ช่อง Thrill ยังคงขอเดินหน้านำเสนอบทสัมภาษณ์ผู้กำกับหนังสานต่อช่วง Asian Fear Fest เทศกาลรวมหนังผีทั่วเอเชีย ที่ที่ทางช่องจัดขานรับเดือนฮัลโลวีน ด้วยผู้กำกับเจ้าของแนวคิดสุดอินดี้สัญชาติมาเลเซีย “บาด เอชเจ. อัสมี” (Bade Hj. Azmi) จากหนังสยองขวัญสุดแนวอย่าง “Syaitan” (Satan ในภาษามาเลย์) ซึ่งจะออกอากาศตลอดเดือนตุลาคมทางช่อง Thrill ออกอากาศ ช่อง 505 TOT iptv และ ช่อง 53 ทาง CTH
แม้จะไม่ค่อยคุ้นหูคอหนังบ้านเราสักเท่าไหร่ แต่หลังจากได้พูดคุยกับเขาแล้ว พูดได้เลยว่าผู้กำกับสุดแนวคนนี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย เพราะเขาเคยพาหนังแข่งรถสุดมันอย่าง Gangster ไปเปิดตัวที่อเมริกาเมื่อปี 2005 มาแล้ว มาคราวนี้เจ้าตัวเลยขอเผยถึงเบื้องหลังการทำงานหนังเรื่อง Syaitan และแนวคิดการในการทำหนังที่ไม่เหมือนใคร
1. อะไรคือความท้าทายในการกำกับหนังเรื่อง Syaitan ? (Syaitan แปลว่า ซาตาน)
ผมถ่ายทำหนังเรื่อง Syaitan เมื่อปี 2006 จริงๆการทำหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากหรอกครับ เพียงแต่ตอนเขียนบทนี่ยากเอาการทีเดียว เพราะเนื้อเรื่องต้องมีทั้งจุดหักมุมและเชื่อมโยงมากมาย แต่ส่วนที่ท้าทายนี่เป็นตอนที่โปรโมตเรียกคนดูน่ะครับ เรารู้ดีว่าหนังผีนั้นขายยาก แต่เราก็ทำเพื่อสร้างความแตกต่าง Tayanfan Unggul เป็นคนผลักดันให้ผมทำสิ่งที่แตกต่างเหล่านี้น่ะครับ
การเอาคนดูหนังของเรากลุ่มแรกให้อยู่หมัดนี่ก็สำคัญครับ เพราะคนกลุ่มนี้จะเป็นคนไปบอกต่อ หนังเรื่องนี้ไม่ได้ขายเรื่องผีซะทีเดียว แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยชั้นเชิงและเล่ห์เหลี่ยมของบท ตัวหนังไม่ค่อยถูกปากคนดูในมาเลเซียสักเท่าไหร่ เราเลยเน้นขายคนดูกลุ่มเฉพาะที่ชื่นชอบในแนวของเรา จะว่าไปแล้วผมทำหนังเพื่อเผยสไตล์ตัวเองโดยเฉพาะเลยนะครับ ออกแนวล่ารางวัลมากกว่าทำเงินน่ะ อีกเรื่องนึงคือมีอยู่ฉากนึงที่นักแสดงจะต้องกระโดดจากระเบียงชั้น 9 แบบไม่มีสลิงซึ่งหวาดเสียวและอันตรายสุดๆเลยล่ะครับ
2. คุณใช้แนวคิดใดในการคัดเลือกนักแสดงมาแสดงเรื่องนี้
นักแสดงดังๆเป็นจุดขายของหนังเลยก็ว่าได้ คนทำหนังก็อยากให้หนังขายได้ เพราะคนดูก็อยากเห็นดาราที่พวกเขาชื่นชอบ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ใช้นักแสดงอีกมากมายที่แม้จะไม่ได้ดังมาก แต่กลับมีความสามารถล้นเหลือเพื่อให้หนังออกมาดูกลมกล่อมที่สุดน่ะครับ
3. มีอาถรรพ์อะไรในกองถ่ายบ้างหรือเปล่าครับ?
Syaitan ไม่ใช่หนังผี มันเป็นหนังเกี่ยวกับปีศาจ เราไม่ได้เจอเรื่องผีหรอกครับ แต่เรากลับสร้างความกลัวของหนังขึ้นมาโดยที่ไม่มีผี คนดูจะรู้สึกหวาดกลัวไปกับเราทั้งๆที่มันไม่มีผีเลยด้วยซ้ำ
4. เราจะได้เห็นหนังสยองขวัญจากคุณอีกไหม?
คิดว่าคงไม่แล้วล่ะครับ จริงๆมีคนติดต่อให้ผมทำเยอะอยู่ ก่อนหน้านี้ผมหยุดทำหนังไปเพราะคนแห่ทำหนังผีกันเยอะมาก ผมไม่ได้อยากทำหนังสยองขวัญที่เป็นผี แต่อยากทำหนังเพื่อบอกคนดูว่า คนเรานี่แหละที่เป็นปีศาจ ไม่ใช่ผีอย่างที่เรากลัวๆกันหรอก
5. อัพเดทถึงงานล่าสุดที่คุณกำลังทำหน่อยสิ?
ที่ใกล้จะเสร็จแล้วมีเรื่อง Syndicate ครับ กำลังอยู่ในช่วงตัดต่อ ส่วนที่เสร็จแล้วรอเปิดตัวคือหนังเรื่อง Kanang Anak Langkau เกี่ยวกับ ฮีโร่เผ่าอิบาน (เผ่าหนึ่งบนเกาะบอร์เนียว)
6. คุณมองวงการหนังมาเลเซียอย่างไร ทิศทางในการเติบโตเป็นเช่นไร?
เดี๋ยวนี้หนังมาเลย์เองได้ถูกนำไปฉายต่างประเทศมากขึ้น วงการหนังในมาเลย์ไม่ใหญ่เท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าเมื่อนำไปขายเมืองนอกแล้วมันจะเวิร์คหรือเปล่า ผมเคยไปโปรโมตหนังเรื่อง Gangster ที่นิวยอร์คและซานฟรานซิสโก ได้เสียงตอบรับดีทีเดียว ผมว่าหนังเรื่องอื่นๆทำมาก็หวังจะได้ไปฉายต่างประเทศ อย่างมีบริษัทหนึ่งที่ผู้รู้จักคือ Vikingdom ที่นำหนังมาเลย์ไปขายในต่างประเทศอยู่เหมือนกัน
7. คุณเคยบอกว่าหนังที่ดีต้องการทุนสร้างสูง ช่วยอธิบายหน่อยสิ
ถ้าบทดีก็สามารถขายได้ดีในประเทศ แต่ถ้าอยากไปไกลกว่านี้ มันต้องมีมากกว่านั้น คุณต้องรู้ว่าต่างชาติต้องการดูอะไร และแน่นอนคือการลงทุนสร้างที่ใช้ทุนสูง อย่างหนังแอคชั่นซึ่งต้องใช้ทุนมากกว่าปกติ 3 เท่า เพราะต้องทั้งเสี่ยง ใช้เวลาและต้นทุนทุกด้านมากกว่าปกติ แต่กลับหนังเรื่อง Syaitan ของผมนี่ถือว่าใช้ทุนน้อยที่สุดสำหรับผมเลยนะ
8. คุณว่ามีทางใดที่จะปลุกวงการหนังมาเลย์ให้กลับมาเฟื่องฟูอย่างสมัยของ พี รามลี บ้างหรือไม่?
(พี รามลี (P. Ramlee) นักแต่งเพลง นักดนตรี นักแสดง และผู้กำกับภาพยนตร์ชาวมาเลเซีย ซึ่งเป็นบุคคลอันเป็นที่รัก ของชาวมาเลเซียตลอดกาล รวมทั้งยังได้รับการยกย่อง จากรัฐบาล ให้เป็นรัฐบุรุษของชาติ)
มีอยู่ 2 วิธีครับ อย่างแรกคือกลับไปทำหนังที่มีเนื้อหาดีๆ กับอีกวิธีคือมีทีมการตลาดเก่งๆเพื่อมาขายหนังของเรา อย่างสมัยพี รามลี พวกเขามีโอกาสได้ร่วมมือกับชาวฮ่องกงและชาวอินเดีย ทำให้ตลาดกว้าง นี่เป็นสิ่งที่เราต้องการอยู่ตอนนี้ ซึ่งทางรัฐบาลเองก็พยายามที่จะฟื้นฟูมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกันครับ
9. ช่วยบอก 3 สิ่งที่คุณกลัวหน่อยสิ มีบ้างไหม?
ผมเป็นคนไม่กลัวอะไรเลย แต่มีอยู่อย่างที่กังวล คือเทคโนโลยี ซึ่งเป็นอะไรทีก้าวไปเร็วมาก แต่ผมเชื่อว่าหนังยังคงเป็นสิ่งที่มอบช่วงเวลาคุณภาพให้กับคนรุ่นใหม่และครอบครัวได้อยู่ และที่น่ากลัวที่สุดคือการพัฒนาของเทคโนโลยีนี่แหละ ซึ่งคาดเดาไม่ได้เลย อย่างยูทูปนี่ไวมาก