“พวกเจ้าจงมีชีวิต ตายและต่อสู้…ในฐานะพี่น้อง จำไว้ ไม่มีอะไรแข็งแกร่งเท่าครอบครัวอีกแล้ว”
–อาจารย์สปลินเตอร์
ในยามที่ความมืดมิดและอันธพาลเข้าครอบงำนิวยอร์ก ชาวเมืองก็ร้องเรียกหาวีรบุรุษ และพวกเขาก็กำลังจะเจอกับวีรบุรุษที่พวกเขาต้องการในรูปแบบของสี่นักสู้อาชญากรรมที่ต้องการจะช่วยเหลือมนุษยชาติ เต่าแสบซ่าส์ที่กัดเหล่าร้ายไม่ปล่อยในนามของ เต่านินจา บัดนี้ ตำนานเกี่ยวกับสี่เต่านินจา ที่สร้างจากตัวละครยอดนิยมฝีมือนักเขียนการ์ตูน ปีเตอร์ ลาร์ดและเควิน อีสต์แมน และครองใจผู้ชมทุกวัยมานานหลายทศวรษ กำลังจะโลดแล่นบนหน้าจอในศตวรรษษที่ 21 แล้ว
อาชญากรรมและความกลัวกำลังระบาดไปทั่วท้องถนน เมื่อชเรดเดอร์ และลูกสมุนวายร้ายของเขาเข้าไปมีอิทธิพลกับทุกอย่างตั้งแต่ตำรวจจนถึงนักการเมือง อนาคตดูเหมือนจะมืดดำจนกระทั่ง สี่พี่น้องผู้รอดชีวิตจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดพลาด ได้ปรากฏตัวขึ้นจากทางระบายน้ำ และยอมรับชะตากรรมของพวกเขาในฐานะวีรบุรุษสวมหน้ากากผู้ปราบเหล่าร้าย เมื่อเผชิญหน้ากับแผนการร้ายที่จะครอบครองโลกของชเรดเดอร์ เหล่าเต่านินจาก็จะต้องร่วมมือกับนักข่าวสาวใจกล้า เอพริล โอ’ นีล (เมแกน ฟ็อกซ์) และตากล้องปากเปราะของเธอ เวิร์น เฟนวิค (วิล อาร์เน็ตต์) ในการช่วยเหลือประชาชนนิวยอร์กไว้ให้ได้
พาราเมาท์ พิคเจอร์สและนิคเคลโลเดียน มูฟวีส์ ภูมิใจเสนอ ภาพยนตร์โดยแพลตินัม ดูนส์ โปรดักชัน, กามา เอนเตอร์เทนเมนต์/เม็ดนิค โปรดักชันส์/เฮฟวี เมทัล โปรดักชัน Teenage Mutant Ninja Turtles ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยโจนาธาน ลีเบสแมน (Wrath of the Titans) จากบทภาพยนตร์โดยจอช แอปเปิลบอม และอังเดร นีเม็ค (Mission Impossible: Ghost Protocol) และอีวาน ดูเกอร์ตี้ และอำนวยการสร้างโดยไมเคิล เบย์ (แฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์ Transformers), แอนดรูว์ ฟอร์ม, แบรด ฟูลเลอร์, กาเลน วอล์คเกอร์, สก็อต เม็ดนิคและเอียน ไบรซ์ ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่เดนิส แอล. สจวร์ต, อีริค คราวน์, นโปเลียน สมิธ ที่สามและเจสัน ที. รี้ด ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยเมแกน ฟ็อกซ์, วิล อาร์เน็ตต์, วิลเลียม ฟิชท์เนอร์, แดนนี วู้ดเบิร์น, แอ็บบี้ เอลเลียต, โนเอล ฟิชเชอร์, เจเรมี โฮเวิร์ด, พีท พลอสเซ็ค, อลัน ริชสันและมินาเอะ โนจิ
วีรบุรุษกระดองเต่ากลับมาแล้ว เมื่อเต่านินจารุ่นใหม่ปรากฏกายจากท่อระบายน้ำของนิวยอร์ก พวกเขากลับมาอีกครั้งในตำนานบทใหม่ ที่ผสมผสานรากเหง้าจากใต้ดินที่ดิบเถื่อนของเต่านินจาเข้ากับความสนุกสนานสดใส ที่เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นไอดอลแห่งโลกแอ็กชันที่คนทั่วโลกชื่นชอบที่สุด…ก่อนจะนำพวกเขากระโจนเข้าสู่การผจญภัยไลฟ์แอ็กชันที่ผสมผสานสงครามสุดอลังการและวิชวล เอฟเฟ็กต์สมัยใหม่
การผจญภัยครั้งใหม่ที่อัดแน่นไปด้วยแอ็กชันครั้งนี้ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวว่าเหล่าเต่านินจาถือกำเนิดขึ้นมาในห้องแล็บ
อย่างไร ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นเหมือนพี่น้องที่สนิทสนมกลมเกลียวกัน ได้ถูกเนรมิตขึ้นสู่จอเงินภายใต้การผลักดันของ
ไมเคิล เบย์ ผู้อำนวยการสร้างเงินล้าน เบย์ ผู้โด่งดังจากภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศ ล่าสุดได้เปลี่ยนของเล่นสำหรับเด็กให้กลายเป็นแฟรนไชส์ Transformer ที่ทำรายได้ไปกว่าพันล้านเหรียญ หลังจากความสำเร็จยิ่งใหญ่ของซีรีส์
อนิเมชันทางนิคเคลโลเดียน เบย์ก็ได้ร่วมมือกับแอนดรูว์ ฟอร์มและแบรด ฟูลเลอร์ หุ้นส่วนอำนวยการสร้างที่แพลตินัม ดูนส์
ของเขา ในการนำบรรดาเต่านินจากลับมาโลดแล่นบนจอเงินอีกครั้งสำหรับผู้ชมยุคปัจจุบัน
ท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้รวบรวมทีมงานสร้างสรรค์ นักแสดงหนุ่มสาว และศิลปินดิจิตอลกว่า 400 ชีวิต ที่ล้วนแล้วแต่มุ่งมั่นที่จะผสมผสานนักแสดงและฉากจริงๆ เข้ากับโลกแฟนตาซีที่น่าหลงใหลของเต่านินจาผู้ปกป้องชาวเมืองจากเหล่าร้าย
ต้นกำเนิดของเต่านินจาเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในปี 1983 ในตอนที่นักเขียนการ์ตูนที่กำลังสร้างชื่อ ปีเตอร์ ลาร์ดและเควิน อีสต์แมน เริ่มต้นสเก็ตช์ภาพที่เปี่ยมด้วยจินตนาการเป็นรูปเต่าหน้าตาประหลาด ที่สวมหน้ากากและใช้อาวุธแบบนินจาโบราณ ในตอนแรก มันเป็นเพียงแค่ภาพวาดขำขัน แต่พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวละครพวกนี้ทั้งโดดเด่นและตลกขบขัน และมันก็เป็นจุดหักมุมจากซูเปอร์ฮีโร ผู้บอบช้ำและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวในยุคสมัยนั้น จนทำให้พวกเขาต้านทานเสน่ห์ของพวกเขาไม่ได้
ไม่นานนัก ก็ไม่มีใครต้านทานเสน่ห์ของพวกเขาได้เช่นกัน ไม่นานหลังจากนั้น เต่าสี่ตัวที่ได้รับการตั้งชื่อตามสี่ยอดศิลปินแห่งยุคเรอเนซองส์ ลีโอนาร์โด, ราฟาเอล, ดอนนาเทลโลและไมเคิลแองเจโล ก็ได้เปิดตัวในหนังสือการ์ตูนด้วยชื่อที่น่าสนใจอย่าง Teenage Mutant Ninja Turtles ท่ามกลางเสียงฮือฮา ลาร์ดและอีสต์แมนต้องหยิบยืมเงินจากคนอื่นเพื่อตีพิมพ์หนังสือเรื่องนี้เป็นจำนวน 3,000 เล่ม แต่สำหรับฉบับที่ 2 พวกเขามีใบสั่งซื้อล่วงหน้าถึง 15,000 เล่ม และตัวเลขนี้ก็มีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
หนังสือการ์ตูนต้นฉบับมีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่ถูกครอบงำด้วยเหล่าร้าย แต่เต่านินจาก็ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งเมื่อพวกเขาไปปรากฏอยู่ในซีรีส์อนิเมชันยอดนิยมสำหรับเด็กในปี 1988 ตามด้วยภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขาในปี 1990 พวกเขาเริ่มพัฒนานิสัยพิลึกพิลั่นหลายอย่างในฐานะเต่าผู้ชื่นชอบการกินพิซซา และทัศนคติขวางโลก…และกระแสคลั่งไคล้เต่านินจาก็ทะยานขึ้นอย่างแรง เด็กๆ ทุกวัยชื่นชอบพวกเขาถึงขนาดที่วิดีโอเกมและแอ็กชัน ฟิกเกอร์เต่านินจาถูกซื้อจนเกลี้ยงแผง
ในตอนที่เบย์, ฟอร์มและฟูลเลอร์ รวมทั้งผู้อำนวยการสร้างกาเลน วอล์คเกอร์และสก็อต เม็ดนิค และผู้ควบคุมงานสร้างเดนิส แอล. สจวร์ตและเจสัน ที. รี้ด ได้อุทิศตัวเองให้กับการปรับแฟรนไชส์นี้ให้ทันสมัยขึ้น พวกเขาก็ตัดสินใจผสมผสานทั้งสองแง่มุมในประวัติศาสตร์ของเต่านินจา นั่นคือความดิบเถื่อนและแอ็กชันของต้นฉบับดั้งเดิมและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและคอเมดีที่ทำให้พวกเขาเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ ทั้งรุ่นเยาว์และรุ่นใหญ่
ฟูลเลอร์กล่าวว่า “สำหรับโปรเจ็กต์นี้ เราต้องการจะทำให้แฟนรุ่นเก่าๆ ชอบใจแต่ก็ดึงดูดแฟนๆ รุ่นใหม่ด้วย มีองค์ประกอบที่มืดหม่น และลุ้นระทึกกว่าในหนังเรื่องนี้ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในเรื่องราวของเต่านินจา แต่เราก็โฟกัสกับการรักษาความสนุกสนาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวนี้เอาไว้ครับ”
พัฒนาการใหม่ๆ ในเรื่องโมชัน แคปเจอร์ ทำให้เหล่าเต่านินจาสามารถโลดแล่นได้บนหน้าจอด้วยความสมจริงอย่างน่าทึ่ง หรือสมจริงที่สุดเท่าที่เราสามารถคาดหวังได้จากเต่าน้ำหนัก 450 ปอนด์ที่เดินไปมารอบ (และใต้) นิวยอร์ก แต่ทีมผู้สร้างยังอยากจะใส่เอานิสัยใจคอเข้าไปในเต่านินจาเหล่านั้นมากขึ้นกว่าเดิม
ฟอร์มกล่าวว่า “เรารู้สึกเสมอว่าหนังเรื่องนี้จะต้องให้ความสำคัญกับตัวละครเป็นอันดับแรก เรารู้ว่าเทคโนโลยีจะต้องน่าตื่นเต้นและเราก็ชื่นชอบไอเดียที่ว่าเราสามารถทำให้เต่านินจาพวกนี้ทำในสิ่งที่น่าอัศจรรย์ในแบบที่พวกเขาทำไม่ได้เมื่อ 20 ปีก่อน แต่นอกจากนั้นแล้ว มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำให้ผู้ชมได้มีประสบการณ์แปลกใหม่เกี่ยวกับตัวตนของเต่านินจาพวกนี้ ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญคือการบอกเล่าเรื่องราวจริงๆ เกี่ยวกับพี่น้องทั้งสี่และการสร้างครอบครัวครับ”
ในการรักษาสมดุลที่เปราะบางระหว่างตัวละคร เรื่องราวและเทคโนโลยี ทีมผู้สร้างได้ตัดสินใจเลือกโจนาธาน ลีเบสแมน ผู้กำกับหนุ่มหัวคิดก้าวหน้า ที่เป็นที่รู้จักจากแอ็กชันสไตล์เฉียบคมในภาพยนตร์เรื่อง Battle: Los Angeles, Wrath of the Titans และ The Texas Chainsaw Massacre: The Beginning
“โจนาธานมีประสบการณ์กับตัวละคร CG และที่สำคัญกว่านั้น เขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำให้แอ็กชันให้ความรู้สึกสมจริงครับ” ฟูลเลอร์กล่าว “ซีเควนซ์แอ็กชันที่เขาสร้างขึ้นสำหรับ Battle: Los Angeles มหัศจรรย์มาก เราก็เลยหวังที่จะสร้างความรู้สึกสมจริงแบบนั้นให้กับพวกเต่านินจาบ้าง”
ลีเบสแมนตื่นเต้นกับโอกาสที่จะได้นำพาบรรดาเต่านินจาก้าวสู่เส้นทางที่พวกเขาไม่เคยไปมาก่อน นั่นคือการผสมผสานไลฟ์แอ็กชันและดิจิตอลเข้าด้วยกัน “ผมโตมากับพวกเต่านินจาและผมก็ชื่นชอบอารมณ์ขันของพวกเขาครับ” เขาเล่า “แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นเหลือเกินสำหรับผมคือด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ ผมรู้ว่าเราสามารถสร้างสโคปใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนขึ้นมาได้ เราใส่ทั้งอารมณ์ขันและเสน่ห์เข้าไปในตัวละครพวกนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สร้างแอ็กชันยิ่งใหญ่ในแบบที่ผู้ชมชื่นชอบในหนังปัจจุบันนี้ด้วยครับ”
ลีเบสแมนเข้ามาพร้อมกับไอเดียที่ชัดเจนถึงสิ่งที่ทำให้เหล่าเต่านินจามีเสน่ห์ถึงเพียงนี้ “ผมคิดว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาสนุกสนานครับ นั่นคือเหตุผลอันดับหนึ่ง” เขาอธิบาย “อันดับสองคือพวกเขาเป็นพวกกลายพันธุ์ ผมอยากเห็นมาโดยตลอดว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง! อันดับสามคือมันเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นเต่าที่ตัวโตและแข็งแกร่งพอที่จะเป็นซูเปอร์ฮีโรนินจาได้ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราสามารถสร้างให้เป็นจริงได้เป็นครั้งแรกในหนังเรื่องนี้ครับ”
เขาเริ่มต้นด้วยการสร้างบอร์ดตัวละครสำหรับเต่าแต่ละตัว ด้วยการดึงข้อมูลอ้างอิงจากป็อป คัลเจอร์ที่เป็นที่คุ้นเคยกันดี เขาเชื่อมโยงลีโอนาร์โดเข้ากับหัวหน้าผู้มั่นคง ตัวละครของทอม แฮงค์ใน Saving Private Ryan เขาเชื่อมโยงราฟาเอลกับคลินท์ อีสต์วู้ดในภาพยนตร์สปาเก็ตตี้ เวสเทิร์นโดยเซอร์จิโอ ลีโอน ไมเคิลแองเจโลกับบิล เมอร์เรย์ที่น่าขบขันใน Ghostbusters และดอนนาเทลโลกับสป็อค ผู้ยึดหลักเหตุผลใน Star Trek
ลีเบสแมนเล่าถึงวิธีการของเขาว่า “ในการนำเสนอเต่านินจาในแบบใหม่ เราตั้งใจจะโฟกัสไปที่นิสัยใจคอของพวกเขาแต่ก็ทำให้พวกเขายิ่งใหญ่ขึ้นและมีแบบดีไซน์ที่มืดหม่นขึ้นเล็กน้อย เราเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำให้พวกเขาเป็นตัวละครที่ตลกขบขันแต่ก็ร้ายกาจด้วยน่ะครับ”
ลีเบสแมนจะต้องบริหารทีมงานและนักแสดงจำนวนมากเพื่อก้าวไปถึงเป้าหมายนั้น แต่มันก็คุ้มค่า เขากล่าวว่า “มันเหลือเชื่อมากที่เราต้องใช้คนจำนวนมากแค่ไหนเพื่อเนรมิตเต่านินจาซักคนให้มีชีวิตขึ้นมา ทั้งนักแสดง อนิเมเตอร์ นักเรนเดอร์ภาพ และอื่นๆ แต่มันก็ทำให้ประสบการณ์นั้นเหมือนจริงยิ่งขึ้นด้วยครับ”
สิ่งสำคัญสำหรับลีเบสแมนคือการนำเสนอสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่าเอฟเฟ็กต์เต่านินจาขึ้นสู่จอเงิน นั่นคือเขาอยากจะเน้นถึงสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่ทำให้พวกเขากลายเป็นวีรบุรุษที่แท้จริงในตอนที่พวกเขาต่อสู้เพื่อเมืองแห่งนี้ วิล อาร์เน็ตต์ ผู้รับบทตากล้อง เวิร์น เฟนวิค กล่าวถึงสิ่งที่ทำให้เต่านินจารุ่นใหม่โดนใจผู้ชมว่า “เต่านินจาในเรื่องราวนี้จะมีนิสัยใจคอแบบที่คุณมองเห็นและสัมผัสได้ในวัยรุ่นปัจจุบันนี้ ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดคือ Teenage Mutant Ninja Turtles ของเราเป็นเรื่องราวอมตะของครอบครัวที่กระจัดกระจายพลัดพรากกันไป แต่ก็หาทางกลับมายืนหยัดอยู่ด้วยกันได้ครับ”
เบื้องหลังหน้ากาก: ขอเชิญพบครอบครัวนินจา
ตั้งแต่เริ่มต้น หัวใจสำคัญของ Teenage Mutant Ninja Turtles โฉมใหม่คือการปัดฝุ่นให้กับเหล่าเต่านินจา สิ่งสำคัญคือเสน่ห์และความน่าขบขันของเต่าบ้าพลังเหล่านี้จะเปล่งประกายออกมาพร้อมกับการนำเสนอตำนานเต่ากลายพันธุ์โฉมใหม่ด้วยเทคโนโลยีการถ่ายทำแห่งศตวรรษที่ 21 สมาชิกแต่ละตัวในครอบครัวนินจาล้วนแล้วแต่มีฝีไม้ลายมือและนิสัยใจคอที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป
ลีโอนาร์โด:
ลีโอนาร์โด ที่ได้รับการตั้งชื่อตามนักประดิษฐ์และจิตรกรชื่อกระเดื่องชาวอิตาเลียน ลีโอนาร์โด ดา วินชี เป็นเต่านินจาผู้นิ่งสงบตามลัทธิเซน ผู้แบกรับความรับผิดชอบในฐานะพี่ชายคนโต “ลีโอ” มีร่างสูงใหญ่ 6 ฟุต 5 นิ้วและกวัดแกว่งดาบเหล็กคาตานะด้วยความแม่นยำ
แม้ว่าลีโอมักจะเป็นผู้ที่จริงจังและเจ้าระเบียบที่สุดในบรรดาสี่พี่น้องนับตั้งแต่ฉบับการ์ตูน แต่ลีโอในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นลีโอโฉมใหม่ที่ต้องแบกรับภาระที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่มี นั่นคือการกอบกู้โลกพร้อมไปกับการปกป้องให้น้องๆ ปลอดภัย! หลังจากที่อาจารย์สปลินเตอร์จากไป เขาก็ทำหน้าที่เหมือนพ่อของครอบครัว และในเรื่องฝีมือความเป็นนินจาตามสมญานามของพวกเขา ก็ไม่มีใครฝึกหนักกว่าลีโออีกแล้ว ทำให้เขากลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามสำหรับทุกคนที่จะคุกคามพี่น้องของเขา
ราฟาเอล:
ราฟาเอล ที่มีชื่อตามจิตรกรเฟรสโก้ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งสไตล์เรอเนซองส์ ไม่ใช่คนที่ยอมจำนนต่ออะไรง่ายๆ เขาเป็นคนที่หัวรั้นที่สุดในบรรดาสี่พี่น้อง ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นที่รู้จักจากหน้ากากสีแดงดุดันและสามง่ามที่เป็นอาวุธของเขาเท่านั้น แต่เขายังโด่งดังจากความมุทะลุของเขาอีกด้วย ราฟาเอล ผู้มีชื่อเล่นว่า ราฟ อาจจะเป็นเต่าที่ทำก่อนคิด แต่ภายใต้นิสัยปรวนแปรของเขา เขาก็รักพี่น้องของเขามากพอๆ กับที่พี่น้องรักเขานั่นแหละ
ในการ์ตูนช่วงแรกๆ ราฟาเอลเป็นคนที่เลือดร้อนที่สุด แต่เขาก็พัฒนากลายเป็นคนที่ฝีปากคมกริบที่สุดในบรรดาสี่พี่น้อง และทักษะการต่อสู้ที่ไม่เกรงกลัวใครของเขาก็ทำให้เหล่าเต่านินจาได้เปรียบในทุกครั้งที่ต่อสู้กับเหล่าร้ายเสมอ
ไมเคิลแองเจโล:
เต่าที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาสี่พี่น้องได้ชื่อของเขามาจาก ไมเคิลแองเจโล ประติมากรและจิตรกรผู้เลื่องชื่อชาวอิตาเลียน “ไมกี้” ผู้รักอิสระเสรีและความสนุกสนาน สวมหน้ากากสีส้ม พร้อมกวัดแกว่งกระบองสองท่อนของเขา และพร่ำพูดศัพท์เฉพาะตามแบบนักเล่นกระดานโต้คลื่นระหว่างการสวาปามพิซซา
ด้วยความที่เขามีหน้าตาใกล้เคียงกับภาพวาดดั้งเดิมของเควิน อีสต์แมนมากที่สุด บางคนเลยมองว่าไมเคิลแองเจโลเป็นเต่านินจาตัวแรก
นับตั้งแต่นั้นมา ในหนังสือการ์ตูน ซีรีส์โทรทัศน์และภาพยนตร์เต่านินจาที่ผ่านมา ไมเคิลแองเจโลก็กลายเป็นหัวใจของสี่พี่น้องและเป็นต้นกำเนิดของประโยคติดปากมากมาย รวมถึง “โควาบังก้า!” ไม่ว่าเต่านินจาจะพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดแค่ไหน ไมกี้ก็ไม่เคยเสียกำลังใจไป ไมกี้ ที่ยังเป็นเหมือนเด็กตัวโต นำสไตล์บีบอยและอารมณ์ขันของเขามาสู่ทุกสถานการณ์ไม่เว้นแม้แต่ในการต่อสู้
ดอนนาเทลโล:
ดอนนาเทลโล ผู้ได้รับชื่อจากประติมากรชาวฟลอเรนซ์ ผู้ทิ้งผลงานที่เหลือเชื่อให้กับโลกศิลปะ เป็นมันสมองผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีของกลุ่ม เขาเป็นเต่าที่สูงที่สุดด้วยร่าง 6 ฟุต 8 นิ้ว เบื้องหลังหน้ากากสีม่วงและไม้กระบอง ความคิดที่คมกริบของเขาไม่เคยหยุดพักเลย
แม้ว่านับตั้งแต่การ์ตูนต้นฉบับ ดอนนาเทลโลจะถูกนำเสนอในฐานะผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดในกลุ่มพี่น้อง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาจะได้โลดแล่นในฐานะนักประดิษฐ์ผู้ไม่หยุดคิดค้นยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ สำหรับเหล่าเต่านินจา ดอนนาเทลโล ผู้เป็นเหมือนหนุ่มเนิร์ดแห่งศตวรรษที่ 21 ชำนาญในการแฮ็คเข้าไปในระบบกล้องวงจรปิดและระบบรักษาความปลอภัยพอๆ กับที่เขาชำนาญในการกวัดแกว่งกระบองไม้ที่ยาวเป็นพิเศษของเขา
อาจารย์สปลินเตอร์:
สมาชิกคนสุดท้ายของครอบครัวเต่านินจาคืออาจารย์สปลินเตอร์ ที่บางครั้งก็เป็นที่รู้จักในนามของสปลินเตอร์เพียงอย่างเดียว เป็นหนูกลายพันธุ์ผู้ชาญฉลาด เขาเป็นเหมือนทั้งอาจารย์และพ่อสำหรับสี่เต่านินจา ที่คอยสอนวิถีแห่งนินจาให้กับพวกเขา
ส่วนหนึ่งของตำนานเต่านินจาตั้งแต่การ์ตูนเล่มแรกๆ คือหนูชราตัวนี้อาจจะมีรูปร่างเล็กจิ๋วก็จริง แต่เขากลับชดเชยด้วยความรอบรู้ที่กว้างขวางของเขา และในตอนที่สถานการณ์เลวร้าย สปลินเตอร์ก็พร้อมที่จะแลกชีวิตเข้าสู้
เพื่อนเต่าและศัตรูนินจา
แม้ว่าบรรดาเต่านินจาจะพยายามตะลุยเมืองอย่างลับๆ ในทางระบายน้ำและเงามืด แต่พวกเขาก็ถูกค้นพบโดยคนสองคนที่กลายเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อความพยายามของพวกเขาในการปลดปล่อยเมืองแห่งนี้ให้พ้นจากเงื้อมือของชเรดเดอร์ ทั้งสองคือนักข่าวเอพริล โอ’ นีลและตากล้องคู่ใจของเธอ เวิร์น
การหานักแสดงที่เหมาะสมจะมารับบทมนุษย์ในเรื่องราวนี้เป็นเรื่องสำคัญ สำหรับบทเอพริล ทีมผู้สร้างรู้ดีว่าพวกเขาต้องการคนที่ไม่เพียงแต่จะมีเสน่ห์เหลือล้นเท่านั้น แต่เธอยังจะต้องมีความกล้าในแบบที่ทำให้นักข่าวสาวผู้อยากรู้อยากเห็นผู้นี้ต่อกรกับบรรดาเต่านินจาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ไม่นานเลยที่พวกเขาจะตัดสินใจทาบทามหนึ่งในนางเอกสาวที่ร้อนแรงที่สุดในปัจจุบันนี้ เธอคือเมแกน ฟ็อกซ์ ผู้นำแสดงในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง Transformers และ Transformers: Revenge of the Fallen
“เรานำตัวละครเอพริล โอ’ นีล ที่เป็นสาวน้อยผู้ต้องการความช่วยเหลือ มาปรับใหม่ให้เหมาะกับเมแกน ผู้นำความมุ่งมั่นที่วิเศษสุดของเธอใส่เข้าไปในตัวละครตัวนี้” ลีเบสแมนกล่าว “เอพริลเป็นตัวละครที่ต้องพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่าง เธอเป็นคนสวย แต่ทุกคนก็เคลือบแคลงในตัวเธอ เราก็เลยต้องการนักแสดงหญิงที่จะถ่ายทอดความรู้สึกที่ว่าเธอมีอะไรมากกว่าที่เราเห็น ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็กลายเป็นสมาชิกของครอบครัวนี้จริงๆ เป็นฮีโรตัวจริงสำหรับพวกเต่านินจาครับ”
เช่นเดียวกับหลายๆ คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ฟ็อกซ์เองก็โตมากับ Teenage Mutant Ninja Turtles เช่นเดียวกัน และเธอก็แทบอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นพวกเขาโลดแล่นมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันเป็นแฟนพวกเขาและอยากได้บทนี้เหลือเกิน” เธอเล่า “นี่เป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องหนึ่งๆ น่ะค่ะ”
ความตื่นเต้นส่วนหนึ่งเกิดจากมนต์เสน่ห์ที่เธอจำได้ว่าพวกเต่านินจามีต่อเด็กๆ ทุกเพศทุกวัย “ฉันชอบที่ว่าเต่านินจาแต่ละคนมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันออกไป ฉันคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่พวกเขาโดนใจหลายๆ คนเพราะทุกคนต่างก็มีเต่าตัวโปรดของตัวเอง ซึ่งปกติก็จะเป็นเพราะเต่าตัวนั้นมีนิสัยเหมือนคุณ มันเยี่ยมจริงๆ ค่ะ” เธอบอก
ในตอนที่เอพริลได้ล่วงรู้การมีตัวตนของเต่านินจา เธอคิดว่าเธอเจอเรื่องเด็ดเข้าให้แล้ว แต่ไม่นานนัก เธอก็ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการของพวกเขาในการช่วยเหลือชาวเมืองนิวยอร์ก ฟ็อกซ์ชื่นชอบความรักในความยุติธรรมของเอพริล “ในความคิดของฉัน เธอเป็นเหมือนโจนออฟอาร์ค คนที่เชื่อในการทำทุกสิ่งเท่าที่ทำได้เพื่อสิ่งที่ถูกต้องน่ะค่ะ” เธอกล่าว
นอกจากนี้ ฟ็อกซ์ยังชื่นชอบการได้ร่วมงานกับลีเบสแมนในการถ่ายทำที่เหน็ดเหนื่อยและซับซ้อนมากๆ “โจนาธานเป็นคนช่างวิเคราะห์มากๆ และเขาก็หายใจเข้าออกเป็นหนังเรื่องนี้ค่ะ! เขานึกถึงมันทั้งวันทั้งคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณต้องการเพราะเขาจะคิดถึงเสมอว่าจะทำยังไงให้แต่ละช่วงเวลาออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และสร้างแรงบันดาลใจให้คุณแสดงออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ผู้ที่แสดงประกบฟ็อกซ์ในบทตากล้องที่ไว้วางใจได้ของเธอคือวิล อาร์เน็ตต์ นักแสดงตลกผู้เป็นที่รู้จักจากการขโมยซีนในซีรีส์ “Arrested Development” และซีรีส์รางวัลเอ็มมี อวอร์ดเรื่อง “30 Rock” อาร์เน็ตต์พูดถึงเวิร์นว่า “เขาเป็นคนกร้านโลกที่เห็นมาแล้วทุกอย่าง เขาพบเจอเหตุการณ์มามากมาย และตอนนี้ เขาก็พอใจกับการถ่ายทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในตอนที่เอพริลไปสืบร่องรอยข่าวเด็ดนี้ ความรู้สึกของเขาก็คือ ‘ฉันเคยผ่านมันมาแล้ว ฉันก็แค่อยากได้เงินค่าตอบแทน’ แต่เมื่อเธอได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกเต่านินจา เขาก็คอยช่วยเหลือเธอตลอดครับ”
ในฐานะคุณพ่อลูกสอง ที่ลูกชายเขาเองก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของซีรีส์อนิเมชันนิคเคลโลเดียนเรื่องนี้ด้วย อาร์เน็ตต์รู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสในการได้ก้าวเข้าสู่โลกของเต่านินจา และการรับบทแอ็กชันบทแรกของเขา “ผมอาจจะประเมินความเหนื่อยของบทนี้ต่ำไปก็ได้ แต่มันก็สนุกมากที่ได้รับบทที่แอ็กชันหนักขนาดนี้” เขายอมรับ “ผมได้ทำในสิ่งต่างๆ ที่ผมไม่เคยคิดฝันว่าจะได้ทำเช่นการกระโดดข้ามอุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆ และการร่วงลงไปท่ามกลางห่ากระสุนและระเบิด แน่นอนว่ามันเป็นการใช้เวลาที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ครับ”
นอกจากนั้น ส่วนหนึ่งของความตื่นเต้นคือโอกาสในการได้ร่วมงานกับฟ็อกซ์ “เมแกนมีกลิ่นไอของบล็อกบัสเตอร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ช่วงซัมเมอร์ และเธอก็สามารถเข้าสู่โลกตีลังกาที่ทุกอย่างจะถูกขับเน้นและเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ที่ซึ่งกำแพงระเบิดและทุกอย่างพังทลาย และเธอก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนั้นอย่างน่าหลงใหลครับ” เขาตั้งข้อสังเกต
ลีเบสแมนตื่นเต้นกับเคมีของพวกเขา “เราโชคดีที่ได้วิล อาร์เน็ตต์ นักแสดงตลกฝีมือเยี่ยม มาร่วมงานกับเรา” ผู้กำกับกล่าว “เขาเป็นคนตลกมาก ผมสามารถตั้งกล้องทิ้งไว้ แล้วมันก็จะมีเรื่องขำขันเกิดขึ้นในการแสดงของเขาเสมอครับ”
สิ่งที่สำคัญพอๆ กับการหานักแสดงสำหรับบทมิตรของเต่านินจาก็คือการหานักแสดงสำหรับบทคู่ปรับตัวฉกาจ อีริค แซ็คส์ มหาเศรษฐี และชเรดเดอร์ อีกโฉมหน้าหนึ่งของเขา ในการสร้างผู้ร้ายสมัยใหม่ ที่ซับซ้อน มีมิติมากยิ่งขึ้น ทีมผู้สร้างได้เลือกนักแสดงมากความสามารถ วิลเลียม ฟิชท์เนอร์ ผู้ซึ่งผลงานภาพยนตร์หลากหลายของเขารวมถึงอีพิคไซไฟโดยนีลล์ บลอมแคมป์เรื่อง Elysium และคอเมดีโดยชอว์น เลวีเรื่อง Date Night รวมถึงภาพยนตร์โดยเบย์เรื่อง Pearl Harbor และ Armageddon
“วิลเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมและจริงจังมากๆ ครับ” แบรด ฟูลเลอร์กล่าว “แทนที่เขาจะดื่มด่ำกับทิวทัศน์และทำตัวให้สุดๆ กับบทนี้ วิลกลับแสดงมันในลักษณะที่สมจริงมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจจริงๆ เขาดูเหมือนเป็นหนึ่งในพวกคนดังที่ชอบออกสื่อในนิวยอร์กเลยล่ะครับ”
เช่นเดียวกับหลายๆ คน ฟิชท์เนอร์เองก็มีความผูกพันกับเต่านินจาเหมือนกัน เขาเล่าว่าลูกชายของเขามีของเล่นเต่านินจา และเมื่อเขาเล่าให้หลานชายเขาฟังว่าเขากำลังพิจารณาบทในภาพยนตร์ใหม่เรื่องนี้ หลานชายเขาก็แนะนำเขาว่า “ลุงบิล ลุงต้องแสดงหนังเรื่องนี้นะ”
พอเขาตกลงปลงใจแล้ว เขาก็รู้สึกหลงเสน่ห์แซ็คส์และนิสัยที่แปลกแยกของเขา “อีริค แซ็คส์เป็นตัวละครที่ซับซ้อน” ฟิชท์เนอร์กล่าว “และการที่ชีวิตเขามาข้องเกี่ยวกับเอพริลก็กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ระหว่างเรื่องราวในหนังเรื่องนี้ เราได้พบว่าแซ็คส์มาจากไหนและอะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้น่ะครับ”
นอกเหนือจากเอพริล, เต่านินจา, สปลินเตอร์และชเรดเดอร์ แฟนเก่าแก่ของแฟรนไชส์นี้ก็จะได้เห็นตัวละครออริจินอลอื่นๆ ในมุมมองใหม่ ได้แก่คาไร สมุนมือขวาของชเรดเดอร์ ที่รับบทโดยนักแสดงชาวญี่ปุ่น/อเมริกัน มินาเอะ โนจิ (“General Hospital”) และบรรณาธิการข่าวผู้ดุเดือด เบิร์น ธอมป์สัน ผู้ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็น เบอร์นาเด็ตต์ ธอมป์สัน ที่รับบทโดยนักแสดงหญิงรางวัลออสการ์ วูปปี้ โกลด์เบิร์ก
โกลด์เบิร์กยิ่งกว่าจะยินดีที่ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ “ฉันอยากจะร่วมงานกับพวกเต่านินจาตั้งแต่ที่ลูกสาวฉันยังเล็กค่ะ สิ่งที่เธอต้องการที่สุดคือให้ฉันได้แสดงในหนังภาคแรก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทาบทามฉัน เกือบ 25 ปีให้หลัง ตอนนี้ ลูกสาวฉันเป็นยายคนแล้ว และฉันก็ได้เล่นหนังเต่านินจา มันทำให้เราทั้งคู่ตื่นเต้นกันมากค่ะ”
อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง: เทคโนโลยีใหม่ด้านโมชัน แคปเจอร์
เมื่อได้นักแสดงเรียบร้อยแล้ว ทีมงานก็ก้าวเข้าไปใกล้การเนรมิตโฉมใหม่ให้กับเหล่าเต่านินจาอีกขั้น ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด นั่นคือการผสมผสานนิสัยที่เปี่ยมชีวิตชีวาของนักแสดงกับเทคโนโลยี ในการสร้างเต่านินจาเวอร์ชันที่สมจริงที่สุดขึ้นมา ทีมผู้สร้างได้ตั้งมาตรฐานที่สูงลิบลิ่วสำหรับภาพ CGI ที่สมจริง อย่างที่ได้เห็นมาแล้วในภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง Transformers
“สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชมเกี่ยวกับหนังของไมเคิล เบย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Transformers คือเขาถ่ายทำตามจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ผมคิดว่าวิธีการสร้างวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่ดีที่สุดคือการใส่เอาของจริงเข้าไปในเฟรมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ” ลีเบสแมนกล่าว “ดังนั้น สิ่งสำคัญสำหรับเราคือการให้นักแสดงเข้าเฟรมในฐานะเต่านินจา และให้ทีมสตันท์แสดงท่าศิลปะการต่อสู้ เพื่อให้อนิเมเตอร์สามารถจับคู่ภาพจริงๆ ได้แทนที่จะใช้จินตนาการอย่างเดียวน่ะครับ”
พวกเขาตั้งเป้าหมายไว้สูงด้วยการเลือก พาโบล เฮลแมน (Battleship) จากอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ให้ทำหน้าที่ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ และทำหน้าที่ดูแลการเปิดตัวของระบบโมชัน แคปเจอร์ รุ่นที่สี่ของไอแอลเอ็ม ซึ่งเป็นความพยายามล่าสุดของพวกเขาในการยกระดับความสมจริงไปอีกขั้น “แทร็คกิ้ง สูทแบบใหม่ของไอแอลเอ็มและเทคโนโลยีนั้นทำให้เราสามารถถ่ายทอดการแสดงให้กลายเป็นอนิเมชันที่เหลือเชื่อได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ลีเบสแมนตั้งข้อสังเกต
เฮลแมนซาบซึ้งกับการได้รับเลือกให้นำเหล่าเต่านินจาเข้าสู่ยุคสมัยไฮเทค “ผมไม่อาจปฏิเสธความท้าทายได้ครับ” เขาอธิบาย “หนังเรื่องนี้เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างภาพ CG กับการแสดง มันเป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปะครับ”
ตั้งแต่เริ่มต้น เฮลแมนก็รู้ดีว่าเขาต้องการให้เกิดปฏิกิริยาแบบไหน “เราอยากให้ผู้ชมมองเต่านินจาแล้วคิดว่า ‘พวกเขาทำได้ยังไงนะ’ น่ะครับ” เขาอธิบาย “สิ่งหนึ่งที่เราโฟกัสคือการถ่ายทอดอารมณ์ที่ละเอียดอ่อน แทบมองไม่เห็น ที่เป็นพลังเบื้องหลังสายสัมพันธ์ระหว่างตัวละครและผู้ชมน่ะครับ”
ในการถ่ายทอดอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนเหล่านั้น เฮลแมนได้ให้ทีมงานของเขาศึกษาสิ่งที่รวมอารมณ์ทุกอย่างของมนุษย์ และเต่านินจา นั่นคือใบหน้า มันทำให้พวกเขาต้องอาศัยนวัตกรรมใหม่ ระบบนี้เกี่ยวข้องกับการติดตั้งกล้องไฮเดฟขนาดเล็กไว้บนหมวกตรงหน้านักแสดงแต่ละคน กล้องสามารถบันทึกการเคลื่อนไหวของใบหน้าและดวงตาที่เล็กน้อยที่สุดเอาไว้ได้ แม้กระทั่งการกะพริบตาหรือการแลบลิ้น เพื่อที่ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกแปลงให้กลายเป็นข้อมูลหลายพันเทราไบท์ให้อนิเมเตอร์ได้ใช้งาน
การทำให้ตัวละครเหล่านี้มีชีวิตชีวาอย่างสมจริง ทีมนักแสดงได้สวมชุด “โมแคป” ใหม่ ที่เกะกะน้อยกว่าและทำให้พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม
มีการเตรียมพร้อมหลายเดือนก่อนหน้าการถ่ายทำ ในตอนที่ริชสัน, พลอสเซ็ค, ฟิชเชอร์, โฮเวิร์ดและวู้ดเบิร์นต่างก็ผ่านการสแกนใบหน้าและร่างกายที่ซับซ้อน ที่นำไปสู่การสร้างหมวกและชุดโมแคปของพวกเขาเอง
ภายหลัง ในกองถ่าย นักแสดงผู้รับบทสี่เต่านินจาและวู้ดเบิร์นต่างก็ต้องผ่านขั้นตอนสองชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อลงแป้งสีขาวบนใบหน้าและจุดวิชวล เอฟเฟ็กต์ เพื่อช่วยเก็บข้อมูลสีหน้าของพวกเขา ก่อนหน้าที่กล้องจะเริ่มหมุน นักแสดงบทเต่านินจาทั้งสี่คนไม่เพียงต้องสวมหมวกของพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องแบกกระดองเต่าน้ำหนักเบา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสมจริงด้านการเคลื่อนไหวและน้ำหนัก เอาไว้อีกด้วย
สำหรับนักแสดงในบทเต่านินจา การสวมอุปกรณ์ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการปรับตัว แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ช่วยทำให้พวกเขาดำดิ่งเข้าไปในโลกของเต่านินจามากยิ่งขึ้น พลอสเซ็คอธิบายว่า “การทำตัวให้เคยชินกับการติดจุดบนใบหน้าทุกวัน และการถูกกล้องที่ติดตั้งบนหมวกจับภาพใบหน้าคุณตลอดต้องใช้เวลาซักพัก เหมือนกับการใส่ชุดและการทำความเข้าใจกับมิติของการเคลื่อนไหวไปมาโดยแบกกระดองเต่าบนหลังทั้งวันน่ะครับ! แต่บอกตามตรงนะครับ มันคุ้มค่า เทคโนโลยีนี้เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับการถ่ายทำหนังอย่างแท้จริง และผมก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ครับ”
ทีมนักแสดงหลักของเรื่องยินดีเป็นพิเศษที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับนักแสดงคนอื่นๆ แทนที่จะเจอกับกระบวนการทำงานในภาพยนตร์ CGI ตามปกติ นั่นคือการพูดคุยกับลูกเทนนิสที่บอกตำแหน่ง เมแกน ฟ็อกซ์กล่าวว่า “การได้แสดงกับนักแสดงจริงๆ สร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นจริงๆ อลัน, พีท, โนเอลและเจเรมียอดเยี่ยมมากเวลาเข้าฉากด้วยกันและการได้นักแสดงที่มีเลือดเนื้อจริงๆ มาแสดงด้วยก็เป็นเรื่องเยี่ยมจริงๆ เพราะมันเป็นวิธีที่ทำให้นักแสดงพบการแสดงเยี่ยมๆ ในชั่วขณะนั้นน่ะค่ะ”
ผู้อำนวยการสร้างแอนดรูว์ ฟอร์มกล่าวเสริมว่า “ระบบที่เราใช้เป็นประโยชน์ต่อทุกคนอย่างมหาศาล ที่สำคัญที่สุด เราสามารถถ่ายทำในโลเกชันจริงๆ แล้วให้นักแสดงเล่นด้วยกันได้จริงๆ เมแกน ในบทเอพริล สามารถมองตา ลีโอ และมีปฏิกิริยาทันทีได้ โดยที่รู้ว่าภายหลัง เขาจะกลายเป็นเต่าสูง 6 ฟุต 5 นิ้วที่คุณจะได้เห็นบนหน้าจอน่ะครับ”
ในการจำลองความสูงชะลูดของเหล่าเต่านินจาสำหรับนักแสดง มีการใช้เทคนิคต่างๆ ตั้งแต่การให้พวกเขายืนอยู่บนแท่น การสวมรองเท้าส้นสูง การติดลูกบอลไว้บนศีรษะของพวกเขาเพื่อกำหนดจุดสายตาที่สูงขึ้น ทั้งหมดนั้นช่วยแปลงพวกเขาให้กลายเป็นร่างสมบูรณ์
สำหรับทิม แฮร์ริงตัน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายอนิเมชันของไอแอลเอ็ม ผู้ทำงานกับไอแอลเอ็มมานานเป็นสิบปีในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Star Wars และ The Avengers โอกาสในการผสมผสานสิ่งแวดล้อมจริงๆ เข้ากับตัวละครดิจิตอลเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น เขาเข้ารับงานนี้พร้อมกับทีมอนิเมเตอร์พรสวรร์ 60 ชีวิต “สิ่งที่เจ๋งเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นี้ก็คือพวกเต่านินจาเป็นตัวละครที่สมจริงมากๆ” เขากล่าว “หลังจากที่ถ่ายทำนักแสดงเสร็จแล้ว พวกเราในฐานะอนิเมเตอร์ก็สามารถยกระดับแรงต่อยของพวกเขา ทำให้การหมุนตัวของพวกเขาเร็วขึ้นสองเท่า ทำให้การเตะของพวกเขาสูงขึ้น เพื่อทำให้พวกเขามีความเป็นซูเปอร์ฮีโรมากยิ่งขึ้นครับ”
แฮร์ริงตันชื่นชอบการได้เห็นการร่ายเวทมนตร์นี้ “มันเป็นกระบวนการที่น่าทึ่งทีเดียว” เขากล่าว “พวกนักแสดงให้ dna ตัวละครกับเรา ให้หัวใจและจิตวิญญาณกับเรา แล้วทีมนักวาดภาพและอนิเมเตอร์ของเราก็จะเข้ามาขัดเกลาข้อมูลนั้นในแบบที่ทำให้เต่านินจาร่างยักษ์มีเสน่ห์ขึ้นมาจริงๆ ครับ”
ที่สำคัญที่สุด แฮร์ริงตันรู้สึกตื่นเต้นกับผลลัพธ์ของระบบการบันทึกสีหน้า ที่ทำให้ทีมงานของเขามีข้อมูลสำหรับ 750 ช็อตของเต่าพูดได้ “ผมคิดว่ามันจะทำให้ผู้ชมทึ่งครับ” เขากล่าวสรุป “คุณภาพของงานนี้ทำให้เต่านินจาดูสมจริงกว่าแต่ก่อนและแฟนๆ ก็จะชื่นชอบเรื่องนั้นครับ”
นอกเหนือจากเต่านินจา การสร้างตัวละคร สปลินเตอร์ ก็เป็นงานที่แสนสาหัสเช่นกัน “สปลินเตอร์เป็นตัวละครที่สร้างได้ลำบากยากเย็นมากๆ เพราะรูปร่างที่เล็กของเขาเมื่อเทียบกับพวกเต่านินจา นอกจากนี้ ตัวละครตัวนี้ยังมีปากยาวๆ ที่ทำให้การพูดเป็นเรื่องท้าทาย” เฮลแมนอธิบาย “เราอยากให้เขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นอาจารย์จริงๆ และให้คนสามารถเชื่อมโยงกับเขาได้ และการทำแบบนั้นกับหนูก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก! มันมีเหตุผลที่คุณไม่สามารถเห็นได้ว่าหนูคิดอะไรอยู่ เพราะหนูไม่มีลูกตา ทำให้ยากที่จะรู้ได้ว่าพวกมันมองอะไรอยู่ เราใช้การกระดิกหนวดและจมูกของเขาในการถ่ายทอดสีหน้าท่าทางของเขาน่ะครับ”
นอกจากนั้น เฮลแมนและทีมงานของเขายังได้สร้างสิ่งแวดล้อมดิจิตอลเต็มรูปแบบขึ้นมาหลายฉาก ซึ่งรวมถึงรังลับของชเรดเดอร์ ซึ่งเป็นเขาวงกตซับซ้อนของห้องแล็บและโรงฝึก ที่ซึ่งการประจันหน้ากันเกิดขึ้น
สำหรับแฮร์ริงตัน หนึ่งในความท้าทายชิ้นใหญ่ที่สุดคือการออกแบบการต่อสู้ในโรงฝึก “ฉากศิลปะการต่อสู้เป็นอะไรที่ซับซ้อนมากๆ” เขาตั้งข้อสังเกต “เราต้องสามารถควบคุมกล้องได้ ดังนั้น ไม่เพียงแต่เราจะต้องสร้างการเคลื่อนไหวให้กับตัวละครได้เท่านั้น แต่เรายังต้องสร้างการเคลื่อนไหวให้กับกล้องและออกแบบช็อตด้วย”
เฮลแมนกล่าวว่าความสำเร็จที่แท้จริงในเรื่องเทคโนโลยีคือการที่พวกเขาสามารถถ่ายทอดสายสัมพันธ์พี่น้องของเต่านินจาออกมาได้มากน้อยแค่ไหน “ช่วงเวลาที่ผมชื่นชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้เป็นช่วงเวลาที่เป็นส่วนตัวที่สุด ที่คุณจะไดรู้จักตัวละครพวกนี้” เขากล่าว “ผมชอบฉากที่พวกเต่านินจาแอบเข้าไปในรังหลังจากที่พวกเขาออกผจญภัยยามราตรีและคุณจะได้เห็นว่าบางทีพวกเขาก็ดีกัน บางทีก็ทะเลาะกัน เหมือนพี่น้องจริงๆ! มันแสดงให้เห็นถึงทั้งความลึกลับและความเป็นมนุษย์ของเต่านินจาครับ”
แอ็กชันนินจา สไตล์เต่านินจา
ในขณะที่พาโบล เฮลแมนโฟกัสที่แง่มุมเทคโนโลยี ทีมผู้สร้างก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กันกับการสร้างแอ็กชันจริงๆ ขึ้นมาในกองถ่าย เป็นการรับประกันว่าการเคลื่อนไหวของเต่านินจาแต่ละคนจะน่าตื่นเต้น
อาวุธคือกุญแจสำคัญ “ราฟาเอลมีสามง่ามของเขา ลีโอมีดาบคาตานะ ไมกี้มีกระบองสองท่อน ส่วนดอนนีก็มีไม้กระบอง” โจนาธาน ลีเบสแมนอธิบาย “แล้วคุณก็มีพวกสมุนที่มีอุปกรณ์เจ๋งๆ ที่สามารถล้มเต่านินจาได้ ชเรดเดอร์เองก็มีอุปกรณ์ที่เหลือเชื่อติดตัวอยู่ แน่นอนว่าเขาเป็นปรมาจารย์นินจา แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว เรายังให้เขาสวมชุดเกราะที่มาพร้อมกับมีดอิเล็คโทรแม็กเนติก ที่เขาสามารถขว้างและเรียกกลับมาได้น่ะครับ”
เมื่อคำนึงถึงยุทโธปกรณ์เหล่านี้ ผู้ประสานงานสตันท์/ผู้กำกับยูนิทที่สอง เดวิด ลิทช์ (TRON: Legacy, Jupiter Ascending) และผู้ประสานงานการต่อสู้ โจนาธาน ยูเซบิโอ (The Avengers, The Wolverine) ได้ร่วมมือกันในการสร้างซีเควนซ์ศิลปะการต่อสู้ที่ท้าทายแรงโน้มถ่วงขึ้นมา
ลิทช์กล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดในแอ็กชันคือการใช้มันเพื่อบ่งบอกลักษณะตัวละคร ดังนั้น คุณก็จะได้เห็นดอนนาเทลโลใช้ไม้กระบองของเขาในแบบที่เป็นดอนนาเทลโลมากๆ ส่วนไมเคิลแองเจโลก็ใส่ลูกบ้าของเขาเข้าไปในกระบองสองท่อน ราฟาเอลสู้เหมือนยักษ์ใหญ่ และลีโอก็เป็นนักสู้ที่มีระเบียบที่สุด ที่มีหลักปฏิบัติของตัวเองชัดเจน คุณลักษณะเหล่านี้เป็นตัวกำหนดท่าเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจงและถูกสะท้อนอกมาในทุกวินาทีของฉากต่อสู้นี้ครับ”
ยูเซบิโอ ผู้โตมากับการอ่านหนังสือการ์ตูนและดูเต่านินจาทางโทรทัศน์มุ่งมั่นกับการใส่ธรรมเนียมนินจาจริงๆ เข้าไปด้วยเช่นกัน “สไตล์การต่อสู้เฉพาะตัวของพวกเขายังคงซื่อตรงต่อต้นกำเนิดในญี่ปุ่น แต่เราผสมมันเข้ากับศิลปะการต่อสู้ผสมและสไตล์สมัยใหม่ครับ” เขาอธิบาย “เหมือนกับตัวหนังเรื่องนี้เอง ท่าต่อสู้ก็ต้องผสมผสานระหว่างความตื่นเต้นและความดิบเถื่อนในแบบของการ์ตูนต้นฉบับด้วยเช่นกันครับ”
ในขณะเดียวกัน นักแสดงก็ทิ้งชีวิตสามัญชนธรรมดาของพวกเขาไว้เบื้องหลังเพื่อเข้าค่ายฝึกนินจา ที่พวกเขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนขัดเกลาฝีมือการใช้อาวุธของพวกเขาและเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตนตามวิถีนินจา
อลัน ริชสัน ผู้รับบทราฟาเอล เล่าว่าเขาอึ้งมากว่าเขาสามารถพัฒนาฝีมือนินจาของตัวเองได้รวดเร็วแค่ไหน “เราได้นักศิลปะการต่อสู้ที่ฝีมือเยี่ยมท่สุดในโลกหลายคนมาแสดงท่าเป็นตัวอย่างให้เราดู” เขากล่าว “ในตอนแรก เราคิดกันว่า ‘ฉันไม่มีวันทำได้แน่ ตอนนนี้ ฉันเริ่มท้อแท้แล้วเนี่ย’ แต่ผ่านไปหลายเดือน เราก็เก่งมากขึ้นและมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ เราก็มาถึงจุดที่เราสามารถทำท่าเจ๋งๆ ได้ โดยที่เราไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น การผ่านเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยกันทำให้เราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันมากขึ้นครับ”
ในตอนที่นักแสดงฝึกฝน ลิทช์และยูเซบิโอก็ตามหาศิลปินปาร์กูร์อย่างเจเรมี มารินาส และอานิส โชร์ฟา รวมถึงนักศิลปะการต่อสู้และนักแสดงสตันท์มากประสบการณ์อย่างจอน วาเลรา, ผู้เข้าแข่งขันศิลปะการต่อสู้ผสม แดเนียล เฮอร์นันเดซและแดเนียล เกรแฮม ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นนักสู้ที่สามารถผลักดันฉากต่อสู้ให้ก้าวไปอีกระดับได้ ลีเบสแมนพูดถึงพวกเขาว่าเป็น “นักแสดงสตันท์ที่คล่องแคล่ว พลิ้วไหวและมากความสามารถที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย”
ในการออกแบบฉากประจันหน้ากันครั้งสุดท้ายระหว่างสปลินเตอร์และชเรดเดอร์ ยูเซบิโอได้คำนึงถึงลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นของสปลินเตอร์เป็นพิเศษ เพื่อคิดสไตล์การต่อสู้แบบสัตว์ให้กับหนูร่างสี่ฟุตที่เป็นปรมาจารย์นินจาผู้นี้ “มันจะต้องมีแอ็กชันเจ๋งๆ สำหรับสปลินเตอร์” แบรด ฟูลเลอร์กล่าว “และพวกเขาก็สร้างมันขึ้นมาได้”
เมแกน ฟ็อกซ์เองก็ได้ออกวาดลวดลายด้วยเช่นกัน โดยเธอได้ฝึกกับยูเซบิโอและทีมงานของเขา ในการโชว์ฝีมือคิกซ์บ็อกซิงในฉากสำคัญนี้
แอ็กชันที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้คือฉากการไล่ล่ากันท่ามกลางหิมะ ที่สมุนของชเรดเดอร์ไล่ล่าตัวเอพริล, เวิร์นและสี่เต่านินจาระหว่างที่พวกเขาพยายามหลบหนี ฉากนี้จำต้องอาศัยฝีมือของหน่วยหิมะ ซึ่งนำทีมโดยผู้กำกับแดน แบรดลีย์ ผู้ดูแลซีเควนซ์แอ็กชันสุดท้าทายในแฟรนไชส์ The Bourne ร่วมกับผู้ประสานงานสตันท์ สก็อต โรเจอร์ส (Oz The Great and Powerful) อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญต่อซีเควนซ์นี้คือผลงานของซูเปอร์ไวเซอร์สเปเชียล เอฟเฟ็กต์เจ้าของรางวัลออสการ์ เบิร์ท ดัลตัน (The Curious Case of Benjamin Button)
หน่วยหิมะได้เดินทางไปยังทะเลสาบทัปเปอร์ในเอดิรอนแดคส์เพื่อใช้เวลาสามวันในการถ่ายทำฉากแอ็กชันไพโรเทคนิคตามถนนที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคด พื้นที่สกีที่ถูกทิ้งรกร้างใกล้ๆ ถูกใช้เป็นฉากหลังสำหรับแอ็กชันครั้งนี้ ซึ่งมีรถเทรลเลอร์ รถฮัมวีและรถเอสยูวีแล่นลงเขาระหว่างที่เกิดระเบิดตูมตามรอบด้าน ซีเควนซ์ที่ท้าทายนี้ทำให้จิม วิลกี้และแดนนี ไวแนนด์ นักขับรถ ต้องสะบัดรถที่มีน้ำหนัก 25 ตันถึง 270 องศา นอกจากนี้ รถคันหนึ่งยังถูกติดตั้งกลไกกับสายพ่วงที่ยาว 35 ฟุต ซึ่งคาดว่าทำให้มันเป็นสายพ่วงที่ยาวที่สุด และมีน้ำหนักมากถึง 25,000 ปอนด์ สำหรับฉากการกระโจนลงจากเนินหิมะ
“การไล่ล่าในหิมะเป็นอะไรที่ท้าทายจริงๆ” ฟูลเลอร์ยอมรับ “เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าเราจะได้สร้างภาพเต่านินจากระโจนเข้าไปในรถฮัมเมอร์ขึ้นมาจริงๆ แต่การสร้างมันได้สำเร็จเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อครับ”
รังเต่าและนิวยอร์กของเหล่านินจา
แม้ว่าเต่านินจาจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกใต้ดินที่ลึกลับซับซ้อนราวเขาวงกต แต่ Teenage Mutant Ninja Turtles ก็ยังเป็นภาพยนตร์นิวยอร์ก ที่เคลื่อนตัวไปยังทุกมุมของเมืองแมนฮัตตัน จากย่านไชนาทาวน์สู่เซาธ์ สตรีท ซีพอร์ท และอัปเปอร์ อีสต์ไซด์ สถานที่ทั้งหมดได้รับการบันทึกอย่างมีชีวิตชีวาโดยผู้กำกับภาพลูลา คาร์วัลโญ ผู้กำกับภาพให้กับ Robocop เวอร์ชันล่าสุดด้วยเช่นกัน
ผู้ออกแบบงานสร้างเจ้าของรางวัล นีล สไปแซ็ค ผู้โด่งดังจากผลงานในแฟรนไชส์ Spider-Man เป็นผู้รับหน้าที่สร้างฉากไลฟ์แอ็กชันของเรื่อง ฉากสำคัญของสไปแซ็คคือรังลับของเหล่าเต่านินจา ซึ่งเป็นทั้งบ้านและศูนย์บัญชาการ ที่ตั้งอยู่ในโกดังเก็บอุปกรณ์ที่ถูกทิ้งร้างไว้ เขาสร้างฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจในพื้นที่ 3,000 ตารางฟุต ที่มีทั้งห้องที่ขีดเขียนไปด้วยลวดลายกราฟิตี้ เฟอร์นิเจอร์ที่สร้างจากกล่องพิซซา เนินสเก็ตบอร์ด ห้องนั่งสมาธิ กำแพงที่สร้างจากลังกระดาษ และห้องคอนโซลที่ดอนนาเทลโลสังเกตการณ์เมืองแห่งนี้ ตาม “สุนทรียศาสตร์แบบเต่านินจา” ฉากนี้ผสมผสานข้าวของที่เก็บตกมา อุปกรณ์ไฮเทคและสิ่งของเครื่องใช้ในโรงฝึกแบบญี่ปุ่น เข้ากับความยุ่งเหยิงตามสไตล์วัยรุ่นที่ถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตตามอิสระ
“ถ้าคุณมีวัยรุ่นสี่คนใช้ชีวิตในทางระบายน้ำ มันก็คงจะเป็นแบบนี้ล่ะครับ” ลีเบสแมนกล่าว “นีลได้สร้างโลกที่เป็นเหมือนบังเกอร์ส่วนตัวสำหรับพวกเขาขึ้นมา ถ้าโลกนี้เกิดระเบิด แล้วคุณสามารถใช้ชีวิตอยู่ข้างใต้นั้นนานเท่าที่คุณต้องการ มันก็จะเต็มไปด้วยพิซซาครับ!”
แบรด ฟูลเลอร์พูดถึงการออกแบบว่า “เรารู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเราที่จะคิดในสิ่งที่จะทำให้ทุกคนอึ้งออกมา นีลคิดไอเดียมหัศจรรย์พวกนี้ที่เราชื่นชอบขึ้นมได้ เขาและแผนกศิลป์ของเขาคิดหาสถานที่ที่จะเป็นที่ที่เจ๋งที่สุดที่เด็กพวกนี้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้น่ะครับ”
แอนดรูว์ ฟอร์มกล่าวเสริมว่า “มันเป็นโลกใบใหญ่ที่สร้างสรรค์และสนุกสนาน ที่พวกเต่านินจาจะฝึกและเล่นกันได้น่ะครับ”
เป็นหน้าที่ของผู้ตกแต่งฉากเจ้าของรางวัลเอ็มมีและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ เด็บบรา ชูทท์ (“Boardwalk Empire”) ในการจัดหาของตามตลาดของมือสองและเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบมาให้เหมือนกับของเก่าเก็บมาประดับบ้านของเหล่าเต่านินจา กล่องพิซซาถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นโซฟาและอุปกรณ์ในสนามเด็กเล่นก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเตียง
ทุกตารางนิ้วในรังของเต่านินจาสร้างความประทับใจเหลือล้นให้กับทีมนักแสดง เมแกน ฟ็อกซ์เล่าว่า “แบบดีไซน์นี้น่าทึ่งสุดๆ โดยมันมีของจากยุค 80s จนถึงของจากยุคปัจจุบัน ความสนุกสนานของมันทำให้งานของเรามีชีวิตชีวาเหลือเกินค่ะ” วิล อาร์เน็ตต์กล่าวเสริมว่า “ผมทึ่งกับรายละเอียดในเรื่องนี้จริงๆ มันไม่ใช่แค่พื้นผิว แต่มันเป็นโลกจริงๆ ที่พวกเต่านินจาจะสามารถเล่นและฝึกฝนได้ เจ๋งมากๆ ครับ”
รายละเอียดทั้งหมดในโลกของ TMNT ทั้งที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตในฉากและที่ถูกสร้างขึ้นในคอมพิวเตอร์ นำไปสู่สิ่งที่ทีมผู้สร้างต้องการ นั่นคือความจริงที่บิดเบี้ยวกลายพันธุ์นิดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ลีเบสแมนต้องการให้พวกเต่านินจาสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ในท้ายที่สุด
“สิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดคือความอบอุ่นและเสน่ห์ที่พวกเต่านินจามีระหว่างกันและกัน ความรู้สึกของความเป็นครอบครัวและพี่น้อง” เขาสรุป “ซีเควนซ์แอ็กชันออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ แต่ระดับที่คุณแคร์ตัวละครพวกนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงฝีมือของทั้งนักแสดงไลฟ์แอ็กชันและระดับวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่ไอแอลเอ็มนำมาสู่หนังเรื่องนี้ คุณจะเชื่อว่าเต่านินจาที่คุณเห็นบนหน้าจออยู่ในกองถ่ายกับเราจริงๆ ครับ!”
สิบเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับเต่านินจา
1.เต่านินจาปรากฏการยในรูปแบบหนังสือการ์ตูนครั้งแรกในปี 1984 พวกเขาเปิดตัวในสิ่งที่นักเขียนการ์ตูน เควิน อีสต์แมนและปีเตอร์ ลาร์ด ตั้งใจจะให้เป็นการ์ตูนเล่มเดียวจบ โดยพวกเขาได้ยืมเงินจากลุงของอีสต์แมนเพื่อตีพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ แต่กลายเป็นว่ามันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น…
2.ในปี 1988 ช่วงแรกของกระแสคลั่งเต่านินจาเริ่มต้นขึ้นด้วยซีรีส์อนิเมชันตามด้วยวิดีโอเกม ทัวร์และภาพยนตร์ปี 1990 ของเล่นเต่านินจากลายเป็นสินค้าขายดี ตามหลังเพียงแค่ G.I. Joe และ Star Wars เท่านั้น
- กระแสคลั่งเต่านินจาระลอกใหม่เริ่มต้นขึ้นในปี 2012 ด้วยซีรีส์อนิเมชัน CG ใหม่ทางนิคเคลโลเดียน มันได้รับความนิยมอย่างสูงในทันที ด้วยยอดผู้ชม 12 ล้านคนในซีซันแรก
- นับตั้งแต่นั้นมา มีผู้ชมได้ชมซีรีส์นี้กว่า 100 ล้านคนทั่วโลก
- นับตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2012 แอ็กชัน ฟิกเกอร์เต่านินจาขายได้กว่า 10 ล้านตัว
- ในปี 2013 เต่านินจาติดอันดับ 1 ของชาร์ตของเล่นสำหรับเด็กผู้ชาย
- นอกจากนั้น ในปี 2013 รองเท้าฟีลาได้เริ่มจำหน่ายรองเท้าผ้าใบเต่านินจารุ่นแรกของพวกเขา ซึ่งขายหมดเกลี้ยงภายใน 15 นาทีแรกที่มันขายออนไลน์
- มีผู้คลิกเข้าเว็บไซต์ TMNT ทาง Nick.com กว่าหนึ่งล้านคนทุกเดือน
- ผลจากโพลล์ระบุว่าไมเคิลแองเจโลและราฟาเอลหายใจรดต้นคอกันมาในการแย่งชิงตำแหน่งขวัญใจแฟนๆ แต่ลีโอนาร์โดและดอนนาเทลโลก็มีแฟนๆ ที่คลั่งไคล้พวกเขาไม่แพ้กัน
- การนำเต่านินจาสู่จอเงินในปี 2014 ในรูปแบบของตัวละคร CG ไฮบริดเป็นความพยายามที่ต้องอาศัยทีมอนิเมเตอร์กว่า400 ชีวิต และงานถ่ายทำไลฟ์แอ็กชันแบบเต็มรูปแบบ
ประวัตินักแสดง
เมแกน ฟ็อกซ์ (Megan Fox) รับบท เอพริล โอ’ นีล
เมแกน ฟ็อกซ์ โด่งดังระดับโลกด้วยการแสดงแจ้งเกิดของเธอในบท ‘มิเคลา’ ในภาพยนตร์โดยพาราเมาท์ พิคเจอร์สเรื่อง Transformers และภาคที่สองในแฟรนไชส์ Transformers: Revenge of the Fallen เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้ร่วมแสดงกับเลสลีย์ แมนน์และพอล รัดด์ในภาพยนตร์เรื่อง This Is 40 สำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และภาพยนตร์อินดีเรื่อง Friends with Kids สำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับเจนนิเฟอร์ เวสต์เฟลด์ ประกบจอน แฮมม์, อดัม สก็อตและคริสติน วิ้ก ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโต
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฟ็อกซ์ได้แก่ Passion Play ประกบมิคกี้ โร้คและบิล เมอร์เรย์, Jonah Hex สำหรับวอร์เนอร์ บรอส. ประกบจอช โบรลินและจอห์น มัลโควิช, คอเมดีตลกร้าย/ทริลเลอร์สยองขวัญโดยทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง Jennifer’s Body ที่เขียนบทโดยเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เดียโบล โคดี้ ซึ่งร่วมแสดงโดยอแมนดา ไซฟรี้ดและ How to Lose Friends and Alienate People ประกบไซมอน เพ็กก์
ฟ็อกซ์เกิดในเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี เธอเริ่มต้นเรียนเต้นตั้งแต่อายุห้าขวบและฝึกฝนอย่างต่อเนื่องในตอนที่ครอบครัวเธอย้ายไปฟลอริดาเมื่อเธออายุได้สิบขวบ พออายุได้สิบห้าปี เธอก็ย้ายไปลอสแองเจลิสและเริ่มทำงานในจอแก้วและจอเงิน
ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
วิล อาร์เน็ตต์ (Will Arnett) รับบท เวิร์น เฟนวิค
วิล อาร์เน็ตต์ ได้ร่วมแสดงในซีรีส์รางวัลเอ็มมีเรื่อง “Arrested Development” ที่เพิ่งแพร่ภาพเอพิโซดใหม่ๆ ทางเน็ตฟลิกซ์ เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้พากย์เสียงตัวละครในเรื่อง “The Lego Movie” โดยวอร์เนอร์ บรอส. ประกบวิล เฟอร์เรลและเลียม นีสัน ที่จะเข้าฉายในช่วงต้นปี 2014
ล่าสุด เขาได้แสดงประกบคริสตินา แอปเปิลเกทและมายา รูดอล์ฟในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Up All Night” นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมกับเจสัน เบทแมน เพื่อก่อตั้งดัมบ์ดัมบ์ คณะตลกที่สร้างและผลิตคอนเทนท์บันเทิงที่ได้แรงบันดาลใจจากแบรนด์ และเข้าถึงผู้ชมในสื่อชนิดต่างๆ ทั้งสื่อโซเชียล สื่อดิจิตอลและสื่อตามแบบฉบับ
อาร์เน็ตต์เคยผ่านงานจอแก้วมาก่อน เขาเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานของเขาในซีรีส์ซิทคอมชื่อดังทางฟ็อกซ์เรื่อง “Arrested Development” ที่เขารับบท “ก็อบ บลูธ” นานสามซีซันและทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงเอ็มมีครั้งแรก เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งแสดงในซีรีส์คอเมดีทางฟ็อกซ์เรื่อง “Running Wilde” ประกบเคอร์รี รัสเซล ที่เขานำแสดงและเขียนบทซีรีส์นี้ร่วมกับมือเขียนบท/ผู้กำกับมิทช์ เฮอร์วิทซ์ เขามักเป็นแขกรับเชิญของซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “30 Rock” ในบท ‘เดวอน แบงค์’ เมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีครั้งที่สามในสาขา “นักแสดงรับเชิญยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดี” จากการแสดงบทนี้ นอกจากนี้ เขายังได้พากย์เสียงซิทคอมอนิเมชันทางฟ็อกซ์จากผู้สร้างมิทช์ เฮอร์วิทซ์ เรื่อง “Sit Down, Shut Up”
นอกจากนี้ อาร์เน็ตต์ยังได้แสดงในภาพยนตร์แอ็กชันเวสเทิร์นโดยวอร์เนอร์ บราเธอร์สและลีเจนดารี เรื่อง Jonah Hex ที่สร้างจากการ์ตูนโดยดีซีชื่อเดียวกัน ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เข้าฉายในเดือนมิถุนายน ปี 2010 เขาได้แสดงประกบเมแกน ฟ็อกซ์, จอช โบรลินและจอห์น มัลโควิช นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในโรแมนติกคอเมดีโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สเรื่อง When in Rome ประกบคริสเตน เบลและใน G-Force ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชัน/CG จากดิสนีย์และเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์ ประกบเพเนโลเป้ ครูซ, นิโคลัส เคจ, สตีฟ บุสเชมีและแซ็ค กาลิฟิอานาคิส นอกเหนือจากนั้น เขายังได้พากย์เสียงภาพยนตร์อนิเมชันผจญภัย 3D ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงโดยดรีมเวิร์คส์เรื่อง Monsters vs. Aliens ร่วมกับรีส วิทเธอร์สปูน, พอล รัดด์และเซธ โรแกน ซึ่งเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในคอเมดีบาสเก็ตบอลเรื่อง Semi Pro ประกบวิล เฟอร์เรลและวู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน และพากย์เสียงคอเมดีอนิเมชันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Horton Hears a Who ในปี 2007 เขาได้แสดงประกบวิล เฟอร์เรลในคอเมดีฟิกเกอร์สเก็ตเรื่อง Blades of Glory และได้แสดงประกบวิล ฟอร์เต้ในภาพยนตร์เรื่อง The Brothers Solomon
ก่อนหน้า “Arrested Development” อาร์เน็ตต์เป็นขาประจำในซีรีส์คอเมดีทางเอ็นบีซีเรื่อง “The Mike O’Malley Show” ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่การแสดงบทรับเชิญในซีรีส์ “Parks and Recreation,” “Sex and the City,” “The Sopranos,” “Boston Public,” “Third Watch” และ “Law & Order: Special Victims Unit” นอกจากนั้น เขายังได้ร่วมแสดงในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Will & Grace” ในบทคู่แข่งเต้นของแจ็คระหว่างการออดิชันเพื่อเป็นแดนเซอร์แบ็คอัพให้กับเจเน็ต แจ็คสัน
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของอาร์เน็ตต์ได้แก่ Ice Age 2: The Meltdown, R.V. ประกบโรบิน วิลเลียมส์, Monster-In-Law, The Waiting Game, The Broken Giant, Southie และ Ed’s Next Move นอกจากนั้นแล้ว เขายังได้พากย์เสียงโฆษณาหลายชิ้น ซึ่งที่โดดเด่นที่สุดคือเสียงรถบรรทุกจีเอ็มซี อีกด้วย
วิลเลียม ฟิชท์เนอร์ (William Fichtner) รับบท อีริค แซ็คส์
หลังจากที่ได้แสดงภาพยนตร์ จอแก้วและละครเวทีมามากมาย วิลเลียม ฟิชท์เนอร์ ก็ยังคงสร้างชื่อเสียงที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่องในฐานะหนึ่งในนักแสดงที่มีพรสวรรค์สูงสุดและหลากหลากหลาย ทั้งในคอเมดี ดรามา แอ็กชันหรือการศึกษาตัวละคร
ในปีที่ผ่านมา ฟิชท์เนอร์เพิ่งเสร็จจากการแสดงในภาพยนตร์โดยผู้กำกับกอร์ เวอร์บินสกี้เรื่อง The Lone Ranger ประกบจอห์นนี เด็ปป์และอาร์มี แฮมเมอร์ สำหรับผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์และดิสนีย์, ภาพยนตร์โดยนีลล์ บลอมแคมป์เรื่อง Elysium ประกบแมทท์ เดมอนและโจดี้ ฟอสเตอร์ สำหรับโซนี พิคเจอร์ส, ทริลเลอร์โดยมือเขียนบทและผู้กำกับ ท็อดด์ โรบินสันเรื่อง Phantom ประกบเอ็ด แฮร์ริสและเดวิด ดูคอฟนีย์และทริลเลอร์โดยผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้างแดนนี เดอวีโต้เรื่อง St. Sebastian
ในปี 2012 ฟิชท์เนอร์ได้แสดงในภาพยนตร์ที่กำกับโดยจอห์น สต็อคเวลเรื่อง Seal Team Six: The Raid on Osama Bin Laden ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงที่แวดล้อมภารกิจของหน่วยซีลในการไล่ล่าโอซามา บิน ลาเดน ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลกทางช่องเนชันแนล จีโอกราฟิก แชนแนล
ในปี 2011 ฟิชท์เนอร์ได้แสดงประกบนิโคลัส เคจในภาพยนตร์เรื่อง Drive Angry สำหรับผู้กำกับแพทริค ลัสเซียร์และประกบแอนโทนิโอ แบนเดอรัสใน The Big Bang สำหรับผู้กำกับโทนี แครนท์ ในปี 2010 เขาได้แสดงประกบสตีฟ คาเรลและทีนา เฟย์ในภาพยนตร์โดยผู้กำกับชอว์น เลวีเรื่อง Date Night
เขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยมือเขียนบท/ผู้กำกับพอล แฮ็กกิสเรื่อง Crash การแสดงของเขาในเรื่องนั้นทำให้เขาได้ร่วมรับรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Blades of Glory ประกบวิล เฟอร์เรล, ภาพยนตร์โดยผู้กำกับคริส โนแลนเรื่อง The Dark Knight, รีเมก The Longest Yard ประกบอดัม แซนด์เลอร์, คอเมดีเรื่อง The Amateurs ประกบเจฟฟ์ บริดเจส, ภาพยนตร์สองเรื่องที่เปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปีเดียวกัน ได้แก่ภาพยนตร์โดยโรดริโก การ์เซียเรื่อง Nine Lives และภาพยนตร์โดยอารีย์ โพซินเรื่อง The Chumscrubber, ภาพยนตร์โดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง Black Hawk Down, What’s The Worst Thing That Could Happen, ภาพยนตร์โดยวูลฟ์กัง ปีเตอร์สันเรื่อง The Perfect Storm, Drowning Mona, Ultraviolet และ Equilibrium สำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับเคิร์ท วิมเมอร์, Armageddon, ภาพยนตร์โดยไมเคิล แมนน์เรื่อง Heat, ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต ซีเมคิสเรื่อง Contact, ภาพยนตร์โดยดั๊ก ลีแมนเรื่อง Go, ภาพยนตร์โดยแคทเธอรีน บิเกโลว์เรื่อง Strange Days, Passion of Mind, ภาพยนตร์โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง The Underneath, Switchback, ภาพยนตร์โดยแอ็กเนียสก้า ฮอลแลนด์เรื่อง Julie Walking Home, The Settlement ประกบจอห์น ซี. ไรลีย์, ผลงานการกำกับเรื่องแรกของเควิน สเปซีย์เรื่อง Albino Alligator และ First Snow ประกบกาย เพียร์ซ
ฟิชท์เนอร์ ที่สลับการทำงานระหว่างจอแก้วและจอเงิน ล่าสุดเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำซีรีส์นานาชาติเรื่อง “Crossing Lines” ที่สร้างโดยเอ็ดเวิร์ด อัลเลน เบอร์เนโร ผู้ร่วมสร้าง “Third Watch” และผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ “Criminal Minds” เขาได้แสดงในซีรีส์นี้ประกบโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ เขาได้รับบทประจำในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Entourage” ระหว่างปี 2009-2011 เขารับบท ‘เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ อเล็กซานเดอร์ มาโฮน’ ในซีรีส์ดรามายอดนิยมทางฟ็อกซ์เรื่อง “Prison Break” นานสามซีซัน นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบพอล นิวแมนและเอ็ด แฮร์ริสซีรีส์ดังทางเอชบีโอที่ดัดแปลงจากเรื่อง Empire Falls โดยริชาร์ด รุสโซ ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ ซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “The West Wing” และซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Invasion”
ในฐานะสมาชิกของเซอร์เคิล รีเพอร์ทอรี เธียเตอร์ ฟิชท์เนอร์ ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงของเขาใน The Fiery Furnace ที่กำกับโดยนอร์แมน เรเน ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Raft of the Medusa ที่มิเน็ตตา เลน เธียเตอร์, The Years ที่แมนฮัตตัน เธียเตอร์ คลับ, Clothes for a Summer Hotel ที่เทศกาลวิลเลียมส์ทาวน์ เธียเตอร์ และ Machinal ที่เดอะ พับลิค เธียเตอร์
อลัน ริชสัน (Alan Ritchson) รับบท ราฟาเอล
ล่าสุด อลัน ริชสัน ได้รับบท กลอส ผู้ชนะจากเขต 1 ใน The Hunger Games: Catching Fire ภาคสองของแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ผลงานเริ่มแรกของเขารวมถึงการรับบท ‘อควอแมน’ ในซีรีส์ “Smallville” นอกจากนี้ เขายังรับบทพระเอกที่ดิบเถื่อนกว่าในแวดวงอินดี ด้วยภาพยนตร์เวสเทิร์นสมัยใหม่เรื่อง Rex อีกด้วย
ในทางกลับกัน เขาได้สร้างสีสันความสนุกสนานด้วยบท แธด คาสเทิล ที่น่าหมั่นไส้ระคนน่าเอ็นดู ในคอเมดีฟุตบอลเรื่อง Blue Mountain State เขาได้แสดงทักษะการแสดงตลกด้วยการแสดงประกบรีเบล วิลสันในซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Super Fun Night”
โนเอล ฟิชเชอร์ (Noel Fisher) รับบท ไมเคิลแองเจโล
โนเอล ฟิชเชอร์ กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงมากความสามารถที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในแวดวงบันเทิง ที่โชว์ความสามารถด้านการแสดงที่หลากหลายของเขาในโปรเจ็กต์ที่ร้อนแรงที่สุดบนจอเงินหลายเรื่อง
ในปี 2012 เขาได้รับบทสมทบเป็น “วลาดิเมียร์” แวมไพร์โรมาเนีย ใน The Twilight Saga: Breaking Dawn, Part 2ภาคสุดท้ายของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่โด่งดังไปทั่วโลก ฟิชเชอร์ได้รับบทประจำ “มิคกี้ มิลโควิช” ประกบวิลเลียม เอช. เมซี และเอ็มมี รอสซัมในซีรีส์ยอดนิยมทางโชว์ไทม์เรื่อง “Shameless” และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งกลายเป็นนักแสดงประจำของซีรีส์นี้ในซีซันที่สามในปี 2013 นอกจากนั้น ในปี 2012 ฟิชเชอร์ยังได้แสดงในมินิซีรีส์ที่ทำลายสถิติของฮิสทอรี แชนแนลเรื่อง “Hatfields & McCoys” ในบท “เอลลิสัน ‘คอตตอน ท็อป’ เมาท์” ประกบเควิน คอสท์เนอร์และบิล แพ็กซ์ตัน อีกด้วย
ฟิชเชอร์เป็นคนแวนคูเวอร์, บริติช โคลัมเบีย เขาสร้างชื่อเสียงในฐานะนักแสดงตั้งแต่อายุได้ 14 ปี บทแรกของเขาคือในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “The Sheldon Kennedy Story” สำหรับซีบีซีในปี 1999 บทนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเจมินี ซึ่งเทียบเท่ากับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดของแคนาดา เป็นครั้งแรก ซึ่งหลังจากนั้น เขาก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลครั้งที่สองจากซีรีส์แคนาดายอดนิยมเรื่อง “Godiva’s”
เมื่อเริ่มโด่งดังในแคนาดา เขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพรสวรรค์ของเขาจะสามารถไปปรากฏในตลาดอเมริกันได้ด้วยเช่นกัน ด้วยการแสดงในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง Battle: Los Angeles สำหรับโจนาธาน ลีเบสแมน ผู้กำกับ Teenage Mutant Ninja Turtles
นอกจากนี้ เขายังสร้างชื่อในแวดวงจอแก้ว ด้วยการแสดงซีรีส์ยอดนิยมอย่างซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Two and a Half Men,” “The Mentalist,” “Medium” และบทประจำในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Law and Order: SVU,” ซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง “Huff” และซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “Bones” ในปี 2008 เขาได้ร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ด้วยผลงานภาพยนตร์อินดีเรื่อง Red ซึ่งได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานนี้อย่างเป็นทางการ โดยเขาได้แสดงประกบไบรอัน ค็อกซ์ในภาพยนตร์เรื่องนี้
ปี 2010 ถือเป็นปีทองสำหรับฟิชเชอร์ เพราะเขาได้แสดงในมินิซีรีส์เอชบีโอที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเรื่อง “The Pacific” ซึ่งเป็นเรื่องราวต่อเนื่องจากมินิซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง “Band of Brothers” ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาจากสองปีที่ผ่านมา รวมถึงการแสดงอย่างต่อเนื่องในซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “Lie to Me,” ซีรีส์เอฟเอ็กซ์เรื่อง “Terriers,” ซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Criminal Minds: Suspect Behavior” และซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง “Dark Blue” ผู้ชมอาจจดจำเขาได้ดีที่สุดจากการแสดงแจ้งเกิดของเขาในซีรีส์ดังทางเอฟเอ็กซ์เรื่อง “The Riches” ในบท “แคล” ลูกชายแสนฉลาดของเอ็ดดี้ อิซซาร์ดและมินนี ไดรเวอร์
พีท พลอสเซ็ค (Pete Ploszek) รับบท ลีโอนาร์โด
พีท พลอสเซ็ค สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ที่เขาเล่นฟุตบอล เขาสำเร็จการศึกษาสาขาปริญญาโทด้านการแสดงจากยูเอสซี สคูล ออฟ เธียเตอร์ ในปี 2012 เขาเปิดตัวผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกใน Teenage Mutant Ninja Turtles
ผลงานละครเวทีเรื่องล่าสุดของเขาได้แก่บท ‘สเตฟาโน’ ใน “The Tempest” และ ‘โทรฟิมอฟ’ ใน “The Cherry Orchard” ที่กำกับโดยนักแสดงหญิงบรอดเวย์ เคท เบอร์ตัน หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาก็ได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง “Shameless” และซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Parks and Recreation”
เจเรมี โฮเวิร์ด (Jeremy Howard) รับบท ดอนนาเทลโล
ล่าสุด เจเรมี โฮเวิร์ด ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Pretty One ที่นำแสดงโดยโซอี้ คาซานและเจค จอห์นสัน ผลงานจอแก้วล่าสุดของเขาคือ “Suburgatory,” “Grey’s Anatomy,” “Little in Common” และ “Breaking Bad”
เขาเป็นชาวแคลิฟอร์เนียโดยกำเนิด และเขาอาจจะเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง How the Grinch Stole Christmas และ Galaxy Quest ที่นำแสดงโดยทิม อัลเลน ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Hotel for Dogs, He’s Such a Girl, Sydney White, Men in Black II และ Accepted
โฮเวิร์ด เป็นลูกชายของนักแสดง โจ โฮเวิร์ด (Anger Management, Grumpy Old Men) เขาเริ่มแสดงตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยการแสดงในโฆษณาและซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่อง เช่น “House M.D.,” “Monk,” “My Name is Earl,” “The Drew Carey Show,” “Entourage” และ “Scrubs”
โฮเวิร์ด ใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาของเขา
แอ็บบี้ เอลเลียต (Abbey Elliott) รับบท เทย์เลอร์
แอ็บบี้ เอลเลียต เป็นนักแสดงและนักเขียน โดยล่าสุด เธอเป็นที่รู้จักจากผลงานของเธอใน “Saturday Night Live” รวมถึงการแสดงใน “How I Met Your Mother” และ “2 Broke Girls” เอลเลียตได้ร่วมแสดงกับทีมจาก SNL ในซีซันปี 2008-09 จากอัพไรท์ ซิตีเซนส์ บริเกด เธียเตอร์ โรงละครอิมโพรฟ/สเก็ตช์ ที่ร่วมก่อตั้งโดยเอมี โพห์เลอร์ จาก SNL ที่ซึ่งเธอได้ฝึกฝนและแสดงในโรงละครของพวกเขาในนิวยอร์กและลอสแองเจลิส นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้ฝึกฝนฝีมือที่กราวน์ลิงส์ เธียเตอร์ในแอลเออีกด้วย
เธอสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชม SNL ด้วยการเลียนแบบแองเจลินา โจลี, ราเชล แมดโดว์และซาราห์ แม็คลัคแลน นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่อง เช่น “King of the Hill,” “Chrissy: Plain and Simple,” “Minoriteam” และ “You’ve Reached the Elliotts”
เอลเลียตเป็นคนเมืองวิลตัน รัฐคอนเน็กติคัท เธอเป็นลูกสาวของคริส เอลเลียต สมาชิกประจำซีซัน 1994-95 ทำให้เธอเป็นสมาชิกทีมนักแสดง SNL รุ่นที่สอง แอ็บบี้เลิกแสดง SNL หลังจากซีซัน 2011-12
นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงภาพยนตร์หลายครั้ง ในปี 2011 เธอได้แสดงประกบนาตาลี พอร์ทแมนและแอชตัน คุทเชอร์ในภาพยนตร์เรื่อง No Strings Attached และประกบเอ็ด เฮล์มส์, ลิซซี แคปแลนและร็อบ ริกเกิลในภาพยนตร์เรื่อง High Road ล่าสุด เธอได้แสดงประกบวิคตอเรีย จัสติส, จอห์นนี น็อกซ์วิลล์และโธมัส แมนน์ในภาพยนตร์เรื่อง Fun Size ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนารายการครึ่งชั่วโมงที่เธอจะแสดงให้กับเอ็มทีวี
ประวัติทีมผู้สร้าง
โจนาธาน ลีเบสแมน (Jonathan Liebesman)—ผู้กำกับ
โจนาธาน ลีเบสแมน ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะผู้กำกับด้วยการเอาชนะการแข่งขันดุเดือดจนได้กำกับภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันที่ดัดแปลงจากแฟรนไชส์ Teenage Mutant Ninja Turtles สำหรับพาราเมาท์ และไมเคิล เบย์
ลีเบสแมนเกิดและเติบโตในเมืองโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศเซาธ์แอฟริกา เขาศึกษาด้านภาพยนตร์ที่เซาธ์ แอฟริกัน สคูล ออฟ ฟิล์ม แอนด์ ดรามา และทิสช์ สคูล ออฟ เดอะ อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ภาพยนตร์ขนาดสั้นสมัยนักศึกษาของเขา ที่ดัดแปลงจาก Genesis and Catastophe โดยโรอัลด์ ดาห์ล ทำให้เขาได้รับรางวัลภาพยนตร์ขนาดสั้นของนักศึกษาในงานเทศกาลภาพยนตร์ออสตินปี 2000 และรางวัลฮอลลีวูด ยัง ฟิล์มเมคเกอร์ อวอร์ดจากเวทีเทศกาลภาพยนตร์ฮอลลีวูด ปี 2000 ซึ่งนำไปสู่งานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกเมื่ออายุได้ 26 ปี
ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของลีเบสแมนเป็นที่สนใจของไมเคิล เบย์และบริษัทโปรดักชันของเขา แพลตินัม ดูนส์ ซึ่งทาบทาให้เขากำกับ The Texas Chainsaw Massacre: The Beginning (นิวไลน์ ซีเนมา ปี 2006) พรีเควลของแฟรนไชส์ยอดนิยม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ถูกทาบทามโดยสตูดิโอใหญ่ที่ตระหนักถึงพรสวรรค์ของเขาและความสำเร็จเชิงรายได้อย่างต่อเนื่องของภาพยนตร์ของเขา
ผลงานล่าสุดของเขาคือภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก Battle: Los Angeles (โคลัมเบีย พิคเจอร์ส ปี 2011) และ Wrath of the Titans (วอร์เนอร์ บรอส. ปี 2012)
จอช แอปเปิลบอม และ อังเดร นีเม็ค (Josh Applebaum & Andre Nemec)—มือเขียนบท
จอช แอปเปิลบอม และ อังเดร นีเม็ค เกิดและเติบโตในนิวยอร์ก ที่ซึ่งพวกเขาเข้าศึกษาที่ริเวอร์เดล คันทรี สคูล หลังสำเร็จการศึกษา ทั้งคู่ก็ก้าวสู่วงการบันเทิงด้วยกันในฐานะมือเขียนบทจอแก้ว และกลายเป็นคู่หูเขียนบทและอำนวยการสร้างตลอดเวลาที่ผ่านมา
ผลงานช่วงเริ่มแรกของพวกเขาได้แก่ “Early Edition” สำหรับซีบีเอส, “Going to California” สำหรับโชว์ไทม์และ “Fastlane” สำหรับฟ็อกซ์ หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ใช้เวลาสามปีในการเขียนบทสำหรับ “Alias” ที่พวกเขาได้ไต่เต้าไปจนได้เป็นผู้ร่วมควบคุมงานสร้าง ก่อนที่พวกเขาจะได้ร่วมสร้างและควบคุมงานสร้างซีรีส์เอบีซีเรื่อง “October Road,” “Life on Mars” และ “Happy Town”
ในปี 2010 เจ.เจ.อับรามส์ได้ทาบทามทั้งคู่ให้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible: Ghost Protocol ภาคสี่ของแฟรนไชส์หลายพันล้านเหรียญ ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ นั่นเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของทั้งคู่
หลังจากความสำเร็จของ Mission: Impossible: Ghost Protocol ทั้งคู่ก็ถูกทาบทามให้เขียนบทภาคล่าสุดของแฟรนไชส์ Teenage Mutant Ninja Turtles และ Beverly Hills Cop นอกเหนือจากนั้น พวกเขายังได้ดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Project Almanac ที่มีกำหนดจะเข้าฉายในวันที่ 30 มกราคม ปี 2015 อีกด้วย
ปัจจุบัน ทั้งคู่ยังคงทำงานในแวดวงจอแก้วอย่างต่อเนื่อง โดยพวกเขาได้เขียนบทและอำนวยการสร้างภายใต้แบนเนอร์ มิดไนท์ เรดิโอ ของพวกเขา โปรเจ็กต์หลังจากนี้ของพวกเขาได้แก่การดัดแปลงนิยายโดยเจมส์ แพทเทอร์สันเรื่อง Zoo สำหรับซีบีเอส, ไพล็อตดรามา ที่พวกเขาได้ร่วมงานกับมือเขียนบท ไมเคิล โทลคิน สำหรับเอเอ็มซี และการร่วมมือกันกับแอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ของสตีเวน สปีลเบิร์ก
อีวาน ดูเกอร์ตี้ (Evan Daugherty)—มือเขียนบท
อีวาน ดูเกอร์ตี้ เขียนบทภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Snow White and the Huntsman ที่นำแสดงโดยคริสเตน สจวร์ต, คริส เฮมส์เวิร์ธและชาร์ลิซ เธอรอน ระหว่างที่เขายังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ในปี 2010 บทภาพยนตร์ของเขาได้ก่อให้เกิดสงครามการแย่งชิงกันและกลายเป็นหนึ่งในบทภาพยนตร์ที่ถูกซื้อด้วยยอดเงินสูงสุดในรอบหลายปี ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในช่วงสุดสัปดาห์นั้น และทำรายได้ไปกว่า 400 ล้านเหรียญทั่วโลกสำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส
หลังจากนั้น เขาก็ดัดแปลงนิยายสำหรับเยาวชนเรื่อง Divergent ที่เปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศของฤดูใบไม้ผลิปี 2014 เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง GI Joe 3 ที่มีกำหนดเข้าฉายในปี 2015
อีวานเกิดในนิวยอร์ก และเติบโตในดัลลัส รัฐเท็กซัส ด้วยความตั้งใจทำงานสร้างสรรค์มาโดยตลอด เขาเข้าศึกษาด้านภาพยนตร์ที่ทิสช์ สคูล ออฟ ดิ อาร์ตส์ แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาศึกษาแง่มุมต่างๆ ของภาพยนตร์ก่อนที่จะค้นพบงานเขียนบท เขาชนะการประกวดสคริปต์ ไปป์ไลน์ สกรีนไรท์ติ้ง ด้วยผลงานเรื่อง Shrapnel ซึ่งทำให้เขาได้รับความสนใจจากวงการ Shrapnel และ Snow White and the Huntsman ถูกรวมอยู่ในแบล็คลิสต์บทภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแต่ยังไม่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์โดยแฟรงค์ลิน เลียวนาร์ด ในปี 2008 และ 2010 ตามลำดับ
ไมเคิล เบย์ (Michael Bay)—ผู้อำนวยการสร้าง
ไมเคิล เบย์เป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของฮอลลีวูด โดยปัจจุบัน เขาติดอันดับผู้กำกับที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอับดับที่สี่ ด้วยสไตล์วิชวลที่ดุดันและซีเควนซ์แอ็กชันไฮอ็อกเทนที่กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา ภาพยนตร์ที่เบย์กำกับและอำนวยการสร้าง ผ่านทางบริษัทโปรดักชันสองแห่งของเขา ทำรายได้รวมกันกว่า 5.5 พันล้านเหรียญทั่วโลก
ผลงานการกำกับของเบย์ได้แก่ Bad Boys และ Bad Boys II ซึ่งทั้งสองเรื่องนำแสดงโดยวิล สมิธและมาร์ติน ลอว์เรนซ์, The Rock ซึ่งนำแสดงโดยนิโคลัส เคจและฌอน คอนเนอรี, Armageddon ที่นำแสดงโดยเบน แอฟเฟล็คและบรูซ วิลลิส, Pearl Harbor ซึ่งนำแสดงโดยแอฟเฟล็ค, จอช ฮาร์ทเน็ทท์และเคท เบคคินเซล, The Island ที่นำแสดงโดยยวน แม็คเกรเกอร์และสการ์เล็ตต์ โยฮันสันและทั้งสามภาคของแฟรนไชส์ Transformers ซึ่งนำแสดงโดยไชอา ลาบัฟ, จอช ดูฮาเมล,ไทริส กิ๊บสันและจอห์น เทอร์ทูโร แฟรนไชส์นี้ทำรายได้ไปกว่า 2.4 พันล้านเหรียญ และภาคล่าสุด Transformers: Dark of the Moon ติดอันดับภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับห้า
ผลงานล่าสุดของเขาคือคอเมดีตลกร้ายเรื่อง Pain & Gain ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างจากเรื่องจริง นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์กและดเวย์น จอห์นสัน ในบทนักเพาะกายทึ่มทื่อในไมอามี ปลายยุค 90s ผู้รวมกลุ่มกันเป็นแก๊งเพื่อทำการลักพาตัว ขูดรีด และสังหารเพื่อไปให้ถึงอเมริกัน ดรีม
ผลงานเรื่องถัดไปของเขาคือ Transformers: Age of Extinction ภาคใหม่ล่าสุดในแฟรนไชส์ Transformers ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, สแตนลีย์ ตุชชี, เคลซีย์ แกรมเมอร์และนักแสดงหน้าใหม่ นิโคลา เพลท์และแจ็ค เรย์เนอร์ ที่มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 27 มิถุนายน ปี 2014
นอกเหนือจากภาพยนตร์แล้ว เขายังมีงานจอแก้วอีกสองเรื่องที่กำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทำด้วย เขาเป็นผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนหลักของแพลตินัม ดูนส์ เดิมที บริษัทแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กำกับโฆษณาและมิวสิค วิดีโอมีโอกาสแจ้งเกิดในโลกภาพยนตร์
เบย์สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเวสเลยันและอาร์ต เซ็นเตอร์ คอลเลจ เขาได้รับรางวัลใหญ่ๆ แทบทุกรางวัลในแวดวงโฆษณา ซึ่งรวมถึงรางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลนานาชาติคานส์ ไลออนส์, แกรนด์ คลิโอและรางวัลกำกับยอดเยี่ยมในแวดวงโฆษณาจากสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาอีกด้วย แคมเปญ “ดื่มนมมั้ย” กลายเป็นหนึ่งในคอลเล็กชันถาวรในพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ของนิวยอร์ก
เบย์เป็นชาวแอลเอ เขาใช้ชีวิตอยู่ในไมอามี รัฐฟลอริดา
แบรด ฟูลเลอร์ และ แอนดรูว์ ฟอร์ม (Brad Fuller and Andrew Form)—ผู้อำนวยการสร้าง
แอนดรูว์ ฟอร์มและแบรด ฟูลเลอร์ ได้ก่อตั้งบริษัทแพลตินัม ดูนส์ กับไมเคิล เบย์ หุ้นส่วนของพวกเขาในปี 2001 โดยมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสให้ผู้กำกับหน้าใหม่ได้สร้างภาพยนตร์ของตัวเอง นับตั้งแต่นั้นมา บริษัทก็ได้นำภาพยนตร์เข้าฉายเก้าเรื่อง ซึ่งแปดเรื่องทำรายได้ถอนทุนคืนตั้งแต่สุดสัปดาห์แรกที่เปิดตัวและอีกสี่เรื่องถอนทุนคืนได้ตั้งแต่คืนแรกที่เปิดตัว
เมื่อปีที่แล้ว แพลตินัม ดูนส์ได้อำนวยการสร้าง The Purge สำหรับยูนิเวอร์แซล ด้วยทุนสร้าง 3 ล้านเหรียญ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไป 34.1 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์แรกที่เปิดตัว ส่วนซีเควล The Purge: Anarchy กำลังอยู่ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชัน และมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 20 มิถุนายน ปีนี้
หลังจากนั้น สตูดิโอแห่งนี้จะนำเสนอผลงานที่อำนวยการสร้างโดยแพลตินัม ดูนส์เรื่อง Ouija ภาพยนตร์สยองขวัญที่สร้างจากเกมกระดานยอดนิยม ในวันที่ 24 ตุลาคม
ในปีนี้ นอกจาก Teenage Mutant Ninja Turtles แล้ว พาราเมาท์ พิคเจอร์สยังจะจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องที่สองสำหรับแพลตินัม ดูนส์เรื่อง Project Almanac
เมื่อสองปีที่แล้ว แพลตินัม ดูนส์ตัดสินใจนำความชำนาญด้านงานสร้างภาพยนตร์สู่จอแก้ว โปรเจ็กต์แรกของพวกเขา “Black Sails” เปิดตัวเมื่อวันที้ 25 มกราคม ปี 2014 ทางสตาร์ซ และปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซันที่สอง ส่วนโปรเจ็กต์ที่สองของพวกเขา “The Last Ship” กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซันที่หนึ่งและจะเปิดตัวทางทีเอ็นทีในซัมเมอร์ปีนี้
กาเลน วอล์คเกอร์ (Galen Walker)—ผู้อำนวยการสร้าง
กาเลน วอล์คเกอร์ ทำงานในแวดวงบันเทิงมากว่า 25 ปี โดยทิ้งผลงานศิลปะและอาชีพของเขาไว้ในวงการนี้มากมาย ในฐานะนักดนตรีสตูดิโอและนักดนตรีที่ทัวร์คอนเสิร์ตในยุค 80s และ 90s รวมทั้งลีด ซาวน์ ดีไซเนอร์และซาวน์ ซูเปอร์ไวเซอร์ขั้นตอนโพสต์โปรดักชัน หูที่ฝึกฝนมาอย่างดีและแบ็คกราวน์ครีเอทีฟของเขาทำให้เขาเป็นที่ต้องการตัวอย่างสูงในฐานะซาวน์ ซูเปอร์ไวเซอร์/ดีไซเนอร์ สำหรับบริษัทต่างๆ เช่นดิสนีย์, ดรีมเวิร์คส์, พาราเมาท์, ฟ็อกซ์, มิราแมกซ์, วอร์เนอร์ บรอส., โซนี, นิคเคลโลเดียน, ไลออนส์เท, อเมริกัน โซโทรป, เอชบีโอและโชว์ไทม์
นอกจากนี้ วอล์คเกอร์ยังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ผู้ซึ่งบริษัทแปซิฟิกา มีเดีย แอฟฟิลิเอทส์ (พีเอ็มเอ) ซื้อ เป็นเจ้าของ และดำเนินการบริหารซาวน์ สตูดิโออิสระที่ใหญ่ที่สุดในฮอลลีวูดห้าแห่ง สตูดิโอของเขาได้รับรางวัลมากมาย คณะละครของเขา เวดดิงตัน/ดิจิตอล ซาวน์ เวิร์ค ได้รับสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาซาวน์ยอดเยี่ยม ลาร์สัน ซาวน์และเอคโค ซาวน์ เซอร์วิสเซส ได้รับการยกย่องด้วยกว่า 75 รางวัลเอ็มมี อวอร์ดจากบริการซาวน์ของพวกเขาในรูปแบบสั้นและยาว
นอกจากนี้ วอล์คเกอร์ยังเป็นเจ้าของและผู้บริหารของฮอลลีวูด เรคคอร์ดดิงส์ อะชีฟเมนต์ (เอชอาร์เอส) หนึ่งในซาวน์ สตูดิโอระดับแนวหน้าของลอสแองเจลิส เอชอาร์เอส ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำในวงการบันทึกเสียง ได้รับรางวัลมากมายในแวดวงวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งรวมถึง 15 รางวัลคลิโอ อวอร์ด ในปี 2003 เขาประสบความสำเร็จในการขายกิจการของพีเอ็มเอ บริษัทของเขาให้กับธอมป์สัน/เทคนิคัลเลอร์
ในปี 2003 วอล์คเกอร์ได้พัฒนาแผนธุรกิจของเขาสำหรับสตูดิโออนิเมชันที่ฮ่องกงในชื่อ อิเมจิ สตูดิโอแห่งนี้เป็นผู้สร้างซีรีส์ของดรีมเวิร์คส์เรื่อง “Father of the Pride” เขาได้ก่อตั้งและกลายเป็นประธานของอิเมจิ สตูดิโอส์ ยูเอสเอ และได้ซื้อสิทธิของแฟรนไชส์ Teenage Mutant Ninja Turtles และ Highlander ก่อนที่จะเริ่มก่อตั้งทีมโปรดักชันอนิเมชันในลอสแองเจลิส, ญี่ปุ่นและฮ่องกง ในปี 2007 เขาได้อำนวยการสร้าง Teenage Mutant Ninja Turtles ภาพยนตร์อนิเมชัน CG ที่ได้รับทุนสนับสนุนและจัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บรอส. และเดอะ ไวน์สตีน คัมปะนี ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศอเมริกาด้วยรายได้ 25 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์แรกที่เปิดตัวและทำรายได้ไป 98 ล้านเหรียญทั่วโลก วอล์คเกอร์ยังคงทำงานกับอิเมจิในตำแหน่งรองประธานฝ่ายโปรดักชัน และช่วยดูแลงานสร้างอนิเมชันสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Astroboy ที่เข้าฉายในปี 2009 ด้วย
วอล์คเกอร์ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างสารคดีเรื่อง Teenage Mutant Ninja Turtles ที่บันทึกประวัติศาสตร์ 25 ปีของแฟรนไชส์นี้ไว้ นอกจากนั้น เขายังร่วมสร้างและร่วมควบคุมงานสร้างเกมโชว์ช่วงไพรม์ไทม์ “Take It All” กับหุ้นส่วน โฮวี เมนเดลและเอ็นบีซีอีกด้วย
ในปี 2011 วอล์คเกอร์และหุ้นส่วนการอำนวยการสร้างของเขา มาเรีย นอร์แมน (Public Enemies) ได้ก่อตั้งกามา เอนเตอร์เทนเมนต์ พาร์ทเนอร์ส ขึ้นมา ปัจจุบัน กามากำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้างงานจอแก้วและจอเงินหลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์อินดีที่เพิ่งถ่ายทำเสร็จเรื่อง Jamesy Boy ที่นำแสดงโดยมารี-หลุยส์ ปาร์คเกอร์, วิงห์ รามส์และเจมส์ วู้ดส์อีกด้วย
สก็อต เม็ดนิค (Scott Mednick)—ผู้อำนวยการสร้าง
สก็อต เม็ดนิค เป็นผู้บริหาร ที่ปรึกษา นักพูดและนักเขียน ด้านบันเทิง สื่อและเทคโนโลยี ที่ได้รับการยกย่อง เขาเป็นผู้บุกเบิกในการสร้างหนึ่งในบริษัทเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากสตูดิโอภาพยนตร์ หนึ่งในบริษัทการตลาดและโฆษณาบูติคแห่งแรก หนึ่งในบริษัทการตลาดอินเทอร์เน็ตแห่งแรก และหนึ่งในบริษัทแบรนด์บันเทิงแห่งแรก
เม็ดนิคได้ดำเนินการควบกิจการ ซื้อกิจการ ใช้กลยุทธ์การไม่ลงทุนและได้ช่วยระดมทุนกว่า 900 ล้านเหรียญสำหรับบริษัทมหาชนและบริษัทเอกชน ซึ่งโฟกัสที่ความบันเทิง การตลาดและเทคโนโลยี
ในปี 2004 เขาได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทลีเจนดารี พิคเจอร์ส การร่วมมือกันที่ไม่เหมือนใครของลีเจนดารีสามารถระดมทุน 500 ล้านเหรียญจากสินทรัพย์เอกชนและก่อให้เกิดสัญญา 25 ปีกับวอร์เนอร์ บรอส. เพื่อสร้างบริษัทการเงินและโปรดักชัน ข้อตลงเบื้องต้นนี้รวมถึงการที่ลีเจนดารี พิคเจอร์สร่วมมือกับวอร์เนอร์ บรอส. เพื่อให้ทุนสร้างภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins, Batman: The Dark Night และ The Dark Night Rises
เม็ดนิครับหน้าที่เป็นสมาชิกทีมผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ดังอย่าง Superman Returns, We Are Marshall, The Ant Bully, U2 3D, 10,000 BC, 300 และ Where the Wild Things Are ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการอำนวการสร้างคอเมดีดรามาเรื่อง Delivery Man ที่นำแสดงโดยวินซ์ วอห์น สำหรับดรีมเวิร์คส์ รวมถึงโรแมนติกคอเมดีเรื่อง Dr. Cabbie ที่นำแสดงโดยเอเดรียนน์ พาลิคกี้และคูนัล เนย์ยาร์ (“The Big Bang Theory”) ในบทบาทการแสดงครั้งแรก นอกจากนั้น ปี 2013 เขายังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากแฟรนไชส์ American Gladiators ภาพยนตร์ที่เม็ดนิคเป็นส่วนหนึ่งของทีมระดมทุนและ/หรืออำนวยการสร้าง ทำรายได้ไปกว่า 2 พันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศ
เม็ดนิคได้ทำงานแคมเปญการตลาดสำหรับซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่องตั้งแต่ “Lonesome Dove” มาจนถึง “Survivor” และเขาก็ได้ทำงานในแคมเปญต่างๆ ของภาพยนนตร์กว่า 200 เรื่อง รวมถึงภาพยนตร์วอลท์ ดิสนีย์เรื่อง Fantasia, Coal Miners Daughter, A Few Good Men, Spinal Tap, Dune, An American Werewolf in London, Groundhog Day, X-Men และThe Matrix ลูกค้าของเม็ดนิครวมถึงทอม ครูซ, เดนเซล วอชิงตัน, แลร์รี เบิร์ด, เวย์น เกร็ทซ์กี้, สติงและนิโคล คิดแมน
เดนิส แอล. สจวร์ต (Denis K. Stewart)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
ล่าสุด เดนิส แอล. สจวร์ต ได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Hansel and Gretel, Witch Hunters ที่นำแสดงโดยเจเรมี เรนเนอร์และภาพยนตร์เรื่อง Cowboys & Aliens ภาพยนตร์เรื่องที่สองที่เขาร่วมมือกับผู้กำกับจอน แฟฟโร หลังจาก Iron Man 2 ก่อนหน้านั้น เขารับหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้างสำหรับสตีเวน สปีลเบิร์กในภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ซึ่งเป็นผลงานเรื่องที่สามที่เขาได้ร่วมมือกับแฟรงค์ มาร์แชล ผู้อำนวยการสร้าง Indiana Jones หลังจากที่เคยรับหน้าที่ผู้จัดการงานสร้างมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Eight Below, The Bourne Supremacy และ The Bourne Ultimatum
สจวร์ตมีประสบการณ์ในแวดวงภาพยนตร์มาสามสิบปี เขาได้ทำหน้าที่ผู้จัดการงานสร้างในภาพยนตร์เรื่อง Spider-Man 2 and 3, Munich, Bewitched, Charlie’s Angels: Full Throttle และ Panic Room โดยก่อนหน้านั้น เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับลำดับที่หนึ่งในภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง รวมถึง Amistad, Speed 2: Cruise Control, The Chamber, Executive Decision, The Mask, Random Hearts และ Fair Game
เจสัน ที. รี้ด (Jason T. Reed)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
เจสัน ที. รี้ด ปัจจุบันกำลังรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่สตูดิโอหลายแห่ง นอกจากนั้น เขายังอยู่ระหว่างการพัฒนาโปรเจ็กต์จอแก้ว หนังสือและเว็บมากมายอีกด้วย ก่อนหน้านี้ เขารับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปและรองประธานบริหารวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ อินเตอร์เนชันแนล โปรดักชัน ที่ซึ่งเขาดูแลงานพัฒนา งานสร้างและงานการตลาดของภาพยนตร์ดิสนีย์ในภาษาถิ่น ในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงจีน อินเดีย รัสเซียและตะวันออกกลาง สตูดิโอแห่งนี้ได้สร้างภาพยนตร์ภาษาถิ่นหลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์รางวัลอย่าง The Magic Gourd (จีน), Do Dooni Char (อินเดีย) และ The Book of Masters (รัสเซีย)
ก่อนหน้าที่จะทำงานในต่างประเทศ เขารับหน้าที่รองประธานบริหารฝ่ายโปรดักชันให้กับวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ ที่เขารับผิดชอบงานพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากมาย รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Tim Burton’s Alice in Wonderland, Enchanted, High School Musical 3 และแฟรนไชส์ The National Treasure
นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ก่อตั้ง Seedstock.com บริษัทที่มีวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการในการเกษตรยั่งยืนผ่านทางข้อมูล โซเชียล มีเดียและไลฟ์อีเวนต์
หลังจากเติบโตมาในฟาร์มของครอบครัวในอัพสเตท นิวยอร์ก เขาก็สำเร็จการศึกษาสาขาปรัชญาและงานสร้างภาพยนตร์-โทรทัศน์จากมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย
เอียน ไบรซ์ (Ian Bryce)—ผู้อำนวยการสร้าง
ในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศของดรีมเวิร์คส์/พาราเมาท์ พิคเจอร์สเรื่อง “Transformers,” “Transformers: Revenge of the Fallen” และ “Transformers: Dark of the Moon” เอียน ไบรซ์เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในทีมผู้สร้าง ผู้ซึ่งจินตนาการร่วมกันของพวกเขาได้เนรมิตชีวิตให้กับตัวละครจากของเล่นและการ์ตูนให้โลดแล่นบนจอเงิน พวกเขาร่วมกันสร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์ใหม่ ที่ทำรายได้ไปกว่า 2.6 พันล้านเหรียญทั่วโลกและแน่นอนว่าจะยังคงสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมอีกหลายปีข้างหน้า
ล่าสุด เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไฮอ็อคเทนโดยพาราเมาท์เรื่อง “World War Z” ที่นำแสดงโดยแบรด พิตต์และมิเรลล์ อีนอส ภาพยนตร์สยองขวัญเกี่ยวกับโลกหลังหายนะ ที่กำกับโดยมาร์ค ฟอร์สเตอร์ สร้างจากนิยายขายดีโดยแม็กซ์ บรู๊คส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำตามโลเกชันในยุโรป ทำรายได้ไปกว่า 540 ล้านเหรียญทั่วโลก
นอกเหนือจากนั้น เขายังได้อำนวยการสร้างคอเมดีตลกร้ายอื้อฉาวโดยไมเคิล เบย์เรื่อง “Pain and Gain” ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, ดเวย์น จอห์นสัน, แอนโธนี แม็คกี้, โทนี แชลล็อบ, เอ็ด แฮร์ริสและรีเบล วิลสัน ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของคดีลักพาตัวและทรมานเพื่อรีดเงินที่เกิดในไมอามีปี 1995
หลังจากนี้ เขาจะอำนวยการสร้างทริลเลอร์อาชญากรรม ที่นำแสดงโดยชาร์ลิซ เธอรอน ภายใต้แบนเนอร์ เอียน ไบรซ์ โปรดักชันส์ ของเขา ร่วมกับเดนเวอร์ แอนด์ ดีไลลาห์ โปรดักชันส์ ของเธอรอน สำหรับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เขียนบทโดยแดน โนวัค (“The Killing”) มีกำหนดจะเริ่มถ่ายทำในช่วงปลายปีนี้
ไบรซ์คุ้นเคยกับภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยฟอร์มยักษ์เป็นอย่างดี เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยแซม ไรมีเรื่อง“Spider-Man” ที่นำแสดงโดยโทบี้ แม็กไกวร์ในบทซูเปอร์ฮีโรใยแมงมุม โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในอเมริกาประจำปี 2002 ในปีถัดมา เขาได้อำนวยการสร้างดรามาโดยอังตวน ฟูกัวเรื่อง “Tears of the Sun” ที่นำแสดงโดยบรูซ วิลลิสและในปี 2005 เขาก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง “The Island” หลังจากอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Transformers” เขาก็ได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Hancock” ที่นำแสดงโดยวิล สมิธ, ชาร์ลิซ เธอรอนและเจสัน เบทแมน สำหรับผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์ก
ในปี 1999 ไบรซ์ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและบาฟตา อวอร์ดจากการทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างดรามาสงครามโลกครั้งที่สองที่โด่งดังไปทั่วโดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง “Saving Private Ryan” ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์มากมาย ซึ่งรวมถึงสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์ก, ลอสแองเจลิสและบรอดคาสต์ นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมรับรางวัลสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกาจากภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย หลังจากนั้น เขาก็ได้อำนวยการสร้างคอเมดีดรามาที่หวนรำลึกถึงความหลังโดยคาเมรอน โครว์เรื่อง “Almost Famous” ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – มิวสิคัลหรือคอเมดี และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2001 ด้วย
ผลงานการอำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Forces of Nature” ที่นำแสดงโดยเบน เอฟเฟล็คและแซนดรา บุลล็อค, แอ็กชันทริลเลอร์เรื่อง “Hard Rain” ที่นำแสดงโดยมอร์แกน ฟรีแมนและคริสเตียน สเลเตอร์, เวอร์ชันภาพยนตร์ของซีรีส์คลาสสิก “The Beverly Hillbillies” โดยเพเนโลเป้ สเฟียริส และภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยยาน เดอ บอนท์เรื่อง “Twister” และผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา “Speed”
ไบรซ์เกิดในอังกฤษ เขาเริ่มต้นทำงานเป็นผู้ช่วยกองถ่ายในภาคสามของไตรภาค “Star Wars” ชุดแรกเรื่อง “Return of the Jedi” เขาขยับไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่สองในภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง “Indiana Jones and the Temple of Doom” และหลังจากนั้น เขาก็ได้ทำหน้าที่ผู้จัดการกองถ่ายใน “Indiana Jones and the Last Crusade” นอกจากนั้น เขายังทำหน้าที่ผู้ดูแลทั่วไปของกองถ่ายและผู้จัดการกองถ่ายในภาพยนตร์โดยฟิลิป คอฟแมนเรื่อง “Rising Sun” และรับหน้าที่ผู้ช่วยอำนวยการสร้าง/ผู้จัดการกองถ่ายภาพยนตร์ฮิตของทิม เบอร์ตันเรื่อง “Batman Returns” นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่ผู้จัดการกองถ่ายในภาพยนตร์ดังหลายเรื่องเช่น ภาพยนตร์โดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาเรื่อง “Tucker: The Man and His Dream,” ภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง “Willow” และภาพยนตร์โดยโจ จอห์นสตันเรื่อง “The Rocketeer”
นอกเหนือจากการดูแลโปรเจ็กต์ฟอร์มยักษ์ให้กับพาราเมาท์แล้ว ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการพัฒนาภาพยนตร์ออริจินอลภายใต้แบนเนอร์ของเขาเองผ่านทางสัญญาการเสนองานก่อนกับสตูดิโอ
ลูลา คาร์วัลโญ (Lula Carvalho)—ผู้กำกับภาพ
ลูลา คาร์วัลโญ เกิดในริโอ เดอ จาไนโร ในปี 1977 และได้เยี่ยมชมกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรกเมื่อเขาอายุน้อยมากๆ กับพ่อของเขา ผู้กำกับภาพและผู้กำกับวอลเตอร์ คาร์วัลโญ เขาได้โหลดฟิล์มกล้องครั้งแรกตอนที่เขาอายุเพียงสิบขวบ ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนกกล้องและกลายเป็นผู้ช่วยช่างกล้องลำดับที่สอง หลังจากจบไฮสคูล เขาก็ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยช่างกล้องลำดับที่หนึ่ง และเขาก็ได้ช่วยจับโฟกัสให้กับภาพยนตร์บราซิลกว่า 19 เรื่อง ซึ่งรวมถึง City of God (ผู้กำกับ: เฟอร์นันโด เมอเรลเลส) ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขากำกับภาพยอดเยี่ยมในปี 2003, Behind the Sun (ผู้กำกับ: วอลเตอร์ ซัลเลส) และ Carandiru (ผู้กำกับ: เฮ็คเตอร์ บาเบนโก้) ระหว่างนี้ เขายังได้ทำงานในภาพยนตร์ขนาดสั้น สารคดี มิวสิค วิดีโอและได้ทำงานในยูนิทที่สองในฐานะผู้กำกับภาพและตากล้องในภาพยนตร์หลายเรื่องด้วย นอกจากนั้น เขายังได้ศึกษาด้านการกำกับภาพและการถ่ายภาพนิ่งที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์กและสคูล ออฟ วิชวล อาร์ตส์ในนิวยอร์กอีกด้วย
ในปี 2005 คาร์วัลโญได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกในฐานะผู้กำกับภาพ คือ Incuráveis (Incurables) ที่กำกับโดยกุสตาโว แอ็คคิโอลี หลังจากนั้น เขาก็ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Elite Squad ที่กำกับโดยโฮเซ พาดิลญา ซึ่งได้รับรางวัลหมีทองคำจากงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินปี 2008, A Festa da Menina Morta (The Dead Girl’s Feast) ที่กำกับโดยมาเธอุส นัทเชอร์เกล และได้รับเลือกให้เข้าฉายในสาย Un Certain Regard จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2008, Feliz Natal (Merry Christmas) ที่กำกับโดยเซลตัน เมลโล, Budapest ที่กำกับโดยวอลเตอร์ คาร์วัลโย ร่วมกับสารคดีสามเรื่อง
ในปี 2008 คาร์วัลโญได้รับรางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยมจากทั้งบราซิลเลียน ซีเนมา อคาเดมี และสมาพันธ์นักข่าวต่างประเทศในบราซิลสำหรับ Elite Squad ส่วน Elite Squad 2: The Enemy Within ซึ่งเป็นภาคต่อ ก็ได้เป็นตัวแทนของบราซิลในการเข้าชิงชัยรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
ผลงานสตูดิโออเมริกันเรื่องแรกของคาร์วัลโญและพาดิลญา Robocop ซึ่งเป็นการนำภาพยนตร์ไซไฟคลาสสิกกลับมาสร้างใหม่ เพิ่งเข้าฉายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
นีล สไปแซ็ค (Neil Spisak)—ผู้ออกแบบงานสร้าง
ล่าสุด นีล สไปแซ็คได้ออกแบบภาพยนตร์แอ็กชันเกี่ยวกับสงครามกลางสมุทรเรื่อง Battleship ผลงานเรื่องที่สองที่เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์กหลังจากภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Hancock ที่นำแสดงโดยวิล สมิธและชาร์ลิซ เธอรอน
นอกเหนือจากนั้น เขายังได้สร้างลุคให้กับไตรภาค Spider-Man โดยแซม ไรมี ซึ่งทำรายได้รวมกันไป 2.5 พันล้านเหรียญจนถึงปัจจุบัน เขาได้ร่วมงานกับไรมีครั้งแรกในดรามาโรแมนติกเกี่ยวกับเบสบอลเรื่อง For Love of the Game และได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้งในทริลเลอร์กอธิคเรื่อง The Gift ที่นำแสดงโดยทีมนักแสดงชั้นนำ ซึ่งรวมถึงเคท บลังเช็ตต์, คีอานู รีฟส์และฮิลลารี สแวงค์
สไปแซ็คสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคาร์เนจี้ เมลลอน ที่โด่งดัง เขาเริ่มต้นงานออกแบบเครื่องแต่งกายภายใต้การสอนของแอน ร็อธและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีจากผลงานของเขาในซีรีส์ “Roanoak” โดยพีบีเอส อเมริกัน เพลย์เฮาส์ หลังจากนั้น เขาก็ขยับไปสู่งานออกแบบงานสร้างและเริ่มร่วมมือกับนักแสดง/ผู้กำกับ ปีเตอร์ มาสเตอร์สัน
ผลงานอื่นๆ ที่โดดเด่นของเขาได้แก่การออกแบบภาพยนตร์อาชญากรรมในลอสแองเจลิสของไมเคิล แมนน์เรื่อง Heat, ดรามาเกี่ยวกับกฎหมายที่เต็มไปด้วยเรื่องทางเพศเรื่อง Disclosure ที่กำกับโดยแบร์รี เลวินสัน, ภาพยนตร์โดยนอรา เอฟรอนเรื่อง Bewitched ที่นำแสดงโดยนิโคล คิดแมนและภาพยนตร์หักมุมโดยจอห์น วูเรื่อง Face/Off
ซาราห์ เอ็ดเวิร์ดส์ (Sarah Edwards)-ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
ล่าสุด ซาราห์ เอ็ดเวิร์ดส์ ได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์โดยเบน สติลเลอร์เรื่อง The Secret Life of Walter Mitty ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย และคอเมดีเกี่ยวกับการโจรกรรมโดยเบรท แรทเนอร์เรื่อง Tower Heist ที่นำแสดงโดยเบน สติลเลอร์และเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ เธอเป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับภาพยนตร์โดยโทนี กิลรอยเรื่อง Michael Clayton ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงเจ็ดรางวัลอคาเดมี อวอร์ดรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
เอ็ดเวิร์ดส์ทำงานที่นิวยอร์ก เธอได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับแอ็กชันทริลเลอร์เรื่อง Salt ที่นำแสดงโดยแองเจลินา โจลี, When in Rome ที่นำแสดงโดยจอช ดูฮาเมลและคริสเตน เบลและ Ghost Town ที่นำแสดงโดยริคกี้ เกอร์เวสและเกร็ก คินเนียร์, ทริลเลอร์การเมืองโดยซิดนีย์ พอลแล็คเรื่อง The Interpreter ที่นำแสดงโดยนิโคล คิดแมนและฌอน เพนน์, ภาพยนตร์โดยโบแอซ ยาคินเรื่อง Uptown Girls ที่นำแสดงโดยบริทนีย์ เมอร์ฟีย์และดาโกต้า แฟนนิงและภาพยนตร์โดยเบอร์ สเตียร์สเรื่อง Igby Goes Down ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ The Perfect You ที่นำแสดงโดยเจนนี แม็คคาร์ธีย์, Jack Frost ที่นำแสดงโดยไมเคิล คีย์ตันและเคลลี เพรสตันและภาพยนตร์โดยวิท สติลแมนเรื่อง The Last Days of Disco ที่นำแสดงโดยโคลอี้ เซวิญญีและเคท เบคคินเซล
ในฐานะผู้ช่วยออกแบบเครื่องแต่งกาย เธอได้ทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Six Degrees of Separation, The Quick and the Dead, Great Expectations, Lolita และ The Pallbearer ในปี 1997 เธอได้ร่วมออกแบบเครื่องแต่งกายให้ภาพยนตร์เรื่อง The Devil’s Advocate กับจูเดียนนา มาคอฟสกี้
ผลงานละครเวทีของเธอรวมถึงละครบรอดเวย์เรื่อง Tru, โปรดักชันปี 2005 ของละครโดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง Romance ที่มาร์ค เทเปอร์ ฟอรัม และละครอีกหลายเรื่องที่แอตแลนติก เธียเตอร์ คัมปะนีในนิวยอร์ก
เอ็ดเวิร์ดส์เป็นลูกสาวของนักออกแบบละครเวทีชื่อดังสองคน คือนักออกแบบฉาก เบน เอ็ดเวิร์ดส์และนักออกแบบเครื่องแต่งกาย เจน กรีนวู้ด
เกลน สแคนเทิลเบรี (Glen Scantlebury)—มือลำดับภาพ
ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี เกลน สแคนเทิลเบรี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโพสต์ โปรดักชัน ชาวเวอร์จิเนียผู้นี้เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานของเขาในภาพยนตร์อมตะเรื่อง Armageddon, ภาพยนตร์ที่นำเอาตำนานแห่งโลกสยองขวัญ เฟร็ดดี้ ครูเกอร์ กลับมาสร้างใหม่ใน A Nightmare on Elm Street, Dracula และภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Transformers ที่กำกับโดยไมเคิล เบย์
ความรอบรู้ของสแคนเทิลเบรีในเรื่องภาพยนตร์และเรื่องอื่นๆ รวมถึงความสุขและความกระตือรือร้นที่เขามีต่อสื่อชนิดนี้จะต้องเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในวงการนี้อย่างต่อเนื่อง ความเป็นมืออาชีพ คติการทำงานที่แข็งแกร่งและมั่นคงของเขา บวกกับกระบวนการทำงานที่กระชับฉับไวและมีประสิทธิภาพของเขาทำให้เขาและโปรเจ็กต์ของเขาเป็นที่จดจำ
โจเอล นีกรอน (Joel Negron)—มือลำดับภาพ
ล่าสุด โจเอล นีกรอนได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์แอ็กชันโดยไมเคิล เบย์เรื่อง PAIN & GAIN ซึ่งเป็นการร่วมงานกันครั้งที่ห้าระหว่างเขากับผู้กำกับ นอกจากนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ นีกรอนยังได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง 21 JUMP STREET รวมถึงภาพยนตร์โดยเบย์เรื่อง TRANSFORMERS: DARK OF THE MOON ก่อนหน้านี้ ทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาก่อนในภาพยนตร์เรื่อง TRANSFORMERS: REVENGE OF THE FALLEN, PEARL HARBOR และ ARMAGEDDON ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจของเขาคือภาพยนตร์โดยฮารัลด์ ซวอร์ทเรื่อง THE KARATE KID, THE MUMMY: TOMB OF THE DRAGON EMPEROR สำหรับผู้กำกับร็อบ โคเฮนและ THE TEXAS CHAINSAW MASSACRE: THE BEGINNING ซึ่งเป็นผลงานเรื่องแรกที่เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับโจนาธาน ลีเบสแมน
ผลงานภาพยนตร์ของเขายังรวมถึงภาพยนตร์ดิบเถื่อน ที่สร้างแรงบันดาลใจเรื่อง GRIDIRON GANG ที่นำแสดงโดยดเวย์น “เดอะ ร็อค” จอห์นสัน ภายใต้การกำกับของฟิล โจนู, รีเมกภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง HOUSE OF WAX โดยวอร์เนอร์ บรอส. สำหรับผู้อำนวยการสร้างโจเอล ซิลเวอร์ ภายใต้การกำกับโดยโจเม คอลเล็ต-เซอร์รา และภาพยนตร์แอ็กชันเรื่อง xXx สำหรับโคเฮนด้วยเช่นกัน
เขาประสบความสำเร็จจากการร่วมงานหลายครั้งกับทิม เบอร์ตัน ผู้ซึ่งเขาได้ร่วมงานครั้งแรกในฐานะผู้ช่วยมือลำดับภาพที่หนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง MARS ATTACKS! หลังจากนั้น เขาก็ได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ดังเรื่อง SLEEPY HOLLOW และรีเมกเรื่อง PLANET OF THE APES ก่อนที่จะได้ร่วมงานกับผู้กำกับคนดังอีกครั้งในปี 2003 ในภาพยนตร์แฟนตาซีเรื่อง BIG FISH ก่อนหน้านั้น เขาได้รับการยกย่องจากการทำหน้าที่ผู้ช่วยมือลำดับภาพหรือมือลำดับภาพเสริมในภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง เช่นภาพยนตร์โดยเจมส์ คาเมรอนเรื่อง TRUE LIES และภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์เรื่อง GONE IN SIXTY SECONDS, ENEMY OF THE STATE และ CON AIR
ไบรอัน ไทเลอร์ (Brian Tyler)—ผู้ประพันธ์ดนตรี
ไบรอัน ไทเลอร์ เป็นผู้ประพันธ์ดนตรีและวาทยากรสำหรับภาพยนตร์กว่า 60 เรื่อง และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาก็เพิ่งได้รับรางวัลผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์แห่งปีจากเวทีคิว อวอร์ด ปี 2014 ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง “Avengers: Age of Ultron” นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง “Iron Man 3” ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และเบน คิงส์ลีย์ รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “Thor: The Dark World” ที่นำแสดงโดยคริส เฮมส์เวิร์ธ, นาตาลี พอร์ตแมนและแอนโธนี ฮ็อปกินส์ เขาทำหน้าที่วาทยากรให้กับวงลอนดอน ฟิลฮาร์มอนิคที่แอ็บบี้ โร้ด สตูดิโอส์ สำหรับภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง “Eagle Eye” สำหรับผู้อำนวยการสร้างสตีเวน สปีลเบิร์ก และภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง “Fast Five” และ “Fast & Furious” สำหรับผู้กำกับจัสติน หลิน เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา อวอร์ดปี 2014 และได้เข้าร่วมสาขาดนตรีของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ในปี 2010
ไทเลอร์เริ่มแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ไม่นานหลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและปริญญาตรีจากยูซีแอลเอ เขาเป็นนักดนตรีที่สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลายชนิด ทั้งเปียโน กีตาร์ กลอง เบส เชลโล เวิลด์เพอร์คัสชัน โปรแกรมซินธ์ฯ กีตารไวออล คาแรนโก้และบูซูกิ เขาโชว์ฝีมือการเล่นเครื่องดนตรีเหล่านั้นสำหรับภาพยนตร์เรโทรเกี่ยวกับการโจรกรรมปี 2013 เรื่อง “Now You See Me” เกี่ยวกับทีมนักมายากล ที่นำแสดงโดยมอร์แกน ฟรีแมน, เจสซี ไอเซนเบิร์ก, ไมเคิล เคน, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและมาร์ค รัฟฟาโล
ไทเลอร์ได้เรียบเรียงและทำหน้าที่วาทยากรสำหรับดนตรีประกอบโลโก้ใหม่สำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สและแต่งดนตรีธีมให้กับการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของสตูดิแห่งนี้ รวมถึงได้แต่งดนตรีประกอบโลโก้ของมาร์เวล สตูดิโอส์ ซึ่งเปิดก่อนที่จะเริ่มต้นภาพยนตร์ทุกเรื่องของพวกเขา นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง “The Expendables” และ “Rambo” ที่กำกับโดยซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, “Law Abiding Citizen” ที่นำแสดงโดยเจมี ฟ็อกซ์และเจอราร์ด บัตเลอร์และทริลเลอร์โดยคีอานู รีฟส์เรื่อง “Constantine” และภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง “Battle Los Angeles” ดนตรีที่ไทเลอร์แต่งให้กับภาพยนตร์โดยบิล แพ็กซ์ตันเรื่อง “Frailty” ทำให้เขาได้รับรางวัลเวิลด์ ซาวน์แทร็ค อวอร์ดในปี 2002 รวมถึงรางวัลเวิลด์ ซาวน์แทร็ค อวอร์ดสาขาผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์หน้าใหม่ยอดเยี่ยม เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลเอ็มมี อวอร์ด, สิบรางวัลบีเอ็มไอ มิวสิค อวอร์ด, ห้ารางวัลเอเอสซีเอพี มิวสิค อวอร์ด และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งได้รับ 12 รางวัลโกลด์ สปิริต อวอร์ด รวมถึงรางวัลผู้ประพันธ์ดนตรีแห่งปี
หลังจากแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง “The Hunted” สำหรับผู้กำกับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด วิลเลียม ฟรายด์คิน ไทเลอร์ก็ได้แต่งดนตรีประกอบดรามาช่วงขึ้นศตวรรษใหม่ “The Greatest Game Ever Played” ที่นำแสดงโดยไชอา ลาบัฟ ซาวน์แทร็คที่เขาแต่งให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Children of Dune” ติดอันดับสี่ในชาร์ตอัลบัมของเว็บไซต์ Amazon.com ส่วน “Thor: The Dark World,” “Iron Man 3” และ “Fast Five” ต่างก็ขึ้นถึงอันดับหนึ่งในชาร์ตซาวน์แทร็คของ iTunes
โปรเจ็กต์หลังจากนี้ของไทเลอร์ได้แก่ “Into the Storm,” “The Expendables 3,” “Fast & Furious 7” และ “Avengers: Age of Ultron” สำหรับจอแก้ว เขาได้แต่งดนตรีประกอบซีรีส์ “Hawaii Five-0” และ “Sleepy Hollow” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขาดนตรีธีมเมนไตเติลยอดเยี่ยมแห่งปี
เควิน อีสต์แมน (Kevin Eastman)—ผู้สร้าง
เควิน อีสต์แมน เกิดในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐเมน ในปี 1962 เขาเริ่มต้นวาดรูปตั้งแต่อายุน้อย ด้วยการลอกแบบจากหนังสือสำหรับเด็กและอ่านการ์ตูน ด้วยแรงบันดาลใจจากนักเล่าเรื่อง แจ็ค เคอร์บี้และด้วยนักเขียนการ์ตูนอย่างริชาร์ด คอร์เบน, วอห์น โบดและเดฟ ซิม ผลงานช่วงเริ่มแรกของเขาก็เลยได้รับอิทธิพลจากไซไฟมากกว่าการ์ตูนสไตล์ซูเปอร์ฮีโรตามแบบฉบับ
ในปี 1982 ระหว่างที่พยายามขายภาพวาดประกอบของเขาให้กับแฟนๆ ในท้องถิ่น เขาก็พบกับปีเตอร์ ลาร์ดในนอร์ธแฮมป์ตัน รัฐเมสซาซูเซทส์ และทั้งคู่ก็ร่วมกันก่อตั้ง มิราจ สตูดิโอส์ ขึ้นมา ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากนั้น ระหว่างเซสชันการทำงานช่วงกลางคืน อีสต์แมนได้วาดตัวละครใหม่ที่เขาเรียกว่า “เต่านินจา” เพื่อทำให้ลาร์ดหัวเราะ หลังจากที่เขาได้วาดตัวละครสี่ตัวขึ้นมา “เต่านินจาของอีสต์แมนและลาร์ด” ก็ถือกำเนิดขึ้นในโลกใบนี้อย่างเป็นทางการ!
เล่มแรกของการ์ตูนเรื่องนี้ ที่พวกเขาตีพิมพ์กันเองในเดือนพฤษภาคม ปี 1984 ขายหมด 3,000 เล่มในชั่วข้ามคืนและกลายเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ อย่างรวดเร็ว ผลงานของพวกเขาไปสะดุดตาของตัวแทนจำหน่ายสินค้าและผู้อำนวยการสร้างในฮอลลีวูด พวกเขามีอำนาจควบคุมผลงานสร้างสรรค์ของตัวเองอย่างเต็มที่ในเรื่องการขายลิขสิทธิ์ไปสร้างเป็นของเล่น การสร้างซีรีส์ รวมถึงการสร้างเป็นภาพยนตร์ และพอถึงปี 1989 TMNT ก็ขึ้นครองอันดับหนึ่งในทั้งสามเรื่องดังกล่าว
อีสต์แมนบอกว่า ด้วย “กลุ่มแฟนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก!” หลังจากช่วงเวลา 30 ปีที่น่าอัศจรรย์ใจ เรื่องราวของ Teenage Mutant Ninja Turtles ก็ยังคงอยู่ในหัวใจและจินตนาการของเด็กๆ เสมอมา
ระหว่างโปรเจ็กต์ TMNT เขาก็หาเวลาในการก่อตั้ง “พิพิธภัณฑ์ศิลปะการ์ตูนเวิร์ด แอนด์ พิคเจอร์ส” ก่อตั้งสำนักพิมพ์ “ทุนดรา พับลิชชิง” ที่เป็นมิตรต่อนักเขียน และเป็นจุดเริ่มต้นของ “The Crow” “From Hell” และ “American Splendor” รวมทั้งซื้อหัวนิตยสารที่โด่งดังระดับโลกอย่าง “นิตยสารเฮฟวี เมทัล”
ปัจจุบัน เขาใช้เวลาสร้างสรรค์ส่วนใหญ่ไปกับการทำงานในซีรีส์ TMNT ใหม่กับไอดีดับบลิว พับลิชชิง ดูแลงานนิตยสารเฮฟวี เมทัลและพัฒนาโปรเจ็กต์ใหม่ๆ รวมถึงให้คำปรึกษาในซีรีส์อนิเมชัน TMNT ทางนิคเคลโลเดียน และภาพยนตร์ TMNT เรื่องใหม่โดยไมเคิล เบย์ (ผู้อำนวยการสร้าง) และโจนาธาน ลีเบสแมน (ผู้กำกับ)
อีสต์แมนอาศัยอยู่ในซานดิเอโกกับคอร์ทนีย์ ภรรยาของเขา เชน ลูกชายของเขา แมวสองตัวและดัชชุนตัวแสบสามตัว