จุดเด่นภาพยนตร์
CHARLIE COUNTRYMAN (ชาร์ลี คันทรี่แมน) เป็นภาพยนตร์โรแมนติค-แอ็คชั่นที่มีเนื้อหาเข้มข้น และมีเรื่องราวความรักที่แหวกแนวน่าสนใจ เทียบชั้นได้กับภาพยนตร์ที่น่าจดจำหลากเรื่องอย่าง True Romance, Wild at Heart, Slumdog Millionaire, Trainspotting และ Pulp Fiction เป็นผลงานการแสดงที่น่าจับตามองที่สุดของ Shia LaBeouf (ไชอา ลาบัฟ) และเป็นผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซเรื่องแรกของผู้กำกับ Fredrik Bond (เฟร็ดดริค บอนด์) ที่หลายคนล้วนลงความเห็นว่ายอดเยี่ยม
เรื่องย่อ
ระหว่างเดินทางไปโรมาเนีย “ชาร์ลี คันทรีแมน” ได้ตกหลุมรัก “กาบี้” หญิงสาวสวยชาวโรมาเนีย ผู้ซึ่งหัวใจเย็นชา เธอมีบาดแผลลึกๆอยู่ในจิตใจจากการกระจำของไนเจล แฟนเก่าเจ้าเสน่ห์ ผู้โหดเหี้ยมและนิยมความรุนแรง ทำให้ความรักระหว่างชาลีและการ์บี้กลับกลายเป็นรักต้องห้ามไปโดยปริยาย ขณะที่ด้านมืดในอดีตของกาบี้เริ่มเข้ามาครอบงำตัวเอง ชาร์ลีก็มุ่งมั่นที่จะเอาชนะหัวใจของเธอให้ได้ ถึงแม้ต้องแลกด้วยความตายเขาก็ยอม
“ถ้าผมต้องตายเพื่อความรัก…มันก็คุ้มแล้ว” ชาร์ลีกล่าว.
เกี่ยวกับงานสร้าง
ผู้กำกับหน้าใหม่ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิง6 รางวัลดีจีเอ เฟร็ดดริค บอนด์ ได้สร้างภาพยนตร์ผจญภัยโรแมนติก ที่เต็มไปด้วยปริศนา เรื่องขบขัน ดราม่าและความตึงเครียดที่รุนแรง THE NECESSARY DEATH OF CHARLIE COUNTRYMAN ที่ทำให้นึกถึงภาพยนตร์ที่น่าจดจำอย่าง True Romance, Wild at Heart, Slumdog Millionaire, Trainspotting และ Pulp Fiction เป็นการเดินทางที่สนุกสนาน น่าตื่นเต้นและรวดเร็ว เกี่ยวกับความสูญเสียและความรักที่มีชัยเหนือทุกสิ่ง
บทภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนโดยแมทท์ เดรค ที่นำเค้าโครงเรื่องหลวมๆ มาจากประสบการณ์ในชีวิตจริงของเขาระหว่างสอนอยู่ในโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งในโรมาเนีย เดรคตั้งข้อสังเกตว่า…
“…ผมเฟลิร์ตกับแม่เด็กคนหนึ่งในโรงเรียน แต่หลังจากนั้นสองเดือน โรงเรียนนั้นกลับถูกตำรวจสั่งปิดชั่วคราว ภายหลังผมถึงรู้ว่าอดีตสามีของผู้หญิงคนนี้ใช้ปืนขู่จะพาตัวลูกเธอออกจากโรงเรียน เรื่องราวนี้ก็เกิดจากเหตุการณ์นี้เองว่าถ้าผมเกิดมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนี้ล่ะ…”
บทภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในแบล็คลิสต์ของปี 2007 และดึงดูดความสนใจของผู้กำกับระดับแนวหน้าของฮอลลีวู้ด บอนด์ตั้งข้อสังเกตว่าในตอนแรกที่เขาได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้…
“…มันถูกซื้อไปโดยผู้กำกับอีกคนหนึ่งแล้ว แต่ผมชอบมันมากจนผมเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของมัน จนกระทั่งวันหนึ่ง โอกาสก็เข้ามา จากนั้นผมก็ใช้เวลาหกเดือนนำเสนอโปรเจ็กต์นี้ครับ…”
เปิดใจนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง CHARLIE COUNTRYMAN
“เมลิสซ่า” ผู้รับบท “เคธ” พูดถึงมันว่าเป็น “…เรื่องราวพิเศษสุดเกี่ยวกับชายหนุ่มที่ค้นพบตัวเองและตกหลุมรัก ในแบบที่แปลกประหลาดและไม่ธรรมดา…”
“แมดส์ มิคเคลสัน” ผู้รับบท “ไนเจล” อดีตสามีของกาบี้ เล่าถึงตอนแรกที่เขาได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “…มันโรแมนติกสุดๆ แต่ในแบบที่พิเศษสุดมากๆ มันโหดเหี้ยม แต่ก็ตลกมากด้วย มันเป็นดรามาเข้มข้นครับ…”
ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นด้วยชาร์ลี (ลาบัฟ) ผู้สูญเสียแม่และจมอยู่ในห้วงทุกข์ “…เขาใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยปราศจากทิศทาง แต่จู่ๆ เขาก็ต้องสูญเสียทุกอย่างพร้อมๆ กัน ในตอนแรกที่เราได้พบเขา ชีวิตเขาวุ่นวายมาก หลังจากนั้น เขาก็คิดได้ และออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวเองและพบหนทางที่เขาเลือกเดินครับ…”ลาบัฟกล่าว
เรื่องราวของเราเริ่มต้นจริงๆ ในกรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย ชาร์ลีได้พบกับกาบี้ (อีวาน ราเชล วู้ด) ผู้เพิ่งสูญเสียพ่อไปเหมือนกัน มันเป็นรักแรกพบสำหรับชาร์ลี ผู้อยู่ในโลกที่เขาไม่รู้จัก และแปลกต่างกว่าที่เขาเคยคิดฝันมาก่อน กาบี้ หญิงสาวสวยลึกลับ ผู้มีอดีตเร้นลับ กลายเป็นสูตรแห่งความหายนะสำหรับชาร์ลี เพราะเธอทำให้เขาต้องขัดแย้งกับไนเจล (แมดส์ มิคเคลสัน) อันธพาลผู้ชื่นชอบความรุนแรง วู้ดพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็น “…เรื่องรักที่อ่อนโยนและนุ่มนวล แต่ก็ห้อมล้อมไปด้วยความบ้าคลั่ง…”
“ทิล ชไวเกอร์” ผู้รับบทเจ้าของไนท์คลับในท้องถิ่น ตั้งข้อสังเกตว่า “…มันเป็นเรื่องราวที่มืดหม่น แต่ก็น่าประทับใจและยกระดับจิตใจ เพราะมันเกี่ยวกับรักแท้…”
ลาบัฟพูดถึงชาร์ลีว่าเป็น “…เด็กที่ไล่ตามความฝัน เขากำลังไล่ไขว่คว้าความรัก ไม่มีอะไรในชีวิตเขาที่เป็นแก่นสารจนกระทั่งเขาได้พบกับกาบี้ ผู้ซึ่งเขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าคู่ควรที่เขาจะสู้เพื่อเธอ แม้ว่ามันจะหมายถึงการสละซึ่งทุกอย่างที่เขามีก็ตาม มันเซอร์เรียลอย่างเหลือเชื่อ แต่สำหรับชาร์ลี มันเป็นเรื่องจริงมากๆ และเขาก็ตัดสินใจทำตัวให้กล้าหาญ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายก็ตามที เขาใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และหลังจากรับบทนี้แล้ว มันก็ทำให้ผมตระหนักได้ว่า คุณสามารถพบคนแปลกหน้าที่เปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของคุณไปได้ทุกเมื่อ ความรักเป็นสิ่งที่คุ้มค่าต่อการสละทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมาครับ…”
“…ในหนังเรื่องนี้ ไชอามีพลังที่น่าทึ่ง เขาเข้ามาในกองถ่ายเหมือนกับเฮอร์ริเคน และพร้อมที่จะเนรมิตชีวิตให้กับตัวละครของเขาในทันที…” วู้ดเล่า
ดิ โอโนฟริโอ ผู้รับบทพ่อของชาร์ลี กล่าวว่า “…มีสีสันในตัวเขาที่เรายังไม่เคยเห็นมาก่อน..”
เมื่อพูดถึงการแสดงของลาบัฟ ลีโอเล่าว่าตอนที่เธอนำภาพถ่ายครอบครัวมาให้กับแผนกศิลป์ “…มันทำให้ฉันอึ้งเมื่อเห็นเขาศึกษาภาพถ่ายพวกนั้น พอเขาดูภาพถ่ายใบหนึ่ง เขาก็จะซึมซับทุกอย่างที่อยู่ในนั้น เขาสวมบทเป็นตัวละครของเขาจริงๆ มันเป็นภาพถ่ายก่อนที่ฉันจะเป็นแม่คน กำลังอุ้มหลานสาวอยู่ และเขาก็เก็บข้อมูลนั้นไว้ค่ะ…”
กาบี้ หญิงสาวที่ทำให้จิตใจของชาร์ลีปั่นป่วนเป็นตัวละครที่ลึกลับซับซ้อน และมีหลากหลายแง่มุมมากๆ มันเป็นเรื่องยากในการหานักแสดงที่เหมาะสมกับบทนี้และทำให้บทนี้สมจริงได้ ไชอาเล่าถึงกระบวนการคัดเลือกนักแสดงว่า “…อีวานเป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์ ผมจำได้ว่ามีหลายครั้ง ที่เด็กๆ ในท้องถิ่นจะมาหาเธอในกองถ่ายเพราะคิดว่าเธอเป็นคนท้องถิ่น เพราะสำเนียงเธอใช่น่ะครับ เธอมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติจริงๆ…”
บอนด์พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาร์ลีและกาบี้ว่าเหมือน “…การเล่นกับพลูโตเนียม ชาร์ลีหลงใหลในตัวกาบี้ ผู้ลึกลับและยากจะเข้าถึง แต่เมื่อไนเจลคอยอยู่ในเงามืด ชาร์ลีก็คิดไปไกล ผมมองเห็นความหลงใหลและความถูกตาต้องใจระหว่างชาร์ลีและกาบี้ว่าคล้ายกับใน Bound หนังของพี่น้องวาโชว์สกี้ กาบี้เป็นคนสวยและลึกลับ ในตอนแรก ชาร์ลีมองว่าเธอเป็นคนที่เกินเอื้อม จนกระทั่งเขาค่อยๆ กระเทาะเปลือกนอกของเธอออก และพบแง่มุมที่อ่อนโยนและขี้เล่นกว่าของเธอ…” บอนด์กล่าว
ไนเจลเป็นตัวป่วนสำหรับชาร์ลีเมื่อเขาพบว่าตัวเองอยู่ใจกลางของรักสามเส้านี้ ไนเจลเป็นอันธพาลผู้มีเสน่ห์ “คุณจะกลัวเขาและรักเขาในเวลาเดียวกันค่ะ เมื่อแมดส์มารับบทนี้ คุณจะรู้สึกแบบนั้นจากการมองครั้งเดียวที่จะทำให้คุณเสียวสันหลังวาบ เขาเพอร์เฟ็กต์สำหรับบทนี้เลยค่ะ” วู้ดกล่าว
ไชอาพูดถึงบทบาทที่แมดส์ได้รับว่าเป็น “…ผู้ร้ายที่นิ่งเงียบและควบคุมอารมณ์อย่างดี…”
เคร็ก ฟลอเรส ผู้อำนวยการสร้าง และแพทริค นีวอลล์ ผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่อง ร่วมกันกล่าวว่า
“…บางตอนของเรื่องก็อันตราย บางตอนก็ตลก หรืออบอุ่นหัวใจอย่างเหลือเชื่อ มันไม่ได้พยายามจะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มันเป็นหนังที่ผสมหลายๆ แนวเข้าด้วยกัน…”
วู้ดกล่าว “…มันมีพลังงานสูง เข้มข้น แต่ก็มีความวิเศษสุด เซอร์เรียล ผสมผสานด้วยช่วงเวลาขบขันครับ…”
อารมณ์ขันส่วนมากของเรื่องเกิดจากสถานการณ์ที่ชาร์ลี ที่มีพลังพลุ่งพล่านและฝีปากคมกริบ ทำให้เขาเจอปัญหา เขาไปเจอกับตัวละครทียิ่งใหญ่พวกนี้ ระหว่างที่เขาพยายามเอาชนะใจกาบี้ รูเพิร์ต กรินท์ รับบท เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งของชาร์ลีในโฮสเทล และพูดถึง คาร์ล ตัวละครของเขาว่า “….เป็นคนที่อยากเป็นดาราหนังโป๊ แต่ยังเวอร์จินอยู่…”
วู้ดเล่าว่า “…เฟร็ดดริคมีวิสัยทัศน์ที่วิเศษสุดและเขาก็สามารถยกระดับเรื่องราวนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ยกตัวอย่างเช่น มีอยู่ฉากหนึ่งระหว่างกาบี้และชาร์ลีที่ดูเหมือนจะขาดอะไรบางอย่าง แต่เฟร็ดดริคก็ทำให้เราทุกคนประหลาดใจด้วยการทิ้งภาพไว้กับช่วงเวลาที่เงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไร แต่ทุกสิ่งได้ถูกพูดออกมาแล้ว มันมีความตึงเครียดมหาศาลเลยค่ะ…”
ลาบัฟกล่าวว่า “การบรรยายในเรื่องเป็นเหมือนการอ่านบทกวี”
และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จบลงด้วยข้อคิดที่น่าพึงพอใจและสร้างแรงบันดาลใจ บอนด์ตั้งข้อสังเกตว่า
“ผมพบว่าผมชื่นชอบหนังที่คุณจะรู้สึกว่าพลังงานของมันยังคงอยู่หลังจากที่หน้าจอมืดลงไป ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวนี้ก็ลงเอยด้วยการเสียสละระหว่างความเป็นและความตาย…และคู่รักที่จะสานต่อเรื่องราวของพวกเขาต่อไปอย่างสงบสุข…”
เกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำ
“…ผมทำให้แน่ใจว่ามันจะมีจังหวะและท่วงทำนองสม่ำเสมอในเรื่อง…” บอนด์กล่าว เขากล่าวต่อไปอีกว่า “…ผมอยากให้หนังเรื่องนี้มีความเฉียบคมและความรวดเร็ว เราอยากให้กล้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ผู้กำกับภาพของเรา โรมัน วาสยานอฟ ผู้ถ่ายทำ Hipsters หนังฮิตรัสเซียจากปี 2008 และหนังภาพสวยอย่าง End of Watch ที่นำแสดงโดยเจค จิลเลนฮัล ช่วยเราผสมผสานความเข้มข้นและสีสันจัดจ้านพวกนี้เข้าไปในตัวละครที่มืดหม่นและซับซ้อน ภาพภูมิประเทศที่มีสีสันสดสวยภายในหนังเรื่องนี้ตัดกันดีกับสถาปัตยกรรมแบบยุโรปตะวันออก และเป็นส่วนสำคัญต่อประสบการณ์โดยรวมของเรื่องครับ…” บอนด์กล่าว
โลเกชั่นของเรื่องทั้งน่าทึ่ง งดงาม แต่ก็ยังคงความดิบเถื่อน หยาบกระด้างไว้ ลาบัฟกล่าวว่า “…โรมาเนียเป็นตัวละครที่มีชีวิต และลมหายใจเหมือนกับนิวยอร์ก ซิตี้ใน Taxi Driver ของสกอร์เซซีครับ…”
เกี่ยวกับดนตรีประกอบภาพยนตร์
ดนตรีในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ร้อยเรียงเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างพิเศษสุด คอมโพสเซอร์ คริสตอฟ เบ็คและเดดโมโน ได้สร้างสรรค์ดนตรีประกอบที่มีพลังล้นเหลือ ที่ช่วยยกระดับภาพยนตร์เรื่องนี้และช่วยส่งเสริมจังหวะที่รวดเร็วกระชับของเรื่อง เมื่อเพิ่มเพลงจากโมบี้, เอ็ม83 และเดอะ เอ็กซ์เอ็กซ์ เข้าไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีศักยภาพในการเป็นภาพยนตร์ยอดนิยมแห่งยุคแล้ว
ประวัตินักแสดง
Ä Shia LaBeouf (ไชอา ลาบัฟ ) รับบท Charlie Countryman (ชาร์ลี คันทรีแมน)
ไชอากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดของฮอลลีวูด พรสวรรค์และพลังงานของเขาทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในพระเอกชั้นนำของฮอลลีวูด
ล่าสุด เขาได้แสดงในภาพยนตร์ดราม่าอาชญากรรมเรื่อง Lawless ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในเวอร์จิเนีย ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ บอกเล่าเรื่องราวของแก๊งค้าเหล้าเถื่อน และเปิดตัวท่ามกลางเสียงตอบรับอย่างอบอุ่นในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
หลังจากนี้ ไชอาจะแสดงในภาพยนตร์ The Company You Keep ทริลเลอร์เกี่ยวกับอดีตนักเคลื่อนไหวจากเว็ธเธอร์ อันเดอร์กราวน์ ที่หนีจากนักข่าวที่ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวภายใต้เสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลามในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสและจะเข้าฉายในเดือนเมษายน ปี 2013 นอกจากนี้ เขายังได้แสดงใน The Necessary Death of Charlie Countryman อีกด้วย ลาบัฟได้แสดงใน Transformers: Dark of the Moon ซึ่งเป็นครั้งที่สามและครั้งสุดท้ายที่เขาจะรับบท แซม วิทวิคกี้ วีรบุรุษผู้กล้าของเรื่อง
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง Wall Street: Money Never Sleeps , Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull , Eagle Eye ,ทริลเลอร์ยอดนิยมเรื่อง Disturbia, ภาพยนตร์อนิเมชันที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง Surf’s Up, A Guide to Recognizing Your Saints ซึ่งได้รับรางวัล “ทีมนักแสดงยอดเยี่ยม” จากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์, ดราม่าดังโดยเอมิลิโอ เอสเตเวซเรื่อง Bobby, The Greatest Game Ever Played, I, Robot, Constantine, Charlie’s Angels: Full Throttle, ซีรีส์เอชบีโอ “Project Greenlight” เรื่อง The Battle of Shaker Heights และในปี 2003 เขาก็ได้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยคอเมดี้เรื่อง Holes
ในปี 2007 เขาได้รับการยกย่องให้เป็น “ดาราแห่งวันพรุ่งนี้” จากงานโชเวสต์ คอนเวนชั่น โดยสมาพันธ์เจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งชาติ และในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2008 เขาก็ได้รับรางวัลบาฟตา ออเรนจ์ ไรซิง สตาร์ อวอร์ด จากเสียงโหวตของสาธารณชนชาวอังกฤษ นอกเหนือจากนั้น เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลทีน ชอยส์ อวอร์ดจาก Transformers และได้รับรางวัลนักแสดงชายดาวรุ่ง, รางวัลทีน ชอยส์ อวอร์ดสาขานักแสดงชายในภาพยนตร์สยองขวัญ/ทริลเลอร์ จากการแสดงของเขาใน Disturbia รวมถึงรางวัลสครีม อวอร์ดอีกด้วย ในปี 2004 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลยัง อาร์ติสท์ อวอร์ดสาขา “นักแสดงนำรุ่นเยาว์ในภาพยนตร์” และ “การแสดงแจ้งเกิดของนักแสดงชายยอดเยี่ยม” จากเวทีเอ็มทีวี มูฟวี อวอร์ดจากการแสดงของเขาใน Holes
Ä Evan Rachel Wood (อีวาน ราเชล วู้ด) รับบท Gabi Ibanescu (กาบี้ อิบาเนสคู)
อีวานเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในรุ่นของเธอ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขา “นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในมินิซีรี่ส์หรือภาพยนตร์” จากบทเวด้า เพียร์ซในมินิซีรีส์เอชบีโอเรื่อง MILDRED PIERCE นอกจากนี้ เธอยังโด่งดังจากการแสดงทรงพลังของเธอใน THE WRESTLER วู้ด ผู้เป็นนักแสดงตั้งแต่อายุห้าขวบ แจ้งเกิดในปี 2003 ด้วยภาพยนตร์อินดีอื้อฉาวเรื่อง THIRTEEN (2003) ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมใน ดราม่ารวมถึงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีแซ็ก อวอร์ดอีกด้วย
เธอเป็นลูกสาวของซารา ลินน์ มัวร์ นักแสดงหญิง ผู้กำกับและโค้ชการแสดง และอิรา เดวิด วู้ดที่สาม นักแสดง นักร้อง ผู้กำกับและนักเขียนบทละครเวที ระหว่างยังเด็ก เธอได้มีส่วนร่วมในโรงละครท้องถิ่นที่ชื่อ เธียเตอร์ อิน เดอะ ปาร์ค ที่กำกับโดยพ่อของเธอ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้หวนคืนสู่เวทีนี้อีกครั้งในบทจูเลียต ในละครเรื่อง Romeo and Juliet ที่กำกับโดยอิรา เดวิด วู้ดที่สี่ พี่ชายของเธอ เธอเริ่มต้นทำงานในแวดวงบันเทิงในปี 1994 ด้วยการแสดงในภาพยนตร์ ซึ่งรวมถึง “In the Best of Families: Marriage, Pride & Madness,” “Search for Grace,” “A Father for Charlie” และ “Death in Small Doses” นอกจากนี้ เธอยังมีบทประจำในซีรีส์ “American Gothic” อีกด้วย
ในปี 1996 เธอกับแม่ได้ย้ายไปลอสแองเจลิส หลังจากได้แสดงนานหนึ่งซีซันในดรามาเรื่อง “Profiler” เธอก็ได้รับเลือกเป็นขาประจำซีรีส์รางวัลเรื่อง “Once and Again” ในปี 2002 เธอได้เปิดตัวในฐานะนักแสดงนำหญิงครั้งแรกใน Little Secrets
Ä Mads Mikkelsen (แมดส์ มิคเคลสัน) รับบท Nigel (ไนเจล)
แมดส์ มิคเคลสัน ชาวโคเปนเฮเกน ผู้เริ่มต้นทำงานเป็นนักยิมนาสติกและแดนเซอร์ ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องบนเวทีละคร จอแก้วและจอเงิน จนกลายเป็นดาราระดับแนวหน้าในเดนมาร์กและสแกนดิเนเวีย
เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ปี 2012 จากการแสดงใน The Hunt ในภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังจากที่เปิดตัวในเมืองคานส์แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เทลลูไรด์และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตอีกด้วย นอกเหนือจากนั้น การแสดงของมิคเคลสันยังทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลยูโรเปียน ฟิล์ม อวอร์ดเป็นครั้งที่สามในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมด้วย แม็กโนเลีย พิคเจอร์สจะนำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในฤดูใบไม้ผลิ ปี 2013
ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เขาจะเป็นที่รู้จักของผู้ชมอเมริกันในบท ‘ฮันนิบาล เล็คเตอร์’ ใน Hannibal ซีรีส์เอ็นบีซีที่ดัดแปลงจากนิยายโดยโธมัส แฮร์ริส ซีรีส์นี้จะนำแสดงโดยฮิวจ์ แดนซี ในบท ‘วิลล์ เกรแฮม’ นักโปรไฟล์อาชญากรที่ค้นหาฆาตกรต่อเนื่องผู้นี้ร่วมกับเอฟบีไอ และขอความช่วยเหลือจากดร.เล็คเตอร์ในเรื่องการไขคดี ไบรอัน ฟูลเลอร์ (Pushing Daisies) ผู้สร้างซีรีส์จะเป็นผู้เขียนบทและควบคุมงานสร้าง
มิคเคลสันเปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยการแสดงนำในภาพยนตร์ดรามาอาชญากรรมระหว่างชาติโดยผู้กำกับนิโคลัส วินดิ้ง เรฟน์ (Drive) เรื่อง Pusher ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ไตรภาในปี 1996 เขากลับมารับบทขี้ยาชั้นต่ำคนเดิมอีกครั้งในซีเควล With Blood On My Hands: Pusher 2 ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโรเบิร์ต แอนด์ โบดิลสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ในปี 2005 เขารับบทนักบวชผู้หลงผิดใน Adam’s Apple ที่เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวแทนของเดนมาร์กในการเข้าประกวดเวทีอคาเดมี อวอร์ดปี 2006 สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และการแสดงของเขาก็ทำให้เขาได้รับรางวัลซูลู อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในปี 2006 มิคเคลสันแสดงบท ‘เลอ ชิฟฟ์’ วายร้ายในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ปี 2006 เรื่อง Casino Royale ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักวิจารณ์และประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก นอกจากนั้น ในปีนั้น เขายังแสดงนำในภาพยนตร์โดยซูซานน์ เบียร์เรื่อง After the Wedding ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในปี 2007 ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม นอกเหนือจากนั้น เขายังได้แสดงในทริลเลอร์สวีดิชเรื่อง Exit ที่กำกับโดยปีเตอร์ ลินด์มาร์คอีกด้วย
ในปี 2008 เขาได้แสดงในดรามา/แอ็กชันสัญชาติเดนิชโดยผู้กำกับโอเล คริสเตียน แมดสันเรื่อง Flame & Citron เรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างที่นาซียึดครองเดนมาร์กระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
ในปี 2009 เขาได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับชาวเดนิช นิโคลัส วินดิ้ง เรฟน์ (Drive) อีกครั้งใน Valhalla Rising ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของกลุ่มชาวคริสเตียนที่เดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม ในค.ศ. 1000 ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 66
มิคเคลสันสำเร็จการศึกษาจากอาร์ฮัส เธียเตอร์ สคูล หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงละครเวทีหลายเรื่องรวมถึงบท ‘โรมิโอ’ ใน Romeo and Juliet ที่กำกับโดยลาร์ส คาลุนด์ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในซีรีส์ตำรวจเรื่อง Unit 1 ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลอินเตอร์เนชันแนล เอ็มมี อวอร์ดสาขาซีรีส์ดรามายอดเยี่ยม ในบรรดาผลงานภาพยนตร์ที่โด่งดังและหลากหลายของเขา มิคเคลสันเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงในภาพยนตร์โดยซูซานน์ บีเออร์เรื่อง Open Hearts ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโรเบิร์ต (อคาเดมี อวอร์ดของเดนมาร์ก) สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและรางวัลโบดิล (รางวัลนักวิจารณ์ของเดนมาร์ก) ในปี 203 และได้รับรางวัลซูลู อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 2002
Ä Til Schweiger ( ทิล ชไวเกอร์) รับบท Darko (ดาร์โก้)
ทิล ชไวเกอร์ ผู้เป็นทั้งนักแสดง ผู้อำนวยการสร้าง มือเขียนบทและผู้กำกับ เป็นผู้สร้างที่ประสบความสำเร็จสูงสุดและดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเยอรมนี
ผลงานเรื่องแรกของชไวเกอร์ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง และผู้กำกับ (แบบไร้เครดิต) เกิดขึ้นในปี 1997 ด้วย Knockin’ On Heaven’s Door ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงเป็นขวัญใจของผู้ชมทั่วโลก นอกจากนี้ เขายังได้กำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Der Eisbaer (The Polar Bear) ในปี 1998 อีกด้วย
ชไวเกอร์ได้รับรางวัลแบมบิ อวอร์ดจาก Barfuss (Barefoot)ในปี 2005 ซึ่งเขาเขียนบท กำกับและนำแสดง นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลแบมบิจากการแสดงนำใน Raumschif Surprise (Dreamship Surprise) เขาเป็นนักแสดงต่างชาติคนแรกที่ได้รับรางวัล “โปลิช ออสการ์” จากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติวอร์ซอว์ในปี 1996 จากการแสดงของเขาใน Bastard
Ä Rupert Grint (รูเพิร์ต กรินท์) รับบท Karl (คาร์ล)
รูเพิร์ตเป็นนักแสดงชาวอังกฤษ ผู้โด่งดังจากบทรอน วีสลีย์ หนึ่งในสามตัวละครเอกของแฟรนไชส์ Harry Potter กรินท์ได้รับเลือกให้แสดงบท รอน ตอนอายุได้ 11 ปี โดยก่อนหน้านี้ เขาเคยแสดงแต่ละครโรงเรียนและละครเวทีในท้องถิ่นเท่านั้น ระหว่างปี 2001-2011 เขาได้แสดงใน Harry Potter ทั้งแปดภาค ร่วมกับแดเนียล แรดคลิฟฟ์และเอ็มมา วัตสัน
ในเดือนกันยายน มีการประกาศว่ากรินท์จะพากย์เสียงในภาพยนตร์เรื่อง Postman Pat: The Movie- You Know You’re The One ที่สร้างจากโพสต์แมน แพท ร่วมกับเดวิด เทนเนนท์, สตีเฟน แมนแกนและจิม บรอดเบนท์ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีการวางแผนจะเข้าฉายในระบบ 3D ในฤดูใบไม้ผลิปี 2013 ในผลงานเรื่องถัดไปของเขา รูเพิร์ตจะรับบท เอ็ดดี้ ‘เดอะ อีเกิล’ เอ็ดเวิร์ดในภาพยนตร์ชีวประวัติเกี่ยวกับความล้มเหลวของเขาในการแข่งขันโอลิมปิคฤดูหนาวปี 1988 นอกจากนี้ เขายังได้แสดงมิวสิค วิดีโอเพลง Lego House โดยเอ็ด ชีรานอีกด้วย มิวสิคเพลงนี้แพร่ภาพในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 2011 รูเพิร์ตได้รับรางวัล 2011 เรดิโอ วัน ทีน อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ประวัติผู้กำกับภาพยนตร์
Ä Fredrik Bond (เฟร็ดดริค บอนด์) ผู้กำกับภาพยนตร์
เฟร็ดดริค บอนด์มาจากสต็อคโฮล์ม ประเทศสวีเดน เขาย้ายไปลอนดอนในปลายยุค 90s หลังจากที่หมกมุ่นกับภาพยนตร์อเมริกันจากปลายยุค 70s และต้น 80s และโฆษณาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก ในปี 1999 มิวสิค วิดีโอสำหรับอัลบัม “Bodyrock” ของโมบี้ เพลย์ ทำให้เริ่มต้นการทำงานในลอนดอน ในเวลากว่าสิบปี เขาได้สร้างโฆษณารางวัลให้กับลีวายส์, ไนกี้ และอาดิดาส ในปี 2004 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาเป็นครั้งแรก โฆษณา “Entrance” และ “Date” ที่เขาทำให้กับไฮเนเก้น ได้รับรางวัลโกลด์ ไลออนส์สาขากำกับยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในเวทีคานส์ปี 2011 และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับครั้งที่สี ในปี 2012 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาอีกสองรางวัลจากการกำกับโฆษณา “Surfer” ของพูมา และ “Eternal Optimism” ของบัดไวเซอร์ ด้านภาพยนตร์ เขาได้พัฒนาโปรเจ็กต์กับวอร์เนอร์บรอส. และสำหรับยูนิเวอร์แซล The Necessary Death of Charlie Countryman เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา เขาใช้ชีวิตอยู่ในเวนิส, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยาผู้อดทนมากๆ และลูกสองคนที่อดทนยิ่งกว่าของเขา