ปิดฉากไปอย่างงดงามกับคอนเสิร์ต “กล่อมกรุง” ที่เรียกได้ว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์ของวงการเพลงลูกกรุง ที่รวมเอา 11 ครูเพลง ได้แก่ สุเทพ วงศ์กำแหง, สวลี ผกาพันธุ์, ศรีไศล สุชาตวุฒิ, ธานินทร์ อินทรเทพ, รวงทอง ทองลั่นธม, จิตติมา เจือใจ, รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส, เศรษฐา ศิระฉายา, ดาวใจ ไพจิตร, วินัย พันธุรักษ์ และ จินตนา สุขสถิตย์ มาร่วมร้องเพลงดังอมตะด้วยน้ำเสียงต้นฉบับอันเป็นเอกลักษณ์บนเวทีเดียวกัน และยังนับว่า เป็นครั้งแรกของวงการเพลงลูกกรุงที่ เอ-ไทม์ โชว์บิส ขอคิดนอกกรอบ เนรมิตรเวทีคอนเสิร์ตอย่างยิ่งใหญ่ไว้ใจกลางกรุงอย่าง รอยัล พารากอน ฮอล์ล สยามพารากอน ในวันเสาร์ที่ 3 และ วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พร้อมยังได้ร่วมบุญด้วยกันเนื่องจากรายได้ส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ตนี้มอบให้ มูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโส
ครั้งนี้ เอ-ไทม์ โชว์บิส ขอเริ่มต้นสร้างบรรยากาศให้บรรดาแฟนเพลงรุ่นใหญ่กันตั้งแต่หน้าฮอล์ลด้วยวงดนตรีเครื่องสายที่มาขับกล่อมเสียงเพลงให้ได้บรรยากาศในยุคเพลงลูกกรุงกันแบบอิ่มอกอิ่มใจ ก่อนที่จะเข้าไปร่วมย้อนวันวาน ในแบบฉบับของโปรดักชั่นจัดเต็มด้วยวงดนตรีชุดใหญ่ที่ขนมาครบทุกประเภททั้ง ดีด สี ตี เป่า บนเวทีแสงสีสุดยิ่งใหญ่ พร้อมน้ำเสียงต้นฉบับในตำนานที่ยังตราตรึงอยู่ในใจทุกคนจากบรรดาครูเพลงผู้ทรงเกียรติ เริ่มต้นประเดิมเวทีด้วย คู่ขวัญคู่บุญ สุเทพ-สวลี ในเพลงรักอมตะอย่าง รักฉันนานๆ และ สัญญารัก พร้อมโชว์เดี่ยวในเพลงฮิตติดหู อาทิเช่น เพียงคำเดียว, รักคุณเข้าแล้ว, บ้านทราบทอง, รักไม่รู้ดับ เล่นเอาเหล่าบรรดาแฟนรุ่นเก๋าเพลงร้องตามกัน ทั้งฮอล์ล ยิ่งเพิ่มบรรยากาศความอบอุ่นในฮอลล์ขึ้นไปอีกระดับ จากนั้นเปิดตัว ธานินทร์ ด้วยเพลงประจำตัวอย่าง ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก ก่อนส่งเสียงหวานๆของ จิตติมา ขึ้นมาล้อเนื้อเพลงต่อในเพลง ขาดเธอฉันไม่รู้สึก ที่เรียงร้อย ต่อกันได้กลมกล่อมลงตัวที่สุด แล้วจึงปล่อยให้ครูเพลงทั้งสองท่านแบ่งกันมอบความสุขให้กับแฟนเพลงต่อในเมดเลย์ เพลงดังอย่าง ถ้าหัวใจฉันมีปีก และ หลักไม้เลื้อย ต่อด้วยเสียงนุ่มทุ้มของ ธานินทร์ ในเพลง ผมถูกใส่ร้าย และ น้ำตาร่วงหลังพวงมาลัย ต่อเนื่องด้วยศิลปินชั้นครูอีกหนึ่งท่านเจ้าของบทเพลง “ยังจำได้ไหม” กับท่อนฮิตอมตะ ยังจำได้ไหม…ถึงใครคนหนึ่ง.. ซึ่งคุณเคยบอกว่ารัก..รัก.. รักยิ่งนัก…” ที่ขึ้นมาทวงความทรงจำของแฟนเพลง รวงทอง ได้อย่างน่าประทับใจ จากนั้น รุ่งฤดี ก็เลือกเพลงเมดเล่ย์อกหักมาฝากแฟนๆอย่างต่อเนื่องถึงสามเพลง เอาความขมขื่น ไปทิ้งแม่โขง, พัทยาลาก่อน และ คนหน้าเดิม ก่อนที่จะส่งช่วงต่อให้อดีตบอยแบนด์รุ่นแรกจากวงดิอิมพอสสิเบิ้ล เศรษฐา และ วินัย ที่จัดเต็มกับเพลงดังทั้งเพลงคู่เพลงเดี่ยว ตักที่น่านอนตาย, หนึ่งในดวงใจ, สิ้นกลิ่นดิน, ชู้ทางใจ, โอ้รัก, หนาวเนื้อ พาเอาคนดูเคลิ้มไปกับเสียงนุ่มๆของทั้งสองจนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตามๆกัน หวนมาเพิ่มดีกรีความหวานกันต่อด้วยเพลงรักหวานซึ้งจากศิลปินแห่งชาติ จินตนา ที่หยิบยกเอาเพลง คิดถึง, ฝากรักเอาไว้ในเพลง และ คิดจะปลูกต้นรักสักกอ มาขับร้องบนเวทีแห่งนี้ ก่อนผู้ชมทั้งฮอลล์จะได้ตะลึงกับเสื้อผ้าหน้าผมสุดอลังกาลตามแบบฉบับ ดาวใจ พร้อมขนเพลงฮิตติดปากมาครบถ้วนทั้ง คืนทรมาน, น้ำตาดารา, ส่วนเกิน และ ทำไมถึงทำกับฉันได้ และสุดเซอร์ไพรส์กับการร้องเพลงร่วมกันครั้งแรกของ เศรษฐา และ ศรีไศล ในเพลง จงรัก เพลงยอดนิยมสุดอมตะก่อนปล่อยเวทีให้ศิลปินอันทรงคุณค่าท่านสุดท้าย ศรีไศล ได้มอบความสุขให้ผู้ชมอย่างเต็มอิ่มในเพลง รักข้ามขอบฟ้า, ชั่วฟ้าดินสลาย, คนเดียวในดวงใจ และ เก็บรัก เรียกได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตที่อัดแน่นทั้งคุณภาพและปริมาณจริงๆ กว่า 42 บทเพลง จาก 11 ครูเพลง ที่ให้เกียรติมาร่วมสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของวงการเพลงลูกกรุงในครั้งนี้