“เอม ภูมิภัทร ถาวรศิริ” นักแสดงเลือดใหม่ที่น่าจับตามอง ตัวเลือกเดียวกับบท “ร้อยเอกทัตเทพ” นายทหารเลือดใหม่ อนาคตไกล มือขวาของ “ขุนพันธ์” กับภารกิจล่า 2 เสือร้ายอาคมแกร่งกล้า

ในภาพยนตร์ ขุนพันธ์ 3 อีกหนึ่งนักแสดงหนุ่ม ที่มีความโดดเด่น น่าสนใจ และมาร่วมโปรเจกต์นี้เพื่อสร้างสีสันความสนุก และทวีคูณความน่าดูยิ่งขึ้น คือนักแสดงเจนใหม่ที่มีฝีมืออย่าง “เอม-ภูมิภัทร ซึ่งเคยฝากผลงานประจักษ์ต่อสายตาคนดู ไม่ว่าจะรับบทบาทไหนก็สามารถเข้าถึงตัวละครได้อยู่หมัดจนคนดูอินตามทุกเรื่องทั้งภาพยนตร์เรื่อง “นคร-สวรรค์” (2562), “ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” (2562), “One for The Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” (2565) และซีรีส์เรื่อง “เด็กใหม่ ซีซัน 2” (2564) สู่บทบาทใหม่ของจักรวาลแอ็กชันฮีโร่ไทยฟอร์มยักษ์แห่งปี

ขุนพันธ์ 3_เอม ภูมิภัทร (10)

อยากให้เล่าถึงความรู้สึกแรกเมื่อได้ร่วมแสดงภ. ขุนพันธ์ 3

ผมรู้สึกว่านี่คือ ความท้าทายครั้งใหม่ของผมซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น ตื่นเต้น มันเหมือนเป็นการตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรที่ทำให้ผมอยากทำงานสักชิ้นหนึ่ง มันคือภาพรวมของโปรเจกต์ ภาพรวมของผู้กำกับ โดยเฉพาะถ้าเราเคยดูงานของเขา มันทำให้เรานึกภาพโลกใบนั้นออก ซึ่งพี่โขมและหนัง ขุนพันธ์ 3 ได้เข้ามาตอบโจทย์ในช่วงเวลานั้นพอดี ผมเคยดูหนัง ขุนพันธ์ 1 และ 2 มาก่อน มันทำให้ผมรู้สึกว่าเราอาจจะหาที่ทางในโลกนั้นได้ ยิ่งพอเรารู้ชื่อนักแสดงที่จะได้ร่วมงานด้วย นอกเหนือจากพี่จ่อย อนันดา แล้ว ยังมีทั้งพี่มาริโอ้ พี่โตโน่ ผมยิ่งโอ้โห เบอร์ใหญ่ๆ ทั้งนั้น ขณะที่ผมเองเป็นนักแสดงหน้าใหม่มากๆ แล้วได้มาร่วมงานในหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่ามันน่าจะเติมพลังให้ผม อยากเห็นว่าพี่โขมจะเอานักแสดงแต่ละคนไปทำอะไรในโลกของเขา

การเตรียมตัวเพื่อที่จะมารับบท ทัตเทพ ต้องทำอะไรมาบ้าง

คือต้องขอบคุณทีมงานมากๆ ครับที่พาผมไปไม่ว่าจะเป็นเวิร์กชอปการยิงปืน การใช้อาวุธปืนเบื้องต้น เพราะเรื่องความปลอดภัยมันสำคัญมากจริงๆ กับการทำงานที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทั้งหลาย เป็นเรื่องแรกที่ผมต้องเรียนเลย และใช้เวลากับมันประมาณหนึ่ง ซึ่งมันได้ใช้จริงครับ และมันจะได้ใช้ต่อไปยาวๆ ถ้าเกิดผมได้ทำงานกับสิ่งเหล่านี้อีก

เล่าถึงคาแรกเตอร์ของ ร้อยเอกทัตเทพ ในเรื่องให้ฟังหน่อย

ร้อยเอกทัตเทพ เป็นนายทหารหนุ่มรุ่นใหม่อนาคตไกลครับ เขาเติบโตมากับวีรกรรมในการปราบโจรของขุนพันธ์มาตั้งแต่เด็ก เขาก็เลยมีขุนพันธ์เป็นไอดอล แต่เขาจะไม่เชื่อเรื่องสปิริตชวล ไม่เชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถา เรื่องไสยศาสตร์มนตร์ดำใดๆ ทั้งสิ้น เขาจะเชื่อในเรื่องยุทธวิธีทางทหาร ทางการสงครามมากกว่า และสิ่งที่เขาเชื่อมั่นในการทำภารกิจก็คือเขาจะไม่เลือกวิธีการในการทำให้มันสำเร็จ สังกัดของทัตเทพจะขึ้นตรงกับกองทัพ เขาเป็นหัวหน้าของหน่วยรบพิเศษ จริงๆ แล้วนิยามของหน่วยรบพิเศษคือการปฏิบัติภารกิจโดยการใช้การแทรกซึม สืบสวนสอบสวน แต่ว่าสิ่งที่ทัตเทพทำได้คือเขาสามารถใช้อาวุธได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นปืนสั้น ปืนยาว อาวุธหนัก อาวุธเบา เขาสามารถใช้ได้หมด

ทัตเทพยังเป็นทหารที่ได้ทั้งบู๊และบุ๋น อาจจะหนักไปทางบุ๋นด้วยซ้ำ หนักไปทางการทำข้อมูล คืออยู่หลังบ้านเยอะมากเพื่อทำให้งานหน้าบ้านมันสบายที่สุด ซึ่งมันก็รวมไปถึงวิธีการทำงานของขุนพันธ์ด้วย คาถาของเขาที่เราไม่เชื่อหรอก แต่สุดท้ายมันมีข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้หรือเปล่า เราก็ศึกษาเพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจภารกิจโดยรวมทั้งหมด กับเพื่อนร่วมงานทุกคน ทัตเทพรู้ดีว่าสิ่งนี้ต่อให้เขาไม่เชื่อ แต่สุดท้ายมันก็เป็นสิ่งที่เขาต้องศึกษาเพื่อจะทำให้ภารกิจสำเร็จ

ความสัมพันธ์ระหว่างทัตเทพกับขุนพันธ์ในเรื่องเป็นอย่างไรบ้าง

ด้วยความที่ภารกิจของทัตเทพในเรื่องนี้จะคล้ายๆ กับถ้าขุนพันธ์เป็นแบทแมน ทัตเทพก็เป็นโรบิน ทั้งคู่จึงเปรียบเสมือนคู่หูที่ช่วยกันทำภารกิจปราบสองโจรที่สำคัญที่สุด คือเสือมเหศวรและเสือดำ นอกจากความเป็นคู่หูแล้ว ผมรู้สึกว่าในมุมมองหนึ่งทัตเทพก็คงเหมือนกับตอนที่เขาได้เจอขุนพันธ์ครั้งแรก นี่คือคนที่เราเติบโตมากับการที่เรามีโปสเตอร์ของเขาแปะติดหัวเตียง เรารู้สึกว่าเขามีอิทธิพลต่อความฝันในหน้าที่การงานของเรา แล้ววันหนึ่งทัตเทพได้มาร่วมภารกิจกับขุนพันธ์จริงๆ มันคือฝันที่เป็นจริง แต่สุดท้ายมันก็คือภารกิจ มันเป็นความเป็นความตาย คือชีวิตคน คือหน้าที่ คือชาติบ้านเมือง มันก็เป็นความยากในการร่วมงานกับไอดอลของตัวละครเรา ในขณะเดียวกันมันก็จะมีความเป็นความตายของคนอื่นที่เข้ามาเกี่ยวข้องในภารกิจด้วย

การได้ร่วมงานกับทั้งอนันดา, มาริโอ้ และโตโน่ เป็นอย่างไรบ้าง

สำหรับพี่อนันดา ด้วยความที่พี่เขาไม่ได้เป็นแค่นักแสดง เขาเป็นเหมือนฟิล์มเมคเกอร์ด้วย เขามีโปรดักชั่นเฮ้าส์ของตัวเอง เขาเป็นโปรดิวเซอร์ และด้วยความที่ชั่วโมงบินเขาสูงมากมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว เขาย่อมรู้วิธีการทำงานของงานภาพเคลื่อนไหว และเวลาเขาเข้าซีนเขาจะไม่ได้คิดถึงแค่ตัวละคร เขาจะคิดถึงทั้งซีน คิดถึงโปรเจกต์หนังทั้งเรื่อง แล้วเขาก็จะรู้ว่าโมทีฟแบบไหนที่เขาสามารถส่งเข้าไปในซีน ซึ่งมันทำให้หนังสมบูรณ์มากขึ้นได้ มันทำให้ทุกคนในซีนที่อยู่กับเขาทำงานง่ายขึ้นมาก และมันก็จะทำให้คนดูดูง่ายขึ้นด้วย

พี่โตโน่ ผมรู้สึกว่าเพลย์แบ็คของซีนเสือดำในหลายๆ ซีน มันน่าสนใจ ผมรู้สึกว่าโห ผมอยากเห็นสิ่งนี้ในจอ อยากดูว่าคัทติ้งมันจะเป็นแบบไหน ผมรู้สึกว่าสิ่งที่พี่โตโน่ทำกับตัวละครมันน่าสนใจ และตัวละครเสือดำก็เป็นตัวละครที่ผมรู้สึกว่าน่าสนใจมาก ด้วยความที่เขาค่อนข้างมีแบ็คกราวน์ที่หนัก แล้วก็มีความแค้นต่อขุนพันธ์สูงมาก แต่ตัวเองก็ดันเป็นคนมารยาทดี พูดสุภาพ สุภาพบุรุษเสือดำครับ มันก็เลยเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน ซึ่งมันน่าสนใจในจุดนี้ครับ

การร่วมงานกับผู้กำกับบ้าพลังที่ชื่อ ก้องเกียรติ โขมศิริ

พี่โขมจะทำงานแบบรุ่นใหญ่ คือเขาชัดเจนมากว่าเขาต้องการอะไร และถ้าเขาได้แล้วก็คือพอ แล้วไปต่อ จริงๆ ผมสงสารพี่โขมมากในการทำงานหนึ่งวัน เขาต้องทำทุกอย่างพร้อมกันจริงๆ ยิ่งเป็นภาพยนตร์สเกลใหญ่แบบนี้โดยมีเวลาเท่านี้ มันยิ่งต้องดูหลายอย่างพร้อมๆ กัน พี่โขมแทบจะเหมือนผู้กำกับสมัยหนังเงียบ สมัยโอลด์สคูลแบบยุคบัสเตอร์ คีตันที่ผู้กำกับแทบจะเป็นตำรวจจราจร ไดเร็คชั่นนี้มาแบบนี้ แทบจะเป็นคนกำกับทั้งถนน ทั้งโลเกชั่น ขณะเดียวกันพี่โขมก็เป็นคนตลกมาก เวลาผมนั่งอยู่หลังมอนิเตอร์ แล้วดูพี่โขมเขาแซวเขาพากย์สิ่งที่เกิดขึ้นบนจอมอนิเตอร์ มันสนุกดี ผมรู้สึกว่ามันเป็นวิธีที่ทำให้กองถ่ายมันอยู่รอดได้ การรับมือกับปัญหาด้วยวิธีที่มันไม่ติดลบ เพราะว่าเวลาปัญหามันเกิด มันง่ายมากที่จะทำให้เกิดอารมณ์เสีย

คนดูจะได้เห็นอะไรบ้างใน ขุนพันธ์ 3

จริงๆ แล้ว ผมชอบคอนเซ็ปต์ที่เป็นแกนตั้งต้นของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ มันคือเรื่องของการพยายามเอาตัวรอดของทุกชีวิต เสือดำก็มีสิ่งนี้ ขุนพันธ์มีสิ่งนี้เต็มๆ เสือมเหศวร ทัตเทพ สุดท้ายชีวิตๆ หนึ่งก็เพื่อรักษาชีวิตตัวเองให้รอด ผมรู้สึกว่านี่คือสารตั้งต้นที่ดี ที่น่าสนใจในการทำบท เรื่องงานภาพ เรื่องการเคลื่อนกล้อง ด้วยวัยของขุนพันธ์ที่มากขึ้น มันจะไม่เกิดการแกว่ง มันจะมีความนิ่งขึ้น ทุกอย่างมันจะถูกเล่าผ่านสิ่งนี้ แต่ถึงเวลาที่มันต้องต่อสู้ก็ต่อสู้จริงๆ ผมรู้สึกว่ามันเป็นแนวคิดหลักที่แข็งแรง และมันครอบคลุมทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้

ส่วนสิ่งที่คนดูจะได้เห็น สุดท้ายมันยังเป็นการต่อสู้ของสองความคิดครับ จริงๆ แล้วผมรู้สึกว่าทุกการต่อสู้มันไม่มีใครเป็นตัวดีตัวร้าย สุดท้ายมันขึ้นอยู่กับว่าเราดูอยู่อัฒจรรย์ฝั่งไหน และตามเรื่องปกติคนชนะคือคนที่จะได้นิยามว่าตัวเองเป็นใคร คนแพ้เขาเป็นใคร มันเท่ากับว่ามีความคิดหนึ่งถูกยืนยันในช่วงเวลานั้น ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะมีสิ่งนั้นอยู่ และมันยังเป็นสิ่งที่ร่วมสมัยอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งก็ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสยามประเทศของเรา ณ ช่วงเวลาหนึ่ง