คนรุ่นใหม่ไม่สนใจประวัติศาสตร์ คนรุ่นใหม่ไม่มีสัมมาคารวะ คนรุ่นใหม่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ คนรุ่นใหม่ไม่เดินตามรอยทางของผู้ใหญ่ คนรุ่นใหม่ไม่รักชาติ ฯลฯ
น่าประหลาดใจ ที่แทบทุกครั้งเมื่อเกิดข้อขัดแย้งเชิงนามธรรมในสังคม แบบเรียนถูกกล่าวหาอยู่เสมอว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา
กว่า 143 ปีแล้ว ที่แบบเรียนไทยถือกำเนิดขึ้น และไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการฝึกอ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ และค่านิยมในแต่ละยุคสมัยลงไปด้วย
ความเชื่อแบบไหนที่ถูกสร้างขึ้น ในฐานะของเครื่องมือสร้างพลเมืองตามอุดมคติของสังคมแต่ละยุคนั้น แบบเรียนประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร ผลของการสร้างแบบเรียนเพื่อตอบโจทย์ฝ่ายการเมืองในอดีตที่ผ่านมา สามารถสร้างผลกระทบในระยะยาวของประเทศได้อย่างไร
คำตอบจากหลายคำถามที่สงสัยกันมาตลอด แสดงอยู่ในนิทรรศการ “ระลึกชาติในแบบเรียน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 โดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย และเป็นนิทรรศการ 3 มิติที่กำลังสร้างความฮือฮาให้กับผู้เข้าชมได้ไม่น้อย
นิทรรศการ “ระลึกชาติในแบบเรียน” ได้เล่าถึงวิวัฒนาการของแบบเรียนไทยในอดีตถึงปัจจุบัน ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ ตลอดจนการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก การสอดแทรกแนวคิดทางการเมืองในแต่ละยุคสมัยเข้าไปในแบบเรียนไทยตั้งแต่พ.ศ. 2411 ถึงปัจจุบัน
ซึ่งรูปแบบนั้นออกแบบอย่างโดดเด่นแตกต่างจากที่เคยทำมา ผ่านตัวอย่างหนังสือในแต่ละยุค โดยแยกเป็น 6 ยุค และในแต่ละยุคกล่าวถึงหนังสือเล่มเด่นที่เป็นตัวแทนแนวคิดของยุคนั้นๆ เช่น แบบเรียนยุคแรก- ตาหวังหลังโก่ง แบบเรียนยุคชาติผู้ดี – พ่อหลีพี่หนูหล่อ แบบเรียนยุคประชาธิปไตย -ป้ากะปู่ กู้อีจู้ฯ เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงปัญหาและร่องรอยของพัฒนาการแบบเรียนไทย
เมื่อลองร้อยเรียงเนื้อหา ก็จะเห็นถึงวิธีการนำเสนอหรือสิ่งที่รัฐต้องการปลูกฝังประชนผ่านแบบเรียน ซึ่งเมื่อลองตีความวิเคราะห์แล้ว ก็สามารถสะท้อนความเป็นไปในปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจ
ถามในมุมของผู้ชมนิทรรศการ นักเขียนรางวัลซีไรต์อย่าง “ปราบดา หยุ่น” มองว่า เมื่อเขามองย้อนกลับไปในช่วงวัยเยาว์ ต่อเรื่องราวในแบบเรียนต่างๆนั้น เขาพบว่ามีลักษณะของการที่รัฐพยายามจำลองประเทศให้เป็นชุมชนเล็กๆ โดยแต่ละตัวละครหรือครอบครัวในเรื่องก็จะแทนอุดมคติที่ชาติต้องการให้ประชาชนเชื่อไปในทางนั้น ถือเป็นส่วนที่ปลูกฝังอุดมการณ์บางอย่างให้สังคม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะคิดเหมือนกัน เพราะในชีวิตแต่ละคนก็มีสื่ออื่นที่สร้างการรับรู้นอกเหนือจากแบบเรียนด้วย
“ในแต่ละยุคสมัยก็มีความแตกต่างกัน อย่างผมเรียนมานีมานะ ก็จะต่างจากยุคก่อนหน้า เป็นการเขียนเรื่องเล่าโดยมีพล็อต ในขณะที่ก่อนหน้า ถึงผมอ่านแล้วไม่เข้าใจว่าพยายามจะพูดอะไร แต่คิดว่ามีวิธีคิดบางอย่างอยู่เบื้องหลังที่น่าสนใจ”
ในมุมของนักเขียนชื่อดังแห่งยุค สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หรือ “นิ้วกลม” ก็เล่าให้ฟังว่าสมัยเรียนนั้น เขาไม่เคยคิดตั้งคำถามกับแบบเรียนเลย เพราะเชื่อว่าเนื้อหาในนั้นคือความจริง มากกว่าที่จะมาทำความเข้าใจ
“จะว่าไปแบบเรียนที่ไม่สะกิดให้นักเรียนได้คิดเองหรือได้ตั้งคำถามนั้นอาจเป็นรากฐานในการสร้างสังคมที่ตกใจกับความหลากหลายทางความคิด และทนไม่ค่อยได้กับความขัดแย้ง เพราะรักในสภาพที่ทุกคนคิดเหมือนกันและอยู่ในระเบียบแบบแผนแบบเดียวกันมากกว่า”
เขามองว่าแบบเรียนในแต่ละยุคสมัยย่อมสะท้อนว่าสังคมในยุคนั้นเป็นแบบไหน แบบเรียนที่พยายามเน้นความภูมิใจในชาติอาจเกิดขึ้นในยุคสมัยที่สถานการณ์ทั้งภายในภายนอกรุมเร้า จนต้องปลูกฝังค่านิยมรักชาติขึ้นมา ในยุคสมัยที่ผู้นำต้องการความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม ก็อาจปลูกฝังค่านิยมให้ท่องจำให้ความสำคัญกับการทำตามมากกว่าการคิดสร้างสรรค์
“แบบเรียนและสังคมนั้นส่งอิทธิพลต่อกันไปมาเสมอ แบบเรียนสร้างสังคมแบบหนึ่งขึ้นมา และสังคมก็สร้างแบบเรียนแบบหนึ่งขึ้นมา ในอนาคตถ้าเราโชคดี ก็อาจมีแบบเรียนที่กระตุ้นให้นักเรียนตั้งคำถามกับแบบเรียน สอนให้เห็นความหลากหลายของความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิต และวัฒนธรรม ขยายขอบเขตความดี ความงาม ความจริงให้กว้างขวาง กระทั่งสร้างแบบเรียนในบางวิชากันเอง หากเป็นแบบนั้นก็แปลว่าสังคมกำลังให้ความสำคัญกับความคิดเสรีของปัจเจกชนมากขึ้น”
เป็นการสร้างปัจจุบันผ่านหนังสือเล่มบางๆ เพื่อสังคมไทยในอนาคต
นิทรรศการระลึกชาติในแบบเรียน จัดแสดงในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 19 จนถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2557 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง