และแล้วในที่สุดบรรดาสาวกของวงเมทัลขาโหดประจำภาคพื้นเอเชียโดยเฉพาะประเทศไทยก็ได้มีเฮกันอีกยก เมื่อสุดยอดวงเมทัลระดับท็อปของโลก Children Of Bodom สุดยอดวงเมทัลที่มีท่วงทำนองสวยงามในแบบเมโลดิกจากประเทศฟินแลนด์กับจุดขายอันโดดเด่น นั่นคือนักร้องและมือกีตาร์หน้าเสี้ยมสุดเท่ Alexi Laiho ที่บรรดามือกีตาร์ขาร็อคต้องเรียกป๋า กับการกางแผนที่ทัวร์คอนเสิร์ตพร้อมกากบาทกรุงเทพเป็นเป้าหมายในการทัวร์คอนเสิร์ตประเทศไทยอีกครั้ง กับ Children of Bodom live in Bangkok สุดยอดการแสดงสดของที่สุดแล้วกับวงเมทัลสายเมโลดิกที่พร้อมจะขย้ำคอบรรดาสาวกด้วยความมันส์กันแบบลืมทางกลับบ้านกันไปเลยทีเดียว
โดยงานนี้ไอ้หนุ่มนักร้องนำและมือกีตาร์หน้าเสี้ยม Alexi Laiho (อเล็กซี่ ไลโฮ) ในฐานะแกนนำคำรามเบาๆ ไปถึงแฟนเพลงสาวกชาวเมโลดิกเมทัลทั้งหลายในประเทศไทยว่าเตรียมล้างคอไว้รอคมดาบแห่งความมันส์ที่ตนและบรรดาพลพรรคครบทีมยกชุด ไม่ว่าจะเป็น Roope Latvala มือกีตาร์ Henkka Blacksmith มือเบส Janne Warman มือคีย์บอร์ด และ Jaska Raatikainen มือกลอง จะนำเอาความมันส์ระดับแม่ช้อยนางรำมาประเคนให้ถึงที่ได้เลย แถมกำชับว่ามาคราวนี้จัดหนักจัดเต็มแน่นอนสำหรับแฟนเพลงสายเมทัลชาวไทยโดยเฉพาะ ครั้งนี้วงจะขนเพลงมันส์ๆ มาให้โยกกันแบบหัวโยกหัวคลอนจนหัวต้องแทบหลุด กับเพลงฮิตระดับสุดโคตรจากทุกอัลบั้ม ไม่ว่าจะเป็นเพลง “Kissing The Shadows”, “Children Of Bodom”, “Towards Dead End”, “Blooddrunk”, “Living Dead Beat” และเพลงนั่นนี่โน่นอีกเพียบ งานนี้แฟนๆ สายเมทัลและบรรดามือกีตาร์สาวกของ Alexi เตรียมมาชมปรากฏการณ์ความมันส์ในระยะประชิดกันได้เลยแบบไม่ต้องเกรงใจ แถมกระซิบกันมาว่าสำหรับสาวกชาวเมทัลคนไหนที่พลาดคอนเสิร์ตนัดมันส์พิเศษคราวนี้เตรียมตัวเสียดายจนต้องเอาหัวโขกกำแพงตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเพราะคอนเสิร์ตคราวนี้จัดมาพิเศษสำหรับแฟนๆ ตัวจริง
พบกับ Children of Bodom live in Bangkok ศุกร์ที่ 16 พฤษภาคมนี้ ณ เซ็นเตอร์พอยท์ สตูดิโอ (ซอยลาซาล) จองบัตรวันนี้ บัตรราคา 1,500 บาท แต่ถ้าซื้อหน้างานบัตรราคา 2,000 บาท จำหน่ายบัตรทาง Thai Ticket Major ทุกสาขา 02-262-3456 www.thaiticketmajor.com สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Prart Music Group (PMG) 02-203-0423-5
Children of Bodom เริ่มรวมวงกันในปี 1993 ที่เมือง Espoo ประเทศ Finland โดย Alexi Laiho (มือกีตาร์) และ Jaska Raatikainen มือกลอง ชื่อวงที่พวกเขาใช้เป็นชื่อแรกคือ Inearthed โดยไลน์อัพแรกของวงเกิดขึ้นจากการเข้ามาร่วมวงของ Samuli Miettinen มือเบส และได้ Alexander Kuoppala มาเล่นกีตาร์เสริมทัพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่วนมือเบสที่เข้ามาแทน Samuli ลาออกในเวลาต่อมาคือ Henkka Sappala พร้อมทั้งยังได้ตัว Jani Pirisjoki มาร่วมวงในตำแหน่งคีย์บอร์ดด้วย โดยวง Inearthed อัด entiltled Shining เดโม่ไปหลายเพลงแต่ก็ยังไม่มีค่ายเพลงไหนให้ความสนใจ พวกเขาเลยตัดสินใจทำอัลบั้มด้วยเงินทุนของตัวเอง จากนั้นทางวงก็มีการเปลี่ยนมือคีย์บอร์ดเป็น Janne Wirman ซึ่งการเข้ามาของเขาทำให้วงสามารถสร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ Children of Bodom ได้ พวกเขาอัด Something Wild อัลบั้มเปิดตัวเสร็จเรียบร้อย แต่เดิมงานชุดนี้จะต้องออกกับ Shiver Records ค่ายเพลงขนาดเล็กในประเทศเบลเยี่ยม แต่หลังจากที่พวกเขาเซ็นสัญญากับ Shiver Records ได้ไม่นาน ผู้ใหญ่ในค่าย Spinefarm Records ก็อยากจะเซ็นสัญญากับ Inearthed เพื่อขายงานชุดนี้ทั่วประเทศ ซึ่งนี่เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจเพราะทาง Shiver เองก็ไม่ได้ช่วยเหลือทางวงในด้านการขายอัลบั้มเลย ทางวงจำเป็นที่จะต้องคิดชื่อวงใหม่เพื่อเซ็นสัญญากับ Spinefarm Records และพวกเขาก็เลือกชื่อ Children of Bodom ซึ่งมีที่มาจากเหตุการณ์ฆาตกรรมบริเวณทะเลสาบ Bodom
งานชุด Something Wild เป็นผลงานการควบคุมการผลิต อัดเสียง และมิกซ์เสียงโดย Anssi Kippo กับ Children of Bodom ที่ Astia studios (ที่เมือง Lappeenranta ประเทศ Finland) Children of Bodom พยายามโฆษณาตัวเองด้วยการเล่นเปิดให้กับ Dimmu Borgir ในปี 1997 ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะจากนั้นไม่นาน ก็มีตัวแทนจากค่าย Nuclear Blast มาเสนอสัญญาให้ทางวงขายอัลบั้มในทวีปยุโรป Something Wild ออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน ปี 1997 โดยทางวงได้ถ่ายมิวสิควิดิโอเพลง “Deadnight Warrior” เพื่อขยายฐานแฟนเพลงด้วย
การเดินสายทวีปยุโรปครั้งแรกของวงเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1998 พวกเขาได้เล่นกับวงอย่าง Hypocrisy, The Kovenant และ Agathodaimon แต่วงก็ต้องขาด Wirman ที่มีความตั้งใจที่จะกลับไปเรียนต่อให้จบ ในช่วงนั้น ทางวงเลยใช้บริการของ Erna Siikavirta จนกระทั่งจบการเดินสายไป หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ทางวงก็อัด “Towards Dead End” และ “Children of Bodom” สองเพลงใหม่ โดยเพลง “Children of Bodom” นั้นถูกรวมไว้ในอัลบั้มรวมของค่าย Spinefarm Records ซึ่งหลังจากที่ปล่อยออกไป ก็ขึ้นอันดับหนึ่งของตารางเพลงในประเทศฟินแลนด์แปดสัปดาห์ติดต่อกัน
พวกเขาเดินสายในทวีปยุโรปเป็นครั้งที่สองในเดือนกันยายนของปีนั้น ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่ Wirman ไม่สามารถเดินทางไปเล่นกับพวกเขาได้ Kimberly Goss แฟนสาวของ Alexi ในช่วงนั้นจึงเข้ามาช่วยเล่นคีย์บอร์ดในการเดินสายครั้งนี้ และ Hatebreeder งานชุดที่สองของวงถูกบันทึกเสียงขึ้นในช่วงท้ายปี 1998 จนถึงต้นปี 1999 โดยได้ปล่อยซิงเกิ้ล “Downfall” ก่อนหน้าที่งานชุดนี้จะออกวางจำหน่ายสองอาทิตย์เพื่อสร้างกระแสในประเทศฟินแลนด์ งานชุดนี้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งในประเทศแถบทวีปยุโรปหลายๆประเทศ ความสำเร็จของเพลง “Downfall” และงานชุด Hatebreeder ทำให้ Children of Bodom ได้เล่นคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่นสามรอบกับวง Sinergy และ In Flames การแสดงสองจากสามรอบนี้ถูกบันทึกเป็นอัลบั้มชุด Tokyo Warhearts ทางวงตัดสินใจทำ Follow the Reaper งานชุดต่อไปที่ Abyss studio ในประเทศสวีเดนของ Peter Tagtgren โดยมี track พิเศษที่แต่งอย่างรวดเร็วและมีเนื้อเพลงที่อิมโพรไวส์โดย Laiho ซึ่งนี่คือเพลง “Kissing the Shadows” งานชุดนี้วางจำหน่ายทั่วโลกในช่วงปลายปี 2000
Children of Bodom เริ่มแต่งเพลงสำหรับ Hate Crew Deathroll งานชุดต่อไปในช่วงต้นปี 2002 งานชุดนี้วางจำหน่ายที่ฟินแลนด์ในเดือนมกราคมปี 2003 สามารถยึดอันดับหนึ่งในตารางเพลงของฟินแลนด์ได้สามอาทิตย์ และนี่คืองานชุดแรกที่ขายได้ในระดับ gold ซึ่งสุดท้ายแล้วงานทุกชุดของวงก็สามารถทำยอดขายได้ในระดับ gold และงานชุด Follow the Reaper ก็สามารถทำยอดขายได้ในระดับแพทตินั่ม Children of Bodom ได้รับรางวัล Finnish Band of the Year ของเวที the Finnish Metal Music Awards ซึ่งเป็นรางวัลที่ได้มาจากคะแนนโหวตของแฟนเพลงสายเมทัล การเดินสายรอบโลกครั้งแรกของวงเริ่มต้นในปี 2003 จนถึงปลายปี 2004 สามารถขายตั๋วได้หมดในหลายๆโชว์และถือเป็นการสร้างฐานแฟนเพลงที่แข็งแกร่งในอเมริกาเหนือ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทางวงก็ต้องเจอกับข่าวร้ายคือ Kuoppala ได้ตัดสินใจออกจากวงในระหว่างการเดินสายด้วยเหตุผลส่วนตัวโดยไม่มีการแจ้งหรือเกริ่นบอกกับทางวงล่วงหน้า โดยคนที่เข้ามาช่วยเล่นกีตาร์แทนชั่วคราวก่อนก็คือ Roope Latvala จากวง Sinergy
หลังจากที่ปิดการเดินสายรอบโลกกับ Latvala ซึ่งกลายเป็นสมาชิกวงอย่างเต็มตัวในเวลาต่อมา ก็ปล่อยอีพีชื่อ Trashed, Lost & Strungout ออกมา ซึ่งมีเพลงใหม่จากอัลบั้มชุดต่อไป อย่าง “In Your Face” และ “Oops!…I Did It Again” เพลงคัฟเวอร์ของ Britney Spears ที่ทางวงทำล้อขึ้นมาสนุกๆ จากนั้นก็ปล่อย Are You Dead Yet? งานชุดต่อไปในช่วงปลายปี 2005 ซึ่งถือเป็นงานที่มีความแตกต่างจากจากอัลบั้มเพราะมีการใส่เสียงดนตรีแบบ industrial เข้ามา และงานชุดนี้ยังคงเป็นงานที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในด้านยอดขายของทางวง มันสามารถทำยอดขายระดับ gold ในฟินแลนด์ ขึ้นอันดับหนึ่งในตารางเพลงประเทศฟินแลนด์ ขึ้นอันดับ 16 ในประเทศเยอรมัน อันดับ 16 ในประเทศสวีเดน และอันดับ 17 ในประเทศญี่ปุ่น ทางวงเดินหน้าต่อยอดต่อด้วยซิงเกิ้ลเพลง “In Your Face” ในรูปแบบดีวีดี ซึ่งมีมิวสิควิดิโอ รวมภาพหลังเวที รวมถึงภาพการแสดงเพลง “Sixpounder” ที่งาน Wacken Open Air ปี 2004 จากนั้นก็ออกดีวีดีแสดงสดชื่อ Chaos Ridden Years- Stockholm Knockout Live ออกมาซึ่งมีความยาวกว่า 90 นาที Children of Bodom ได้ร่วม The Unholy Alliance tour หนึ่งในการเดินสายที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของทางวง โดยวงที่เล่นทัวร์นี้ก็มีอย่าง Slayer, Lamb of God, Mastodon, In Flames และ Thine Eyes Bleed พวกเขาได้เล่นในเทศกาลดนตรี Monsters of Rock festival โดยได้เล่นบนเวทีเดียวกันกับ Ozzy Osbourne และ Megadeth.
ในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคมปี 2007 Children of Bodom ได้อัด Blooddrunk งานลำดับที่หกจากห้องบันทึกเสียง โดยงานชุดนี้วางจำหน่ายวันที่ 15 เมษายนปี 2008 นอกจากเพลงใหม่ 10 เพลงแล้ว ก็ยังมีเพลงคัฟเวอร์อย่าง “Ghost Riders in the Sky” ด้วย พวกเขาได้เล่นใน the Gigantour 2008 กับวงอย่าง Megadeth, In Flames, Job for a Cowboy และ High on Fire นอกจากนี้ก็ยังได้เล่นในเทศกาลดนตรีอย่าง Wacken Open Air และ Download ร่วมกับวงอย่าง Iron Maiden, Sonata Arctica และ Avantasia ด้วย พวกเขาได้เล่นโชว์แรกที่เมือง Auckland ประเทศ New Zealand เมื่อเดือนมิถุนายน 2008 เดินสายที่อเมริกาช่วงเดือน กันยายน-ตุลาคม 2008 เดินสายทวีปยุโรปกับ Slipknot และ Machine Head ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2008 พวกเขาร่วม No Fear Energy Tour ที่มีวงหลังอย่าง Lamb of God ในเดือนเมษายนปี 2009
Children of Bodom ออกอัลบั้มเพลงคัฟเวอร์ชื่อ Skeletons in the Closet ในเดือนกันยายนปี 2009 เป็นงานรวมเพลงคัฟเวอร์ที่อยู่ในอัลบั้มก่อนหน้านี้และมีสี่เพลงใหม่ โดยเพลงที่นำมาคัฟเวอร์ก็เป็นของ Suicidal Tendencies, Britney Spears, Alice Cooper, Iron Maiden, Slayer, Andrew WK, Billy Idol และ Scorpions สรุปเบ็ดเสร็จ Blooddrunk World Tour กินเวลาไปทั้งหมดหนึ่งปีครึ่ง
Children of Bodom ประกาศเรื่องการเดินสายรอบโลกครั้งต่อไปในชื่อ “The Ugly World Tour 2011″ ซึ่งกินระยะเวลาช่วง มีนาคมถึงพฤษภาคม 2011 โดยมีวงเปิดร่วมเล่นอย่าง Ensiferum, Machinae Supremacy และ Amon Amarth อัลบั้มต่อไปของวงมีชื่อว่า Relentless Reckless Forever ออกวางจำหน่ายในเดือนมีนาคม ปี 2011 โดยทำยอดขายได้ระดับ gold (มากกว่า 10,000 แผ่น) ภายในวันแรกที่วางขายที่ฟินแลนด์ งานชุดนี้สามารถทำยอดขายได้ทั่วโลก 100,000 แผ่นในช่วงเดือนมีนาคม 2010 งานชุดล่าสุดของ Children of Bodom คือ Halo of Blood ซึ่งถือเป็นงานชุดที่แปดของทางวง ที่ออกวางจำหน่ายในทวีปยุโรปวันที่ 6 มิถุนายน 2012 อังกฤษ วันที่ 10 มิถุนายน 2012 และอเมริกาเหนือ วันที่ 11 มิถุนายน 2012