทับใจให้กับคนดู
(หญิง รฐา) “โชว์นางฟ้า อีกหนึ่งโชว์ความงดงาม เป็นการเต้นของเหล่านางฟ้าในชุดสีขาวเหมือนเราอยู่บนสวรรค์ อยู่บนเมฆก็จะเป็นกึ่งๆ บัลเล่ต์กับจินตลีลาค่ะ มีความอ่อนหวานของตัวละคร นอกจากนั้นก็จะมีเป็นแจ๊สแดนซ์ ผสมกับ Hip Pop แต่มันจะคล้ายกับป๊อปที่มันเป็นสไตล์ยุคแบบชิคาโก้ที่ดูสดใสน่ารักกว่า มีการเตะขาสูง มีการเทิร์นพอยต์ กับเพลงที่น่ารักสนุกสนานค่ะ”
หลังม่านมายา…ชะตาชีวิตที่แท้จริง
โลกแห่งแสงสีมายา หน้าม่านคือการเสกสรรปั้นแต่งความสวยงาม แต่หลังม่านคือเรื่องราวชีวิตแท้จริงของมนุษย์ ที่ไม่ได้งดงามอย่างเบื้องหน้า โดยเรื่องนี้ได้สะท้อนผ่านฉากอารมณ์ดราม่าที่คนดูจะได้สัมผัสความรัก ความสุข ความทุกข์ ความทะเยอทะยาน ความผูกพันระหว่างเพื่อน ไปจนถึงความรักของผู้เป็นแม่ที่เป็นผู้ให้และทำได้ทุกอย่างเพื่อลูก หลากหลายอารมณ์สุดเข้มข้นและแฝงแง่คิดที่ผู้ชมจะได้เห็นกัน
(อมยิ้ม จุฬาลักษณ์) “ความเป็นดราม่าในเรื่องนี้ เราต้องการสื่อให้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ระหว่างแม่กับลูก และความรักระหว่างเพื่อนด้วยค่ะ ในตอนที่เราเป็นนางโชว์เราจะมีความรัก ความผูกพัน และการช่วยเหลือกันและกันของเพื่อนที่เราจะได้เห็นในตัวมิ้น, รุ้ง, เฟิร์น และก็ตรัยหนุ่มนักดนตรีประจำบาร์นี้ ในส่วนเรื่องระหว่างแม่กับลูกจะเป็นความรักที่เลือกจะเป็นผู้ให้ ให้ได้หมดแม้กระทั่งชีวิตของแม่ เรื่องนี้จะทำให้เห็นว่าชีวิตมนุษย์ทุกคนมีค่าเท่ากันหมด ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญทุกคนต้องการความรักค่ะ”
(ตั๊ก บงกช) “หนังเรื่องนี้เป็นหนังชีวิตที่มีครบทุกรสจริงๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความสนุกสนาน ความบันเทิง ด้านของอาชีพคนที่ทำงานเป็นนางโชว์ เบื้องหน้าของพวกเธอสวยงาม ยิ้มแย้ม แต่พออยู่หลังเวทีกลับกลายเป็นเรื่องราวชีวิตจริงๆ ของพวกเธอซึ่งมีหลากหลายแง่มุม ทั้งมุมซีเรียส มุมที่น่าสนใจ หรือจะมุมที่ดูแล้วอาจจะไม่น่าเห็นใจเลยด้วยซ้ำ มันครบทุกรสจริงๆ เศร้า สนุกสนาน รวมถึงโชว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ การสะท้อนเรื่องราวชีวิตที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ คนที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาชีวิตจะมีทางเลือกและการตัดสินใจแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ยังไง ตั๊กเชื่อว่ามันจะเป็นหนังที่สะท้อนสังคมได้อย่างดีค่ะ”
บทบาท-คาแร็คเตอร์
“เป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของตั๊กที่ทุ่มเทและใส่ใจทุกรายละเอียด รวมถึงทีมงานและทีมนักแสดง ทุกคนทุ่มเทและให้ใจเต็มร้อยกับการร่วมงานในโปรเจ็คต์ครั้งนี้มากค่ะ ตั๊กเชื่อว่า ‘นางฟ้า’ จะเป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่จะเข้าไปอยู่ในใจของทุกคนอย่างแน่นอนค่ะ”
เฟิร์น (รับบทโดย ตั๊ก-บงกช คงมาลัย) - เด็กสาวที่คุณชูใจ-เจ้าของแองเจิล บาร์เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก และสอนให้เฟิร์นรู้จักการเต้นจนกลายเป็นนางโชว์สุดฮ็อตของบาร์นั้น แม้เฟิร์นจะเป็นใบ้ แต่สิ่งที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของเธอคือการเต้น ด้วยท่วงท่าที่เซ็กซี่สวยงามจึงเรียกความสนใจจากหนุ่มๆ และแขกในร้านได้เป็นอย่างดี การเต้นจึงเป็นสิ่งเดียวที่เฟิร์นทุ่มเทให้มันอย่างถึงที่สุด แต่ความว้าเหว่โดดเดี่ยวทำให้เฟิร์นเป็นผู้หญิงที่โหยหาความรักความอบอุ่นอย่างไม่สิ้นสุด สมกับชื่อเฟิร์นที่คอยอาศัยต้นไม้ใหญ่อยู่เสมอ
“สิ่งที่ต้องไปเรียนเพิ่มคือ โพลแดนซ์ที่ไม่เคยทำ ไม่เคยเรียนมาก่อน ยากมากค่ะ มันคือการใช้แรงเหวี่ยง และใช้น้ำหนักของกล้ามแขน ที่จะล็อคตัวเองให้อยู่กับบนเสาเส้นเดียวได้ ซึ่งเราต้องใช้น้ำหนักของตัวเองในการเหวี่ยง ค่อนข้างยากเลยค่ะ การร่วมงานกับตั๊กในฐานะผู้กำกับ ตั๊กเขามีมุมที่เป็นผู้ใหญ่ มีมุมของการเป็นผู้กำกับรวมถึงวิธีการพูดของเขา มีความตั้งใจสูงมาก ตั๊กมีความใส่ใจกับงานทุกๆ รายละเอียด หญิงว่าตั๊กทำได้ดีเลยสำหรับหนังเรื่องแรกของเขา ทุกคนต้องมีก้าวแรกค่ะ”
รุ้ง (รับบทโดย หญิง-รฐา โพธิ์งาม) - สาวนางโชว์รุ่นพี่ ลีลาดี มีประสบการณ์มากกว่าใคร มีนิสัยถือตัว และไม่ค่อยยอมฟังใคร เพราะคิดว่าทุกคนจะต้องมาง้อเธอ รุ้งมีความทะเยอทะยานสูง พยายามหาทางดิ้นรนหลีกหนีเส้นทางสาวนักเต้นยามราตรี โดยหาผู้ชายสักคนที่ยอมทุ่มเทเงินทุนให้เธอไปทำธุรกิจสักอย่าง
“แสดงหนังเรื่องแรกต้องเต้น ต้องดราม่า ดังนั้นจึงต้องมีการปรับลุคพอสมควร อย่างเวลาขึ้นโชว์ มิ้นท์ จะต้องเป็นผู้หญิงที่สะกดทุกสายตาจ้องมองมาที่เธอ จะทำยังไงให้ดูสวยสง่า ให้ดูดีไปหมดทุกท่วงท่า รวมถึงการฝึกเต้นยากมาก เพราะไม่มีพื้นฐานการเต้นมาก่อนเลย ช่วงแรกทำไม่ได้ ก็มีพี่หญิง รฐา เขาเก่งเต้น คอยช่วยแนะนำว่าตรงนี้ต้องทำอย่างไร วอร์มร่างกายครั้งแรก เราก็เหนื่อยตั้งแต่วอร์มแล้ว (หัวเราะ)”
มิ้นท์ (รับบทโดย อมยิ้ม-จุฬาลักษณ์ จุฬานนท์) - สาวสวย เรียบร้อย สง่างาม รักงานศิลปะทุกแขนง โดยเฉพาะการเต้นที่เหมือนเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ มิ้นท์เป็นเพื่อนสนิทกับเฟิร์น และแม้รัศมีการแสดงของเธอจะถูกเฟิร์นบดบังอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ทั้งยังรักและดูแลเฟิร์นเหมือนน้องสาว ตลอดชีวิตของเธอมักผิดหวังกับเรื่องความรัก สุดท้ายมิ้นท์ผันตัวเองมาเปิดร้านขายดอกไม้ และเลี้ยงดู “เก้า” ลูกชายสุดที่รักของเธอ และคาดหวังอยากให้เก้าเรียนแพทย์อย่างที่เธอฝันไว้ให้ได้
“เป็นการแสดงครั้งแรกที่ต้องทุ่มเทอย่างหนัก ทั้งเรียนการแสดง และต้องฝึกพูดภาษาไทยให้ชัดเจนมากขึ้น และเรื่องนี้ต้องชกมวยด้วย พื้นฐานผมเคยเรียนชกมวยมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังต้องมีการเรียนต่อยมวยเพิ่มเพราะต้องใช้ท่าเยอะมีทั้งท่าจระเข้ฟาดหาง ศอกคู่ ที่ต้องใช้ตอนแสดง ในเรื่องของอารมณ์ดราม่าค่อนข้างยาก ต้องร้องไห้ แต่ได้พี่ตั๊กที่มาช่วยส่งอารมณ์ และเป็นแอ็คติ้งโค้ชให้ครับ”
เก้า (รับบทโดย โน่-มาเรียวโน่ คอนเซนติโน่) - ลูกชายสุดที่รักของมิ้นท์ วัย 15 ปี กำลังเรียนเกรด 10 โรงเรียนนานาชาติ เพื่อนๆ จึงเรียกว่า “ไนน์” (Nine) เก่งด้านกีฬาโดยเฉพาะการชกมวยไทย เป็นเด็กเอาแต่ใจเพราะแม่ตามใจทุกอย่างมาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อเก้าโตขึ้นและถูกเพื่อนล้อเรื่องไม่มีพ่อ ด้วยความต้องการเอาชนะทุกคน เก้าจึงตัดสินใจตามสืบหาพ่อที่แท้จริง ทำให้เกิดการทะเลาะกับแม่จนถึงขั้นหนีออกจากบ้าน
“เล่นหนังเรื่องแรกกดดันมากค่ะ ต้องขอบคุณพี่ตั๊กและพี่วิโรจน์ที่คอยให้กำลังใจ คอยส่งอารมณ์ แนะนำเทคนิคการแสดงให้ พี่ตั๊กจะให้อ่านบทและทำความเข้าใจกับตัวละคร เพื่อที่เวลาแสดงจะได้เข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกค่ะ”
โซฟี (รับบทโดย เจ็ม-กรรณิการ์ กซันดรา เอเกลมันส์) - เด็กสาวน่ารัก ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของชารีฟ และเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับเก้า โซฟีชื่นชมความเก่งของเก้าเป็นอย่างมาก ด้วยความน่ารักสดใสทำให้เธอเป็นถึงระดับดาวโรงเรียน แต่โซฟีเป็นเด็กที่กลัวพ่อมาก และไม่กล้าขัดใจพ่อแม้แต่ครั้งเดียว
“เป็นเรื่องที่สองกับการรับบทคุณพ่อ ผมก็นึกถึงว่าคุณพ่อทั่วไปเป็นยังไง บวกตัวลูกสาวเรา น้องเจ็มที่มาเล่น คุณพ่อน้องเขาก็มากองถ่ายด้วย เราก็ดูพฤติกรรมต่างๆ ของพ่อเขา แล้วเอาคาแร็คเตอร์พวกนี้มาปรับใช้กับตัวละครที่แสดงครับ การร่วมงานกับตั๊กเราสนิทกันเหมือนพี่น้อง เคยร่วมงานกันมาแล้ว ถ้าจะพูดถึงในฐานะผู้กำกับ ตั๊กเป็นคนมีไฟ เป็นคนที่ขยันทำงานมากครับ”
ชารีฟ (รับบทโดย หนึ่ง-ชลัฎ ณ สงขลา) - นักธุรกิจชาวจอร์แดน ที่ย้ายครอบครัวมาอยู่เมืองไทย ยามเหงามักจะชอบมาเที่ยวที่แองเจิล บาร์ และชื่นชอบการแสดงโชว์ของ 3 สาวนักเต้นเป็นพิเศษ มีลูกสาวชื่อ “โซฟี” ทั้งรักและทั้งหวงมากเกินไปจนเธอขาดอิสระในการดำเนินชีวิต เขาเข้ามาเป็นตัวแปรความสัมพันธ์ของ 3 สาวนักเต้นให้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
“การเตรียมตัวค่อนข้างเยอะมาก อย่างแรกเลยคือไปเรียนเป่าทรัมเปตและเปียโน ผมพอจะมีพื้นฐานเปียโนบ้าง แต่นักดนตรีต้องอาศัยทักษะและการฝึกซ้อมอยู่เสมอครับ นอกจากนี้ก็มีเรียนแอ็คติ้ง เรียนภาษามือเช่นกัน และต้องไปลงคอร์สเต้นร่วมกับ 3 สาวด้วยครับ เพราะในเรื่องบางโชว์ผมจะต้องร่วมเต้นในฉากนั้นด้วย”
ตรัย (รับบทโดย จ๊อบ-ไตรรงค์ ชัยนรานนท์) - หนุ่มนักดนตรีประจำแองเจิล บาร์ เป็นคนมีน้ำใจ ชื่นชอบพรสวรรค์ด้านการเต้นของเฟิร์น พร้อมกับคอยดูแลและเป็นกำลังใจให้กับเฟิร์นมาตลอด อยากเป็นศิลปินใหญ่แต่ขาดความทะเยอทะยาน จึงเป็นได้แค่นักดนตรีประจำบาร์