“บางครั้ง โลกก็ไม่ได้ต้องการวีรบุรุษอีกต่อไปแล้ว
บางครั้ง สิ่งที่โลกต้องการ…คืออสุรกาย”
จ้าชายวลาดที่สาม จาก Dracula Untold
เกือบหนึ่งศตวรรษหลังจากที่ Dracula ในจอเงินได้ร่ายมนต์สะกดผู้ชมจนเคลิบเคลิ้ม สตูดิโอที่เป็นผู้บุกเบิกภาพยนตร์แนวนี้ กำลังจะปลุกหนึ่งในตัวละครที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลที่สุดในตำนานให้มีชีวิตโลดแล่นอีกครั้งในภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัย ที่ประกาศถึงการกลับมาอีกครั้งของยุคอสุรกายสุดระทึก ลุค อีวานส์ (Fast & Furious 6, แฟรนไชส์ The Hobbit) ได้เปลี่ยนตัวเองจากชายต้องสาป ผู้ที่ประวัติศาสตร์รู้จักในนามของ วลาด จอมเสียบ ไปสู่การเป็นอสุรกายแห่งรัตติกาลในภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส Dracula Untold เรื่องราวต้นกำเนิดของ แดร็กคูล่า สิ่งมีชีวิตอมตะน่าหลงใหล ผู้ที่เราต้องหวาดกลัวยามเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้า
ในปี 1462 ทรานซิลวาเนียกำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาสงบสุขภายใต้การปกครองที่ยุติธรรมของวลาดที่สาม เจ้าชายแห่งวัลลาเคีย ผู้เหนื่อยล้ากับสงคราม และมิเรนา (ซาราห์ กาดอนจาก The Amazing Spider-Man 2) ชายารักผู้กล้าหาญของเขา ทั้งคู่ร่วมกันรักษาความสงบสุขเพื่อประเทศของพวกเขาและทำให้แน่ใจว่าประชาชนของพวกเขาจะอยู่รอดปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากอาณาจักรออตโตมัน ที่เรืองอำนาจ และตั้งเป้าหมายว่าจะยึดครองโลกให้ได้
เมื่อสุลต่านเมห์เม็ดที่สอง (โดมินิค คูเปอร์จาก Captain America: The First Avenger) สั่งให้มีการพรากเด็กชายชาววัลลาเคีย 1,000 คน รวมถึง อินเกรัส (อาร์ต พาร์กินสันจากซีรีส์ Game of Thrones ทางเอชบีโอ) บุตรชายของเขา จากบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อฝึกพวกเขาให้กลายเป็นทหารเด็กในกองทัพ วลาดก็ต้องตัดสินใจว่าจะทำเช่นเดียวกับบิดาของเขา และยกลูกชายของเขาให้สุลต่าน หรือจะขอความช่วยเหลือจากอสุรกายเพื่อกำจัดพวกเติร์ค แต่หากเขาเลือกทางนี้ เขาก็จะต้องสละวิญญาณของเขาไปเป็นทาสชั่วนิรันดร์
วลาดเดินทางไปยังหุบเขาโบรคเคน ทูธ ที่ซึ่งเขาได้พบกับปีศาจเจ้าเล่ห์ (ชาร์ลซ์ แดนซ์จาก Game of Thrones) และได้ทำข้อตกลงกับมัน ข้อตกลงนั้นจะทำให้เขามีพลกำลังดุจชายร้อยคน มีความเร็วดุจดาวตกและมีพลังมากพอที่จะบดขยี้ศัตรู อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนั่นต้องแลกมาด้วยความกระหายที่จะดื่มเลือดมนุษย์ ที่ไม่มีวันเติมเต็มได้หมดสิ้น
ถ้าพ้นจากสามวันไปแล้ว วลาดสามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้สำเร็จ เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติ และบางที ในตอนนั้น เขาอาจจะสามารถช่วยเหลือประชาชนของเขาได้ แต่หากเขาลิ้มรสเลือด เขาก็จำเป็นจะต้องอาศัยอยู่ในความมืดอนธกาลไปตลอดชีวิต ยังชีพอยู่ได้ด้วยเลือดมนุษย์…และทำลายทุกสิ่งที่เขารัก
ในผลงานภาพยนตร์การกำกับเรื่องแรกของเขา แกรี ชอร์ ได้กำกับ Dracula Untold ภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัย จากบทภาพยนตร์ที่เขียนบทโดยแมทท์ ซาซามา และเบิร์ค ชาร์ปเลส (Gods of Egypt)
ผู้ที่ร่วมงานกับผู้กำกับชอร์เบื้องหลังฉากคือทีมผู้สร้างระดับแนวหน้า นำทีมโดยผู้อำนวยการสร้างไมเคิล เดอ ลูก้า (Captain Phillips, Fifty Shades of Grey), ผู้กำกับภาพ จอห์น ชวอร์ทซ์แมน (The Amazing Spider-Man, Jurassic World), มือลำดับภาพ ริชาร์ด เพียร์สัน (Maleficent, Iron Man 2), ผู้ออกแบบงานสร้าง ฟรังซัวส์ โอดี้ (The Wolverine, Abraham Lincoln: Vampire Hunter), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด นกิลลา ดิคสัน (Lord of the Rings: The Return of the King, Blood Diamond) และผู้ประพันธ์เพลง รามิน ดจาว์ดี้ (Pacific Rim, Safe House)
Dracula Untold ควบคุมงานสร้างโดยอาลิสซา ฟิลลิปส์ (Moneyball), โจ คารัชชิโอโล จูเนียร์ (The Wolverine), โธมัส ทัลล์ (Godzilla) และจอน จาชนี (Pacific Rim)
ราชันย์ผีดิบ:
แดร็กคูล่าหวนคืนสู่ถิ่นกำเนิด
“มีบางสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก”
-เคานท์แดร็กคูล่า จาก Dracula ปี 1931
นับตั้งแต่ที่ “Dracula” นิยายดังของแบรม สโต๊คเกอร์ได้ตีพิมพ์ในปี 1897 หนึ่งในตัวละครอมตะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกวรรณกรรม ก็ได้ถูกนำมานำเสนอในภาพยนตร์ อนิเมชัน วรรณกรรมและดนตรี และก็เป็นที่ชื่นชอบในปัจจุบันไม่แพ้ตอนที่ผู้สร้างเขาขึ้นมาได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์แห่งวัฒนธรรมขึ้นเมื่อเกือบ 120 ปีที่แล้ว แม้ว่าแดร็กคูล่าจะยังคงปรากฏตัวอย่างต่อเนื่องในวัฒนธรรม แต่ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ต้นกำเนิดของราชันย์ผีดิบผู้นี้ไม่เคยปรากฏบนจอเงินมาก่อนเลย
แม้ว่าชายผู้ซึ่งประวัติศาสตร์เรียกว่า แดร็กคูล่า ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายใดๆ ก็ตาม จะเป็นบุคคลที่เคยมีชีวิตอยู่จริงตามประวัติศาสตร์ สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับผู้คนนับล้านไม่แพ้กันคือแวมไพร์ตามตำนานโบราณ ตำนานของผีดูดเลือด ซึ่งมีปรากฏในแทบทุกวัฒนธรรมและภาษาทั่วโลก ตั้งแต่ลิลิตู ซัคคิวบัสแห่งบาบิโลเนีย ผู้นิยมกินเลือดเด็ก ไปจนถึงอาซาซาบอนแซมฟันเหล็กที่ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าของชาวอาชันติแห่งกานา อาจจะมีต้นกำเนิดตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว แต่จนกระทั่งในศตวรรษที่ 10 ในยุโรปตะวันออก คำว่า “แวมไพร์” ถึงได้ปรากฏในภาษาสมัยใหม่เป็นครั้งแรก
ผู้อำนวยการสร้างไมเคิล เดอ ลูก้า ผู้สร้างสรรค์บล็อกบัสเตอร์จอเงินมากมาย ตั้งแต่ The Social Network และ Ghost Rider ไปจนถึง Moneyball และ Captain Phillips ได้เล่าถึงสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจตีแผ่ต้นกำเนิดของอสุรกายตนนี้ “ตอนเป็นเด็ก ผมอยากรู้มาโดยตลอดว่าใครที่ทำให้แดร็กคูล่ากลายเป็นแวมไพร์ ผมสงสัยว่า ‘เขาเป็นแวมไพร์คนแรกรึเปล่า? มีคนอื่นๆ อีกมั้ย?’ มันเป็นคำถามที่ปราศจากคำตอบ และไม่เคยมีใครพูดถึง แม้กระทั่งในนิยายของแบรม สโต๊คเกอร์ก็ตามทีน่ะครับ”
เป็นเรื่องธรรมดาที่เรื่องราวของเราจะล้วงลึกเข้าไปในพลังลึกลับที่มีการเล่าขานต่อเนื่องกันมาหลายร้อยปีจากบรรดาผู้ที่เชื่อในเรื่องเร้นลับ แต่ตำนานของแดร็กคูล่าเริ่มต้นและยืมเค้าโครงมาจากเรื่องจริงของบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็คือวลาดที่สาม แห่งวัลลาเคีย หรือคาซิกลู เบย์ (เจ้าชายจอมเสียบ) ในความเป็นจริงแล้ว มือเขียนบทได้นำข้อเท็จจริงเบื้องต้นมากมายเกี่ยวกับเจ้าชายผู้น่าสะพรึงกลัวผู้นี้มาต่อยอดจนกลายเป็นตำนานที่วิเศษสุด
วลาดที่สามเกิดในปี 1431 ในทรานซิลวาเนีย ตอนเป็นเด็ก เขาและน้องชายถูกวลาดที่สอง บิดาของพวกเขา ส่งไปเป็นตัวประกันของสุลต่านมูรัดที่สองแห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล ที่ซึ่งพวกเขาถูกกุมตัวไว้เป็นเวลาหกปีและได้ฝึกฝนศาสตร์แห่งการรบ ด้วยความที่ทรานซิลวาเนียตั้งอยู่ระหว่างอาณาจักรออตโตมัน เติร์คและออสเตรีย แฮปส์เบิร์ก เจ้าชายหนุ่มจึงใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางยุคสมัยของการสู้รบ และจำเป็นต้องมีการเสียสละบางสิ่ง[1]
วลาดที่สามเติบโตขึ้นกลายเป็นผู้ปกครองผู้เหี้ยมโหด วิธีการทรมานคนที่เขาชื่นชอบที่สุดคือการเสียบคน และปล่อยให้เหยื่อดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานหลายวัน[2] ข้อเท็จจริงที่น่าสะพรึงกลัวนี้คือสิ่งที่ทำให้เขาได้รับการขนานนามหลังจากเสียชีวิตไปแล้วว่า วลาดจอมเสียบ (หรือวลาด เทเปส) ด้วยความที่บิดาของเขาเป็นคนของภาคีมังกร องค์กรลับของพวกอัศวินคริสเตียน ที่ต่อสู้พวกมุสลิม ออตโตมัน วลาดที่สองจึงใช้ชื่อว่าแดรคูล ซึ่งแปลอย่างหยาบๆ จากภาษาโรมาเนียวี่ความหมายว่า “มังกร/ปีศาจ”4
หลังการเสียชีวิตของพ่อเขา วลาดที่สามก็ขึ้นปกครองวัลลาเคีย ที่อยู่ทางตอนใต้ของทรานซิลวาเนีย ตั้งแต่ปี 1448 จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1476 วลาดที่สามได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของภาคีมังกร เช่นเดียวกับบิดาของเขา ตอนนั้นเองที่เขาได้สั่งคนของเขาให้เรียกเขาว่า “แดร็กคูล่า” ซึ่งหมายถึง “บุตรมังกร/ปีศาจ” ในภาษาโรมาเนีย 5วลาดที่สาม ที่ตำนานเล่าขานว่าถูกสังหารในปี 1476 ในการต่อสู้กับพวกเติร์ค ได้ถูกตัดหัวเสียบประจานในกรุงคอนสแตนติโนเปิล…เพื่อให้คนทั้งเมืองได้เห็นและเกรงกลัว[3]
หลังจากที่เห็นพ้องต้องกันในการนำเสนอเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงของวลาดที่สามในมุมใหม่ ขั้นตอนต่อไปสำหรับเดอ ลูก้าคือการหาสตูดิโอให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้และสำรวจทางเลือกต่างๆ สำหรับงานสร้างและเงินทุน เมื่อมองในอดีตแล้ว ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เป็นสตูดิโอแห่งแรกที่นำตัวละครตัวนี้ขึ้นสู่จอเงินในปี 1931 และเดอ ลูก้าก็อธิบายว่า ในที่สุด แดร็กคูล่าก็จะได้หวนคืนสู่บ้านเสียที “ยูนิเวอร์แซลดูจะเป็นบ้านที่แท้จริงของเขา สตูดิโอแห่งนี้ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมกับพวกหนังสัตว์ประหลาดทั้งหลาย และ Dracula Untold ก็เป็นการแสดงความเคารพต่อหนังที่ผู้ชมชื่นชอบทั้งหลายที่ถูกสร้างขึ้นก่อนหน้านี้ครับ”
ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง แต่เมื่อทุกอย่างครบถ้วน มันก็สามารถรวมทีมงานสร้างสรรค์ ผู้ซึ่งผลงานของพวกเขาประกอบไปด้วยภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา รวมถึง Batman Begins, Gladiator, Lord of the Rings และแฟรนไชส์ Spider-Man และ Harry Potter แต่ก่อนอื่น ภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยเรื่องนี้จะต้องได้ผู้กำกับที่ไม่เพียงแต่จะรับมือกับความซับซ้อนในเรื่องราวของมือเขียนบทให้ได้เท่านั้น แต่เขายังต้องนำเสนอแง่มุมวิชวลที่แปลกใหม่สำหรับอสุรกายที่ได้รับความนิยมสูงสุด (และเป็นที่หวาดกลัวสูงสุด) ในประวัติศาสตร์ได้อีกด้วย
การนำตัวละครที่โด่งดังจากแดร็กคูล่ามาแปลงโฉมใหม่จำเป็นต้องอาศัยผู้กำกับที่จะสามารถมองทะลุสิ่งต่างๆ ที่เคยมีการสร้างมาก่อนหน้านี้ คนที่สามารถล้วงลึกเข้าไปในเรื่องราวและมีวิสัยทัศน์ในการนำเสนอลุคที่แปลกใหม่สำหรับราชันย์ผีดิบผู้นี้ได้ เพราะนี่คือการนำเสนอปีศาจร้ายในมุมมองใหม่ เป็นการย้อนสู่จุดเริ่มต้นเพื่อเผยถึงตัวตนของชายผู้อยู่เบื้องหลังตำนาน
หลังจากได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ แกรี ชอร์ ผู้สร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะนักวิชวลในงานโฆษณาและเคยกำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นที่น่าทึ่งอย่าง The Cup of Tears ก็ถูกใจในเรื่องราวของมันทันที “มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดคิดเอาไว้เลย” เขาเล่า “สิ่งที่ผมพบว่าน่าสนใจเกี่ยวกับบทหนังเรื่องนี้คือมันสามารถเป็นตัวเชื่อมระหว่างไอเดียของจอมเสียบที่เป็นต้นกำเนิดและ ‘Dracula’ ของแบรม สโต๊คเกอร์ได้ ผมไม่เคยเห็นการทำแบบนี้มาก่อนเลย”
ทั้งผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างรู้ดีว่าการเปลี่ยนวลาดจอมเสียบให้กลายเป็นแดร็กคูล่าบนหน้าจอทำให้การสร้างองค์ประกอบความเป็นมนุษย์ขึ้นมาในแบบที่ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติกลายเป็นเรื่องยาก เพราะประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้ไม่ได้พูดถึงกษัตริย์นักรบผู้สังหารทุกคนที่ขวางทางเขาในแง่ดีเลย แต่การเล่าเรื่องอย่างเห็นอกเห็นใจของชอร์ก็สร้างความประทับใจให้กับเดอ ลูก้า เขาเสนอว่าพวกเขาควรจะสลัดองค์ประกอบที่ปลุกเร้าอารมณ์ตามที่เคยปรากฏในจอแก้วและจอเงินมาหลายครั้งออกไป เพื่อมองดูแก่นของมัน นั่นคือความพยายามของชายคนหนึ่งในการปกป้องครอบครัวตัวเอง การนำเสนอภาพยนตร์เรื่องนี้ของชอร์ในฐานะตำนานของพ่อ/ลูกชาย ถูกใจผู้อำนวยการสร้าง เดอ ลูก้ากล่าวว่า “มุมมองที่แกรีมีต่อสิ่งที่หนังเรื่องนี้ควรจะมีทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นคนที่เหมาะจะกำกับหนังเรื่องนี้ครับ”
ชอร์ซาบซึ้งกับความไว้วางใจที่เขาได้รับและขยายความไอเดียของเขาว่า “มันเป็นเรื่องราวของการเติบใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว มันก็เป็นเรื่องของการสำรวจไอเดียของการสืบสายเลือด ตำนานแวมไพร์เป็นเรื่องของการสืบสายเลือด เกี่ยวกับการมอบบางสิ่งให้กับคนถัดไป ไม่ว่าจะเป็น DNA ความทรงจำหรือความรับผิดชอบ ผมรู้สึกว่าคนน่าจะเข้าถึงและตอบสนองกับเรื่องราวของพ่อ/ลูกชายได้ มันยังคงเป็นส่วนที่สร้างแรงบันดาลใจได้มากที่สุดในเรื่องครับ”
การสร้างตัวละครบนฐานของโลกแห่งความเป็นจริงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการรักษาสมดุลอย่างดีเยี่ยม ชอร์กล่าวต่อไปว่า “ในการจะทำให้หนังเรื่องนี้เวิร์ค คุณจะต้องแคร์ชีวิตของวลาด รวมถึงความผูกพันที่เขามีต่อลูกชายและชายาของเขา”
ทางเลือกที่ลำบากใจของวลาดบีบให้เขามุ่งหน้าสู่ชะตากรรมของเขา และการดิ้นรนจะช่วยลูกชายตัวเองให้พ้นจากชีวิตที่ถูกบีบบังคับทำให้เจ้าชายผู้นี้ต้องเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ เดอ ลูก้ากล่าวว่า “มีความเป็นมนุษย์มากมายในเรื่องราวนี้ ซึ่งคุณไม่คาดคิดจากเรื่องราวเกี่ยวกับแดร็กคูล่า อารมณ์เป็นตัวผลักดันเขา ตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณได้พบวลาด คุณจะได้เห็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ความรู้สึก ชายผู้มีความห่วงใย ความรัก รวมถึงความรุนแรงและพลังอำนาจ มีอะไรมากมายที่ผลักดันเขาและเขาก็ต้องใช้คุณสมบัติเหล่านั้นเท่าๆ กันตลอดทั้งเรื่อง”
ความปรารถนาที่จะนำตัวละครตัวนี้ไปสู่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครก้าวล้ำไปกลายเป็นหัวใจของทีมงาน ชอร์กล่าวว่า “เราอยากจะหาวิธีใหม่ๆ ในการสำรวจตำนานแวมไพร์ ที่ไม่ได้ถูกยึดติดกับรากเหง้าของมัน นี่เป็นเรื่องราวผจญภัย เราจะเห็นได้ว่าวลาดมีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์นั้นๆ อย่างไร โดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่เขาทำในขณะนั้น เราได้เห็นวลาดต้องตัดสินใจอย่างยากลำบาก ที่ส่งผลกระทบต่อชายาและลูกชายของเขา ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องพยายามรักษาครอบครัวและประชาชนของเขาเอาไว้ให้ได้อีกด้วย”
เผยโฉมหน้าคาซิกลู เบย์:
การตามหาเจ้าชาย
“คุณรู้มั้ยว่าการถูกความตายหลงรักเป็นอย่างไร?
คุณรู้มั้ยว่าการที่ความตายรู้จักชื่อคุณเป็นอย่างไร?”
-แอนน์ ไรซ์จาก “Interview with the Vampire”
การตามหานักแสดงที่จะสามารถสวมบท แดร็กคูล่า ตัวละครที่เต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน และก้าวข้ามความคิดแบบเดิมๆ ที่ผู้คนเคยมีต่อตัวละครที่โด่งดังระดับโลกผู้นี้ กลายเป็นความท้าทายสำหรับทีมผู้สร้าง เขาเป็นตัวละครที่มีหลายแง่มุม เป็นพ่อผู้แสนดี สามีผู้รักภรรยา นักรบผู้ไร้ปรานี ชายผู้ทรงภูมิ แต่บทภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้ผสมผสานเรื่องจริงและเรื่องแต่งเข้าด้วยกัน ซึ่งก็คือการผสมผสานตำนานของวลาดที่สามกับตำนานปรัมปราของอสุรกายผู้มีหลายคำเรียกขาน…ตั้งแต่คาซิกลู เบย์ไปจนถึงเจ้าชายแห่งรัตติกาล
เดอ ลูก้า กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวความคิดนี้ว่า “การคัดเลือกนักแสดงสำหรับตัวละครที่ทุกคนรู้จักเป็นเรื่องลำบากเพราะเราต่างก็มีภาพแดร็กคูล่าในความคิดอยู่ก่อนแล้ว มันคล้ายไอ้แมงมุม มนุษย์ค้างคาวหรือเจมส์ บอนด์…เพียงแต่จะยิ่งกว่านั้นเพราะตัวละครตัวนี้อยู่ในป็อปคัลเจอร์มานานหลายร้อยปีแล้วครับ”
เห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าทีมงานสร้างต้องการนักแสดงหน้าใหม่ที่จะสามารถสวมบทตัวละครที่โด่งดังเช่นนั้นได้…นักแสดงที่กำลังจะเป็นดาว แต่ไม่ได้อยู่ในความคิดของผู้ชมมาก่อน เมื่อเร็วๆ นี้ ลุค อีวานส์เพิ่งสร้างความประทับใจให้กับทีมผู้สร้างด้วยบท บาร์ด นักธนูมือขมังใน The Hobbit: An Unexpected Journey รวมถึงบท โอเวน ชอว์ ผู้ร้ายในภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious 6
“เราต่างก็คิดว่าลุค อีวานส์มีเสน่ห์มากใน Fast & Furious 6 และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้สตูดิโอมองเขาว่าเป็นดาวรุ่งอย่างแท้จริง” เดอ ลูก้ากล่าวอธิบาย “การใช้นักแสดงหน้าใหม่เป็นหนทางที่ถูก ลุคสามารถเป็นวลาดสำหรับผู้ชมได้โดยที่พวกเขาจะไม่นึกถึงบทบาทที่เขาเคยเล่นมาก่อนซักเท่าไหร่”
ด้วยความที่อีวานส์ ผู้ฝึกฝนฝีมือบนเวทีละครของกรุงลอนดอน กำลังถ่ายทำภาคแรกของแฟรนไชส์ The Hobbit ในนิวซีแลนด์ในตอนนั้น การพบกับทีมผู้สร้างครั้งแรกๆ ส่วนใหญ่ก็เลยจะเกิดขึ้นทางสไคป์ “สไคป์เป็นเพื่อนรักของนักแสดงครับ” เขากล่าวขำๆ “ถ้าคุณเดินทางรอบโลก มันเป็นทางเดียวที่คุณจะคุยกับคนอื่นๆ ได้และผมกับแกรีก็คุยกันครั้งแรกด้วยวิธีนี้ครับ”
“ทันทีที่ผมได้พบเขา” อีวานส์กล่าวต่อ “ผมบอกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่จริงจังมากๆ เขานึกถึงงานนี้ ตัวละคร เรื่องราว และพล็อตมาอย่างถี่ถ้วน เขาจินตนาการทุกอย่างไว้แล้ว เขาต้องการคนที่จะมานำเสนอสิ่งที่เขาต้องการ และมีความจริงจังและความกระตือรือร้นเหมือนกับเขาในการบอกเล่าเรื่องราวนี้ครับ”
การพบกันครั้งแรกของพวกเขาในลอสแองเจลิสทำให้ชอร์ตัดสินใจเลือกอีวานส์มารับบทนี้ ผู้กำกับเล่าว่า “ทันทีที่ผมเริ่มคุยกับเขา มันก็ให้ความรู้สึกที่ใช่ และผมก็รู้ว่าเขาจะสามารถแสดงอย่างคู่ควรกับบทนี้ เขามีใบหน้าที่เหลือเชื่อ ที่สามารถเล่าเรื่องราวได้ ผมมั่นใจตั้งแต่ตอนนั้นว่าไม่มีคนอื่นอีกแล้วที่มีคุณสมบัติแบบลุค ที่จะรับบทวลาดจอมเสียบ นักรบ และสามารถนำเสนอความเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นเจ้าชายผู้สุขุมนั้นได้ เขาดึงดูดความสนใจผมได้ แค่จากลักษณะภายนอกของเขาครับ”
วลาดที่สามเป็นหลายสิ่งสำหรับหลายๆ คน เขาเป็นทั้งผู้นำเผด็จการผู้เหี้ยมโหด นักรบผู้หาตัวจับยาก พ่อ สามีและแวมไพร์ตามตำนาน มีตัวละครไม่มากนักหรอกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และวรรณกรรมที่จะนำมาซึ่งอารมณ์และความเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนอย่างแดร์คคูลา การทำให้ผู้ชมเอาใจช่วยตัวละครที่มีอดีตที่รุนแรงและมืดหม่น ผู้ซึ่งชะตากรรมยิ่งมืดหม่นและน่าหวาดสะพรึงกว่า เป็นเรื่องยาก
ชอร์อธิบายถึงเหตุผลของเขาให้เราฟัง “ถ้าคุณมองแดร็กคูล่าว่าเป็นตัวละครตามแบบฉบับ เขาก็เป็นแอนตี้ฮีโรที่คุณจะสนใจและรักในเรื่อง คุณเห็นได้ว่าเขาจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ยากลำบาก และเขาก็จะลงเอยด้วยการอยู่ตามลำพังเพราะพวกเขา ฮีโรของคุณเป็นคนที่ปกติแล้วคุณไม่ควรจะชอบ เพราะความโหดเหี้ยมและสิ่งที่เขาต้องทำ แต่คุณก็จะเคารพเขา มันเป็นสิ่งที่นำเสนอออกมายากมาก แต่ลุคก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม” ทุกอย่างอยู่ที่สมดุล อีวานส์บอก “ถึงแม้ว่าคุณจะรู้จักด้านมืดของวลาดมากแค่ไหน แต่เราก็อยากให้ผู้ชมได้เห็นแง่มุมที่สดใส มีชีวิตชีวา และมีความรักของเขาครับ”
เลือดจงหลั่งริน:
ทีมนักแสดงสมทบ
“ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงความรู้สึกนี้หรอกจนกว่าเขาจะได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง
ความรู้สึกของการที่เลือดของเขาถูกดูดกลืนเข้าไปในร่างของหญิงที่เขารัก”
-แบรม สโต๊คเกอร์ จาก “Dracula”
ในตอนที่ชอร์เริ่มคัดเลือกนักแสดงสำหรับบท มิเรนา ชายาของวลาด เขาก็นึกถึงผู้หญิงที่ตรงกันข้ามกับสามีของเธอ หญิงที่บริสุทธิ์ และสว่างไสว ผู้กำกับอธิบายว่า “มิเรนาเป็นความบริสุทธิ์ขอองเรื่อง ในตอนที่คุณเห็นการเดินทางเข้าสู่ด้านมืดของวลาด คุณจะต้องมีสิ่งที่ตรงกันข้าม และนั่นคือมิเรนา เธอยังคงความบริสุทธิ์จนถึงตอนสุดท้าย เป็นความดีงามที่บริสุทธิ์คุณค่าที่บริสุทธิ์ เธอไม่ได้ถูกครอบงำจากความชั่วร้ายใดๆ ครับ”
แม้ว่ามิเรนาอาจจะไม่ได้ทำผิดศีลธรรมใดๆ แต่เธอก็มีส่วนรับผิดชอบในการทำให้สามีเธอกลายเป็นแวมไพร์ด้วยการกดดันไม่ให้วลาดส่ง อินเกรัส (รับบทโดยอาร์ต พาร์กินสันจาก Game of Thrones) ลูกชายของพวกเขาไปให้กับเมห์เม็ด
ซาราห์ กาดอน ผู้ถูกเลือกให้รับบทชายาของวลาด เห็นพ้องกับผู้กำกับของเธอ “มิเรนาเป็นเข็มทิศทางศีลธรรมของหนังเรื่องนี้ เธอเป็นคนที่มีความศรัทธาแรงกล้าและยึดมั่นในความคิดของเธอ ทุกครั้งที่หลักการของเธอถูกทดสอบ เธอก็จะยืนหยัดลุกขึ้นสู้ค่ะ”
กาดอน ผู้เป็นที่รู้จักจากผลงานของเธอในภาพยนตร์โดยเดวิด โครเนนเบิร์กเรื่อง A Dangerous Method และ The Amazing Spider-Man 2 ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา รู้ว่าตัวละครของเธอจะต้องไปยังสถานที่ที่มืดหม่นเพื่อทำความเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงของวลาด เธอเล่าว่า “แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีความเป็นมาจากประวัติศาสตร์ และความรักของพวกเขาก็ให้ความรู้สึกร่วมสมัยมากๆ เขาเป็นนักรบ เจ้าชาย นักสู้ เป็นผู้นำที่เสี่ยงชีวิตเพื่อประชาชนและครอบครัวของเขา และมันก็เป็นสิ่งที่ครอบครัวร่วมสมัยเข้าใจได้ ลองนึกถึงภรรยาของพวกทหารที่ไปออกรบสิคะ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าเรื่องราวนี้เป็นเรื่องจริง และมีพื้นฐานจากความเป็นจริงค่ะ”
ระหว่างกระบวนการคัดเลือกนักแสดง นักแสดงหญิงชาวแคนาดาผู้นี้แสดงความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง และการตัดสินใจเลือกเธอก็เกิดจากลักษณะท่าทีของเธอนั่นเอง ชอร์กล่าวชื่นชมนางเอกของเขาว่า “ซาราห์มีอะไรบางอย่างในตัวที่เป็นฮอลลีวูดยุคก่อนมากๆ อะไรที่คลาสสิกมากๆ เธอช่วยเติมเต็มสมดุลที่ผมต้องการทำให้เกิดขึ้นระหว่างความมืดและความนิ่งขรึมและแสงสว่างกับความบริสุทธิ์ เธอถ่ายทอดมันออกมาได้จริงๆ”
ในขณะที่มิเรนาเป็นแสงสว่างและเข็มทิศด้านศีลธรรมของวลาด เมห์เม็ด ที่รับบทโดยโดมินิค คูเปอร์ ก็เป็นคู่อาฆาตของเขา ความโลภของเมห์เม็ด คู่ปรับวายร้ายที่มีความแค้นแบบผิดๆ (ตัวสุลต่านผู้นี้ยังคงแค้นที่วลาดเป็นคนโปรดของบิดาเขา) กระตุ้นให้วลาดเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งรัตติกาล ผู้กำกับเล่าว่า “มันง่ายมากที่จะแสดงบทคู่ปรับของเขาแบบโอเวอร์ สุดโต่ง ผมก็เลยอยากให้เมห์เม็ดเป็นคนที่มีเสน่ห์ เป็นคนช่างเจรจา เป็นคนวิเศษสุดที่จะอยู่ในห้องเดียวกับคุณ แต่เป็นคนที่คุณจะไม่ไว้ใจเลย!”
ทีมผู้สร้างเคยเห็นคูเปอร์ในภาพยนตร์เรื่อง The Devil’s Double และทึ่งกับความสามารถของเขาในการทำตัวมีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นคนโรคจิตได้ภายในชั่วพริบตา เดอ ลูก้าเล่าว่า “โดมินิคสามารถเปลี่ยนจากการเป็นโฮเวิร์ด สตาร์คใน Captain America ไปเป็นคนที่คุณเห็นใน The Devil’s Double ซึ่งมันเข้มข้นสุดๆ ไปเลย เขาอินกับตัวละครตัวนั้นมากจนเราไล่ตามเขา และเราก็รู้สึกโชคดีมากที่เราได้ตัวเขามา โดมินิคนำความจริงจังแบบนักแสดงและหน้าตาหล่อเหลาแบบดาราใส่ลงไปในตัวละครตัวนี้ครับ”
ในตอนที่วลาดได้เจอกับเมห์เม็ดอีกครั้ง ก็เกิดการเจรจาที่ตึงเครียดและเปล่าประโยชน์ระหว่างทั้งคู่ พวกเขา ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมือนพี่น้องระหว่างที่วลาดจำต้องฝืนใจอยู่ร่วมกองทัพเติร์คของบิดาเมห์เม็ด กลับกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันในเวลาต่อมา
ฉากแรกของพวกเขาคือการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ชม เพราะมันทำให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมห์เม็ดและวลาด…และความน่าสะพรึงกลัวในอดีตที่มืดหม่นของวลาด คูเปอร์เล่าว่า “มันเป็นการแสดงที่แสดงออกมาเพื่อบงการ เพื่อทำให้โกรธ เพื่อสั่นคลอนจิตใจ แต่มันก็เผยถึงความหลังของพวกเขาทั้งคู่ด้วย ว่าพ่อของเมห์เม็ดขโมยตัววลาดจากครอบครัวเพื่อเลี้ยงเขาขึ้นมาเป็นนักรบเด็ก และวลาดและเมห์เม็ดเองสนิทกันมากๆ ในตอนเป็นเด็ก”
วลาดและเมห์เม็ดไม่ได้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์เพียงสองคนที่มีความเกี่ยวโยงกับต้นกำเนิดของแดร็กคูล่า ผู้ที่ถูกเขียนเข้าไปในเรื่องราวในฐานะต้นกำเนิดที่แท้จริงของคำสาปแวมไพร์คือมาสเตอร์ แวมไพร์ ตัวละครที่ไม่น่าจะถูกพบในศตวรรษที่ 15 ชอร์เล่าว่า “มาสเตอร์ แวมไพร์ เป็นผู้ชักใยทุกอย่าง ในตอนที่วลาดเสี่ยงอันตรายเพื่อตามหาตัวมาสเตอร์ แวมไพร์ เขาไม่รู้เลยว่าเขากำลังเอาตัวเข้าไปพัวพันกับอะไร ในตอนที่เราคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทนี้ เรารู้ว่าคงไม่มีใครที่สามารถแสดงบทนี้ได้ดีไปกว่าชาร์ลส์ แดนซ์อีกแล้ว”
การรักษาสมดุลของตัวละครตัวนี้เป็นหนึ่งในความท้าทายหลักสำหรับทีมผู้สร้างและเป็นความรับผิดชอบของแดนซ์ ผู้เป็นที่รู้จักจากผลงานของเขาในแอ็กชันอย่าง Game of Thrones, Underworld: Awakening และ Alien3 รวมถึงบทบาทดรามาใน Gosford Park และ Hilary and Jackie การใส่ความเป็นมนุษย์เข้าไปในตัวละครเผด็จการแบบนี้ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย
มาสเตอร์ แวมไพร์ ผู้ถูกกักขังบนหุบเขาโบรคเคน ทูธตลอดกาล ถูกตัดขาดจากโลกใบนี้ แดนซ์เล่าถึงบทบาทของตัวละครของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “เขาอยู่อย่างสันโดษมาหลายร้อยปีในถ้ำแห่งนี้ เขายังชีพอยู่ได้ด้วยเลือดของคนอับโชคที่บบังเอิญผ่านมาใกล้ๆ ในตอนที่วลาดและคนของเขามาสืบสวนการหายตัวไปของทหารเติร์คในช่วงเริ่มต้นเรื่อง วลาดแทบจะหนีเอาชีวิตไม่รอด พอเขาถูกบีบให้จนตรอก เขาก็ต้องขอความช่วยเหลือจากมาสเตอร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังหนึ่งเดียวที่จะหยุดยั้งกองกำลังที่กำลังรุกคืบมาของสุลต่านได้”
แดนซ์ชื่นชอบการได้รับบทเป็นแวมไพร์ยุคเริ่มแรกนี้ และสนุกกับการได้ร่วมงานกับอีวานส์ เขากล่าวพลางหัวเราะว่า “ลุคเป็นคนหล่ออย่างเหลือเชื่อ และเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์และเอื้อเฟื้อสุดๆ…เพราะเขายอมทนกับการที่ผมในเมคอัพสุดสยองและเขี้ยวที่เหม็นเน่ามาคลานบนตัวเขาและเลียคอเขาด้วยน่ะครับ!”
ชอร์ชื่นชมกับการแสดงของแดนซ์ เขาเล่าว่า “สิ่งที่ชาร์ลส์นำมาสู่บทนี้คือความน่ายำเกรงและความสับสนวุ่นวาย มาสเตอร์เป็นคนที่ทรมานวลาด เป็นคนที่โชคชะตากำหนดมาให้ร่วมการร่ายรำแห่งความตายด้วยไปอีกหลายปี เป็นเหมือนโจ๊กเกอร์สำหรับแบทแมน เขานอนรอคนที่มีความเข้มแข็งแบบวลาดให้มาช่วยเขาออกจากที่คุมขังอยู่น่ะครับ”
ความสิ้นหวังนั่นเองที่นำวลาดไปสู่รังของมาสเตอร์ แวมไพร์ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่อาศัยอยู่ในหุบเขาโบรคเคน ทูธ แต่มันเป็นผู้สังหารพวกเติร์ค และด้วยวัตถุประสงค์นั้นเองที่ทำให้วลาดก้าวเข้าสู่โลกที่ทำให้เขามุ่งสู่ความหายนะ อีวานส์อธิบายว่า “ความสิ้นหวังทำให้เขาขอให้มาสเตอร์ช่วยเขากำจัดศัตรู แต่โชคร้ายที่คนผู้นี้เป็นอสุรกายหลงตัวเอง และสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้น่ะครับ”
ทีมนักแสดงหลักได้รับการสนับสนุนจากทีมนักแสดงสมทบมากความสามารถ ซึ่งรวมถึงเดียร์เมด เมอร์แท็กจาก The Monuments Men ในบท ดิมิทรู หนึ่งในองครักษ์ที่วลาดไว้ใจที่สุด, วิลเลียม ฮูสตันจาก Sherlock Holmes ในบทคาซัน ที่ปรึกษาผู้ตึงเครียดของวลาด, เฟอร์ดินานด์ คิงส์ลีย์จาก Ripper Street ทางบีบีซี ในบทฮัมซา เบย์ ทูตของชาวเติร์ค ผู้หยิ่งยะโส, แซ็ค แม็คโกวานจากซีรีส์ Shameless ทางโชว์ไทม์ในบทเคลกิม ยิปซีผู้เร้นกายในเงามืดเพื่อรอฟังคำสั่งของเจ้านายในโลกมืดของเขา, พอล เคย์จากซีรีส์ Game of Thrones ในบทบาทหลวงลูเชียน นักบวชผู้ถ่อมตน ผู้เล่าให้วลาดฟังถึงตำนานของอสุรกาย และมีภารกิจในการคุ้มครองอินเกรัสให้พ้นจากภยันตราย, ธอร์ คริส แจนเซน จาก Fishbowl ในบทไบรท์ อายส์ นักดาบชาวเติร์คผู้เจ้าเล่ห์ที่สุดและอาร์คีย์ รีซจาก John Carter ในบทจอมทัพอิสมาอิล ผู้นำทางทหารของสุลต่าน ผู้มีหน้าที่ในการทำลายอาณาจักรของวลาด
การเล่าเรื่องด้วยภาพ:
การออกแบบงานสร้างและเครื่องแต่งกาย
“มีเก้าอี้โยกริมหน้าต่าง สุดทางเดิน
ฉันได้ยินอะไรบางอย่างในเงามืด สุดทางเดิน
คุณเป็นแวมไพร์ และบัดนี้ ฉันไม่เป็นสิ่งใดเลย”
-จอห์นเน็ตต์ นาโปลิทาโน, Concrete Blonde,
“Bloodletting (The Vampire Song)”
ผู้ที่ดูแลการสร้างวิสัยทัศน์ของชอร์สำหรับ Dracula Untold ให้เป็นจริงคือสองบุคคลสร้างสรรค์ ผู้ซึ่งผลงานรวมถึงภาพยนตร์แฟนตาซีผจญภัยที่น่าตื่นเต้นที่สุดของโลกภาพยนตร์ ได้แก่ผู้ออกแบบงานสร้าง ฟรังซัวส์ โอดี้และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายนกิลลา ดิคสัน
การออกแบบงานสร้างและโลเกชัน
โดยธรรมชาติแล้ว โอดี้สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกที่ดึงดูดความสนใจของคุณด้วยความแปลกใหม่ของมันอยู่แล้ว เขาเล่าว่า “ดูเหมือนผมจะถูกดึงดูดเข้าหาหนังที่ท้าทายเราให้จินตนาการถึงโลกคู่ขนาน ที่เกิดขึ้นในดินแดนมหัศจรรย์ ต่างบ้านต่างเมือง หรือดินแดนในยุคประวัติศาสตร์ ที่เราจะได้สัมผัสถึงการเล่าเรื่องแบบปิดที่เฉพาะเจาะจง แต่ฉากเหล่านั้นก็จะติดตรึงในความคิดเราว่าเป็นสถานที่ที่คุณจะสามารถจินตนาการได้ว่าตัวละครจะยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเรื่อยไป”
โอดี้ ได้ทำงานใกล้ชิดกับชอร์และดิคสันในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของวลาด จากผู้นำที่ได้รับการนับถือ ชายผู้รักครอบครัวไปเป็นนักรบแวมไพร์ผู้โหดเหี้ยม โอดี้เล่าว่า “ตอนที่ผมได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ เรื่องราวครอบครัว และความสัมพันธ์ระหว่างวลาด, มิเรนาและอินเกรัส เป็นสิ่งที่โดนใจผม ความสัมพันธ์ของพวกเขาแข็งแกร่งและโดดเด่นมากในหนังเกี่ยวกับแดร็กคูล่า ผมอยากจะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับการเล่าเรื่องและสร้างรากฐานให้กับเรื่องราวความรักระหว่างคนทั้งสามคนนี้…เพื่อสร้างโลกที่ให้ความรู้สึกเหมือนว่าวลาดได้สร้างบ้านของตัวเองขึ้นมา และกำลังทำเพื่อคุ้มครองครอบครัวและประชาชนของเขาจริงๆ น่ะครับ”
ในโรมาเนีย มีสถานที่สำคัญสองแห่งที่มีความเชื่อมโยงกับแดร็กคูล่า นั่นคือปราสาทแบรนและปราสาทโพเอนารี ปราสาททั้งสองแห่งเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านบนหุบเขา ทำให้มันเป็นปราการธรรมชาติสำหรับผู้รุกราน สถาปัตยกรรมของปราสาททั้งสองแห่งมีที่มาจากพวกออร์โธด็อกซ์ ซึ่งกลายเป็นจุดตั้งต้นสำหรับทีมออกแบบ เพื่อให้สอดคล้อ
งกับการเล่าเรื่องที่มีพื้นฐานบนความเป็นจริง องค์ประกอบของสถาปัตยกรรมแบบออร์โธด็อกซ์อาจมีให้เห็นในปราสาทแดร็กคูล่าที่ถูกออกแบบมาสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่อย่างที่โอดี้เล่า ตรงจุดนั้นเองที่งานออกแบบแยกจากความเป็นจริง
ผู้ออกแบบงานสร้างเล่าว่า “แกรีอยากจะทำอะไรที่แตกต่างกับปราสาทแดร็กคูล่า สิ่งที่ทั้งงดงามและมีเอกลักษณ์โดดเด่น เราก็เลยถอยห่างจากลุคแบบออร์โธด็อกซ์ไปสู่อะไรที่มีความเป็นยุโรปตะวันออกมากขึ้น ด้วยรูปทรงสามเหลี่ยมและพื้นผิวที่มีเหลี่ยมคมมากขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว แบบดีไซน์เริ่มต้นจากลักษณะที่แปลกประหลาด พิสดาร แต่มันก็ค่อยๆ เปลี่ยนมามีลักษณะที่สมจริงและเป็นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ คุณจะสามารถเชื่อได้ว่ามันมีอยู่จริงครับ”
ท้องพระโรงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างปราสาทแดร็กคูล่า และในขณะที่ส่วนใหญ่ของปราสาทถูกสร้างขึ้นด้วย CGI ท้องพระโรงกลับถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมดต่อหน้ากล้อง ทีมงานใส่ในในรายละเอียดอย่างมากจนถึงระดับภาพนูนสูงตามผนัง ที่ถูกจำลองขึ้นมาจากภาพนูนสูงในโบสถ์ของโรมาเนีย และภาพประดับผนัง ที่ถูกวาดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงการมีฝุ่นเกาะ สอดคล้องกับแนวความคิดที่ว่าหินแกรนิตถูกใช้สร้างสิ่งปลูกสร้างยุคกลางที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้
ในการออกแบบฉากของเขา โอดี้ได้เล่นกับองค์ประกอบวิชวลสี่อย่าง โดยที่บางอย่างก็ปรากฏให้เห็นในท้องพระโรง ซึ่งที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือเขี้ยว โอดี้อธิบายว่า “สำหรับสถาปัตยกรรมสำหรับโลกของวลาด เราได้ใช้สามเหลี่ยมและรูปทรงสมมาตรมากมายเพื่อสร้างรูปแบบภาษาที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ขึ้นมา ถ้าคุณมองรายละเอียดในท้องพระโรง คุณจะได้เห็นสามเหลี่ยมและรูปทรงแบบเขี้ยวมากมาย ซึ่งดูเหมือนจะเหมาะกับบุคลิกของเขาพอดี เราก็เลยเลือกใส่เขี้ยวและรูปทรงแบบเขี้ยวเข้าไปในสถาปัตยกรรมของปราสาทแห่งนี้ ถ้าคุณมองเงาของปราสาทแห่งนี้ คุณจะเห็นเขี้ยวตรงด้านบนสุดของมัน และรายละเอียดมากมายภายในนั้นก็เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมและเป็นปลายแหลมในแบบที่น่าขบขันน่ะครับ”
อย่างไรก็ดี เมื่อสังเกตเข้าไปใกล้ๆ ท้องพระโรงที่ไร้หลังคาและองค์ประกอบตกแต่งของมันถ่ายทอดความรู้สึกเกี่ยวกับอดีตที่มืดหม่นของวลาด และบอกเป็นนัยๆ ถึงอนาคตที่มืดหม่นยิ่งกว่า ชอร์อธิบายว่า “อีกแง่มุมหนึ่งของแบบดีไซน์ไร้หลังคาคือวิธีในการเล่าถึงวลาดที่สามในประวัติศาสตร์ เขามีท้องพระโรงที่เปิดโล่ง และในพื้นที่นั้น เขาจะมีเสาปลายแหลมกว่ายี่สิบอันตั้งอยู่ โดยมีร่างของศัตรูถูกเสียบตามเสาเหล่านั้น เขาจะดื่มกินท่ามกลางซากศพเหล่านั้น และตำนานเก่าๆ ก็เล่าว่า เขาจะดื่มเลือดที่หลั่งรินออกจากศพด้วย”
แม้ว่าผู้ชมอาจจะไม่ได้สังเกตถึงสิ่งที่อ้างถึงตำนานแดร็กคูล่าและอดีตของวลาด ชอร์ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญต่อความสมจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ในการเท้าความถึงเรื่องเล่าเก่าๆ เขากล่าวว่า “สิ่งแวดล้อมทั้งหมดนี้เป็นผลผลิตของตัวละครและเรื่องราว ท้องพระโรงของวลาดถูกออกแบบจากการดัดแปลงไม้เสียบปลายแหลมและท้องพระโรงของวลาดที่สามจริงๆ ด้วยหลังคาเปิด และมีเสาหนามยื่นออกมาที่ทั้งสองฟากฝั่งของห้อง ทั้งหมดปรากฏอยู่ตรงนั้นเพื่อใส่เอาความน่าสะพรึงกลัวเข้าไปในฉาก เพื่อสร้างความรู้สึกเหล่านั้นเข้าไปโดยไม่ให้มันน่าขยะแขยงครับ”
สถานที่ที่องค์ประกอบนี้ปรากฏชัดเจนที่สุดคือฉากที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับการถ่ายทำจริงๆ ซึ่งก็คือฉากถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่พำนักของมาสเตอร์ แวมไพร์ภายในหุบเขาโบรคเคน ทูธ ที่ซึ่งตำนานแดร็กคูล่าเริ่มต้นขึ้นและชีวิตมนุษย์ของเจ้าชายวลาดสิ้นสุดลง
เครื่องแต่งกายสำหรับแอ็กชันผจญภัย
การทำงานในภาพยนตร์พีเรียดจำต้องอาศัยการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทุกแผนกที่ทำงานด้านวิชวล และสำหรับ Dracula Untold มันก็มีการร่วมมือกันระหว่างแผนกต่างๆ มากเป็นพิเศษ ดังที่ปรากฏให้เห็นตัวอย่างในแผนกเครื่องแต่งกาย ที่นำทีมโดยดิคสัน ผู้ครองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด
“ผมรู้จักนกิลลามาหลายปีแล้ว” โอดี้เล่า “เราก็เลยร่วมงานกันได้ทันที เธอเริ่มต้นทำงานก่อนผม และมีแบบดีไซน์ที่น่าทึ่งพวกนี้ ที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับทีมออกแบบงานสร้างได้อย่างดีเยี่ยม ผมได้รับแรงบันดาลใจจากงานออกแบบเครื่องแต่งกายของเธอเสมอ”
ความชื่นชมนั้นเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย โดยดิคสันยอมรับว่าเธอเองก็ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งปลูกสร้างที่โอดี้และทีมงานของเขาได้พัฒนาขึ้นด้วยเช่นกัน เธอเล่าว่า “ฉันจะได้รับแบบดีไซน์จากแผนกศิลป์ เช่นภายในของปราสาท และเราก็จะร่วมมือกันเติมเต็มพื้นที่เหล่านั้น เพื่อทำให้แน่ใจว่าสีสันของเราจะไปด้วยกันได้ ยกตัวอย่างเช่น เราต้องเห็นว่าชุดสำหรับงานเลี้ยงอาหารค่ำของเราจะดูดีในสิ่งแวดล้อมนั้นรึเปล่า และเราต้องคอยดูไม่ให้เกิดความขัดแย้งด้านดีไซน์เกิดขึ้น มันเป็นความสัมพันธ์ที่เรียบง่ายและยอดเยี่ยม และมันก็เป็นการร่วมมือกันที่พิเศษสุดจริงๆ เราได้ ทำงานร่วมกับคนที่มีความต้องการเชิงสร้างสรรค์ที่จะทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้ค่ะ”
การได้ดิคสันมาร่วมโปรเจ็กต์นี้เป็นชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับชอร์ ในฐานะหนึ่งในผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในวงการ ผลงานของเธอในไตรภาค The Lord of the Rings ทำให้เธอได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลต่างๆ อีกมากมาย ผู้กำกับกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มกว้างว่า “เธฮนำความสง่างาม ที่เป็นสไตล์เฉพาะตัวของเธอ มาสู่หนังเรื่องนี้ครับ”
สำหรับดิคสัน มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ดึงดูดเธอเข้าหาโปรเจ็กต์นี้ รวมถึงความชื่นชมที่เธอมีต่อภาพยนตร์ที่แปลกใหม่ของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา และโอกาสในการสร้างคอนเซ็ปต์ใหม่สำหรับแฟรนไชส์นี้ เธอเล่าว่า “ฉันกับแกรีต่างก็เป็นแฟนของ Bram Stoker’s Dracula มันเป็นหนังที่หาใครเทียบยาก สำหรับนักออกแบบ มันเป็นโอกาสที่วิเศษสุดที่ได้แปลงโฉมให้กับแฟรนไชส์ดังอย่าง Dracula มันเป็นเรื่องราวที่ใครๆ ก็รู้จัก ดังนั้น ในการออกแบบคอนเซ็ปต์ของมัน คุณก็จะคิดโดยอัตโนมัติว่า ‘ฉันจะใส่อะไรเข้าไปได้บ้าง’ น่ะค่ะ”
ในตอนที่ชอร์และดิคสันคุยกันว่าจะสร้างลุคของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไร องค์ประกอบด้านประวัติศาสตร์ก็กลายเป็นประเด็นสำคัญ ในการเลือกสีสันที่ใช้ ดิคสันและทีมงานของเธอได้ค้นคว้าเรื่องราวของอาณาจักรออตโตมันและวัลลาเคีย เพื่อเสาะหาวัตถุดิบที่มีความเชื่อมโยงกับศตวรรษที่ 15
ดิคสันอธิบายกระบวนการดังกล่าวว่า “พอคุณรวบรวมข้อมูลได้มหาศาลแล้ว คุณก็จะเริ่มมองแนวทางสำหรับหนังเรื่องนั้นๆ และสิ่งหนึ่งที่กลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราคือการไม่ทำให้หนังเรื่องนี้มืดหม่น สิ่งที่เราต้องการคือลุคที่เต็มไปด้วยสีสันและมีรายละเอียดมากมาย ดังนั้น พอฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องอาคารต่างๆ และเสื้อผ้าที่คนสมัยนั้นใส่กัน เราก็เริ่มมองดูสีสัน เพื่อพิจารณาว่าเราจะนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้กับผู้ชมได้อย่างไรน่ะค่ะ”
เครื่องแต่งกายทุกชุดบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง และถ่ายทอดความนัยเกี่ยวกับตัวละครและการดำเนินเรื่อง ในตอนที่เราได้พบกับวลาดเป็นครั้งแรกในอุทยานของปราสาท ชุดของเขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนมีความสุข ผู้ปล่อยวางจากอดีตที่เคยผ่านเรื่องรุนแรงมา แต่พอผ่านไปครึ่งเรื่อง เราก็ถอยหลังกลับสู่ความเป็นวลาดจอมเสียบ นักรบที่แท้จริง จนกระทั่งในที่สุดที่เขาได้ยอมจำนนต่อโชคชะตา
ดิคสันเริ่มต้นการทำงานของเธอจากเครื่องแต่งกายในช่วงท้ายเรื่อง เธอเล่าถึงเหตุผลของเธอว่า “สำหรับฉัน การรับมือกับส่วนที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ที่สุดของหนังได้ก็เป็นวิธีการที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงทั้งหมดของมันได้ ฉันรู้สึกเสมอว่าฉันจะต้องจัดการกับส่วนที่ยากที่สุดก่อน แล้วมันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบล็อกต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ”
ในตอนที่เธอสร้างชุดเกราะของวลาดขึ้นมา ดิคสันได้มองย้อนกลับไปในปี 1452 และเริ่มใช้สีแดงและดำของชุดเกราะของเจ้าชายจริงๆ ผสมผสานกับลวดลายมังกรที่ทีมงานออกแบบงานสร้างได้พัฒนาขึ้น ดิคสันกล่าวว่า “ถ้าคุณจะสร้างลักษณะเด่นให้กับตัวละครอย่างวลาด สีแดงและสีดำก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และแน่นอนค่ะ แดร็กคูล่า…ก็ต้องมังกรสิคะ มันเป็นองค์ประกอบหลักสามอย่างค่ะ”
ด้วยความที่ชุดเกราะมังกรเป็นตัวแทนช่วงชีวิตของวลาดในตอนที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับพวกเติร์ค มันก็จะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับชุดเกราะของเมห์เม็ดในแบบที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองได้ ดิคสันอธิบายว่า “ฉันคิดว่าชุดเกราะทั้งสองชุดจะต้องเป็นเหมือนหยินและหยาง โดยที่เมห์เม็ดจะเป็นคนที่เนี้ยบ ชุดเกราะเงาวับทุกกระเบียดนิ้ว ในขณะที่ชุดเกราะของวลาดจะเป็นอะไรที่จับต้องได้มากกว่าและมีส่วนที่ถูกกระทบกระแทกเยอะกว่า”
ชอร์เล่าว่าแบบดีไซน์ของดิคสันส่งอิทธิพลต่อแนวความคิดที่เขามีต่อเรื่องราวนี้ “วลาดและเมห์เม็ดได้พบกันเพียงสองครั้งในเรื่อง ครั้งแรกในเต็นท์ของเมห์เม็ดในตอนที่วลาดพยายามจะพูดด้วยเหตุผลกับเขา แล้วอีกครั้งหนึ่งก็คือตอนที่วลาดรบกับเขา ดังนั้น มันก็เลยเป็นความสัมพันธ์ที่ท้าทายระหว่างตัวเอกกับตัวร้าย ที่พวกเขาจะไม่ได้พบกันบ่อยซักเท่าไหร่ แต่มันก็เหมือนกับเกมหมากรุก ผลก็คือมันสุ่มเสี่ยงที่จะมีลักษณะเป็นตอนๆ สิ่งสำคัญคือจะต้องมี DNA ด้านดีไซน์ที่สามารถเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันได้ มันเป็นฐานสำหรับการออกแบบของนกิลลา ซึ่งครอบคลุมไปถึงเรื่องของดนตรีและโทนด้วยครับ”
ชุดเกราะของเมห์เม็ดเป็นโอกาสให้ดิคสันได้ท่องทั่วเมือง ในการครองคอนสแตนติโนเปิล เมห์เม็ดที่สองได้เปลี่ยนรัฐออตโตมันแห่งนี้ให้กลายเป็นอาณาจักร และวางรากฐานให้กับหนึ่งในอาณาจักรที่เรืองอำนาจที่สุดในโลก
ดิคสันกล่าวว่า “ถ้าคุณพูดถึงอาณาจักรออตโตมัน และความมั่งคั่งร่ำรวยแล้ว เราก็อยากนำเสนอเรื่องนั้นอย่างเต็มที่ เมห์เม็ดสวมชุดเกราะที่เฉลิมฉลองชัยชนะของเขา โดยบนส่วนอก จะมีภาพของตัวเมห์เม็ดเองนั่งอยู่บนหลังม้า ล้อมรอบไปด้วยสมรภูมิ และด้านหลังคือคอนสแตนติโนเปิล ดีไซน์ทั้งหมดนี้เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งใหญ่นี้ มันช่วยเสริมอีกเลเยอร์หนึ่งของความหยิ่งยะโสแบบกษัตริย์ให้กับชุดเกราะชุดนั้นค่ะ”
ชุดเกราะทั้งสองชุดถูกสร้างขึ้นในนิวซีแลนด์ภายใต้สายตาที่ระมัดระวังของดิคสันจากอังกฤษเธอกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “สไคป์เป็นเพื่อนรักของผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายค่ะ”
โลกที่วลาดและเมห์เม็ดมีชีวิตอยู่และโลกที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับ Dracula Untold เป็นโลกของผู้ชาย การเสริมแง่มุมความเป็นผู้หญิงเข้าไปในการดำเนินเรื่องที่มีผู้ชายเป็นใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และแน่นอนว่าสำหรับดิคสัน มิเรนาเป็นความซับซ้อนอย่างท่สุด เพราะเธอเป็นตัวละครตัวเดียวที่แสดงถึงคุณสมบัติแบบผู้หญิง เธอก็เลยใช้เวลาไม่น้อยพินิจพิเคราะห์ตัวละครตัวนี้ ดิคสันอธิบายว่า “ในเรื่องนี้ไม่มีผู้หญิงคนอื่นเลยค่ะ ดังนั้น เราก็ต้องใส่ความงามและความเป็นผู้หญิงทั้งหมดเข้าไปในมิเรนา ซึ่งทำให้มันเป็นสถานการณ์ด้านการออกแบบที่เข้มข้นมากๆ คุณจะมีความเป็นผู้ชายของวลาดและความเป็นผู้หญิงของมิเรนาค่ะ”
ตอนอ่านบท ดิคสันจินตนาการถึงสีสันที่นุ่มนวล อ่อนโยน จืดจางให้กับมิเรนา แต่หลังจากคุยเรื่องตัวละครตัวนี้กับกาดอน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ดิคสันสรุปว่า “เราเปลี่ยนแบบพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยการเลือกสีสันแรงๆ แต่ก็ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลค่ะ”
กาดอนชื่นชมความใส่ใจในรายละเอียดของเธอ เธอกล่าวชมว่า “เรามีทีมเมคอัพและทำผมที่เก่งมากๆ และทีมงานของนกิลลาก็สร้างชุดที่วิเศษสุดเหลือเกิน ทั้งหมดนี้ช่วยส่งเสริมการที่คุณสร้างและขัดเกลาตัวละครของคุณ แม้ว่ามิเรนาจะเป็นเจ้าหญิง แต่เราก็ไม่อยากให้เธออยู่แค่บนหอคอยปราสาท เราอยากให้เธอมีส่วนร่วมในพล็อตด้วยจริงๆ ระหว่างการซ้อม ฉันกับแกรีพยายามทำให้เธอมีบทบาทมากขึ้น ฉันรู้สึกว่าเธออยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการทำตัวแบบผู้หญิงกับการลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง…เธอสามารถแสดงทั้งสองแง่มุมนั้นออกมาได้ค่ะ”
การสู้ถึงตาย:
การฝึกฝนและการออกแบบท่าการต่อสู้
“ไร้ความใส่ใจ พวกมันบดขยี้ผืนแผ่นดินราวเศษธุลี
ไร้ความปรานี พวกมันห้ำหั่นมนุษย์
พวกมันทำให้เลือดหลั่งรินราวห่าฝน กัดกินเนื้อ และดูดเลือดของคนเหล่านั้น
พวกมันเป็นปีศาจที่เต็มไปด้วยความรุนแรง และความกระหายเลือดไม่รู้จักจบสิ้น”
—“The Book of Vampires”
วลาดที่สามที่เติบโตขึ้นมาในราชวังภายใต้การฝึกฝนของเมห์เม็ดที่หนึ่ง ถูกฝึกฝนตามวิถีของพวกจานิสซารี กองกำลังชั้นสูงของอาณาจักรออตโตมัน ทุกๆ ห้าปี พวกเติร์คจะออกปฏิบัติภารกิจหาทหารใหม่ โดยพวกเขาจะตระเวนไปตามดินแดนต่างๆ เพื่อเลือกลูกชายที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกคริสเตียนผู้อยู่ภายใต้อาณัติของสุลต่าน รวมถึงวลาดด้วย พวกเด็กๆ ถูกพรากจากพ่อแม่ เพื่อมาอยู่กับครอบครัวชาวเติร์ค ที่ซึ่งพวกเขาได้เรียนขนบธรรมเนียม ภาษาและศาสนาของพวกออตโตมัน ก่อนที่จะถูกนำตัวไปฝึกฝนในฐานะพวกจานิสซารี ด้วยเหตุนี้เอง สไตล์การต่อสู้ของวลาดจึงเป็นการหลอมรวมการต่อสู้สองแบบเข้าด้วยกัน นั่นคือแบบของบ้านเกิดเขาและแบบของพวกเติร์ค
อีวานส์เล่าถึงวิธีการนี้ว่า “นั่นคือสิ่งที่ทำให้วลาดเป็นผู้นำและจอมทัพที่เก่งกาจ ในตอนที่เขาหยุดยั้งไม่ให้อาณาจักรออตโตมันรุกรานวัลลาเคีย เขาก็ใช้สไตล์การต่อสู้ของพวกเติร์คเพราะเขาถูกพวกเติร์คเลี้ยงดูมา ในแง่หนึ่ง พวกเขาไม่ควรจะฝึกฝนเขาให้เก่งขนาดนี้เพราะเขากลับบ้านไปพร้อมกับกลยุทธ์ทั้งหมดของพวกเขาครับ”
ซีเควนซ์ที่ซับซ้อนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ บัสเตอร์ รีฟส์ (The Dark Knight Rises, Tarzan) ผู้วิเคราะห์สไตล์การต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งสองแบบนี้ เพื่อกำหนดแบบการต่อสู้ของภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา รีฟส์เล่าว่า “ตอนแรก ผมดูอาวุธที่ใช้ในสงครามของทรานซิลวาเนีย ซึ่งมีเพียงแค่ดาบขนาดใหญ่ และขวาน ส่วนพวกเติร์ค สไตล์ของพวกเขาจะได้รับอิทธิพลจากสไตล์ของเอชีย มันก็เลยเป็นอะไรที่พลิ้วไหวมากๆ เราคิดสไตล์การต่อสู้ของวลาดจากการผสมผสานสไตล์ทั้งสองเข้าด้วยกัน นั่นคือความแข็งแกร่งและความคล่องตัวของดาบขนาดใหญ่กับความพลิ้วไหวและไหลลื่น ที่ดูแล้วงดงามของดาบวงพระจันทร์ของพวกเติร์ค”
จังหวะของภาพยนตร์เรื่องนี้กระชับขึ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงของวลาด เมื่อหัวใจของเรื่องมืดหม่นลงเรื่อยๆ แอ็กชันก็ถูกขยายมากขึ้น และมาถึงจุดสูงสุดในตอนที่วลาดและฝูงแวมไพร์ของเขาจู่โจมค่ายของเมห์เม็ด
รีฟส์อธิบายว่า “ในตอนที่เขาสู้กับเมห์เม็ด ตอนที่เขาสู้กับกองทัพ เราก็นำเสนอความมืดหม่นระดับใหม่ในตัวของวลาด เราสร้างสไตล์แวมไพร์ขึ้นมา มากกว่าที่จะเป็นเพียงความทารุณจากการถูกเสียบเท่านั้น เราอยากจะทำให้เขาเป็นคนช่างคิดคำนวณมากขึ้นด้วย”
การเปลี่ยนวลาด (และอีวานส์) ให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ชอร์สรุปว่า “การต่อสู้ระหว่างวลาดและคนนับพันมีพื้นฐานจากแรงแค้น มันเป็นแรงแค้นที่ทำให้เขามีเรี่ยวแรงมหาศาลในการสู้แบบตัวต่อตัว เราได้เห็นพลกำลังและความเร็วของเขาที่เกิดจากพลังที่เขาเพิ่งได้มาใหม่นี้”
การต่อสู้กับคนนับพันของเขาใช้เวลาในการเตรียมตัวและฝึกฝนสามเดือนกว่าที่จะเริ่มต้นถ่ายทำได้ รีฟส์คุยถึงฉากนี้ให้เราฟังว่า “เราแยกย่อยมันออกเป็นซีเควนซ์ต่างๆ เพื่อที่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถเชื่อมสองซีเควนซ์เข้าด้วยกันได้ เราจะมีคนมากพอที่จะทำแบบนั้นได้ แล้วมันก็เป็นเรื่องของเวลากว่าที่เราจะได้ตัวลุคมา และเขาก็เริ่มเรียนรู้อย่างเดียวกันครับ”
อีวานส์ตื่นเต้นกับโอกาสในการได้ร่วมงานกับผู้กำกับภาพผู้นี้ โดยเขากล่าวว่า “บัสเตอร์ รีฟส์เป็นตำนานเลยนะครับ เขามีความชำนาญในการออกแบบท่าเคลื่อนไหวที่จะช่วยส่งเสริมนักแสดง หวังว่าผมจะแสดงให้สมเกียรติผลงานของเขาในซีเควนซ์การต่อสู้ของผมนะครับ”
กลายเป็นว่าอีวานส์เป็นนักเรียนที่เพอร์เฟ็กต์ ชอร์กล่าวชื่นชมว่าอีวานส์รู้ว่าจะต้องทำยังไงในการแสดงภายในรัศมีกล้องของผู้กำกับภาพจอห์น ชวอร์ทซ์แมน “ลุคมีความสามารถน่าทึ่งในการเรียนรู้เรื่องของการออกแบบท่าเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว มีความเปลี่ยนแปลงในฉากนั้นที่เกิดขึ้นตอนช่วงท้ายๆ แล้วและลุคก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับมันได้”
กองทัพค้างคาว:
วิชวล เอฟเฟ็กต์และสเปเชียล เอฟเฟ็กต์
“รอบตัวพวกเขา สัตว์ร้ายแห่งรัตติกายได้สยายปีกของมัน
ช่วงเวลาของแวมไพร์ได้เคลื่อนมาถึงแล้ว”
–สตีเฟน คิง “Salem’s Lot”
ในขณะที่เรื่องราวส่วนใหญ่ของ Dracula Untold ถูกขับเคลื่อนโดยตัวละคร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีการถ่ายทำจริงๆ ต่อหน้ากล้อง มันก็มีหลายช่วงเวลาและฉากสำคัญต่างๆ ที่ต้องอาศัยวิชวล เอฟเฟ็กต์ขั้นเทพ ฉากเหล่านั้นรวมถึงการล้อมปราสาทแดร็กคูล่าในตอนที่วลาดได้ทำให้ลูกกระสุนปืนใหญ่ปลาสนาการหายไปก่อนทที่จะสร้างภาพมายาขึ้นในความคิดของพวกเติร์คในปราสาท ว่าเขาแปลงร่างกายเป็นมังกรยักษ์ และแน่นอน “มือค้างคาว” บริษัทเฟรมสโตร์ ที่นำทีมโดยซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ คริสเตียน มันซ์ (Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 1) ได้เนรมิตชีวิตให้กับวิสัยทัศน์ของชอร์
“มือค้างคาว” หมายถึงการที่วลาดควบคุมฝูงสัตว์มีปีกเหล่านี้ และสั่งให้พวกมันไปจู่โจมค่ายทหารของพวกเติร์ค ที่นั่น พวกมันสร้างความพินาศเสียหายให้กับกองทหารและเป็นตัวประกาศการมาเยือนของวลาดและฝูงแวมไพร์ของเขา
ซีเควนซ์พวกนี้เป็นงานชิ้นยักษ์ มันซ์เล่าว่า “มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะค้างคาวหลายพันตัวบินโฉบไปมาบนท้องฟ้าอาจดูเฝือไปได้” ในการสร้างฉากนี้ให้อยู่บนพื้นฐานของความจริง มันซ์ได้มองดูการเรียงตำแหน่งของดวงดาวเป็นข้อมูล เขาเล่าว่า “พวกมันเคลื่อนไหวในแบบที่ลื่นไหลและน่าสนใจมากๆ เมื่อพวกมันอยู่กันเป็นพันๆ ตัวน่ะครับ”
ทีมงานทำตามคอนเซ็ปต์วิชวลดังกล่าว และใช้การผสมผสานระหว่างโมชัน แคปเจอร์ ที่พวกเขาได้บันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวมือของนักแสดงเอาไว้, CGI และกล้องที่ติดบนลวดสลิงเพื่อสร้างมุมมองของค้างคาวที่บินถลาเข้าไปท่ามกลางกองทัพเติร์ค มันซ์เล่าว่า”’มือค้างคาว’ จะต้องทุบลงไปและกำจัดคน 100,000 คน พวกเราก็เลยต้องทำงานกันหนักน่าดู ในความเป็นจริง เรามีคนอยู่แค่ 130 คนในกองทัพ เราใช้กล้องแขวนบนลวดสลิงเพื่อถ่ายทำกลุ่มทหารเติร์คจากความสูง 160 ฟุต แล้วเราค่อยขยายจำนวนคนออกไป จนกลายเป็นกองทัพ แล้วเราก็ค่อยใส่ค้างคาว CGI เข้าไปในช่วงโพสต์ครับ”
วลาดกระโจนลงจากหอคอยวิหาร แปลงร่างกลายเป็นฝูงค้างคาว และบุกค่ายทหารของเมห์เม็ดพร้อมกับฝูงแวมไพร์ของเขา มันซ์อธิบายว่า “เราไม่อยากได้คริสโตเฟอร์ ลี ที่เขาแปลงกายกลายเป็นค้างคาวตัวเดียว เราพยายามนึกหาวิธีเจ๋งๆ ที่จะนำเสนอแนวความคิดนั้น เราก็เลยเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นค้างคาวหลายตัวแทนครับ”
เดอ ลูก้าขยายความคำอธิบายของซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ผู้นี้ว่า “ความสามารถในการเปลี่ยนร่างกลายเป็นสัตว์ หรือค้างคาว เป็นแนวความคิดที่เก่าแก่ครับ แน่นอนว่าเคยมีการนำเสนอเรื่องแบบนี้มาแล้ว แต่เราก็สร้างมันในแบบที่ค่อนข้างจะแปลกใหม่ทีเดียว วลาดบังคับฝูงค้างคาวที่สามารถรวมตัวกันเป็นรูปร่าง แล้วบินโฉบลงมาจู่โจมคนในรูปแบบต่างๆ ได้ มันเป็นการนำเสนอพลังดั้งเดิมในรูปแบบใหม่ เราพยายามจะอธิบายถึงพลังเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่ามันมาจากไหน แล้วแสดงให้เห็นถึงการใช้พลังเหล่านั้นรูปแบบใหม่ครับ”
การเนรมิตชีวิตใหม่ให้กับตัวละครที่โด่งดังนี้คือสิ่งที่ทำให้ทีมงานโฟกัสไปที่การคิดทบทวนเรื่องคุณลักษณะทางกายภาพของแดร็กคูล่าเสียใหม่ ในการสร้างลุคใหม่สำหรับแดร็กคูล่า ทีมงานได้ดูภาพแวมไพร์ที่เป็นที่รู้จักมาก่อนหน้านี้ ชอร์เล่าว่า “ด้วยความที่วลาดแหกกฎในตอนที่เขาหนีจากหุบเขาโบรคเคน ทูธ มันก็เลยเป็นโอกาสในการได้ล้วงลึกเข้าไปในตำนานแวมไพร์ ที่ไม่เคยถูกนำเสนอมาก่อนครับ”
ด้วยความที่วลาดไม่ได้ถูกขังอยู่ในภูเขา ทีมงานก็เลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะคงใบหน้าของเขาให้มีความเป็นมนุษย์ และเผยให้เห็นเพียงเศษเสี้ยวของปีศาจที่อยู่ภายใน แต่มาสเตอร์ แวมไพร์จะแสดงถึงความเป็นอสุรกายมากกว่าเพราะเขาถูกขังอยู่ในหุบเขาโบรคเคน ทูธมาหลายพันปีแล้ว เขาเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งรัตติกาล ที่หลบซ่อนตัวให้พ้นจากแสงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตเขา ผิวของเขาซีดเผือดถึงขั้นที่ฟันและเส้นเลือดของเขาปรากฏให้เห็นใต้ผิวหนังได้ แผนกวิชวล เอฟเฟ็กต์ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับแดเนียล ฟิลลิปส์ (The Queen, Closed Circuit) ผู้ออกแบบเสื้อผ้าและทรงผม เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่คล้ายคลึงกัน แต่ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า ให้กับวลาด
ฟิลลิปส์อธิบายว่า “เราเริ่มต้นด้วยสไตล์แบบฮีโรที่หล่อเหลา และนุ่มนวลมากๆ แล้วเมื่อความกระหายเลือดรุนแรงขึ้น เราก็ทำให้ผิวของลุคซีดลง เราเปลี่ยนโทนสีของเขา ทำให้สีผิวเขาซีดเผือด ทำให้ดวงตาเขาลึกโหล ทำให้แก้มตอบ เพื่อสร้างความรู้สึกที่ว่าเขากำลังอยู่ในจังหวะที่มืดหม่นมากๆ แล้วพอเขาได้ดื่มเลือด เราก็ค่อยเร่งสีสันให้สดใสขึ้นครับ”
“จนกระทั่งในตอนุดท้าย เราถึงจะได้เห็นปีศาจแบบเต็มรูปแบบในเวลาเดียวกับที่คนอื่นๆ เห็น” มันซ์กล่าว “หวังว่ามันจะเป็นภาพที่น่าตกตะลึงสำหรับผู้ชม มันเป็นความท้าทายชิ้นใหญ่ในการสร้างแวมไพร์ที่เราจะเห็นอกเห็นใจด้วย แต่ก็เหมือนกับ Frankenstein และ The Elephant Man มันมีอะไรบางอย่างน่าขยะแขยงที่ทำให้คนส่วนใหญ่ของวลาดกลัวเขาน่ะครับ”
เดอ ลูก้า กล่าวสรุปถึงลุคของสิ่งมีชีวิตที่ตามหลอกหลอนเขาในความฝันมาตลอดหลายปีนี้ว่า “ลุคแวมไพร์ในหนังของเราโดดเด่นตรงที่ว่ามันยังคงน่ากลัวอยู่ แต่ก็มีความน่าสงสารด้วย มันเป็นเรื่องของการสละวิญญาณให้กับความมืดมิดมันเป็นการบิดเบี้ยว พิกลพิการของจิตวิญญาณมนุษย์และลักษณะกายภาพของมนุษย์ ที่ทำให้คุณเห็นความเป็นมนุษย์ข้างใต้นั้นมากพอที่จะทำให้คุณรู้ว่ามีบางสิ่งได้สูญหายไป มันเป็นการผสมผสานระหว่างมนุษย์และสัตว์ร้าย และเมื่ออสุรกายตนนี้ออกโรงจู่โจม มันก็น่ากลัวมากๆ ครับ”
****
ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และลีเจนดารี พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ Dracula Untold ผลงานสร้างของไมเคิล เดอ ลูก้า นำแสดงโดยลุค อีวานส์, โดมินิค คูเปอร์, ซาราห์ กาดอน และชาร์ลส์ แดนซ์ ดนตรีของแอ็กชันผจญภัยเรื่องนี้รังสรรค์โดยรามิน ดจาวาดี้ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือนกิลลา ดิคสัน ลำดับภาพโดยริชาร์ด เพียร์สัน, เอซีอี ออกแบบงานสร้างโดยฟรังซัวส์ โอดี้ ผู้กำกับภาพคือจอห์น ชวอร์ทซ์แมน, เอเอสซี ควบคุมงานสร้างโดยอาลิสซา ฟิลลิปส์, โจ คารัชชิโอโล จูเนียร์, โธมัส ทัลล์, จอน จาชนี อำนวยการสร้างโดยไมเคิล เดอ ลูก้า, พี.จี.เอ. บทภาพยนตร์โดยแมทท์ ซาซามา และเบิร์ค ชาร์ปเลส กำกับโดยแกรี ชอร์
© 2014 Universal Studios. www.draculauntold.com
ประวัติทีมนักแสดง
ลุค อีวานส์ (Luke Evans) รับบท วลาด
ลุค อีวานส์ นักแสดงชาวเวลส์ ได้สร้างความประทับใจในฮอลลีวูดอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุด เขาได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious 6, The Raven, Immortals และ The Three Musketeers
ล่าสุด เขาได้รับบท บาร์ด นักธนู ในภาพยนตร์โดยปีเตอร์ แจ็คสันเรื่อง The Hobbit: An Unexpected Journey ตามด้วย The Hobbit: The Desolation of Smaug ซึ่งเข้าฉายในวันที่ 13 ธันวาคม ปี 2013 เขาจะกลับมารับบทเดิมอีกครั้งในภาคที่เหลือของไตรภาคเรื่องนี้ The Hobbit: There and Back Again ที่จะเข้าฉายในวันที่ 17 ธันวาคม นอกจากนี้ เขายังได้แสดงเป็นหนึ่งในคู่รักที่ถูกแก๊งอาชญากรรมโหดเหี้ยมจับเป็นตัวประกันในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง No One Lives ที่กำกับโดยริวเฮย์ คิตะมูระ ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีรีส์บีบีซีเรื่อง The Great Train Robbery ในบทบรูซ เรย์โนลด์ส ในตอนแรกของดรามาสองตอนเรื่อง A Robber’s Tale ซึ่งจูเลียน จาร์โรลด์ (The Girl) จะกำกับ
เขาได้เปิดตัวในแวดวงภาพยนตร์อังกฤษครั้งแรกด้วยบทไคลฟ์ ริชาร์ดในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้าปี 2010 เรื่อง Sex & Drugs & Rock & Roll ซึ่งเป็นผลงานของแมท ไวท์ครอส ที่เล่าชีวิตของเอียน ดูรีแห่งเอียน ดูรี แอนด์ เดอะ บล็อคเฮดส์ ผู้ริเริ่มแนวพังค์ร็อคในลอนดอน ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2010 เขาได้รับบทนำ แอนดี้ ในโรแมนติกคอเมดีโดยผู้กำกับสตีเฟน เฟรียส์เรื่อง Tamara Drewe ที่สร้างจากการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในหนังสือพิมพ์การ์เดียน และนิยายภาพชื่อเดียวกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ร่วมแสดงโดยเจ็มมา อาร์เทอร์ทัน อย่างไรก็ดี แอ็กชัน/แฟนตาซี/ดรามาโดยวอร์เนอร์ บรอส.เรื่อง Clash of the Titans คือผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จัก จากบทเทพเจ้าอพอลโลผู้มีเสน่ห์ หลังจาก Clash of the Titans เขาก็ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง Robin Hood ในบทมือขวาคนสนิทของนายอำเภอ ประกบรัสเซล โครว์ ที่รับบทโรบิน ฮู้ด
เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งจะเสร็จจากการร่วมมือกับไวท์ครอสเป็นครั้งที่สองในภาพยนตร์ฟิล์มนัวร์ร่วมสมัยเรื่อง Ashes ซึ่งร่วมแสดงโดยเรย์ วินสโตน, จิม สเตอร์เจส, เลสลีย์ แมนวิลล์และโจดี้ วิทเทคเกอร์และเขียนบทโดยพอล วิราฟ นอกจากนี้ เขายังเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์อินดีโดยเบน วีทลีย์เรื่อง High-Rise อีกด้วย
ก่อนหน้างานแสดงภาพยนตร์ เขาประสบความสำเร็จในการแสดงละครเวทีอยู่แล้ว โดยเขาได้แสดงในละครเวสต์เอนด์และมิวสิคัลหลายเรื่องเช่น La Cava, Boy George’s Taboo, Avenue Q, Dickens Unplugged, A Girl Called Dusty รวมถึง Small Change และ Piaf ที่ดอนมาร์ แวร์เฮาส์ โรงละครชื่อดัง เสียงที่ทรงพลังและผ่านการฝึกฝนอย่างดี รวมถึงเสน่ห์บนเวทีของเขาทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับการรับบทนำอย่างคริสใน Miss Saigon และโรเจอร์ใน Rent
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อีวานส์ได้สร้างที่ทางให้กับตัวเองในโลกภาพยนตร์เรียบร้อยแล้ว จากการที่ผลงานของเขาครอบคลุมแนวต่างๆ และบทบาทสำคัญๆ หลากหลายในเวลาไม่ถึงสีปี
ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอน
โดมินิค คูเปอร์ (Dominic Cooper) รับบท เมห์เม็ด
โดมินิค คูเปอร์ เป็นหนึ่งนักแสดงที่น่าตื่นเต้นที่สุดที่มาจากเกาะอังกฤษในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คูเปอร์ ผู้ประสบความสำเร็จทั้งบนเวทีละครและจอเงิน เขายังคงแสดงให้เห็นถึงความสามารถเชิงสร้างสรรค์ที่หลากหลายของเขาอย่างต่อเนื่อง คูเปอร์รับบทนำในดรามาอินดีโดยลี ทามาโฮริเรื่อง The Devil’s Double ภาพยนตร์แอ็กชันตึงเครียดเกี่ยวกับชีวิตของลาทีฟ ยาเฮีย ผู้ถูกบีบให้ต้องเป็นตัวแทนของอูเดย์ ฮุสเซน ลูกชายของซัดดัม ฮุสเซน ในภาพยนตร์ปี 2011 ที่เขียนบทโดยไมเคิล โธมัสเรื่องนี้ คูเปอร์รับหน้าที่ท้าทายด้วยการแสดงควบในบทยาเฮียและฮุสเซน
ก่อนหน้านี้ คูเปอร์ได้แสดงใน My Week with Marilyn ที่กำกับโดยไซมอน เคอร์ติส และร่วมแสดงโดยทีมดาราระดับแนวหน้า ซึ่งประกอบไปด้วยมิเชลล์ วิลเลียมส์, เคนเนธ บรานาห์และจูดี้ เดนช์ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ คูเปอร์รับบทมิลตัน กรีน ช่างภาพชื่อดัง ผู้อำนวยการสร้างและผู้ร่วมทำธุรกิจกับมาริลิน มอนโร ใน Abraham Lincoln: Vampire Hunter คูเปอร์รับบทเฮนรี สเตอร์เจส อาจารย์ผู้สอนศาสตร์การล่าแวมไพร์ให้กับลินคอล์น ผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้ของผู้กำกับทิเมอร์ เบคแมมเบทอฟ ที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของเซธ เกรแฮม-สมิธ ยังนำแสดงโดยเบนจามิน วอล์คเกอร์, แอนโธนี แม็คกี้และรูฟัส ซีเวล
คูเปอร์ร่วมแสดงในเรื่องราวเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เรื่อง An Education ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลออสการ์ นอกจากนั้น เขายังได้แสดงในภาพยนตร์โดยโจ จอห์นสตันเรื่อง Captain America: The First Avenger ซึ่งนำแสดงโดยคริส อีวานส์, ทอมมี ลี โจนส์และเฮย์เลย์ แอทเวล, ภาพยนตร์โดยสตีเฟน เฟรียส์เรื่อง Tamara Drewe ที่นำนิยายศตวรรษที่ 19 ของโธมัส ฮาร์ดี้มาปรับโฉมใหม่ ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยเจ็มมา อาร์เทอร์ตัน, ภาพยนตร์โดยรูเพิร์ต ไวแอทเรื่อง The Escapist ซึ่งนำแสดงโดยไบรอัน ค็อกซ์และโจเซฟ ไฟน์, ภาพยนตร์โดยจอห์น คราซินสกี้เรื่อง Brief Interviews With Hideous Men และภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยทอม แฮงค์เรื่อง Starter for 10 ที่ร่วมแสดงโดยเจมส์ แม็คอะวอยและรีเบ็กก้า ฮอล
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของคูเปอร์รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Mamma Mia!, The Duchess, I’ll Be There และ From Hell และภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง Boudica และ The Gentleman Thief ล่าสุด เขาได้แสดงในมินิซีรีส์เรื่อง Fleming: The Man Who Would Be Bond ซึ่งเขารับบทเอียน เฟลมิงสำหรับสกาย แอตแลนติกและบีบีซี อเมริกา
คูเปอร์ได้รับการฝึกฝนด้านการแสดงที่ลอนดอน อคาเดมี ออฟ มิวสิค แอนด์ ดรามาติก อาร์ต (แลมดา) หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาก็ได้แสดงใน Mother Clap’s Molly House ที่เนชันแนล เธียเตอร์ ภายใต้การกำกับของนิโคลัส ไฮท์เนอร์ หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงละครเรื่อง A Midsummer Night’s Dream ของคณะรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนี ก่อนที่จะร่วมงานกับไฮท์เนอร์ที่เนชันแนล เธียเตอร์ในละครเรื่อง His Dark Materials และละครโดยอลัน เบนเน็ตต์เรื่อง The History Boys ซึ่งได้รับสามรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ด รวมถึงในสาขาละครใหม่ยอดเยี่ยม
หลังจากนั้น The History Boys ก็ได้เปิดการแสดงบนเวทีบรอดเวย์ และได้รับหกรางวัลโทนี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาละครเวทียอดเยี่ยม คูเปอร์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดรามา เดสก์ และอีฟนิง สแตนดาร์ด จากการแสดงยอดเยี่ยมของเขาในบทดาคิน ชายหนุ่มผู้มั่นใจและมีเสน่ห์เย้ายวน เขาได้แสดงในภาพยนตร์ดังที่ดัดแปลงจากละครเวทีเรื่องนั้น ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลภาพยนตร์อินดีอังกฤษสาขานักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยมและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอนสาขานักแสดงสมทบชาวอังกฤษยอดเยี่ยม
ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ละครโดยฌอน ราซินเรื่อง Phèdre โปรดักชันของเนชันแนล เธียเตอร์ ที่ได้เฮเลน เมอร์เรนมารับบทนำ ละครโปรดักชันนี้ ที่กำกับโดยไฮท์เนอร์ ได้ถูกนำไปจัดแสดงที่อีพิเดารัสในกรีซและเชคสเปียร์ เธียเตอร์ คัมปะนีในวอชิงตัน, ดี.ซี.
ซาราห์ กาดอน (Sarah Gadon) รับบท มิเรนา
ซาราห์ กาดอน นักแสดงหญิงชาวแคนาเดี้ยน เจ้าของรางวัลสกรีน อวอร์ด เกิดในเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา
ความรักของเธอที่มีต่อภาพยนตร์ทำให้เธอตัดสินใจเลือกศึกษาต่อด้านภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต เธอได้รับบทแจ้งเกิดเมื่อผู้กำกับเดวิด โครเนนเบิร์กเลือกเธอมารับบท เอ็มมา จุง ในภาพยนตร์เรื่อง A Dangerous Method ประกบไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสในปี 2011
กาดอนได้ร่วมแสดงในผลงานภาพยนตร์เรื่องถัดไปของโครเนนเบิร์ก ซึ่งดัดแปลงจาก “Cosmopolis” โดยดอนเดอลิลโล ประกบโรเบิร์ต แพททินสัน และภาพยนตร์โดยแบรนดอน โครเนนเบิร์กเรื่อง Antiviral ซึ่งทั้งสองเรื่องเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปี 2012 นับตั้งแต่นั้นมา เธอก็ได้ร่วมทำงานกับผู้กำกับเดวิด โครเนนเบิร์ก ด้วยการได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Maps to the Stars ซึ่งเปิดตัวสายประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
เมื่อเร็วๆ นี้เธอได้แสดงจอเงินในภาพยนตร์โดยอัมมา อาแซนเต้เรื่อง Belle และภาพยนตร์โดยเดนิส วิลเลนิวเรื่องEnemy ประกบเจค จิลเลนฮัล
ล่าสุด กาดอนเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์โดยมิกะ เคาริสมากิเรื่อง The Girl King และภาพยนตร์โดยจูเลียน จาร์โรลด์เรื่อง Girls’ Night Out
ชาร์ลส์ แดนซ์ (Charles Dance) รับบทมาสเตอร์ แวมไพร์
ตลอดช่วงเวลาเกือบ 40 ปีในฐานะนักแสดง ชาร์ลส์ แดนซ์ มีผลงานน่าประทับใจมากมายในสื่อทุกรูปแบบ ตั้งแต่การแสดงนำกับรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนี ซึ่งรวมถึงละครเรื่อง Henry V และ Coriolanus และผลงานในโรงละครพาณิชย์ในลอนดอน ซึ่งรวมถึงละครเรื่อง Good, Long Day’s Journey into Night ที่เขาได้แสดงประกบเจสสิก้า เลนจ์ และ Shadowlands ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ลอนดอนสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ไปจนถึงบทบาทที่ทำให้เขาได้รับรางวัลจากจอแก้ว ซึ่งรวมถึง The Jewel in the Crown ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, Rebecca, The Life and Adventures of Nicholas Nickleby, Fingersmith, Bleak House ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ด และได้รับรางวัลสมาพันธ์สื่อบรอดคาสติ้ง สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, Consenting Adults เกี่ยวกับรายงานวูลเฟนเดนที่น่าทึ่งในปี 1957 ซึ่งส่งผลให้คนเลิกมองโฮโมเซ็กส์ชวลเป็นอาชญากรรม และ Dickens’ Secret Lover สารคดีเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวที่ยุ่งเหยิงของชาร์ลส์ ดิคเคนส์
ผลงานภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ของแดนซ์รวมถึง Plenty, White Mischief, Good Morning Babylon, The Golden Child, Alien3, Last Action Hero, Hilary and Jackie, Michael Collins, Starter for 10, ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต อัลท์แมนเรื่อง Gosford Park, Kabloonak ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์ปารีสในปี 1996, ภาพยนตร์โดยอังตวน เดอ คอเนส เรื่อง The Perfect Disagreement และ The Contractor ที่แสดงกับเวสลีย์ สไนป์
เขาเปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกด้วย Ladies in Lavender ซึ่งนำแสดงโดยจูดี้ เดนช์และแม็กกี้ สมิธ และเขียนบทโดยเขาเอง เขาได้แสดงในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Trinity และ Merlin รวมถึงซีรีส์ใหม่ที่ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง “Going Postal” โดยเทอร์รี แพรทเช็ท เขาได้ถ่ายทำเรื่อง This September โดยไจลส์ ฟอสเตอร์ ประกบไอลีน แอทคินส์ ในซัมเมอร์ปี 2010 และได้ถ่ายทำซีซันที่สองในปี 2011 นอกจากนี้ ในปี 2011 เขายังได้ถ่ายทำ Neverland ภาพยนตร์สองตอนที่ดัดแปลงจากเรื่องราวของปีเตอร์ แพน สำหรับสกาย ภายใต้การกำกับของนิค วิลลิงและนำแสดงโดยริส ไอฟานส์, แอนนา ฟรีเอลและบ็อบ ฮอสกินส์ ปัจจุบัน เขาได้รับบท ไทวิน แลนนิสเตอร์ ในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Game of Thrones
ผลงานภาพยนตร์เมื่อเร็วๆ นี้ของแดนซ์รวมถึงภาพยนตร์โดยโรแลนด์ จอฟฟ์เรื่อง There Be Dragons, ภาพยนตร์โดยเดวิด กอร์ดอน กรีนเรื่อง Your Highness ซึ่งนำแสดงโดยเจมส์ ฟรังโก้และนาตาลี พอร์ตแมน, ภาพยนตร์โดยโจนาธาน อิงลิชเรื่อง Ironclad ประกอบดีเร็ค จาโคบี้และไบรอัน ค็อกซ์, ภาพยนตร์โดยดีพา เมห์ตาเรื่อง Winds of Change, ภาพยนตร์ที่ดัดแปลจากนิยายโดยซัลแมน รัชดี้เรื่อง “Midnight’s Children” และ Underworld: Awakening
แดนซ์เริ่มต้นปี 2014 ด้วยการถ่ายทำ Despite the Falling Snow ที่ร่วมแสดงโดยรีเบ็กก้า เฟอร์กูสันและแอนโธนี เฮดในเมืองเบลเกรด ประเทศเซอร์เบียและภาพยนตร์โดยพอล แม็คกีแกนเรื่อง Frankenstein ที่ร่วมแสดงโดยเจมส์ แม็คอะวอยและแดเนียล แรดคลิฟฟ์ เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำ The Great Fire ดรามาสี่ตอนสำหรับไอทีวี ซึ่งเขาแสดงประกบแจ็ค ฮูสตัน, แอนดรูว์ บูชานและโรส เลสลีย์
ประวัติทีมผู้สร้าง
แกรี ชอร์ (Gary Shore)—กำกับโดย
แกรี ชอร์ เป็นผู้กำกับที่มาจากอาร์เทน ทางตอนเหนือของดับลิน หลังจากที่ศึกษาด้านภาพยนตร์จากสถาบันเทคโนโลยีกัลเวย์-มาโย และสถาบันศิลปะ การออกแบบและเทคโนโลยี ดูน เลาแกร์ และด้านศิลปกรรมศาสตร์ที่เซ็นทรัล เซนต์ มาร์ตินส์ในกรุงลอนดอน เขาก็ได้เริ่มต้นก้าวสู่การเป็นผู้กำกับโฆษณาระดับสูงให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมากมายก่อนที่จะก้าวไปสู่การทำงานภาพยนตร์
ชอร์ได้รับความสนใจจากฮอลลีวูดเป็นครั้งแรกในปี 2009 จาก The Cup of Tears เทรลเลอร์ภาพยนตร์ปลอมที่เขากำกับ ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงในการทำงานกับเวิร์คกิ้ง ไทเทิล ฟิล์มส์ และข้อตกลงสร้างภาพยนตร์สามเรื่องกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส Dracula Untold เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของชอร์
แมทท์ ซาซามา และเบิร์ค ชาร์ปเลส (Matt Sazama & Burk Sharpless)—บทภาพยนตร์โดย
แมทท์ ซาซามา และเบิร์ค ชาร์ปเลส ได้เขียนบท Dracula Untold เป็นบทร่างดั้งเดิม ที่ติดอันดับ “แบล็ค ลิสต์” ของบทภาพยนตร์ที่ดีที่สุดที่ยังไม่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2006 ของแฟรงค์ลิน เลียวนาร์ด ซาซามาและชาร์ปเลสตื่นเต้นที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อยู่กับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส อันเป็นการสานต่อธรรมเนียมที่ยิ่งใหญ่ของสตูดิโอในการสร้างภาพยนตร์สัตว์ประหลาดที่เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา
บทภาพยนตร์ดั้งเดิมโดยซาซามา และชาร์ปเลส สำหรับอีพิคตำนานเทพเรื่อง Gods of Egypt ซึ่งขายให้กับบาซิลไอแวนนิคจากไลออนส์เกท กำลังอยู่ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชัน ภายใต้การกำกับของอเล็กซ์ โปรยาส (I, Robot, Dark City, The Crow) ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่นำแสดงโดยนิโคลัส คอสเตอร์-วัลเดาและเจอราร์ด บัตเลอร์ มีกำหนดเข้าฉายในปี 2016
ปัจจุบัน ทั้งคู่กำลังเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง The Last Witch Hunter ที่นำแสดงโดยวิน ดีเซล และมีการวางตัวเบร็ค ไอส์เนอร์ (Sahara, The Crazies) เป็นผู้กำกับ
ซาซามาและชาร์ปเลส ผู้เกิดและเติบโตในวิสคอนซินทั้งคู่ มีความรักต่อกรีน เบย์ แพ็คเกอร์ส อย่างไม่สั่นคลอน
ไมเคิล เดอ ลูก้า, พี.จี.เอ. (Michael De Luca, p.g.a.)—อำนวยการสร้างโดย
ไมเคิล เดอ ลูก้า, พี.จี.เอ. เคยดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายโปรดักชันของโคลัมเบีย พิคเจอร์สในเดือนธันวาคม ปี 2013 ระหว่างนั้น เขาได้ร่วมมือกับฮันนาห์ มิงเกลลาและได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับดั๊ก เบลเกรด ประธานธโคลัมเบีย พิคเจอร์ส ในการดูแลทุกแง่มุมของงานพัฒนาและงานสร้างภายใต้ค่ายดังกล่าว
ระหว่างปี 2004 – 2013 เดอ ลูก้าได้บริหารงานบริษัทโปรดักชันของตัวเองในชื่อ ไมเคิล เดอ ลูก้า โปรดักชันส์ ซึ่งมีข้อตกลงด้านการพัฒนาและงานสร้างร่วมกับโคลัมเบีย พิคเจอร์ส ในฐานะผู้อำนวยการสร้างอิสระ เดอ ลูก้าได้โฟกัสไปที่การพัฒนาภาพยนตร์พิเศษที่สร้างโดยผู้กำกับวิสัยทัศน์กว้างไกล รวมถึงภาพยนตร์เมนสตรีมป็อปคัลเจอร์ส ที่มีศักยภาพในการสร้างเป็นแฟรนไชส์ได้ โปรเจ็กต์ที่เขาสร้างให้กับโคลัมเบียรวมถึงดรามารางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยเดวิด ฟินเชอร์เรื่อง The Social Network, ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง Moneyball ซึ่งนำแสดงโดยแบรด พิตต์และภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมโดยพอล กรีนกราสเรื่อง Captain Phillips ที่นำแสดงโดยทอม แฮงค์ เดอ ลูก้าจะรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายดังเรื่อง “Fifty Shades of Grey” ที่นำแสดงโดยเจมี ดอร์แนนและดาโกต้า จอห์นสัน และจะเข้าฉายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี 2015
ก่อนหน้าที่เขาจะก่อตั้งไมเคิล เดอ ลูก้า โปรดักชันส์ เขาได้รับหน้าที่หัวหน้าฝ่ายโปรดักชันที่ดรีมเวิร์คส์ ที่ซึ่งเขาได้ดูแลการปฏิบัติงานของแผนกไลฟ์แอ็กชันและงานสร้างภาพยนตร์มากมายเช่นภาพยนตร์โดยท็อดด์ ฟิลลิปส์เรื่อง Old School และคอเมดียอดนิยมโดยอดัม แม็คเคย์และวิล เฟอร์เรลเรื่อง Anchorman: The Legend of Ron Burgundy
ก่อนหน้านี้ เขาได้ใช้เวลาเจ็ดปีในตำแหน่งประธานและซีโอโอของนิวไลน์ โปรดักชันส์ ที่ซึ่งเขาได้สร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จหลายเรื่องเช่น Friday, Blade, Austin Powers และ Rush Hour เขาได้สนับสนุนภาพยนตร์ฮิตม้ามืดอย่าง Se7en, Wag the Dog, Pleasantville และ Boogie Nights และได้แจ้งเกิดอาชีพผู้กำกับให้กับเจย์ โร้ค, เบรท แรทเนอร์, แกรี รอส, อลันและอัลเบิร์ต ฮิวจ์, เอฟ. แกรี เกรย์, พี่น้องฟาร์เรลลีและพอล โธมัส แอนเดอร์สัน
อาลิสซา ฟิลลิปส์ (Alissa Phillips)–ผู้ควบคุมงานสร้าง
อาลิสซา ฟิลลิปส์ ทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างจอแก้วและจอเงินกับไมเคิล เดอ ลูก้า โปรดักชันส์มาตั้งแต่ปี 2004 ผลงานการอำนวยการสร้างของฟิลลิปส์กับเดอ ลูก้า รวมถึงภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง Moneyball, ภาพยนตร์เสียดสีการเมืองเรื่อง Butter และซีรีส์ดังทางทีเอ็นทีเรื่อง Mob City ที่เขียนบทและกำกับโดยแฟรงค์ ดาราบอนท์ (The Walking Dead, The Shawshank Redemption)
ปัจจุบัน ฟิลลิปส์กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำมินิซีรีส์อีเวนต์หกชั่วโมง ที่สร้างจากนิยายโดยเซอร์อาร์เธอร์ ซี. คลาร์คเรื่อง “Childhood’s End” ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานที่ไมเคิล เดอ ลูก้า โปรดักชันส์ เธอทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างกับกิล เน็ตเตอร์และโบ ฟลิน์ ผลงานการอำนวยการสร้างจอเงินและจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเธอรวมถึง Tucker & Dale vs. Evil, After the Sunset และ Fear ซีรีส์แปลกใหม่ของเอ็มทีวี เธอแต่งงานกับมือเขียนบท เฟิร์นลีย์ ฟิลลิปส์ (The Number 23) และมีลูกสาวที่น่ารักสามคน
โจ คารัชชิโอโล จูเนียร์ (Joe Caracciolo, JR.)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
โจ คารัชชิโอโล จูเนียร์ ได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ยอดนิยมในบ็อกซ์ออฟฟิศหลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์โดยเจมส์ แมนโกลด์เรื่อง The Wolverine, ภาพยนตร์โดยเดวิด แฟรงค์เคลเรื่อง The Devil Wears Prada และ Marley & Me, ภาพยนตร์โดยชอว์น เลวีเรื่อง Date Night และภาพยนตร์โดยทอม วอแฮนเรื่อง What Happens in Vegas
ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาในฐานะผู้อำนวยการสร้างรวมถึง Just My Luck, John Polson’s Hide and Seek, Cecil B. Demented โดยจอห์น วอเตอร์สและภาพยนตร์โดยจอน เอมีลเรื่อง The Man Who Knew Too Little และ Copycat เขาได้ทำงานในแผนกต่างๆ มากมายก่อนที่จะจับงานอำนวยการสร้าง ซึ่งรวมถึงานในตำแหน่งผู้จัดหาอุปกรณ์ประกอบฉากให้กับภาพยนตร์โดยอีวาน ไรท์แมนเรื่อง Ghostbusters ตำแหน่งผู้จัดการงานสร้างสำหรับภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยซิดนีย์ ลูเม็ตเรื่อง Running on Empty และตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับที่สองในภาพยนตร์โดยอาร์เธอร์ ฮิลเลอร์เรื่อง See No Evil, Hear No Evil
โธมัส ทัลล์ (Thomas Tull)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
โธมัส ทัลล์ ผู้อำนวยการและซีอีโอบริษัทลีเจนดารี พิคเจอร์ส ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในการร่วมสร้างและร่วมสนับสนุนเงินทุนให้กับภาพยนตร์ดัง นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 2004 ลีเจนดารี พิคเจอร์ส ซึ่งเป็นแผนกภาพยนตร์ของลีเจนดารี เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทสื่อชั้นนำ ที่มีแผนกจอแก้ว และดิจิตอลและการ์ตูนด้วย ก็ได้ร่วมมือกับวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส ในการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง
ผลงานภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่องล่าสุดภายใต้การร่วมมือกันดังกล่าวรวมถึงภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกโดยแซ็ค สไนเดอร์เรื่อง Man of Steel และภาพยนตร์ไตรภาคบล็อกบัสเตอร์โดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง Dark Knight ซึ่งเริ่มต้นด้วย Batman Begins ตามด้วยภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง The Dark Knight และ The Dark Knight Rises ทั้งสามภาคทำรายได้รวมกันกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก
นอกจากนี้ การร่วมงานกันที่ประสบความสำเร็จของพวกเขายังนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์ดังหลายเรื่องเช่นภาพยนตร์โดยสไนเดอร์เรื่อง 300 และ Watchmen รวมถึง 300: Rise of an Empire ซึ่งสไนเดอร์อำนวยการสร้าง, ภาพยนตร์โดยเบน แอฟเฟล็คเรื่อง The Town, แอ็กชันดรามารางวัลโดยโนแลนเรื่อง Inception, ภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกเรื่อง Clash of the Titans และซีเควลเรื่อง Wrath of the Titans และภาพยนตร์โดยท็อด์ ฟิลลิปส์เรื่อง The Hangover, The Hangover Part II ซึ่งเป็นภาพยนตร์คอเมดีเรท R ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลและ The Hangover Part III
เมื่อเร็วๆ นี้ ลีเจนดารีเพิ่งปล่อย As Above/So Below, Godzilla, ภาพยนตร์โดยกุยเลอร์โม เดล โทโรเรื่อง Pacific Rim รวมถึงดรามายอดนิยมโดยไบรอัน เฮลเกลแลนด์เรื่อง 42 เรื่องราวเกี่ยวกับแจ็คกี้ โรบินสัน ตำนานแห่งโลกเบสบอล ลีเจนดารีกำลังอยู่ระหว่างการทำงานขั้นตอนโพสต์โปรดักชันในภาพยนตร์เรื่อง Warcraft ที่สร้างจากเกมที่ได้รางวัลของบลิซซาร์ด เอนเตอร์เทนเมนต์
ทัลล์เป็นหนึ่งในคณะกรรมการอำนวยการแฮมิลตัน คอลเลจ สถาบันเก่าของเขาและมหาวิทยาลัยคาร์เนจี้ เมลลอน นอกจากนี้ เขายังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฮอล ออฟ เฟมของเบสบอลแห่งชาติและพิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์ซานดิเอโก และเป็นหนึ่งในกลุ่มเจ้าของพิตส์เบิร์ก สตีลเลอร์ส แชมเปียนซูเปอร์ โบว์ลหกสมัย ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของทีมด้วย ทัลล์ลงทุนในธุรกิจดิจิตัล สื่อและไลฟ์สไตล์ผ่านทางทัลล์ มีเดีย เวนเจอร์ส บริษัทลงทุนเอกชนของเขา
จอน จาชนี (Jon Jashni)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
จอน จาชนี ได้ดูแลงานพัฒนาและงานสร้างโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ทุกเรื่องของลีเจนดารี พิคเจอร์ส และดำรงตำแหน่งประธานซีซีโอของลีเจนดารี เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทสื่อชั้นนำที่มีแผนกภาพยนตร์ โทรทัศน์และดิจิตอลและการ์ตูน ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้าง Warcraft ที่สร้างจากเกมที่ได้รับรางวัลของบลิซซาร์ด เอนเตอร์เทนเมนต์ นอกจากนี้ เขายังได้ดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Seventh Son อีกด้วย
ก่อนหน้านี้ จาชนีได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สและลีเจนดารี พิคเจอร์สเรื่อง Pacific Rim และ As Above/So Below และเขายังได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องของลีเจนดารี เช่น 300: Rise of an Empire, ภาพยนตร์ชีวประวัติของแจ็คกี้ โรบินสันเรื่อง 42, ภาพยนตร์ยอดนิยมทั่วโลก Clash of the Titans และภาพยนตร์โดยเบน แอฟเฟล็คเรื่อง The Town ที่แอฟเฟล็คได้ร่วมเขียนบทและแสดง
ก่อนหน้าลีเจนดารี จาชนีดำรงตำแหน่งประธานไฮด์ ปาร์ค เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทสร้างและให้เงินทุน ที่มีการทำข้อตกลงกับทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์, วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สและเอ็มจีเอ็ม ที่ไฮด์ ปาร์ค เขาได้ดูแลงานพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Shopgirl, Dreamer: Inspired by a True Story, Walking Tall และ Premonition
ก่อนหน้าจะทำงานกับไฮด์ ปาร์ค เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดียอดนิยมโดยผู้กำกับแอนดี้ เทนเนนท์เรื่อง Sweet Home Alabama การร่วมงานระหว่างเขากับเทนเนนท์เริ่มต้นด้วยเทพนิยาย Ever After: A Cinderella Story ซึ่งเขาดูแลงานพัฒนาและงานสร้างในฐานะผู้บริหารงานสร้างอาวุโสที่ทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์
นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดสองเรื่องได้แก่ ดรามาดังเรื่อง The Hurricane ที่ทำให้นักแสดงนำของเรื่อง เดนเซล วอชิงตัน ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และ Anna and the King (ที่นำมิวสิคัลเรื่อง Anna and the King of Siam มาตีความใหม่ในแบบที่ไม่ใช่มิวสิคัล) ที่นำแสดงโดยโจดี้ ฟอสเตอร์และได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์
เขายังเป็นหนึ่งในสมาชิกสถาบันภาพยนตร์อเมริกันและสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกาอีกด้วย เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนียและปริญญาโทจากยูซีแอลเอ แอนเดอร์สัน สคูล ออฟ เมเนจเมนต์
จอห์น ชวอร์ทซ์แมน, เอเอสซี (John Schwartzman, ASC)—ผู้กำกับภาพ
จอห์น ชวอร์ทซ์แมน, เอเอสซี เป็นผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัล ผู้ซึ่งผลงานของเขาครอบคลุมภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์แอ็กชันและคอเมดีฟอร์มยักษ์ที่สุดหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์โดยมาร์ค เว็บบ์เรื่อง The Amazing Spider-Man, ภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง Armageddon, ภาพยนตร์โดยเจย์ โร้คเรื่อง Meet the Fockers และล่าสุด ภาพยนตร์โดยจอห์น ลี แฮนค็อกเรื่อง Saving Mr Banks เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Jurassic World ที่กำกับโดยโคลิน เทรวอร์โรว์
ชวอร์ทซ์แมนได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอเอสซีเอ อวอร์ดสาขากำกับภาพยอดเยี่ยมในงานภาพยนตร์สองครั้ง และเขาก็คว้ารางวัลมาได้ในปี 2004 จากผลงานของเขาในภาพยนตร์โดยแกรี รอสเรื่อง Seabiscuit ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดด้วยเช่นกัน ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยเบย์เรื่อง Pearl Harbor, ภาพยนตร์โดยมิเชล กอนดรี้เรื่อง The Green Hornet, ภาพยนตร์โดยร็อบ ไรเนอร์เรื่อง The Bucket List, ภาพยนตร์โดยจอห์น ลี แฮนค็อกเรื่อง The Rookie และภาพยนตร์โดยชอว์น เลวีเรื่อง Night at the Museum: Battle of the Smithsonian
นอกเหนือจากผลงานของเขาในจอเงินแล้ว เขายังเป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในวงการโฆษณาด้ว งานโฆษณาของเขา ทั้งในฐานะผู้กำกับและผู้กำกับภาพ รวมถึงสปอตสำหรับแบรนด์ระดับชาติและระดับโลกต่างๆ เช่นเอชบีโอ, เชฟโรเล็ต, วีซา, โตโยต้า, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส, เมอร์ซีเดส เบนซ์, เอที แอนด์ ที, ฮอนด้า, วิคตอเรียส์ ซีเคร็ท, โคคา-โคลา, แคนอน, รีบ็อกและไนกี้
ฟรังซัวส์ โอดี้ (Francois Audouy)—ผู้ออกแบบงานสร้าง
ฟรังซัวส์ โอดี้ ได้เรียนรู้ศาสตร์ของการกำกับศิลป์จากการฝึกงานและการฝึกฝนโดยผู้ออกแบบงานสร้างชื่อดังอย่างโบ เวลช์ (Men in Black) และอเล็กซ์ แม็คดูเวล (Minority Report) โอดี้ ผู้ควบหน้าที่นักวาดภาพคอนเซ็ปต์และนักออกแบบกราฟิก ได้ขยับไปทำงานกำกับศิลป์ในภาพยนตร์แฟนตาซีฟอร์มยักษ์อย่างภาพยนตร์โดยมาร์ติน แคมป์เบลเรื่อง Green Lantern, ภาพยนตร์โดยแซ็ค สไนเดอร์เรื่อง Watchmen, ภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง Transformers และภาพยนตร์โดยทิม เบอร์ตันเรื่อง Charlie and the Chocolate Factory ล่าสุด เขาได้ออกแบบงานสร้างให้กับภาพยนตร์โดยเจมส์ แมนโกลด์เรื่อง The Wolverine และภาพยนตร์โดย ทิเมอร์ เบคแมมเบทอฟเรื่อง Abraham Lincoln: Vampire Hunter หลังจากนี้ เขากำลังจะออกแบบงานสร้างให้กับภาพยนตร์ใหม่ของแมนโกลด์เรื่อง The Deep Blue Good-by.
ริชาร์ด เพียร์สัน, เอซีอี (Richard Pearson, ACE)—มือลำดับภาพ
ริชาร์ด เพียร์สัน เป็นมือลำดับภาพเจ้าของรางวัล ผู้ซึ่งผลงานของเขารวมถึงภาพยนตร์แอ็กชันบล็อกบัสเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์โดยจอน แฟฟโรเรื่อง Iron Man 2, ภาพยนตร์โดยมาร์ค ฟอร์สเตอร์เรื่อง Quantum of Solace และภาพยนตร์โดยพอล กรีนกราสเรื่อง The Bourne Supremacy ในปี 2006 เขาได้ร่วมมือกับกรีนกราสอีกครั้งสำหรับภาพยนตร์ดังเรื่อง United 93 ซึ่งเป็นการร่วมมือที่ทำให้เขาและเพื่อนมือลำดับภาพ แคลร์ ดักลาสและคริสโฟเฟอร์ เราส์ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด และได้รับรางวัลบาฟต้า อวอร์ดสาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม ผลงานอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยแบร์รี ซอนเนนเฟลด์เรื่อง Men in Black II, ภาพยนตร์โดยจอช กอร์ดอนและวิล สเป็คเรื่อง Blades of Glory, ภาพยนตร์โดยแฟรงค์ ออซเรื่อง Bowfinger และภาพยนตร์โดยแดเนียล เอสพิโนซาเรื่อง Safe House ล่าสุด เขาทำหน้าที่มือลำดับภาพในภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต สตรอมเบิร์กเรื่อง Maleficent ที่นำแสดงโดยแองเจลินา โจลี
นกิลลา ดิคสัน (Ngila Dickson)—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
นกิลลา ดิคสัน ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในปี 2004 จากผลงานของเธอในภาพยนตร์โดยปีเตอร์ แจ็คสันเรื่อง The Lord of the Rings: The Return of the King ในปีนั้น เธอได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัล ซึ่งอีกหนึ่งรางวัลนั้นเธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลจากการออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์โดยเอ็ดเวิร์ด ซวิคเรื่อง The Last Samrai
ก่อนหน้านี้ เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และบาฟต้าเป็นครั้งแรกในสาขาการออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมจาก The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้รับรางวัลบาฟต้าจากผลงานของเธอในภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings: The Two Towers อีกด้วย เธอได้รับรางวัลสมาพันธ์ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า อวอร์ดเป็นครั้งที่สามจาก The Lord of the Rings: The Return of the King
ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon: The Green Destiny สำหรับไวน์สตีน คัมปะนี
เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์โดยแอนดรูว์ อดัมสันเรื่อง Mr.Pip ซึ่งนำแสดงโดยฮิวจ์ ลอรี ซึ่งทำให้ดิคสันได้รับรางวัลภาพยนตร์นิวซีแลนด์สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมและภาพยนตร์โดยปีเตอร์ เว็บเบอร์เรื่อง Emperor
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ Green Lantern ซึ่งนำแสดงโดยไรอัน เรย์โนลด์ส, เบลค ไลฟ์ลี, ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด, มาร์ค สตรองและทิม ร็อบบินส์, The International ซึ่งนำแสดงโดยนาโอมิ วัตส์และไคลฟ์ โอเวน, Blood Diamond ที่นำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, ดิมอน ฮันซูและเจนนิเฟอร์ คอนเนลลีและ The Illusionist ซึ่งนำแสดงโดยเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, พอล จิอาแมตติและเจสสิกา บีล และทำให้ดิคสันได้รับการเสนอชื่อชิงอีกหนึ่งรางวัลสมาพันธ์ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
ดิคสันมาจากนิวซีแลนด์ เธอได้ร่วมงานกับแจ็คสันเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Heavenly Creatures ผลงานช่วงเริ่มแรกของเธอรวมถึงภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ปี 1989 เรื่อง The Rainbow Warrior Conspiracy, Crush โดยอลิสัน แม็คคลีนและ Ruby and Rata โดยเกย์ลีน เพรสตัน นอกจากนี้ เธอยังได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอย่าง Xena: Warrior Princess ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลนิวซีแลนด์ ทีวี อวอร์ดสาขาออกแบบยอดเยี่ยมอีกด้วย
ก่อนหน้าที่จะเข้าสู่แวดวงภาพยนตร์ เธอทำงานเป็นบรรณาธิการนิตยสาร สไตลิสต์และแฟชัน ดีไซเนอร์
ดิคสันได้รับการติดยศออฟฟิซเซอร์ ออฟ เดอะ นิวซีแลนด์ ออร์เดอร์ ออฟ เมริต สำหรับคุณูปการที่เธอมีต่อแวดวงกาออกแบบและภาพยนตร์ และเป็นผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณจากมูลนิธิศิลปะแห่งนิวซีแลนด์
รามิน ดจาว์ดี้ (Ramin Djawdi)—ดนตรีโดย
รามิน ดจาว์ดี้ ได้รับการยกย่องจากดนตรีเพลงธีมที่ไพเราะและน่าจดจำ ด้วยการเรียบเรียงที่มีสไตล์หลากหลาย ตั้งแต่ออร์เคสตราคลาสสิกไปจนถึงแนวอิเล็คทรอนิคและโมเดิร์น ดจาว์ดี้ได้ผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ อย่างประณีต เพื่อให้สอดคล้องกับอารมณ์และการเล่าเรื่องราวในแต่ละฉาก ผู้ประพันธ์เพลงเจ้าของสองรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมี อวอร์ดผู้นี้ ท้าทายตัวเองด้วยโปรเจ็กต์ใหม่ๆ เสมอ โดยเขาเลือกโอกาสที่จะทำให้เขาล้วงลึกเข้าไปในความสามารถด้านดนตรีของเขามากยิ่งขึ้น
ดจาว์ดี้ เป็นผู้ประพันธ์เพลงผู้อยู่เบื้องหลังซีรีส์ดังทางเอชบีโอเรื่อง Game of Thrones ที่สร้างโดยดี.บี. ไวส์และเดวิด เบนิออฟ นอกเหนือจากการแต่งดนตรีประกอบเพลงธีมของซีรีส์นี้แล้ว เขายังได้แต่งดนตรีบรรเลงทั้งหมดตลอดสี่ซีซัน โดยเขารักษาสมดุลระหว่างฉากแอ็กชันตระการตาของเรื่องและฉากที่เงียบสงบกว่าได้เป็นอย่างดี ซีซันที่ห้าของ Game of Thrones มีกำหนดจะแพร่ภาพในฤดูใบไม้ผลิปี 2015
ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ดจาว์ดี้กลับมาทำงานอีกครั้งในซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง Person of Interest โดยเขาได้แต่งดนตรีประกอบซีซันที่สี่ของซีรีส์ยอดนิยมโดยโจนาธาน โนแลนเรื่องนี้ ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการร่วมมือกับกุยเลอร์โม เดล โทโรในภาพยนตร์เรื่อง The Strain หลังจากที่เคยร่วมงานกับเขามาแล้วใน Pacific Rim
ก่อนหน้านี้ เขาได้แต่งดนตรีประกอบซีรีส์โดยเอแอนด์อี เน็ตเวิร์คเรื่อง Breakout Kings รวมถึงซีรีส์เอบีซีเรื่อง FlashForward และซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง Prison Break ผลงานของเขาใน FlashForward ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดสาขาการเรียบเรียงดนตรียอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดครั้งแรกในสาขาเพลงธีมไตเติลหลักดั้งเดิมยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์ Prison Break
เขาเป็นที่รู้จักดีจากดนตรีเน้นกีตาร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงแกรมมีของเขาสำหรับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Iron Man นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์มากมาย เช่น Safe House, Fright Night, Red Dawn และ Clash of the Titans ก่อนหน้านี้ เขาได้แต่งดนตรีประกอบทริลเลอร์เรื่อง Mr. Brooks ที่นำแสดงโดยเควิน คอสท์เนอร์และวิลเลียม เฮิร์ท ดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดิสคัฟเวอรี ออฟ เดอะ เยียร์ ที่เวทีเวิลด์ ซาวน์แทร็ค อวอร์ด
เขาได้ร่วมงานกับมือเขียนบทเดวิด โกเยอร์หลายครั้งในภาพยนตร์และซีรีส์หลายเรื่อง รวมถึง Blade: Trinity สำหรับนิวไลน์ ซีเนมา ซึ่งเขาได้ร่วมงานกับอาร์ซา, ทริลเลอร์สยองขวัญเรื่อง The Unborn ซึ่งอำนวยการสร้างโดยไมเคิล เบย์ รวมถึงซีรีส์ FlashForward ที่พูดถึงไปแล้วก่อนหน้านี้
สำหรับแวดวงภาพยนตร์อนิเมชัน เขาได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง Open Season โปรเจ็กต์แรกของโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชัน ตามด้วยซีเควล Open Season 2 ผลงานของเขาในภาพยนตร์เหล่านี้ดึงดูดความสนใจของทีมผู้สร้างของเอ็นเวฟ พิคเจอร์ส จากเบลเยียม ซึ่งเป็นผู้สร้างภาพยนตร์อนิเมชัน 3D เรื่องแรกๆ ซึ่งรวมถึง Fly Me to the Moon, A Turtle’s Tale: Sammy’s Adventures, A Turtle’s Tale 2: Sammy’s Escape From Paradise และ Thunder and the House of Magic
เขาศึกษาที่เบิร์คลีย์ คอลเลจ ออฟ มิวสิคและหลังจากสำเร็จการศึกษา ก็ได้รับการฝึกสอนจากฮันส์ ซิมเมอร์ ผู้ประพันธ์เพลงเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เขาได้พัฒนาซาวน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและได้แต่งดนตรีเพิ่มเติมให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Time Machine, Basic, The Recruit, Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl, Something’s Gotta Give และ Batman Begins เขาได้ร่วมมือกับซิมเมอร์ในการแต่งและอำนวยการผลิตดนตรีประกอบภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยสำหรับครอบครัวเรื่อง Thunderbirds
—dracula untold—