จอห์นนี่ เดปป์ รับบท ตอนโต้ ใน “THE LONE RANGER”

เมื่อหลายปีก่อน จอห์นนี่ เดปป์ตัดสินใจว่า ได้เวลาเริ่มต้นโปรเจ็กต์ที่ค้างคาใจเขามาซักพักเสียที

ผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ผู้ร่วมงานกับเขาบ่อยครั้ง และผู้อยู่เบื้องหลังแฟรนไชส์ “Pirates of the Caribbean” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และที่เดปป์รับบท แจ็ค สแปร์โรว์ หนุ่มร้ายผู้น่ารัก รู้สึกสนใจกับไอเดียของการสร้างเวอร์ชันจอเงินร่วมสมัยของ “The Lone Ranger” ซีรีส์คลาสสิกยุค 50s เกี่ยวกับคาวบอยใต้หน้ากากผู้ต่อสู้อาชญากรรมและ ตอนโต้ คู่หูของเขา แต่โปรเจ็กต์นี้ก็ยังคงถูกดึงให้อยู่ในช่วงของการพัฒนา จนกระทั่งเดปป์ ผู้น่าเกรงขาม ได้ก้าวเข้ามา

เช่นเคย เดปป์คิดได้ว่าวิธีการเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการสวมบทเป็นตอนโต้ให้แนบเนียนที่สุด เขาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทสองคน คือช่างแต่งหน้าโจเอล ฮาร์โลว์และช่างภาพปีเตอร์ เมาน์เทน และเริ่มต้นสร้างลุคของตอนโต้ที่โดดเด่นในแบบของเขา ด้วยความหวังว่ามันจะเกลี้ยกล่อมให้บรั๊คไฮเมอร์และสตูดิโอดิสนีย์ยอมให้ไฟเขียวกับโปรเจ็กต์นี้เสียที

แน่นอนว่าเดปป์เป็นทั้งปรมาจารย์การปลอมแปลงตัว เป็นนักแสดงสมทบผู้ยอดเยี่ยมและเป็นหนึ่งในพระเอกที่เป็นที่รักมากที่สุดของฮอลลีวูด เขาสร้าง ‘ลุค’ สำหรับตอนโต้โดยอาศัยภาพวาดนักรบชาวเนทีฟ อเมริกันที่เขาเคยเห็น และค่อยเพิ่มเติมสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไป

ผลที่ได้ก็คือภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจและมันก็ชักจูงให้บรั๊คไฮเมอร์และดิสนีย์ สตูดิโอส์เชื่อว่า ได้เวลาที่ “The Lone Ranger” และตอนโต้จะควบม้าสู่จอเงินแล้ว

“ตอนนั้น ผมกำลังแสดงเรื่อง ‘The Rum Diary’ กับบรูซ (โรบินสัน) ในเปอร์โตริโก้ และผมก็ได้พบภาพวาดนักรบชาวเนทีฟ อเมริกัน ที่วาดแถบพวกนี้บนใบหน้าครับ” เดปป์อธิบาย

“ผมขอให้โจเอล ฮาร์โลว์ ช่างแต่งหน้าของผม ที่เป็นเหมือนพ่อมด ให้ช่วยผมออกแบบลุคนี้ แล้วเราก็จัดแจงแต่งหน้า และผมก็ขอให้ช่างภาพปีเตอร์ เมาน์เทน ถ่ายภาพผมครับ”

“เราเข้าไปท่ามกลางท้องทุ่งที่สกปรกพวกนี้ แล้วก็เริ่มถ่ายรูป พอเสร็จ ปีเตอร์ก็ปรินท์รูปออกมาให้ผมดู ผมก็แบบ ‘เอาล่ะ ผมคิดว่าเราได้ตัวเขาแล้วล่ะ ตอนนี้ ถึงเวลาจะเนรมิตชีวิตให้เขาแล้ว’ ผมโทรบอกเจอร์รี่ว่า ‘นี่ พอผมกลับไปแอลเอ ผมอยากจะนั่งคุยกับคุณหน่อย’”

“เราก็เลยนัดเจอกัน ผมส่งภาพถ่ายห้าหรือหกรูปให้เขา แล้วเจอร์รี่ก็บอกว่า ‘เยี่ยมไปเลย เขาเป็นใครกันน่ะ’ ผมก็บอกว่า ‘นั่นผมไง!’ แล้วเจอร์รี่ก็บอกว่า ‘ให้ตายเหอะ! ขอภาพพวกนี้ให้ผมได้มั้ย ผมก็บอกว่า ‘ได้สิ แน่นอน ไปโชว์พวกเขาด้วยนะ’ น่ะครับ”

“นอกจากนั้นแล้ว ผมก็โชว์ภาพพวกนี้ให้ดิ๊ค คุ้ก [อดีตผู้อำนวยการวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์] ดูด้วย และปฏิกิริยาตอบรับก็เยี่ยมมากเพราะผมคิดว่า สำหรับพวกเขาแล้ว มันมีองค์ประกอบบางอย่างของกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์อยู่ เขาเป็นตัวละครที่มีลักษณะบางอย่างเหมือนกัปตันแจ็คครับ และทุกคนก็ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ รวมถึงตัวผมด้วย แล้วผมก็ไปทาบทามกอร์ (เวอร์บินสกี้) ให้มากำกับเรื่องนี้”

ผู้กำกับตอบ ‘ตกลง’ ทันที ซึ่งนั่นก็หมายถึงทีมงานสร้างเบื้องหลังแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม “Pirates of the Caribbean” ซึ่งรวมถึงเดปป์, บรั๊คไฮเมอร์และเวอร์บินสกี้ ผู้กำกับทั้งสามภาคแรก จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง

อาร์มี่ แฮมเมอร์ (“The Social Network,” “J. Edgar”) ดาราดาวรุ่งพุ่งแรง รับบท จอห์น รี้ด ในเรื่องราวต้นกำเนิดที่เผยถึงเบื้องหลังที่ว่าเขาแปลงกายกลายเป็นหน้ากากพิฆาตอธรรม และจับมือกับนักรบเนทีฟ อเมริกันในการสู้รบกับความอยุติธรรมได้อย่างไร

“อย่างแรกเลย อาร์มี่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมครับ” เดปป์กล่าว “เขาฉลาด คล่องแคล่วและมีไหวพริบมากๆ และเขาก็มีพรสวรรค์สุดๆ ด้วย เขาทุ่มเทกับการรับบทหน้ากากพิฆาตอธรรมให้เป็น ‘คนขาว’ ผู้จริงจังและไร้เดียงสา และมันก็ใช่เลยครับ”

“อาร์มี่เป็นนักแสดงหนุ่มที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็ดูเหมือนดาราหนังคลาสสิกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขามีความสามารถที่เทียบเท่ากับหน้าตาของเขา เขาก็เลยทุ่มเทให้กับบทนี้อย่างเต็มที่ เขาสวมบทนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขามีอารมณ์ขัน และเขาก็ไม่อยากจะถ่ายทอดบทนี้ออกมาเป็นแบบ ‘ผู้ชายสุดเจ๋ง’ ผมพบว่าการร่วมงานกับเขาเป็นเหมือนฝันเลย และผมก็รู้สึกว่าผมได้อาร์มี่เป็นเพื่อนที่ดีอีกคนหนึ่งแล้วครับ”

“The Lone Ranger” เริ่มต้นก้าวเข้าสู่วัฒนธรรมป๊อปของอเมริกาในรูปแบบของซีรีส์วิทยุในปี 1933 ก่อนที่มันจะก้าวมาเป็นปรากฏการณ์ระดับชาติอย่างรวดเร็ว เวอร์ชันซีรีส์โทรทัศน์ ที่นำแสดงโดยเคลย์ตัน มัวร์ในบทชายสวมหน้ากากผู้ผดุงความยุติธรรมและเจย์ ซิลเวอร์ฮีลส์ในบท ตอนโต้ ได้แพร่ภาพครั้งแรกในปี 1949 และแพร่ภาพต่อเนื่องจนกระทั่งปี 1957

เดปป์จำได้ว่าได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ฉายซ้ำหลายรอบในสมัยเด็ก เขาสัญญาว่าตอนโต้ของเขาจะเป็นคู่หูที่มีความเท่าเทียมกันและไม่ใช่ไซด์คิกของหน้ากากพิฆาตอธรรม และจะยกย่องขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมแบบเนทีฟ อเมริกันของนักรบผู้ทรงเกียรติผู้นี้ด้วย

“’The Lone Ranger’ เป็นแค่หนึ่งในรายการโทรทัศน์ปกติที่คุณจะได้ดูสมัยเด็กน่ะครับ ผมได้ดูซีรีส์นั้นและเริ่มนึกถึงตัวเองเป็นตอนโต้น่ะครับ” เขากล่าว “แม้แต่ตอนเป็นเด็ก ผมก็สงสัยเสมอว่าทำไมอินเดียนแดงถึงต้องเป็นไซด์คิกด้วย”

“แล้วก็ไม่ใช่ว่าหน้ากากพิฆาตอธรรมจะเหยียดหยามตอนโต้ออกนอกหน้าหรอกนะครับ เพียงแต่ผมคิดว่า ‘ทำไมเขาถึงต้องเป็นคนที่ไปทำนั่นทำนี่ด้วย? ทำไมเขาไม่เป็นพระเอก?’ มันเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจผมเสมอ และก็มีคนบอกผมตั้งแต่ผมยังเล็กมากๆ ว่าครอบครัวเรามีสายเลือดอินเดียนแดงไหลเวียนอยู่…ก็ไม่รู้หรอกครับว่ามากน้อยแค่ไหน อาจจะน้อยมากๆ ก็ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“สิ่งที่ผมอยากจะทำคือการรับบทตัวละครตัวนี้ แต่ไม่ใช่ในฐานะไซด์คิกของหน้ากากพิฆาตอธรรม ผมอยากจะแสดงบทนี้ในฐานะนักรบ ในฐานะชายผู้มีศักดิ์ศรีและคุณงามความดี มันเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมช่วยได้ในการพยายามแก้ไขสิ่งผิดๆ ในอดีตให้กลับมาถูกต้องน่ะครับ”

เดปป์เกิดในเคนตั๊กกี้และเติบโตขึ้นในฟลอริดา ที่ซึ่งเขามีความสนใจดนตรี ซึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่เขาสนใจมาถึงปัจจุบัน เพื่อนสนิทหลายคนของเขาเป็นนักดนตรีและตัวเขาเองก็เป็นมือกีตาร์ที่มีพรสวรรค์ เดอะ คิดส์ วงดนตรีของเขา ประสบความสำเร็จพอตัว ซึ่งก็ทำให้เดปป์ได้เดินทางไปลอสแองเจลิส หลังจากแยกวง เดปป์ก็ตัดสินใจชิมลางงานแสดง

ผลงานภาพยนตร์ช่วงเริ่มแรกของเขาได้แก่ “Nightmare on Elm Street” และ “Platoon” เขาได้รับความนิยมอย่างสูงในบทนักสืบนอกเครื่องแบบ ทอม แฮนสันในซีรีส์ “21 Jump Street” และนำแสดงในสี่ซีซันก่อนที่จะเดินหน้าไปทำงานภาพยนตร์ โดยเฉพาะกับผู้กำกับจอห์น วอลเตอร์สในเรื่อง “Cry Baby”

เดปป์พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มากความสามารถและน่าจดจำมากที่สุดในรุ่นของเขา เขาได้ทำงานบ่อยครั้งกับทิม เบอร์ตันในภาพยนตร์เรื่อง “Charlie and the Chocolate Factory,” “Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street,” “Alice in Wonderland” และ “Dark Shadows”

เขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ และครองใจแฟนๆ หลายล้านคนจากบทกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ในภาพยนตร์ “Pirates of the Caribbean” ทั้งสี่ภาค และผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Edward Scissorhands,” “Ed Wood” (ทั้งสองเรื่องร่วมงานกับทิม เบอร์ตัน), “Chocolat,” “Blow,” “The Libertine,” “Public Enemies,” “Finding  Neverland” และ “The Rum Diary”

 

บทสัมภาษณ์

Q:            คุณเข้าร่วมโปรเจ็กต์ “The Lone Ranger” ตั้งแต่แรกๆ เลย คุณเป็นคนคิดโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมารึเปล่า

A:             เปล่าครับ ผมคิดว่ามันมีการพูดคุยกันเรื่อง “The Lone Ranger” อยู่แล้ว และเจอร์รี่ (บรั๊คไฮเมอร์) ก็จะเป็นคนสร้างมัน ตอนนั้น ผมกำลังแสดงเรื่อง ‘The Rum Diary’ กับบรูซ (โรบินสัน) ในเปอร์โตริโก้ และผมก็ได้พบภาพวาดนักรบชาวเนทีฟ อเมริกัน ที่วาดแถบพวกนี้บนใบหน้าครับ ผมขอให้โจเอล ฮาร์โลว์ ช่างแต่งหน้าของผม ที่เป็นเหมือนพ่อมด ให้ช่วยผมออกแบบลุคนี้ แล้วเราก็จัดแจงแต่งหน้า และผมก็ขอให้ช่างภาพปีเตอร์ เมาน์เทน ถ่ายภาพผมครับเราเข้าไปท่ามกลางท้องทุ่งที่สกปรกพวกนี้ แล้วก็เริ่มถ่ายรูป พอเสร็จ ปีเตอร์ก็ปรินท์รูปออกมาให้ผมดู ผมก็แบบ ‘เอาล่ะ ผมคิดว่าเราได้ตัวเขาแล้วล่ะ ตอนนี้ ถึงเวลาจะเนรมิตชีวิตให้เขาแล้ว’ ผมโทรบอกเจอร์รี่ว่า ‘นี่ พอผมกลับไปแอลเอ ผมอยากจะนั่งคุยกับคุณหน่อย’ เราก็เลยนัดเจอกัน ผมส่งภาพถ่ายห้าหรือหกรูปให้เขา แล้วเจอร์รี่ก็บอกว่า ‘เยี่ยมไปเลย เขาเป็นใครกันน่ะ’ ผมก็บอกว่า ‘นั่นผมไง!’ แล้วเจอร์รี่ก็บอกว่า ‘ให้ตายเหอะ! ขอภาพพวกนี้ให้ผมได้มั้ย ผมก็บอกว่า ‘ได้สิ แน่นอน ไปโชว์พวกเขาด้วยนะ’ น่ะครับ นอกจากนั้นแล้ว ผมก็โชว์ภาพพวกนี้ให้ดิ๊ค คุ้ก [อดีตผู้อำนวยการวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์] ดูด้วย และปฏิกิริยาตอบรับก็เยี่ยมมากเพราะผมคิดว่า สำหรับพวกเขาแล้ว มันมีองค์ประกอบบางอย่างของกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์อยู่ เขาเป็นตัวละครที่มีลักษณะบางอย่างเหมือนกัปตันแจ็คครับ และทุกคนก็ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ รวมถึงตัวผมด้วย แล้วผมก็ไปทาบทามกอร์ (เวอร์บินสกี้) ให้มากำกับเรื่องนี้

Q:            ลุคของตอนโต้คล้ายกับภาพแรกที่คุณสร้างขึ้นมา ภายใต้แรงบันดาลใจจากภาพวาดนักรบภาพนั้นรึเปล่า

A:             ใช่ครับ แบบนั้นเลย แต่ตอนนั้น ผมยังไม่มีชุด ผมก็เลยไม่สวมเสื้อ แล้วก็แขวนอะไรห้อยระโยงรยางค์เต็มไปหมด เมคอัพของผมก็เหมือนกับในภาพแรกๆ พวกนั้น สิ่งเดียวที่โจเอลเปลี่ยนแปลงคือเขาได้เพิ่มเท็กซ์เจอร์เข้าไปในสีขาว จนมันเป็นเหมือนโคลนหรือดินเหนียวที่ป้ายอยู่บนหน้าเขาน่ะครับ

Q:            แล้วนกบนหัวของตอนโต้ล่ะ มันมาจากไหน

A:             ในภาพวาด นักรบคนนั้นจะวาดแถบบนใบหน้า ซึ่งแตกต่างจากแถบที่เราใช้สำหรับตอนโต้เล็กน้อย แต่เขาก็มีแถบลากยาวบนใบหน้า สิ่งที่กระทบใจผมเกี่ยวกับภาพนี้คือมันเป็นเหมือนการเห็นทั้งสี่ส่วนของชายคนนั้นแยกเป็นส่วนๆ และด้านหลังเขา ก็มีอีกาบินอยู่ ซึ่งเมื่อมองแวบแรก ผมคิดว่าอีกาตัวนั้นอยู่บนหัวเขาเสียอีก ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ผมตัดสินใจว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการเอาซากนกมาวางไว้บนหัวผม เพื่อเป็นเหมือนผู้นำทางทางจิตวิญญาณของผม ว่าแต่ทุกคนน่าจะลองทำดูบ้างนะครับ มันไม่ธรรมดาเลย (หัวเราะ) แต่ก็แบบนั้นแหละครับ นกตัวนั้นกลายเป็นผู้นำทางทางจิตวิญญาณของเขา

Q:            ทั้งหมดนั่นเป็นกระบวนการสร้างตัวละครใช่มั้ย

A:             ครับ พอคุณเริ่มแทนที่ตัวเองกับตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนโต้ได้แล้ว มันก็จะเป็นการสร้างตัวละครขึ้นมาแล้วครับ มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะเห็นได้ว่าชายคนนี้ผ่านอะไรมามากมายครับ

Q:            คุณใช้เวลาเมคอัพนานแค่ไหน

A:             ผมต้องใช้เวลาเมคอัพประมาณวันละสองสามชั่วโมงครับ บางครั้ง ผมก็ตัดสินใจจะคงสภาพเมคอัพนั้นไว้ตอนอยู่บ้านด้วยเพื่อประหยัดเวลาในตอนเช้า (หัวเราะ) มันก็ไม่ได้น่าอึดอัดหรอกครับ และถึงมันจะดูตลกก็จริงแต่มันก็คุ้มค่าครับ

Q:            เราจำได้ว่าก่อนหน้านี้ คุณเคยพูดถึงว่าคุณเห็นภาพแจ็ค สแปร์โรว์ในลักษณะสมบูรณ์พร้อม ตอนโต้ก็เป็นแบบเดียวกันรึเปล่า

A:             เขาเกือบจะสมบูรณ์แบบครับ และพอคุณเริ่มทดลองไอเดียต่างๆ เริ่มวาดภาพหรือทำอะไรทำนองนั้น ไอเดียต่างๆ ก็จะเริ่มพรั่งพรูเข้ามาเหมือนกับเวลาที่คุณอยู่ในกองถ่าย มันอาจมีสิ่งละอันพันละน้อยที่คุณสามารถเพิ่มเข้าไปในฉากหรือมีช่วงเวลาตลกๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้นๆ แต่ใช่ครับ เขาเกือบจะสมบูรณ์แบบมาเลยล่ะ

Q:            ตอนเป็นเด็ก คุณได้ดู “The Lone Ranger” รึเปล่า

A:             ครับ ผมเคยดู ผมจำได้ว่าเคยดู “The Lone Ranger” มาก่อน มันเป็นแค่หนึ่งในรายการโทรทัศน์ปกติที่คุณจะได้ดูสมัยเด็กน่ะครับ ผมได้ดูซีรีส์นั้นและเริ่มนึกถึงตัวเองเป็นตอนโต้น่ะครับ แม้แต่ตอนเป็นเด็ก ผมก็สงสัยเสมอว่าทำไมอินเดียนแดงถึงต้องเป็นไซด์คิกด้วย แล้วก็ไม่ใช่ว่าหน้ากากพิฆาตอธรรมจะเหยียดหยามตอนโต้ออกนอกหน้าหรอกนะครับ เพียงแต่ผมคิดว่า ‘ทำไมเขาถึงต้องเป็นคนที่ไปทำนั่นทำนี่ด้วย? ทำไมเขาไม่เป็นพระเอก?’ มันเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจผมเสมอ และก็มีคนบอกผมตั้งแต่ผมยังเล็กมากๆ ว่าครอบครัวเรามีสายเลือดอินเดียนแดงไหลเวียนอยู่…ก็ไม่รู้หรอกครับว่ามากน้อยแค่ไหน อาจจะน้อยมากๆ ก็ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้ว่ายายทวดของผมจะมีลุคเหมือนอินเดียนแดงมากๆ ทั้งด้วยผมเปียและอื่นๆ เธอเป็นผู้หญิงที่งดงามและวิเศษสุด และเธอก็มีชีวิตถึงอายุได้ 102 ปี เธอเคี้ยวใบยาสูบจนกระทั่งวันตายเลยล่ะครับ เธอเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งจริงๆ

Q:            เธอชื่ออะไร

A:             เธอชื่อเมย์ สโลนครับ

Q:            เธอเป็นคนที่เล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับสายเลือดของคุณรึเปล่า

A:             ครับ เราได้ยินเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยเด็ก ผมก็เลยคิดว่ามันทำให้ผมอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับชาวเนทีฟ อเมริกันมากขึ้น และผมก็อยากเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติและบรรพบุรุษของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่พอคุณดูหนังคาวบอย พวกอินเดียนแดงมักถูกนำเสนอว่าเป็นพวกป่าเถื่อน เป็นผู้ร้าย ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะชอบใจนัก ดังนั้น ตอนที่ผมรับบทคาวบอยและอินเดียนแดง ตอนอายุห้าหรือหกขวบ ผมก็เลยอยากจะเป็นอินเดียนแดง และตอนนี้หลังจากผ่านมานานหลายปี ผมก็ได้รับบทตอนโต้ ซึ่งเป็นอะไรที่เยี่ยมมาก และวิธีเดียวที่ผมสามารถทำได้ ทั้งสำหรับตัวผมเองและสำหรับชาวเนทีฟ อเมริกัน คือการสวมบทตอนโต้ด้วยศักดิ์ศรีและความดีงาม และในขณะเดียวกัน เขาก็จะมีอารมณ์ขันในเรื่องคนผิวขาวและทุกสิ่งที่พวกเขาทำ นี่เป็นการแสดงความคารวะเล็กๆ ของผมต่อพวกเขา มันเป็นวิธีการของผมที่จะมอบอะไรตอบแทนกลับไปและปรับเปลี่ยนสมดุลในลักษณะที่พวกเขาถูกเข้าใจผิดในหนังมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาน่ะครับ

Q:            มันเป็นสมมาตรที่ยอดเยี่ยมในการที่คุณสวมบทนี้ในแบบนั้นใช่มั้ย

A:             ครับ ผมหวังว่าอย่างนั้นนะ ผมยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เลย แต่ผมก็รู้ถึงสิ่งที่ผมทำและผมก็รู้จักกอร์ดี ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้คุยกันเรื่องบทกับจัสติน เฮย์ธี [มือเขียนบทร่วม] ประเด็นสำคัญก็คือ “เราจะให้เกียรติชาวอินเดียนอย่างเหมาะสมรึเปล่า? เราทำถูกต้องมั้ย? อย่าทำพลาดเลยนะ” สำหรับผม ไอเดียคือการชดเชยอะไรบางอย่างให้กับพวกเขาครับ

Q:            ตัวละครตอนโต้ของคุณแตกต่างอย่างมากจากตัวละครตัวนี้เท่าที่เราเคยเห็นมาก่อนในซีรีส์โทรทัศน์ ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้มั้ยว่าคุณทำให้ตอนโต้มีความร่วมสมัยอย่างไรบ้าง

A:             สำหรับผม ผมคิดว่าที่เขามีความร่วมสมัยก็เพราะไม่ว่าภาพยนตร์จะมีประวัติยาวนานแค่ไหน แต่ชาวเนทีฟ อเมริกันก็ถูกฮอลลีวูดปฏิบัติด้วยอย่างเลวร้ายเสียเป็นส่วนใหญ่ และสิ่งที่ผมอยากจะทำคือการรับบทตัวละครตัวนี้ แต่ไม่ใช่ในฐานะไซด์คิกของหน้ากากพิฆาตอธรรม ผมอยากจะแสดงบทนี้ในฐานะนักรบ ในฐานะชายผู้มีศักดิ์ศรีและคุณงามความดี มันเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมช่วยได้ในการพยายามแก้ไขสิ่งผิดๆ ในอดีตให้กลับมาถูกต้องน่ะครับ

Q:            ในแง่หนึ่ง The Lone Ranger เป็นภาพยนตร์คู่หู และมันก็เป็นเรื่องจำเป็นที่คุณกับอาร์มี่ แฮมเมอร์จะต้องคลิกกันบนหน้าจอ มันออกมาเป็นยังไงบ้าง

A:             อาร์มี่เยี่ยมไปเลยครับ อย่างแรกเลย อาร์มี่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมครับ” เดปป์กล่าว “เขาฉลาด คล่องแคล่วและมีไหวพริบมากๆ และเขาก็มีพรสวรรค์สุดๆ ด้วย เขาทุ่มเทกับการรับบทหน้ากากพิฆาตอธรรมให้เป็น ‘คนขาว’ ผู้จริงจังและไร้เดียงสา และมันก็ใช่เลยครับ อาร์มี่เป็นนักแสดงหนุ่มที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็ดูเหมือนดาราหนังคลาสสิกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขามีความสามารถที่เทียบเท่ากับหน้าตาของเขา เขาก็เลยทุ่มเทให้กับบทนี้อย่างเต็มที่ เขาสวมบทนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขามีอารมณ์ขัน และเขาก็ไม่อยากจะถ่ายทอดบทนี้ออกมาเป็นแบบ ‘ผู้ชายสุดเจ๋ง’ ผมพบว่าการร่วมงานกับเขาเป็นเหมือนฝันเลย และผมก็รู้สึกว่าผมได้อาร์มี่เป็นเพื่อนที่ดีอีกคนหนึ่งแล้วครับ

Q:            คุณเคยพูดเอาไว้ว่ามีคนสำคัญในกระบวนการทำงานของคุณ มีทิม เบอร์ตัน, เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์, คีธ ริชาร์ดส์, บรูซ โรบินสัน ที่คุณรู้สึกผูกพันในระดับที่ลึกซึ้ง เราคิดว่ากอร์ เวอร์บินสกี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นใช่มั้ย

A:             ใช่ครับ

Q:            กอร์มีอะไรที่ทำให้เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ยอดเยี่ยมสำหรับคุณ

A:             คุณจะต้องมีความไว้วางใจในตัวคนที่คุณทำงานด้วยในระดับนั้นครับ และสำหรับผม มันเป็นอะไรที่สำคัญที่สุด และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่ายๆ เลย คุณจะต้องทำให้มันเกิดขึ้น ผมโชคดีที่ได้รับความไว้วางจากคนพวกนี้ ที่ผมอยากจะพูดถึงว่าเป็นเพื่อนที่ดีและครูที่ดี หรือเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำไปครับ ไม่ว่าจะเป็นฮันเตอร์ เอส. ธอมป์สันไปจนถึงมาร์ลอน แบรนโด, บรูซ โรบินสัน, ทิมและกอร์ คุณจะเกิดสายสัมพันธ์พิเศษที่คุณจะเข้าใจกันและกัน ที่คุณสามารถนทำให้ส่วนผสมเพียงน้อยนิดเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม ตอนที่ผมไปคุยเรื่องบทกับกอร์ เราก็จะเริ่มไหลไปเรื่อย แล้วจู่ๆ คุณก็จะได้สถานการณ์ที่น่าสนใจจริงๆ ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในเรื่อง เพราะเรารู้จักกันและกันเป็นอย่างดี เขาก็เลยสามารถคาดเดาทิศทางที่ผมกำลังไปได้ บางครั้ง ผมก็จะลองโยนอะไรบางอย่างไปด้านซ้าย เพื่อดูปฏิกิริยาของเขาครับ (หัวเราะ)

Q:            แล้วเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ล่ะเป็นยังไงบ้าง คุณมีความหลังเรื่อง “Pirates of the Caribbean” ด้วยกันกับเจอร์รี่และกอร์นี

A:             เจอร์รี่ เป็นเหมือนกับดุ๊ค ซานุค ที่เราเสียไปเลยล่ะครับ ริชาร์ดเป็นคนที่วิเศษสุด และเขาก็เป็นผู้คุ้มครองที่ยอดเยี่ยมสำหรับทิม (เบอร์ตัน) และเจอร์รี่ก็เหมือนกัน นี่คือเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ โปรดักชัน และเมื่อคุณได้เห็นภาพนั้นบนหน้าจอ คุณจะรู้ว่ามันหมายถึงอะไร เพราะเขาทั้งอำนวยการสร้าง คุ้มครองและรับใช้เรื่องราวและเขาก็รับใช้หนังแต่ละเรื่องด้วยครับ เขารับใช้ทีมงานที่อยู่เบื้องหลังโปรเจ็กต์และเขาก็อยู่ตรงนั้นเสมอ ร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์ เขาอยู่ในกองถ่ายเสมอและเขาก็จะมีความคิดเห็นเยี่ยมๆ ตลอด ถ้าคุณนั่งคุยเรื่องบทกับเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ให้ตายเถอะ เขาคมกริบเหมือนกรรไกรเลยครับ เขาคิดมุขตลกที่ตลกจริงๆ ได้หลายครั้ง และเขาก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เจอร์รี่เป็นคนที่พิเศษสุดครับ

Q:            เรารู้ว่าคุณเคยขี่ม้ามาก่อน แต่คุณต้องเตรียมพร้อมอะไรเป็นพิเศษสำหรับบทนี้รึเปล่า

A:             นิดหน่อยครับ ผมเคยขี่ม้ามาก่อนในหนังหลายเรื่อง และผมก็ขี่เก่งทีเดียว ฝีมือผมไม่เลวนักหรอกครับ แต่อุบัติเหตุก็ตามที่ชื่อมันบอกนั่นแหละว่า จู่ๆ มันก็เกิดขึ้นน่ะครับ

Q:            เล่าให้เราฟังถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นหน่อยได้มั้ย

A:             ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุรึเปล่า ผมว่าม้าตัวนั้นต้องเกลียดผมแน่ๆ (หัวเราะ) วันนั้น เราใช้งานม้าค่อนข้างหนัก แล้วเราก็ไปตามเส้นทางสองสามสาย ซึ่งทุกอย่างก็ไปได้สวย พอเราเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเข้าใกล้รถติดกล้องมากขึ้น พวกม้าก็ยังคึกอยู่ พวกมันอยากจะวิ่งครับ แล้วสเกาท์ก็ตัดสินใจกระโดดข้ามเครื่องกีดขวางสองสามอย่าง และก็นั่นแหละ มันเกิดความผิดพลาดขึ้นมา ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันเกิดขึ้นเร็วมากและช้ามาก และสิ่งที่แปลกก็คือมันไม่ใช่ว่าคุณจะคาดคิดถึงมัน คุณคิดว่าตัวเองจะเต็มไปด้วยความกลัวหรืออะดรีนาลินก็จริง แต่พอทุกอย่างเกิดขึ้น ผมได้เห็นภาพทุกอย่างชัดเจนมากๆ ซึ่งก็คือภาพขาหน้าที่ทรงพลังของมัน ที่ขยับเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เป็นอันตรายมากๆ และผมก็ยังคงจับแผงขนคอมันอยู่เหมือนคนโง่ เพื่อพยายามจะทรงตัวให้อยู่ และมันก็มาถึงจุดๆ หนึ่งที่คุณต้องตัดสินใจว่าฉันจะม้วนตัวลงไปด้วยตัวเอง หรือฉันจะรอให้เกือกม้าเหยียบหน้าฉันเป็นเสี่ยงๆ ล่ะ ผมเลยตัดสินใจม้วนตัวลงไปเอง และเหลือเชื่อมาก ม้ามันยกขาหน้าขึ้นแต่ไม่โดนผม มันอาจเหยียบผมได้อย่างรวดเร็ว แต่ผมโชคดีมากๆ ที่สัญชาตญาณของมันเฉียบคมมากๆ น่ะครับ

Q:            การที่คุณได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าโคมันชีมีความหมายอย่างไรบ้างกับคุณ

A:             มันเป็นเกียรติอย่างสูงครับ มันเหลือเชื่อเลย ผมไม่คิดฝันเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น พวกเขาน่ารักมาก และตอนนี้ผมก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ผู้หญิงคนนี้ ลาดอนนา (แฮร์ริส) เป็นสหายผม อย่างที่พวกเขาพูดกันแบบชาวโคมันชี เธอเป็นสหายผมและเป็นแม่ผม เธอเรียกผมว่า ‘ลูกชาย’ และเมื่อพวกเขาต้อนรับคุณ พวกเขาก็จะต้อนรับคุณจริงๆ ซึ่งนั่นเป็นเกียรติอย่างสูงจริงๆ ครับ

Q:            มันเป็นเรื่องที่เหมาะสมจริงๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เราคุยกันเกี่ยวกับบรรพบุรุษของคุณ

A:             ใช่ครับ ผมชอบเรื่องนั้นมาก ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาเลือกผม กองถ่ายเรื่องนี้ได้รับการเห็นชอบจากพวกนาวาโจและโคมันชี และเราก็ได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างดีจนเหลือเชื่อจากคนที่เอื้อเฟื้อและวิเศษสุดพวกนี้ และเราก็ลงเอยด้วยการมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับคนเหล่านี้ ลาดอนนาตัดสินใจว่าเธออยากจะรับผมเข้าเป็นหนึ่งในครอบครัวเธอ และหนึ่งในพวกโคมันชีด้ว ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับมาเลยล่ะครับ

Q:            พูดถึงอนาคตซักหน่อยดีกว่า คุณรับบทตอนโต้ และคุณก็จะกลับไปรับบทแจ็ค สแปร์โรว์ มีตัวละครตัวไหนที่คุณอยากเล่นอีกมั้ย

A:             มีหลายอย่างที่ผมอยากจะสำรวจในแง่ของตัวละคร แต่ผมก็สวมบทตัวละครที่ผมอยากจะเล่นไปแล้ว ตอนนี้ มันก็เลยไม่มีอะไรที่เรียกร้องผมเป็นพิเศษครับ

Q:            ดูเหมือนคุณจะชื่นชอบการมีงานยุ่งเสมอ ทั้งการแสดง ดนตรี และตอนนี้ก็งานหนังสืออีก อะไรคือแนวความคิดเบื้องหลังอินฟินิทัม นิฮิล สำนักพิมพ์ของคุณล่ะ

A:             ตอนนี้ ผมกำลังทำงานสำนักพิมพ์นั้นกับเพื่อนผมครับ ผมมีสัญญาตีพิมพ์ร่วมกับฮาร์เปอร์-คอลลินส์ เราได้ตีพิมพ์นิยายที่หายสาปสูญของวู้ดดี้ กุธรีย์ [“House of Earth”] ซึ่งนั่นเป็นผลงานเล่มแรกของเรา ซึ่งมันเป็นเรื่องเยี่ยมเพราะมันหมายความว่าคนได้กลับมาอ่านหรือได้ค้นพบวู้ดดี้ กุธรีย์เป็นครั้งแรก มันน่าอัศจรรย์ครับ มันเป็นหนังสือเยี่ยมๆ ที่เขาเขียนขึ้นในปลายยุค 40s และเก็บมันไว้ก้นหีบน่ะครับ

Q:            คุณกำลังสร้างสารคดีกับคีธ ริชาร์ดส์ด้วย เราจะได้ดูมันเมื่อไหร่

A:             มันยังเหลืองานต้องทำอีกมากมายก่ายกองครับ เรามีฟุตเตจเต็มไปหมด ผมไม่รู้สิครับ เราน่าจะมีฟุตเตจราวๆ ซักหกสิบชั่วโมงเห็นจะได้ มันน่าทึ่งมากแต่เราก็มีงานต้องทำก่อนที่มันจะพร้อมสำหรับการเข้าฉายครับ

 

เกี่ยวกับภาพยนตร์ 

ผลงานจากผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์และผู้กำกับกอร์ เวอร์บินสกี้ ทีมผู้สร้างเบื้องหลังแฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์ “Pirates of the Caribbean” ภาพยนตร์โดยดิสนีย์/เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์ “The Lone Ranger” การผจญภัยสุดระทึกที่ผสมแอ็กชันระคนอารมณ์ขัน ที่ซึ่งวีรบุรุษภายใต้หน้ากากได้โลดแล่นมีชีวิตอีกครั้งต่อสายตาผู้ชมรุ่นใหม่ ตอนโต้ นักรบเนทีฟ อเมริกัน (จอห์นนี่ เดปป์) ได้เล่าถึงตำนานที่ไม่มีใครเอ่ยถึง ที่เปลี่ยนแปลงจอห์น รี้ด (อาร์มี่ แฮมเมอร์) ชายผู้เคร่งกฎหมาย ให้กลายเป็นตำนานแห่งความยุติธรรม ที่จะนำพาผู้ชมขึ้นรถไฟที่เต็มไปด้วยความน่าตกตะลึงและความขัดแย้งที่น่าขบขันเมื่อสองวีรบุรุษจะต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันเพื่อสู้กับความโลภและการคอร์รัปชัน

“The Lone Ranger” ร่วมแสดงโดยทอม วิลคินสัน, วิลเลี่ยม ฟิชท์เนอร์, แบร์รี่ เปปเปอร์, เจมส์ แบดจ์ เดล, รูธ วิลสันและเฮเลนน่า บอนแฮม คาร์เตอร์

ดิสนีย์ และ เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์  ภูมิใจเสนอ   “The Lone Ranger”

กำกับโดย กอร์ เวอร์บินสกี้

และ อำนวยการสร้างโดย เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์  และ  กอร์ เวอร์บินสกี้

ด้วยเรื่องราวโดย เท็ด เอลเลียต และ เทอร์รี่ รอสซิโอ และจัสติน เฮย์ธี

และ บทภาพยนตร์ โดย จัสติน เฮย์ธี  ร่วมด้วย เท็ด เอลเลียต และ เทอร์รี่ รอสซิโอ

“The Lone Ranger”  เข้าฉาย วันที่ 3 กรกฎาคม ปี 2013  ใน โรงภาพยนตร์ทั่วอเมริกา