เบื้องหลังงานสร้าง
“เจ้าเป็นเพียงตำนาน หรือเจ้าคือตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังตำนาน?”
เรื่องราวเล่าขานถึงวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ผสานกับภารกิจของชายชาตรี ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มนักรบใน “Hercules” ภาพยนตร์ทริลเลอร์แอ็กชั่นผจญภัยยิ่งใหญ่อลังการประจำซัมเมอร์ปีนี้ จะเผยให้เห็นถึงเอกบุรุษที่เป็นสัญลักษณ์ของความหาญกล้าดั่งหัวใจสิงห์ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นการค้นพบหัวใจของวีรบุรุษผู้นี้ที่เต้นรัวอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของเขา
ดเวย์น จอห์นสัน รับบท เฮอร์คิวลิส ผู้เกิดมาพร้อมความแข็งแกร่งดั่งเทพเจ้า แต่ยังคงรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานได้แบบมนุษย์ เขามีชื่อเสียงโด่งดังจากวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ ซึ่งรวมถึง “ภารกิจทั้ง 12” ที่คนทั่วโลกรู้จักดี อันเป็นภารกิจที่ยากลำบากที่สุดในกรีซโบราณ แต่เฮอร์คิวลิสที่ถูกตามหลอกหลอนโดยอดีตของตัวเอง กลายเป็นนักรบรับจ้างที่เดินทางท่องไปทั่ว หากินกับเรื่องราวที่เป็นตำนานของตัวเขาเอง พร้อมด้วยกลุ่มผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ภักดี แต่ ณ บัดนี้ขณะที่เขาตัดสินใจรับงานอันหาญกล้าที่จะยุติสงครามกลางเมืองนองเลือดแห่งดินแดนเทรซ และคืนกษัตริย์อันชอบธรรมสู่บัลลังก์ เฮอร์คิวลิส ถูกบีบและผลักดันจนถึงขีดจำกัดของเขา เหล่าวายร้ายที่คาดไม่ถึงจะเป็นผู้ทดสอบพลังที่เป็นตำนานของเขา และโลกที่กระหายความเป็นธรรมจะทดสอบความเป็นมนุษย์ของเฮอร์คิวลิส ในภาพยนตร์ใหม่ของ เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ ที่หยิบเอาหนึ่งในวีรบุรุษผู้กล้าในมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทุกยุคทุกสมัยมาขึ้นจอ
พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส และเมโทร-โกลด์วิน-เมเยอร์ พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ “Hercules” สร้างจากนิยายภาพเรื่อง Hercules ของเรดิคัล คอมิคส์ ผลงานของ สตีฟ มัวร์ บทภาพยนตร์เป็นฝีมือเขียนบทของ ไรอัน เจ คอนดัล และอีแวน สพิลิโอโทพูลอส กำกับโดย เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังร่วมแสดงโดย นักแสดงเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ เอียน แม็คเชน (“Deadwood,” “Pirates Of The Caribbean: On Stranger Tides”), รูฟัส ซีเวลล์ (“Legend of Zorro”), แอ็กเซล เฮนนี่ (“Headhunters”), อิงกริด โบลโซ เบอร์ดัล (“Hansel & Gretel: Witch Hunters”), รีซ ริทชี่ (“Prince of Persia: The Sands Of Time”), โทเบียส ซานเทลแมนน์ (“Kon-Tiki”), โจเซฟ ไฟนส์ (“American Horror Story”), ปีเตอร์ มัลแลน (“War Horse,” “Top of the Lake”), นักแสดงชายผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ จอห์น เฮิร์ต (“Harry Potter And The Deathly Hallows”), นักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน (“The White Queen”), ไอแซ็ค แอนดรูว์ส (“Blackwood”) และเออริน่า ชี้ก
Hercules อำนวยการสร้างโดย โบ ฟลินน์, แบร์รี่ เลวิน และแร็ทเนอร์ ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ รอสส์ แฟงเกอร์, เจสซี่ เบอร์เกอร์, ปีเตอร์ เบิร์ก และซาราห์ ออบรีย์ ทีมงานหลังกล้อง ได้แก่ ผู้กำกับภาพผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ดังเต้ สปิน็อตติ (“The Insider,” “LA Confidential”), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ฌอน-วินเซนต์ พูซอส (“10,000 B.C.”), ผู้ลำดับภาพ มาร์ก เฮลฟริช (“X-Men: The Last Stand”) และจูเลีย หว่อง, ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แจนนี่ เทมิม (“Skyfall”), ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ เฟอร์นันโด เวลาซเคซ, วิชวลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ จอห์น บรูโน่ (“Avatar”), ผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 อเล็กซานเดอร์ วิตต์ (“Skyfall”) และผู้ประสานงานสตั๊นต์ เกร็ก พาวเวลล์ (“Fast & Furious 6,” ภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุด “Harry Potter”)
ตำนานที่เป็นอมตะของเฮอร์คิวลิส มนุษย์กึ่งเทพที่มีชื่อเสียงในเรื่องของวีรกรรมอันยิ่งใหญ่และความกล้าหาญ ได้ถูกนำมาสร้างใหม่ในแบบที่สร้างความตื่นเต้นสไตล์ศตวรรษที่ 21 โดยมีผู้กำกับ เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ และดาราแอ็กชั่นอย่าง ดเวย์น จอห์นสัน เป็นผู้นำ เฮอร์คิวลิส ให้ฟื้นคืนชีวิตกลับมาอีกครั้ง ในฐานะชายผู้ดิ้นรนที่จะใช้ชีวิตอย่างยิ่งใหญ่ให้ทัดเทียมกับวีรกรรมที่เขาเคยสร้างเอาไว้ ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายเลวทราม
เฮอร์คิวลิสในเวอร์ชั่นนี้คือวีรบุรุษที่เคยปราบทั้งสิงโตและสุนัขเฝ้าอเวจี และเป็นที่หวาดหวั่นและเคารพยำเกรงในฐานะแชมเปี้ยนที่เป็นมนุษย์จอมพลัง แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว ในใจเขายังเต็มไปด้วยบาดแผลจากโศกนาฏกรรม และความไม่แน่นอนจากสิ่งที่เขาได้รับสืบทอดมา เฮอร์คิวลิส พร้อมกับผู้ร่วมทางที่ซื่อสัตย์ห้าคน เดินทางมายังอาณาจักรแห่งนี้เพื่อขายแรงงานของเขาแลกกับทองคำ และใช้ชื่อเสียงอันน่าหวั่นเกรงของเขาเพื่อข่มขู่ศัตรู แต่เมื่อผู้ปกครองนครเทรซ และบุตรสาว ขอความช่วยเหลือจากเฮอร์คิวลิสเพื่อให้เขามาปราบขุนศึกที่น่าเกรงขาม เฮอร์คิวลิสมิอาจเอ้อระเหยลอยชายไปตามเรื่องเล่าขานรอบๆ ตัวเขาได้
เขาต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับในตำนานของตัวเขาเอง และกลายเป็นวีรบุรุษที่ผู้คนมีความศรัทธา
ดเวย์น จอห์นสัน กล่าวว่า “การสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเฮอร์คิวลิส ถือเป็นโปรเจ็กต์สุดรักของผมมานานมากแล้ว เขาเป็นตัวละครที่ตลอดหลายศตวรรษมานี้ ได้เป็นแรงบันดาลใจให้คนมากมาย รวมถึงตัวผมเองด้วย แต่ในครั้งนี้ เราอยากสร้าง เฮอร์คิวลิส ในแบบที่คนดูไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนที่เราได้พบ เฮอร์คิวลิส ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาคือคนที่โดนเนรเทศ เขากำลังทรมานกับความรู้สึกเสียใจ และเขาต่อสู้เพื่อทองคำเท่านั้น เขาต้องเอาชนะความชั่วร้ายในตัว และค้นหาหัวใจเพื่อจะกลับมาเป็นชายที่ผู้คนอยากให้เขาเป็นอีกครั้ง”
“ความแตกต่างของ เฮอร์คิวลิส ของเราก็คือ เขาเป็นผู้ชายธรรมดาที่ปฏิเสธความจริงที่ว่าเขาเป็นลูกชายของเทพเจ้ากรีก” เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ กล่าวเสริม “ทุกตำนานเริ่มต้นด้วยเรื่องจริง และเมื่อผมได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ที่อิงจากนิยายภาพเรื่อง Hercules – The Thracian Wars มันทำให้ผมอึ้งไปเลยที่มันวางเรื่องเอาไว้บนความเป็นจริงที่คุณรู้สึกได้ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะนำมาขึ้นจอ”
สำหรับแร็ทเนอร์ ซึ่งคุ้นเคยดีทีเดียวกับงานสร้างภาพยนตร์แอ็กชั่นสุดมันส์ ตั้งแต่ภาพยนตร์ชุด “Rush Hour” จนถึง “X-Men: Last Stand” การสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Hercules” หมายถึงการสร้างภาพยนตร์มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ยังเป็นการวางเฮอร์คิวลิสเอาไว้ในรูปลักษณ์ที่ตรงกันข้ามกับความเป็นวีรบุรุษได้อย่างน่าสนใจ “นี่คือเรื่องที่เต็มไปด้วยฉากแอ็กชั่น อารมณ์ขัน และการต่อสู้แบบต่อตัวต่อ ซึ่งทุกคนคงอยากดู แต่ผมหวังว่าคนดูคงจะเดินออกไปจากโรงภาพยนตร์โดยรู้สึกได้ถึงพลังในความศรัทธาของเฮอร์คิวลิส” ผู้กำกับแร็ทเนอร์บอก
แรงบันดาลใจในการจินตนาการ เฮอร์คิวลิส ขึ้นมาใหม่นั้น เริ่มต้นขึ้นด้วยหนังสือการ์ตูนของ เรดิคัล สตูดิโอส์ เรื่อง Hercules: The Thracian Wars ซึ่งนักวาดการ์ตูนชาวอังกฤษอย่าง สตีฟ มัวร์ ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับคนอ่านด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษตกอับที่เกิดความกังขาในตนเอง จนต้องมองหาหนทางไถ่บาป นับแต่แรกเริ่ม แบร์รี่ เลวิน และเจสซี่ เบอร์เกอร์ ผู้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทเรดิคัล ก็ตั้งความหวังเอาไว้อยู่แล้วว่านิยายภาพสุดทะเยอทะยานเรื่องนี้ จะได้ก้าวขึ้นสู่จอภาพยนตร์ และทลายรูปแบบของภาพยนตร์ที่สร้างจากเทพปกรณัมคลาสสิก ซึ่งบ่อยครั้งมักจะถลำลึกลงไปในเรื่องราวแฟนตาซี หรือแม้กระทั่งงานแอนิเมชั่น
นิยายภาพเรื่องนี้สร้างความสนใจให้กับ จอห์นสัน ครั้งแรกในระหว่างที่เขาได้เข้าไปเยือนสำนักงานของเรดิคัล “หนังสือการ์ตูนของพวกเขานำเสนอ เฮอร์คิวลิส ได้อย่างโดดเด่น ซึ่งดึงความสนใจของเราไปได้ทั้งหมด” จอห์นสันบอก “พวกเขาได้นำเอาตำนานเฮอร์คิวลิสสุดเท่ มาบิดเรื่องไปในแบบที่ทำให้เรื่องนี้มีพลังแบบร่วมสมัย กลายเป็น เฮอร์คิวลิส ในแบบที่คนดูไม่คุ้นเคย”่
หลังจากนั้นไม่นาน แร็ทเนอร์ได้เข้ามาร่วมงานกับโปรเจ็กต์นี้ และเรดิคัล คอมิคส์ก็ตื่นเต้นกับการร่วมมือกันครั้งนี้ “กลับกลายเป็นว่าเบร็ทท์เป็นแฟนของ เฮอร์คิวลิส มาตั้งแต่ตอนสมัยเขายังเป็นเด็กแล้ว” เลวินเล่า “เขาได้นำเอาความกระตือรือร้นและความรักที่เขามีมาให้โปรเจ็กต์นี้ และเริ่มต้นรวบรวมความคิดสุดยอดเอาไว้มากมาย”
ไอเดียเหล่านั้นได้ผสมรวมกับไอเดียของทีมเขียนบท ไรอัน คอนดัล และอีแวน สพิลิโอโทพูลอส ซึ่งช่วยกันจับ เฮอร์คิวลิส ไปวางเอาไว้ในยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงที่มีทั้งพันธมิตรที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ชัยชนะทางทหาร ความปั่นป่วนบาดหมางระหว่างชนเผ่า และความทะยานอยากของอาณาจักร มันคือโลกที่ต้องการอำนาจในตำนาน แต่ เฮอร์คิวลิส ไม่เชื่อว่าเขามีสิ่งเหล่านั้นอยู่
“บทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างตำนานของ เฮอร์คิวลิส ขึ้นมาอีกครั้ง” ฟลินน์ตั้งข้อสังเกต “เขาได้ปฏิเสธตำนานอันโด่งดังเกี่ยวกับตัวเขาเอง คุณจะเห็นเลยว่าเขาคือคนที่ใกล้จะยอมแพ้แล้ว แต่เขายังมีโอกาสสุดท้ายที่จะชะล้างความชั่วร้ายของตัวเอง และกลายมาเป็นคนที่สมบูรณ์อีกครั้ง”
เมื่อมี จอห์นสัน รับบทเป็น เฮอร์คิวลิส บทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เพิ่มมิติใหม่ๆ ขึ้น “เมื่อดเวย์นเข้ามารับบทนี้ เราเริ่มต้นดึงเอาความสนุกและความสามารถออกมาจากตัวเฮอร์คิวลิส” สพิลิโอโทพูลอสอธิบาย “เราอยากให้คนดูได้สนุกกับอารมณ์ขันของดเวย์น เสน่ห์ของเขา และความตื่นเต้นของหนังแอ็กชั่นซัมเมอร์ที่เกี่ยวกับเฮอร์คิวลิส”
จอห์นสันสรุปว่า “สำหรับผม โทนของ ‘Hercules’ ต้องออกมาเหมาะเจาะที่สุด ต้องหาสมดุลระหว่างอารมณ์ขัน ความอบอุ่น และความยิ่งใหญ่ รวมถึงแอ็กชั่นระดับมหากาพย์ให้ได้ ผมคิดว่าเราสามารถทำเช่นนั้นได้ และวางเรื่องนี้เอาไว้ในตัวละครที่สนุกสนานมาก ผมอยากให้ เฮอร์คิวลิส มีเสน่ห์เท่ๆ และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คนดูจินตนาการเอาไว้ว่าเขาเป็น”
ทีมนักแสดง และตัวละคร
เฮอร์คิวลิส/ ดเวย์น จอห์นสัน:
เขาเกิดมาเป็นลูกชายของซุส แต่ตอนนี้เขาเหนื่อยล้าและกลายเป็นนักรบที่เป็นมนุษย์ปุถุชนที่ใช้ชีวิตอยู่บนเศษซากสุดท้ายของชื่อเสียงอันขจรขจายของเขา จนกระทั่งเขาได้ค้นพบว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นสามารถทำอะไรได้บ้างเมื่อมันผสมรวมเข้ากับศรัทธา
การจะทำให้เฮอร์คิวลิสมีเลือดเนื้อขึ้นมา รวมถึงต้องมีทั้งพลังมหาศาลและความเฉลียวฉลาด และเสน่ห์ที่ดึงดูดใจนั้น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นที่สุด เขาผู้นั้นก็คือ ดเวย์น จอห์นสัน ตัวของ จอห์นสัน เองนั้นก็คงเหมือนตำนานบทหนึ่งของกรีก เพราะเขาได้สร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะฮีโร่ ที่ผันตัวเองจากการเป็นซูเปอร์สตาร์บนสังเวียนมวยปล้ำ WWE จนกลายมาเป็นพระเอกหนังแอ็กชั่น และยังเป็นหนึ่งในนักแสดงนำชายที่มีคนต้องการตัวมากที่สุด จอห์นสันไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติของตัวละครตัวนี้ครบถ้วน แต่เขายังมีความฝันที่จะได้เล่นเป็น เฮอร์คิวลิส มาตั้งแต่ยังเด็ก
“ดเวย์นเกิดมาเพื่อเล่นเป็น เฮอร์คิวลิส” ผู้กำกับแร็ทเนอร์บอก “และการทุ่มเทของเขาที่มีให้กับการแสดงเป็นเฮอร์คิวลิสก็น่าทึ่งมาก เขาฝึกตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวัน แน่นอน ดเวย์นเคยแสดงหนังแอ็กชั่นฟอร์มยักษ์มาแล้วมากมาย แต่ผมว่าเขายังไม่เคยเล่นบทแบบนี้มาก่อน หนังเรื่องนี้มีฉากใหญ่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีการต่อสู้ และมีความสนุก แต่มันยังมีเรื่องราวในส่วนที่แสดงอารมณ์และความอบอุ่นหัวใจอย่างไม่น่าเชื่อ”
จอห์นสันเล่าว่า “ผมเติบโตมาพร้อมกับความชื่นชมในตัวเฮอร์คิวลิส และมันคือโปรเจ็กต์แรกที่ผมเคยคุยว่าผมอยากจะทำ ตอนที่ผมเริ่มก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวุ้ด ดังนั้นนี่จึงเป็นภาพยนตร์และบทที่ถูกเพาะบ่มเพื่อผมมานานหลายปีมากๆ”
“อีกอย่าง ผมอยากจะใส่ผ้าเตี่ยวมานานแล้ว” จอห์นสันกล่าวอย่างมีอารมณ์ขัน
ทันทีที่โปรเจ็กต์นี้เริ่มดำเนินงานสร้าง จอห์นสันก็เริ่มต้นด้วยการฝึกเป็นระยะเวลา 8 เดือน ซึ่งทำให้เขาต้องผ่านการลดน้ำหนัก เพิ่มกล้ามเนื้อ และฟิตหุ่นที่มีความบึกบึนเป็นพิเศษของเขา รวมถึงยังต้องเพิ่มทักษะในการต่อสู้ให้มากขึ้นด้วย แต่เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องสร้างเฮอร์คิวลิสที่มีข้อบกพร่องในตัว เป็นเฮอร์คิวลิสที่ช่างประชดประชัน น่ากลัว เก่งในเรื่องการต่อสู้ตัวต่อตัว แต่เขากำลังตามหาเหตุผลที่จะกลายมาเป็นวีรบุรุษในแบบที่เขาเคยเป็นอีกครั้ง
“ในความคิดของผม คุณมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่จะได้แสดงเป็นเฮอร์คิวลิสที่ทุกคนชื่นชม ผมจึงอยากแน่ใจว่าเฮอร์คิวลิสที่ผมคิดเอาไว้ในหัว คือเฮอร์คิวลิสในแบบที่คนดูอยากจะเห็นบนจอจริงๆ” จอห์นสันอธิบาย “และนั่นก็คือการเป็นสัตว์ร้ายในร่างมนุษย์ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ซึ่งผมรู้ดีว่าคงต้องการความแข็งแกร่งอย่างมาก ต้องมีการฝึกตามเงื่อนไข และต้องมีการควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดด้วย”
เขากล่าวเสริมอีกว่า “การสร้างและรักษาความฟิตของร่างกายแบบนั้นเอาไว้ จำต้องมีความใส่ใจในรายละเอียดอย่างสูง บางครั้งคุณต้องลดการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ หรือเพิ่ม หรือฝึกวันละสามรอบ หรือเพิ่มแคลอรี่เป็นวันละ 8,000 หรือต้องลดจำนวนแคลอรี่ลง มันคือความท้าทายอย่างมหาศาล แต่มันก็ควรเป็นความท้าทายในการจะเล่นเป็นเฮอร์คิวลิสให้ได้!”
สำหรับข้อเรียกร้องทางกายของบทนี้ ซึ่งยิ่งแสนสาหัสขึ้นไปอีกเมื่อจอห์นสันต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้นเพียงไม่นาน จอห์นสันยังให้ความสนใจในเรื่องของการใส่อารมณ์ที่หลากหลาย รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ที่เฮอร์คิวลิสต้องเจอ ขณะที่เขาเกิดความเข้าใจว่าเขาเป็นใครในฐานะที่เป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์่
“ตอนที่เราได้พบเขาครั้งแรก สำหรับเขาแล้วมันไม่สำคัญเลยว่าเขาจะเป็นลูกของซุสหรือไม่” จอห์นสันอธิบาย “สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับเขาก็คือ การแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด แต่เขามีกลุ่มพี่น้องทั้งชายและหญิง และพวกเขาก็คือคนที่ผลักดันเฮอร์คิวลิสให้เชื่อว่าเขาสามารถเป็นคนที่ดีขึ้นได้”
แอมเฟียราอุส / เอียน แม็คเชน:
ผู้พยากรณ์ แอมเฟียราอุส ได้เข้าร่วมกองทัพทหารรับจ้างของ เฮอร์คิวลิส โดยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านจิตวิญญาณแอมเฟียราอุสที่บัดนี้มองเห็นนิมิตการตายของเขาที่กำลังจะมาเยือน ต่อสู้โดยไร้ซึ่งความกลัว เพราะเขาเชื่อว่ามันยังไม่ถึงเวลาตายของเขา และผู้ที่เข้ามารับบทสำคัญบทนี้ก็คือหนึ่งในนักแสดงที่น่าติดตามมากที่สุดคนหนึ่งในยุคปัจจุบันอย่าง เอียน แม็คเชน นักแสดงเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ ผู้เคยรับบทเป็น อัล สแวเรนเกน ในผลงานของ HBO เรื่อง “Deadwood” และยังเคยรับบทบาทเป็นตัวละครที่มีความหลากหลายทั้งในภาพยนตร์ตลกและภาพยนตร์แอ็กชั่น
“เอียดเป็นคนฉลาด ตัวละครของเขาเป็นคนที่ทำให้เฮอร์คิวลิสได้คิดว่า จงเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายของตัวเอง” แร็ทเนอร์กล่าว ขณะที่ จอห์นสัน กล่าวเสริมว่า “เอียนเดินเข้ามาและตีบทนี้แตกกระจุย”
แม็คเชนเกิดความสนใจตัวละครตัวนี้ในทันที “เขาเป็นคนที่บอกว่าอย่าได้โยนความผิดให้กับเทพเจ้าอันเนื่องจากการกระทำของมนุษย์ คุณต้องรับผิดชอบในชะตากรรมของตนเอง” แม็คเชนอธิบาย
เขายังสนใจในโอกาสที่จะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมนักแสดงขาลุยที่มีความผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นด้วย “ภาพยนตร์เรื่องนี้เดินตามรูปแบบธรรมเนียมของภาพยนตร์คาวบอยและภาพยนตร์ซามูไร คุณมีกลุ่มคนนอกคอกที่แต่ละคนต่างมีหลักการของตัวเอง แต่พวกเขาต้องหาทางทำงานด้วยกันเป็นกลุ่ม” แม็คเชนตั้งข้อสังเกต “พวกเขาคือทหารรับจ้างที่ต่อสู้เพื่อเงิน แต่ตอนนี้พวกเขากลับพบหน้าที่ที่สูงส่งมากขึ้น”
การมารับบทเป็นชายผู้เชื่อมั่นในศรัทธา รวมถึงความเชื่อที่ว่าเขายังตายไม่ได้ คือความท้าทายที่น่าทึ่ง “แอมเฟียราอุสไม่กลัวเกรงสิ่งใด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ใช่คนโง่” แม็คเชนกล่าว “ผมคิดว่าเขาอยากเตือนเฮอร์คิวลิสว่าพวกเขาสามารถทำเรื่องถูกต้องได้ทุกอย่าง”
ออโตไลคัส/ รูฟัส ซีเวลล์:
ออโตไลคัสอาจไร้ซึ่งความแข็งแกร่งแบบเฮอร์คิวลิส แต่เขาก็มีคุณสมบัติอื่นมาชดเชย นั่นก็คือ ปัญญาที่เฉียบคมของเขา ทำให้เขากลายเป็นผู้วางกลยุทธของเฮอร์คิวลิส รูฟัส ซีเวลล์ นักแสดงชายชาวอังกฤษที่เมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งมีบทบาทการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Abraham Lincoln: Vampire Hunter” รับบทเป็นสหายคู่ใจของเฮอร์คิวลิส
“ออโตไลคัสและเฮอร์คิวลิสคอยเฝ้าระวังภัยให้กัน” ซีเวลล์อธิบาย “พวกเขามีการสื่อสารที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด พวกเขามักจะทำงานด้วยกัน นั่นคือความภาคภูมิของออโตไลคัส ซึ่งเขารู้จักเฮอร์คิวลิสดีกว่าคนอื่น”
ในเวลาเดียวกัน ออโตไลคัสก็มีด้านที่ซีเวลล์พบว่าสนุกสนานมาก “เขาเป็นพวกที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง” ซีเวลล์สารภาพ “เขาเป็นพวกช่างประชดประชัน และมีอารมณ์ขันกับเฮอร์คิวลิส เขาไม่เพียงแต่เป็นมันสมองของปฏิบัติการนี้เท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่คิดเกี่ยวกับเงินทอง เขาเป็นคนที่มีจิตใจดี แต่บ่อยครั้งที่เขาเก็บซ่อนมันเอาไว้”
ในการทำศึก ออโตไลคัสยังใช้ประโยชน์จากคมดาบให้มาเป็นข้อได้เปรียบ ซึ่งสำหรับซีเวลล์ มันหมายความว่าเขาต้องเริ่มฝึกตั้งแต่วินาทีที่เขาตัดสินใจรับบทนี้ “คุณรู้ว่าจะต้องมีการฝึกเยอะมากแน่ๆ เมื่อคุณต้องยืนอยู่ข้างๆ ดเวย์น จอห์นสัน และต้องทำให้ทุกคนเชื่อว่าพวกคุณอยู่สปีชี่เดียวกัน” ซีเวลล์กล่าวติดตลก “ผมฝึกต่อสู้ ยกน้ำหนัก และฝึกการใช้อาวุธ เพราะเราเป็นทหารรับจ้าง การต่อสู้ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีเยอะมาก ไม่ค่อยได้เต้นฟุตเวิร์กเท่ๆ กันหรอก ขณะเดียวกัน สิ่งที่ผมชอบมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ มันมีทั้งอารมณ์ขันและความเป็นมนุษย์ปุถุชน”
ทิเดียส/ แอ็กเซล เฮนนี่:
ทิเดียส ชายใบ้ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากเมืองธีบส์ มีความภักดีต่อเฮอร์คิวลิส แต่เมื่อเขาเผลอไผล สัตว์ร้ายภายในก็อาจเข้าครอบงำได้ แอ็กเซล เฮนนี่ นักแสดงชาวนอร์เวย์ ซึ่งได้รับคำชมจากผลงานเรื่อง “Headhunters” เข้ามารับบทนี้
“แอ็กเซลคือหนึ่งในคนแรกๆ ที่เราเลือกตัวให้มาร่วมแสดงใน ‘Hercules’” ฟลินน์กล่าว “เขาเป็นนักแสดงที่สุดยอดมาก และเล่นได้ดีในบทที่ไม่ธรรมดา ชายใบ้แห่งเมืองธีบส์ ผู้เป็นนักรบนอร์เวย์”
เฮนนี่รู้สึกทึ่งกับวิธีที่ตัวละครของเขารับมือกับโลกนี้ “ผมชอบความจริงที่ว่าคุณมีตัวละครตัวนี้ที่มีความรู้สึกทุกรูปแบบ รวมถึงความกราดเกรี้ยว แต่เขากลับไม่สามารถแสดงมันออกมาเป็นคำพูดได้ มันทำให้เขาดูลึกลับ” เฮนนี่บอก
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฮอร์คิวลิส เฮนนีอธิบายว่า “ทิเดียสภักดีกับเฮอร์คิวลิสและพรรคพวก 120% ทีเดียว ซึ่งทำให้เขากลายเป็นตัวอันตรายเพราะเขาจะทำทุกอย่างตามที่คุณบอกให้เขาทำ”
เช่นเดียวกับเพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ เฮนนีต้องทุ่มเทให้กับการฝึกอย่างหนัก แต่เห็นได้ชัดเลยว่าการฝึกนั้นสำคัญแค่ไหนเมื่อพวกเขาถ่ายทำฉากศึกเบสซี่ที่ยิ่งใหญ่ “คุณจะรู้สึกได้เลยว่าความทุ่มเทและการฝึกทั้งหมดส่งผลให้เห็นในฉากนั้น เมื่อตัวละครของเราได้ร่วมรบด้วยกัน และกลายเป็นเพื่อนที่ร่วมต่อสู้เพื่อกันและกัน” เฮนนีกล่าว “มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก”
แอ็ททาแลนต้า/ อิงกริด โบลโซ เบอร์ดัล:
แอ็ททาแลนต้าที่เป็นพลธนู มีความแข็งแกร่งแบบอิสตรีจากอะเมซอนที่มีชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลก และเธอยังเป็นหนี้เลือดต่อเฮอร์คิวลิส ผู้มารับบทนี้ก็คือ อิงกริด โบลโซ เบอร์ดัล นักแสดงหญิงชาวนอร์เวย์ที่มีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง “Cold Prey,” “Chernobyl Diaries” และ “Hansel and Gretel: Witch Hunters”
เบอร์ดัลกล่าวว่า “แอ็ททาแลนต้าคือตัวแทนของหญิงแกร่ง ดังนั้นต้องอาศัยความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากที่จะมารับบทนี้ได้ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเรื่องราวที่ดีมาก เป็นภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์มหากาพย์แอ็กชั่นที่เต็มไปด้วยตัวละครที่น่าสนใจที่ต่างมีหลักการของตัวเอง มันยากจะต้านทานจริงๆ และยังดึงดูดนักแสดงเก่งๆ ยิ่งทำให้มันเป็นภาพยนตร์ที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น”
เพื่อเตรียมตัวมารับบท แอ็ททาแลนต้า อิงกริดต้องใช้เวลานานหลายเดือนในการฝึกหนัก และต้องฝึกกับผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงธนู สตีฟ ราล์ฟส์ เพื่อเรียนรู้ท่าทางของพลธนู ซึ่งทุกคนต่างประทับใจกับผลลัพธ์ที่ได้อย่างมาก ฟลินน์ให้ความเห็นว่า “อิงกริดเป็นคนสวยและแข็งแรงมาก สำหรับบทพลธนูหญิง คุณต้องเชื่อว่าเธอเป็นคนอดทน ทรหด และเป็นขาลุยเช่นเดียวกับคนอื่นๆ อิงกริดตีบทแตกกระจาย เธอมาถึงกองถ่ายด้วยรูปร่างที่ฟิตเต็มที่ อาจจะมากกว่าพวกผู้ชายด้วยซ้ำ”
ไอโอลัส/ รีซ ริทชี่:
ทหารรับจ้าง ไอโอลัส เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเฮอร์คิวลิสและเป็นนักเล่าเรื่องที่เผยแพร่ตำนานของเขาไปทั่วแผ่นดิน บทนี้รับบทแสดงโดย รีซ ริทชี่ ซึ่งประเดิมงานแสดงชิ้นแรกในภาพยนตร์ของ โรแลนด์ เอ็มเมอริช เรื่อง “10,000 B.C.” และยังรับบท บิส ในภาพยนตร์เรื่อง “Prince of Persia: The Sands of Time”
ริทชี่พูดถึงไอโอลัสว่า “เขาคอยติดตามเฮอร์คิวลิสตลอด แต่ผมว่าเขาไม่เคยออกไปผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันทำให้เขาได้เนื้อหาใหม่ๆ เอาไว้เล่าขานต่อไปเยอะมาก เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยความสงสัย แต่เขาอยากพิสูจน์ตัวเองว่าเขาเป็นนักรบที่ทรงคุณค่าเช่นกัน”
การมารับบทเป็น ไอโอลัส ริทชี่ได้เผชิญกับด้านใหม่ในตัว ดเวย์น จอห์นสัน “ผมประหลาดใจมากที่เห็นว่าเขาเป็นคนตลกแค่ไหน เพราะตัวละครของเราต้องกระเซ้าเย้าแหย่กันตามประสาญาติพี่น้อง” ริทชี่กล่าว “และเขาก็ใส่ความอ่อนไหวในแบบที่ผมไม่เคยคาดคิดจริงๆ”
การฝึกช่วยให้ริทชี่สนิทสนมกับจอห์นสันและผู้รับบทเป็นทหารรับจ้างคนอื่นๆ “พวกเราถูกจับโยนไปในโลกที่ต้องฝึกฝนอย่างหนักด้วยกัน มันจึงกลายเป็นกระบวนการที่สร้างความสนิทสนมผูกพัน ไม่แตกต่างไปจากที่ตัวละครของพวกเราต้องเจอ” เขากล่าว
รีซัส/ โทเบียส ซานเทลแมนน์:
ขณะที่เรื่องราวนี้ดำเนินไป เฮอร์คิวลิสต้องเผชิญหน้ากับคู่ปรับที่มีฝีมือในตัว รีซัส ผู้นำกองทัพกบฏที่ ลอร์ดโคทิส ได้จ้างเฮอร์คิวลิสให้มาลงมือสังหาร โทเบียส ซานเทลแมน นักแสดงชายชาวนอร์เวย์ ผู้เคยร่วมแสดงในภาพยนตร์ผจญภัยที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ เรื่อง “Kon-Tiki” รับบทเป็นผู้นำกองทัพคนนอกคอกจากทุกชนเผ่า
การรู้ว่าเขาจะได้ปะทะกับ ดเวย์น จอห์นสัน คือแรงจูงใจสำหรับซานเทลแมนน์มาตั้งแต่แรกเริ่ม “ผมต้องฝึกให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ และต้องควบคุมการกินอาหาร และทำงานกับชุดที่สุดยอดมาก เพราะเมื่อรีซัสเผชิญหน้ากับเฮอร์คิวลิส คุณต้องรู้สึกเลยว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ลงเอยง่ายๆ แน่” ซานเทลแมนน์บอก “หนึ่งในความน่าสนใจก็คือ รีซัสมีข้อได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็ว มากกว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง เฮอร์คิวลิสเองก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่มี แต่รีซัสใช้ความรวดเร็วมาเป็นเทคนิคสำคัญของเขา”
รีซัสอาจเป็นนักรบที่ดุร้าย แต่ซานเทลแมนน์บอกว่ายังมีด้านอื่นๆในตัวเขาอีกมาก “เขาเป็นคนที่มีอุดมคติ เช่นเดียวกับ เช กูวารา ที่เป็นผู้นำกองทัพประชาชน”
เส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความดีความชั่วกลายเป็นเรื่องสนุกสำหรับทีมนักแสดงทุกคน เอียน แม็คเชน ตั้งประเด็นว่า “รีซัสเป็นคนเลวหรือเปล่า ลอร์ดโคทิสเป็นคนดีงั้นหรือ ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เห็นภายนอกหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่จะต้องค้นหากันในภาพยนตร์เรื่องนี้”
ราชายูรีสเธียส/ โจเซฟ ไฟนส์:
กษัตริย์แห่งเอเธนส์สืบทอดบัลลังก์ต่อจากพระบิดา และเขาจะไม่ยอมหยุดเพื่อหยุดยั้งเหล่าศัตรู ผู้รับบทเป็นราชายูรีสเธียส ก็คือโจเซฟ ไฟนส์ นักแสดงเจ้าบทบาทผู้เคยรับบทเป็น พระราชาคณะทิโมธี ฮาวเวิร์ด ในผลงานทางทีวีเรื่อง “American Horror Story”
“โจเซฟมีตัวละครที่ดีมากเพราะเป็นตัวละครที่มีจุดหักมุมและพลิกผันเยอะมาก” แร็ทเนอร์บอก ขณะที่ จอห์นสัน กล่าวเสริมว่า “ผมสนุกกับการทำงานกับโจเซฟมาก เรียกว่าสนุกกันทุกนาทีทีเดียว”
ไฟนส์พูดถึงตัวละครของเขาว่า “ส่วนหนึ่งเขาก็มีความเป็นนักการเมือง แต่อีกส่วนหนึ่งเขาก็เป็นเพลย์บอย เมื่อมองภายนอก เขาเป็นคนที่เข้าถึงได้ เป็นคนสบายๆ แต่จริงๆ เขามีด้านมืด โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องพลังอำนาจของเฮอร์คิวลิส”
เขากล่าวว่า “เขาอาจแสดงความชื่นชมเฮอร์คิวลิสในฐานะของนักกีฬาและนักรบ แต่มันก็เป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความอิจฉาริษยาของเขา และความวิตกกังวลว่าเฮอร์คิวลิสจะกลายเป็นคนที่เขาต้องจัดการ”
โคทิส/ จอห์น เฮิร์ต:
ลอร์ดโคทิสที่ฉลาดเป็นกรดและหิวกระหายอำนาจ ฝันไว้ว่าจะได้สร้างอาณาจักรของตัวเอง บทนี้รับบทแสดงโดย จอห์น เฮิร์ต ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 2 ครั้ง และเมื่อเร็วๆ นี้ยังร่วมแสดงในภาพยนตร์เอพิคไซไฟของ บองจุนโฮ เรื่อง “Snowpiercer”
“จอห์น เฮิร์ตคือนักแสดงอังกฤษที่เก่งมาก เขามารับบทเป็นลอร์ดโคทิส เขาได้จ้าง เฮอร์คิวลิส และกองทัพทหารรับจ้างเพื่อให้มาทำหน้าที่เป็นมือสังหาร นั่นคือจุดที่เรื่องราวของเราเริ่มต้นขึ้น” แร็ทเนอร์อธิบาย
เฮิร์ตรู้สึกสนใจในธรรมชาติที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของตัวละครของเขา “มันเป็นบทที่อารมณ์เข้มข้นมาก โคทิสไม่ใช่คนประเภทที่คุณจะเรียกได้ว่าเป็นคนปกติ ซึ่งตรงนั้นแหละที่ทำให้ผมสนใจได้เสมอ” เฮิร์ตบอก “ตัวละครเหล่านี้ผสมผสานระหว่างตำนานและความเป็นจริงเข้าด้วยกัน ทำให้นักแสดงมีอะไรสนุกๆ ให้เล่นเยอะมาก”
เออร์จีเนีย/ รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน:
เออร์จีเนีย ผู้เชี่ยวชาญการรักษาเยียวยา คือบุตรสาวของลอร์ดโคทิส เธอแต่งงานกับราชาแห่งเทรซ เธอได้ลั่นปากสาบานว่าจะดูแลรักษาลูกชายของเธอที่เป็นรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ให้ปลอดภัย ไม่ว่าจะต้องทำเช่นไร ผู้รับบทนี้ก็คือนักแสดงหญิงชาวสวีเดน รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน ที่ประเดิมงานแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเป็นเรื่องแรก
เฟอร์กูสันเล่าว่าตอนที่เออร์จีเนียได้พบกับเฮอร์คิวลิส เธอรู้สึกได้ทันทีถึงความผูกพันระหว่างพวกเขา “ในตอนแรก เธอมองเขาเป็นวีรบุรุษที่เธอเคยได้ยินเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเขามามากมาย เธอไม่รู้ว่าจะเจอคนแบบไหน แต่ทั้งคู่ต่างมีอดีตเกี่ยวกับพ่อแม่ที่ต้องหาทางเยียวยา นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาและเธอเข้าใจกัน”
เฟอร์กูสันรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ร่วมงานกับ ดเวย์น จอห์นสัน “แน่นอนเขาตัวใหญ่ กล้ามเป็นมัดๆ และสนุกในบทเฮอร์คิวลิส แต่ดเวย์นมีความสามารถที่จะแสดงความอ่อนไหวออกมาได้” เฟอร์กูสันกล่าว “ฉันชอบที่ได้แสดงซีนอารมณ์กับเขา เพราะมีความขัดแย้งกันมากระหว่างหน้าตารูปลักษณ์ภายนอกกับสิ่งที่เขาแสดงออกมา”
จอห์นสันพูดถึงเฟอร์กูสันว่า “ในตัวรีเบ็คก้า เธอมีคุณสมบัติลึกลับบางประการที่บอกไม่ได้ที่ทำให้คุณถึงกับอึ้งไปเลย เธอเป็นคนสวยมาก และเธอก็มอบชีวิตใส่ไปในบทนี้”
เพื่อนำพาคนดูย้อนกลับไปในยุคของเหล่าวีรบุรุษชาวกรีกที่เป็นตำนาน ในรูปแบบที่ทั้งตื่นเต้นและมีความทันสมัย เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ ตัดสินใจตั้งแต่เริ่มต้นทำงานว่าเขาจะเลือกใช้รูปแบบงานสร้างดั้งเดิม นั่นก็คือการสร้างฉากขนาดมหึมา โดยเริ่มใหม่ตั้งแต่การสเก็ตช์ภาพ ซึ่งจะทำเช่นนั้นได้ ทีมงานต้องเดินทางไปที่โอริจิโอ ฟิล์ม สตูดิโอส์ ในฮังการี ที่ซึ่ง “Hercules” ใช้โรงถ่ายทั้งหมด 7 โรง รวมไปถึงลานขนาดกว้างใหญ่ของที่นั่นในการสร้างฉาก
“เบร็ทท์ยืนกรานตั้งแต่แรกเลยว่าเขาต้องการฉากที่ยิ่งใหญ่และน่าจดจำ” โบ ฟลินน์เล่า “และการถ่ายทำในบูดาเปสต์ก็ช่วยให้เราทำเช่นนั้นได้”
แร็ทเนอร์กล่าวเสริมว่า “เราสามารถสร้างฉากการรบที่ยิ่งใหญ่เหลือเชื่อในแบบที่ผมเองก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าเราจะถ่ายทำกันได้ มีทั้งม้า รถศึก และนักรบเป็นร้อยๆ คน”
ช่างเป็นภาพที่ดูเหมือนฝันจริงๆ เมื่อทหารกรีกจำนวนหลายร้อย เดินแถวเข้ามายังฉากพร้อมกับโล่ในมือ ติดตามมาด้วยนักรบเบสซี่ที่มีรอยสักและถือดาบน่ากลัว จากนั้นก็คือม้าที่ลากรถศึก สำหรับทีมงานมากมายแล้ว ความรู้สึกนั้นเหมือนกำลังนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปในอดีตก็ไม่ปาน
“ทุกฉากเหมือนหลุดมาจากผลงานของ เซซิล บี เดอมิลล์ ที่มีความยิ่งใหญ่ขนาดนั้น” รูฟัส ซีเวลล์เล่า “มันสร้างความแตกต่างให้กับนักแสดงนะเพราะคุณสามารถที่จะมีปฏิกริยากับสภาพแวดล้อมจริงๆได้”
แร็ทเนอร์ยังระดมทีมงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ “คนเหล่านี้คือคนที่ผมเคยฝันมาตลอดว่าจะได้ร่วมงานด้วย และในที่สุดผมก็มีโอกาสนั้นจนได้” ผู้กำกับแร็ทเนอร์บอก
ผู้นำทีมงานหลังกล้อง ก็คือ ผู้ที่ได้ร่วมงานกับแร็ทเนอร์มานาน ผู้กำกับภาพ ดังเต้ สปิน็อตติ ซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว 2 ครั้ง จากภาพยนตร์เรื่อง “The Insider” และ “LA Confidential” “ดังเต้ทำให้คุณลืมไปเลยว่ามีกล้องถ่ายอยู่ด้วย” แร็ทเนอร์บอก “เขาเชิญชวนให้คุณเข้าไปอยู่ในโลกของเฮอร์คิวลิสจริงๆ”
ทั้งคู่ยังทำงานใกล้ชิดกับโปรดักชั่นดีไซเนอร์ ฌอน-วินเซนต์ พูซอส ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้เขาได้ทำงานกับ ไมเคิล ฮาเนเก้ ในภาพยนตร์รางวัลออสการ์ เรื่อง “Amour” “ฌอน-วินเซนต์กับผมเคยคุยกันถึงเรื่อง “Hercules” มานานกว่าหนึ่งปีก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น” แร็ทเนอร์อธิบาย “เขามาพร้อมงานออกแบบที่น่าทึ่งมาก ซึ่งช่วยนำคุณสมบัติใหม่และน่าทึ่งมาให้ มันเป็นไอเดียของเขาที่จะหนีให้ห่างจากภาพลักษณ์ที่เป็นหินอ่อนสีขาวดูคลาสสิก ภาพลักษณ์ที่ดูมืดๆ ที่เขาสร้างขึ้นมาก็ใช้งานได้ดีกับเรื่องของเรา”
ผลงานชิ้นเอกในการออกแบบของพูซอส ก็คือ หมู่บ้านเทรซของเบสซี่ ซึ่งกลายมาเป็นสถานที่เกิดการสู้รบที่ดุเดือด เขามีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือการทำให้สถานที่แห่งนั้นมีชีวิตชีวา “เราสร้างบ้านด้วยไม้ หิน และโคลน” ทิน่า โจนส์ ผู้รับผิดชอบงานตกแต่งฉากอธิบาย “ฌอน-วินเซนต์ต้องการให้มันดูดิบและสกปรก เขาอยากให้คุณแทบจะได้กลิ่นเลยว่ากลิ่นที่นั่นมันแรงแค่ไหน”
ที่โรงถ่ายแห่งหนึ่ง ในออริจิโอ สตูดิโอส์ พูซอสยังได้สร้างฉากขนาดใหญ่ยักษ์ขึ้นอีกฉาก นั่นก็คือฉากป้อมปราการของโคทิสที่ตั้งตระหง่านราวกับนกฟีนิกซ์ และยังมีแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่เอาไว้บูชาเทพธิดาเฮร่า ซึ่งตั้งอยู่เหนือบันไดใหญ่โอ่อ่าที่ขนาบไปด้วยแถวของงานทองเหลือง ที่นี่ ความงดงามของรูปปั้นเฮร่าที่ทำจากหินอ่อนสีขาว ดูแตกต่างและขัดแย้งกับความดิบของฉากทั้งหมด “ผมตัดสินใจที่จะทาสีไม้ทั้งหมดให้เป็นสีแดง ในกรีซ พวกเขาจะทาทุกอย่างด้วยเลือดวัว เพราะมันมีความเข้มข้น มันเกี่ยวพันทุกอย่างเข้ากับความรู้สึกที่มีมาแต่โบราณกาลว่าวัวกระทิงกำลังปกป้องผู้คน” พูซอสอธิบาย
แร็ทเนอร์รู้สึกขอบคุณในผลงานของพูซอสและทีมงานของเขา “ฉากป้อมปราการนี้มีรูปลักษณ์และให้ความรู้สึกเหมือนจริงมาก คนดูจะรู้สึกเลยเมื่อพวกเขาได้ดูหนังเรื่องนี้” แร็ทเนอร์กล่าว
สำหรับพูซอส ฉากที่สุดยอดที่สุดก็คือฉากคุกใต้ดิน ที่เฮอร์คิวลิสถูกจับล่ามโซ่เอาไว้โดยราชายูรีสเธียสและโคทิส “ผมว่ามันเป็นฉากที่น่าประทับใจมากที่สุดในบรรดาทุกฉาก” พูซอสกล่าว “เพราะด้วยรูปแบบที่เราสร้างขึ้นด้วยหิน ไฟ และซัลเฟอร์สีเขียว”
โจนส์สนุกกับงานนี้มาก “เรามีกรงขังที่เต็มไปด้วยโครงกระดูก พื้นที่ของเพชฌฆาต และมีโซ่เต็มไปหมด” โจนส์เล่า “มันพาคุณเข้าไปในที่ที่ทำให้คุณช็อคได้เลย”
สื้อผ้าและอาวุธ
เมื่อฉากมีชีวิตขึ้นมาอย่างที่ต้องการแล้ว เสื้อผ้าที่มีความหลากหลายและเป็นฝีมือการสร้างสรรค์ของ แจนนี่ เทมิม ก็เช่นกัน เทมิมสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักจากผลงานภาพยนตร์อย่าง “Gravity,” “Skyfall” และภาพยนตร์ชุด “Harry Potter” และเช่นเดียวกับพูซอส ผลงานการออกแบบของเธอมุ่งเน้นไปที่ความสมจริง “เบร็ทท์ยืนกรานว่าทุกอย่างต้องให้ความรู้สึกจริงและใช้งานได้ สมัยนั้นไม่มีเครื่องซักผ้าหรอกนะ” โบ ฟลินน์กล่าว “กับผลงานของแจนนี่ ทุกอย่างทำขึ้นจากมือ คุณสามารถดมกลิ่นได้เลย คุณรู้สึกได้ คุณชิมรสได้ เธอสร้างทุกอย่างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ”
งานของเทมิสเริ่มจากตัวเฮอร์คิวลิสก่อน โดยเสื้อผ้าของเขาจะต้องเข้ากับชื่อเสียงของเขา “ฉันศึกษาลึกลงไปในเทพปกรณัม และฉันสร้างหัวสิงโตให้เขา ผ้าคลุมที่ทำจากหนังสิงโต กับเข็มขัดเส้นโต” เทมิมเล่า “มันออกมาดูดี เพราะดเวย์นสามารถแบกรับชุดทั้งหมดนั้นได้ นับแต่ที่ดเวย์นหยิบหัวสิงโตมาใส่ เขาก็คือเฮอร์คิวลิส เราให้เขาไว้ผมยาวเพื่อให้ภาพลักษณ์ดูสมดุล เขาดูงดงามมากทีเดียว”
จอห์นสันพูดถึงภาพลักษณ์ของเขาว่า “เป้าหมายก็คือการเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อายุมากขึ้น ผมยาวขึ้น มีหนวดเครา และมีรอยสักและแผลเป็นเต็มไปหมด มันคือกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปโดยแท้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผมไม่มีวันลืม และเป็นการทำงานที่ผมรู้สึกขอบคุณมาก และยังทรมานมากด้วยกับการต้องนั่งอยู่ที่นั่นทุกวัน วันละ 4 ชั่วโมงนานถึง 95 วัน”
ทหารรับจ้างแต่ละคนที่ติดตามเฮอร์คิวลิสมา จะต้องสวมชุดเกราะที่สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกและความเป็นมาของพวกเขา “ชุดเกราะของพวกเขาถือเป็นของส่วนตัวอย่างมาก และมีความพิเศษในแง่ของวิธีที่แต่ละคนต่อสู้” เทมิมอธิบาย “ตัวอย่างเช่น แอมเฟียราอุส ซึ่งรับบทโดย เอียน แม็คเชน เขามองเห็นถึงความตายของตัวเอง เขาก็เลยมีเกราะที่สั้นและอ่อนที่สุด เพราะเขาไม่เชื่อว่าเขาจะต้องการใช้มัน”
รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน รู้สึกตื่นเต้นกับการออกแบบที่เทมิมทำให้กับ เออร์จิเนีย “สำหรับฉัน เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องไม่ทำให้ เออร์จิเนีย ดูเป็นเจ้าหญิงที่เดินไปเดินมาในชุดสวยหรู แต่เป็นคนที่มือเปื้อนดินและโคลน เป็นคนที่ติดดิน และแจนนี่ก็ทำได้ดีมากทั้งในเรื่องรายละเอียดและสีสัน”
การได้ออกแบบชุดให้กับ อิงกริด โบลโซ เบอร์ดัล คือความสนุกสำหรับเทมิม “เธอเป็นชาวอะเมซอน” เทมิมอธิบาย “เธอมีรูปร่างเหมือนรูปปั้น ฉันจึงอยากออกแบบชุดให้เธอใส่ที่จะแสดงให้เห็นถึงรูปร่างของเธอ”
เทมิมยังออกแบบเสื้อผ้าที่ดูสุดโต่งให้กับราชายูรีสเธียส “ยูริสเธียสเป็นคนโหดร้าย” เทมิมบอก “เขามีความซาดิสต์ และโจเซฟ ไฟนส์ก็แสดงลักษณะเช่นนั้นออกมาได้อย่างงดงาม สูงส่ง เสื้อผ้าของเขาเป็นสีน้ำเงินและทอง โดยมีผ้าคลุมที่มีขนนกยูงเป็นพันๆ และตัดเย็บจากผ้าไหม”
เหล่านักรบมิเพียงแสดงบุคลิกผ่านเสื้อผ้าของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาวุธของพวกเขาด้วย ซึ่งงานนี้เป็นฝีมือการสร้างของ วีต้า เวิร์กช้อป ในเวลลิงตัน, นิวซีแลนด์ ก่อนที่จะถูกผลิตขึ้นมาในอังกฤษและฮังการี
เฮอร์คิวลิสจะถือไม้พลองอันหนักอึ้ง ทิเดียสคาดขวานสองเล่มเอาไว้ที่เข็มขัด ซึ่งเขาจะใช้หวดกระหน่ำใส่ศัตรู ส่วนอาวุธของแอ็ททาแลนต้าคือคันธนูและลูกศรที่มีคมมีดอยู่ตรงปลาย แอมเฟียราอุสใช้คทาที่มีดาบซ่อนเอาไว้ด้านใต้ ออโตลิคัสเก็บซ่อนมีดที่ใช้ขว้างเอาไว้ใต้เสื้อคลุม ไอโอลัสใช้เพียงกริชทองเหลืองเล่มเดียว ราชายูริสเธียสมีกริชอันงดงามสวยหรูที่ออกแบบมาให้เข้ากับชุดของเขา ขณะที่ลอร์ดโคทิสจะพกกริชที่มีปลอกฝังประดับด้วยอัญมณี
“งานออกแบบทั้งหมดช่วยให้นักแสดงทำงานในแต่ละวันและกลายเป็นตัวละครเหล่านี้ไปอย่างแนบเนียน” ผู้กำกับแร็ทเนอร์สรุป
เฮอร์คิวลิสออกศึก
ถึงแม้ เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญงานสร้างภาพยนตร์แอ็กชั่นยุคสมัยใหม่ที่ดูมีสไตล์ และยังเคยร่วมงานกับ แจ็คกี้ ชาน มานานหลายปี แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถนำเขาไปสู่เขตแดนใหม่ เขาตั้งใจที่จะสร้างฉากต่อสู้ที่ดุเดือดในแบบที่หลุดออกมาจากตำนาน แต่ยังคงให้ความรู้สึกว่ามันกำลังเกิดขึ้นในวินาทีนี้
แร็ทเนอร์ได้รวบรวมทีมงานที่เป็นสุดยอดฝีมือ เพื่อให้มาร่วมงานกับทีมนักแสดง สุดยอดฝีมือกลุ่มนี้นำทีมมาโดยผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 อเล็กซานเดอร์ วิตต์, ผู้ประสานงานสตั๊นต์ เกร็ก พาวเวลล์ และผู้ประสานการต่อสู้ อัลลัน ป็อปเปิลตัน ผู้ดึงนักแสดงสตั๊นต์ฝีมือดีที่กล้าเสี่ยงตายมาจากทั้งอังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ ฮังการี สโลวาเกีย และบัลแกเรีย รวมไปถึงกลุ่มนักขี่ม้าที่มีทักษะสูงจากสเปน ที่นำทีมโดย ริคาร์โด้ ครูซ ซีเนียร์
ทันทีที่พาวเวลล์ได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาเริ่มคิดเลยว่าเฮอร์คิวลิสจะมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน “เขาไม่ใช่พลังเหนือธรรมชาติ” พาวเวลล์กล่าว “แต่เป็นชายร่างยักษ์ อาจจะใหญ่กว่าตัวผมถึงสองเท่า ดังนั้น ถ้าผมสามารถล้มคนหกฟุตได้ เขาก็น่าจะล้มคน 12 ฟุตได้ ผมยึดหลักนั้นในการทำงานในฉากต่อสู้”
จากนั้น เขาเริ่มทำงานกับแร็ทเนอร์และจอห์นสัน เพื่อสร้างสไตล์การต่อสู้ที่โดดเด่นของเฮอร์คิวลิส จอห์นสันที่แม้จะเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด แต่เขายืนยันที่จะแสดงฉากต่อสู้ทั้งหมดด้วยตัวเอง และเริ่มต้นฝึกการใช้ไม้พลองของเฮอร์คิวลิสและดาบอันโตในทันที “ดเวย์นเป็นคนตัวใหญ่ เราจึงได้ใส่รูปร่างกำยำของเขา และทักษะทางด้านมวยปล้ำของเขาลงไปในสไตล์การต่อสู้ของเฮอร์คิวลิส” ป็อปเปิลตันอธิบาย
“เขาเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น เขาเป็นคนคิดวิธีการใช้ไม้พลองของเขาเอง”
“เขาต้องใช้อาวุธได้ราวกับมันคือมือของเขา” จอห์นสันพูดถึงไม้พลองที่เฮอร์คิวลิสใช้ด้วยความเชื่อมั่น “เพราะมันเป็นอาวุธที่เขาเลือกใช้มานานหลายปีแล้ว”
พาวเวลล์และป็อปเปิลตันทำงานกับทีมนักแสดงนานเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น ผลของความทุ่มเทของพวกเขาปรากฏให้เห็นในฉากสู้รบระหว่างเฮอร์คิวลิส กลุ่มทหารรับจ้าง กองทัพของโคทิส และนักรบเบสซี่ ที่ทำลายกำแพงเข้ามาได้และเริ่มสร้างความโกลาหล
“สิ่งที่ถือว่าไม่ธรรมดาก็คือ เบร็ทท์อยากให้กองทัพโคทิสไม่มีฝีมือในการสู้รบ ดังนั้นเฮอร์คิวลิสจึงรู้ตัวว่าเขาต้องจัดการกับพวกนี้ใหม่หมด” ป็อปเปิลตันอธิบาย “ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการให้นักรบเบสซี่ดูบ้าระห่ำ และแทบเหมือนสัตว์ป่า”
“พวกเบสซี่บุกตรงเข้ามา รัดคอ เตะต่อยใส่ทุกคนที่เห็น” พาวเวลล์อธิบายเพิ่ม “ซึ่งนักแสดงของเราทำงานได้น่าทึ่งมากทีเดียว”
จอห์นสันกล่าวว่า “ศึกเบสซี่คือการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นฉากต่อสู้ยิ่งใหญ่ที่มีจุดหักมุมที่โดดเด่น และมันได้กลายเป็นวินาทีสำคัญสำหรับเฮอร์คิวลิสและกลุ่มเพื่อนของเขา”
ตลอดการถ่ายทำ ทางทีมงานสามารถทำงานกับม้าที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีตลอดหลายเดือน เพื่อให้มันเข้าร่วมการรบ และยังมีม้าอีกหลายทีมที่ถูกฝึกมาเพื่อให้ทำหน้าที่ลากรถศึกของเฮอร์คิวลิสและพวก ม้าฟรีเชี่ยนสีดำสี่ตัวสร้างความตี่นเต้นให้กับทั้งทีมนักแสดงและทีมงานขณะที่พวกมันลากรถศึกของเฮอร์คิวลิส รูจมูกของพวกมันกางออก ขนบนแผงคอปลิวสยาย และธงสีดำเป็นประกายส่งแสงเรืองรองอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์
การบังคับรถศึกเป็นทักษะโบราณอีกอย่างหนึ่งที่ทีมนักแสดงต้องฝึกให้ชำนาญ พวกเขาต้องใช้เวลาในการฝึกทุกวันเป็นเวลานานหกอาทิตย์เพื่อให้สามารถยืนบนรถศึกได้ เอียน แม็คเชนบอกว่ามันเป็นการทดสอบที่โดดเด่นมาก “ผมขี่ม้า ผมชอบม้า แต่การบังคับรถศึกมันเป็นคนละเรื่องกันเลย” แม็คเชนกล่าว
ระหว่างรถศึก และอาวุธโบราณ กับการออกแบบภาพกราฟฟิค อย่างไรก็ดี งานแอ็กชั่นยังคงเป็นความท้าทายที่สุดสำหรับภาพยนตร์เรื่อง “Hercules” ทำให้นักแสดงและทีมสตั๊นต์แมนต้องทุ่มเทกันอย่างสุดตัว แต่สำหรับ ดเวย์น จอห์นสัน แล้ว วิถีที่เฮอร์คิวลิสทำศึก มันคือสิ่งที่อธิบายถึงเสน่ห์ที่ไม่มีวันสิ้นสุดของเขา “เฮอร์คิวลิสอาจจะแพ้ได้ แต่เขาจะกลับมาในแบบที่แข็งแกร่งขึ้น ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นครับ เราทุกคนต่างลุกขึ้นยืนอีกครั้งหลังจากล้มลง และเราต้องกลับมาในแบบที่แข็งแรงขึ้น เราทุกคนต่างมีเฮอร์คิวลิสอยู่ในตัวทั้งนั้น”
# # # # #
ประวัตินักแสดง
ดเวย์น จอห์นสัน (DWAYNE JOHNSON) รับบทเฮอร์คิวลิส
ดเวย์น จอห์นสัน สร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะนักแสดงที่มีผลงานโกยรายได้มาแล้วจากทั่วโลกมากกว่า $1.5 พันล้านดอลล่าร์
ในปี 2013 ถือเป็นปีทองอีกปีหนึ่งของจอห์นสัน เมื่อเขาแสดงนำในภาพยนตร์หลากหลายเรื่อง ตั้งแต่ภาพยนตร์ทริลเลอร์ดราม่า เรื่อง “Snitch” ที่พูดถึงเรื่องราวของคนเป็นพ่อที่ปลอมตัวเข้าไปค้ายาเพื่อจะช่วยปล่อยลูกชายของเขา จนถึงภาพยนตร์ภาคต่อ “G.I. Joe: Retaliation” ที่เขาประกบบทกับ บรูซ วิลลิส และแชนนิ่ง ทาทั่ม และภาพยนตร์อินดี้แนวดราม่า เรื่อง “Empire State” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เลียม เฮมส์เวิร์ธ และเอ็มม่า โรเบิร์ตส์, ภาพยนตร์เรื่อง “Pain & Gain” ที่เขาร่วมแสดงกับ มาร์ก วอห์ลเบิร์ก เขายังกลับไปร่วมแสดงนำในภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง “Fast and Furious 6” ซึ่งโกยรายได้เฉพาะในอเมริกาไป $120 ล้าน และรายได้จากทั่วโลก $314 ล้าน จนนิตยสาร Forbes ได้จัดอันดับให้เขาเป็นนักแสดงชายที่ทำรายได้สูงที่สุดในปีนั้น
ในซัมเมอร์ของปี 2012 จอห์นสันได้ไปออกรายการของ TNT อย่าง “The Hero” ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับผู้เข้าแข่งขันในแต่ละสัปดาห์ เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ผลักดันพวกเขาไปถึงขอบเขตจำกัด
ผลงานเรื่องต่อไปของ จอห์นสัน ได้แก่ “Fast and Furious 7” และ “San Andreas”
ส่วนผลงานเมื่อเร็วๆ นี้ของ จอห์นสัน เรื่อง “Journey 2: The Mysterious Island” กลายเป็นภาพยนตร์ฮิตที่ทำรายได้ไปมากกว่า $325 ล้านในปี 2011
ผลงานภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ของเขา ได้แก่ “Race to Witch Mountain,” “The Tooth Fairy,” “Planet 51,” “Get Smart” และ “The Game Plan” ในปี 2009 Entertainment Weekly ได้ยกย่องให้จอห์นสันติดอันดับนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวู้ด ร่วมกับ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์, เอลเลน เพจ, เจมส์ แม็คอาวอย และเอมี่ อดัมส์
ก่อนหน้านี้ จอห์นสันได้แสดงฝีมือจนได้รับคำชมทั้งจากนักวิจารณ์และคนดู ด้วยการรับบทเป็นบอดี้การ์ดเกย์ และนักร้องที่มีความทะเยอทะยานในภาพยนตร์เรื่อง “Be Cool” ภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง “Get Shorty” ซึ่งร่วมแสดงโดย จอห์น ทราโวลต้า, อูม่า เธอร์แมน และวินซ์ วอห์น ในปี 2004 จอห์นสันยังแสดงนำในภาพยนตร์รีเมก เรื่อง “Walking Tall” ในบทนายอำเภอที่เดินทางกลับมายังเมืองบ้านเกิดหลังไปรับใช้ชาติในกองทัพ เพียงเพื่อจะพบว่าเมืองบ้านเกิดของเขากำลังถูกคุกคาม ก่อนหน้านั้น จอห์นสันแสดงนำในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล เรื่อง “The Rundown” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ฌอน วิลเลี่ยม สก็อตต์, โรซาริโอ ดอว์สัน และคริสโตเฟอร์ วอลเก้น
ความรักที่จอห์นสันมีต่อการแสดง ทำให้เขาไปร่วมแสดงในรายการ “Saturday Night Live” ในเดือนมีนาคม ปี 2000 จนกลายเป็นรายการที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในปีนั้น และต่อมา จอห์นสันยังได้รับเลือกจาก สตีเฟ่น ซอมเมอร์ส ให้ไปร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “The Mummy Returns” ซึ่งทำรายได้จากทั่วโลกไปได้มากกว่า $400 ล้าน และตัวละครที่จอห์นสันแสดงเอาไว้ ได้ถูกแตกยอดกลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง “The Scorpion King” ซึ่งได้สร้างสถิติด้วยการเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวในเดือนเมษายนได้สูงสุดตลอดกาล
เอียน แม็คเชน (IAN MCSHANE) รับบท แอมเฟียราอุส
เอียน แม็คเชน เคยรับบทเป็นผู้ร้ายมามากมาย ก่อนจะผันตัวเองมารับบทที่หลากหลายมากขึ้นในช่วงระยะหลังๆ อาทิเช่นการรับบทเป็นครูสอนเต้นซัลซ่า โดยประกบบทกับ นิค ฟรอสต์ ในภาพยนตร์เรื่อง “Cuban Fury”, รับบทเป็น พระราชาใน “Jack the Giant Killer” และใน “Snow White and the Huntsman” เขารับบทเป็นหัวหน้าคนแคระ
แม็คเชนยังร่วมแสดงในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ “Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides” โดยรับบทเป็นสลัดเคราดำ เขายังรับบทเป็น เวลแรน ไบก็อดในมินิซีรีส์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่เรื่อง “The Pillars of the Earth” และตัวเขาเองได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ
ผลงานก่อนหน้านี้ของแม็คเชน ได้แก่ การรับบทนำและทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์เรื่อง “44 Inch Chest,” การให้เสียงพากย์กับภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง “Coraline,” “Shrek the Third,” “Kung Fu Panda” และภาพยนตร์เรื่อง “The Golden Compass” เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ วูดี้ อัลเลน เรื่อง “Scoop”
รูฟัส ซีเวลล์ (RUFUS SEWELL) รับบท ออโตไลคัส
รูฟัส ซีเวลล์แสดงนำในภาพยนตร์ของ ทิเมอร์ เบ็กแมมบีทอฟ เรื่อง “Abraham Lincoln: Vampire Hunter” และภาพยนตร์ของ ฟลอเรียน เฮนเคล วอน ดอนเนอร์สมาร์ค เรื่อง “The Tourist,” มินิซีรีส์เรื่อง“Pillars of the Earth” และซีรีส์ของ เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ เรื่อง “Eleventh Hour”
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของซีเวลล์ ได้แก่ ภาพยนตร์ของ แนนซี่ เมเยอร์ส เรื่อง “The Holiday,” ภาพยนตร์ของ มาร์ติน แคมป์เบลล์ เรื่อง “The Legend Of Zorro,” ภาพยนตร์ของ เควิน เรย์โนลด์ เรื่อง “Tristan & Isolde,” ภาพยนตร์ของ ไบรอัน เฮลเจแลนด์ เรื่อง “A Knight’s Tale,” ภาพยนตร์ทริลเลอร์โลกอนาคตของ อเล็กซ์ โปรยัส เรื่อง “Dark City” และภาพยนตร์เรื่อง “Dangerous Beauty”
แอ็กเซล เฮนนี (AKSEL HENNIE) รับบท ทิเดียส
แอ็กเซล เฮนนีคือนักแสดงชายชาวนอร์เวย์ เจ้าของผลงานภาพยนตร์เรื่อง “Headhunters” และ “Max Manus” ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์สองเรื่องที่ทำรายได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ของนอร์เวย์ นอกจากนี้ เขายังเคยคว้ารางวัล “Amanda” ซึ่งเทียบเท่ากับรางวัลออสการ์ ในปี 2005 สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ที่เขาเขียนบทและนำแสดงเองเรื่อง “UNO” ผลงานใหม่ของแอ็กเซล ได้แก่ “The Last Knights” ซึ่งเขานำแสดงร่วมกับ ไคลฟ โอเว่น และมอร์แกน ฟรีแมน
อิงกริด โบลโซ เบอร์ดัล (INGRID BOLSØ BERDAL) รับบท แอ็ททาแลนต้า
อิงกริด โบลโซ เบอร์ดัล เริ่มต้นเรียนดนตรีและร้องเพลงตั้งแต่ตอนอยู่ไฮสกูล หลังจากนั้นเธอเรียนต่อทางด้านดนตรีที่มหาวิทยาลัย Trondheim (NTNU) ก่อนจะย้ายไปอยู่ออสโล และเข้าเรียนที่สถาบัน Oslo National Academy of Dramatic Arts (KHiO) ซึ่งเธอเรียนการแสดงอยู่นานสามปี และมีผลงานการแสดงละครเวทีมากมาย
ในระหว่างงานแสดงละครเวที อิงกริด โบลโซ เบอร์ดัล ได้ทำงานละครวิทยุ ทีวี และแสดงภาพยนตร์ เธอคว้ารางวัล Amanda Award สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม ได้จากภาพยนตร์เรื่อง “Cold Prey” (2006)
รีซ ริทชี่ (REECE RITCHIE) รับบท ไอโอลัส
นับแต่เรียนจบทางด้านการแสดงมา รีซ ริทชี่ก็มีผลงานทั้งทางด้านภาพยนตร์และละครเวที เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Desert Dancer” ซึ่งจะเปิดตัวฉายในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยริทชี่รับบทเป็น อัฟชิน กราฟฟาเรี่ยน นักเต้นชาวอิหร่านที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อความฝันที่จะได้เป็นนักเต้น
รีซประเดิมงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก ด้วยการรับบท โมฮา ในภาพยนตร์ของ โรแลนด์ เอ็มเมอริช เรื่อง “10,000 BC” และในปี 2010 เขาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “The Lovely Bones” ซึ่งกำกับโดย ปีเตอร์ แจ็คสัน หลังจากนั้น ริทซี่แสดงนำในภาพยนตร์ของ ดิสนีย์ เรื่อง “Prince of Persia: The Sands of Time” ที่กำกับโดยไมก์ นีเวลล์
โทเบียส ซานเทลแมนน์ (TOBIAS SANTELMANN) รับบท รีซัส
โทเบียส ซานเทลแมนน์คือนักแสดงชาวนอร์เวย์/ สแกนดิเนเวียน ที่เกิดในเยอรมันในปี 1980 ภาพยนตร์เรื่อง “Hercules” คือผลงานภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเขา
ซานเทลแมนน์ก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงนำอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน เขาก็รับบทสมทบในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากมายหลายเรื่อง โดยเริ่มเป็นที่รู้จักของคนดูทั่วโลกจากภาพยนตร์เรื่อง “Kon-Tiki” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลออสการ์ และรางวัลลูกโลกทองคำในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
ผลงานเรื่องต่อไปของซานเทลแมนน์ คือภาพยนตร์เรื่อง “Jeg er din” และเขายังจะแสดงนำร่วมกับ สเตลแลน สการ์สการ์ด และบรูโน่ กันซ์ ในภาพยนตร์เรื่อง “The Prize Idiot”
โจเซฟ ไฟนส์ (JOSEPH FIENNES) รับบทราชายูริสเธียส
โจเซฟ ไฟนส์คือนักแสดงชายที่มีชื่อเสียงทั้งในแวดวงละครเวที และภาพยนตร์
บทบาทการแสดงของไฟนส์ที่ได้รับคำวิจารณ์ชื่นชมอย่างมาก มีให้เห็นในภาพยนตร์รางวัลออสการ์อย่าง “Elizabeth” และภาพยนตร์ของจอห์น แม็ดเด้น เรื่อง “Shakespeare In Love” หลังจากนั้นเขาได้รับบทนำในภาพยนตร์ของ ฌ็อง-ฌ๊าคส์ อังโนด์ เรื่อง “Enemy At The Gates,” ภาพยนตร์ของ เอริค ทิลล์ เรื่อง “Luther,” ภาพยนตร์ของ รูเพิร์ต ไวแอ็ตต์ เรื่อง “The Escapist,” “The Merchant Of Venice” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ อัล ปาชิโน่ และเจเรมี่ ไอรอนส์ และภาพยนตร์ของ ไรอัน เมอร์ฟี่ย์ เรื่อง “Running With Scissors”
ปีเตอร์ มัลแลน (PETER MULLAN) รับบท ซิตาเคิลส์
ปีเตอร์ มัลแลนเริ่มงานการแสดงที่มหาวิทยาลัย และหลังจากเรียนจบ เขาได้สานต่องานแสดงในแวดวงละครเวที และยังมีบทบาทในภาพยนตร์อย่าง “Shallow Grave,” “Trainspotting,” “Braveheart,” และ “Riff-Raff” และในปี 2002 เขากลับไปจับงานกำกับและเขียนบทให้กับภาพยนตร์สร้างกระแส เรื่อง “The Magdalene Sisters” ซึ่งไปคว้ารางวัลสิงโตทองคำที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิสมา
บทชายติดเหล้าของมัลแลน ในภาพยนตร์เรื่อง “My Name is Joe” ทำให้เขาคว้ารางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี
เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์ปี 2011 ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง “War Horse” อีกด้วย
จอห์น เฮิร์ต (JOHN HURT) รับบท โคทิส
จอห์น เฮิร์ตคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการแสดงมานานมากกว่า 50 ปี โดยเขามีผลงานทั้งในแวดวงละครเวที ภาพยนตร์ และทีวี ผลงานภาพยนตร์ของเขามีตั้งแต่ภาพยนตร์ของสตูดิโออย่างเช่น ภาพยนตร์ของ กีลเลอร์โม่ เดล โทโร่ เรื่อง “Hellboy” และ “Hellboy II: The Golden Army,” “Harry Potter and the Sorcerer’s Stone,” “Harry Potter and the Deathly Hallows,” “V for Vendetta” และภาพยนตร์ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง “Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull” จนถึงภาพยนตร์อินดี้มากมายหลายเรื่อง
จอห์น เฮิร์ต แสดงภาพยนตร์มาแล้วมากกว่า 100 เรื่อง มีหลายเรื่องที่ถือเป็นผลงานยอดเยี่ยมแห่งยุค อาทิเช่น ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ “A Man for All Seasons” ที่กำกับโดย เฟร็ด ซินเนแมนน์, “10 Rillington Place” ซึ่งเขาร่วมงานกับ ริชาร์ด แอ็ทเทนเบอโรห์ และ “Midnight Express” ที่กำกับโดย อลัน พาร์คเกอร์ เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัฟต้าจากบท เคน ในภาพยนตร์ไซไฟทริลเลอร์สุดคลาสสิกของ ริดลี่ย์ สก็อตต์ เรื่อง “Alien” โดยฉากที่เอเลี่ยนแหกทะลุอกออกมานั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในฉากที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
ติดตามมาด้วยภาพยนตร์สุดคลาสสิกของ เดวิด ลินช์ เรื่อง “The Elephant Man” และภาพยนตร์ของ ไมเคิล ชิมิโน่ เรื่อง “Heaven’s Gate” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ “Champions”, “The Hit” ซึ่งกำกับโดย สตีเฟ่น เฟรียร์ส และภาพยนตร์ของ ไมเคิล แร็ดฟอร์ด เรื่อง “1984” และภาพยนตร์ของ จิม เชอริแดน เรื่อง “The Field” ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัฟต้า
จอห์น เฮิร์ตยังได้รับการยกย่องจากเพื่อนนักแสดงด้วยกันว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงฝีมือดีที่สุดแห่งยุค ความสามารถของเขาเป็นที่ต้องการของผู้กำกับแถวหน้ามากมาย อาทิเช่น จอห์น ฮุสตัน ได้เลือกให้เขามาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Sinful Davy,” ยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ แซม เพ็คกินพาห์ เรื่อง “The Ostermann Weekend,” ภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต เซเมคคิส เรื่อง “Contact,” ภาพยนตร์ของ กัส แวน แซนต์ เรื่อง “Even Cowgirls Get The Blues” และภาพยนตร์ของ จอห์น ฮิลล์โค้ท เรื่อง “The Proposition” เขายังได้แสดงนำในภาพยนตร์ของผู้กำกับ จิม จาร์มุสช์ 3 เรื่อง ได้แก่ “Dead Man,” “The Limits of Control,” และ “Only Lovers Left Alive”
รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน (REBECCA FERGUSON) รับบท เออร์จีเนีย
ในปี 2013 รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน รับบทนำเป็น เอลิซาเบธ วู้ดวิลล์ ในภาพยนตร์ที่ได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง “The White Queen” ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายแนวประวัติศาสตร์ขายดีของ ฟิลิปป้า เกรกอรี่ เรื่อง “The Cousins’ War”
เธอเริ่มต้นงานแสดงตอนอายุ 15 ปี โดยได้รับบทนำในซีรีส์แนวดราม่าที่ฉายตอนกลางวัน เรื่อง “New Times” ผลงานอื่นๆ ของเธอ ได้แก่การรับบทนำในผลงานของ ริชาร์ด โฮเบิร์ตส์ เรื่อง “A One Way to Antibes” ซึ่งคว้ารางวัลที่งานเทศกาลภาพยนตร์สหภาพยุโรปในปี 2012 และในปีเดียวกันนั้น เธอยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลดาราดาวรุ่งยอดเยี่ยมในสวีเดนอีกด้วย
เออริน่า ชี้ก (IRINA SHAYK) รับบท เมการ่า
เออริน่า ชี้กเกิดในเมืองเล็กๆ ที่ประเทศรัสเซีย หลังจากฝึกฝนฝีมือทางด้านการเป็นนางแบบ เธอได้กลายมาเป็นนางแบบให้กับชุดชั้นในแบรนด์ Intimissimi lingerie และยังเป็นนางแบบให้กับหนังสือ Sports Illustrated Swimsuit Issue
เออริน่ายังเป็นนางแบบให้กับสินค้าของ Replay, John John Denim, La Perla, Lacoste, Cesare Paciotti, Guess, Germaine de Capuccini, Beach Bunny และ Armani Exchange เคยขึ้นปกนิตยสารดังระดับโลกมาแล้วมากมาย
ในปี 2012 เธอก้าวสู่วงการแฟชั่นแถวหน้าของโลก โดยได้ขึ้นปกนิตยสาร L’express Styles รวมถึงการทำหน้าที่เป็นพิธีกรรายการของรัสเซียที่ชื่อ Top-Model po-russki
เออริน่าประเดิมงานแสดงภาพยนตร์ชิ้นแรกด้วยภาพยนตร์ของ เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ เรื่อง “Hercules”
ประวัติทีมผู้สร้าง
เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ (BRETT RATNER) – ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง
เบร็ท แร็ทเนอร์คือหนึ่งในผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จที่สุดของฮอลลีวู้ด โดยเขามีผลงานภาพยนตร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง แร็ทเนอร์ประเดิมงานกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกตอนเขาอายุ 26 ปี ด้วยภาพยนตร์ตลกทำเงินเรื่อง “Money Talks” ซึ่งนำแสดงโดย คริส ทัคเกอร์ และชาร์ลี ชีน ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของเขา ยังคงเป็นภาพยนตร์ตลกแอ็กชั่นเรื่อง “Rush Hour” ซึ่งนำแสดงโดย แจ็คกี้ ชาน และคริส ทัคเกอร์ ซึ่งมีภาคต่อออกมาอีก 2 ภาค จนสามารถกอบโกยรายได้ไปทั้งหมดมากกว่า $850 ล้าน
หลังความสำเร็จของ “Rush Hour” แร็ทเนอร์กำกับภาพยนตร์เรื่อง “The Family Man” ซึ่งนำแสดงโดย นิโคลัส เคจ และเทีย ลีโอนี่; ภาพยนตร์ที่เป็นเรื่องราวก่อนของ “Silence of the Lambs” อย่างเรื่อง “Red Dragon” ซึ่งนำแสดงโดย เอ๊ดเวิร์ด นอร์ตัน, แอนโธนี่ ฮอปกิ้นส์, เรล์ฟ ไฟนส์ และเอมิลี่ วัตสัน; “After the Sunset” ซึ่งนำแสดงโดย เพียร์ซ บรอสแนน, ซัลม่า ฮาเย็ก, วูดี้ ฮาร์เรลสัน และดอน เชียเดิล; “X-Men: The Last Stand” ซึ่งนำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ็คแมน, แพทริค สจ๊วร์ต และเอียน แม็คเคลแลน และเมื่อเร็วๆ นี้ก็คือภาพยนตร์เรื่อง “Tower Heist“ ที่มีทีมนักแสดงอย่าง เบน สติลเลอร์, เอ๊ดดี้ เมอร์ฟี่ย์, แมทธิว บรอเดอริค, เทีย ลีโอนี่ และอลัน อัลดา
นอกจากนี้ แร็ทเนอร์ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างที่ประสบความสำเร็จ เขาเคยทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ฮิตเรื่อง “Horrible Bosses” ซึ่งนำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน, เควิน สเปซี่ย์, โคลิน ฟาร์เรลล์ และเจสัน เบ็ทแมน และภาพยนตร์สารคดีสร้างกระแสเรื่อง “Catfish”; ภาพยนตร์ที่นำเรื่องราวของสโนว์ไวท์มาเล่าใหม่เป็นเรื่อง “Mirror Mirror” ซึ่งนำแสดงโดย จูเลีย โรเบิร์ตส์ และลิลลี่ คอลลิ่นส์ ผลงานใหม่ของแร็ทเนอร์ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง “Horrible Bosses 2,” ภาพยนตร์ของ คลิ้นต์ อีสต์วู้ด เรื่อง “Jersey Boys” และ “Hong Kong Phooey” ที่เขาร่วมงานกับ เอ๊ดดี้ เมอร์ฟี่ย์
ไรอัน คอนดัล (RYAN CONDAL) – ผู้เขียนบท
ไรอัน คอนดัลทำงานอยู่ในบริษัทโฆษณายาอยู่นานถึง 6 ปี ก่อนที่บทภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาจะถูกซื้อไป และเริ่มเบิกทางสู่งานเขียนบทภาพยนตร์ให้กับเขา โดยเขาได้ทำหน้าที่เขียนบทให้กับภาพยนตร์อย่างเรื่อง ART OF WAR และ PARADISE LOST และเมื่อเร็วๆ นี้ก็คือเรื่อง BOY NOBODY
อีแวน สพิลิโอโทพูลอส (EVAN SPILIOTOPOULOS) – ผู้เขียนบท
อีแวน สพิลิโอโทพูลอส ประเดิมผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ด้วยการเขียนบทให้กับภาพยนตร์แนวไซไฟเรื่อง GangsterWorld ที่เป็นงานผสมลักษณะของฟิล์มนัวร์เข้ากับภาพยนตร์แนวแก๊งมาเฟียของฮ่องกง ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของเขาเรื่อง Legion เป็นภาพยนตร์แนวทริลเลอร์ไซไฟที่เป็นเหมือนลูกผสมระหว่าง The Magnificent Seven และ Alien ผลงานเรื่องต่อมาของเขา ได้แก่ Bare Witness
ในปี 2001 สพิลิโอโทพูลอสได้รับการว่าจ้างจาก วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส ให้เข้ามาร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง Jungle Book 2 เขายังได้ทำงานให้กับดิสนีย์ต่อในภาพยนตร์ปี 2003 เรื่อง The ThreeMusketeers ที่นำแสดงโดย มิคกี้ เม้าส์, โดนัลด์ ดั๊ก และกุฟฟี่ ในปีเดียวกันนั้น สพิลิโอโทพูลอสยังได้เขียนบทให้กับดีวีดีที่ประสบความสำเร็จอย่าง Lion King 1 & 1/2, Cinderella III และ Tarzan 2
ในปี 2009 เขาเขียนบทให้กับภาพยนตร์ของไวน์สตีน คัมปานี เรื่อง Nutty Professor
หลังจากทำหน้าที่เขียนบทให้กับภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล เรื่อง Snow White and the Huntsman แล้ว สพิลิโอโทพูลอส ได้รับการว่าจ้างจากเอ็มจีเอ็มให้เขียนบทให้กับภาพยนตร์ปี 2014 เรื่อง Hercules ซึ่งนำแสดงโดย ดเวย์น จอห์นสัน และในปีเดียวกันนี้ เขายังจะมีผลงานเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Hero of ColorCity
ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างเขียนบทให้กับงานรีบู้ทภาพยนตร์เรื่อง Young Sherlock Holmes ให้กับค่ายพาราเม้าต์ โดยมี มาร์ติน แคมป์เบลล์ เป็นผู้กำกับ และยังเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง Beauty and the Beast ของดิสนีย์ที่กำกับโดย บิลล์ คอนดอน และภาพยนตร์ของ ยูนิเวอร์แซล เรื่อง The Huntsman ซึ่งนำแสดงโดย คริส เฮมส์เวิร์ธ
โบ ฟลินน์ (BEAU FLYNN) – ผู้อำนวยการสร้าง
โบ ฟลินน์ได้ก่อตั้งบริษัท ฟลินน์ พิคเจอร์ขึ้น เพื่อผลิตผลงานต่างๆ โดยเขาเพิ่งจะปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง “Solace” ซึ่งนำแสดงโดย แอนโธนี่ ฮอปกิ้นส์, โคลิน ฟาร์เรลล์, เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน และแอ็บบี้ คอร์นิช
ในปี 2013 ฟลินน์ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Hansel and Gretel: Witch Hunters 3D” ที่นำแสดงโดย เจเรมี่ เรนเนอร์, เจมม่า อาร์เธอร์ตัน และแฟมเก้ แจนส์เซ่น และ “Battle of the Year: The Dream Team” ที่กำกับโดย เบนสัน ลี และนำแสดงโดย จอช ฮัลโลเวย์, คริส บราวน์ และจอช เพ็ค
ฟลินน์ยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์รีเมกของ เอ็มจีเอ็ม เรื่อง “Red Dawn” ซึ่งนำแสดงโดย คริส เฮมส์เวิร์ธ, จอช ฮัทเชอร์สัน และเจฟฟรีย์ ดีนมอร์แกน ก่อนหน้านั้น เขาอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ฮิตไปทั่วโลกเรื่อง “Journey 2: The Mysterious Island 3D” ภาคต่อของ “Journey to the Center of the Earth 3D” ซึ่งนำแสดงโดย ดเวย์น จอห์นสัน, ไมเคิล เคน, จอช ฮัทเชอร์สัน, วาเนสซ่า ฮัดเจนส์ และหลุยส์ กัซแมน
ในปี 2011 ฟลินน์มีผลงานเป็นภาพยนตร์ทุนสร้างปานกลาง แต่ประสบความสำเร็จเรื่อง “The Rite” ซึ่งนำแสดงโดย แอนโธนี่ ฮอปกิ้นส์ และ “What’s Your Number?” ที่นำแสดงโดย แอนนา ฟาริส และคริส อีแวนส์
ในปี 2007 ฟลินน์ได้เปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง “The Number 23” ที่นำแสดงโดย จิม แคร์รี่ย์ และเวอร์จิเนีย แม็ดเซ่น ภายใต้การกำกับของ โจล ชูมัคเกอร์ ส่วนในปี 2006 เขาอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Guardian” ที่นำแสดงโดย แอชตัน คุทเชอร์ และเควิน คอสต์เนอร์
แบร์รี่ เลวิน (BARRY LEVINE) – ผู้อำนวยการสร้าง
แบร์รี่ เลวินคือผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เรดิคัล สตูดิโอส์ และยังเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Oblivion ที่นำแสดงโดย ทอม ครูซ และมอร์แกน ฟรีแมน ซึ่งทำรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า $290 ล้าน เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Hercules ที่นำแสดงโดย ดเวย์น จอห์นสัน ผลงานอื่นๆ ของเขา ได้แก่ The Last Days of American Crime, City of Dust และ Shrapnel
ก่อนหน้าจะเปิดเรดิคัล เลวินเคยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Detroit Rock City ให้กับนิวไลน์ซีนีม่า ในปี 1987 เขาได้ดูแลงานซาวน์แทร็คให้กับภาพยนตร์เรื่อง Driving Miss Daisy, Guilty By Suspicion, Street Fighter, Judge Dredd และ Die Hard With A Vengeance
ปีเตอร์ เบิร์ก (PETER BERG) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ปีเตอร์ เบิร์ก ประสบความสำเร็จทั้งในฐานะมือเขียนบท ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง และนักแสดง ผลงานการกำกับภาพยนตร์ของเขา ได้แก่ HANCOCK, THE KINGDOM, THE RUNDOWN และ BATTLESHIP เขายังเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง LONE SURVIVOR ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องจริงของ มาร์คัส ลัทเทรลล์ ที่โดนกองกำลังตาลีบันซุ่มโจมตีในอัฟกานิสถาน และสังหารเพื่อนทหารของลัทเทรลล์ไปสามนาย และยังทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด
เบิร์กยังเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับสารคดีของ HBO เรื่อง ON FREDDIE ROACH ปัจจุบัน เขาทำหน้าที่เดียวกันนี้ให้กับสารคดีแนวกีฬา เรื่อง STATE OF PLAY ที่ออกอากาศทาง HBO
ซาราห์ ออบรีย์ (SARAH AUBREY) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ซาราห์ ออบรีย์คือหุ้นส่วนในบริษัทฟิล์ม 44 ของปีเตอร์ เบิร์ก ซึ่งพวกเขาได้ร่วมกันผลิตผลงานทั้งทางด้านภาพยนตร์และทีวี อาทิเช่นภาพยนตร์เรื่อง Lone Survivor, The Kingdom, Battleship, On Freddie Roach และผลงานซีรีส์ทาง HBO อย่าง State of Play และ The Leftovers
เธอยังเคยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ตลกสุดฮิตของ เทอร์รี่ ซไวคอฟฟ์ เรื่อง Bad Santa ซึ่งนำแสดงโดย บิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน เธอยังทำหน้าที่เดียวกันนี้ให้กับภาพยนตร์ดราม่าปนตลกโรแมนติค เรื่อง Lars and the Real Girl ซึ่งนำแสดงโดย ไรอัน กอสลิ่ง และแพทริเซีย คล๊าร์กสัน
รอสส์ แฟงเกอร์ (ROSS FANGER) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
รอสส์ แฟงเกอร์คร่ำหวอดอยู่ในวงการภาพยนตร์มานานถึง 28 ปี โดยเขาเริ่มต้นทำงานกับ เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ ตอนสร้างภาพยนตร์เรื่อง “X-Men 3: The Last Stand” ให้กับทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์
ก่อนหน้าภาพยนตร์เรื่อง “Hercules” เขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์ของ นีลล์ บลอมแคมป์ เรื่อง “Elysium”
หลังบริหารงานได้อย่างประสบความสำเร็จให้กับดิสนีย์ แฟงเกอร์ใช้เวลา 10 ปีต่อมา ช่วยผลิตภาพยนตร์ให้กับทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ และเคยทำงานให้กับภาพยนตร์ฮิตอย่าง “X-Men” ที่กำกับโดย ไบรอัน ซิงเกอร์ และยังได้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “X-Men 2” และ “X-Men 3: The Last Stand” ด้วย
ในระหว่างทำงานให้กับภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุด “X-Men” แฟงเกอร์ยังได้ทำงานให้กับภาพยนตร์ของ ทิม เบอร์ตัน เรื่อง “Planet of the Apes” และทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์เรื่อง “The Fantastic Four” และภาคต่อ “The Fantastic Four: Rise of the Silver Surfer”
ในปี 2007 แฟงเกอร์ได้ทำหน้าที่เป็นประธานฝ่ายโปรดักชั่นให้กับมาร์เวล สตูดิโอส์ และมีส่วนในงานสร้างภาพยนตร์ดังอย่าง “Iron Man” และ “The Hulk”
ต่อมา เขาตัดสินใจหันมารับงานอิสระในปี 2009 และได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์ของฟ็อกซ์ เรื่อง “The A Team” และ “The Grey”
เจสซี่ เบอร์เกอร์ (JESSE BERGER) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
เจสซี่ เบอร์เกอร์ คือผู้ร่วมก่อสร้างและดำรงตำแหน่งซีอีโอของบริษัทเรดิคัล สตูดิโอส์ ปัจจุบัน เขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของบริษัทเรดิคัล อาทิเช่น ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Oblivion ซึ่งนำแสดงโดย ทอม ครูซ และมอร์แกน ฟรีแมน และ Hercules ซึ่งนำแสดงโดย ดเวย์น จอห์นสัน
ดังเต้ สพิน็อตติ (DANTE SPINOTTI,ASC, AIC) – ผู้กำกับภาพ
ดังเต้ สพิน็อตติ ได้ร่วมงานกับผู้กำกับเบร็ท แร็ทเนอร์ เป็นครั้งที่ 7 แล้ว โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเคยร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง “X-Men: The Last Stand,” “After the Sunset,”“Red Dragon”และ “The Family Man”
สพิน็อตติเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งแรกจากภาพยนตร์ดราม่าปี 1997 ของเคอร์ติส แฮนสัน เรื่อง “L.A. Confidential”ติดตามมาด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงเป็นครั้งที่ 2 จากภาพยนตร์ดราม่าที่สร้างจากเหตการณ์จริง เรื่อง “The Insider” ซึ่งเป็นผลงานของไมเคิล มานน์
สพิน็อตติยังได้ร่วมงานกับแมนน์ในภาพยนตร์อีก 4 เรื่อง ได้แก่ “Manhunter,” “The Last of the Mohicans”, “Heat” และ “Public Enemies” เขาได้ทำงานกับผู้กำกับ ไมเคิล เอ็ปต์ ในภาพยนตร์เรื่อง “The Chronicles of Narnia: The Voyage of the Dawn Treader,” “Blink” และ “Nell”
สพิน็อตติได้กลับมาร่วมงานกับ เคอร์ติส แฮนสัน อีกในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมในปี 2000 เรื่อง “Wonder Boys” และยังเป็นผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Flash of Genius,” “Beaches,” “Frankie and Johnny,” “The Other Sister,” “Deception,” “Slipstream,” “The Contract,” “Crimes of the Heart,” “Pinocchio”, “Bandits,” “Goodbye Lover,” “The Mirror Has Two Faces” และ “The Quick and the Dead”
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ “Hudson Hawk,” “True Colors,” “From the Hip,” “Illegally Yours,” “The Comfort of Strangers,” “Torrents of Spring” และ “Il segreto del bosco vecchio” (1993)
ฌอน-วินเซนต์ พูซอส (JEAN-VINCENT PUZOS) – โปรดักชั่นดีไซเนอร์
ก่อนหน้านี้ ฌอน-วินเซนต์ พูซอส เคยทำหน้าที่โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ให้กับภาพยนตร์ระดับโลกมากมาย อาทิเช่น ภาพยนตร์ของ ไมเคิล ฮาเนเก้ เรื่อง “Amour”; ภาพยนตร์ของ แอนดรูว์ นิคโคล เรื่อง “Lord of War” ซึ่งนำแสดงโดย นิโคลัส เคจ; “Dead Fish” ซึ่งนำแสดงโดย แกรี่ โอลด์แมน และโรเบิร์ต คาร์ไลล์; “The Wooden Camera”; “Paradise Found,” “The Cat’s Meow” และ “Fidelity”
มาร์ก เฮลฟริช (MARK HELFRICH, ACE) – ผู้ลำดับภาพ
มาร์ก เฮลฟริช เป็นผู้ลำดับภาพที่ร่วมงานกับ เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ มานาน โดยเคยร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง “Tower Heist,” “X-Men: The Last Stand,” ภาพยนตร์ “Rush Hour” ทั้ง 3 ภาค, “Red Dragon,” “The Family Man” และ “Money Talks”
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเฮลฟริช ได้แก่ “Four Christmases,” “Predator,” “Rambo: First Blood Part II” และ “Scary Movie”
จูเลีย หว่อง (JULIA WONG) – ผู้ลำดับภาพ
จูเลีย หว่องมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีจากการสร้างสรรค์ผลงานให้กับภาพยนตร์เรื่อง “X-Men: The Last Stand”, “Extract”, และ “Red RidingHood”
เธอเคยทำหน้าที่ร่วมลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ของ เบร็ทท์ แร็ทเนอร์ เรื่อง “After the Sunset” ซึ่งนำไปสู่การร่วมงานกันอีกหลายครั้ง
แจนนี่ เทมิม (JANY TEMIME) – ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
แจนนี่ เทมิมเคยออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์ชุด “Harry Potter” ถึง 6 ภาคด้วยกัน จนทำให้เธอได้รับรางวัล Costume Designers Guild (CDG) จาก “Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 2”
เมื่อเร็วๆ นี้ เทมิมได้ออกแบบเสื้อผ้าให้กับภาพยนตร์ของ อัลฟองโซ่ คัวรอน ที่คว้ารางวัลออสการ์เรื่อง “Gravity”
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอ ได้แก่ ภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ ของผู้กำกับ แซม เมนเดส เรื่ออง “Skyfall” ซึ่งนำแสดงโดย แดเนียล เคร็ก, เรล์ฟ ไฟนส์ และฮาเวียร์ บาร์เด็ม; “Wrath of the Titans” ซึ่งนำแสดงโดย แซม เวิร์ธทิงตัน, เลียม นีสัน และเรล์ฟ ไฟนส์; ภาพยนตร์ของ มาร์ติน แม็คโดนาห์ เรื่อง “In Bruges” ซึ่งนำแสดงโดย เรล์ฟ ไฟนส์, โคลิน ฟาร์เรลล์ และเบรนแดน กลีสัน; ภาพยนตร์ของ คัวรอน เรื่อง “Children of Men” ที่นำแสดงโดย ไคลฟ โอเว่น; ภาพยนตร์ของ แอ็กนีสซ์ก้า ฮอลแลนด์ เรื่อง “Copying Beethoven” ที่นำแสดงโดย เอ๊ด แฮร์ริส; ภาพยนตร์ของ บีแบน คิดรอน เรื่อง “Bridget Jones: The Edge of Reason” ซึ่งนำแสดงโดย เรอเน่ เซลล์เวเกอร์; ภาพยนตร์ของ เวอร์เนอร์ เฮอร์ซ็อก เรื่อง “Invincible” ซึ่งนำแสดงโดย ทิม ร็อธ