THE PURGE-เดอะ เพิร์จ 15 สิงหาคม 2556 ทุกโรงภาพยนตร์

ในอเมริกาที่เสื่อมโทรมไปด้วยอาชญากรรมและคุกที่แน่นไปด้วยนักโทษ รัฐบาลได้ประกาศช่วงเวลา 12 ชั่วโมงในแต่ละปี ซึ่งอาชญากรรมทุกประเภท รวมถึงฆาตกรรม กลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ไม่มีการแจ้งตำรวจ โรงพยาบาลระงับการช่วยเหลือ มันเป็นค่ำคืนที่พลเมืองปลดปล่อยตัวตนโดยไม่คำนึงถึงบทลงโทษ ในค่ำคืนนี้ที่ปกคลุมไปด้วยความรุนแรงและอาชญากรรมที่ระบาดไปทั่วสารทิศ ครอบครัวหนึ่งต้องคิดหนักกับการตัดสินใจที่ว่าพวกเขาจะเป็นใครในตอนที่คนแปลกหน้าผ่านเข้ามา ใน The Purge ทริลเลอร์อนาคตสมมติที่บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในช่วงเวลาค่ำคืนเดียว คนสี่คนจะถูกทดสอบเพื่อหาคำตอบว่า พวกเขาจะทำได้ถึงเพียงไหนเพื่อปกป้องตัวเอง ในตอนที่โลกภายนอกอันโหดเหี้ยมได้บุกรุกเข้ามาในบ้านของพวกเขา เมื่อเจมส์ แซนดิน (อีธาน ฮอว์คจาก Training Day และ Sinister) และแมรี แซนดิน (เลนา เฮดดี้จาก Game of Thrones) ได้ค้นพบว่ามีผู้บุกรุก(เอ็ดวิน ฮ็อดจ์จาก Cougar Town)  เข้ามาในละแวกบ้านของพวกเขาระหว่างช่วงเวลาชำระล้างบาปประจำปี มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์คุกคามที่จะทำให้ครอบครัวของพวกเขาต้องแตกแยก

ตอนนี้ เจมส์,แมรีและและลูกๆ ของเขา—ชาร์ลีวัย 14 ปี (แม็กซ์ เบิร์คโฮลเดอร์จาก Parenthood) และโซอี้วัย 16 ปี (อะเดเลด เคนจาก Teen Wolf) จะต้องผ่านพ้นคืนนี้ไปให้ได้โดยไม่เปลี่ยนกลายเป็นสัตว์ร้ายที่พวกเขาพยายามซ่อนตัวจากมัน The Purge กำกับโดยมือเขียนบท/ผู้กำกับเจมส์ เดอโมนาโก (มือเขียนบท The Negotiator และ Assault on Precinct 13 และผู้กำกับ Staten Island, New York) ผู้รวมทีมงานเบื้องหลังผู้ประสบความสำเร็จมากมาย ซึ่งประกอบไปด้วยผู้กำกับภาพฌาคส์ โจฟเฟร็ท (Pain & Gain และ Lone Survivor ที่กำลังจะเข้าฉาย), ผู้ออกแบบงานสร้าง เมลานี เพซิส-โจนส์ JONES (Breaking Dawn, A Girl in Her Imagination), มือลำดับภาพปีเตอร์ กวอซดาส (Pain & Gain, The Avengers), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลิซา นอร์เซีย (Night of the Living Dead 3D, Murder on the 13th Floor) และผู้ประพันธ์ดนตรี นาธาน ไวท์เฮ้ด (Friended to Death, D4)

ผู้ที่ร่วมงานกับเดอโมนาโกในฐานะผู้อำนวยการสร้างของทริลเลอร์เรื่องนี้ได้แก่เจสัน บลูมจากบลูมเฮาส์ (Paranormal Activity, Insidious, Sinister), เซบาสเตียน เค. เลอเมอร์ซิเออร์ (Assault on Precinct 13, Four Lovers) และหุ้นส่วนจากแพลตินัม ดูนส์ ไมเคิล เบย์ (Pain & Gain, แฟรนไชส์ Transformers), แบรด ฟูลเลอร์ (The Amityville Horror, A Nightmare on Elm Street) และแอนดรูว์ ฟอร์ม (The Texas Chainsaw Massacre, Friday the 13th)

        เกี่ยวกับงานสร้าง
กำเนิดอเมริกาใหม่จินตนาการถึง The Purge

เจมส์ เดอโมนาโก เจ้าของผลงานบทภาพยนตร์ที่ดิบเถื่อนอย่าง The Negotiator และ Assault on Precinct 13 เกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียน The Purge ขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างได้กระตุ้นกระบวนการสร้างสรรค์ของเขา ที่สำคัญที่สุด ไอเดียสำหรับเรื่องราวนี้ได้ถูกหว่านเมล็ดไว้ในตอนที่เขากับภรรยาเกือบจะถูกฆ่าโดยคนขับรถใจร้อน เดอโมนาโกเล่าว่า “ด้วยความโมโหตอนขับรถ ผมก็เลยออกจากรถแล้วเถียงกับผู้ชายคนนี้ แล้วภรรยาผมก็รั้งตัวผมไว้ พอเรากลับเข้าไปในรถ เธอหันมาบอกผมว่า ‘คงจะดีนะถ้าเราฆ่าคนได้ปีละคน’ ผมคิดว่ามันเป็นคำพูดที่รุนแรงมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนเป็นหมอ แต่มันก็ติดอยู่ในใจผมมานานเลยล่ะครับ”

หลายปีผ่านไป เดอโมนาโกอยู่ในโตรอนโตเพื่อทำงานกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง คืนหนึ่ง ระหว่างดูโทรทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย เขาก็เกิดความคิดว่าข่าวท้องถิ่นกำลังแพร่ภาพเรื่องราวที่มีความรุนแรงน้อยกว่าข่าวที่เขาคุ้นชินในอเมริกา จู่ๆ เขาก็ตระหนักว่าสื่อในบ้านเกิดของเขาได้เผยแพร่เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับความรุนแรง และเกิดความสงสัยใคร่รู้ที่จะสำรวจว่าอเมริกาเป็นประเทศที่ไม่เหมือนใครในเวทีโลก…หรือเราเพียงแค่ให้น้ำหนักและหมกมุ่นกับเรื่องราวจำพวกนี้มากกว่ากันแน่? ความคิดเหล่านั้นผสมผสานรวมกันและการเล่าเรื่องราวสมมติที่น่าสะพรึงกลัวว่าสังคมเราอาจเป็นเช่นไรก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

ตามที่ปรากฏในบทภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของเขา เดอโมนาโกมีความสนใจอย่างลึกซึ้งในการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลและผลลัพธ์ที่สังคมเรามีต่อความก้าวร้าว เช่นเดียวกับเราหลายคน ในฐานะผู้อ่าน เขาหลงใหลในเรื่องราวสอนใจอย่าง “The Lottery” ของเชอร์ลีย์ แจ็คสันและ “The Most Dangerous Game” ของริชาร์ด คอนเนล ผู้กำกับเล่าว่า “ผมอยากให้คนพูดถึงความรุนแรงในอเมริกา หนังของเรามีธีมเกี่ยวกับเรื่องของชนชั้น ในแง่หนึ่ง กระบวนการความคิดนั้นมาจากเฮอร์ริเคนแคทรินาและการตอบสนองของรัฐบาลหรือการขาดการตอบสนองของพวกเขา และวิธีที่เราปฏิบัติต่อผู้ยากไร้น่ะครับ”

ผู้กำกับและเซบาสเตียน เลอเมอร์ซิเออร์ คู่หูอำนวยการสร้างของเขา ได้ใช้เวลาประมาณสามปีในการพัฒนาบทนี้ ระหว่างนั้น พวกเขาได้สำรวจการเดินทางของตัวละครแต่ละตัวและการที่ค่ำคืนของพิธีการชำระล้างบาปจะส่งผลต่อสมาชิกทั้งสี่คนของครอบครัวแซนดินอย่างไร เป้าหมายของพวกเขาคือการขัดเกลาโทนของเรื่องราวให้มันให้ความรู้สึกเหมือนละครสอนศีลธรรม ที่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้มากกว่าจะเป็นแฟนตาซีไซไฟ เดอโมนาโกเล่าว่า “เซบาสเตียนมีส่วนสำคัญมากต่อการรักษาวิสัยทัศน์ของผมให้คงอยู่ครับ เขาช่วยให้ผมได้บทภาพยนตร์ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่จะนำไปเสนอกับบลูมเฮาส์และแพลตินัม ดูนส์”

เดอโมนาโกได้เขียนถึงอเมริกาใหม่ ที่ซึ่งหลังจากเกิดความไม่สงบในสังคมหลายปี ตอนนี้ อัตราการว่างงานอยู่ที่หนึ่งเปอร์เซ็นต์และอัตราความยากจนก็ต่ำกว่าห้าเปอร์เซ็นต์อย่างต่อเนื่อง ไม่มีรัฐบาลอย่างที่เรารู้จักอีกต่อไปแล้ว แต่ผู้ปกครองใหม่ นิว ฟาวเดอร์ ออฟ อเมริกา (เอ็นเอฟเอ) ได้แก้ปัญหาน่าปวดหัวในการรับมือกับความรุนแรงและความขุ่นข้องหมองใจด้วยการประกาศให้มีค่ำคืนหนึ่งในแต่ละปี ที่เราจะเป็นอิสระจากตัวตนของตัวเองและประกอบอาชญากรรมใดๆ ก็ได้ โดยไม่ต้องรับโทษ เอ็นเอฟเอได้ผลักดันร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับที่ 28 เพื่อบัญญัติถึงสิทธิของชาวอเมริกันทุกคนในการเข้าร่วมพิธีชำระล้างบาปประจำปี

ในแต่ละปี ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 21 มีนาคม จนถึง 7.00 น. ของวันที่ 22 มีนาคม ความโกลาหลจะครองเมือง และเราก็จะได้รับการชำระล้างบาป

สำหรับคนห้าคนที่เราได้พบในวันที่ 21 มีนาคม ปี 2022 ทุกสิ่งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เดอโมนาโกได้แนะนำให้เราได้รู้จักกับเจมส์ แซนดิน เซลส์แมนขายระบบรักษาความปลอดภัย ผู้กลับจากที่ทำงานมาถึงบ้านทันเวลาของการทำพิธีล็อคบ้านให้แน่นหนาประจำปีของครอบครัวเขา หลังอาหารเย็น มีการประกาศถึงการเริ่มต้นของพิธีการชำระล้างบาป เจมส์เปิดระบบรักษาความปลอดภัยล้ำสมัยของเขาและครอบครัวแซนดินก็นั่งลงดื่มด่ำกับค่ำคืนเงียบสงบที่ปราศจากความโกลาหล…หรืออย่างที่พวกเขาเชื่ออย่างผิดๆ เช่นนั้น

หลังจากล็อคประตูได้ไม่กี่นาที ชาร์ลีได้เปิดดูกล้องวงจรปิดในห้องควบคุม และได้เห็นคนแปลกหน้าวิ่งตะโกนขอความช่วยเหลืออยู่บนถนน ชาร์ลีตื่นตระหนก เขาจะปล่อยให้ชายคนนี้ตายอยู่ข้างนอกได้อย่างไร  แต่ถ้าเขาช่วยชายคนนี้ แล้วความปลอดภัยของครอบครัวเขาล่ะ? ท้ายที่สุด เด็กชายได้ปลดระบบรักษาความปลอดภัยและปล่อยให้ชายแปลกหน้าคนนั้นเข้ามาหลบในบ้านเขา ตอนนั้นเองที่ทุกอย่างดิ่งลงเหว ชายแปลกหน้าคนนั้นเป็นคนเร่ร่อนที่ถูกไล่ล่าโดยกลุ่มของพวกฟรี้คส์สวมหน้ากาก ที่นำทีมโดยหัวหน้ากลุ่มที่สุภาพของพวกเขา (ริส เวคฟิลด์จาก Sanctum)

เมื่อกลุ่มผู้ร้ายปฏิเสธที่จะจากไปจนกว่าชายแปลกหน้าผู้นั้นจะถูกส่งตัวออกมา เจมส์และแมรีก็ต้องลำบากใจในการตัดสินใจว่าจะทำในสิ่งที่พวกเขารู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและคุ้มครองชายผู้นี้ หรือจะเสียสละชีวิตเขาให้กับผู้ร้ายที่ถือมีดและปืนกลด้านนอกนั่น ขณะที่พวกเขากำลังไตร่ตรองถึงปัญหาหนักใจทางศีลธรรมนี้ เราก็จะมองเห็นตัวเองและถามตัวเองว่าถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไรในสถานการณ์เดียวกันนี้

มือเขียนบท/ผู้กำกับของเรื่องได้วางแผนการถ่ายทำทริลเลอร์เรื่องนี้ไว้ด้วยทุนสร้างจำกัด ซึ่งจะรับประกันถึงอิสระในการทำงานสร้างสรรค์ของพวกเขาและเขาก็อยากจะเป็นผู้กับมันด้วยตัวเองเมื่อถึงเวลาถ่ายทำ ในปี 2009 เขาและเลอเมอร์ซิเออร์ได้นำเสนอเรื่องราวนี้ให้กับเจสัน บลูม ในฐานะผู้อำนวยการสร้างของแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จถล่มทลายอย่าง Paranormal Activity และภาพยนตร์ “ทุนต่ำ” ที่โด่งดังเรื่องอื่นๆ เช่น Insidious และ Sinister บลูมได้สร้างชื่อให้กับบริษัทโปรดักชันของตัวเอง ที่จะเปิดโอกาสให้บรรดาผู้กำกับได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง ผู้อำนวยการสร้างผู้นี้ได้เล่าถึงบทสนทนานั้นว่า “เราได้มาเจอกัน แล้วเจมส์ก็บอกว่าเขาได้เขียนบทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานที่บริหารอเมริกาอยู่ตอนนี้ใช้พิธีการชำระล้างบาปเพื่อให้อาชญากรกำจัดกันและกัน ให้คนจนได้ฆ่าแกงกันเอง และให้คนชั้นสูงได้กำจัดคนที่พวกเขาไม่พึงประสงค์ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่กระตุ้นความรู้สึกมากๆ ครับ”

บลูมรอบคอบกับโมเดลธุรกิจที่ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเองทีเดียว โดยเขาเลือกที่จะทำงานกับผู้กำกับที่มีประสบการณ์เท่านั้นและคอยดูแลให้การถ่ายทำเป็นไปตามตารางการทำงานที่เคร่งครัด ในความเป็นจริงแล้ว การร่วมงานกันระหว่างบลูม, เดอโมนาโกและแพลตินัม ดูนส์ของผู้อำนวยการสร้างไมเคิล เบย์เป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับ The Purge บลูมอธิบายว่า “หนึ่งในประโยชน์มากมายของการได้แพลตินัม ดูนส์มาเกี่ยวข้องกับการสร้าง The Purge คือเราไม่ได้ฉีกตัวออกมาจากโมเดลของเรา เจมส์เป็นผู้กำกับที่เคยมีผลงานมาแล้วเรื่องหนึ่ง เราก็เลยเพิ่มผู้กำกับที่มากประสบการณ์ [เบย์] และบริษัทโปรดักชัน [แพลตินัม ดูนส์] เข้าไปเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่เรามีอยู่ได้มากที่สุดครับ”

การถ่ายทำภาพยนตร์ภายในระยะเวลาที่กระชับขึ้นอาจทำให้ผู้กำกับหลายคนรู้สึกกลัว แต่เดอโมนาโกพอใจทีเดียวกับกระบวนการและผลลัพธ์ที่ออกมา เขาเล่าว่า “หนังเรื่องนี้เข้ากับทุนและตารางเวลาที่เฉพาะเจาะจงของผู้อำนวยการสร้างจริงๆ ครับ และมันก็ผลักดันให้เราใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ เราทุกคนต่างก็รู้จักกันและกลายเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมครับ”

ในส่วนของพวกเขา ผู้อำนวยการสร้างไมเคิล เบย์, แอนดรูว์ ฟอร์มและแบรด ฟูลเลอร์ต่างก็เคยสร้างภาพยนตร์ที่แปลกใหม่ด้วยทุนจำกัดภายใต้แบนเนอร์แพลตินัม ดูนส์ ที่โดนใจผู้ชมในวงกว้างมาแล้ว ตั้งแต่ความประสบความสำเร็จในการปลุกชีพให้กับ The Amityville Horror, The Texas Chainsaw Massacre และ A Nightmare on Elm Street มาจนถึง The Unborn ที่พวกเขาได้ร่วมงานกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส (ภายใต้แบนเนอร์โร้ค) พวกเขาก็เป็นที่สนใจของผู้ชมและพวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองที่เรามีต่อทั้งภาพยนตร์ลุ้นระทึกและทริลเลอร์เหนือธรรมชาติ

ล่าสุด พวกเขาได้ทำงานร่วมกับค่ายนี้อีกครั้งเพื่อปรับเปลี่ยนโฟกัสของพวกเขาไปยังโมเดลที่แตกต่างออกไป ซึ่งเป็นโมเดลที่บลูมชำนาญอยู่แล้ว ฟูลเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่า “เจสันได้สร้างโมเดลที่ยอดเยี่ยมในการสร้างหนังทุนต่ำ และคิดหาวิธีที่จะสร้างมันออกมาในแบบที่ไม่เหมือนใคร ตอนที่เราเสนอ The Purge ให้กับยูนิเวอร์แซล สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกลงปลงใจกับเราคือเราสามารถสร้างหนังเยี่ยมๆ จากทุนสร้างเพียงน้อยนิด และผลงานที่ผ่านมาของเราก็ช่วยตอกย้ำว่านี่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าครับ”

 

จะฆ่าหรือถูกฆ่า:

การคัดเลือกนักแสดงสำหรับทริลเลอร์

                อีธาน ฮอว์คมีความหลังกับเจมส์ เดอโมนาโกตั้งแต่โปรเจ็กต์แรกของผู้กำกับผู้นี้แล้ว เดอโมนาโกเล่าว่า “จากการแสดงของอีธานในหนังเรื่องที่แล้วของเรา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราต้องการเขาให้เป็นเจมส์ แซนดินของเรา เรามีการสื่อสารทางลัดที่ยอดเยี่ยม และเราทั้งคู่ต่างก็มีการร่วมมือกันที่ดีมากๆ ในหนังทั้งสองเรื่องนี้ครับ”

นักแสดงหนุ่มอธิบายถึงเหตุผลของเขาในการแสดงทริลเลอร์เรื่องนี้ว่า “ผมเคยร่วมงานกับเจมส์ใน Staten Island, New York และผมก็รู้จักเจสันมาหลายปีแล้ว ตอนที่ผมได้ยินว่าพวกเขากำลังสร้างหนังเรื่องนี้ ผมก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน เจสันมีจิตวิญญาณอิสระแบบดั้งเดิม และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบในการได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้ง ขีดจำกัดของหนังอินดี ในแง่ของทุนสร้าง มักจะก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่แท้จริงครับ และสำหรับ The Purge ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”

โชคดีสำหรับทีมงานที่ฮอว์ครู้จักบลูมมามากกว่า 20 ปีแล้ว เพราะพวกเขาเคยร่วมกันก่อตั้งคณะมาลาพาร์ท เธียเตอร์ คัมปะนีในยุค 90s ผู้อำนวยการสร้างเล่าว่า “อีธานมีความสามารถพิเศษสุดในการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นตัวละครที่เขาสวมบท และแม้ว่าเขาจะรับบทตัวละครที่ตอนแรกมีมิติเดียวในเรื่องนี้ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นทั้งพระเอกและผู้ร้ายครับ บทบาทนี้ต้องอาศัยทักษะที่จัดการได้ยาก แต่เขาก็ทำได้ดีอย่างเหลือเชื่อครับ”

นี่เป็นประสบการณ์การร่วมงานกันครั้งแรกระหว่างฟูลเลอร์กับฮอว์คและเขาก็ประทับใจพอๆ กับเพื่อนผู้อำนวยการสร้างของเขา ฟูลเลอร์เล่าว่า “สิ่งที่วิเศษสุดเกี่ยวกับอีธานคือเขาเป็นศิลปินอย่างแท้จริง ตอนที่คุณคุยกับเขาถึงเรื่องสิ่งที่เขาตัดสินใจเลือก มันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของรายได้ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าตรงไหนที่เขารู้สึกว่าเขามีโอกาสได้ยืดเส้นยืดสายน่ะครับ”

แม้ว่าเจมส์จะเริ่มต้นจากการเป็นตัวเอกที่จงใจเขียนขึ้นให้ออกมาแบนราบ แต่เมื่อเรื่องราวเดินไปข้างหน้า เขาก็กลายเป็นคนที่ซับซ้อนขึ้น เมื่อชีวิตของเขาและความปลอดภัยของครอบครัวเขาตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง เขาก็เริ่มทำตัวก้าวร้าว เพื่อรักษาอาณาเขตตัวเองเอาไว้ เดอโมนาโกเล่าว่า “เจมส์เป็นตัวแทนของความนิ่งเฉยของอเมริกาใหม่ เขาขายระบบความปลอดภัยในช่วงพิธีการชำระล้างบาปให้กับคนรวย เขาก็เลยสนับสนุนนโยบายพิธีการชำระล้างบาปเต็มตัว มันเป็นประโยชน์กับเขาและทำให้เขาร่ำรวยมากๆ แต่การโจมตีบ้านเขาและครอบครัวเขาทำให้เขาพิจารณาทุกอย่างใหม่อีกครั้งครับ”

ฮอว์ครู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รับบทนี้ “สิ่งที่เจมส์ทำที่น่าสนใจและเป็นเรื่องอันตรายคือเขาสร้างหนังเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ที่สามารถเข้าถึงได้ทันที แก่นสำคัญของมันคือการที่คุณสามารถมองข้ามศีลธรรมของตัวเองเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไร เจมส์ แซนดินมองตัวเองว่าเป็นผู้ชายเพอร์เฟ็กต์ แล้วเขาก็ค่อยๆ พบว่าจริงๆ แล้ว เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย หลายๆ อย่างมันซับซ้อนกว่าที่เขาวาดภาพไว้เสียอีกน่ะครับ”

เดอโมนาโกเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันกับการที่ลีนา เฮดดี้ ยอมรับบท แมรี แซนดิน หญิงสาวผู้หมดความรู้สึกผูกพันกับสามีของเธอและเริ่มรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น ขณะที่ค่ำคืนสยองขวัญของครอบครัวดำเนินไป แมรีถูกผลักดันจนถึงจุดแตกหักและต้องสู้เพื่อปกป้องบ้านของเธอ สามีและลูกๆ ของเธอจากผู้รุกรานผู้ใช้ความรุนแรง นักแสดงหญิงชาวอังกฤษ ผู้เป็นที่รู้จักจากบทโด่งดังจาก 300 และซีรีส์ Game of Thrones โดดเด่นเหลือเกินบนหน้าจอ ผู้กำกับกล่าวชื่นชมถึงการแสดงของเธอว่า “เราโชคดีมากที่ได้คนที่ฝีมืออย่างลีนามา ผมเคยดูเธอในบทซาราห์ คอนเนอร์ในซีรีส์ Terminator ผมก็เลยรู้ว่าเธอรับบทหญิงแกร่งได้ เธอเป็นนักแสดงที่ละเอียดอ่อนมากๆ และเธอก็สวมบทนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมครับ”

เฮดดี้เองก็ชื่นชอบความท้าทายในการรับบทตัวละครตัวนี้ นักแสดงหญิงเล่าว่า “แมรีเริ่มต้นจากการเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบและเธอก็รู้สึกเฉยชากับชีวิต เธอไม่รู้สึกรู้สากับความเปลี่ยนแปลงของประเทศนี้และการที่เธอจะมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่ค่ะ เธอคิดต่อต้านพิธีการชำระล้างบาปและไม่เข้าร่วมมันก็จริง แต่เธอก็ตระหนักว่ามันเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็นและพยายามจะยอมรับมันเพราะมันเป็นความเป็นจริงของครอบครัวเธอค่ะ”

นักแสดงหญิงพูดถึงสิ่งที่ทีมงานและนักแสดงสงสัยในระหว่างการถ่ายทำว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้จริงๆ? เฮดดี้เล่าว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันกลัวมากที่สุด ใครจะรู้ล่ะคะว่าเราจะทำอะไรถ้ามีคนมาหาเราแล้วบอกว่า ‘มันจะไม่มีผลลัพธ์ใดๆ จากการกระทำของคุณเลย’ ฉันคิดว่าเราต้องการผลลัพธ์นั้นค่ะ!”

เดอโมนาโกคุ้นเคยดีกับผลงานของแม็กซ์ เบิร์คโฮลเดอร์ นักแสดงรุ่นเยาว์ในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง Parenthood และเมื่อเบิร์คโฮลเดอร์เข้ามาออดิชัน ผู้กำกับก็รู้สึกว่าเขาเหมาะกับบทชาร์ลี ลูกชายวัย 14 ปีของเจมส์และแมรีเหลือเกิน ชาร์ลีทำหน้าที่เป็นเข็มทิศทางศีลธรรมของภาพยนตร์เรื่องนี้และแม้ว่าเขาจะชักนำปัญหาเข้ามา เขาก็พยายามจะนำครอบครัวไปสู่หนทางที่ถูกต้อง เดอโมนาโกเล่าว่า “ชาร์ลีมีความเป็นมนุษย์ที่เข้าถึงได้ครับ เขาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง พิธีการชำระล้างบาป ตั้งแต่ที่เขาอายุน้อยเหลือเกิน เขาต่อต้านมัน ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ท้ายที่สุด เขาก็ตัดสินใจปลดระบบรักษาความปลอดภัย และปล่อยให้คนแปลกหน้าหนีตายเข้ามาในบ้านของพวกเขาน่ะครับ”

เบิร์คโฮลเดอร์ตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่ท้าทายแบบนี้ “พูดง่ายๆ คือชาร์ลีไม่ได้ดูคนแต่เปลือกนอกน่ะครับ” เขากล่าว “เขาเห็นชายเร่ร่อนผู้นี้และปล่อยให้เขาเข้ามา และเขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนอันตรายรึเปล่า แต่เขาแค่เห็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาเท่านั้นเองครับ”

อะเดเลด เคน ถูกนำตัวเข้ารับบท โซอี้ ลูกสาววัย 16 ปีของเจมส์และแมรี ผู้เป็นวัยรุ่นหัวรั้น เธอเป็นนักเรียนเกรดเอ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับพ่อผู้ทะเยอทะยานเกินเหตุของเธอ ผู้โกรธที่เธอเดทกับผู้ชายที่อายุมากกว่าเธอหลายปี ในคืนของพิธีการชำระล้างบาป โซอี้ขอตัวจากโต๊ะอาหารเย็นหลังจากที่บทสนทนาเกี่ยวกับค่ำคืนที่กำลังจะมาถึงเริ่มทำให้เธอไม่สบายใจ นักแสดงหญิงกล่าวว่า “โซอี้รู้เกี่ยวกับ พิธีการชำระล้างบาป มาตลอดชีวิต เธอรู้สึกอึดอัดกับมันมากๆ แต่แน่นอนว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ในฟองสบู่ที่ปลอดภัย ที่วัยรุ่นทุกคนคิดว่าจะไม่มีเรื่องร้ายๆ อะไรเกิดขึ้น…ว่าเรื่องร้ายๆ จะเกิดขึ้นกับคนอื่นเท่านั้น”

ค่ำคืนนั้นพลิกผันกลายเป็นค่ำคืนที่น่าสะพรึงกลัวด้วยการมาถึงของชายแปลกหน้า ซึ่งเป็นบทของเอ็ดวิน ฮ็อดจ์ ชายเร่ร่อนผู้นี้เข้ามาในชีวิตของครอบครัวแซนดิน ระหว่างที่เขาถูกตามล่าจากกลุ่มพวกฟรี้คส์และเป็นตัวกระตุ้นให้ครอบครัวแซนดินเข้าไปเกี่ยวข้องกับ พิธีการชำระล้างบาป อย่างลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง ชายผู้นี้ได้ปีนรั้วเข้าไปในเขตชุมชนที่ครอบครัวแซนดินอาศัยอยู่

เดอโมนาโกเล่าว่าการเข้ามาของชายแปลกหน้าในชีวิตของครอบครัวแซนดินได้สร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นในครอบครัวนี้ “หลังจากที่ชาร์ลีเปิดประตูรักษาความปลอดภัยแล้วปล่อยให้ชายแปลกหน้าเข้ามาในบ้านเพื่อรักษาชีวิตเขาเอาไว้ ซึ่งมันก็ดึงดูดให้คนที่ไล่ล่าเขาให้มาที่บ้านของพวกเขาและนำมาซึ่งค่ำคืนแห่งความโกลาหล ครอบครัวนี้ได้รับการยื่นคำขาดจากหัวหน้ากลุ่มผู้สุภาพให้ส่งตัวชายแปลกหน้าคนนั้นออกมา ถ้าพวกเขาปฏิเสธคำขอโรคจิตนี้ หัวหน้ากลุ่มขู่ว่าพวกเขาจะบุกเข้าไปในบ้านที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาของพวกเขาและฆ่าพวกเขาทิ้งให้หมด”

ฮ็อดจ์คุยกับเราถึงค่ำคืนของตัวละครของเขาว่า “ระหว่างความวุ่นวายนี้ ตัวละครของผมก็ไปซ่อนตัว แล้วชาร์ลีก็ใช้หุ่นยนต์บังคับของเขานำทางผมไปยังที่ซ่อนลับภายในตู้เสื้อผ้าของเขา ซึ่งมันก็เป็นที่หลบภัยชั่วคราวของผมครับ” ฮ็อดจ์กล่าวถึงความหวั่นใจในทีแรกถึงการไปในที่ที่มืดหม่นมกๆ “ระหว่างการถ่ายทำ ผมสามารถเข้าใจได้ว่าตัวละครของผมต้องเจอกับอะไรบ้างในแง่ของความรุนแรงที่กระทำต่อเขา นี่จะเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งสำหรับผู้ชมที่จะได้เห็นทั้งหมดนี้เกิดขึ้นครับ”

ขณะที่ครอบครัวแซนดินเจอกับค่ำคืนที่เต็มไปด้วยปัญหาด้านศีลธรรมที่น่าหนักใจและต้องพยายามหาหนทางรอดจากการโจมตี หัวหน้ากลุ่มผู้สุภาพอย่างน่าขนลุก ที่รับบทโดยริส เวคฟิลด์ ก็ได้ทำให้ชีวิตของพวกเขาเป็นเหมือนฝันร้ายทั้งๆ ที่ตื่นอยู่ ตัวละครตัวนี้เป็นตัวแทนของชนชั้นสูงในแบบที่แตกต่างจากเจมส์ ในขณะที่หัวหน้าครอบครัวนี้ร่ำรวยจาก พิธีการชำระล้างบาป ด้วยการขายระบบรักษาความปลอดภัยให้กับคนร่ำรวย หัวหน้ากลุ่มคนเหล่านี้กลับรู้สึกว่ามันเป็นสิทธิของเขาในฐานะชนชั้นสูงที่จะมีส่วนร่วมในความโกลาหลในค่ำคืนนี้ เขารู้สึกว่ามันทำให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้นและการกำจัดคนยากจนให้พ้นจากท้องถนนก็เป็นเรื่องดี

สิ่งที่ทำให้หัวหน้ากลุ่มแตกต่างจากฆาตกรคนอื่นๆ ในเรื่องคือเขาเป็นคนที่พูดออกมาโดยตลอด เขาเป็นคนมีเสน่ห์และน่าขนลุกด้วย ผู้อำนวยการสร้างบลูมมีความสุขกับจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจากตัวละครตัวนี้ พลางตั้งข้อสังเกตว่า “เจมส์คิดสิ่งที่แตกต่างมากๆ สำหรับตัวละครของริสขึ้นมาได้ เขาอยากให้เขาและคนกลุ่มนี้แต่งตัวเหมือนกับพวกเขาเพิ่งมาจากงานสังสรรค์ของมหาวิทยาลัยไอวีลีก ริสเป็นหัวหน้ากลุ่ม และเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นสิทธิของเขาที่จะทำตามใจชอบ มันเป็นสิทธิของเขาที่จะฆ่าคนในค่ำคืนนั้น และเขาก็แน่วแน่ในเรื่องนี้มาก”

ทีมนักแสดงสมทบของเรื่องก็ได้รับบทบาทที่ท้าทายของตัวเองเช่นกัน พวกเขาได้รับบทตัวละครที่ล้อมรอบบ้านของครอบครัวแซนดิน ไม่ว่าจะเพื่อหลอกล่อพวกเขาออกมา หรือฆ่าพวกเขาในที่ที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ก็ตาม ผู้ที่รับบทเป็นพวกฟรี้คส์ที่ติดตามชายแปลกหน้าผู้สุภาพพร้อมด้วยอาวุธครบมือคือบอยมา เบลค, เชสเตอร์ ล็อคฮาร์ท, อลิเซีย เวลา-เบลลีย์, ไทเลอร์ เจย์, นาธาน คลาร์คสันและจอห์น เวสเลคัฟ

สำหรับเดอโมนาโก ฆาตกรที่ไม่รู้สึกรู้สาเหล่านี้เป็นตัวละครที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในเรื่อง เขาตั้งข้อสังเกตว่า “พวกฟรี้คส์ ก็เหมือนกับหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา ที่รู้สึกว่า พิธีการชำระล้างบาป เป็นสิทธิที่พระเจ้าประทานมาให้กับพวกเขาและพวกเขาก็ทำเหมือนกับว่ามันเป็นฮัลโลวีน และสวมหน้ากากและคอสตูม พวกเขาน่าสะพรึงกลัวมากๆ ครับ”

 

ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้:

การสร้างสรวงสวรรค์ที่ชั่วร้าย

                เดอโมนาโกและทีมผู้อำนวยการสร้างได้รวมทีมงานเบื้องหลังระดับแนวหน้าเพื่อเนรมิตชีวิตให้กับวิสัยทัศน์ของพวกเขา ผู้ออกแบบงานสร้าง เมลานีย์ เพซิส-โจนส์ ได้สร้างลุคให้กับบ้านของครอบครัวแซนดิน ในขณะที่ผู้กำกับภาพฌาคส์ โจฟเฟร็ทได้รับมอบหมายให้สร้างช่วงเวลาที่เพอร์เฟ็กต์ระหว่างการถ่ายทำระยะสั้นๆ เพื่อให้ปีเตอร์ กวอซดาสได้ลำดับภาพ ทีมงานคนสำคัญที่เหลือ ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลิซา นอร์เซีย และคอมโพสเซอร์ นาธาน ไวท์เฮ้ด รู้ดีว่าพวกเขาจะต้องใช้ความชำนาญในภาพยนตร์แนวนี้ เพื่อทำงานให้เสร็จทันกำหนด เนื่องด้วยตารางการทำงานที่กระชับของพวกเขา

 

การออกแบบและโลเกชัน

การหาบ้านที่จะมาเป็นสถานที่ที่ถูกบุกเข้าไปในค่ำคืนของ พิธีการชำระล้างบาป เป็นงานที่หนักหนาสาหัสสำหรับทีมงาน เดอโมนาโกกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องยากที่จะหาบ้านแบบที่ผมต้องการในลอสแองเจลิส ผมไม่อยากให้มันดูเหมือนแอลเอ ผมอยากให้มันดูเหมือนอเมริกาตอนกลาง และเป็นตัวแทนของ ‘เศรษฐีใหม่’ ในอเมริกา ที่จะเริ่มผุดขึ้นมาในช่วงนี้น่ะครับ”

ฟูลเลอร์เห็นพ้องด้วยว่ามันเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ออกแบบงานสร้างเพซิส-โจนส์ ผู้อำนวยการสร้างกล่าวว่า “เราทุกคนต่างก็ตระหนักว่าบ้านหลังนี้เป็นดาราของเรื่องและเราก็หาบ้านที่เหมาะสมมานานก่อนที่เราจะได้พบบ้านหลังนี้ในแชทส์เวิร์ธ, แคลิฟอร์เนีย ตอนแรก เราตกลงกับเจ้าของบ้านไม่ได้ แต่หลังจากคุยกันอยู่นาน เราก็ตัดสินใจที่จะย่นระยะเวลาการถ่ายทำของเราเพื่อให้ใช้บ้านหลังนี้ได้ค่ะ”

ด้วยความที่บ้านหลังนี้มีบทบาทสำคัญในทริลเลอร์เรื่องนี้ มันก็เลยจะต้องเพอร์เฟ็กต์ทั้งข้างนอกและข้างใน บลูมตั้งข้อสังเกตว่า “โลเกชันของเราสำคัญมากๆ ในหนังของเราเพราะแทบทั้งเรื่องเกิดขึ้นในสถานที่เดียว สิ่งที่ทำให้บ้านหลังนี้สมบูรณ์แบบคือการที่มันเข้าถึงได้เหลือเกิน มันมีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางฟุต และบ้านขนาดเท่านั้นมักจะเก่าแก่ แต่หลังนี้ไม่ใช่เลย มันเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์มากๆ เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ คุณสามารถจินตนาการได้ว่ามีคนใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้จริงๆ”

สมาชิกคนหนึ่งของบ้านหลังนี้ที่สั่นประสาทเรามากที่สุดก็ทำหน้าที่เป็นไกด์นำทางเราด้วยเช่นกัน ไซด์คิกที่ชาร์ลีสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างตุ๊กตาและรถถังที่บังคับด้วยรีโมตที่มีชื่อว่า ทิมมี เป็นอุปกรณ์ประกอบฉากที่ทีมงานและนักแสดงต่างก็ชื่นชอบ ทิมมี ซึ่งแทนมุมมองของผู้ชมตลอดแทบทั้งเรื่อง เป็นผู้ที่ทำให้เราได้เห็นค่ำคืนที่น่าสะพรึงกลัวนี้ บลูมเล่าว่า “ทิมมีเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมของเจมส์ คนเคยชินกับการเห็นสื่อในสถานที่ที่แตกต่างออกไปมากๆ และส่วนนั้นของหนังก็เกี่ยวข้องกับการที่เราถูกห้อมล้อมด้วยสื่อด้วย ผมชื่นชอบไอเดียที่ว่าคุณจะมีรถถังบังคับวิทยุที่จะเก็บภาพจากรอบบ้าน และคุณก็สามารถเห็นทุกอย่างจากภาพพวกนั้นครับ”

 

แต่งตัวเพื่อสังหาร

ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในอนาคตอีกเก้าปีข้างหน้า ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย นอร์เซียจึงอยากทำให้แน่ใจว่าสีสันและแบบดีไซน์ของชุดจะไม่เป็นอนาคตมากเกินไปสำหรับตัวละคร แต่ก็ยังให้ความรู้สึกแบบดิสโทเปียอยู่ เธอเล่าว่า “โปรเจ็กต์นี้มีชีวิตขึ้นมาสำหรับฉัน และฉันก็เริ่มมีภาพของตัวเองว่ามันจะมีลุคและเสียงเป็นยังไง หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ฉันก็ได้พบกับเจมส์เพื่อคุยถึงภาพในจินตนาการของฉัน และพวกเราก็มีความคิดความอ่านหลายๆ อย่างเหมือนกันค่ะ”

สำหรับบทเจมส์ เธอตัดสินใจใช้ผ้าแถบริ้วแบบคลาสสิก “เขาสวมเสื้อคุณพ่อหัวโบราณ ที่ไม่เคยล้าสมัยค่ะ” นอร์เซียกล่าวต่อ แรงบันดาลใจสำหรับแมรี ตัวละครของเฮดดี้คือคุณแม่หัวโบราณชนชั้นสูง ที่แต่งตัวอย่างเรียบง่าย

ในขณะที่นอร์เซียนึกถึงเด็กสาวโรงเรียนคาธอลิคในตอนที่ออกแบบชุดให้กับโซอี้ที่รับบทโดยเคน เธอเล่าว่า “เราอยากให้โซอี้สวมชุดเครื่องแบบนั้นเพื่อแสดงถึงความเปราะบางของเธอระหว่าง พิธีการชำระล้างบาป มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะคงความไร้เดียงสาของเธอเอาไว้เพราะพ่อของเธอยังมองเธอเป็นเช่นนั้นค่ะ”

ในการออกแบบชุดให้กับชาร์ลี ตัวละครของเบิร์คโฮลเดอร์ นอร์เซียเลือกที่จะใช้เลเยอร์หลายชั้น เธอตั้งข้อสังเกตว่า “เขาสวมเสื้อผ้าหลายชิ้นที่มีทั้งสีเทาและขาว เพื่อที่เขาจะได้เข้ากับคนอื่น แต่เขาเป็นตัวละครที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและกลัวในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกภายนอก เสื้อผ้าหลายชิ้นนั้นเป็นโล่ของเขา เป็นเกราะส่วนตัวของเขาค่ะ”

การจินตนาการถึงหน้ากากของพวกฟรี้คส์ที่ชื่นชอบความรุนแรงเป็นสิ่งที่สนุกที่สุดสำหรับนอร์เซีย เธอเล่าว่า “ตอนที่เราเริ่มต้นออกแบบสำหรับพวกฟรี้คส์ เรามีไอเดียว่าพวกเขาจะต้องน่ากลัวและไม่เหมือนใคร ซึ่งตามทฤษฎีมันเป็นเรื่องดีก็จริงอยู่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราก็ต้องพิจารณาหน้ากากมากกว่า 100 แบบโดยตัดสินใจเลือกไม่ได้ซักแบบน่ะค่ะ”

ในที่สุด พวกเขาก็ได้เลือกหน้ากากผู้หญิงที่เรียบง่ายมากๆ และมันก็ได้ผลอย่างงดงาม ผู้กำกับกล่าวสรุปว่า “เราให้พวกฟรี้คส์แต่งตัวเหมือนว่าพวกเขากำลังออกไปเที่ยววันฮัลโลวีนในชุดคอสตูมที่น่ากลัวพวกนี้ และพวกเขาก็แต่งตัวเพื่อฆ่าครับ เราให้พวกเขาสวมหน้ากากผู้หญิง และให้พวกเขาถือขวาน มีดและปืนกล ทั้งหมดนี้เป็นอะไรที่น่าขนลุกมากๆ ครับ”

****

                ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยแพลตินัม ดูนส์/บลูมเฮาส์/วายน็อท โปรดักชัน The Purge นำแสดงโดยอีธาน ฮอว์ค, ลีนา เฮดดี้, อะเดเลด เคน, แม็กซ์ เบิร์คโฮลเดอร์ คัดเลือกนักแสดงโดยลิซา ฟิลด์สและดูแลงานสร้างโดยเจอราร์ด ดินาร์ดี้ ออกแบบเครื่องแต่งกายโดยลิซา นอร์เซีย ผู้ร่วมอำนวยกาสร้างคือฌอนเน็ทท์ โวลเทอร์โน-บริล ดนตรีโดยนาธาน ไวท์เฮ้ดและลำดับภาพโดยปีเตอร์ กวอซดาส ออกแบบงานสร้างโดยเมลานีย์ เพซิส-โจนส์ กำกับภาพโดยฌาคส์ โจฟเฟร็ท ทริลเลอร์สมมติเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยเจสัน บลูม, พี.จี.เอ., เซบาสเตียน เค. เลอเมอร์ซิเออร์, พี.จี.เอ., ไมเคิล เบย์, แอนดรูว์ ฟอร์ม, แบรด ฟูลเลอร์ The Purge เขียนบทและกำกับโดยเจมส์ เดอโมนาโก

© 2013 Universal Studios.  www.blumhouse.com/film/thepurge

 

ประวัตินักแสดง

อีธาน ฮอว์ค (Ethan Hawke) รับบท เจมส์ แซนดิน

“ทำตามใจปรารถนาตอนที่พวกคุณยังทำได้” เป็นคำที่อีธาน ฮอว์ค ในวัยหนุ่มจำได้ขึ้นใจระหว่างถ่ายทำ Dead Poets Society ดรามารางวัลอคาเดมี อวอร์ด ที่ส่งให้เขาแจ้งเกิดในวงการ กว่า 20 ปีให้หลัง ฮอว์คได้สร้างชื่อในฐานะศิลปินมากความสามารถ เขาท้าทายตัวเองเสมอในฐานะนักเขียนนิยาย มือเขียนบทและผู้กำกับ และเขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกจากบทบาทที่กล้าหาญและละเอียดอ่อนของเขา ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์หลายครั้ง ฮอว์คมักจะหลบเลี่ยงการถูกจัดประเภทและแหวกขนบอยู่เป็นประจำ เขาคอยผลักดันฝีมือของตัวเองให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ด้วยการเรียนรู้ด้วยตัวเองและสร้างเส้นทางเดินของตัวเอง โดยไม่แยแสต่อการถูกจัดประเภท

หลังจากที่เขาได้ร่วมดื่มด่ำกับวัฒนธรรมป็อปคัลเจอร์ร่วมสมัยในคอเมดีปี 1994 เรื่อง Reality Bites โดยเบน สติลเลอร์ ฮอว์คก็ได้แสดงในภาพยนตร์กว่า 40 เรื่อง ซึ่งรวมถึง Explorers, Dad, White Fang, Waterland, Alive, Rich in Love, Gattaca, Great Expectations, Hamlet, Assault on Precinct 13, Taking Lives, Before The Devil Knows You’re Dead, What Doesn’t Kill You และ Brooklyn’s Finest ในปี 2002 ฮอว์คได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและแซ็ก อวอร์ดจากบทสมทบในภาพยนตร์โดยอังตวน ฟูกัวเรื่อง Training Day ประกบเดนเซล วอชิงตัน The Purge เป็นผลงานเรื่องที่สามที่เขาได้ร่วมมือกับมือเขียนบท/ผู้กำกับเจมส์ เดอโมนาโก หลังจากที่เขาได้นำแสดงในภาพยนตร์การกำกับเรื่องแรกของเดอโมนาโกเรื่อง Staten Island, New York และ  Assault on Precinct 13 ซึ่งเดอโมนาโกเป็นผู้เขียนบท

ที่น่าสนใจคือฮอว์คได้ร่วมมือกับผู้กำกับริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Fast Food Nation, Waking Life, The Newton Boys และ Tape ในผลงานการร่วมมือระหว่างเขากับลิงค์เลเตอร์ที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด ฮอว์คได้แสดงประกบจูลี เดลพาย ในภาพยนตร์ดังเรื่อง Before Sunrise และซีเควลปี 2004 เรื่อง Before Sunset ทั้งสามคนได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Before Sunset และก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาดัดแปลงบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์มือเขียนบทสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Before Midnight ภาคสามของแฟรนไชส์นี้ เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2013 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลาม ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 24 พฤษภาคม โดยโซนี พิคเจอร์ส คลาสสิกส์

ในปี 2001 ฮอว์คได้ไปชิมลางงานเบื้องหลัง และเปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วยดรามาเรื่อง Chelsea Walls ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวห้าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันเดียวกันที่โรงแรมเชลซี โฮเตลในนิวยอร์ก ซิตี้ และนำแสดงโดยอูมา เธอร์แมน, คริส คริสทอฟเฟอร์สัน, โรซาริโอ ดอว์สัน, นาตาชา ริชาร์ดสันและสตีฟ ซาห์น ในปี 1994 เขาได้กำกับจอช แฮมิลตันในภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Straight to One ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับคู่รักที่อาศัยอยู่ในเชลซี โฮเตล

ในปี 1996 ฮอว์คได้เขียนนิยายเรื่องแรก “The Hottest State” ซึ่งตีพิมพ์โดยลิตเติล, บราวน์ แอนด์ คัมปะนี และตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 19 แล้ว ในผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่สอง เขาได้ดัดแปลงบทภาพยนตร์และกำกับเรื่อง The Hottest State นอกจากนี้ เขายังกำกับมิวสิค วิดีโอสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย นิยายเรื่องที่สองของเขา “Ash Wednesday” ตีพิมพ์โดยนอพฟ์ และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในชุดวรรณกรรมคลาสสิกร่วมสมัยของบลูมส์เบรีในปี 2002 นอกเหนือจากงานนิยายแล้ว เขายังได้เขียนโปรไฟล์อย่างละเอียดของคริส คริสทอฟเฟอร์สันให้กับนิตยสารโรลลิง สโตนในเดือนเมษายน ปี 2009 อีกด้วย

ด้านละครเวที ฮอว์คได้แสดงละครบรอดเวย์เรื่อง The Seagull ที่ลีเซียม เธียเตอร์ในปี 1992 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้หวนคืนสู่เวทีละคร ที่ซึ่งเขาพบรางวัลตอบแทนที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเขา เขาได้แสดงประกบริชาร์ด อีสตันใน Henry IV, Buried Child ที่สเตปเปนวูลฟ์ เธียเตอร์ คัมปะนี, Hurlyburly ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูซิลล์ ลอร์เทล อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลการแสดงดีเด่นจากเวทีดรามา ลีก อวอร์ด, ละครโดยทอม สต็อพเพิร์ดเรื่อง  The Coast of Utopia ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในละครเวทีและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดรามา ลีก อวอร์ดสาขาการแสดงดีเด่น, การแสดงควบของเดอะ บริดจ์ โปรเจ็กต์เรื่อง The Cherry Orchard และ The Winter’s Tale ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดรามา เดสก์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในละครเวทีและละครโดยสก็อต เอลเลียตเรื่อง  Blood From A Stone ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลการแสดงดีเด่นจากเวทีออฟบรอดเวย์ เธียเตอร์ (โอบี้) ปี 2011 ในปี 2007 เขาได้เปิดตัวผลงานการกำกับละครออฟบรอดเวย์เรื่องแรกด้วยรอบปฐมทัศน์โลกของคอเมดีตลกร้ายโดยโจนาธาน มาร์ค เชอร์แมนเรื่อง  Things We Want ในปี 2010 ฮอว์คได้กำกับละครโดยแซม เชพเพิร์ดเรื่อง A Lie of the Mind ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลผู้กำกับละครเวทียอดเยี่ยมจากเวทีดรามา เดสก์และติดอันดับท็อปเท็นในลิสต์ละครเวทียอดเยี่ยมของนิวยอร์ก ไทม์และนิวยอร์กเกอร์ ในปี 2012 เขาได้แสดงในละครโดยแอนตัน เชคอฟเรื่อง Ivanov สำหรับคลาสสิก สเตจ คัมปะนี ในปี 2013 เขาได้กำกับและนำแสดงใน Clive ละครที่เบอร์โทลท์ เบรทช์ดัดแปลงจากเรื่อง Baal ที่เชอร์แมนเขียนให้กับเดอะ นิว กรุ๊ป

ในปี 2011 เขาได้แสดงในละครโทรทัศน์ที่ดัดแปลงจาก Moby Dick ทางอังกอร์ โดยเขารับบทสจวร์ตและต้นหนมากประสบการณ์ สตาร์บัค ลูกเรือคนเดียวที่กล้าคัดค้านกัปตันอาฮับ ที่รับบทโดยวิลเลียม เฮิร์ท

โปรเจ็กต์ล่าสุดของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยพาเวล พอว์ลิโคว์สกี้เรื่อง  The Woman in the Fifth ซึ่งฮอว์คแสดงประกบคริสติน สก็อต โธมัส ในบทอาจารย์มหาวิทยาลัยผู้หนีไปปารีสหลังจากที่เขาตกงานเพราะข่าวอื้อฉาว ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2011 และจัดจำหน่ายโดยเอทีโอ พิคเจอร์ส ฮอว์คได้นำแสดงในทริลเลอร์สยองขวัญปี 2012 โดยสก็อต เดอร์ริคสันเรื่อง Sinister ที่จัดจำหน่ายโดยซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนต์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่มีทุนสร้าง 3 ล้านเหรียญ ทำรายได้ไปกว่า 48 ล้านเหรียญทั่วโลก

โปรเจ็กต์หลังจากนี้ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยยารอน เลวีเรื่อง Getaway ซึ่งจะจัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สในวันที่ 30 สิงหาคม ปัจจุบัน เขากำลังกำกับสารคดีเกี่ยวกับปรมาจารย์เปียโนวัย 85 ปีชื่อเซย์มัวร์ เบิร์นสไตน์

ฮอว์คเกิดในปี 1970 ในครอบครัวของพ่อแม่ที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ เขาได้แสดงละครอาชีพตั้งแต่อายุ 13 ปี นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็อุทิศตนให้กับการแสดงมาโดยตลอด พออายุได้ 21 ปี เขาก็ได้ก่อตั้งมาลาพาร์ท เธียเตอร์ คัมปะนี ที่ซึ่งเจสัน บลูม ผู้อำนวยการสร้าง The Purge เริ่มต้นทำงาน คณะละครนี้ยังคงเปิดดำเนินการต่ออีกห้าปี และเป็นที่ที่เปิดโอกาสให้นักแสดงหนุ่มสาวได้ฝึกปรือฝีมือของพวกเขา

ฮอว์คแต่งงานแล้วและมีลูกสี่คน

 

ลีนา เฮดดี้ (Lena Headey) รับบท แมรี แซนดิน

ลีนา เฮดดี้ เป็นผู้รับบทเซอร์เซย์ แลนนิสเตอร์ในซีรีส์อีพิคเอชบีโอเรื่อง Game of Thrones ที่สร้างจากนิยายแฟนตาซียอดนิยมโดยจอร์จ อาร์.อาร์. มาร์ติน ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Low Down ประกบแอล แฟนนิง, เกลนน์ โคลสและจอห์น ฮอว์คส์ นอกเหนือจาก The Purge แล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ เฮดดี้ยังเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Mortal Instruments: City of Bones, Mariah Mundi and the Midas Box และ 300: Rise of an Empire ซีเควลของเรื่อง 300 ที่หลายคนรอคอยอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ เธอรับบทนำในซีรีส์ทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง Terminator: The Sarah Connor Chronicles ซึ่งเป็นการสานต่อตำนานของ The Terminator โดยเฮดดี้รับบทนี้ ที่โด่งดังจากการแสดงของลินดา แฮมิลตัน

ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของเฮดดี้ได้แก่ Dredd ที่ดัดแปลงจากการ์ตูน และร่วมแสดงโดยคาร์ล เออร์เบินและโอลิเวีย เธิร์ลบี้, Tell Tale ประกบจอช ลูคัสและไบรอัน ค็อกซ์, ภาพยนตร์สยองขวัญจิตวิทยาโดยฌอน เอลลิสเรื่อง The Broken และ The Red Baron ที่เธอรับบทคนรักของบารอน แมนเฟรด ฟอน ริทช์โธเฟน นักบินชั้นครูชาวเยอรมนีผู้โด่งดังในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประกบแมทเธียส ชเวโฮเฟอร์และโจเซฟ ไฟน์

เฮดดี้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยภาพยนตร์ปี 1992 เรื่อง Waterland ในบทภรรยาของเจเรมี ไอรอนส์ในวัยสาว นอกจากนี้ ในปีนั้น เธอยังได้แสดงภาพยนตร์บีบีซีเรื่อง The Summer House อีกด้วย ในปี 1993 เฮดดี้ได้แสดงในดรามาพีเรียดเรื่อง Century และภาพยนตร์รางวัลโดยเมอร์แชนท์ ไอวอรีเรื่อง The Remains of the Day

การแสดงนำครั้งแรกของเธอคือในภาพยนตร์ไลฟ์เวอร์ชันที่สร้างจากเรื่อง The Jungle Book โดยรุดยาร์ด คิปลิง และเธอก็ได้แสดงในภาพยนตร์อินดีอีกหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง Mrs Dalloway, Face, Onegin, Gossip, Possession, Ripley’s Game และ The Actors

ในปี 2006 เธอได้แสดงความสามารถของเธอในภาพยนตร์สามเรื่อง ได้แก่ทริลเลอร์สยองขวัญ The Cave ที่เธอแสดงประกบไปเปอร์ เพอราโบและมอร์ริส เชสท์นัท, แฟนตาซีผจญภัยเรื่อง The Brothers Grimm ประกบแมทท์ เดมอนและฮีธ เล็ดเจอร์และโรแมนติกคอเมดีสัญชาติอังกฤษเรื่อง Imagine Me & You ที่ประกบเพอราโบและแมทธิว กู๊ด

เธอได้แสดงในโปรเจ็กต์จอแก้วหลายเรื่องทั่วโลก ผลงานของเธอรวมถึง The Long Firm ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงบาฟตา, Merlin, Loved Up, Band of Gold และ The Gathering Storm ทางเอชบีโอ

 

อะเดเลด เคน (Adelaide Kane) รับบท โซอี้ แซนดิน

เธอเริ่มแสดงตั้งแต่อายุได้สามขวบ โดยเธอเริ่มต้นจากการเต้นและขยับขยายไปสู่การร้องเพลงและการแสดงอย่างรวดเร็ว พออายุได้หกขวบ เธอก็ได้เซ็นสัญญากับฟร็อก เมเนจเมนต์แห่งเวสต์ ออสเตรเลีย ไม่นานหลังจากนั้น เธอเริ่มต้นปรากฏตัวในโฆษณาสิ่งพิมพ์ก่อนจะขยับไปสู่โฆษณาทางโทรทัศน์และรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก พออายุได้ 16 ปี เธอก็ได้รับบทประจำ โลลลี อัลเลนในซีรีส์ดังของออสเตรเลียเรื่อง Neighbours จากเดิมที่สัญญาระบุให้เธอแสดงเพียงสามเดือน บทของเธอถูกขยายออกเนื่องด้วยความนิยมในตัวละครของเธอ ซึ่งนำไปสู่การแสดงในทั้งหมด 42 เอพิโซด

ในปี 2008 เธอได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยอีดิธ โควาน แต่ตัดสินใจที่จะยุติการศึกษากลางคันเพื่อรับบทเทนายา 7 ใน Power Rangers R.P.M ทางดิสนีย์ หลังจากนั้น เธอก็รับบท เจด แอน เจมส์ในภาพยนตร์ทางโทรทัศน์เรื่อง Secrets of the Mountain ซึ่งมียอดผู้ชมที่น่าประทับใจสูงถึง 9.2 ล้านคน ในปี 2012 เธอได้แสดงภาพยนตร์อินดีเรื่อง Donner Pass และ Goats ซึ่งนำแสดงโดยเดวิด ดูคอฟนีย์และเวรา ฟาร์มิกา

ในปี 2013 เธอมีงานมากมาย โดยเธอจะนำแสดงใน Where the Devil Hides และ After the Fall เธอได้คว้าบทประจำที่โดดเด่นในซีซันสามของซีรีส์ยอดนิยมทางเอ็มทีวีเรื่อง Teen Wolf มาได้และได้รับบทนำในตอนไพล็อตของซีรีส์ Reign ทางซีดับบลิว ที่เธอรับบทแมรี ราชินีแห่งสก็อต ในวัยสาว

 

แม็กซ์ เบิร์คโฮลเดอร์ (Max Burkholder) รับบท ชาร์ลี แซนดิน

แม็กซ์ เบิร์คโฮลเดอร์ เป็นหนึ่งในนักแสดงรุ่นเยาว์ที่มาแรงที่สุดของฮอลลีวูด การแสดงของเขาในบทแม็กซ์ เบรฟเวอร์แมน ลูกชายของอดัม และคริสตินา (ปีเตอร์ เคราส์และโมนิกา พอตเตอร์) ผู้ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการแอสเปอเกอร์ ซินโดรม ในดรามาชื่อดังทางเอ็นบีซีเรื่อง Parenthood ได้รับความสนใจและเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม

เขาเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุน้อยมากๆ และเขาก็ยังคงขัดเกลาความสามารถของตัวเองในฐานะนักแสดงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพากย์เสียงจอแก้ว จอเงินและโฆษณาด้วย ในปี 2004 เมื่อเขาอายุได้เจ็ดขวบเขาก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลยัง อาร์ติสท์ อวอร์ดจากการแสดงประกบเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ของเขาใน Daddy Day Care

ผลงานของเขานอกเหนือจาก Daddy Day Care แล้ว ยังรวมถึง The Rainbow Tribe, Love for Rent, Friends With Money และ Fathers and Sons ด้วย นอกจากนี้ เขายังได้พากย์เสียงตัวละครในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น  Astro Boy, My Friends Tigger & Poo, Fly Me to the Moon, Princess Stories และรายการโทรทัศน์ Arthur’s Lost Dog, Family Guy, American Dad! และ The Land Before Time

ผลงานจอแก้วของเขาได้แก่บทดารารับเชิญและบทประจำในซีรีส์ Private Practice, Grey’s Anatomy, Brothers & Sisters, In Treatment, CSI: Miami, CSI: NY และ The Suite Life of Zack and Cody เขาเป็นขาประจำซีรีส์  Commando Nanny และได้แสดงในภาพยนตร์ฮอลล์มาร์คที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง Point of Entry

นอกเหนือจากการแสดง งานอดิเรกของเบิร์คโฮลเดอร์ยังรวมถึงเบสบอล, เทนนิส, คาราเต้, ว่ายน้ำและเล่นเปียโน นอกจากนี้ เขายังชื่นชอบการเล่นเกมและเป็นคนรักสัตว์ ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส

 

เอ็ดวิน ฮ็อดจ์ (Edwin Hodge) รับบทคนแปลกหน้าผู้บาดเจ็บ

เอ็ดวิน ฮ็อดจ์ เกิดในแจ็คสันวิลล์, นอร์ธ แครอไลนา และเติบโตในนิวยอร์ก ด้วยอายุเพียง 28 ปี ฮ็อดจ์กลับมีประสบกาณ์ในวงการบันเทิงมามากกว่า 15 ปีแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้รับบทประจำในซีรีส์ทีบีเอสเรื่องง Cougar Town ที่เขารับบท เว้ด แฟนหนุ่มของลอรีย์ (บิวซี ฟิลิปส์) นอกจากนั้นแล้ว เขายังได้แสดงประกบคริส เฮมส์เวิร์ธ และจอช ฮัทเชอร์สัน ใน Red Dawn เขาได้รับบทรับเชิญในซีรีส์ NCIS: Los Angeles, The Mentalist, Heroes, Ghost Whisperer และ One Tree Hill

เขาเป็นนักกีฬาตัวยง ที่เล่นบาสเก็ตบอลและกอล์ฟในยามว่าง ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส

 

อีธาน ฮอว์ค รับบท เจมส์ แซนดิน ใน THE PURGE 

Q:            THE PURGE เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร?

A:             THE PURGE ดำเนินตามขนบที่ยาวนานของหนังไซไฟการเมืองที่ผิดเพี้ยนเล็กๆ น่ะครับ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่น่าจะเขียนขึ้นโดยฟิลิป เค. ดิ๊ค หรือเคิร์ท วอนเนกัท ไอเดียนี้ดูเหมือนจะเกือบน่าขันเกินไปด้วยซ้ำ แต่พอคุณพิจารณามันใกล้ๆ มันกลับแทบจะสมจริงเกินไป มันเป็นปริศนาทางศีลธรรมจริงๆ และมันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสนใจหนังเรื่องนี้ด้วยครับ

Q:            คุณคิดว่าสถานการณ์ที่เราเห็นใน THE PURGE จะเป็นไปได้ในอนาคตรึเปล่า

A:             ผมคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องไซไฟเยี่ยมๆ คือมันเป็นการกล่าวถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วแบบเกินจริง แล้วทำให้คุณมองเห็นมันในอีกมุมหนึ่งน่ะครับ ลองนึกถึงนักเขียนอย่างฟิลิป เค. ดิ๊คหรือเคิร์ท วอนเนกัทดูสิ ไอเดียที่ว่าคนรวยกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนที่มีรั้วรอบขอบชิด และไม่แคร์ว่าจะเกิดะไรขึ้นกับคนจนข้างนอกไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลเกินตัวเลย มันเป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้ครับ ประเด็นเรื่องเชื้อชาติ ชนชั้นและเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่น่าสนใจใน THE PURGE หนังเรื่องนี้นำเสนอมุมมองที่ไม่เหมือนใครครับ

Q:            แล้วหนังเป็นพิธีชำระล้างบาปของพวกเรารึเปล่า

A:             เห็นได้ชัดว่า THE PURGE เป็นหนังรุนแรงที่มีข้อคิดต่อต้านความรุนแรง มันตั้งคำถามที่ว่าหนังเป็นที่ที่เหมาะต่อการระบายความรุนแรงของเรารึเปล่า แล้วเราทำยังไงกับนิสัยส่วนที่รุนแรงของตัวเราเอง เท่าที่มีคนบอกเล่าเรื่องราวมา เรื่องราวพวกนั้นก็มีความรุนแรงเสมอ ลองดูโศกนาฏกรรมกรีกโบราณหรือ Julius Caesar ของเชคสเปียร์ดูสิครับ วรรณคดีมากมายที่จบลงด้วยการสังหารหมู่ แต่ทุกคนกลับสนใจเรื่องราวพวกนี้ ในแง่หนึ่งแล้ว หนังก็ทำหน้าที่เหมือนกับใน A CLOCKWORK ORANGE มันจะทำให้คุณจมอยู่ในความรุนแรงที่มากล้นจนกระทั่งคุณอยากให้มันหยุดน่ะครับ

Q:            สแตนลีย์ คูบริค เป็นหนึ่งในอิทธิพลสำคัญของหนังเรื่องนี้รึเปล่า เราคิดว่ามันเหมือนกับ NIGHT OF THE LIVING DEAD อยู่นะ

A: ผมคิดว่าเจมส์ เดอโมนาโก (ผู้กำกับ) ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคูบริค, NIGHT OF THE LIVING DEAD แล้วก็จอห์น คาร์เพนเตอร์ แล้วมันก็มีอะไรหลายๆ อย่างของ ESCAPE FROM NEW YORK อยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วย ผมกับเจมส์ เดอโมนาโกได้พบกันระหว่างถ่ายทำรีเมกเรื่อง ASSAULT ON PRECINCT 13 เราชื่นชอบการทำงานในหนังเรื่องนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราทั้งคู่รักเกี่ยวกับหนังของจอห์น คาร์เพนเตอร์ และเราไม่ได้ทำในหนังเรื่องนั้นคือการเพิ่มข้อคิดเข้าไปในเรื่อง ผมคิดว่าเจมส์ตั้งใจสร้างรีเมกแบบจอห์น คาร์เพนเตอร์จริงๆ ด้วยหนังเรื่องนี้ ความหวังของผมก็คือมันจะทำหน้าที่เป็นเหมือนหนังไดรฟ์อินคืนวันศุกร์ แต่มันก็จะทิ้งเรื่องให้คิดสำหรับผู้ชมมากกว่าปกติหน่อยน่ะครับ

Q:            คุณเป็นนักเขียนด้วย คุณเคยตีพิมพ์หนังสือหลายเล่มและเคยเขียนบทสำหรับหนังบางเรื่องของคุณมาแล้ว คุณได้เสนอแนะไอเดียอะไรสำหรับตัวละครของคุณใน THE PURGE รึเปล่า

A:             ที่สุดแล้ว หนึ่งในสิ่งที่การเขียนสอนผมคือการเคารพนักเขียนคนอื่นๆ เจมส์ เดอโมนาโกมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจริงๆ บทหนังเรื่องนี้ก็ดีเยี่ยม มันเป็นเรื่องยากๆ ในการสร้างหนังไฮคอนเซ็ปต์แบบนี้ภายใต้ทุนสร้างที่จำกัดจำเขี่ยมากๆ เราก็เลยต้องทุ่มเทสุดตัว และนั่นก็คือความสนุกของมันครับ

Q:            จะว่าไปแล้ว คุณมีพิธีชำระล้างบาปในแบบของตัวเองรึเปล่า คุณมีวิธีการปลดปล่อยความหงุดหงิดหรือความโกรธเคืองบ้างมั้ย

A:             ผมคิดว่าการหาวิธีที่เหมาะสมในการระบายความโกรธของคุณออกมาเป็นหนึ่งในปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเป็นผู้ใหญ่เลยนะครับ ถ้าคุณเก็บอารมณ์นั้นไว้ มันก็เป็นเรื่องผิด ถ้าคุณปลดปล่อยมันออกมา มันก็ผิดอีก ผมเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกครับว่าเราควรจะจัดการกับความโกรธยังไงดี

Q:            ในฐานะคนเป็นพ่อ คุณเข้าใจความรู้สึกของตัวละครของคุณใน THE PURGE และปัญหาทางด้านศีลธรรมที่เขาต้องเผชิญเพื่อคุ้มครองครอบครัวของเขารึเปล่า

A:             เราสร้างเจมส์ แซนดินให้เป็นตัวละครที่แสดงได้ยากครับ เขาคิดว่าเขาเป็นคนดีแต่ก็ไม่ใช่ เขาไม่ได้เป็นตัวร้ายซะทีเดียว แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาและก็ไม่รู้ตัวเอง ในหลายๆ แง่มุม ในฐานะการเป็นนักแสดง การสวมบทเป็นผู้ร้ายหรือพระเอกก็เป็นเรื่องง่าย แต่ตัวละครที่ผมเล่นใน THE PURGE อยู่ตรงกลางระหว่างนั้นครับ สิ่งหนึ่งที่น่ารังเกียจแต่ก็น่าสนใจเกี่ยวกับเขาคือการที่คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงความรู้สึกของเขาได้ ที่สุดแล้วเขาก็เป็นคนค่อนข้างตื้นเขินและวัตถุนิยม เขาอยากจะประสบความสำเร็จและไม่กังวลว่าความสำเร็จของเขาจะมีความหมายอย่างไรต่อโลกในภาพรวม ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากพวกเราส่วนใหญ่ที่รับเงินมาโดยไม่ตั้งคำถามซักเท่าไหร่ว่าเงินพวกนั้นมาจากไหน

Q:            คุณคิดยังไงเกี่ยวกับการโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงในหนังปัจจุบันนี้

A:             ผมไม่คิดว่าหนังที่รุนแรงจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนทำตัวรุนแรงหรอกนะครับ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในการใช้ความรุนแรงพูดถึงความรุนแรงครับ

Q:            คุณเลือกหนังที่คุณจะเล่นยังไง

A:             ผมพยายามที่จะสร้างอาชีพนักแสดงของตัวเองจากสัญชาตญาณครับ มันมีอะไรบางอย่างที่วิพากษ์สังคมและการเมืองในหนังเรื่องนี้ที่ผมสนใจ ผมเป็นนักแสดงดรามาครับ ผมไม่ได้เป็นนักแสดงตลก แต่ด้วยความที่ว่ามีการสร้างหนังดรามาไม่มากนักหรอก มันก็เลยกระตุ้นให้คุณเปิดกว้างเกี่ยวกับการแสดงหนังแนวอื่นๆ น่ะครับ

Q:            นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ คุณเลือกที่จะแสดงในหนังอย่าง SINISTER และ THE PURGE รึเปล่า

A:             เจสัน บลูมกับผมเป็นเพื่อนกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว เราก่อตั้งคณะมาลาพาร์ท เธียเตอร์ คัมปะนีด้วยกัน ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนหนังที่ย้อนกลับไปยุค 50s และเราก็ย้อนกลับไปสร้างหนังแบบโรเจอร์ คอร์แมน ที่ศิลปะจะต้องเป็นรองแนวหนัง นั่นเป็นสิ่งที่ผมพยายามจะทำครับ ปีนี้ เราสามารถสร้าง BEFORE MIDNIGHT ได้ สิ่งที่เจสัน บลูมทำกับหนังอย่าง SINISTER และ THE PURGE คือการนำเอาหนังแบบหนังไดรฟ์อินคืนวันศุกร์มาทำให้มีคุณภาพ มันมีประวัติยาวนานของการที่นักแสดงละครเวทีพบหนทางรุ่งโรจน์ในการแสดงหนังแนวต่างๆ ผมก็เลยพยายามเลือกเดินทางนั้นครับ

Q:            แผนการต่อไปสำหรับคุณเป็นยังไงบ้าง

A:             ในฤดูร้อนปีนี้ ผมคิดว่าผมจะเสร็จจากโปรเจ็กต์ที่ผมทำงานร่วมกับริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ THE 12-YEAR PROJECT น่ะครับ เราสร้างหนังสั้นกันทุกปีมาสิบสองปีแล้ว มันเป็นหนังเกี่ยวกับเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งน่าจะน่าสนใจทีเดียวครับ

Q:            ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น

A:             สำหรับผม มันให้ความรู้สึกเหมือนมันเป็นช่วงเวลาพิเศษสุดที่จะเป็นผู้ใหญ่ครับ ในตอนนี้ ผมสนุกมากกับการได้หยิบจับอะไรหลายๆ อย่าง มันเป็นสิ่งที่ผมฝันถึงเสมอ การไม่ได้ทำอะไรอย่างเดียวน่ะครับ ผมรักงานละครเวที การเขียนบทและการทำงานใน BEFORE MIDNIGHT กับริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์และจูลี เดลพายเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดในหน้าที่การงานของผม การสร้างหนังตามแบบฉบับที่คุณอยากจะดูในคืนวันศุกร์ และสร้างให้มันเป็นหนังดีมีคุณภาพ ที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่างศิลปะชั้นสูงกับศิลปะชั้นต่ำเลือนรางไป เป็นสิ่งที่ผมสนใจมาโดยตลอดครับ

Q:            โดยทั่วไปแล้ว มันมีไซไฟสองกระแส กระแสแรกมองโลกในแง่ร้าย อีกกระแสหนึ่งมองโลกในแง่บวก ที่อนาคตเป็นโลกที่สวยงาม คุณจินตนาการอนาคตอันใกล้ไว้อย่างไรบ้าง

A:             ผมเป็นคนมองโลกแง่บวกเสมอครับ มันดีกว่าอีกแบบหนึ่งเยอะเลย ผมคิดว่าทุกๆ แง่บวกจะมีแง่ลบและทุกๆ แง่ลบจะมีแง่บวก สิ่งแวดล้อมของโลกกำลังเผชิญกับหายนะ ซึ่งเป็นข่าวร้ายครับ ข่าวดีก็คือเราไม่เคยให้ความสำคัญกับมันเลย แต่ตอนนี้ เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้แล้ว ซึ่งมันมีเรื่องให้เราสุขได้อีกเยอะครับ

 

เจสัน บลูม อำนวยการสร้าง THE PURGE 

Q:            หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

A:             เจมส์ เดอโมนาโก (มือเขียนบท/ผู้กำกับ) กับผมรู้จักกันมาประมาณ 10 ปีแล้ว อีธานรู้จักกับเจมส์จาก ASSAULT ON PRECINCT 13 ที่เจมส์กำกับ ดังนั้น ทั้งผมกับอีธานต่างก็รู้จักเขาก่อนหน้าหนังเรื่องนี้ เจมส์เสนอ THE PURGE ให้กับผม และผมก็คิดว่ามันเป็นไอเดียที่เจ๋งมาก ผมชอบที่ว่าในโลกสมมติของหนังเรื่องนี้ พิธีชำระล้างบาปมีอยู่ในอเมริกามาเจ็ดปีแล้ว ครอบครัวในหนังผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วอย่างน้อยก็เจ็ดครั้ง พวกเขาก็เลยคิดว่าพวกเขามีภูมิคุ้มกันความรุนแรงแล้ว ผมชอบไอเดียนั้นครับ ผมบอกเจมส์ให้เขียนบทแล้วเราจะสร้างหนังเรื่องนี้กัน มันมันไม่ได้เกิดขึ้นแบบนั้นเสมอไปหรอกนะครับ แต่ครั้งนี้ มันเป็นแบบนั้นเลย

Q:            คุณได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากความสำเร็จในการพัฒนาโมเดลการสร้างภาพยนตร์ใหม่ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คุณช่วยอธิบายถึงโมเดลนั้นหน่อยได้มั้ย

A:             โมเดลของผมคือการสร้างหนังที่มีคอนเซ็ปต์ใหญ่ และเข้าฉายทั่วประเทศ ด้วยทุนต่ำครับ แม้ว่าการเข้าฉายทั่วประเทศอาจไม่จำเป็น แต่บางครั้ง เราก็พยายาม เราวางแผนนำ PARANORMAL ACTIVITY, INSIDIOUS, SINISTER รวมถึง THE PURGE เข้าฉายทั่วประเทศ หนังทั้งหมดนี้ทุนสร้างต่ำก็จริง แต่ก็มีคอนเซ็ปต์ใหญ่ทุกเรื่อง นั่นคือสิ่งที่บริษัทของเราทำครับ

Q:            หลังจากความสำเร็จของ PARANORMAL ACTIVITY และหนังเรื่องอื่นๆ ของคุณ มีใครพยายามจะลอกเลียนแบบโมเดลของคุณรึเปล่า

A:             ผมคิดว่าหลายคนกำลังพยายามลอกเลียนแบบโมเดลนี้อยู่ แต่มันเป็นเรื่องยากครับ เราไม่ได้มีสูตรลับหรืออะไรทำนองนั้น แต่มันเป็นโมเดลที่เลียนแบบได้ยาก ถ้ามีคนเข้ามาพร้อมกับเวอร์ใหม่ที่ดีที่สุดของ TRANSFORMERS ผมอาจจะเป็นผู้อำนวยการสร้างคนเดียวในฮอลลีวูดที่จะบอกว่า มันฟังดูเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมนะแต่เราไม่ใช่บริษัทที่เหมาะกับมัน ผู้อำนวยการสร้างคนอื่นๆ ที่พยายามจะทำเหมือนเรามักจะพยายามสร้างหนังแบบของเราระหว่างหนังทุนสร้างสูงของพวกเขา แต่เราทำแบบนี้ตลอด ดังนั้น มันก็เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญกับมันครับ

Q:            คุณพูดถึง TRANSFORMERS คุณช่วยพูดอะไรเกี่ยวกับไมเคิล เบย์หน่อยได้มั้ย เขาได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างของหนังเรื่องนี้ด้วยนี่

A:             เป็นเรื่องเยี่ยมมากที่เราได้ผู้กำกับอย่างไมเคิล ที่โด่งดังจากการอำนวยการสร้างหนังทุนสูง มาเกี่ยวข้องกับ THE PURGE แบรด ฟูลเลอร์และแอนดรูว์ ฟอร์ม ที่ร่วมงานกับไมเคิลที่แพลตินัม ดูนส์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างของหนังเรื่องนี้ตลอดทั้งเรื่อง แล้วเราก็ได้ทีมงานจำนวนมากของเรามาจากไมเคิล ซึ่งรวมถึงมือลำดับภาพของเราด้วย

Q:            นอกเหนือจากทุนสร้างที่ต่ำแล้ว ในโมเดลของคุณ ยังมีเรื่องของเนื้อหาหนังด้วย คุณชื่นชอบหนังแนวไหนเป็นพิเศษรึเปล่า

A:             ตอนที่เรานั่งลงคุยกับผู้กำกับ เราไม่ได้บอกว่าเรากำลังมองหาหนังสยองขวัญ เราบอกว่าเรากำลังมองหาหนังทุนสร้างต่ำที่จะเข้าฉายทั่วประเทศ เรานึกถึงว่ามีหนังอะไรที่เราจะสร้างด้วยทุนต่ำได้บ้าง ถ้าคุณดูจากเงื่อนไขพวกนี้ ประมาณ 80% ถึง 90% คุณจะได้สร้างหนังสยองขวัญ ผมไม่คิดว่าโมเดลนี้จะเวิร์คสำหรับดรามา เราอาจจะไม่สามารถสร้างดรามาได้ภายใต้โมเดลนี้และมันก็ไม่เคยเวิร์คสำหรับคอเมดีเลยด้วย

Q:            อะไรคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการสร้างหนังเรื่องนี้

A:             โลเกชันเป็นเรื่องที่เราเป็นห่วงครับ ตัวบ้านเองก็เป็นตัวละครในหนังเรื่องนี้ด้วย มันจะต้องเพอร์เฟ็กต์ เราหาบ้านหลังนั้นไม่เจอจนกระทั่งสิบวันก่อนที่เราจะเริ่มต้นถ่ายทำ หลังจากที่เราทำข้อตกลงเรียบร้อย เราก็ถ่ายทำในบ้านหลังนั้นได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เราก็เลยต้องทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพครับ

Q:            คุณเลือกนักแสดงของเรื่องยังไง คุณเคยทำงานกับอีธาน ฮอว์คมาก่อนนี่

A:             ผมกับอีธานเป็นเพื่อนกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว เราสนุกมากตอนทำงานใน SINISTER ด้วยกัน เขาก็เลยเป็นตัวเลือกแรกสำหรับหนังเรื่องนี้ เขาบอกว่าเขาอยากจะแสดงหนังพวกนี้อีกเรื่องหนึ่ง เราก็เลยส่งบทให้เขา พอเขาอ่าน เขาก็ตกลงเลย เขาน่าทึ่งมากครับ

Q:            แล้วเลนา เฮดดี้ล่ะ

A:             ผมกับเลนาเป็นเพื่อนกับปีเตอร์ ดิงค์เลจ ที่แสดงกับเธอในซีรีส์ Game of Thrones ครับ ผมกับพีทคุยกับทางอีเมล์แล้วเขาก็รบเร้าให้ผมดูผลงานของเธอ ผมดีใจที่เราทำตามเขาเพราะเธอเป็นคนที่วิเศษสุดและเหมาะกับหนังเรื่องนี้จริงๆ

Q:            คุณคิดว่าเหตุการณ์เศร้าสลดเมื่อเร็วๆ นี้ได้ส่งผลให้คุณตัดสินใจถ่ายทำหนังเรื่องนี้รึเปล่า ปัจจัยนั้นมีผลอะไรต่อฮอลลีวูดบ้างมั้ย

A:             ผมคิดว่า THE PURGE แสดงความคิดเห็นต่อความรุนแรงในหลายๆ ทิศทางที่แตกต่างกันออกไป แต่ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือเราควรจะตรึกตรองถึงประเด็นนี้โดยปราศจากความรุนแรงและพูดถึงมันอยู่เรื่อยๆ หวังว่าหนังเรื่องนี้จะกระตุ้นให้เราทำแบบนั้นนะครับ

Q:            คุณจะบอกได้มั้ยว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสอนศีลธรรม

A:             มันเป็นเรื่องเสี่ยงในการสอดแทรกข้อคิดทางสังคมเข้าไปในหนังสยองขวัญ แต่นั่นก็เป็นหนังที่ผมคิดภาพเอาไว้และเป็นหนังที่เราได้สร้างขึ้นมา นอกจากนั้น ผมยังชื่นชอบการทดลองเทคนิคเล่าเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมักจะปรากฏอยู่ในหนังอินดีด้วยครับ

Q:            นอกเหนือจากในเรื่องโมเดลธุรกิจคุณแล้ว คุณชื่นชอบหนังสยองขวัญรึเปล่า

A:             สิ่งที่ผมชื่นชอบคือโมเดลการสร้างหนังแบบนี้ ซึ่งผมคิดว่าทั้งใหม่และก็แตกต่าง หนังสยองขวัญเข้ากับโมเดลนี้ได้ค่อนข้างลงตัว ผลก็คือผมได้สร้างหนังสยองขวัญหลายเรื่อง และผมก็ชอบหนังพวกนั้น ผมเองก็ไม่ได้รอบรู้ประวัติศาสตร์หนังสยองขวัญซักเท่าไหร่ แต่ผมได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับหนังสยองขวัญจากผู้กำกับทุกคนที่ผมได้ร่วมงานด้วย เช่นสก็อตต์ เดอร์ริคสัน, เจมส์ วานและเจมส์ เดอโมนาโกน่ะครับ

Q:            คุณหวังว่าผู้ชมจะได้ข้อคิดอะไรกลับไปจาก THE PURGE บ้าง

A:             ผมหวังว่าผู้ชมจะได้พูดคุยถึงคอนเซ็ปต์ของ THE PURGE และความหมายของมัน รวมถึงการที่มันสามารถเกิดขึ้นจริงด้วยครับ

Q:            คุณเข้ามาทำงานในวงการหนังได้ยังไง

A:             รูมเมทสมัยมหาวิทยาลัยของผมคือโนอาห์ บอมบัค หนังเรื่องแรกของผมก็เป็นหนังเรื่องแรกของผมด้วยที่ชื่อ KICKING AND SCREAMING ผมอยากจะเป็นผู้อำนวยการสร้างเสมอมา ผมไม่เคยอยากเป็นมือเขียนบทหรือผู้กำกับ ผมเริ่มต้นจากจุดนั้นครับ

Q:            คุณเคยนึกถึงการผลิตหน้ากากจาก THE PURGE ออกมาเป็นสินค้าบ้างมั้ย

A:             เรานึกกันถึงฮัลโลวีนครับ เราเคยสร้างบ้านผีสิงในลอสแองเจลิสสำหรับเทศกาลฮัลโลวีน ที่มีชื่อว่า The Blumhouse of Horrors เราจัดงานอีเวนต์ด้วย บางที เราอาจจะขายหน้ากากพวกนั้นในงานก็ได้ครับ

Q:            คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จได้เท่ากับ PARANORMAL ACTIVITY รึเปล่า

A:             มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนึกถึงหนังในแบบนั้นก่อนที่มันจะเข้าฉาย ผมคิดว่า PARANORMAL ACTIVITY จะต้องเวิร์ค แต่ไม่มีใครคาดคิดหรอกครับว่ามันจะประสบความสำเร็จขนาดนั้น ผมสร้าง PARANORMAL ACTIVITY เพราะผมทำงานให้มิราแมกซ์และฮาร์วีย์ วีนสไตน์ในยุค 90s มาก่อน และเราก็บอกผ่าน THE BLAIR WITCH PROJECT ไป ฮาร์วีย์ไม่เคยปล่อยให้ผมลืมเรื่องนั้นเลย มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเพราะในตอนที่คุณกำลังเริ่มต้นในวงการนี้ ทุกคนต่างก็บอกให้คุณทำตามหัวใจเรียกร้อง ทั้งหมดนั่นไม่ได้มีความหมายอะไรจนกระทั่งคุณได้สัมผัสมันด้วยตัวเองครับ

Q:            ถ้าโลกที่ถูกพูดถึงในหนังเป็นเรื่องจริง คุณจะทำอะไรระหว่างพิธีชำระล้างบาป

A:             ผมก็จะไปหลบซ่อนใต้เตียง ปิดหน้าต่าง แล้วรอให้หมดสิบสองชั่วโมงครับ ผมคงจะไม่ก้าวเท้าออกไปนอกบ้านเลยล่ะ