มาดใหม่ “นิว-ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต” กับบทบาทสุดทะเล้น เสน่ห์แรงขั้นเทพ ในหนังรักโรแมนติกฮาผวา “เธอ เขา เรา ผี”

บทบาท-คาแร็คเตอร์

เรื่องนี้ผมก็รับบทเป็น “หรั่ง” ก็เป็นเด็กพร็อพเด็กทีมอาร์ตในกองถ่ายครับ  จริงๆแล้วมันเป็นคาแร็คเตอร์ที่ใกล้ตัวมาก  เราเคยเห็นอยู่เป็นประจำในกองถ่ายทั่วไป แต่โดยนิสัยใจคอแล้วจะเป็นคนที่สนุกสนาน ขี้เล่น อยู่กับคนอื่นและทำให้คนอื่นมีความสุข แล้วก็เหมือนเป็นคนไม่คิดมากแล้วชอบเที่ยวสังสรรค์ แต่ว่ามันมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือมีแฟนอยู่แล้วข้างๆ ตัว แต่ว่าไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่แฟนเท่าไหร่ รู้สึกว่าแฟนเนี่ยโตมาด้วยกันแล้วรู้สึกว่ายังไงเค้าก็อยู่ข้างเราตลอด เค้าไม่ไปไหนหรอก เราก็เลยไปทำให้คนอื่นมีความสุขโดยลืมความสุขที่จะทำให้แฟนไป จนทำให้แฟนเราน้อยใจจนทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา 

 

เป็นไงมาไงถึงได้เข้ามาเล่นหนังเรื่องนี้

พอดีได้รับการติดต่อจากทางสหมงคลฟิล์มว่าจะมีหนังเรื่องนี้ ทางเสี่ยเจียงก็ให้เข้าไปดูบทอ่านบท เราก็พอรู้ว่าเป็นหนังของพี่กอล์ฟ ธัญญวาริน เราก็พอรู้จักพี่กอล์ฟมาบ้างแล้ว จากผลงานที่ผ่านๆ มา ผมก็อยากร่วมงานกับพี่กอล์ฟ พอได้อ่านบทก็รู้สึกว่ามันสนุกมาก คือมันมีหลายรส อย่างคอเมดี้ก็มี แบบน่ากลัวก็มี ขำๆ แบบโปกฮาก็มี พออ่านบทจบก็อยากเล่นมากเลยครับ 

 

ถือเป็นการมารับบทหนังที่ไม่ใช่พีเรียดครั้งแรกของนิว

ใช่ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกครับที่ผ่านมาอย่าง “อุโมงค์ผาเมือง” หรือว่า “จันดารา” นั่นก็จะเป็นพีเรียด แต่ว่าอันนี้เป็นโมเดิร์นทันสมัยมาก พอได้อ่านบทแล้วก็อยากเล่นมาก ได้มารับบทเป็นคนเบื้องหลังบ้าง อย่างที่บอกไปคือมันใกล้ตัวเรามาก เป็นชีวิตของคนในกองถ่ายที่เราเห็นอยู่แทบทุกวันประมาณ 4-5 ปีเราเห็นมาตลอดว่าทีมพร็อพจะเป็นอย่างนี้ๆ แต่ว่าพอได้สัมผัสจริงๆ มันค่อนข้างที่จะแตกต่างออกไป มันต้องศึกษาค่อนข้างจะลึกซึ้ง ทั้งในตัวของอาชีพนี้ด้วย รวมถึงตัวคาแร็คเตอร์ของตัวหรั่งด้วย คือมันมีทั้งการใช้ชีวิตในกอง และก็นอกกอง คือมันก็จะมีทั้งสองด้าน ผมคิดว่าบทนี้มันท้าทายแล้วก็สนุกดีครับ

 

มีการเตรียมตัวสำหรับบทบาทนี้อย่างไรบ้าง

ก็ต้องมีการเตรียมตัวครับ คือหลังจากที่ถ่าย “จันดารา” เสร็จ ผมก็ถ่ายละครอยู่เรื่องหนึ่ง พอดีกับที่ผมรู้ว่าต้องมาเล่นเป็นเด็กอาร์ต ตอนที่เราไปกองก็เริ่มสังเกตแล้วว่า เด็กอาร์ตเค้าทำงานกันยังไง พอเริ่มสังเกตก็เริ่มเข้าไปพูดคุยว่าเป็นเด็กอาร์ตต้องเป็นยังไง คือก่อนไปทำงานเค้ามีการเตรียมตัวยังไง หรือพอถ่ายเสร็จเค้าทำอะไรกัน พอหลังจากนั้นก็ได้มีการซ้อมบทกับพี่กอล์ฟก็ได้ทำความเข้าใจกันมากขึ้น

 

อ่านบทครั้งแรกรู้สึกยังไง

อ่านบทครั้งแรกก็รู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มันเจ๋งครับ สามารถหยิบเรื่องง่ายๆ เรื่องข้างตัวง่ายๆ เนี่ย แต่ว่าเอามาทำเป็นเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์ด้วยเรื่องของการทำงานเบื้องหลังของคนทำหนัง รวมถึงเรื่องราวความรัก, ชีวิต หรืออะไรหลายๆ อย่างมาผูกกัน รวมถึงมันมีมุกตลกๆ และความสนุกสนานที่แบบแค่เวลาเราอ่านเรายังยิ้มกับมันเลย แค่อ่านบทมันก็สนุกแล้วก็อยากเล่นเลย  ยิ่งตอนถ่ายมันก็เลยยิ่งสนุกกับการเล่น และอย่างที่บอกมันสามารถเติมแต่งความเป็นปัจจุบันเข้าไปได้ มันลงตัวหมดทุกอย่างทั้งเรื่องของโรแมนติก เรื่องของคอเมดี้ เรื่องของชีวิต มันมีหลากหลายแง่มุมอยู่ตลอดทั้งเรื่องเลยครับ และตอนนี้ผมก็อยากดูหนังที่ตัดเสร็จแล้วว่าจะออกมาเป็นยังไง

 

ตัวละครหรั่งกับนิวมีความเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง  

จริงๆ แล้วคาแร็คเตอร์หรั่งค่อนข้างจะคล้ายๆ ผมในบางส่วน คือจะเป็นคนสนุกสนานเหมือนกัน เพราะว่าจริงๆ ผมโดยส่วนตัวที่ต่างเนี่ย ผมจะเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ หน่อย แต่ว่าพออยู่กับเพื่อนพอสนิทสนมแล้วผมค่อนข้างที่จะพูดมากและก็พูดไปเรื่อยสนุกสนานอะไรอย่างงี้ เช่นเดียวกับตัวหรั่งที่ชอบทำให้คนรอบข้างที่สนิทสนมมีความสุข

 

เรื่องราวของ “เธอ เขา เรา ผี”

คือผมจะพูดเสมอว่าหนังเรื่องนี้ คือคนก็จะถามว่าถ่ายเรื่องอะไรอยู่ ผมก็บอกว่าถ่ายหนังผี คนก็จะรู้สึกน่ากลัว ผมก็บอกว่าไม่ใช่ๆ อย่าเพิ่งไปตีความกันแบบนั้น ผมก็จะบอกว่ามันก็จะมีทั้งโรแมนติกทั้งความรัก ตลก คือเป็นเรื่องราวของสามตัวละครหลัก คือหรั่งตัวละครผมเนี่ยเขาก็จะมีแฟนอยู่คนหนึ่ง นั่นก็คือแม็กกี้ที่รับบทเป็นส้ม คือเป็นแฟนกันอยู่แล้ว ผมก็จะเป็นเด็กอาร์ตในกอง แม็กกี้ก็จะเป็นช่างแต่งหน้าในกอง เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาก็เป็นแฟนกัน รักกัน อยู่ด้วยกัน แต่ด้วยความที่ตัวหรั่งเป็นแบบนี้ อยู่ในกองก็จะมีนักแสดงสวยๆ ในกองเข้ามาจีบ จนทำให้เรามีปัญหากับแฟน เหมือนจะห่างๆ กันไป ระหว่างนั้นก็มีหนุ่มข้างห้องซึ่งเราไม่เคยรู้จักมาก่อนเข้ามาชอบส้ม เข้ามาจีบแฟนเรา แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาเติมเต็มความสุข คอยเทกแคร์เอาใจใส่ตลอดเวลา จนทำให้ส้มเผลอรักไป มันก็ทำให้เราเริ่มมองกลับมามองว่าเหมือนเรากำลังจะเสียคนรักที่อยู่ข้างๆ ตั้งแต่เด็กๆ ไป หรือเสียคนที่เรารักตั้งแต่เด็กไปเนี่ย เพิ่งมารู้สึกว่าเหมือนมันขาดหายอะไรในชีวิตไป และมันเศร้ามาก เสียใจมาก มันก็เป็นจุดเทิร์นนิ่ง พ้อยต์ของหนังจุดหนึ่งครับที่เราต้องพยายามเอาส้มกลับมาให้ได้ เพราะไอ้หนุ่มคนนั้นดันเป็นผี ก็ต้องมาลุ้นกันต่อไปว่าส้มจะเลือกใคร

 

การร่วมงานกับพี่กอล์ฟ-ผู้กำกับเป็นยังไงบ้าง

คือผมอยากร่วมงานกับพี่กอล์ฟอยู่แล้วนะครับ เคยดูหนังของพี่กอล์ฟแล้วก็รู้สึกว่าหนังของพี่กอล์ฟทุกเรื่องมีสไตล์เป็นของตัวเอง แล้วพี่กอล์ฟก็เขียนบทเองด้วย พออ่านแล้วเรารู้สึกว่าเป็นบทที่สนุก แล้วเราก็อยากเล่น คือตัวละครจะมีความชัดเจนมาก คือพระเอกนางเอกไม่ได้เป็นเศรษฐี ไม่ได้เป็นคนจน ไม่ได้เป็นอะไรที่เวอร์ๆ เป็นคนปกติทั่วไป การทำงานในกองพี่กอล์ฟก็จะเป็นคนใจดี มีการซ้อม พี่เค้าเป็นคนที่ทำงานด้วยแล้วสนุก  คือเค้าจะถามความคิดเห็นเราด้วย เหมือนให้เราทำการบ้านมาและก็ถามด้วยว่าตรงนี้เป็นยังไง ตรงนั้นเป็นยังไง คือมานั่งแชร์กันก่อนที่จะถ่ายจริงมีการซ้อมมีการพูดคุยกันก่อนว่า เหตุผลว่าคาแร็คเตอร์ตัวนี้เป็นยังไงทุกๆ คนครับ ทั้งผมทั้งแม็กกี้ทั้งแม็คมานั่งคุยกันกอนว่าคิดว่าคาแร็คเตอร์ตัวนี้เป็นยังไง และพี่กอล์ฟก็บอกว่าพี่คิดว่าเป็นอย่างนี้นะๆ แบบนี้ๆ ลองมาแชร์กันไหม เอาของนิวของพี่กอล์ฟของใครก็ได้มาแชร์รวมกันจนเกิดกลายเป็นหรั่งขึ้นมาเป็นตัวละครอื่นๆ ขึ้นมา มันเหมือนกับว่าเราได้ทำงานอย่างเต็มที่ในทิศทางเดียวกัน ได้ใส่ความคิดเห็นของเราไปด้วยรวมถึงตอนถ่ายทำอย่างที่บอกก็คือมีเหตุการณ์ปัจจุบันที่สามารถใส่เข้าไปได้เพราะว่ามันคือคอเมดี้ มันคือสนุกสนานครับ มันก็ทำให้แบบเราสามารถขายได้ว่า พี่ผมมีมุมนี้มาเสนอ พี่อย่างนี้ไหมๆ มันทำให้เราสนุกไปด้วยกับการทำการบ้าน แล้วก็สนุกไปกับการเล่นด้วยครับ

 

การแสดงร่วมกับแม็กกี้ที่รับบทเป็นแฟนของเราในเรื่องนี้

แม็กกี้เหรอครับ (หัวเราะ) คือตอนที่เจอกันก่อนถ่าย ตอนที่ซ้อมการแสดงกันก็คือยังไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ คือผมจะเป็นที่เงียบๆ ไม่ค่อยคุยกับใคร แต่ถ้าสนิทกันแล้วก็คุย ตอนแรกเจอกันกับแม็กกี้ก็ไม่ค่อยคุยกันเท่าไหร่ พี่กอล์ฟก็บอกว่าต้องพยายามคุยกันมากๆ เพราะในเรื่องต้องเป็นแฟนกัน แล้วยิ่งต้องเล่นเป็นแฟนที่สนิทกันมาก คือด้วยการใช้คำพูดต้องมีความสนิทกันมาก เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ก็ต้องมีการหยอกล้อกัน คือจะดูไม่เหมือนแฟน แต่ดูเหมือนเพื่อนกันมากกว่า เราก็ต้องมีการพูดคุยกันเพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้น พอเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นก็เอาแล้ว เริ่มแกล้งผมสารพัด ชอบมาหยิกนมผม ดึงขนรักแร้ อย่างมีอยู่ฉากนึ่งที่เค้าต้องมาตบหน้าผม ผมก็นั่งคุยกับแม็กกี้ ลองถามว่าจะตบแรงรึเปล่า แม็กกี้ไม่ตอบแต่ก็ตบเลยครับ ตบหน้าหันเลย แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะตบแบบนี้แหละ ผมก็บอกว่าเฮ้ยเจ็บ แต่ว่าร่วมงานกันแล้วสนุก คือว่าเค้าจะห้าวๆ  รั่วๆ หน่อย แต่ร่วมงานแล้วก็สนุกครับ พอเล่นไปเรื่อยๆ ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น ก็รับส่งกันง่ายขึ้น เพราะว่าจากการซ้อมมันก็โตขึ้นมาเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ของตัวละครรวมถึงความสัมพันธ์ของตัวข้างนอกที่สามารถมาจูนเข้าหากันเนี่ยมันก็มากขึ้นเรื่อยๆ มันก็ทำให้ตอนเล่นยิ่งง่ายขึ้น ตอนหลังๆ มันก็กลายเป็นสนิทสนมกันไปเลย เพราะยิ่งตอนหลังคู่นี้มันคบกันเหมือนเพื่อน เหมือนพี่เหมือนน้องกันมากกว่าสำหรับผมกับตัวละครสองตัวนี้นะครับ คบกันแบบเพื่อนมันเล่นกันตบหัวกัน กระโดดขี่หลังมันกระโดดเตะกันนี่คือเรื่องปกติของแฟนคู่นี้ มันจริงครับ มันเหมือนเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคู่รักไปอีกแบบนึงครับ

 

 

ความยากและความท้าทายในบทบาท

จริงๆ หนังทุกเรื่องมีความท้าทายหมด ทุกเรื่อง ทุกตัวละครหรือว่าคาแร็คเตอร์มันต่างกันอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็แล้วแต่ ความท้าทายมันก็ยิ่งแตกต่างกันออกไป อย่างที่ผมบอกว่าตัวละครเป็นตัวที่ธรรมดามาก มันก็เป็นอะไรที่ท้าทายอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน เราก็ต้องไปศึกษาอาชีพอีกอาชีพหนึ่งที่เราไม่เคยได้เป็น แต่เป็นอาชีพที่ใกล้ตัวเรามาก เราก็ต้องศึกษาว่าเขาเป็นยังไง เค้าทำยังไง แล้วต้องสนุกสนานตลอดเวลา แต่พอมีเรื่องเศร้าเข้ามาในชีวิต ที่มันต้องเสียใจจริงๆ กับแฟนที่เรารักมากที่สุด มันก็จะเป็นจากคนที่มีความสุขมากที่สุด มันก็จะดิ่งไปถึงคนที่เราเศร้ามากที่สุด ฉากนั้นถือว่ายากมาก คือต้องแสดงเศร้าแบบสุดๆ ที่ต้องทำอารมณ์กันหนักมากๆ เป็นฉากที่ต้องเสียเขาไป เขาไม่อยู่กับเราแล้ว มันต้องเทิร์นตรงนี้ให้ได้แล้วก็เหมือนชีวิตที่หลังจากฉากนั้นมันต้องเปลี่ยนให้ชัดมาก ชีวิตก็จะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลย ชีวิตมันจะเศร้ามาก จะเห็นได้ชัดเลยว่าจากคนร่าเริงก็จะกลายเป็นเศร้าตลอดเวลา เหมือนมันเสียเค้าไปแล้วก็อยากที่จะเอาเค้ากลับมา ตรงนี้มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างยากมากเลยครับ

 

ฉากที่ประทับใจ

ก็คงต้องเป็นฉากนี้เลย ฉากที่รอคอยมาตั้งแต่อ่านบท คือฉากที่ได้มาเป็นทีมอาร์ตจริงๆ เป็นฉากที่เราเป็นเด็กอาร์ตที่ได้โลดแล่นในภาพยนตร์ มีว. มีเครื่องไม้เครื่องมือ เรามีอุปกรณ์เยอะแยะไปหมดเลย มีการทำงาน มีช่วยยกของ คือเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก เราก็อยากจะรู้ว่าเป็นยังไง แล้วพอมาเล่นจริงๆ ก็รู้สึกประทับใจมากที่เราได้มาเป็นทีมอาร์ตจริงๆ มันก็สนุกดีมันเป็นอะไรที่เราอยากทำเพราะมันอย่างที่บอกเราอยากเป็นผู้กำกับหนัง เราอยากทำหนัง ตรงนี้มันก็เหมือนได้เรียนรู้เบื้องหลังในเบื้องต้นในระดับนึงครับ

 

ฉากที่ยาก

ก็คงเป็นฉากที่เราต้องเลิกกับแฟนที่เรารักมาก คือเป็นฉากในห้องของเราสองคน คือแฟนเรามาบอกว่าเค้าไม่ได้รักเราแล้ว เราก็ต้องออกจากชีวิตเค้าไปเหอะ จากที่มีความสุขมากแล้วก็มาเศร้ามาก เพราะเราจะเสียเค้าไป คือคบกันมาแต่เด็ก เป็นกำพร้าเหมือนกัน ถ้าเสียเค้าไปก็ไม่เหลืออะไรบนโลกใบนี้ ตอนแรกก็มีการพูดคุยกันก่อนว่าให้ร้องไห้ประมาณไหน ให้มีการพูดคุย หรือว่าอยากได้ภาพประมาณไหน ก็ต้องมีการพูดคุยกันก่อน

 

ฉากเลิฟซีนเป็นอย่างไรบ้าง

ก็สนุกดีแต่แปลกนิดนึงตรงที่มีความเป็นคอเมดี้เข้ามาเสริมอาจจะไม่จริง 100 เปอร์เซนต์ เพราะเรื่องราวมันเป็นคอเมดี้ซะส่วนใหญ่เลยเพิ่มคอเมดี้เข้าไปเพื่อให้มีความน่ารักตรงนี้ อาจจะไม่ได้เป็นเลิฟซีนแบบจริงจังดุเดือด แต่มีความรักเข้ามาให้อมยิ้มด้วยครับ  ก็มีการซ้อมจริงตั้งแต่ก่อนถ่ายทำอย่างที่บอกมีการซ้อมกับแม็กกี้ก่อน มันทำให้เราไม่เขินไม่อายกัน เพราะว่าการถ่ายทำเรื่องนี้ค่อนข้างสั้นและก็มีเวลาค่อนข้างจำกัด ทำให้ตอนถ่ายจริงต้องทำให้คุ้มค่าที่สุดครับเลยมีการซ้อมก่อนพอถ่ายจริงมันก็เลยเหมือนง่ายขึ้นนะครับ 

 

เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้

คือตัวละครในเรื่องนี้คือคนธรรมดา คนที่เราสามารถพบเจอได้ง่ายๆ คือเราสามารถพบเจอมนุษย์ประเภทนี้ได้ แล้วมันก็เป็นอะไรที่ไม่เว่อร์ ไม่ต้องอลังการมาก ไม่ต้องใหญ่โตมโหฬารมาก คือมันมีความเรียล อาชีพในหนังก็เป็นผู้กำกับ นักแสดง ช่างแต่งหน้า มันเหมือนเราได้ไปติดตามชีวิตของคนๆ หนึ่ง ไม่ใช่ว่าเราต้องจินตนาการว่า คนแบบนี้มันมีจริงเปล่าวะ มันรวยขนาดนี้มีเหรอวะ หรือน่ารันทดขนาดนี้ยังมีเหรอวะ เสน่ห์ผมคิดว่าคือเราสามารถหันไปมองทางขวาหรือซ้ายแล้วก็สามารถเจอคนแบบนี้ได้จริงๆ

นอกจากนี้ ความรักความผูกพันของสองคนนี้มันจะเป็นแบบโรแมนติกคอเมดี้ในตัวของมันอยู่แล้ว เพราะมันโตมาแบบเพื่อนก็จะกระโดดกอดคอกัน กระโดดเตะกันเล่นกันด้วยความรักกันมาก ก็พูดกูมึงกันคือมันสนิทกันขนาดนั้นเลย อันนี้มันเป็นเสน่ห์อันนึงของคู่รักที่ใช้คำหยาบคายหน่อยแต่จริงๆ แล้วไต้คำหยาบคายมันเป็นความรักล้วนๆ เลย มันเป็นความจริงใจล้วนๆ มันเป็นคอเมดี้ที่คนดูแล้วจะยิ้ม จะสนุกไปด้วยกับมุมของคู่รักที่แปลกๆ รวมถึงเพื่อนรอบข้างในแก๊งที่แบบแต่ละคนมีความเป็นคาแร็คเตอร์ที่ต่างกันออกไปมาเสริมความเป็นคอเมดี้ รวมถึงพี่ๆ นักแสดงรับเชิญต่างๆ ที่ต้องไปดูกันในหนังเรื่องนี้ซึ่งมันเยอะจนผมไม่รู้จะพูดถึงใครก่อนดี เพราะแต่ละคนนี่แบบมีไม้ตายของตัวเองถึงแม้ว่าจะออกมา 3-4 ฉาก แต่คือมีไม้ตายเอามาปล่อยใน 3-4 ฉากนั้นหมดเลย

นอกจากโรแมนติกคอเมดี้แล้วมันยังมีความซึ้ง ความดราม่าที่มันเป็นความจริงของชีวิตมหนุษย์ที่รักมาก มันก็จะเศร้ามาก รักมากก็เสียใจมาก นี่มันคือแกนของเรื่องเลยว่าเวลามีของอยู่ใกล้ๆ ตัวมันอาจจะไม่รู้ซึ้งถึงความสำคัญเท่าไหร่จนกระทั่งวันนึงเราเสียมันไป ถึงจะรู้ว่าสิ่งที่เราเสียมันไปเนี่ยมันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราที่ต้องเอากลับมาให้ได้ หรือบางทีมันอาจจะสายไปแล้วก็ได้ อย่างที่ในหนังจะสอนตรงนี้ค่อนข้างชัดเจน คือทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้หลักๆ เลยคือความจริงที่เอามาอยู่บนแผ่นฟิล์มครับ

ผมก็อยากจะฝากหนังเรื่องนี้ให้ไปดูกันเยอะๆ เพราะมันเป็นภาพยนตร์ที่จริงมาก เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมได้มาเล่นเป็นปัจจุบัน อย่างที่ผมบอกนะครับว่า พอผมอ่านบทเสร็จแล้วเนี่ย ผมรับเล่นเลย เพราะว่ามันสนุกสนานมาก ขนาดว่าอ่านบท แล้วยิ่งพอได้ดูตอนเช็กเทปแล้วผมรู้สึกว่าสนุกแล้วก็มีสีสันมาก อยากให้ลองติดตามดูกันครับ รับรองได้ว่าสนุกครบรสและก็มีทุกอย่างครับ โรแมนติ- คอมดี้-ดราม่า เป็นชีวิตคนๆ หนึ่งที่มีอะไรหลายๆ อย่างรวมกัน รับรองว่าคุณดูแล้วคุณจะยิ้มและหัวเราะไปกับมันแน่นอน