“HER รักดังฟังชัด”
โรแมนติกฟีลกู๊ดที่ถูกจับตามองมากที่สุด กวาดรางวัลจากทุกสถาบันมาแล้วกว่า 30 รางวัล
ชนะบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก เวทีลูกโลกทองคำ เข้าชิงบนเวทีรางวัลออสการ์ถึง 5 สาขา
เรื่องย่อ
เรื่องราวในอนาคตอันใกล้ที่เกิดขึ้นในมหานครลอส แองเจิลลิส “Her” เล่าเรื่องราวของธีโอดอร์(วาคิน ฟินิกซ์) ชายหนุ่มผู้เขียนจดหมายเป็นอาชีพ ซึ่งทำให้เขาเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนไหวและเต็มไปด้วยความซับซ้อน หลังจากหย่าร้างกับภรรยาและต้องทุกข์ทนกับอาการใจสลาย ธีโอดอร์ก็ได้พบกับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างเขาและซาแมนธา (สการ์เลต โจแฮนสัน) ด้วยความสดใสในน้ำเสียงและอารมณ์ขันของเธอ มิตรภาพที่เติบโตเป็นความรักรูปแบบใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
Her คือผลงานการเขียนบทและกำกับเรื่องล่าสุดจากผู้กำกับผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สไปค์ จอนซ์ นำแสดงโดยนักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ วาคิน ฟินิกซ์ (“The Master,” “Walk the Line,” “Gladiator”), นักแสดงสาวผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ เอมี่ อดัมส์ (“The Master,” “Doubt”) นักแสดงสาวผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ รูนีย์ มารา (“The Girl With the Dragon Tattoo”) โอลิเวีย ไวลด์ และ สการ์เส็ต โจแฮนสัน
เกี่ยวกับภาพยนตร์
ธีโอดอร์
มันถือเป็นเรื่องดีที่มีคนที่รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆรอบตัวอยู่ใกล้ๆ
ผมแทบจะลืมความรู้สึกนี้ไปแล้ว
ผู้เขียนบทและผู้กำกับ สไปค์ จอนซ์ได้ใช้สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาในการถ่ายทอดเรื่องราวความรักในยุคใหม่ในภาพยนตร์เรื่อง Her
“หนึ่งในแง่มุมที่ยากที่สุดของความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็คือการมีความซื่อสัตย์ต่อกัน ความใกล้ชิด และการยอมให้คนที่คุณรักสามารถคงความเป็นตัวตนของตัวเองไว้” เขากล่าว “เราทุกคนเติบโตขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญก็คือ เราจะสามารถเปิดโอกาสให้เขาได้มีอิสระในความเป็นตัวเองได้อย่างไร ในวันแต่ละวัน จากวินาทีหนึ่งสู่วินาทีหนึ่ง ปีแล้วปีเล่า คนๆนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และเรายังจะสามารถรักเขาได้เหมือนเดิมมั้ย”
และที่สำคัญยิ่งกว่า เขาจะยังรักคุณอยู่มั้ย?
นี่คือคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นหลังจากที่ธีโอดอร์ได้คอมพิวเตอร์ที่มีระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่กลับมาที่บ้าน และทำให้เขาได้พบกับ ..ซาแมนธา
“มันถูกโฆษณาว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่รับฟัง และเข้าใจคุณ” จอนซ์กล่าว
ในฐานะที่เป็นระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ ซาแมนธาได้แสดงให้เห็นถึงความเข้าอกเข้าใจและความอบอุ่น ในเวลาไม่นานเธอได้เผยให้เห็นถึงอารมณ์ขัน ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ และอารมณ์ความรู้สึกในตัวเธอที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ความมสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้น จอนซ์เล่าว่า “ พวกเขาพัฒนาจากการเป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวก กลายเป็นเพื่อนที่ไว้ใจกัน และพัฒนาไปในขั้นที่มากขึ้นกว่านั้น”
Her คือผลงานการฉายเดี่ยวเขียนบทด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกของ จอนซ์ ซึ่งทำให้เขาสามารถที่จะลงลึกถึงรายละเอียดธรรมชาติความรักของมนุษย์ทื่ทุกคนต่างก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ร่วมกัน โดยได้เพิ่มไอเดียวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายคนหนึ่งกับระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือเป็นสไตล์ภาพยนตร์ที่แฟนๆของจอนซ์ต่างก็คุ้นเคยกันดี ผลงานหลายเรื่องของเขามักจะผสมผสานเรื่องของเทคโนโลยี และความแปลกใหม่ เห็นได้จากการกำกับมิวสิควิดีโอ สารคดี และภาพยนตร์สุดโด่งดังอย่าง “Being John Malkovich” “Adaptation.” และ “Where the Wild Things Are” เป็นต้น
วาคิน ฟินิกซ์ ผู้รับบทธีโอดอร์กล่าวถึงภาพยนตร์เรื่อง Her ว่า “น่าตกตะลึง” เขาเล่าต่อว่า “ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาส สไปค์และผมมักจะพูดคุยกับเกี่ยวกับบทและตัวละคร มันยอดเยี่ยมมากครับที่เราได้ร่วมพัฒนารายละเอียดเหล่านี้ไปพร้อมๆกัน”
“ผมเชื่อในสัญชาตญาณของเขา ถ้าเขารู้สึกไม่มั่นใจตรงไหน เขารู้ว่าเราจะต้องคิดให้มากขึ้น” ผู้กำกับจอนซ์หล่าวถึงการที่เขาติดต่อฟินิกซ์ทันทีหลังจากที่เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จในเวล่าไม่ถึงอาทิตย์ “แค่ 5 นาทีที่ผมได้พูดคุยกับเขา ผมคิดในใจว่า ‘ผมชอบผู้ชายคนนี้ ผมอยากให้เขาแสดงในหนังเรื่องนี้ให้ได้’ วาคินสามารถสื่อในเห็นถึงจิตใจของตัวละครตัวนี้แม้ธีโอดอร์จะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่เขาก็มีความรู้สึกยินดี มีชีวิตชีวาอยู่ในตัว มันเป็นความแตกต่างที่แสดงถึงความอ่อนไหว ซึ่งวาคินจะสามารถแสดงให้เห็นถึงจุดนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน”
สการ์เล็ต โจแฮนสัน รับบท ซาแมนธา ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ ที่มีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างและเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงธีโอดอร์ “แม้ว่าจะเป็นจะสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับทุกเรื่องในโลกนี้ได้ แต่เธอเลือกที่จะเปิดใจเรียนรู้ทุกอย่างในมุมมองที่บริสุทธ์” โจแฮนสันกล่าว
หลังจากที่ซาแมนธาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับตัวตนของธีโอดอร์ เขาเริ่มที่จะพยาซาแมนธาออกไปท่องโลก เพื่อเห็นสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเมทอง ภูเขา ทะเล และนำเธอไปรู้จักกับกิจวัตรในชีวิตประจำวันของเขา สิ่งเหล่านี้ทำให้ธีโอดอร์เริ่มที่จะมองเห็นตัวเองต่างออกไปจากเดิม จุดนี้เองที่ผู้กำกับเชื่อว่ามันจะถือเป็นจุดเริ่มต้นของความโรแมนติคที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ “คุณทำให้อีกฝ่ายได้เห็นมุมมองที่แตกต่างออกไปในการมองสิ่งต่างๆ ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญของการตกหลุมรัก การได้อยู่เคียงข้างคนที่สร้างแรงบันดาลใจและสร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณจนทำให้ตัวคุณได้พบแง่มุมที่แปลกใหม่” เขากล่าว
“Her” ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์รักโรแมนติกทั่วๆไป แต่มันเริ่มต้นจากการการแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาแห่งความทุกข์ไปจนถึงห้วงเวลาแห่งความสุขและการได้สะท้อนกลับมามองตัวตนของตัวเองของตัวละครในภาพยนตร์
ฟินิกซ์และโจแฮนสันสองนักแสดงหลัก ร่วมกับผู้กำกับ จอนซ์ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากกับความท้าทายในการแสดงถึงตัวตนของซาแมนธา ที่ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้ยินเพียงแค่เสียงของเธอเท่านั้น “มีหลายแง่มุมในตัวซาแมนธา” จอนซ์กล่าว “ แม้ว่าเธอจะไม่มีมารยา แต่ก็มีความฉลาดอยู่ในตัว นอกจากนี้ยังมีความเซ็กซี่ท มีเสน่ห์ ร่วมทั้งยังมีพัฒนาการด้านอารมณ์ไม่แตกต่างจากมนุษย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดออกมาด้วยน้ำเสียงของสการ์เล็ต”
โจแฮนสันเล่าถึงการถ่ายทำว่า “มันเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บางครั้งวาคินและฉันก็มาอัดเสียงร่วมกัน แต่บางครั้งฉันก็ทำมันกับสไปค์ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือความเป็นตัวตนของตัวละคร ที่จะต้องทำออกมาให้คงเดิมให้ได้ดีที่สุด”
“ทุกฝ่ายๆที่มีส่วนร่วมในการถ่ายทำ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำทุกอย่างออกมาให้สมจริงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด” ฟินิกซ์กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรยากาศในการถ่ายทำ “การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เหมือนกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบท การทำงานร่วมกับสการ์เล็ต ไปจนถึงความรู้สึกในกองถ่าย มันถือเป็นประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์มากครับ”
ไอเดียของภาพยนตร์เรื่อง “Her” อยู่ในหัวสมองของจอนซ์มานานนับสิบปี “แรงบันดาลใจของผม เริ่มต้นขึ้นจากการที่ได้อ่านบทความเมื่อ 10 ปีก่อน เกี่ยวกับระบบโต้ตอบข้อความกับคอมพิวเตอร์ ผมได้ทดลองทำมันและพิมพ์ไปว่า ‘สวัสดี’ มันตอบกลับมาว่า ‘สวัสดี’ ‘สบายดีมั้ย’ ‘สบายดี แล้วคุณล่ะ’ ข้อความโต้ตอบเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ ผมคุยกับมัน และมันตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมพูด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่โปรแกรมหนึ่งเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นจริงๆครับ หลังจากนั้นมันทำให้ผมได้แนวคิดเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกนึกคิด ซึ่งผมได้พัฒนาให้กลายเป็นภาพยนตร์รักเรื่องนี้”
เมื่อเริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์ จอนซ์ได้ตัดสินใจที่จะร่วมพัฒนาไอเดียกับโปรดิวเซอร์ที่เคยร่วมงานกับเขามาแล้วอย่าง วินเซนต์ ลันเดย์ และ เมแกน เอลิสันผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ “เมเกนเป็นคนที่น่าประทับใจมากครับ เธอมีไอเดียที่ชัดเจน และมีวิสัยทัศน์ในการบริหารงานที่ให้ความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง เธอทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยมและพิเศษมาก”
เอลิสันกล่าวว่า “การทำงานร่วมกับสไปค์ถือเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า เขาเป็นผู้กำกับที่มีความเข้าใจและเป็นอัจฉริยะ เขามีความลึกซึ้งในเรื่องของความคิดและอารมณ์ เป็นคนที่ยอดเยี่ยมทั้งในแง่ของความเป็นตัวเขาและในผลงานที่เขาทำ สไปค์มักจะทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจได้อยู่เสมอค่ะ”
การทำงานในโปรเจคภาพยนตร์เรื่อง “Her” ทำให้สไปค์ จอนซ์ได้พบกับบรรดาทีมงานมากฝีมือมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบงานสร้าง เค เค บาร์เร็ต นักตัดต่อ เอริค ซัมบรูนเนน และ นักออกแบบเครื่องแต่งกาย เคซีย์ สตอร์ม นอกจากนี้ยังถือเป็นการทำงานร่วมกันครั้งแรกระหว่างจอนซ์และนักถ่ายทำฝีมือดีอย่าง ฮอยต์ แวน ฮอยเทมา ผู้ซึ่งจอนซ์กล่าวถึงว่า “สิ่งที่ผมรู้สึกชื่นชมอย่างมากในตัวของเขาก็คือความละเอียดอ่อนในวิธีการทำงานของเขา ด้วยความรู้สึกต่างๆที่ผมต้องการจะถ่ายทอดออกมาในภาพยนตร์เรื่องนี้ ฮอยต์สามารถทำมันออกมาได้อย่างละมุนละไมและเปี่ยมไปด้วยความเป็นศิลปิน”
“เรามีแนวคิดมากมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีและโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งบางครั้งทำให้มนุษย์รู้สึกโดดเดี่ยว รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงไปของสังคมที่มนุษย์อัยอยู่” จอนซ์กล่าว “ในระหว่างการเขียนบทภาพยนตร์ของผม ผมมักจะใส่เรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นเหมือนกับฉากหลังของภาพยนตร์ จุดที่ผู้ชมจะได้เห็นจริงๆมักจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างธีโอดอร์และซาแมนธา ทุกๆฉากของพวกเขาทั้งคู่ จะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในฐานะของคู่รัก เราพยายามที่จะมองพวกเขาในฐานะของคนสองคนที่มีความรักและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งจะเผยให้เห็นแง่มุมที่หลากหลายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“ผมอยากจะเล่าถึงประเด็นเรื่องของความปรารถนาและความกลัวของมนุษย์ การตัดสินใจและความคาดหวังที่เรามีเมื่อเริ่มต้นความสัมพันธ์ สิ่งที่เราพยายามที่จะไม่ยอมรับ สิ่งที่เราแสร้งทำเหมือนว่าเราไม่ต้องการ ความรู้สึกที่เราอยากจะมีความสัมพันธ์กับคนอีกคน แต่ในที่สุดมันกลับล้มเหลว เราอยากให้คนอื่นเข้าใจและรู้จักเรา แต่ในขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกกลัวที่จะยอมให้ใครมารู้จักตัวตนของเราจริงๆ”
“ซาแมนธาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีการพัฒนา” เขากล่าว “และเมื่อเธอเริ่มต้นทำงาน มันก็เหมือนกับมนุษย์ที่ต้องใช้ชีวิต เราไม่รู้เลยว่าสิ่งต่างๆจะนำพาเราไปสู้จุดไหนและเราจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบไหน เมื่อคุณรักใครซักคน นั่นคือราคาของความเสี่ยงที่คุณต้องยอมจ่าย”
เกี่ยวกับนักแสดงและตัวละคร
ธีโอดอร์:
การได้แชร์ชีวิตของเราร่วมกับคนอีกคนหนึ่ง
ถือเป็นความรู้สึกดีๆ
ซาแมนธา:
การแบ่งปันชีวิตร่วมกับคนอีกคนมันเป็นอย่างไรเหรอ
ความท้าทายในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวความรักที่ผู้ชมสามารถที่จะเห็นฝ่ายหนึ่งในความสัมพันธ์ได้เท่านั้น “มันมีทางเดียวท่านั้นที่เราจะสามารถทำมันได้ ซึ่งก็คือการต้องพึ่งพาความสามารถของวาคินและสการ์เล็ต การแสดงของทั้งคู่จะสื่อให้เห็นถือความเชื่อมโยงระหว่างธีโอดอร์และซาแมนธาที่จะทำให้ผู้ชมสามารถรู้สึกร่วมกันไปด้วยได้” จอนซ์กล่าว
“เราใช้กล้องจับภาพใบหน้าของวาคินในระหว่างที่เขาฟังเสียงของซาแมนธา และแสดงให้เห็นถึงความรักของเขาที่มีต่อเธอซึ่งสื่ออกมาบนใบหน้า สำหรับผมมันถือเป็นแง่มุมที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้”จอนซ์กล่าวต่อ “ เขาไม่ได้แค่แสดงให้เราเห็นถึงความรู้สึกในตัวละครของเขาออกมาเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งอารมณ์ให้แก่สการ์เล็ตได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย”
อีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ ซาแมนธา ซึ่งพากย์เสียงโดยนักแสดงสาว สการ์เล็ต โจแฮนสัน ด้วยเสียงของเธอเพียงอย่างเดียว สการ์เล็ตจะต้องสื่อให้ผู้มได้รู้สึกถึงอารมณ์ความรัก ความสุข ความหสัง ความสับสน ความกังวลของตัวละครออกมาให้ได้
โจแฮนสันเล่าว่า “สำหรับฉันมันให้ความรู้สึกทีเป็นอิสระมากค่ะ กับการที่เราจะต้องถ่ายทอดความเป็นตัวละครออกมา โดยไม่มีข้อจำกัดหรือความคาดหวังในทางกายภาพ”
นอกจากจะถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์สุดโรแมนติกระหว่างธีโอดอร์และซาแมนธาแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำพาผู้ชมไปพบกับชีวิตหลังการอย่าร้างของธีโอดอร์กับแคทเธอรีนอีกด้วย บทบาทอดีตภรรยาผู้นี้ รับบทโดย นักแสดงสาว รูนีย์ มารา “สไปค์คิดว่าบางทีฉันอาจจะดูเด็กเกินไปสำหรับการรับบทแคทเธอรีน แต่ฉันก็ทำมันออกมาได้ในที่สุด” มารากล่าว “มันเป็นเรื่องราวที่แสนจะทรงพลัง และก่อให้เกิดคำถามที่น่าสนใจมากมาย ไม่ใช่แค่ในเรื่องของความสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวตนของมนุษย์อีกด้วย ฉันหลงรักภาพยนตร์เรื่องนี้และอย่างจะเป็นส่วนหนึ่งของมันค่ะ “
หลังจากการหย่าร้าง ธีโอดอร์ยังคงรู้สึกหลอกลอนจากความทรงจำที่เขาเคยมีร่วมกับอดีตภรรยา
“มีฉากการย้อนรำลึกความทรงจำหลายฉาก ซึ่งจะถ่ายทอดให้เห็นถึงช่วยเวลาที่สำคัญซึ่งธีโอดอร์มีความทรงจำร่วมกับแคทเธอรีน ซึ่งผู้ชมจะได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่ทั้งคู่เคยมีร่วมกับและรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น” มารากล่าว
ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตของธีโอดอร์ก็คือ เพื่อนรักของเขาอย่าง เอมี่ รับบทโดน เอมี่ อดัมส์ หญิงสาวซึ่งประสบปัญหาด้านชีวิตแต่งงานของเธออยู่เช่นกัน “ตัวละครเอมี่ได้ก้าวมาถึงจุดหนึ่งในชีวิตแต่งงานที่เธอพยายามอย่างมากที่จะรักษาความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย และต้องฝืนความเป็นตัวเอง ซึ่งเหล่านี้สร้างความเครียดและความกดดันให้กับเธอเป็นอย่างมาก” อดัมส์อธิบาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเอมี่และธีโอดอร์กับสิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกัน นั่นก็คือการที่พวกเขาพยายามที่จำทำในบางสิ่งบางอย่างแต่ในท้ายที่สุด สิ่งเหล่านั้นกลับไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้
“มันเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์มากค่ะ กับการได้ทำความเข้าใจถึงมิตรภาพระหว่างผู้หญิงและผู้ชายแบบที่บริสุทธิ์ใจ เอมี่อยากที่จะช่วยเหลือธีโอดอร์ด้วยวิธีที่นุ่มนวลที่สุด เพราะเธอเข้าใจถึงบาดแผลในตัวที่เขามี”
“สไปค์เป็นคนที่สนใจในผู้คน เขาสนใจในมุมมองของผู้หญิง และสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงเกิดความรู้สึกอ่อนไหว ซึ่งทำให้เขาสร้างตัวละครอย่าง เอมี่ แคทเธอรีนและซาแมนธาออกมา” อดัมส์กล่าว “เขาใช้เวลามากมายในการช่วยเหลือพวกเราให้เข้าใจตัวละครเหล่านี้และความเชื่อมโยงที่พวกเธอมีกับธีโอดอร์ ฉันเชื่อว่าทุกคนที่ได้ชมภาพยนตร์จะค้นพบส่วนหนึ่งของตัวเองในตัวละครในเรื่อง ซึ่งจะสะท้อนให้พวกเขาได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นค่ะ”
อีกหนึ่งนักแสดงที่ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ โอลิเวีย ไวลด์ ผู้ซึ่งรับบทเป็นหญิงสาวที่จะมาออกเดทกับธีโอดอร์ในฉากที่น่าจดจำ ดูเผินๆการเดทครั้งนี้ทำท่าว่าจะเป็นไปได้สวยและไร้ที่ติ แต่ในอีกด้านหนึ่ง “เธอทำมันสำเร็จและก็ทำลายมันด้วยตัวเธอเอง” ไวลด์กล่าว “ เธอกลัวการผู้มัด กลัวความล้มเหลวที่ผ่านมาของตัวเองและกังวลต่ออนาคต อันที่จริงแล้วเธอมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายธีโอดอร์ ทั้งคู่ต่างรู้สึกสิ้นหวัง ซึ่งถือเป็นอะไรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับซาแมนธาค่ะ”
ก่อนที่จะเริ่มต้นการถ่ายทำ ไวลด์ตั้งใจที่จะไม่พบกับฟินิกซ์ก่อนที่จะเข้าฉาก “สไปค์อยากจะให้พวกเราไม่เคยพบปะกันมาก่อน เพื่อคงความรู้สึกประหม่าและอึดอัดไว้ให้หมือนกับเป็นการออกเดทครั้งแรก มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและสนุกดีค่ะ” นักแสดงสาวกล่าว
นักแสดงสมทบคนอื่นๆในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แก่ คริส แพรตต์ รับบทเพื่อนร่วมงานของธีโอดอร์ และ แมตต์ เลทสเชอร์ รับบท สามีของเอมี่
การสร้างเมืองลอส แองเจิลลิสในฝัน
ธีโอดอร์:
เฮ้! อยากลองไปผจญภัยในวันอาทิตย์นี้หน่อยมั้ย?
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองลอส แองเจิลลิส ซึ่งจะทำให้ผู้ชมรู้สึกคุ้นเคยกับบรรยากาศเพื่อสัมผะสได้ถึงความสมจริง และในขณะเดียวกันก็มีความเฉพาะตัวเป็นอย่างมากจนสามารถที่จะสร้างความแตกต่างออกมาได้
จอนซ์เล่าว่า “ เราไม่ได้กำหนดลงไปแน่ชัดครับว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราตกลงกันก่อนหน้านี้แล้ว่าจะไม่มาสนใจมากนักว่าภาพในอนาคตจริงๆนั้นควรจะออกมาเป็นอย่างไร เราอยากที่จะให้ความสำคัญกับโลกในอนาคตที่ใช่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้มากกว่า”
สิ่งที่เขาตัดสินใจที่จะเนรมิตออกมาก็คือ “ บรรยากาศของโลกในอุดมคติ ที่ซึ่งมีอากาศดี อาหารอร่อย ทุกสิ่งทุกอย่างทุกสร้างออกมาอย่างประณีตใส่ใจในคุณภาพ มันคือสถานที่ที่งดงามและอบอุ่นในการอาศัยอยู่ ที่แห่งนั้น เทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาและอำนวยความสะดวกให้แก่เราได้ดียิ่งขึ้น”
“ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างแลดูสะอาดและเต็มไปด้วยสีสัน ” เขากล่าวเพิ่มเติม “สำหรับผม มันกลายเป็นสถานที่ที่อาจก่อให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกตัดขาดได้ง่าย ซึ่งนั่นเป็ฯจุดเริ่มต้นของเรื่องราวชีวิตของธีโอดอร์ในภาพยนตร์”
ผู้อำนวยการสร้าง วินเซนต์ แลนเดย์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการทำงานในขั้นตอนก่อนที่จะเริ่มการถ่ายทำว่า “ในขณะที่สไปค์กำลังเขียนบท เรามีทีมนักวิจัยจากทั่วโลก ที่จะดึงเอาภาพสถาปัตยกรรมซึ่งสื่อถึงความรู้สึกของโลกอนาคตมาทำงานให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้” เขากล่าว “เมื่อบทภาพยนตร์ในร่างแรกเสร็จ เราได้พิจารณารูปภาพสถาปัตยกรรมต่างๆนับร้อยรูป เพื่อให้นักออกแบบงานสร้างของเราอย่าง เค เค แบร์เร็ตต์นำไปประยุกต์ในการทำงาน”
แบร์เร็ตได้พูดถึงการทำงานของเขาว่า “ผมอยากจะทำให้มันเป็นโลกในอนาคตที่เราสัมผัสได้และสามารถจินตนาการถึงมันได้ ผมลองคิดดูว่าในเมื่อเราก็อยู่ที่แอลเออยู่แล้ว ดังนั้นก็แค่เอารถออกไป ‘มันจะเป็นยังไงนะ ถ้ามีรถไฟใต้ดินไปถึงชายหาดเลย จากฮอลลิวู้ดสู่หาดทราย’”
แอลเอที่ไม่มีรถ? แนวคิดนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่เตรียมงานออกมา โชคดีที่ทีมงานสร้างได้ค้นพบสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเซี่ยงไฮ้
“สิ่งก่อสร้างต่างๆในเมืองพูดงส่วนใหญ่ ถูกสร้างออกมาเมื่อสิบปีก่อนเท่านั้น” จอนซ์เล่าถึงประสบการณ์ในการตามหาสถานที่ที่ใช่สำหรับเขา ก่อนที่จะค้นพบในท้ายที่สุด “มันมีตึกสูงระฟ้า ถนนที่ตรงและกว้าง ทุกๆอย่างดูสะอาดตาและใหม่เอี่ยม มันถือเป็นองค์ประกอบที่น่าทึ่งมากครับสำหรับโปรเจคนี้ “
การผสมผสานระหว่างเมืองในประเทศจีนและแอลเอถือเป็นงานสำคัญของฝ่ายดิจิตัล แต่อย่างไรก็ตาม จอนซ์ได้อธิบายว่าภาพยนตร์เรื่องพยายามที่จะไม่พึ่งการใช้เทคนิคพิเศษมากนัก เราแค่เพิ่มตึกเข้าไปและลบป้ายต่างๆ”
ยิ่งไปกว่านั้นทีมงานยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้สถานที่จริงในการถ่ายทำให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้อำนวยการสร้างแลนเดย์กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศให้กับนักแสดง เราหาอพาร์ตเมนต์และออฟฟิศจริงๆที่ถูกปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการของผู้กำกับ มากกว่าที่จะใช้วิชวลเอฟเฟคต์ เราพยายามมองหาตึกหรือห้องที่มีแสงสาดส่องถึง รายละเอียดเล็กน้อยๆเหล่านี้ถือเป็นความท้าทายอย่างมากครับ”
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ใช้แลนด์มาร์คหลายๆแห่งของแอลเอเข้ามาเป็นองค์ประกอบในเรื่องด้วย ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ธีโอดอร์และซาแมนธาได้ออกไปท่องเมืองด้วยกันในสถานที่ต่างๆ รวมทั้งฉากทางเข้าอพาร์ทเมนต์ของธีโอดอร์ที่มีการถ่ายทำ ณ ศูนย์การออกแบบแห่งแปซิฟิก
ในทุกๆรายละเอียด ทุกๆสถานที่ ทีมงานได้ใส่ใจในความเป็นศิลปะเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากก็คือเรื่องของการตกแต่ง อพาร์ทเมนต์ของธีโอดอร์ถูกตกแต่งออกมาในสไตล์ที่เรียบง่าย ด้วยอุปกรณ์ที่ดูธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือที่เขาใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับซาแมนธา “ผมชอบการออกแบบสิ่งของในช่วงปี 1940 เช่น สมุดเล่มเล็กๆที่ทำจากหนัง หรือไฟแช็ค zippo มันเป็นดีไซน์ที่เรียบง่ายและไม่มีวันล้าสมัย ดังนั้นผมจึงเลือกใช้สไตล์เหล่านี้มาปรับใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มากกว่าที่จะทำมันออกมาให้เป็นโลกที่มีแต่คอมพิวเตอร์ “
เขายังกล่าวต่ออีกว่า “ผมมักจะมีคำจัดกัดความหนึ่งคำเพื่ออธิบายเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องที่ผมทำงานอยู สำหรับเรื่องนี้มันคือ ‘สีแดง’ เราใช้สีแดงเยอะมากครับในโปรเจคนี้”
คอนเซ็ปในการใช้สีแดงนั้นถูกส่งต่อไปยังทีมออกแบบเครื่องแต่งกาย ซึ่งนำโดย เคซีย์ สตอร์ม “เราคิดว่าโลกในอนาคตน่าจะเต็มไปด้วยสีสันครับ ออฟฟิศของธีโอดอร์จะเต็มไปด้วยสีต่างๆและกระจกสี”
เช่นเดียวกับแบร์เร็ต สตอร์มพยายามที่จะใช้ผลงานการดีไซน์ของเขา สื่อถึงความรู้สึกของโลกในอนาคต เขาและจอนซ์เริ่มต้นจากการค้นคว้าข้อมูลงานดีไซน์มากมาย จนสามารถทำความเข้าใจถึงธรรมชาติในวัฏจักรของงานดีไซน์ได้ “เราตัดสินใจที่จะย้อนกลับไปสู่อดีตครับ เป็นการผสมผสานสไตล์จากในยุคต่างๆและนำมันมารวมกันเป็นสไตล์แบบใหม่”
กางเกงเอวสูงของผู้ชายถือเป็นการประยุกต์เอาสไตล์การแต่งตัวของผู้หญิงในยุคก่อนๆให้กลายมาเป็นแฟชั่นในแบบของผู้ชาย “ลองย้อนกลับไปดูในปี 1920 1930 1940 สิครับ เราจะเห็นได้ว่าผู้หญิงในช่วงยุคนั้นๆมักจะแต่งตัวด้วยกระโปรงหรือกางเกงเอวสูงและขากางเกงทรงแคบ” สตอร์มอธิบายต่อ “เราให้จอนซ์ลองสวมและผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าดูดีมาก และเมื่อเราลองให้วาคินใส่มันก็เข้ากับเขาได้ดีเลยล่ะครับ”
สำหรับธีโอดอร์ สตอร์มเลือกเสื้อผ้าที่ดูเป็นธรรมชาติและเรียบง่าย “เขาเป็นคนที่ไม่ต้องการให้เสื้อผ้าที่เขาใส่ ทำให้เขาดูโดดเด่นจนเกินไป เขามักจะใส่อะไรซ้ำๆจนเป็นนิสัย”
นอกจากนี้สตอร์มยังได้เพิ่มเติมรายละเอียดปลีกย่อย ที่จะสร้างความแตกต่างให้ผลงานของเขาได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย “ตัวอย่างเช่น ในโลกของธุรกิจ ผู้ชายมักจะสวมสูทผูกไทด์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้เราเลือกที่จะตัดไทด์ออกไปให้เหลือแค่สูท ทุกอย่างเรียบง่าย ในขณะเดียวกันก็ยังคงดูดีและสร้างความน่าประทับใจ”
เพลงประกอบ
ซาแมนธา:
ฉันได้ฟังเพลงน่ารักๆมาเพลงหนึ่งเมื่อวันก่อน
ฉันขอเปิดให้คุณฟังได้มั้ย
เพลงประกอบสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานของศิลปินเจ้าของรางวัลแกรมมี่อวอร์ดอย่าง Arcade Fire
“Arcade Fire ได้เริ่มต้นทำงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงที่พวกเราเริ่มต้นการถ่ายทำ ดังนั้นในบางครั้ง ผมจึงมักจะนำมันมาเปิดในกองถ่ายด้วยครับ “ จอนซ์กล่าว “ผมมักจะส่งภาพและฟุทเตจให้แก่พวกเขา ส่วนพวกเขาก็มักจะส่งอะไรหลายๆอย่างที่เหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาให้เราครับ บางครั้งก็เป็นเพลงนับสิบเพลง ผมคิดว่าผลงานของพวกเขาเป็นอะไรที่งดงามและทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้นจริงๆ”
นอกจากนี้ผลงานเพลงอย่าง “The Moon Song” คือเพลงที่เขียนขึ้นโดยศิลปินหญิงอย่าง คาเรน โอ ผู้ซึ่งจอนซ์เคยทำงานร่วมกันมาก่อน ในโปรเจคภาพยนตร์เรื่อง “Where the Wild Things Are” ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในปี 2010 โดยในภาพยนตร์ เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ธีโอดอร์และซาแมนธาได้ร้องร่วมกันระหว่างทริปท่องเที่ยวที่ภูเขา”
ประวัตินักแสดง
วาคิน ฟินิกซ์ (ธีโอดอร์) นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมทั้งจากเวทีออสการ์ ,BAFTA, รางวัลลูกโลกทองคำ และ Critics Choice Awards เป็นต้น ผลงานที่โดดเด่นของเขาได้แก่ ภาพยนตร์อย่าง “The Master” สำหรับผลงานเรื่องต่อไปของฟินิกซ์ได้แก่ภาพยนตร์ “The Immigrant” และเขาเพิ่งจะสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตรืเรื่อง “Inherent Vice”
ฟินิกซ์เกิดในประเทศเปอโตริโก และเริ่มต้นอาชีพทางการแสดงตั้งแต่อายุเพียง 8 ปี โดยได้ปรากฏตัวในละครโทรทัศน์มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “Hill Street Blues,” “The Fall Guy” และ “Murder, She Wrote.” เป็นต้น ผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาได้แก่ “Spacecamp.” และในปีถัดมาก็ได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Russkies” ร่วมกับซัทมเมอร์ และ คารอล คิง สองปีถัดจากนั้นเขาได้รับบทในภาพยนตร์คอมเมดี้ครอบครัวสุดโด่งดังเรื่อง “Parenthood” จนกระทั่งในปี 1996 เขาก็ได้รับคำชื่นชมอย่างมากในผลงานการแสดงภาพยนตร์ร่วมกับนิโคล คิดแมน อย่าง “To Die For”
ในปี 1998 ฟินิกซ์ได้แสดงภาพยนตร์ร่วมกับ วินซ์ วอห์นในภาพยนตร์ 2 เรื่อง โดยรับบทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่าง “Return to Paradise” และ “Clay Pigeons” ต่อจากนั้นเขาก็ได้รับบทสุดหินในภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง “8mm” ซึ่งแสดงร่วมกับนิโคลัส เคจ
ในปี 2000 ซึ่งถือเป็นปีทองของเขา ฟินิกซ์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกจากการแสดงภาพยนตร์เรื่อง “Gladiator.” ซึ่งทำให้เขาชนะรางวัลนักแสดงสมทบจากยอดเยี่ยมจาก National Board of Review และ Broadcast Films Critics Association ได้สำเร็จ ผลงานเรื่องถัดมาของเขาได้แก่ “Quills” ซึ่งเขาก็สามารถคว้ารางวัลจาก Broadcast Film Critics Award ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมมาได้อีกครั้ง และในปีเดียวกันนั้นเขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “The Yards.” ร่วมกับมาร์ค วอห์ลเบิร์กอีกด้วย
เครดิตผลงานเรื่องอื่นๆของเขา อาทิเช่น “Signs” ภาพยนตร์ที่กวาดรายได้ไปกว่าพันล้านดอลลาร์ “The Village.” “Buffalo Soldiers” “Ladder 49″ “Hotel Rwanda.” “Walk the Line.” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่สอง ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม รวมทั้งยังชนะรางวัลลูกโลกทองคำ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง BAFTA, SAG®, Critics Choice และ Chicago Film Critics Awards อีกด้วย
สการ์เล็ต โจแฮนสัน (ซาแมนธา) หนึ่งในนักแสดงผู้มีพรสวรรค์ทางการแสดงมากที่สุดแห่งวงการ เจ้าของรางวัล Tony และ BAFTA Award รวมทั้งยังได้รับการเสนอชื่เข้าชองรางวัลลุกโลกทองคำมาแล้วถึง 4 ครั้ง ผลงานล่าสุดของเธอได้แก่การแสดงในละครบรอดเวย์เรื่อง “Cat on a Hot Tin Roof” นอกจากนี้ยังแสดงในภาพยนตร์เรื่องซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
โจแฮนสันเพิ่งจะเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Captain America: The Winter Soldier” ซึ่งจะเข้าฉายในเดือน เมษายนปี 2014 นอกจากนี้เธอยังจะกลับมารับบทแบล็ค วิโดว์ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง “The Avengers” ผลงานชิ้นต่อไปของเธออีกเรื่องก็คือ “Chef” รวมทั้งภาพยนตร์แนวอินดี้ “Under the Skin” และภาพยนตร์ทริลเลอร์ “Lucy,” ซึ่งเธอจะแสดงร่วมกับมอร์แกน ฟรีแมน
โจแฮนสันได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ จากผลงานภาพยนตร์เรื่อง “Lost in Translation” ผลงานการกำกับของโซเฟีย คอปโปลา นอกจากนี้เธอยังได้รับรางวัลโทนี่ อวอร์ด จากการแสดงละครบรอดเวย์เรื่องแรกอย่าง “A View from a Bridge” อีกด้วย
โจแฮนสันเป็นที่รู้จักในวงกว้างตั้งแต่อายุได้เพียง 12 ปี จากการรับบทใน “The Horse Whisperer” โดยต่อจากนั้นเธอได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Ghost World” และได้รับรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Toronto Film Critics Circl. หลังจากนั้นเธอได้แสดงในภาพยนตร์ของสองพี่น้องโคเอนเรื่อง “The Man Who Wasn’t There”
ผลงานที่ผ่านมาของเธอได้แก่ “The Avengers”; “Hitchcock,” “We Bought A Zoo,” “Iron Man 2;” “In Good Company”; “A Love Song for Bobby Long,” “Match Point,””He’s Just Not That Into You”; “Vicky Cristina Barcelona”; “The Other Boleyn Girl”; “The Spirit”; “Girl with a Pearl Earring,”; “The Island,”; “The Black Dahlia; “The Prestige”; “The Nanny Diaries.” “North”; “Just Cause,” และ “Manny & Lo,” ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award
เอมี่ อดัมส์ (เอมี่) นักแสดงสาวมากความสามารถผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 4 ครั้งจากผลงานที่หลายหลายของเธอตั้งแต่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ไปจนถึงภาพยนตร์อินดี้คุณภาพ
ผลงานเรื่องล่าสุดซึ่งส่งให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ คือ ภาพยนตร์เรื่อง “The Master,” ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัล BAFTA Award และชนะรางวัลจาก Los Angeles Film Critics รวมทั้ง National Society of Film Critics Awards มาได้อีกด้วย
ผลงานเรื่องล่าสุดของเธอได้แก่ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง “Man of Steel,”
หลังจากเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Her” เอมี่ อดัมส์ยังได้แสดงในภาพยนตร์ผลงานการกำกับของเดวิด โอ รัสเซลอย่าง “American Hustle,” ร่วมกับนักแสดงคุณภาพอีกคับคั่ง อาทิเช่น คริสเตียน เบล เบรดลีย์ คูเปอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ เธอยังจะร่วมแสดงในภาพยนตร์ฝีมือการกำกับของทิม เบอร์ตันอย่าง “Big Eyes,” อีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังจะร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับโปรเจคภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆอย่าง “The Ten Best Days of My Life,” และ “Object of Beauty,” ซึ่งสร้างมาจากหนังสือที่เขียนโดย สตีฟ มาร์ติน
อดัมส์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกจากผลงานภาพยนตร์เรื่อง“Junebug.” นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล SAG Award® และชนะรางวัล Independent Spirit Award มาได้อีกด้วย
อดัมส์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ครั้งที่สองจากผลงานเรื่อง “Doubt,” ซึ่งเธอแสดงร่วมกับเมอรีล สตริปและฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟแมน
การได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ครั้งที่สามของเธอมาจากผลงานภาพยนตร์ซึ่งเป็นฝีมือการกำกับของเดวิด โอ รัสเซลเรื่อง “The Fighter,” โดยเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัล BAFTA Award, และ SAG Award® อีกด้วย
ในปี 2007 อดัมส์ได้แสดงในภาพยนตร์สุดฮิตอย่าง “Enchanted,” ซึ่งทำให้ธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ นอกจากนี้ผลงานเรื่องอื่นๆของเธอได้แก่ “Catch Me If You Can.” “Talladega Nights: The Ballad of Ricky Bobby,” “Charlie Wilson’s War,” “Sunshine Cleaning”; “Miss Pettigrew Lives for a Day”; “Night at the Museum: Battle of the Smithsonian,” “Julie & Julia,” “The Muppets” และ “Trouble with the Curve” เป็นต้น
รูนีย์ มารา (แคทเธอรีน) มาราเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากผลงานการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่อง The Girl with the Dragon Tattoo ซึ่งเข้าฉายในปี 2011 โดยเธอได้รับรางวัลจาก National Board of Review รวมทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์และรางวัลลุกโลกทองคำอีกด้วย
ผลงานล่าสุดของเธอได้แก่ “Ain’t Them Bodies Saints” ซึ่งเธอแสดงร่วมกับเคซีย์ เอฟเฟค นอกจากนี้ยังได้แสดงในภาพยนตร์ของสตีเวน โซเดอร์เบิร์กเรื่อง “Side Effects,” อีกด้วย
มาราเพิ่งจะเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ของผู้กำกับเทอเรนซ์ มาลิค ซึ่งเธอแสดงร่วมกับไรอัน กอสลิ่ง ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ และ นาตาลี พอร์ทแมน นอกจากนี้เธอยังเพิ่งจะเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Trash” ซึ่งถ่ายทำในบราซิล โดยมาราจะรับบทเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล
ผลงานที่ผ่านมาเรื่องอื่นๆของเธอได้แก่ “Tanner Hall,” “The Social Network”; “Youth in Revolt”; และ “The Winning Season,”
ประวัติทีมผู้สร้าง
สไปค์ จอนซ์ (ผู้เขียนบท/ผู้กำกับ) ผู้กำกับมากความสามารถผู้อยู่เบื้อหลังผลงานคุณภาพอย่าง “Being John Malkovich,” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม “Adaptation.,” ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 2 สาขา
“Where the Wild Things Are,” คืออีกหนึ่งผลงานของเขาที่ดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่องเยี่ยม นอกจากนี้เขายังเคยนั่งแท่นผู้อำนวยการสร้างมาแล้วในภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิเช่น “Human Nature,” “Synecdoche, New York.”
ผลงานการเขียนบทเรื่องล่าสุดของเขาได้แก่ “Jackass Presents: Bad Grandpa,”
นอกเหนือจากการกำกับภาพยนตร์ จอนซ์ยังได้โชว์ฝีมือของเขาในการกำกับมิวสิควิดีโอและหนังสั้นมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ “I’m Here,” ซึ่งได้ฉายเป็นครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์
เมแกน เอลิสัน (ผู้อำนวยการสร้าง) ผู้ก่อตั้งบริษัท Annapurna Pictures บริษัทภาพยนตร์ชั้นนำผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมมากมาย
ผลงานที่ผ่านมาของเอลิสัน ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในแง่ของรายได้และรางวัล ซึ่งส่งให้เอลิสันกลายมาเป้นโปรดิวเซอร์รุ่นใหม่ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมอีกคนหนึ่งของวงการ
โปรเจคที่ผ่านมาของ Annapurna อาทิเช่น ภาพยนตร์ที่ได้รับกาเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ 2 สาขา “Zero Dark Thirty”; ภาพยนตร์คุณภาพ “The Master”; “Killing Them Softly,” “Lawless.” “Spring Breakers “American Hustle,”
สำหรับโปรเจคเรื่องต่อไปของเธอได้แก่ “Foxcatcher “The Grandmaster,” “Sympathy of Lady Vengeance” เป็นต้น
ARCADE FIRE (เพลงประกอบภาพยนตร์) วงดนตรีสุดเจ๋งที่ครองชาติอันดับ 1 มาแล้วทั้งใน อังกฤษ อเมริกา และแคนาดา ผลงานของพวกเขาอย่าง The Suburbs สามารถคว้ารางวัลอัลบั้มแห่งปีจากแกรมมี่ อวอร์ดครั้งที่ 53มาได้
Arcade Fire เคยร่วมงานกับจอนซ์มาแล้วทั้งในการทำงานในโปรเจคภาพยนตร์เรื่อง “Where The Wild Things Are.” รวมทั้งโปรเจคหนังสั้นอย่าง “Scenes from the Suburbs”
Arcade Fire ผลงานการร่วมงานในภาพยนตร์และโทรทัศน์ของพวกเขา “Cold Wind,” สำหรับ “Six Feet Under, Vol. 2: Everything Ends” และ “Abraham’s Daughter,” เปิดเปิดในเครดิตตอนจบของภาพยนตร์เรื่อง “The Hunger Games,” ผลงานทั้งคู่นี้ทำให้ผลเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ อวอร์ด นอกจากนี้ Arcade Fire ยังเป็นผู้แต่งเพลง “Horn Of Plenty,” ซึ่งถือเป็นเสมือนเพลงชาติของพาเน็ทในภาพยนตร์เรื่อง “The Hunger Games” อีกด้วย