คริส เฮมส์เวิร์ธ นำทีมนักแสดง BLACKHAT ล่าข้ามโลก แฮกเกอร์มหากาฬ ร่วมงานรอบปฐมทัศน์

BH06คริส เฮมส์เวิร์ธ นำทีมนักแสดง อาทิ หวัง ลี่ หง และถังเหว่ย พร้อมด้วยไมเคิล มานน์ ผู้กำกับฝีมือเยี่ยม ร่วมงานรอบปฐมทัศน์ภาพยนตร์ Blackhat ล่าข้ามโลก แฮกเกอร์มหากาฬ ที่ ทีซีแอล ไชนีส เธียเตอร์ สหรัฐอเมริกา

BLACKHAT ล่าข้ามโลก แฮกเกอร์มหากาฬ คือ เรื่องราวของแฮกเกอร์ที่ได้รับพักโทษ และมาร่วมไล่ล่าเครือข่ายอาญชากรไซเบอร์ขั้นเทพ จากชิคาโก มายัง ลอสแองเจลิส, ฮ่องกง และจาการ์ตา ภาพยนตร์จากการกำกับการแสดงโดย ไมเคิล มานน์ นอกจากนี้ ยังได้นักแสดงอย่าง ไวโอลา เดวิส, ถัง เหว่ย และหวัง ลี่หง มาร่วมแสดงด้วย

ภาพยนตร์มีกำหนดฉายในประเทศไทย 15 มกราคม นี้

BH01 BH04 BH05 BH03 BH02

ข้อมูลงานสร้าง

“นี่เป็นโฉมหน้าใหม่ของงสงครามในศตวรรษที่ 21 ไร้ตัวตน ไร้นามและพังพินาศ…

ด้วยศักยภาพในการหยุดชะงักสังคมอุตสาหกรรม…

เราได้ข้ามพ้นเส้นแบ่งแดนไปแล้ว และไม่อาจหันหลังกลับได้”

                                                               –ไมเคิล โจเซฟ กรอส จากนิตยสารวานิตี้ แฟร์

 

ในปี 2012 แมนน์ได้กลับคืนสู่โลกจอเงินอีกครั้งเพื่อร่วมงานกับเลเจนดารี พิคเจอร์ส ในการพัฒนา Blackhat ทริลเลอร์สุดระทึก เรื่องราวของชายคนหนึ่ง แฮ็กเกอร์แบล็คแฮ็ท ผู้พยายามจะหนีจากอดีตของตัวเองเพื่อควบคุมอนาคตของเขา ภายในโลกใหม่ที่ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันด้วยเครือข่ายไซเบอร์ ในฐานะผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้าง แมนน์ได้นำสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาร้อยเรียงภาพยนตร์ที่น่าติดตามเรื่องนี้ ท่ามกลางโลเกชันที่สวยงามแบบเอเชียทั้งในอเมริกาและเอเชีย ด้วยภาพวิชวลที่น่าทึ่งตามสไตล์ของเขา

Blackhat ติดตามเรื่องราวของแฮ็กเกอร์ผู้ถูกจำคุก นิโคลัส แฮธาเวย์ (คริส เฮมส์เวิร์ธจาก The Avengers และแฟรนไชส์ Thor) และได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำกลางเป็นการชั่วคราวและคู่หูเชื้อสายอเมริกันและจีนของเขา เพื่อตามล่าหาเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลกสุดอันตราย จากลอสแองเจลิสสู่ฮ่องกง เปรัค มาเลเซียและจาการ์ตา แต่เมื่อแฮธาเวย์รุกคืบเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น เป้าหมายของเขาก็รู้ถึงการมีอยู่ของแฮธาเวย์และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นเรื่องส่วนตัวสำหรับเขา

เฮมส์เวิร์ธร่วมแสดงโดยนักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด วิโอลา เดวิส (The Help, ซีรีส์ How to Get Away With Murder) ในบท แครอล บาร์เร็ตต์ เจ้าหน้าที่พิเศษ FBI ที่ได้รับมอบหมายให้รวมทีมไล่ล่าอาชญากรไซเบอร์, ทัง เหว่ย (Lust, Caution, Dragon) ในบท เฉิน เหลียน วิศวกรเครือข่ายผู้ตรงไปตรงมา ผู้กลายเป็นคนรักของแฮธาเวย์ และหวังลี่หง (Lust, Caution, Annihilator โดยสแตน ลี) สารวัตรเฉินต้าไว พี่ชายของเหลียน เพื่อนสนิทและอดีตเพื่อนร่วมห้องที่เอ็มไอทีของแฮธาเวย์ ผู้ทำให้เขาได้รับอิสรภาพ

ณ ฮ่องกง โรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ไชวันถูกแฮ็ก มัลแวร์เล็กๆ ที่เป็นโปรแกรมเจาะข้อมูลทางไกล (RAT) ได้เปิดประตูให้มัลแวร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าได้เข้าไปทำลายระบบความเย็นของโรงงาน ก่อให้เกิดรอยรั่วในภาชนะบรรจุ จนเป็นเหตุให้เกิดการหลอมละลาย ไม่มีการข่มขู่หรือการอ้างตัวของกลุ่มการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แรงจูงใจของผู้ร้ายยังคงเป็นปริศนา กลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังปลดปล่อยประชาชน (PLA) ได้มอบหมายให้สารวัตรเฉินต้าไวแห่งหน่วยป้องกันไซเบอร์ ทำการล่าตัวผู้ร้ายที่ก่อเหตุให้ได้ ณ ชิคาโก ตลาดเมอร์แคนไทล์ เทรด เอ็กซ์เชนจ์ (MTE) ถูกแฮ็ก ทำให้ราคาซื้อขายถั่วเหลืองล่วงหน้าพุ่งทะยานขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง

แครอล บาร์เร็ตต์ เจ้าหน้าที่พิเศษ FBI ได้เสนอผู้บังคับบัญชาของเธอให้มีการร่วมมือกับทีมป้องกันไซเบอร์ของจีน เนื่องด้วยทั้งสองประเทศต่างก็ถูกโจมตีเหมือนกัน แต่สารวัตรเฉินไม่ใช่คนอย่างที่บาร์เร็ตต์คาดคิดเอาไว้เลย เจ้าหน้าที่ชาวจีนผู้เรียนจบเอ็มไอทีพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เขายืนกรานให้ทีมป้องกันไซเบอร์ของอเมริกาปล่อยตัวแฮ็กเกอร์นามกระเดื่องจากเรือนจำกลางทันที เขาก็คือนิโคลัส แฮธาเวย์

แฮธาเวย์ ผู้ต่อต้านผู้มีอำนาจ ก้าวพ้นจากชีวิตที่เข้มงวดในเรือนจำด้วยโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้มีชีวิตใหม่…ถ้าเพียงแต่เขาจะสามารถควานหาตัวเจ้าของมัลแวร์นั้นและตามล่าเขามาให้ได้ ในตอนที่ขอบเขตที่น่าอึดอัดของชีวิตภายนอกเปลี่ยนไปสู่ความวุ่นวายของอิสรภาพในโลกกว้าง โดยที่ไม่มีเวลาให้เขาได้ปรับตัว แฮธาเวย์ก็ต้องดิ้นรนที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน เขาได้รับความช่วยเหลือจากคนที่เขาไม่คาดคิด เธอคือวิศวกรเครือข่ายคนสวยผู้ตรงไปตรงมา เฉินเหลียน น้องสาวของเพื่อนสนิทเขานั่นเอง

แฮธาเวย์, เหลียนและเฉินได้ร่วมมือกับบาร์เร็ตต์และมาร์ค เจสซัพ (โฮลท์ แม็คคัลลานีจาก Gangster Squad) เจ้าหน้าที่ศาล ผู้รับผิดชอบการส่งตัวแฮธาเวย์กลับเข้าคุก ในการตามล่าและหยุดยั้งองค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ไฮสปีดอันตรายผู้ไร้ตัวตน ที่ปฏิบัติการจากสถานที่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ พวกเขาเป็นเหมือนวิญญาณ ที่ส่งมัลแวร์จากพร็อกซี เซิร์ฟเวอร์ต่างๆ เพื่อไม่ให้มีใครจับได้

พวกเขาตามเงื่อนงำบนโลกดิจิตอลจากชิคาโกไปยังลอสแองเจลิส สู่ฮ่องกง มาเลเซียและจาการ์ตา เพื่อไล่ล่าศัตรูของพวกเขา ผู้รู้ตัวผู้ไล่ล่าเขา และบัดนี้ เขาก็กลับเป็นฝ่ายตามล่าพวกเขาแทน ในตอนที่กลุ่มของแฮธาเวย์เดินทางในเอเชีย แฮธาเวย์ก็ค้นพบว่า แรงจูงใจ แผนการยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการแฮ็ก ใหญ่โต มืดหม่นและคาดเดาไม่ได้ยิ่งกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้เสียอีก

ความขัดแย้งช่วงเริ่มแรกภายในกลุ่มแปรเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาได้ปฏิสัมพันธ์และร่วมมือกันกลายเป็นทีมที่มีปฏิกิริยาฉับไว ไหวพริบสูง และอันตรายที่พวกเขาต้องเผชิญก็กลายเป็นภัยคุกคามมากขึ้นเรื่อยๆ

ทีมนักแสดงสำคัญของแอ็กชันทริลเลอร์เรื่องนี้ ที่แสดงให้เราเห็นว่า ยิ่งโลกของเราเชื่อมโยงกันมากแค่ไหน พวกเราก็ยิ่งเปราะบางมากขึ้นเท่านั้น ยังรวมถึงแอนดี้ ออน (Mad Detective) ในบท เจ้าหน้าที่สืบสวนฮ่องกง อเล็กซ์ ทราง, ริทชี คอสเตอร์ (ซีรีส์ Luck) ในบทมือสังหารรับจ้าง เอเลียส คัสซาร์, คริสเตียน บอร์เล (ซีรีส์ Smash) ในบทผู้อำนวยการฝ่ายสารสนเทศของ MTE เจฟฟ์ โรบิช็อด, จอห์น ออร์ทิซ (Silver Linings Playbook) ในบทเจ้าหน้าที่พิเศษ FBI ผู้รับผิดชอบ เฮนรี พอลแล็ค และโยริค แวน วาเกนนินเกน (The Girl With the Dragon Tattoo) ในบทซาดัคผู้ลึกลับ

ทีมงานพรสวรรค์ของแมนน์นำทีมโดยผู้กำกับภาพ สจวร์ต ดรายเบิร์กห์ (The Piano, The Secret Life of Walter Mitty), ผู้ออกแบบงานสร้าง กาย เฮนดริกซ์ ไดแอส (Inception, X-Men 2), มือลำดับภาพ โจ วอล์คเกอร์ (12 Years a Slave, Shame), สตีเฟน ริฟคิน (Avatar, แฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean), เจเรไมอาห์ โอ’ ดริสคอล (A Christmas Carol, Flight) และมาโกะ คามิสึนะ (Pariah, Jackie & Ryan), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสามสมัย คอลลีน แอทวู้ด (Alice in Wonderland, Chicago) และผู้ประพันธ์เพลง แฮร์รี เกร็กสัน-วิลเลียมส์ (The Town, Gone Baby Gone) และเจ้าของรางวัลออสการ์ แอททิคัส รอส (The Social Network, Gone Girl)

โธมัส ทัลล์ (Pacific Rim, Godzilla) และจอน จาชนี (Godzilla, Warcraft) จากเลเจนดารี อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับแมนน์ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทโดยมอร์แกน เดวิส โฟเอห์ล

อีริค แม็คลีออด (Pirates of the Caribbean: At World’s End) และอเล็กซ์ การ์เซีย (Godzilla) รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง

 

เกี่ยวกับงานสร้าง

อนาคตอาชญากรรม:

การเจาะรหัสความปลอดภัยเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

“โลกของเรากำลังถูกควบคุมและบริหารโดยตัวเลข 1 และ 0 เล็กๆ ที่เรามองไม่เห็น

พวกมันลอยอยู่กลางอากาศและเคลื่อนตัวผ่านสายไฟรอบตัวเรา

แล้วถ้าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นควบคุมโลกของเรา ลองถามตัวเองดูซิว่า ‘ใครเป็นคนควบคุมตัวเลข 1 และ 0 เหล่านั้น?’”

                           -“คอมมานเดอร์ เอ็กซ์” จากกลุ่มนิรนาม (หรือคริสโตเฟอร์ โดยอน ผู้หลบหนีการจับกุมตัว)

 

เมื่อหลายปีก่อน การค้นพบของนักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ได้สั่นคลอนทุกความเชื่อที่มีมาแต่เดิม และรหัสโค้ด ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ก็ได้ปรากฏขึ้น ในตอนที่นักวิเคราะห์สืบสาวไปถึงต้นตอของมัน สิ่งที่พวกเขาค้นพบได้เปลี่ยนแปลงโลกของเรา เพราะพวกเขาได้ค้นพบไม่เพียงแต่รหัสโค้ดที่ซับซ้อนและถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตเท่านั้น แต่มันยังถูกใช้เป็นอาวุธอีกด้วย จริงๆ แล้ว มันถูกใช้เพื่อทำลายโรงงานถลุงแร่ยูเรเนียมในอิหร่านอย่างลับๆ ไปแล้วด้วยซ้ำ

มัลแวร์ตัวนั้น ซึ่งถูกเรียกว่า “สตักซ์เน็ต” ได้เจาะทะลวงเข้าไปในโครงสร้างคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน ควบคุมกระบวนการอัตโนมัติและกระตุ้นให้เครื่องหมุนแยกวัตถุของโรงงานทำลายตัวเอง มัลแวร์ตัวนี้หนีพ้นจากการถูกตรวจสอบของมนุษย์ทั้งภายในและภายนอกโรงงาน และในตอนที่มันถูกค้นพบ คนก็กลัวกันว่ารหัสโค้ดนี้จะหลุดจากการควบคุมแล้ว ข่าวลือสุดโต่งเริ่มแพร่กระจาย มีกระทั่งข่าวลือที่ว่าคนเขียนรหัสโค้ดเป็นผู้รับผิดชอบการหลอมละลายนิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะด้วยซ้ำไป ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร แต่บางสิ่งบางอย่างที่แปลกใหม่และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็กำลังเกิดขึ้นและไบนารี โค้ดที่ถูกออกแบบเพื่อสร้างความโกลาหลบัดนี้กำลังทะลวงตัวเองลึกเข้าไปในโครงสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโยงหากันในชีวิตสมัยใหม่ของพวกเรา

เส้นสายและเครือข่ายที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยความจริงดิจิตอลยุคใหม่ของเรา ความจริงที่ซึ่งความนัยและผลลัพธ์ต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นได้โดยคนส่วนใหญ่เว้นแต่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับมัน กลายเป็นประเด็นที่สร้างความสนใจให้กับไมเคิล แมนน์ ในฐานะผู้กำกับ เขาใช้เวลาหลายทศวรรษไปกับการเกี่ยวข้องกับการสืบสวนที่เข้มข้นของโลกภายใต้เงามืดและผู้คนที่ใช้ชีวิตนั้น ตั้งแต่โจรอาชีพ สายลับในบริษัทและนักข่าวจอมจุ้น ไปจนถึงมือปืนและคนขับรถแท็กซี เรื่องราวของแมนน์ได้โลดแล่นมีชีวิตขึ้นมาจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงชีวิตที่แท้จริงเบื้องใต้โฉมหน้าของมัน นอกจากนั้น ภาพยนตร์เหล่านี้ยังทำให้เขาได้ใช้ประโยชน์จากทักษะและชีวิตของผู้ที่เขาพบในการสืบสวนที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องของเขาให้เป็นประโยชน์ด้วย “ถ้าคุณจะสร้างหนังเกี่ยวกับโจร คุณก็จะไม่ไปดูหนังเกี่ยวกับโจรเรื่องอื่นหรอกครับ แต่คุณจะไปใช้เวลาขลุกอยู่กับโจร” แมนน์กล่าว

เรื่องราวของสตักซ์เน็ตที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นสัญญาณให้กับการรุกล้ำแบบใหม่สำหรับกลุ่มคนเพียงหยิบมือที่เฝ้ามอง และสำหรับแมนน์ ผู้กำกับผู้ซึ่งผลงานของเขามักจะเกี่ยวข้องกับเส้นแบ่งที่เปลี่ยนแปลงเสมอระหว่างกฎหมายและความไร้กฎหมาย มันเป็นตัวแทนของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่น่าตกตะลึง เริ่มมีข่าวเกิดขึ้นเป็นประจำอย่างน่าตกใจเกี่ยวกับการบุกรุกข้อมูลโดยกลุ่มดิจิตอลใหม่ๆ ซึ่งทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าโลกคอมพิวเตอร์กำลังก่อให้เกิดเครือข่ายความเชื่อมโยงกันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

แมนน์อธิบายความหมายของเหตุการณ์นี้ที่มีต่อเขาว่า “ผมสนใจโลกใบนี้เพราะเรื่องสตักซ์เน็ต มัลแวร์ที่ถูกออกแบบโดยทีมชาวอเมริกันและอิสราเอล มันเข้าควบคุมเครื่องหมุนแยกวัตถุในโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านที่นาทันซ์ และมันก็เป็นโดรนลับครั้งแรกของโลก ที่ผมบอกว่า ‘ลับ’ ก็เพราะมันทำการโจมตีก็จริง แต่คนมารับรู้ถึงผลลัพธ์ของมันก็หลังจากนั้น 18 เดือนน่ะครับ”

การขุดคุ้ยเรื่องราวนี้ทำให้แมนน์ได้เจาะลึกเข้าไปในโลกใบนี้มากขึ้น “สิ่งแรกที่ผมรู้คือเราช่างเปราะบางและเข้าถึงได้ง่ายมากแค่ไหน” เขากล่าว “สิ่งที่สองก็คือใครก็ตามที่นั่งบนโซฟาพร้อมด้วยทักษะคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นและมีคอมพิวเตอร์ที่เร็วพอสามารถทำเรื่องนี้ได้ทั้งนั้น เขาอาจอยู่ในบรองซ์ ลากอสหรือมุมไบก็ได้ แล้วสิ่งที่สามและเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการค้นคว้าครั้งนี้คือการตั้งคำถามว่า ‘ใครคือแฮ็กเกอร์พวกนี้? แรงจูงใจของพวกเขาคืออะไร อะไรคือประสบการณ์ที่น่ายกย่อง’ มันมักจะเริ่มต้นจากความคิดของเด็กวัย 16 ปีที่ว่า ‘พวกเขาบอกว่าฉันเจาะเข้าไปไม่ได้หรอก พนันกันมั้ยล่ะ’ มันก็มักจะมีเรื่องของความท้าทายเข้ามา แล้วแฮธาเวย์คือใครล่ะ

“แฮ็กเกอร์จำนวนมากที่เคยถูกขังคุก พอพ้นโทษพวกเขาก็จะได้ทำงานกับพวกป้องกันไซเบอร์ครับ” เขาเล่าต่อ “จากมุมมองของพวกเขา มันไม่จำเป็นต้องมีขอบเขต มันเป็นความคิดที่คล้ายๆ กับคอเกม เว้นแต่ความแตกต่างสำคัญอย่างหนึ่งก็คือสำหรับแอ็กเกอร์ มันเป็นการหลบหนีแบบย้อนศร ฟีดแบ็คที่สร้างความพึงพอใจ ประสบการณ์น่าตื่นเต้น เป็นเหมือนกัน แต่ความแตกต่างก็คือสำหรับคอเกม ผลลัพธ์ที่ออกมาอยู่ในโลกเสมือนจริง แต่สำหรับแฮ็กเกอร์ ผลลัพธ์จะเกิดในโลกแห่งความเป็นจริงที่จับต้องได้ การควบคุมรหัสโค้ดของเขาหรือเธอจะมีผลลัพธ์จริงๆ ออกมา และนั่นก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นครับ”

แมนน์และมอร์แกน เดวิส โฟเอห์ล มือเขียนบท Blackhat เริ่มต้นสร้างเรื่องราวที่น่าติดตาม ที่มาจากข้อเท็จจริงที่ซับซ้อนและน่าสนใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่มักถูกซ่อนเร้นจากสายตาสาธารณชน แมนน์เล่าถึงสิ่งที่ดึงดูดเข้าเข้าหาโปรเจ็กต์นี้ว่า “ในการที่ประเด็นหนึ่งๆ จะดึงดูดความสนใจผมได้ ผมจะต้องรู้สึกว่ามันมีความลึกลับ มีพรมแดนบางอย่าง” เขาพบเรื่องแบบนั้นในการปฏิวัติโลกไซเบอร์ “มันเป็นหนึ่งในเรื่องเทคโนโลยีที่มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตเราในเรื่องสังคม วัฒนธรรมและการเมือง…อาจจะเป็นผลกระทบที่ใหญ่หลวงที่สุดนับตั้งแต่มีการค้นพบระบบการพิมพ์ก็ได้ครับ มันกำลังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเรา”

ผู้กำกับยอมรับว่าในตอนที่เขาสนใจประเด็นใดก็ตาม เขาก็จะพยายามศึกษาเรื่องนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “มันมักจะเริ่มต้นด้วยการพบปะกับผู้เชี่ยวชาญ ผมได้พบคนในวอชิงตัน ทั้งในฟากเอกชนและหน่วยงานของรัฐเช่นกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติและ FBI เรื่องราวที่ได้ยินก็เป็นแบบเดิมๆ นั่นก็คือประชาชนชาวอเมริกันไม่รู้เลยว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของเราถูกบุกทะลวงได้ง่ายแค่ไหน และนวัตกรรมถูกหยิบยืมและถูกขโมยไปมากน้อยเพียงใด นอกจากนั้น ผมกับคริสยังได้พบกับไมค์ โรเจอร์ส หัวหน้าคณะกรรมาธิการฝ่ายข้อมูลของสภาสูง เขาเป็นคนแอ็กทีฟมากๆ และเขาก็เตือนเรื่องการรุกรานทางไซเบอร์ตั้งแต่แรกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของอุตสาหกรรมการป้องกัน เทคโนโลยี และการหยิบยืมทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะจากจีน”

สิ่งที่เขาค้นพบจากการค้นคว้าข้อมูลมหาศาลของเขาเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึง “สิ่งที่เราค้นพบคือคุณคิดว่าคุณมีความสุขดีอยู่แล้วกับการใช้ชีวิตอยู่ในฟองสบู่ที่ปลอดภัยของคุณ ซึ่งมีการควบคุมการเข้าออกหลายๆ รูปแบบ” แมนน์บอก “มันไม่จริงเลย เราใช้ชีวิตอยู่ในเครือข่ายของข้อมูลและความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันที่เรามองไม่เห็น ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกสิ่งที่เราสัมผัส เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายนั้น มันเหมือนกับเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน และประตูและหน้าต่างทุกบานก็เปิดออก ซึ่งละแวกนั้นเป็นย่านที่อันตรายมากๆ แต่เราไม่รู้ตัวเลยครับ”

แมนน์เลือกที่จะไว้วางใจกับสิ่งที่จับต้องได้รอบตัวเขาและเขาก็ชื่อว่าเขาจะพบเรื่องราวที่ดีที่สุดได้ที่นั่น โฟเอห์ลเล่าถึงกระบวนการของพวกเขาว่า “ในตอนเริ่มต้น ไมเคิลบอกว่า ‘เราจะโฟกัสไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความจริง เราจะทำการค้นคว้า เราจะสร้างเรื่องราวจากตรงนั้น แทนที่จะพยายามนำเสนอเรื่องราวจากไอเดียที่พวกเราคิดกันเอง มันไม่น่าสนใจเท่ากับสิ่งที่เป็นไปได้หรอก’ ผมไม่เคยมีโอกาสได้สร้างเรื่องราวขึ้นมาแบบนั้น และมันก็เป็นวิธีการสร้างโครงสร้างเรื่องราวที่ชาญฉลาดกว่า นี่แหละครับไมเคิล”

ทีมผู้สร้างเชื่อว่า เขาจะต้องรู้เกี่ยวกับประเด็นนี้มากพอควรก่อนที่เขาจะหาคำตอบได้ว่า ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นใครและเรื่องราวที่เขาจะบอกเล่าเป็นอย่างไร แมนน์อธิบายว่า “สำหรับผม มันคงจะเป็นการโกงถ้าเราจะจับเอาเรื่องราวที่เราคิดขึ้นมาเองไปใส่ในบริบท มันเหมือนกับการใช้บริบทเป็นเครื่องมือ แทนที่เราจะไปอยู่ในบริบทนั้นจริงๆ และหาคำตอบว่าคนพวกนี้เป็นคนแบบไหน พวกเขาคิด เดิน พูดและแต่งตัวกันยังไง เมื่อคุณทำการค้นคว้าข้อมูลเข้มข้นแบบนั้น ตัวละครก็จะปรากฏขึ้นมา พวกเขาจะนำเสนอตัวเองครับ”

ผู้กำกับและมือเขียนบทร่วมกันสร้างแอ็กชันทริลเลอร์สุดระทึก ที่มีตัวเอกคือนิโคลัส แฮธาเวย์ แฮ็กเกอร์แบล็คแฮ็ท (นักถอดรหัสที่แฮ็กเข้าไปในที่ที่เขาหรือเธอถูกห้าม) แมนน์เล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวนี้ว่า “หนังเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นที่ลอสแองเจลิส เรื่องราวก็คือแฮธาเวย์ถูกจำคุกได้สี่ปีแล้วจากโทษทั้งหมด 13 ปี เขาได้รับข้อเสนอว่าจะได้รับการปล่อยตัวถ้าเขาสามารถหาตัวอาชญากรไซเบอร์ที่ทำลายโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในจีนและควบคุมราคาขายถั่วเหลืองล่วงหน้าในตลาดซื้อขายสินค้าการเกษตรล่วงหน้า

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แมนน์ได้ทำความรู้จักกับกลุ่มคนมากหน้าหลายตา หลากอาชีพ ตั้งแต่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ผู้ซึ่งชีวิตของพวกเขาถูกหล่อหลอมด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตที่เสี่ยงอันตรายของพวกเขา สำหรับ Blackhat แมนน์ได้ล้วงลึกเข้าไปเส้นสายเหล่านี้ เขาได้พาโฟเอห์ลไปวอชิงตัน, ดี.ซี. เพื่อพบกับเจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ อดีต CIA และเจ้าหน้าที่ FBI รวมถึงคนอื่นๆ ที่ทำให้พวกเขาเข้าใจถึงกระบวนการและโลกเร้นลับของอาชญากรรมไซเบอร์ได้ มุมมองของคนในเหล่านี้ทำให้แมนน์และโฟเอห์ลมีกรอบสำหรับเรื่องราวที่เหมาะเหม็งและน่าตื่นเต้น

ในตอนที่พวกเขาคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รัฐ และแฮ็กเกอร์เกี่ยวกับการที่อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงพื้นที่สำหรับอาชญากรและผู้ต่อสู้อาชญากรรม พล็อตเรื่องและตัวละครก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ในการพูดคุยกับผู้ที่อยู่ทั้งสองฟากฝั่งของกฎหมาย ความเข้าใจของแมนน์และโฟเอห์ลได้ขยายตัวครอบคลุมเรื่องความเป็นจริงใหม่เกี่ยวกับความเปราะบางที่เกิดขึ้น หรือความเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นใคร ความจริงที่พวกเราที่เหลือเพิ่งเริ่มจะมองเห็นวี่แววของมัน

ในระหว่างที่แมนน์เตรียมตัวเพื่อเริ่มต้นการถ่ายทำ Blackhat ให้กับเลเจนดารี พิคเจอร์ส ก็มีข่าวออกมาเรื่องการปล้นธนาคารเสมือน 45 ล้านเหรียญ “ปฏิบัติการนี้” นิวยอร์ก ไทม์เขียนเอาไว้ในเดือนพฤษภาคม ปี 2013 “ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน ที่ปฏิบัติการภายใต้เงามืดของการแฮ็กในโลกอินเทอร์เน็ต การควบคุมข้อมูลการเงินด้วยการกดปุ่มไม่กี่ปุ่ม” มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงอาชญากรรมไซเบอร์ระดับใหม่ หรือการตระหนักรับรู้ระดับใหม่ถึงสิ่งอื่นที่โลกดิจิตอล ซึ่งเป็นโลกเดียวกับที่ทำให้เรามีสมาร์ทโฟนใช้ ได้ช้อปปิ้งออนไลน์และควบคุมอากาศยานแบบไร้คนขับ ทำให้เกิดขึ้นได้

ในตอนที่เหตุการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงเกี่ยวกับความเปราะบางของระบบความเชื่อมโยงสัมพันธ์ทางดิจิตอลเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ มันทำให้เกิดความรู้สึกที่พิลึกพิลั่นเกี่ยวกับการที่ศิลปะเลียนแบบชีวิต ไมเคิล พานิโก้ อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษ FBI ผู้ถูกนำตัวเข้ามาในฐานะแหล่งข้อมูลเพื่อช่วยเหลือทุกแผนกในการทำให้แน่ใจว่าไดอะล็อกของเรื่องจะสมจริงและทำให้แน่ใจว่าทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอจะดูและให้ความรู้สึกที่สมจริง รวมถึงอธิบายว่าอาชญากรรมไซเบอร์เกิดขึ้นได้อย่างไร นำเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับความคิดของทีมผู้สร้างว่า “ในตอนที่คุณสร้างหนัง คุณจะต้องคิดไปข้างหน้า คุณจะต้องนำไปอีกก้าว”

ในตอนที่เราเข้าสู่ยุคสมัยที่มีความเป็นไปได้มากมายที่จะเกิดการโจมตีขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง พานิโก้อธิบายว่าความสามารถของผู้กำกับการจินตนาการถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเป็นสิ่งที่ทีมความปลอดภัยตระหนักเป็นอย่างดี “หนึ่งในไอเดียที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 9/11” พานิโก้อธิบาย “คือการไปฮอลลีวูดและขอให้คน ‘จินตนาการ’ การโจมตีรูปแบบอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเราได้…เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอยู่นอกเหนือโครงสร้างความคิดของหน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ”

ภาพยนตร์เรื่อง Blackhat โดยแมนน์และโฟเอห์ลสะท้อนถึงความหลงใหลในสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนที่การแฮ็กเริ่มส่งผลต่อความสามารถของโลกที่จับต้องได้ (เช่นสาธารณูปโภค เครื่องจักร พลังงาน โรงงานนิวเคลียร์) พานิโก้กล่าวว่า “เราได้ขยับขยายจากไวรัส ซึ่งเป็นแค่เรื่องของการส่งเสียง ที่แสดงให้เห็นว่าคนเขียนไวรัสฉลาดแค่ไหน ไปสู่โลกที่ซึ่งผลกระทบต่อโลกแห่งความเป็นจริงคือการขโมยบัตรเครดิตและการสูญเงินของบุคคลและสถาบันต่างๆ ตอนนี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่ตำแหน่งแห่งที่ในตอนที่เรากำลังมองไปสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมความปลอดภัยของโลกไซเบอร์เป็นกังวลอยู่ นั่นคือ ‘อะไรจะเกิดขึ้นในตอนที่มันเคลื่อนไหว’”

โธมัส ทัลล์และจอน จาชนีจากเลเจนดารี พิคเจอร์ส ร่วมทีมกับแมนน์เพื่ออำนวยการสร้าง Blackhat สำหรับทัลล์ CEO ของเลเจนดารี คอนเซ็ปต์นี้ให้ความรู้สึกของความเข้าถึงได้ เขาเล่าว่า “ผมกับจอนสนใจการที่ไมเคิลสนใจอนาคตอาชญากรรมว่าเป็นดิจิตอล เรื่องราวนี้ของคนนอกกฎหมายสมัยใหม่ ร่วมกับทีมระดับสูงของเขา ที่กำลังเร่งไล่ล่าอาชญากรที่มีเป้าหมายเพื่อทำลายโครงสร้างสาธารณูปโภคทำให้เราสนใจและอยู่ภายในขอบเขตที่เลเจนดารีสนใจ เราคงไม่เจอคู่หูที่ดีกว่านี้ในการสร้างทริลเลอร์ลุ้นระทึกที่เหมาะเจาะกับช่วงเวลานี้อีกแล้วครับ”

จาชนีประทับใจกับการที่ Blackhat ให้ความรู้สึกเหมือนทำนายอนาคต “มันน่าทึ่งที่ไมเคิลและมอร์แกนจินตนาการเรื่องราวนี้ที่เปลี่ยนเรื่องของการรุกล้ำข้อมูลของรัฐบาลจากทฤษฎีคลุมเครือไปสู่สิ่งที่เกือบจะเป็นความเป็นจริง” เขากล่าว “ผมชื่นชมความสามารถของไมเคิลในการสร้างสิ่งที่อาจจะเป็นความแปลกใหม่ที่ผู้ชมเข้าถึงได้มากที่สุด และเราก็ตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางนี้ร่วมกับเขาครับ”

แบล็คแฮ็ทและเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง:

การคัดเลือกนักแสดงสำหรับแอ็กชันทริลเลอร์

“ในตอนที่คนที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐชำนาญเรื่องไซเบอร์มากขึ้นเรื่อยๆ

ความสำคัญและการขยายตัวของมันในฐานะภัยที่คุกคามโลกใบนี้ก็ปรากฏชัดขึ้นเรื่อย”

                                             –เจมส์ อาร์. แคลปเปอร์ ผู้อำนวยการหน่วยข้อมูลแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา

 

พระเอกในเรื่องราวของแมนน์และโฟเอห์ลคือแฮธาเวย์ นักถอดรหัสอัจฉริยะ อาชญากรที่ได้รับการปล่อยตัว  และมีเป้าหมายเพื่อการแก้แค้น แฮ็กเกอร์ผู้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวผู้นี้ ซึ่งจำต้องกลายเป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องโลกของเราจากโจมตีที่จะทำให้ชีวิตผู้คนจำนวนมากพังทลาย จะต้องนำทีมไล่ล่าเพื่อหยุดยั้งอันตรายที่มองไม่เห็น ที่อาจจะโจมตีทุกคนได้ในทุกที่

โฟเอห์ลพูดถึงแรงบันดาลใจสำหรับตัวละครตัวนี้ว่า “หลักสำคัญเริ่มแรกคือหนังสือของเควิน โพลเซนเรื่อง ‘Kingpin: How One Hacker Took Over the Billion-Dollar Cybercrime Underground’ หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ ผมก็คิดว่าชายหนุ่มพวกนี้ ก็เหมือนแฮธาเวย์ กำลังเข้าสู่ยุคสมัยที่พวกเขาอาจกลายเป็นอาชญากร ซึ่งในบางกรณี ก็ประสบความสำเร็จมากมาย ในหลายปีก่อน พวกเขาอาจจะไม่เลือกอาชีพนั้น เพราะมันเป็นความคิดอ่านและความสามารถที่แตกต่างออกไป ที่คุณจะได้เห็นในงานอื่นๆ ของไมเคิล อย่างเช่น นีล [แม็คคัลลีย์] ใน Heat มันเป็นมุมมองและวิธีการโจมตีและมองโลกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เคยมีใครทำความเข้าใจกับแฮ็กเกอร์แบล็คแฮ็ทมาก่อน และตัวละครตัวนี้ก็สร้างขึ้นจากชายหนุ่มที่มีความสามารถพิเศษสุดในการค้นหาจุดอ่อนและเจาะเข้าไปในระบบพวกนี้ได้ครับ”

ตามที่เอฟ.เอ็กซ์ ฟินนีย์เขียนเอาไว้ในหนังสือสำหนักพิมพ์ทัสเชนเกี่ยวกับผู้กำกับของเขาว่า “ตลอดการทำงานของเขา แมนน์ได้เลือกคนที่เราไม่คิดว่าเขาจะเลือก แก่นแท้ที่โดดเด่นของนักแสดงคือสิ่งที่ทำให้เขาสนใจ และมันก็สอดคล้องกับการปฏิเสธที่จะมองตัวละครของเขาเป็น ‘ประเภท’ อีกด้วย” นี่เป็นเรื่องจริงเป็นพิเศษสำหรับคริส เฮมส์เวิร์ธ ที่เป็นที่รู้จักมานานจากบทบาทที่ใช้พลกำลังของเขาในภาพยนตร์อย่าง Thor และแฟรนไชส์ The Avengers รวมถึง Rush และ   Snow White and the Huntsman

แมนน์อธิบายว่าเฮมส์เวิร์ธกลายเป็นแฮธาเวย์ของเขาได้อย่างไร “ผมได้ดูคริสครั้งแรกใน Thor และผมก็คิดว่าเขาเยี่ยมไปเลย แล้วผมก็ได้คุยกับรอน โฮเวิร์ดที่เคยร่วมงานกับเขาใน Rush รอนเองก็มีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและยินดีที่จะเปิดหนังประมาณ 45 นาทีให้ผมดู คริสเก่งมาก ทำให้ผมอยากจะพบกับเขา ผมก็เลยไปที่คอสตา ริกา ที่เขากำลังพักผ่อนอยู่กับครอบครัวเขา เราใช้เวลาคุยกันถึงหนังเรื่องนี้ประมาณสองวัน แล้วผมก็ตัดสินใจตอนนั้นเลยว่าเขานี่แหละคือคนที่จะรับบทนี้”

แมนน์พบว่าเฮมส์เวิร์ธเป็นคนที่หนักแน่น มั่นใจในตัวเองและหลงใหลในโลกรอบตัว ผู้กำกับกล่าวต่อว่า “คริสเป็นคนที่ทะเยอทะยานและมีอีโก้ด้านศิลปะที่ชัดเจน ผมชื่นชอบการได้ร่วมงานกับคนแบบนั้น เขาให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ฉลาดมากๆ ที่ผมได้รู้จักในสหพันธ์คนงานเหล็กเมื่อหลายปีก่อน ที่มีทั้งความสง่างามและความมั่นใจ ‘ตอนนี้ ผมนั่งตรงข้ามแฮธาเวย์อยู่’ ผมคิด และคริสก็ตอบสนองต่อความท้าทายนั้น เขาเป็นคนที่แข็งแรงมาก เล่นทั้งกระดานโต้คลื่นและต่อยมวย เขากระตือรือร้นกับการนำตัวเองเข้าไปสู่ตัวละครของตัวเองครับ”

ในการสร้างตัวละครตัวนี้ แมนน์ได้แนะนำให้เฮมส์เวิร์ธได้รู้จักกับ โพลเซน อดีตอาชญากรไซเบอร์ที่ผันตัวมาเป็นที่ปรึกษา เฮมส์เวิร์ธเล่าว่า “เควินบอกว่าเขาออกมาด้วยการเป็นอาชญากรที่เก่งกว่าเดิม และเพื่อนร่วมคุกของเขาก็ถามเขาว่า ‘เป็นไปได้มั้ยที่จะปิดการทำงานของกล้องผ่านคอมพิวเตอร์ หรือคุณสามารถบุกเข้าไปในบางอย่างด้วยการสร้างรหัสโค้ดได้มั้ย’ ในตอนที่แฮธาเวย์เข้าคุกไปในฐานะแฮ็กเกอร์ ร่างกายของเขาก็ถูกพัฒนาขึ้นครับ”

เฮมส์เวิร์ธ และแมนน์ไปที่เรือนจำสเตทวิลล์ในอิลลินอยส์ ซึ่งทำให้เฮมส์เวิร์ธได้ใกล้ชิดกับสถานที่ที่ตัวละครของเขาถูกจำคุกนานสี่ปี นักแสดงหนุ่มกล่าวว่า “เราได้ไปเยือนเรือนจำหลายแห่ง ครั้งแรกที่ผมเดินเข้าไป ผมก็คิดว่า ‘นี่เป็นอีกโลกหนึ่ง ที่มีกฎระเบียบของมันเอง’ มันเป็นสถานที่ที่น่ากลัวและน่าหวาดหวั่นอย่างเหลือเชื่อ คุณที่เข้าไปในเรือนจำไม่ใช่คุณคนที่เดินออกมา พวกเขาสองคนแตกต่างกัน มันมีกฎของตัวเองครับ”

เหตุผลที่แฮธาเวย์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวก็เป็นเพราะเพื่อนและอดีตเพื่อนร่วมห้องของเขาที่เอ็มไอที เฉินต้าไว ในตอนที่แมนน์และโฟเอห์ลสร้างตัวละครสารวัตรเฉินขึ้นมา พวกเขาอยากจะทำลายความคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่กองทัพปลดปล่อยประชาชน ผู้นำทีมไซเบอร์ บลู ในทางตรงกันข้าม พวกเขาเขียนเขาให้เป็นคนที่ฉลาดมากๆ ที่พูดภาษาจีนได้คล่องแคล่ว แล้วในไม่กี่ฉากหลังจากนั้น ก็พูดภาษาอังกฤษได้สมบูรณ์แบบเหมือนกับเป็นคนพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ การพบนักแสดงอย่างหวังลี่หง ที่เชี่ยวชาญทั้งสองภาษา และเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ เป็นโชคดีอย่างยิ่ง

นักแสดงชาวจีนที่เกิดที่อเมริกา ป๊อปสตาร์ผู้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในเอเชีย และใช้ชีวิตอยู่ในไต้หวัน พูดถึงเฉินว่า “นี่เป็นเรื่องธรรมดามากๆ สำหรับคนรุ่นนี้ในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล คำที่คนจีนใช้กันคือ ‘เจ้าชาย’ หมายถึงคนที่มาจากครอบครัวมีฐานะ ที่ไปรับการศึกษาที่ไหนก็ได้ที่เขาต้องการ เขากลับมาด้วยคุณสมบัติที่เชี่ยวชาญสองภาษาและมี ‘เส้นสาย’ กับระบบ” เรื่องแปลกที่น่าสนใจคือพี่ชายของหวังได้เข้าเรียนที่เอ็มไอทีและเคยทำงานที่เอ็มทีอีด้วยจริงๆ

หวังเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครของเขาและแฮธาเวย์ เพื่อนร่วมห้องที่เรียนเรื่องรหัสโค้ดด้วยกันมาที่เอ็มไอทีว่า “ผมรู้สึกว่าแฮธาเวย์เป็นคนที่เหมาะกับงานนี้มากที่สุดและเราก็ต้องการความช่วยเหลือจากเขา ถ้ามันหมายถึงการพาตัวเขาออกจากคุก มันก็ยิ่งดีเพราะเขาเป็นเพื่อนซี้ผม มันเป็นเหมือนยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว การเจรจาเรื่องนั้นเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลครับ”

แมนน์พูดถึงผลกระทบที่หวังมีต่อการถ่ายทำว่า “เขาเกิดในเมืองโรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก และเขาก็เป็นนักดนตรี เขาเล่นไวโอลินคลาสสิกและเปียโนแจ๊ส นอกจากนั้น เขายังเป็นเหมือนจัสติน ทิมเบอร์เลคแห่งเอเชียด้วย เขาจัดคอนเสิร์ตยิ่งใหญ่ที่มีผู้ชมกว่า 80,000 คน มีเด็กสาวอายุ 17 ปีที่กรี๊ดเขาเป็นพันๆ แค่หวังว่าจะได้เห็นลี่หง เราได้ไปคอนเสิร์ตของเขาที่ฮอลลีวูด โบว์ล มันแน่นเอี้ยดเลย มีถนนบางสายที่เราพยายามจะใช้ถ่ายทำ และผมก็ต้องหลีกเลี่ยงด้านหนึ่งของถนนเพราะมันมีโปสเตอร์สูงสองชั้น ยาวครึ่งบล็อก ที่ลี่หงโฆษณานาฬิกาไซโก้ติดอยู่ครับ”

สำหรับบท เหลียน วิศวกรเครือข่ายผู้ชาญฉลาด น้องสาวของเฉิน คนรักของแฮธาเวย์ แมนน์ได้เลือกนักแสดงหญิง ทัง เหว่ย เหลียนเป็นคนรักอิสระ ท้าทาย หุนหันพลันแล่น หรือกระทั่งทำอะไรโดยฉับพลัน เธอตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จในสายงานที่เธอเลือก บางที อาจเป็นเพราะมีคนบอกเธอว่าผู้หญิงทำไม่ได้หรอก “มีความคล้ายคลึงกันหลายอย่างระหว่างเหลียนและทัง เหว่ย” แมนน์เล่า “ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ผมตอบสนองต่อเธอในทันทและคิดว่า ‘นี่คือเหลียน’ ทัง เหว่ยเป็นหนังสือที่เปิดกว้าง เธอมีวิถีชีวิตที่เหมือนกับคนพเนจร ตอนที่เราเริ่มคุยกันเรื่องนี้ ผมเล่าให้เธอฟังถึงความหลังสมมติของผู้หญิงคนนี้และความสัมพันธ์ของเธอกับครอบครัว ที่เป็นครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากๆ…รวมถึงเหตุผลที่ทำให้เธอออกมายืนด้วยลำแข้งของตัวเองเพื่อมีอิสระบ้าง มันสอดคล้องกับประสบการณ์บางอย่างในชีวิตของทัง เหว่ยครับ”

นักแสดงสาวตื่นเต้นกับบทบาทของตัวละครตัวนี้ ผู้ซึ่งเธออธิบายว่า “ค่อนข้างภูมิใจที่เธอทำงานเก่งกว่าผู้ชายส่วนใหญ่” เธอกล่าว “สำหรับเหลียน แฮธาเวย์เป็นคนพิเศษ เขาไม่เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิตอลคนอื่นๆ เขาเป็นคนตรงไปตรงมามากๆ และไม่แสดงตัวเป็นคนอื่นนอกเหนือจากตัวเอง เธอไม่เคยเจอผู้ชายแบบเขามาก่อน เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและชำนาญในสิ่งที่เขาทำ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นคนที่ดิบเถื่อน ช่างปรัชญาและเป็นคนคุ้มครองคนอื่น มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับผู้หญิงที่โตขึ้นมาอย่างเหลียนค่ะ”

ทัง เหว่ยมองเห็นเงาอดีตของสองพี่น้องถูกสะท้อนออกมาในความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นระหว่างเหลียนและเฉิน เธอเล่าว่า “ฉันรู้สึกว่าเขายังทำเหมือนกับฉันเป็นเด็กเล็กๆ เขาไม่เคยยกย่องเหลียนในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางดิจิตอลเลย เราเป็นครอบครัวเดียวกัน และตอนที่เขาขอความช่วยเหลือจากฉัน ฉันก็รู้สึกเหมือนว่าเขากำลังยอมรับว่าเธอทำงานเก่งแค่ไหนน่ะค่ะ”

ทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกในอาชีพนักแสดงของพวกเขา “เธอเป็นเหมือนน้องสาวของผม เพราะเราเล่นหนังเรื่อง Lust, Caution ด้วยกัน” หวังเล่า “มันเป็นกระบวนการเก้าเดือนที่มีช่วงเตรียมงานสร้างหกเดือน และเธอก็ไม่เคยแสดงหนังมาก่อน อัง [ลี] เลือกเธอจากการออดิชันคนเป็นพันๆ ผมจำได้ตอนที่เธอเข้ามาครั้งแรก และเจ็ดปีให้หลัง เธอกลับกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่โด่งดังที่สุดในจีน การได้ร่วมงานกันอีกครั้งเป็นเรื่องเยี่ยม รวมถึงการได้เห็นว่าเธอเติบโตแค่ไหนทั้งในฐานะนักแสดงและฐานะคนๆ หนึ่งด้วย”

จริงๆ แล้ว ใจกลางของแอ็กชันทริลเลอร์เรื่องนี้คือเรื่องราวความรักที่ลึกซึ้ง เฮมส์เวิร์ธอธิบายว่า “หนึ่งในนักแสดงคนอื่นๆ ในหนังเรื่องนี้บอกว่า ‘หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องรัก’ และผมก็ไม่ได้มองมันอย่างนั้น แต่แก่นของเรื่องนี้ เหตุผลสำหรับทุกอย่าง สิ่งที่เหลียนดึงออกมาจากตัวเขาและทำให้ชัดเจนขึ้น คือเธอยอมให้เขาแสดงตัวตนที่ดีที่สุดของเขาออกมา และสำหรับเธอก็เหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งทีมทำงานเข้ากันได้ มันเป็นเรื่องรักเกี่ยวกับคนสองคนที่แตกต่างกันเหลือเกิน ทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับกันและกัน และมันก็ไม่น่าจะเวิร์คด้วยหลายๆ เหตุผล แต่มันก็เวิร์ค และมันก็ค่อนข้างพิเศษทีเดียวครับ”

เหลียนบีบให้แฮธาเวย์ตื่นขึ้นมารับความจริงใหม่นี้ เฮมส์เวิร์ธเล่าว่า “เธอกระเทาะเปลือกเขา ล้วงเข้าไปถึงตัวตนของแฮธาเวย์ ไม่มีใครตรงไปตรงมากับเขาขนาดนั้น และเธอก็ไม่ได้มีระเบียบปฏิบัติทางสังคมพิเศษอะไรด้วย มันปลุกบางอย่างในตัวเขา และจู่ๆ เขาก็สามารถตั้งสมาธิไปที่การไล่ล่าผู้ชายคนนี้ เธอเป็นตัวกระตุ้นให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองและพัฒนาตัวเองให้เต็มศักยภาพ”

ผู้ที่ได้รับเลือกสำหรับบท แครอล บาร์เร็ตต์ เจ้าหน้าที่พิเศษคือผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ วิโอลา เดวิส เช่นเดียวกับพวกเราส่วนใหญ่ เดวิสยอมรับว่าไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับภัยคุกคามของอาชญากรรมไซเบอร์มากนัก…จนกระทั่งเธอล้วงลึกเข้าไป “ฉันไม่ได้กลัวกับการล้วงเข้าไปหรอก…แต่พอฉันล้วงลึกเข้าไป ฉันก็กลัวมาก มันเป็นภัยที่คุกคามอเมริกามากกว่าอย่างอื่น คุณสามารถปิดทั้งประเทศด้วยการก่อการร้ายไซเบอร์ คุณสามารถปิดการทำงานของแหล่งน้ำ ควบคุมระเบิดมิสไซล์นิวเคลียร์…และฉันก็ทึ่งกับจำนวนการแฮ็กที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ฉันพบว่ามันเป็นภัยใหม่ในศตวรรษที่ 21 ค่ะ”

สำหรับบทของเธอ เดวิสก็เหมือนกับเพื่อนร่วมแสดงของเธอ ที่ใช้เวลาพักใหญ่ไปกับการหาคำตอบเกี่ยวกับตัวละครของเธอ เธอเล่าว่า “การเรียนรู้เกี่ยวกับแครอลเป็นเรื่องยากลำบากค่ะ ตามปกติแล้ว ฉันจะอยู่ในฉาก เพื่อหาคำตอบว่าฉันเป็นใคร ฉันต้องการอะไร สิ่งที่ฉันต้องการสำคัญกว่าสิ่งที่ฉันทำ แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ FBI สิ่งที่พวกเขาทำสำคัญกว่าตัวตนของพวกเขา นั่นคือสิ่งที่ยากค่ะ ‘ฉันจะใส่เรื่องนี้เข้าไปแล้วเพิ่มคุณค่าความเป็นมนุษย์เข้าไปได้ยังไง’ เป็นเรื่องยาก แล้วเธอก็เป็นผู้หญิงที่สูญเสียสามีไปในเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเขาเป็นคนที่เธอแคร์มากๆ ค่ะ”

ทีมนักแสดงสมทบของเรื่องประกอบไปด้วย โฮลท์ แม็คคัลลานี ในบทเจ้าหน้าที่ศาล มาร์ค เจสซัพ, แอนดี้ ออนในบทเจ้าหน้าที่สืบสวนชาวฮ่องกง อเล็กซ์ ทราง, ริทชี คอสเตอร์ในบทมือสังหารไร้ปรานี เอเลียส คัสซาร์, คริสเตียน บอร์เล ในบท เจฟฟ์ โรบิช็อด ผู้อำนวยการฝ่ายสารสนเทศของเอ็มทีอี, จอห์น ออร์ทิซในบทเฮนรี พอลแล็ค ผู้ช่วยของบาร์เร็ตในชิคาโกและโยริค แวน วาเกนนินเกน ในบทซาดัค ผู้ลึกลับ แวน วาเกนนินเกน ผู้ซึ่งเครื่องบินแตะลงฮ่องกงในตอนที่เครื่องบินของเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนกำลังบินขึ้น สรุปความรู้สึกของเพื่อนร่วมแสดงของเขาว่า “บทหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกของความปัจจุบันทันด่วนมากๆ ครับ”

 

การเปลี่ยนตัวเองเป็นตัวละคร:

การค้นคว้าและการฝึกฝน

“อำนาจเป็นสิ่งไม่ถาวร เรื่องราวของมันเป็นเรื่องของความเปลี่ยนแปลง นวัตกรรม เทคโนโลยีและความสัมพันธ์”

                                                      -ศาสตราจารย์ โจเซฟ เอช. ไนย์, จูเนียร์ “The Future of Power”

ความมุ่งมั่นของแมนน์ที่มีต่อการสร้างเรื่องราวเหล่านี้ให้กลายเป็นภาพยนตร์มีที่มาจากข้อเท็จจริงในประสบการณ์ชีวิตและมีหลักฐานเป็นเวลาและความทุ่มเทที่เขาใส่ลงไปในการค้นคว้าและการฝึกฝนที่เขาทำร่วมกับนักแสดง การสร้างเรื่องราวนี้จากชีวิตจริงหมายถึงการนำนักแสดงไปพบกับคนและสถานที่จริงๆ ที่ตัวละครปรากฏตัว ผู้ที่เกี่ยวข้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ ในการค้นคว้าข้อมูลและหาประสบการณ์เพื่อเข้าถึงความรู้สึกของการเป็นตัวละครที่แมนน์จะเนรมิตชีวิตให้ในภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องของโลกที่เราได้สัมผัสเพียงแค่ผิวเผิน เริ่มจากเจมส์ คานใน Thief และแดเนียล เดย์ ลูอิสใน Last of the Mohicans ไปจนถึงทีมนักแสดงของ Heat และ Collateral มันกลายเป็นกระบวนการของแมนน์ แมนน์เชื่อว่าประโยชน์ของเรื่องนี้คือ “นักแสดงเชื่อในตัวตนของเขาและปราศจากความกลัว เขาสามารถทำอะไรฉับพลันและอิมโพรไวส์ได้”

หนึ่งในหลักปฏิบัติของผู้กำกับคือตัวละครจะต้องมีอดีต “เขาจะต้องเป็นคนจริงๆ เพราะอดีตนั้นจะเป็นสิ่งที่คุณสามารถดึงออกมาให้นักแสดงสัมผัสได้” แมนน์อธิบาย “อดีตเหล่านั้นจะส่งผลต่อการปฏิบัติตัวของเขาในฉากที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้น มันก็ทำให้เขามีปฏิกิริยาในแบบหนึ่งๆ ที่ฉับพลัน เพราะผมทำให้เขานึกถึงความรู้สึกของเขาตอนที่พ่อเขาเริ่มป่วย ซึ่งไม่มีการเอ่ยถึงพ่อของเขาในหนังเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแบ็คกราวน์นั้นครับ”

แฮธาเวย์เป็นแฮ็กเกอร์ที่ถูกจำคุกที่คานาน รัฐเพนซิลวาเนีย เขาเป็นลูกชายของช่างเหล็กชาวชิคาโก เขาเป็นคนฉลาด และมีอนาคตไกล ผู้ถูกชักจูงให้เดินทางผิดด้วยโชคร้ายและการตัดสินใจผิดพลาด ในการสร้างเท็กซ์เจอร์และมิติให้กับตัวละครตัวนี้ ผู้เต็มไปด้วยความย้อนแย้งมากมาย แมนน์ได้แนะนำให้เฮมส์เวิร์ธรู้จักสถานที่ต่างๆ ที่เป็นที่มาของตัวละครของเขา และผู้คนที่คนอย่างแฮธาเวย์จะรู้จัก

สำหรับบทนี้ แมนน์อยากจะลบภาพแบบเดิมๆ ที่ว่าแฮ็กเกอร์เป็นเด็กผิวขาว หุ่นขี้ก้าง จากชนชั้นกลาง เขาเล่าว่า “มันไม่ได้เป็นแบบนั้นมานานแล้ว เขาอาจเป็นคนที่อาศัยอยู่ในบ้านเอื้ออาทร เป็นคนในมุมไบ ผมคิดว่าแฮธาเวย์น่าจะเป็นลูกชายของช่างเหล็กที่ใช้ชีวิตอยู่ทางตอนใต้ของชิคาโก จริงๆ แล้ว นั่นเป็นอดีตของเขา พ่อของเขาตายตอนที่เขาไปเรียนเอ็มไอทีด้วยทุนการศึกษาและเงินกู้ยืม พ่อของเขาเลี้ยงเขามาตามลำพัง และมันก็มาจากสถานการณ์ของเพื่อนผมคนหนึ่ง ในตอนที่แฮธาเวย์เรียนอยู่ เขาก็ไปเจอปัญหาที่กลายเป็นข้อหาและการถูกลงโทษ เขาลงเอยด้วยการถูกจำคุก 18 เดือนที่สถานกักกันแมสซาซูเซทส์ในนอร์โฟล์ค”

ในช่วงเริ่มแรกของการเตรียมงานสร้าง แมนน์พาเฮมส์เวิร์ธไปชิคาโกและพื้นที่รอบด้านในอิลลินอยส์ ผู้กำกับเล่าว่า “เราใช้เวลาสองสามวันที่ยูเอส สตีล ไปทำงานตอนตีสี่ หน้าเตาเผาที่ร้อนแรง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พิเศษมากๆ เราได้รู้จักคนงานที่นั่น ว่าพวกเขามีทัศนคติเกี่ยวกับงานนี้ยังไง นอกจากนี้ เรายังไปที่ตลาดซื้อขายสินค้าทางเกษตรล่วงหน้าเพราะมันมีการควบคุมตลาดซื้อขายถั่วเหลืองล่วงหน้าที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ครับ”

เฮมส์เวิร์ธเล่าถึงกระบวนการนี้ว่า “สองเดือนครึ่งก่อนที่เราจะเริ่มต้น ไมเคิลบอกว่า ‘ผมอยากให้คุณอยู่นี่เพราะเราจะต้องไปโรงงานเหล็ก เพื่อดูสถานที่ที่คุณโตมา’ ผมอยู่ในออสเตรเลีย แต่ผมต้องกลับไป ที่นั่นเขาบอกผมว่า ‘พ่อคุณทำงานที่นี่ พวกเขาเป็นคนแบบที่คุณโตมาด้วย และคุณก็อาจจะเคยทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่ด้วย”

สำหรับแมนน์ ความใส่ใจในรายละเอียดและความถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และการร่วมงานกับผู้กำกับก็เป็นบทเรียนที่เข้มข้น เฮมส์เวิร์ธ ที่ไม่เคยย่อท้อต่อการเตรียมพร้อมสำหรับการแสดง กระตือรือร้นกับการเรียนรู้ เฮมส์เวิร์ธบอกว่า “เขารู้ว่าเขามองหาอะไรอยู่ มันเป็นการเตรียมตัวที่เข้มข้นที่สุดเท่าที่ผมเคยผ่านมา และมันก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง มันทำให้ผมนึกถึงการเตรียมตัวที่ผ่านมาของผมและการเตรียมตัวในอนาคตของผมด้วย”

นอกเหนือจากโรงงานเหล็กแล้ว แมนน์และเฮมส์เวิร์ธยังได้เดินทางไปยังเรือนจำสเตทวิลล์ และ “โรงเรียนสอนการแฮ็ก” การฝึกฝนร่างกาย ซึ่งเริ่มต้นก่อนการถ่ายทำหลายเดือน ประกอบไปด้วยการชกมวยและการฝึกต่อสู้ นักสดงออสเตรเลีย เจ้าของร่างหกฟุตสี่นิ้ว คุ้นเคยกับการเตรียมพร้อมสำหรับบทที่เข้มข้นอยู่แล้ว แต่การเรียนรู้ที่จะคิด ทำ เคลื่อนไหวและปฏิบัติตัวอย่างแฮ็กเกอร์ที่ผ่านคุกมาแล้วต่างหากที่เป็นความท้าทายชิ้นใหญ่ที่สุดสำหรับเขา

โฟเอห์ลอธิบายว่า แฮธาเวย์มีต้นแบบเป็นแฮ็กเกอร์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่มีพรสวรรค์ด้านคอมพิวเตอร์ เวลา และระบบซับซ้อนให้เล่นด้วย “พวกเขาเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถยอดเยี่ยมในการค้นพบจุดอ่อนในระบบ เพราะระบบใดๆ ก็ตามที่มนุษย์สามารถสร้างขึ้นมาได้ อีกคนหนึ่งก็สามารถบุกทะลวงเข้าไปได้ ช่องโหว่ที่อยู่ในเครือข่ายไหนๆ ก็ตาม หรือที่หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ มีอยู่ก็เพราะมันเป็นระบบที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ครับ”

เช่นเดียวกับพวกเราส่วนใหญ่ โลกอาชญากรรมไซเบอร์ก็เป็นสิ่งที่นักแสดงชาวออสเตรเลียผู้นี้ไม่ค่อยจะคุ้นเคยนัก ไอเดียที่ว่าคนๆ หนึ่ง ที่มีความสามารถ สามารถกดปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่ม ก็สามารถป่วนตลาดหุ้นหรือทำลายโครงสร้างของภาคเอกชนหรือรัฐ ในแบบที่ดูไกลเกินความจริงได้ มันเป็นเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ “มันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะรู้มากนักนอกเหนือจากสิ่งที่ปรากฏในข่าว” เฮมส์เวิร์ธบอก “สำหรับตัวละครอย่างนิค มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ มันอยู่ในสายเลือดของเขาครับ”

เฮมส์เวิร์ธได้พบและคุยกับแฮ็กเกอร์อาชีพ ซึ่งหลายคน เคยถูกส่งเข้าคุกมาแล้ว เหมือนกับตัวละครของเขา มันเป็นประสบการณ์ให้ความรู้สำหรับนักแสดงผู้อธิบายว่า ผู้ที่ทำให้เขาเข้าใจถึงโลกของการกดปุ่มและตัวเลขที่ไม่มีจุดสิ้นสุด มีความเข้าใจเทคโนโลยีที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในแบบที่เกือบจะหลุดโลก “มันเป็นเหมือน The Matrix สำหรับพวกเขาครับ” เฮมส์เวิร์ธเล่า “พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ มันเป็นอีกภาษา เป็นชุดตัวเลข ตัวอักษร และการเว้นวรรค มันเหมือนความยุ่งเหยิงสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ถ้าคุณใช้ชีวิตในโลกใบนั้น มันก็มีความหมายอีกอย่างหนึ่งเลยครับ”

มิตรภาพระหว่างแฮธาเวย์และเฉินเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมห้องกันที่เอ็มไอที ในตอนที่เส้นทางโอกาสของพวกเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แม้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ในตอนที่เฉินรู้ว่ารหัสร้ายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของรหัสที่เขาและแฮธาเวย์เคยสร้างขึ้นมาสมัยเรียน เขาก็รู้ว่าเพื่อนเก่าของเขาเป็นตัวเชื่อมสำคัญที่จะนำไปสู่การไขคดีอาชญากรรมไซเบอร์นี้ได้

แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะไปกันคนละทาง บางสิ่งที่แน่นแฟ้นและแข็งแกร่งก็ยังคงอยู่ระหว่างพวกเขา นอกเหนือจากการร่วมงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์และใช้เวลาที่สนามยิงปืนเพื่อฝึกฝนฝีมือ การฝึกฝนของหวังยังรวมถึงการชกมวยกับเฮมส์เวิร์ธเพื่อปูพื้นให้กับมิตรภาพของตัวละครด้วย “เราชกมวยด้วยกันบ่อยครับ” หวังบอก “ไมเคิลชอบชกมวยและเล่าให้เราฟังถึงการทำงานในหนังเรื่อง Ali เยอะแยะเลย”

แมนน์กล่าวว่า การชกมวยมีประโยชน์หลายอย่าง “เขาคุยว่านักมวยเป็นนักแสดงที่วิเศษสุด” หวังเล่า “พวกเขาเก่งในเรื่องการจำบทอย่างรวดเร็ว ทฤษฎีของเขาคือมันเป็นเพราะพวกเขาต้องจดจำท่าทางต่างๆ ในทันที ซึ่งคล้ายกับการอ่านบทเป็นครั้งแรก เขาให้ทุกคนชกมวย รวมถึงทัง เหว่ยด้วยครับ”

Blackhat ไม่เพียงแต่เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องแรกสำหรับทัง เหว่ยเท่านั้น แต่มันยังเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเธอในกองถ่ายภาพยนตร์แอ็กชันเข้มข้นลุ้นระทึกด้วย เหลียนเป็นคนเงียบๆ แต่คิดเร็ว และตื่นตัวกับทุกสิ่งรอบตัวเธอ เฮมส์เวิร์ธกล่าวถึงตัวละครที่ทำให้แฮธาเวย์ตระหนักถึงอันตรายของสถานการณ์ของพวกเขาว่า “เธอเป็นคนที่ตระหนักถึงสภาวะที่เขาเผชิญระหว่างถูกจำคุกของเขา เธอเป็นกระจกที่ทำให้เขามองเห็นว่าเขากลายเป็นคนแบบไหน เขากลัวอะไร ท่าทีที่เขาทำอย่างต่อเนื่อง ความโกรธที่เขามีต่อผู้มีอำนาจ และการที่เรื่องพวกนั้นเป็นอุปสรรคอย่างไร เขาสนใจแต่การเชิดใส่ทุกคน จนไม่ได้มองไปที่เป้าหมายครับ”

“ฉันมองที่เขาแล้วบอกว่า ‘หยุด พอได้แล้ว’ น่ะค่ะ” ทัง เหว่ยเล่า “’คุณควรเข้าใจว่าตอนนี้คุณอยู่ในสถานการณ์อะไร’ มันทำให้แฮธาเวย์แปลกใจค่ะ” ตัวละครผู้เข้มแข็งนี้มีที่มาจากการเป็นผู้หญิงในประเทศจีน ในแวดวงวิศวกรรมระบบ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ชายเป็นใหญ่ ความมุ่งมั่นและตั้งใจของเธอทำให้เธออไต่เต้าขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ที่ไม่ธรรมดา “ตัวละครของฉันมีความสามารถมากกว่าผู้ชายส่วนใหญ่” ทัง เหว่ยกล่าว “เธอก็เลยภูมิใจทีเดียว พวกเขาเคารพเธอและงานของเธอค่ะ”

การเตรียมตัวที่เข้มข้นของทัง เหว่ย ซึ่งรวมถึงการพบกับวิศวกรระบบและโปรแกรมเมอร์ นำเธอไปสู่สังเวียนผ้าใบที่หวังและเฮมส์เวิร์ธพูดถึง “ฉันเข้าใจว่าไมเคิลอยากให้ฉันเร็วขึ้น” เธอกล่าวกลั้วหัวเราะ “ฉันก็เลยสวมนวมสีชมพูน่ารักไปฝึกชกมวยในแอลเอ” สำหรับทัง เหว่ย การชกมวยไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความมั่นใจ และทำให้ปฏิกิริยาตอบสนององเธอเฉียบคมขึ้นเท่านั้น มันยังทำให้เธอเข้าใจเรื่องทางวัฒนธรรมอีกนิดด้วย “ฉันคิดว่ามันทำให้ฉันเข้าใจวัฒนธรรมอเมริกันมากขึ้นค่ะ”

แม้ว่าคอสเตอร์จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับความพยายามจะสังหารสมาชิกในทีมของแฮธาเวย์ เขาก็ได้รับการฝึกฝนระดับเดียวกัน เขาเล่าว่า “ผมคิดว่าไมเคิลบอกว่า ‘ในกองถ่ายผม จะไม่มีปืนพลาสติก’ ต้องขอบคุณทีมอุปกรณ์และทีมอาวุธ มีความพยายามมากมายเกิดขึ้นรอบตัวเรา และสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็น่าทึ่ง ไมเคิลอยากได้มีดพกแบบพลร่มเยอรมันยุค 30s และมันก็มีมาไม่นานหลังจากนั้น มันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจสุดๆ ครับ”

 

ระเบียบโลกใหม่:

การถ่ายทำและโลเกชัน

“การเคลื่อนไหวของอาชญากรรมออนไลน์ก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ ด้วยอิสระที่ไม่มีสิ่งใดเทียบ”

                                                      –อีริค จาร์ดีน จากศูนย์นวัตกรรมนานาชาติ

 

ด้วยความที่แอ็กชันทริลเลอร์ของเขามีเรื่องราวเกิดขึ้นในสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีทั่วโลกและความทุ่มเทของเขาที่มีต่อการนำนักแสดงและผู้ชมให้ดำดิ่งลงไปในสถานที่จริง แมนน์ได้เริ่มต้นการถ่ายทำสุดทะเยอทะยานของเขา ซึ่งใช้เวลา 66 วัน ในโลเกชัน 74 แห่งในสี่ประทศ ด้วยการเดินทาง 10,000 ไมล์ มันเป็นการถ่ายทำที่เกิดขึ้นในสเกลใหญ่จนเกือบเป็นไปไม่ได้ในโลเกชันจริง ซึ่งบางแห่งไม่เคยรองรับการถ่ายทำขนาดและสโคปขนาดนี้มาก่อน ภายในตารางการทำงานที่เร่งรัด ความมุ่งมั่นของแมนน์แผ้วทางไปสู่การนำเสนอเรื่องราวที่น่าติดตามและมีภาพวิชวลโดดเด่น ภายใต้การสนับสนุนของทีมงานมากพรสวรรค์ที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น แมนน์ได้รับความร่วมมือในการรับมือกับงานยักษ์ครั้งนี้จากซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ของเขา เจ้าของรางวัลออสการ์ จอห์น เนลสัน (Gladiator, Iron Man) และฟิลิป เบรนแนน (Snow White and the Huntsman, The Wolverine)

แม้ว่าเรื่องราวที่ครอบคลุมทั่วโลกนี้จะเริ่มต้นขึ้นในชิคาโก การถ่ายทำกลับเริ่มต้นขึ้นในลอสแองเจลิส เมืองที่กลายเป็นเหมือนโลกย่อส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยชุมชนต่างๆ ที่ผูกพันกันอย่างใกล้ชิดหลายกลุ่ม หลังจากการถ่ายทำ 15 วันในโลเกชัน 11 แห่ง ตั้งแต่อาคารสำนักงานย่านดาวน์ทาวน์และร้านอาหารในโคเรียทาวน์ ไปจนถึงถนนที่เต็มไปด้วยภาพแกะสลักทางตะวันออกของแอลเอ แมนน์และทีมงานก็ได้เก็บข้าวของจากเมืองที่เขาพูดถึงว่าเป็น “เกาะแห่งคอนเทนท์” และบินไปสู่อีกมุมหนึ่งของโลก

แมนน์เล่าว่าพวกเขาโชคดีที่ได้ไปยังโลเกชันที่น่าหลงใหลมากมายในเอเชีย “วิศวกรรมโยธาทุกหนแห่งในฮ่องกงช่างพิเศษสุด ในเรื่องของการวางผังทางเท้าและการจราจรน่ะครับ มันมีสวนสาธารณะเล็กๆ ในทุกพื้นที่ว่าง ที่มีราวกั้นสเตนเลสและกระเบื้องพิเศษ เพื่อที่คนชราจะได้เดินได้สบาย ส่วนทางน้ำ เราได้เห็นสิ่งที่ดูเหมือนรูปปั้นของบรานคูซี แต่มันเป็นแค่สิ่งที่ไหลออกมาจากท่อระบายน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูเหมือนประติมากรรมมากๆ เราลงเอยด้วยการถ่ายทำฉากทั้งฉากในนั้นเพราะมันเป็นท่อระบายน้ำที่พาน้ำลงสู่อ่าว การไปถึงก้นบึ้งจะต้องผ่านเนินที่สูงหกชั้นไปครับ”

การถ่ายทำในฮ่องกง ที่พำนักของคนกว่าเจ็ดล้านคนและตึกระฟ้า 6,000 แห่ง เริ่มต้นในที่ที่สูงมาก ซึ่งก็คือชั้นที่ 118 ของโรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน ในบาร์ที่มองออกไปเห็นเกาะนี้ทั้งเกาะ เกาะซึ่งตั้งอยู่ตรงชายขอบของอาณาจักรที่กำลังปรากฏและหนึ่งในวัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปของฮ่องกง จากอดีตอาณานิคมของอังกฤษไปสู่หนึ่งในพื้นที่ปกครองพิเศษของสาธารณารัฐประชาชนจีน เป็นฉากหลังที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราวนี้…ซึ่งสะท้อนถึงการเดินทางของเหล่าตัวเอก ที่การค้นหาคำตอบของพวกเขามักจะเปลี่ยนแปลงและถูกปรับเปลี่ยนเสมอ

ตลอดเวลา 26 วัน แมนน์และทีมงานของเขาได้ตะลุยผ่านตลาดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ผ่านท่าเรือที่มีเรือหนาแน่นที่สุดในโลก ผ่านย่านเมืองเก่า เข้าสู่สถาปัตยกรรมทันสมัย จากชั้นบนสูงลิบลิ่วสู่ผืนน้ำ และพวกเขาก็ได้ใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภาพวิชวลงดงามของฮ่องกงอย่างเต็มที เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยเรื่องราว แมนน์ก็เลยอยากให้ภาพวิชวลดูยุ่งเป็นพิเศษ ผู้ออกแบบงานสร้าง กาย เฮนดริกซ์ ไดแอส จึงใช้การวางแพทเทิร์นทับซ้อนกันหลายๆ ชั้นอย่างซับซ้อน ในขณะที่ผู้กำกับภาพสจวร์ต ดรายเบิร์กห์และแมนน์เลือกใช้ลองเลนส์หลายตัว

การตะลุยผ่านท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนและพื้นที่ที่แคบอย่างเหลือเชื่อท่ามกลางอากาศร้อนชื้นในช่วงฤดูร้อนของฮ่องกงเป็นสิ่งที่เพิ่มความยากลำบากเข้าไปอีก แต่อย่างที่เฮมส์เวิร์ธบอก มันเป็นความท้าทายที่สร้างขึ้นอย่างประณีตด้วยจุดประสงค์และความตั้งใจ เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ ในงานสร้างของแมนน์ “ไมเคิลพบห้องเล็กๆ สกปรกที่ให้ความรู้สึกเหมือนโฮสเทล ผนังสีลอก มีกลิ่นสารพัด ซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นกลิ่นอะไร และไม่มีกลิ่นไหนที่เป็นกลิ่นดีๆ เลย” นักแสดงหนุ่มกล่าวพลางหัวเราะเมื่อเล่าถึงโลเกชันคับแคบที่ถูกใช้เป็นเซฟเฮาส์สำหรับทีมของพวกเขา “เมื่อคุณมองไปรอบๆ คุณจะสังเกตถึงเสียงที่อยู่ในแบ็คกราวน์ ทั้งแสงไฟนีออน เสียง การเคลื่อนไหว แล้วคุณก็จะคิดว่า ‘นี่อาจเป็นห้องที่ไหนก็ได้’ แล้วคุณก็จะรู้สึกได้ว่าสำหรับไมเคิล ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญเลย”

หลังจากทิ้งฮ่องกงไว้เบื้องหลัง แมนน์และทีมงานก็เดินทางไปยังชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซียเพื่อถ่ายทำผลลัพธ์ที่รุนแรงหลังจากมีการรั่วไหลของโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ แมนน์อธิบายเหตุผลของเขาว่า “เรื่องราวนำเหลียนและแฮธาเวย์ไปสู่พื้นที่แปลกๆ ของมาเลเซีย ที่เรียกว่า เปรัค ที่มีภูมิประเทศพื้นผิวขรุขระของเหมืองดีบุกครับ”

จากชายฝั่งมาเลเซีย ทีมงานได้บินไปตามช่องแคบมะละกา ผ่านทะเลชวา และลงเอยที่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ที่นั่น ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถึงจุดสูงสุดด้านวิชวล และเหลียนและแฮธาเวย์ก็กลายเป็น “ผู้เขียนเหตุการณ์” ตามที่แมนน์เล่า เขากล่าวว่า “หลังจากฮ่องกง พวกเขาก็ไปมาเลเซีย แล้วท้ายที่สุด พวกเขาก็ไปใจกลางเมืองจาการ์ตา ซึ่งเป็นสถานที่ที่พลุกพล่าน ที่มีประชากร  20 ล้านคนในช่วงกลางวัน และ 10 ล้านคนในช่วงกลางคืน เพราะคน 10 ล้านคนเดินทางมาทำงานทุกวัน มันก็เลยให้ความรู้สึกเหมือนชิคาโก แต่มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนสถานที่ที่พิลึกพิลั่นด้วยเพราะมันมีความเฉพาะเจาะจงทางวัฒนธรรมเหลือเกิน และมันก็มีวัฒนธรรมที่หลากหลายมากๆ ในอินโดนีเซียด้วยครับ”

ระหว่าง 10 วันที่ทีมงานถ่ายทำในเมืองหลวงของประเทศหมู่เกาะแห่งนี้ พวกเขาก็ได้วิ่งวุ่นไปทั่วเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน ตั้งแต่อาคารหลายชั้นที่ยังสร้างไม่เสร็จดี โครงสร้างตึกที่ถูกทิ้งร้าง ไปจนถึงเรือบูกิส ที่มีลำเรือกินน้ำลึกและทาสีเป็นแถบกว้างๆ เรือเหล่านี้จอดเรียงรายกันอยู่ที่ท่าเรือโคตาหรือเมืองเก่า ที่ซึ่งชาวดัทช์เรียกกันว่าปัตตาเวีย และชาวอินโดนีเซียเรียกกันว่า ซุนดา เคลาปา แมนน์และทีมงานได้แล่นรถไปตามท้องถนนที่หนาแน่นไปด้วยรถและสกู๊ตเตอร์ที่ซ้อนสาม สี่หรือห้าคน อย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางเมืองหลวงเก่าแก่ 1,700 ปี ที่เต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวา

แม้ว่าประเทศแห่งนี้จะมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เล็กๆ แต่ก็กระตือรือร้น ก็ไม่เคยมีความพยายามในการถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ในจาการ์ตามาก่อน แม้กระทั่ง The Year of Living Dangerously ภาพยนตร์คลาสสิกของปีเตอร์ เวียร์ในปี 1982 ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ที่เรื่องราวเกิดขึ้นในจาการ์ตา ก็ยังถ่ายทำที่อื่นเนื่องด้วยคำขู่ของพวกหัวรุนแรง แม้ว่าจะมีคนบอกแมนน์ว่าการถ่ายทำที่นั่นเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เขาก็ถูกดึงดูดเข้าหาความมีชีวิตชีวาที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองแห่งนี้ เขาประทับใจอย่างยิ่งกับสีสันที่สมบูรณ์แบบของมัน ทั้งอาคารรัฐบาลสีเขียว โรงแรมสีแดงและน้ำตาลเข้ม และป้ายไฟนีออนสีเหลืองและฟ้า มันเป็นภาพวิชวลที่แมนน์ถ่ายทอดออกมาได้อย่างแม่นยำ

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก และเป็นประเทศที่มีจังหวะชีพจรไม่เหมือนประเทศอื่นๆ แมนน์ ชาวชิคาโก มักมองพลังงานที่น่าหลงใหลของชีวิตในเมืองในแง่บวกเสมอ เขาพบพลังงานแบบนั้นในจาการ์ตา และมันก็ช่วยตอกย้ำความตั้งใจของเขาที่จะหาวิธีถ่ายทำที่นั่นให้ได้ ท้ายที่สุด ผู้กำกับก็ได้สานสายสัมพันธ์กับรัฐบาลและนักธุรกิจเอกชนเพื่อทำให้วิสัยทัศน์ของเขากลายเป็นจริงขึ้นมา

สี่วันสุดท้ายในเมืองที่ประชากรหนาแน่นที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกใช้ที่ลาพันแกน บันเทง หรือจัตุรัสปาปัว เพื่อถ่ายทำหนึ่งในฉากที่ท้าทายที่สุดของเรื่อง ซึ่งก็คือฉากการพบกันระหว่างชายสองคนที่เป็นศูนย์กลางของเรื่อง แฮธาเวย์ และซาดัค คู่ปรับผู้ร้ายกาจของเขา ในลานสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่อนุสาวรีย์ปลดปล่อยอิเรียน จายา แมน์ได้รวบรวมตัวประกอบ 3,000 คนในชุดดั้งเดิมที่หลากหลาย ภายใต้การดูแลของผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายสามรางวัลอคาเดมี อวอร์ด คอลลีน แอทวู้ด ใต้เงาของรูปปั้นบรอนซ์สูง 65 ฟุตของชายผู้สลัดพันธนาการอาณานิคมออกไป “มันเป็นสัญลักษณ์ของการที่คนปาปัวเป็นอิสระจากชาวดัทช์” ทีมงานชาวจาการ์ตาคนหนึ่งอธิบาย และกล่าวเสริมแบบเย้ยหยันตามสไตตล์ของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ว่า “ตอนนี้ พวกเขาเป็นอิสระแล้วหรือยัง ผมก็ไม่รู้สินะ”

แฮธาเวย์และซาดัคเผชิญหน้ากันและกันท่ามกลางการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ ช่วงเวลานี้ชะงักงันท่ามกลางแสงสี โดยมีปีศาจอัปลักษณ์และสัตว์ประหลาดบินได้เดินพาเหรดในหมู่คนนับพันที่ถือคบเพลิงอยู่ด้านล่างและหญิงสาวหลากสีสันที่เต้นระบำอยู่ด้านบน ทั้งหมดโยกย้ายไปตามท่วงทำนองดนตรีปี่พาทย์ของอินโดนีเซีย

พระเอกของเรามาถึงจัตุรัสแห่งนี้ โดยมีเพียงนิตยสารที่ถูกติดไว้ตามตัวเขาเพื่อการป้องกันและไขควงที่ถูกลับให้คม ตามสไตล์คนคุก เฮมส์เวิร์ธบอกว่า “เขากำลังจะเข้าสู่สงครามกระสุนกับคนหกคน และเขาก็มีของติดตัวเท่านั้นเอง” แต่ฉากนี้ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยความย้อนแย้งนี้ท่ามกลางการจำลองงานเฉลิมฉลองที่แปลกประหลาดและงดงามของอินโดนีเซีย “ผมชอบความแตกต่างนั้นเพราะถึงตอนนั้น มันไม่ค่อยมีความหวังเท่าไหร่แล้ว เราก้าวจากโลกดิจิตอล ไฮเทคสู่การเฉลิมฉลองดั้งเดิมที่มีมาหลายร้อยปีแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะในสเกลที่ไมเคิลสร้างขึ้นมาด้วยตัวประกอบหลายพันคน ทั้งชุด แดนเซอร์ หุ่นเชิดขนาดใหญ่ มันช่างงดงามจริงๆ ครับ”

ด้วยความซาบซึ้งในความช่วยเหลือและความร่วมมือที่กองถ่ายได้รับในการทำให้การถ่ายทำเกิดขึ้นได้ กองถ่ายที่มักจะปิดของแมนน์ก็ได้เปิดประตูเพื่อต้อนรับแขกและบุคคลสำคัญชาวอินโดนีเซีย หนึ่งในผู้มาเฝ้าดูการถ่ายทำด้วยคือผู้ว่าการจาการ์ตา โจโก วิโดโด ผู้ที่ตอนนั้นมีข่าวลือหนาหูว่าจะลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดี และภายหลังก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอินโดนีเซียจริงๆ

หลังจากจาการ์ตา ผู้กำกับก็พาทีมงานของเขาบินไปกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อปิดกองภาพยนตร์เรื่อง Blackhat ที่นั่น พวกเขาได้โยนรถบรรทุกจากด้านบนของโรงจอดรถทะลุผนังคอนกรีต มันจะร่วงลงไป 34 ฟุต ลงไปบนหลังคาตึก ก่อนจะ “กระเด้ง” และร่วงลงไปอีก 12 ฟุต ก่อนที่จะถึงถนนเบื้องหลัง…ซึ่งทั้งหมดเป็นโลเกชันจริงทั้งนั้น

นอกเหนือจากการโยนรถลงจากตึกแล้ว การถ่ายทำเรื่องราวการไล่ล่าข้ามโลกนี้ก็ต้องอาศัยยานพาหนะที่เคลื่อนตัวรวดเร็วที่หลากหลาย ตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ รถยนต์และเฮลิคอปเตอร์ ไปจนถึงเครื่องบินขนาดเล็กและเรือทุกขนาด ตั้งแต่ย่อมเยาไปจนยักษ์ใหญ่ ในฉากสั้นๆ ที่เรือไม่ได้รับอนุญาตให้จอดเทียบท่า เมื่อประกันของมันถูกยกเลิกเพราะมูลค่าของสินค้าจู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ผู้กำกับได้เลือกใช้เรือขนส่งสินค้าระวาง 120 ตัน ซึ่งเป็นเรือขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก

การออกแบบท่าเคลื่อนไหวของแมนน์เปล่งประกายชัดเจนที่สุดระหว่างฉากไล่ล่าระหว่างทีมที่นำโดยแฮธาเวย์และเฉิน พร้อมด้วยผู้ร่วมงานจากฮ่องกงของพวกเขา และคัสซาร์และลูกสมุนตัวเอ้ของเขา พวกเขาเคลื่อนตัวจากกลางอากาศสู่ตรอกเล็กๆ ในหมู่บ้านริมทะเล เช็ค โอ ผ่านท่าเรือขนส่งสินค้าของเมือง ทะลวงผ่านท่อระบายน้ำสมัยใหม่ ออกสู่ท่าเรือวิคตอเรีย โดยแมนน์และทีมงานได้ถ่ายทำฉากนี้จากเรือสู่เรือ และจากเฮลิคอปเตอร์สู่เรือ ในช่องทางเดินเรือสองทางในเส้นทางเดินเรือหลวง ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางการเดินเรือที่หนาแน่นที่สุดในโลก ด้วยเรือแบ็คกราวน์ 11 ลำ เรือถ่ายทำสองลำ และเรือสนับสนุนอีกเจ็ดลำ ที่แล่นด้วยความเร็วกว่า 30 น็อท ซีเควนซ์ที่น่าทึ่งนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ลงได้

ทัง เหว่ยสรุปเกี่ยวกับการถ่ายทำที่ไม่เคยอยู่นิ่งเรื่องนี้ว่า “เราได้ทดลองการเดินทางทุกรูปแบบค่ะ…และในวันหนึ่ง เราก็ได้ใช้การเดินทางทุกรูปแบบด้วยซ้ำไปค่ะ”

****

เลเจนดารี พิคเจอร์สและยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ภาพยนตร์โดยไมเคิล แมนน์ ผลงานสร้างของเลเจนดารี พิคเจอร์ส/ฟอร์เวิร์ด พาส และคริส เฮมส์เวิร์ธใน Blackhat นำแสดงโดยทัง เหว่ย, วิโอลา เดวิส, ริทชี คอสเตอร์, โฮลท์ แม็คคัลลานี, โยริค แวน วาเกนนินเกน และหวังลี่หง ดนตรีของเรื่องโดยแฮร์รี เกร็กสัน-วิลเลียมส์, แอททิคัส รอสและออกแบบงานสร้างโดยคอลลีน แอทวู้ด ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์คือจอห์น เนลสัน, ฟิลิป เบรนแนน มือลำดับภาพของเรื่องได้แก่โจ วอล์คเกอร์, สตีเฟน ริฟคิน, เอซีอี, เจเรไมอาห์ โอ’ ดริสคอล, มาโกะ คามิสึนะ ผู้ออกแบบงานสร้างของแอ็กชันทริลเลอร์เรื่องนี้คือกาย เฮนดริกซ์ ไดแอส และผู้กำกับภาพคือสจวร์ต ดรายเบิร์กห์, เอเอสซี ผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่องได้แก่อีริค แม็คลีออด, อเล็กซ์ การ์เซีย และผู้อำนวยการสร้างของเรื่องได้แก่โทมัส ทัลล์, พี.จี.เอ., ไมเคิล แมนน์, พี.จี.เอ., จอน จาชนี, พี.จี.เอ. Blackhat เขียนบทโดยมอร์แกน เดวิส โฟเอห์ล กำกับโดยไมเคิล แมนน์ © 2014 Universal Studios. www.blackhatthemovie.com

 

ประวัตินักแสดง

คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) รับบท นิโคลัส แฮธาเวย์

คริส เฮมส์เวิร์ธ นักแสดงชาวอิตาเลียน กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในฮอลลีวูด เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งได้แสดงใน Marvel’s The Avengers ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับสาม ประกบทีมนักแสดงชั้นนำ ซึ่งรวมถึงโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, ซามวล แอล. แจ็คสันและสการ์เล็ตต์ โยฮันสัน ก่อนหน้านี้ เขาได้แสดงในภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง Snow White and the Huntsman ประกบคริสเตน สจวร์ตและชาร์ลิซ เธอรอน ซึ่งเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศ และเขายังถูกวางตัวให้นำแสดงในพรีเควล The Huntsman เขาเป็นที่รู้จักของผู้ชมจากบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Marvel’s Thor ที่กำกับโดยเคนเนธ บรานาห์

ในปี 2013 เขาได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Thor: The Dark World ภาคสองของ Thor และภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง Rush ในบทเจมส์ ฮันท์ นักแข่งรถสูตร 1

หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงในภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สเรื่อง In the Heart of the Sea ที่กำกับโดยโฮเวิร์ด และมีกำหนดจะเข้าฉายในเดือนมีนาคม ปี 2015, Avengers: Age of Ultron ภาคถัดมาของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับโลก The Avengers ที่มีกำหนดเข้าฉายในเดือนพฤษภาคม ปี 2015 และภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สเรื่อง Vacation ที่มีกำหนดเข้าฉายเดือนตุลาคม ปี 2015

เขาเปิดตัวในแวดวงภาพยนตร์อเมริกันในภาพยนตร์โดยเจ.เจ.อับรามส์เรื่อง Star Trek ในบทจอร์จ เคิร์ค ประกบคริส ไพน์และโซอี้ ซัลดานา ผลงานอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์ที่ร่วมเขียนบทโดยจอส วีดอนเรื่อง The Cabin in the Woods, รีเมกเรื่อง Red Dawn โดยแดน แบรดลีย์ ที่เขานำแสดงในบทที่เคยเป็นของแพทริค สเวซีย์มาก่อน, ภาพยนตร์รีเลทีฟวิตี้ มีเดีย/โร้ค พิคเจอร์สเรื่อง A Perfect Getaway ประกบทิโมธี โอลายแฟนท์และ Ca$h ประกบฌอน บีน

เขาเกิดและเติบโตในออสเตรเลีย และสนับสนุนมูลนิธิออสเตรเลียน ไชลด์ฮู้ด

 

       ทัง เหว่ย (Tang Wei) รับบท เฉินเหลียน

ทัง เหว่ย นักแสดงหญิงชื่อดัง เกิดในเมืองหังโจว ประเทศจีน สำเร็จการศึกษาจากเซ็นทรัล อคาเดมี ออฟ ดรามา ที่โด่งดังของประเทศจีน

ทัง เหว่ย เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยพีเรียดดรามารางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยผู้กำกับอัง ลีเรื่อง Lust, Caution (2007) ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่นำแสดงโดยเหลียงเฉาเหว่ย (In the Mood for Love) และโจน เฉิน (The Last Emperor) ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ และทำให้เธอได้รับรางวัลและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลนักแสดงหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส จากบทหว่องไซชิ นักปฏิวัติสาวที่ตกหลุมรักชายหนุ่มที่เธอวางแผนจะสังหาร

การแสดงที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมของทัง เหว่ยในภาพยนตร์โดยผู้กำกับฮ่องกง ไอวี โฮเรื่อง Crossing Hennessy (2010) ทำให้เธอได้รับรางวัลไชนีส ฟิล์ม มีเดีย อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลฮ่องกง ฟิล์ม อวอร์ด

เธอเริ่มได้รับความนิยมในคาบสมุทรเกาหลีในปี 2010 หลังจากที่เธอได้แสดงในภาพยนตร์ยอดนิยมภาษาอังกฤษเรื่อง Late Autumn ภาพยนตร์เกาหลีที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในจีน ที่กำกับโดยคิมแทยองของเกาหลีใต้และร่วมแสดงโดยฮยอนบิน นอกจากนั้น การแสดงของเธอยังทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีแบ็คซัง อาร์ตส์ อวอร์ด, สมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ปูซานและสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์เกาหลี ทำให้เธอเป็นนักแสดงที่ไม่ใช่ชาวเกาหลีคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงทั้งสามรางวัลดังกล่าว

ในปี 2012 เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีฮ่องกง ฟิล์ม อวอร์ดจากการแสดงในภาพยนตร์โดยปีเตอร์ ชานเรื่อง Dragon (2011) ซึ่งเธอแสดงประกบดอนนี เยน (Ip Man) และทาเคชิ คาเนชิโระ (House of Flying Daggers)

ในปี 2011 เธอได้แสดงในภาพยนตร์โดยจิงเกิล มา ผู้กำกับชื่อดังชาวฮ่องกง (Rumble in the Bronx) เรื่อง Speed Angels

ล่าสุด ทัง เหว่ย ได้นำแสดงในคอเมดีดังปี 2013 เรื่อง Finding Mr. Right และภาพยนตร์โดยแอน ฮุยเรื่อง  Golden Era

 

       วิโอลา เดวิส (Viola Davis) รับบท แครอล บาร์เร็ตต์

วิโอลา เดวิส เป็นนักแสดงจอแก้ว จอเงินและละครเวทีเจ้าของรางวัลที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม ที่เป็นที่รู้จักจากบทบาทที่หลากหลายของเธอ

ในหนึ่งในซีรีส์ดังประจำซีซันฤดูใบไม้ร่วงปี 2014 เดวิสได้รับบทนำในดรามาเอบีซีเรื่อง How to Get Away With Murder จากเอบีซี สตูดิโอส์และชอนดาแลนด์ ซีรีส์เรื่องนี้ ที่มียอดผู้ชม 14.24 ล้านคนในช่วงเปิดตัว เป็นทริลเลอร์กฎหมายเซ็กซี ลุ้นระทึก ที่เล่าเรื่องของนักเรียนกฎหมายผู้ทะเยอทะยานและอาจารย์คดีอาญาผู้ชาญฉลาดและลึกลับ (เดวิส) ของพวกเขา ที่ไปพัวพันกับแผนการฆาตกรรมที่สามารถทำให้ทั้งมหาวิทยาลัยสั่นสะเทือนและเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง

ในซัมเมอร์ปี 2014 เดวิสได้ร่วมมือกับเทท เทย์เลอร์ (The Help) ในภาพยนตร์ชีวประวัติเจมส์ บราวน์เรื่อง Get on Up ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยแชดวิค โบสแมนในบท “เจ้าพ่อจิตวิญญาณ” และเล่าเรื่องการไต่เต้าจากความยากจนของเขาไปสู่การเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในประวัติศาสตร์ เดวิสรับบทซูซี บราวน์ แม่ของเจมส์

ในปี 2012 เดวิสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากบทไอบิลีน คลาร์ค ผู้หัวใจสลายแต่เย็นชาใน The Help ซึ่งร่วมแสดงโดยเอ็มมา สโตน, ไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ดและอ็อกตาเวีย สเปนเซอร์ เทย์เลอร์ได้กำกับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายเบสต์เซลเลอร์โดยแคธริน สต็อกเก็ตต์ และมีเรื่องราวเกิดขึ้นในเมืองแจ็คสัน รัฐมิสซิสซิปปี้ ระหว่างศตวรรษที่ 60s ที่วุ่นวาย นอกจากนี้ The Help ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เธอได้รับรางวัลสมาพันธ์นักแสดงและรางวัลคริติกส์ ชอยส์ มูฟวี อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากบทไอบิลีน และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและบาฟตา อวอร์ด ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลแซ็กและคริติกส์ ชอยส์ มูฟวี อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม

ในปี 2008 เดวิสได้นำแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Doubt ที่สร้างจากละครรางวัลโทนี อวอร์ดโดยจอห์น แพทริค แชนลีย์ โดยเธอรับบทคุณนายมิลเลอร์ แม่ของเด็กชายที่เป็นที่สนใจของนักบวชคาธอลิค เดวิสได้แสดงร่วมกับเมอริล สตรีพ, เอมี อดัมส์และฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมน ผู้ล่วงลับ เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลแซ็ก อวอร์ดและอคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม สมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติได้มอบรางวัลนักแสดงแจ้งเกิดยออดเยี่ยมให้กับเดวิส และนอกจากนี้ เธอยังได้รับรางวัลเวอร์ทูโซ อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติซานตา บาร์บาราอีกด้วย

ตามที่ผลงานของเธอแสดงให้เห็น เดวิสเป็นที่ต้องการตัวสำหรับบทบาทหลากหลาย ในช่วงต้นปี 2014 เดวิสเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Lila & Eve ซึ่งเธอแสดงประกบเจนนิเฟอร์ โลเปซในเรื่องราวเกี่ยวกับแม่สองคน ที่ลูกๆ ถูกฆ่าจากการขับรถแล้วยิง เดวิสรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ร่วมกับสามีของเธอ จูเลียส เทนนอน สำหรับจูวี โปรดักชันส์ บริษัทของพวกเขา

ในปี 2012 เดวิสและเทนนอนได้ก่อตั้งบริษัทข้ามชาติของพวกเขา ที่มุ่งมั่นในการสร้างภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวที่ยอดเยี่ยม สำหรับโปรเจ็กต์ภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขา พวกเขาได้ซื้อสิทธินิยายปี 2008 ของแอน เวสการ์เบอร์เรื่อง “The Personal History of Rachel DuPree” ซึ่งเล่าเรื่องราวของดูปรี ตัวละครสมมติชาวชิคาโกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ผู้จากบ้านเพื่อไปเป็นภรรยาของชาวไร่ในแบดแลนด์ในเซาธ์ ดาโกตา ในเรื่องราวนี้ คนขาวที่ตั้งถิ่นฐานใกล้ๆ ต้องพึ่งพากันและกันระหว่างช่วงภัยแล้งในซัมเมอร์ปี 1917 แต่ดูปรีผู้กำลังตั้งครรภ์รู้สึกอ้างว้างจากเรื่องของเชื้อชาติและภูมิประเทศ เรื่องราวนี้ให้น้ำหนักที่ความพยายามที่จะเอาชีวิตรอดและการหาเลี้ยงครอบครัวของเธอ และสำรวจความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติในชีวิตของกลุ่มผู้บุกเบิกผิวสี โปรเจ็กต์อื่นๆ ของจูวี โปรดักชันส์รวมถึงเรื่องราวของนักเลิกทาส แฮร์เรียต ทับแมน, วี-เจย์ เรคคอร์ดส์ ค่ายเพลงที่ปล่อยแทร็คแรกๆ ของวงเดอะ บีเทิลส์ในอเมริกาและชีวประวัติของนักการเมืองและผู้นำด้านสิทธิมนุษยชน บาร์บารา จอร์แดน

ในปี 2013 ผู้ชมภาพยนตร์ได้เห็นเดวิสในโปรเจ็กต์ต่างๆ สี่เรื่อง ในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายไซไฟยอดนิยมเรื่อง “Ender’s Game” เดวิสได้รับบทนักจิตวิทยาทางทหาร นายพล เกวน แอนเดอร์สัน ประกบอาซา บัตเตอร์ฟิลด์, เฮลลีย์ สไตน์เฟลด์, อาบิเกล เบรสลินและแฮร์ริสัน ฟอร์ด ซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนต์นำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 2013 ใน Prisoners ทริลเลอร์มืดหม่นฝันร้ายเกี่ยวกับสองครอบครัวที่หัวใจสลายจากการที่ลูกสาวถูกลักพาตัวในวันขอบคุณพระเจ้า เดวิสได้แสดงประกบเจค จิลเลนฮัล, ฮิวจ์ แจ็คแมน, มาเรีย เบลโล, เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ดและพอล ดาโน อัลคอน เอนเตอร์เทนเมนต์และวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส ได้นำ Prisoners เข้าฉายในวันที่ 20 กันยายน ปี 2013 ภาพยนตร์เรื่อง  The Disappearance of Eleanor Rigby ซึ่งเป็นขวัญใจเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2013 แสดงให้เห็นถึงมุมมองร่วมสมัยที่มีต่อการแต่งงานสมัยใหม่และนำแสดงโดยเดวิสในบทสำคัญประกบเจสสิกา เชสเทนและเจมส์ แม็คอะวอย ภาพยนตร์เรื่องนี้รวมสามมุมมองเข้าด้วยกัน คือเขา เธอและพวกเขา ที่ถ่ายทอดโดยสามีและภรรยา มิเรียด พิคเจอร์สและยูนิซัน ฟิล์มส์ อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้และไวน์สตีน คัมปะนีซื้อสิทธิภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากเทศกาลภาพยนตร์เรื่องนี้  ในภาพยนตร์เรื่อง Beautiful Creatures ที่เข้าฉายในวันวาเลนไทน์ เดวิสได้ร่วมแสดงกับเอ็มมา ธอมป์สันและเจเรมี ไอรอนส์ในเรื่องราวของวัยรุ่นสองคนที่เผชิญกับคำสาปหลายรุ่น วอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สและอัลคอน เอนเตอร์เทนเมนต์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้

ในเดือนกันยายน ปี 2012 เดวิสได้แสดงประกบแม็กกี้ จิลเลนฮัลและฮอลลี ฮันเตอร์ในภาพยนตร์เรื่อง Won’t Back Down ที่ให้น้ำหนักไปที่ผู้หญิงสองคนที่ดิ้นรนจะสร้างความแตกต่างที่โรงเรียนท้องถิ่น

ในปี 2011 เดวิสได้ร่วมแสดงกับทอม แฮงค์และแซนดรา บุลล็อคในภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สและพาราเมาท์ พิคเจอร์สเรื่อง Extremely Loud & Incredibly Close เรื่องราวหลังเหตุการณ์ 9/11 ที่กำกับโดยสตีเฟน ดัลดรี้และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 2012 สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

ผู้ชมละครเวทีได้เห็นเดวิสแสดงประกบเดนเซล วอชิงตันในละครบรอดเวย์ที่สร้างจากเรื่อง Fences โดยออกัสต์ วิลสัน การแสดงในบทโรส แม็กสันของเธอทำให้เธอได้รับรางวัลโทนี อวอร์ด รวมถึงรางวัลนิวยอร์ก ดรามา คริติกส์ เซอร์เคิล, เอาเตอร์ คริติกส์ เซอร์เคิลและดรามา เดสก์ อวอร์ด นอกจากนั้น Fences ยังได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดสาขาละครเวทีที่นำกลับมาสร้างใหม่ยอดเยี่ยม และเป็นละครเวทีที่มีผลกำไรสูงสุดแห่งปีอีกด้วย

ในเดือนมิถุนายน ปี 2010 เดวิสได้แสดงในแอ็กชันคอเมดีทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง Knight and Day ประกบทอม ครูซและคาเมรอน ดิแอซ สำหรับผู้กำกับเจมส์ แมนโกลด์ หลังจาก Knight and Day เดวิสก็ได้แสดงประกบจูเลีย โรเบิร์ตสในภาพยนตร์โซนี พิคเจอร์สเรื่อง Eat Pray Love ที่เธอรับบทเพื่อนซี้ของโรเบิร์ตส์ นอกจากนั้น ในปี 2010 เดวิสยังได้แสดงในดรามาโดยโฟกัส ฟีเจอร์สเรื่อง It’s Kind of a Funny Story ประกบเอ็มมา โรเบิร์ตส์, ลอเรน เกรแฮมและแซ็ค กาลิฟิอานาคิส อีกด้วย

ในปีเดียวกัน เดวิสได้แสดงในหกเอพิโซดของซีรีส์ยอดนิยมทางโชว์ไทม์เรื่อง United States of Tara ที่เขียนบทโดยเดียโบล โคดี้ นักเขียนเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เดวิสได้รับบทลินดา พี. เฟรเซียร์ ศิลปินนิสัยพิลึกพิลั่น ผู้เป็นเพื่อนของทารา (โทนี คอลเล็ตต์)

ผลงานภาพยนตร์ของเธอรวมถึงดรามาโดยจอร์จ ซี. วูลฟ์ปี 2008 เรื่อง Nights in Rodanthe ซึ่งนำแสดงโดยไดแอน เลน, ริชาร์ด เกียร์และเจมส์ ฟรังโก้ ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส

เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมปี 2003 จากการแสดงของเธอใน Antwone Fisher ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ภาพยนตร์โดยไทเลอร์ เพอร์รีเรื่อง Madea Goes to Jail, State of Play, Law Abiding Citizen, Disturbia, The Architect, Get Rich or Die Tryin’ และ Far From Heaven เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์ใน Solaris, Traffic และ Out of Sight รวมถึง Syriana ซึ่งโซเดอร์เบิร์กห์ได้ควบคุมงานสร้างให้กับผู้กำกับสตีเฟน กาแกน

ผลงานจอแก้วของเดวิสรวมถึงการร่วมแสดงในมินิซีรีส์เอแอนด์อีเรื่อง The Andromeda Strain, บทประจำใน Law & Order: Special Victims Unit, บทประจำในซีรีส์ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางซีบีเอส Jesse Stone ประกบทอม เซลเล็ค, บทนำ ไดแอน บาร์ริโน ในภาพยนตร์ไลฟ์ไทม์เรื่อง The Fantasia Barrino Story: Life Is Not a Fairytale, บทนำในซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง Century City และซีรีส์โดยสตีเวน บอชโก้เรื่อง City of Angels นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้แสดงใน Amy & Isabelle โดยโอปราห์ วินฟรีย์และ Grace & Glorie ทางฮอลมาร์ค ฮอล ออฟ เฟมอีกด้วย

ในปี 2004 เดวิสได้แสดงในละคเวทีโดยลินน์ นอทเทจเรื่อง Intimate Apparel โปรดักชันของราวน์อเบาท์ เธียเตอร์ คัมปะนี ที่กำกับโดยแดเนียล ซัลลิแวน เธอได้รับรางวัลสูงสุดสำหรับละครออฟบรอดเวย์ ซึ่งรวมถึงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีดรามา เดสก์, ดรามา ลีค, โอบี้และออเดลโก รวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูซิลล์ ลอร์เทล อวอร์ดอีกด้วย เธอได้กลับมารับบทเดิมอีกครั้งในการแสดงที่มาร์ค เทเปอร์ ฟอรัมในลอสแองเจลิส ที่เธอได้รับรางวัลแอลเอ สเตจ อัลลิแอนซ์ โอเวชัน, ลอสแองเจลิส ดรามา คริติกส์ เซอร์เคิลและแบ็คสเตจ เวสต์ การ์แลนด์ อวอร์ด

ในปี 2001 เดวิสได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในละครเวทีจากบททอนยาในละครเรื่อง King Hedley II เธอเป็นที่สนใจของผู้ชมและนักวิจารณ์จากบทหญิงวัย 35 ปี ที่ถูกบีบให้ต้องสู้เพื่อสิทธิในการทำแท้งในกรณีตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ นอกจากนี้ เธอยังได้รับรางวัลดรามา เดสก์ อวอร์ดจากการแสดงของเธออีกด้วย

เดวิสสำเร็จการศึกษาจากจูเลียร์ด สคูลและได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์สาขาศิลปกรรมศาสตร์จากโร้ด ไอแลนด์ คอลเลจ สถานศึกษาเก่าของเธอ

เธอใช้ชีวิตในลอสแองเจลิสกับสามีของเธอ จูเลียส เทนนอน

 

ริทชี คอสเตอร์ (Ritchie Coster) รับบท เอเลียส คัสซาร์

ริทชี คอสเตอร์ เกิดและเติบโตในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่ซึ่งเขาได้ศึกษาที่กิลด์ฮอล สคูล ออฟ มิวสิค แอนด์ ดรามา ผลงานละครเวทีของเขารวมถึงบทนำใน Macbeth (เซ็นเตอร์ สเตจ), โลพาคินใน The Cherry Orchard (วิลเลียมส์ทาวน์ เธียเตอร์ เฟสติวัล) และเท็ดดี้  ลอยด์ใน The Prime of Miss Jean Brodie (เอคอร์น เธียเตอร์) ประกบซินเธีย นิกสัน

นอกเหนือจากนั้น คอสเตอร์ยังได้เป็นดารารับเชิญในซีรีส์หลายเรื่องที่ถ่ายทำในนิวยอร์ก รวมถึงแฟรนไชส์ Law & Order franchise, Sex and the City, CSI: Crime Scene Investigation และ Kidnapped เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้แสดงในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Luck และซีรีส์ยอดนิยมทางเอ็นบีซีเรื่อง The Blacklist

ผลงานภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ของคอสเตอร์ได้แก่การนำแสดงภาพยนตร์เอบีซีเรื่อง Rear Window ประกบคริสโตเฟอร์ รีฟและมินิซีรีส์ Traffic และ John Adams ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของเขาได้แก่ The Sentinel, American Gangster ประกบรัสเซล โครว์และ The Dark Knight ประกบฮีธ เล็ดเจอร์

ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือ The Tuxedo ประกบเฉินหลง ไอดอลตั้งแต่สมัยเด็กของเขา

 

โฮลท์ แม็คคัลลานี (Holt McCallany) รับบท มาร์ค เจสซัพ

โฮลท์ แม็คคัลลานี ได้ร่วมงานกับผู้กำกับและนักแสดงที่โด่งดังที่สุดในยุคของเราในภาพยนตร์มากมายเช่น   Fight Club, Three Kings, Men of Honor, Vantage Point และ The Losers

ด้านจอแก้ว แม็คคัลลานีได้นำแสดงในซีรีส์ดรามาชื่อดังทางเอฟเอ็กซ์เรื่อง Lights Out และเขาก็ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงของเขาในบทแพทริค “ไลท์” เลียรี แชมเปียนรุ่นเฮฟวีเวท

สำหรับละคเวที ผลงานของเขารวมถึง The Taming of the Shrew, Twelfth Night, Bovver Boys, Rosetta Street และ By the Sea, By the Sea, By the Beautiful Sea

หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชัน/อนิมชันโดยพาราเมาท์ พิคเจอร์สเรื่อง Monster Trucks ที่มีกำหนดเข้าฉายเดือนพฤษภาคม ปี 2015, ภาพยนตร์แอ็กชันโดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง Run All Night ที่มีกำหนดเข้าฉายในเดือนเมษายน ปี 2015 และทริลเลอร์โดยสกรีน เจมส์เรื่อง The Perfect Guy ที่จะเข้าฉายในปี 2015

 

โยริค แวน วาเกนนินเกน (Yorick Van Wageningen) รับบท ซาดัค

โยริค แวน วาเกนนินเกน เป็นนักแสดง ผู้กำกับและมือเขียนบทชาวดัทช์ เขาใช้เวลาช่วง 15 ปีแรกของอาชีพนักแสดงไปกับการแสดงละครเวทีในเนเธอร์แลนด์ก่อนที่จะก้าวสู่โลกภาพยนตร์ เขาเริ่มต้นทำงานในอเมริกาหลังจากความสำเร็จของภาพยนตร์ดัทช์เรื่อง Total Loss ที่กำกับโดยดานา เนชูตัน และได้รับเลือกให้เข้าฉายในเอเอฟไอ เฟสต์

ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา แวน วาเกนนินเกนได้ทำงานอย่างสม่ำเสมอในฮอลลีวูด ในบทบาทต่างๆ ในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่นภาพยนตร์โดยมาร์ติน แคมป์เบลเรื่อง Beyond Borders ประกบไคลฟ์ โอเวนและแองเจลินา โจลี, ภาพยนตร์โดยเทอร์เรนซ์ มาลิคเรื่อง The New World, ภาพยนตร์โดยเดวิด ทูฮีเรื่อง The Chronicles of Riddick และภาพยนตร์โดยเอมิลิโอ เอสเตเวซเรื่อง The Way ประกบมาร์ติน ชีน ในปี 2011 เขาได้แสดงในภาพยนตร์รางวัลออสการ์โดยเดวิด ฟินเชอร์เรื่อง The Girl With the Dragon Tattoo

นอกเหนือจากนั้น แวน วาเกนนินเกนยังได้ทำงานในแวดวงภาพยนตร์ยุโรปเป็นประจำอีกด้วย เขาได้ร่วมมือบ่อยครั้งกับผู้กำกับปีเตอร์ กรีนอะเวย์และได้แสดงในภาพยนตร์โดยมาร์ติน คูลโฮเวนเรื่อง Winter in Wartime, ภาพยนตร์โดยกุยโด้ แวน ดรีลเรื่อง Resurrection of a Bastard และล่าสุดภาพยนตร์โดยลีโอนาร์โด กัวร์รา เซราโนลีเรื่อง Last Summer

เขาได้เขียนบทภาพยนตร์หลายเรื่องและถูกวางตัวให้กำกับละครเวทีเรื่องแรกของเขาในปีนี้ในเนเธอร์แลนด์

เขาสมรสแล้วและเลี้ยงสุนัขหนึ่งตัวชื่อ แอททิลลา

 

หวังลี่หง (Wang Lee Hom) รับบท เฉินต้าไว

หวังลี่หง เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง ผู้อำนวยการดนตรี นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ชาวจีน/อเมริกัน หวัง ที่เป็นที่รู้จักในนามของ “ราชันย์เพลงป๊อปจีน” ได้ปฏิวัติวงการเพลงป๊อปของจีนอย่างต่อเนื่องด้วยการผสมผสานเพลงป๊อป ร็อค แจ๊ส ฮิปฮ็อป อาร์แอนด์บี คลาสสิกและดนตรีจีนดั้งเดิม ตั้งแต่ดนตรีโฟล์คอะบอริจินไปจนถึงิ้ว หวัง ที่เป็นนักดนตรีจีนที่ขายดีที่สุดในรุ่นของเขา โด่งดังมีชื่อเสียงในฐานะไอดอลวัยรุ่นเมื่ออายุ 19 ปี และนับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้ปล่อยอัลบัมสตูดิโอเดี่ยวออกมา 15 อัลบัม และมีส่วนร่วมในการทำอัลบัมอีกกว่าสิบอัลบัม

หวังได้รับสี่รางวัลโกลเดน เมโลดี อวอร์ดของไต้หวันและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล 19 รางวัล รวมถึงได้รับ 11 รางวัลโกลบอล ไชนิส มิวสิค อวอร์ด ปัจจุบัน เขาทัวร์ในกว่า 100 เมืองทั่วโลก และได้ทำการแสดงในเวทีคอนเสิร์ตที่ตั๋วขายหมดเกลี้ยงทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อังกฤษและอเมริกา หวัง ผู้เป็นหนึ่งในบุคคลมีชื่อเสียงที่เป็นที่จดจำและโด่งดังมากที่สุดในเอเชีย มีผู้ติดตามกว่า 36 ล้านคนทางซีนา เหว่ยปั๋ว เว็บไซต์โซเชียล มีเดียวอันดับหนึ่งในจีน และได้รับการยกย่องจากซีนา ให้เป็นบุคคลแห่งปีในปี 2012

หลังจากเปิดตัวในโลกจอเงินด้วยภาพยนตร์โดยสแตนลีย์ ถงเรื่อง Strike Force (2000) หวังก็ได้สร้างสรรค์ผลงานการเขียนบทและงานกำกับเพิ่มขึ้นมา เขาได้แสดงในภาพยนตร์ภาษาจีนหลายเรื่อง รวมถึงทริลเลอร์โดยอัง ลีเรื่อง Lust, Caution (2007) และ Little Big Soldier (2010) แอ็กชันคอเมดีที่ร่วมแสดงโดยเฉินหลง นอกเหนือจากการแสดง หวังก็ได้รับหน้าที่เขียนบทและกำกับ Love in Disguise (2010) โรแมนติกคอเมดีที่สร้างสถิติในการเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดสำหรับผู้กำกับมือใหม่ในประวัติศาสตร์จีน เรื่องราวความรักนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนดนตรีของจีน ซึ่งทำให้แฟนๆ เพลงป๊อปของหวังได้สัมผัสดนตรีและเครื่องดนตรีดั้งเดิมของจีน ในเดือนกันยายน ปี 2013 หวังได้แสดงประกบจางซี่ยี่ (Crouching Tiger, Hidden Dragon) ในคอเมดีผจญภัยเรื่อง My Lucky Star

หวังเป็นนักมนุษยธรรม ที่ได้ร่วมมือกับองค์กรเวิลด์ วิชัน ไต้หวัน นับตั้งแต่ปี 2008 เขาเป็นโฆษกสำหรับโครงการสนับสนุนเด็กทั่วโลกของพวกเขาและได้เดินทางกับองค์กรนี้ไปยังลาวและเซียร์รา ลีโอน เพื่อกระตุ้นการรับรู้เกี่ยวกับความยากจนในประเทศเหล่านั้นในไต้หวัน นอกเหนือจากงานด้านมนุษยธรรมของเขาแล้ว หวังยังภาคภูมิใจในการเป็นทูตวัฒนธรรมทั่วโลก เขาพูดได้ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว เขาชื่นชอบการมีส่วนช่วยนำดนตรีและวัฒนธรรมจีนเผยแพร่สู่ผู้ชมที่พูดภาษาอังกฤษ

 

ประวัติทีมผู้สร้าง

       ไมเคิล แมนน์ (Michael Mann)—กำกับโดย/อำนวยการสร้างโดย

ในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับ ไมเคิล แมนน์ ได้พัฒนาสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเองมากๆ ในแง่ของธีมและการถ่ายทอดเรื่องราวที่ดึงจากประสบการณ์ในเมืองใหญ่ของเขา (Heat, The Insider, Ali, Collateral, Public Enemies) ซึ่งส่งให้เขาเป็นหนึ่งในนวัตกรและผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในวงการภาพยนตร์อเมริกัน

หลังจากเขียนบทและกำกับภาพยนตร์รางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดที่แพร่ภาพทางโทรทัศ์เรื่อง The Jericho Mile (1979) ที่เกี่ยวกับเรือนจำรัฐฟอลซัมแล้ว แมนน์ก็เปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยThief (1981) ตามด้วยการควบคุมงานสร้างซีรีส์ Miami Vice (1984) สไตล์โพสต์โมเดิลของเขา ที่มีสุนทรียศาสตร์ใส่ใจในรายละเอียดและมีความชัดเจนในเรื่องของการใช้พื้นที่ ดนตรี จิตวิทยาและอารมณ์ เผยความซับซ้อนทั้งหมดออกมาในภาพยนตร์เรื่อง Manhunter (1986) ซึ่งแนะนำตัวละครฮันนิบาล เล็คเตอร์ ภาพยนตร์อีพิคสะเทือนอารมณ์เรื่อง The Last of the Mohicans (1992) และภาพยนตร์ยิ่งใหญ่เรื่อง Heat (1995) ซึ่งนำแสดงโดยปาชิโนและเดอ นีโร แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของเขาในการรับมือกับเรื่องราวที่ซับซ้อนได้ด้วยความสามารถหลากหลายของเขา ภาพยนตร์เรื่อง The Insider (1999) ซึ่งนำผู้ชมดื่มด่ำไปกับดรามาจิตวิทยา เผยถึงจิตวิญญาณการสร้างภาพยนตร์ของเขา ที่เต็มไปด้วยพระเอกผู้ตึงเครียดและภาพที่ทำให้ผู้ชมต้องตะลึง ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่นำแสดงโดยปาชิโนและรัสเซล โครว์ ทำให้แมนน์ได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลออสการ์สำหรับการกำกับ ร่วมเขียนบทและอำนวยการสร้าง

ในปี 2001 เขาได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Ali อัตชีวประวัติของมูฮัมหมัด อาลี ซึ่งนำแสดงโดยวิล สมิธและจอน วอยห์ และทั้งคู่ก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ด้วย ทริลเลอร์เมโทรโพลิแทนเรื่อง Collateral (2004) ซึ่งนำแสดงโดยทอม ครูซและเจมี ฟ็อกซ์ เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 61 ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้แมนน์ได้รับการเสนอชื่อิงรางวัลเดวิด ลีน อวอร์ด สาขากำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีบาฟตาปี 2004 หลังจากนั้น เขาก็มีผลงานเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากซีรีส์ Miami Vice (2006) ซึ่งนำแสดงโดยโคลิน ฟาร์เรล, ฟ็อกซ์และกงลี่ ตามด้วย Public Enemies (2009) ภาพยนตร์อัตชีวประวัติฟิล์มนัวร์เกี่ยวกับชีวิตสั้นๆ และความตายของจอห์น ดิลลิงเกอร์ ซึ่งนำแสดงโดยจอห์นนี เดปป์, คริสเตียน เบลและมาริยง คอติยาร์ด

ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ผลงานของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง The Aviator (2004) ซึ่งนำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอและเคท บลังเช็ตต์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวเก็งในเวทีอคาเดมี อวอร์ดปี 2005 ด้วยการได้รับการเสนอชื่อชิง 11 รางวัลออสการ์ ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่แมนน์ได้รับการเสนอชื่อ บลังเช็ตต์ได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Hancock (2008) ซึ่งนำแสดงโดยวิล สมิธ, Texas Killing Fields (2011) ที่กำกับโดยเอมี คานาน แมนน์ ลูกสาวของเขา และซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Luck (2011) และWitness (2012)

 

       มอร์แกน เดวิส โฟเอห์ล (Morgan Davis Foehl)—เขียนบทโดย

มอร์แกน เดวิส โฟเอห์ล เป็นมือเขียนบทที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการเขียนบท The Asset แอ็กชันทริลเลอร์ออริจินอลสำหรับทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ที่สก็อต ฟรี บริษัทของริดลีย์ สก็อตอำนวยการสร้างและ Deprogrammer ตอนไพล็อตของซีรีส์เอฟเอ็กซ์ ที่ได้ร็อธ ฟิล์มส์และพอล แอททานาซิโอ อำนวยการสร้าง

โฟเอห์ลสำเร็จการศึกษาจากอีเมอร์สัน คอลเลจในบอสตัน บ้านเกิดของเขา เขาทำงานเป็นผู้ช่วยลำดับภาพก่อนที่จะหันไปสู่งานเขียน ดรามาอาชญากรรมออริจินอลเรื่อง Whatever Gets You Through the Night ถูกรวมอยู่ในแบล็ค ลิสต์ประจำปี 2009 ในปี 2013 ชื่อของเขาถูกรวมอยู่ใน 10 มือเขียนบทน่าจับตามองของนิตยสารวาไรตี้

โฟเอห์ลและเจสสิกา ภรรยาของเขา มีสุนัขสองตัวที่พวกเขาเก็บมาเลี้ยงคือเอลส์เวิร์ธและปาล์มเมอร์ ผู้มีความสนใจในการเห่าบุรุษไปรษณีย์ สู้กับสกังค์ของเพื่อนบ้านและนอนระหว่างปฏิบัติหน้าที่

 

โธมัส ทัลล์ พี.จี.เอ. (Thomas Tull, p.g.a.)—อำนวยการสร้างโดย

โธมัส ทัลล์ พี.จี.เอ. ผู้อำนวยการและซีอีโอบริษัทเลเจนดารี พิคเจอร์ส ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในการร่วมสร้างและร่วมสนับสนุนเงินทุนให้กับภาพยนตร์ดัง นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 2004 เลเจนดารี พิคเจอร์ส แผนกภาพยนตร์ของเลเจนดารี เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทสื่อชั้นนำ ที่มีแผนกจอแก้ว และดิจิตอลและการ์ตูนด้วย ก็ได้ร่วมมือกับวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์ส ในภาพยนตร์หลายเรื่อง

ผลงานภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่องล่าสุดภายใต้การร่วมมือกันดังกล่าวรวมถึงภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกโดยแซ็ค สไนเดอร์เรื่อง Man of Steel และภาพยนตร์ไตรภาคบล็อกบัสเตอร์โดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง Dark Knight ซึ่งเริ่มต้นด้วย Batman Begins ตามด้วยภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง The Dark Knight และ The Dark Knight Rises ทั้งสามภาคทำรายได้รวมกันกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก

นอกจากนี้ การร่วมงานกันที่ประสบความสำเร็จของพวกเขายังนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์ดังหลายเรื่องเช่นภาพยนตร์โดยสไนเดอร์เรื่อง  300 และ Watchmen รวมถึง 300: Rise of an Empire ซึ่งสไนเดอร์อำนวยการสร้าง, ภาพยนตร์โดยเบน แอฟเฟล็คเรื่อง The Town, แอ็กชันดรามารางวัลโดยโนแลนเรื่อง Inception, ภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกเรื่อง Clash of the Titans และซีเควลเรื่อง Wrath of the Titans และภาพยนตร์โดยท็อด์ ฟิลลิปส์เรื่อง The Hangover, The Hangover Part II ซึ่งเป็นภาพยนตร์คอเมดีเรท R ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลและ The Hangover Part III

เมื่อเร็วๆ นี้ เลเจนดารีเพิ่งปล่อยภาพยนตร์โดยแองเจลินา โจลีเรื่อง Unbroken, ภาพยนตร์โดยจอห์น อีริค ดาวเดิลเรื่อง  As Above/So Below, ภาพยนตร์โดยกาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์เรื่อง Godzilla, ภาพยนตร์โดยกุยเลอร์โม เดล โทโรเรื่อง Pacific Rim รวมถึงดรามายอดนิยมโดยไบรอัน เฮลเกลแลนด์เรื่อง 42 เรื่องราวเกี่ยวกับแจ็คกี้  โรบินสัน ตำนานแห่งโลกเบสบอล เลเจนดารีกำลังอยู่ระหว่างการทำงานขั้นตอนโพสต์โปรดักชันในภาพยนตร์เรื่อง Warcraft ที่สร้างจากเกม Warcraft ที่ได้รางวัลของบลิซซาร์ด เอนเตอร์เทนเมนต์

ทัลล์เป็นหนึ่งในคณะกรรมการอำนวยการแฮมิลตัน คอลเลจ สถาบันเก่าของเขาและมหาวิทยาลัยคาร์เนจี้ เมลลอน นอกจากนี้ เขายังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฮอล ออฟ เฟมของเบสบอลแห่งชาติและพิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์ซานดิเอโก และเป็นหนึ่งในกลุ่มเจ้าของพิตส์เบิร์ก สตีลเลอร์ส แชมเปียนซูเปอร์ โบว์ลหกสมัย ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของทีมด้วย ทัลล์ลงทุนในธุรกิจดิจิตัล สื่อและไลฟ์สไตล์ผ่านทางทัลล์ มีเดีย เวนเจอร์ส บริษัทลงทุนเอกชนของเขา

 

จอน จาชนี พี.จี.เอ. (Jon Jashni, p.g.a.)—อำนวยการสร้างโดย

จอน จาชนี พี.จี.เอ. ได้ดูแลงานพัฒนาและงานสร้างโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ทุกเรื่องของเลเจนดารี พิคเจอร์ส และดำรงตำแหน่งประธานซีซีโอของเลเจนดารี เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทสื่อชั้นนำที่มีแผนกภาพยนตร์ โทรทัศน์และดิจิตอลและการ์ตูน ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้าง Warcraft ดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยแองเจลินา โจลีเรื่อง Unbroken และภาพยนตร์อีพิคแอ็กชันผจญภัยใหม่เรื่อง Seventh Son

ก่อนหน้านี้ จาชนีได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สและเลเจนดารี พิคเจอร์สเรื่อง Pacific Rim และทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องของเลเจนดารี เช่น 300: Rise of an Empire, ภาพยนตร์ชีวประวัติของแจ็คกี้ โรบินสันเรื่อง 42, ภาพยนตร์ยอดนิยมทั่วโลก Clash of the Titans และภาพยนตร์โดยเบน แอฟเฟล็คเรื่อง The Town ที่แอฟเฟล็คได้ร่วมเขียนบทและแสดง

ก่อนหน้าลีเจนดารี จาชนีดำรงตำแหน่งประธานไฮด์ ปาร์ค เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทสร้างและให้เงินทุน ที่มีการทำข้อตกลงกับทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์, วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สและเอ็มจีเอ็ม ที่ไฮด์ ปาร์ค เขาได้ดูแลงานพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Shopgirl, Dreamer: Inspired by a True Story, Walking Tall และ Premonition

ก่อนหน้าจะทำงานกับไฮด์ ปาร์ค เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดียอดนิยมโดยผู้กำกับแอนดี้ เทนเนนท์เรื่อง Sweet Home Alabama การร่วมงานระหว่างเขากับเทนเนนท์เริ่มต้นด้วยเทพนิยาย Ever After: A Cinderella Story ซึ่งเขาดูแลงานพัฒนาและงานสร้างในฐานะผู้บริหารงานสร้างอาวุโสที่ทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์

นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมอำนวการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสองเรื่องคือดรามาดังเรื่อง The Hurricane ซึ่งทำให้เดนเซล วอชิงตัน ดารานำของเรื่องได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และ and Anna and the King (ที่นำ Anna and the King of Siam มาสร้างใหม่ในแบบที่ไม่ใช่มิวสิคัล) ที่นำแสดงโดยโจดี้ ฟอสเตอร์และได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์

เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกสถาบันภาพยนตร์อเมริกันและสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา  เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนียและปริญญาโทจากยูซีแอลเอ แอนเดอร์สัน สคูล ออฟ เมเนจเมนต์

 

       อีริค แม็คลีออด (Eric McLeod)—ผู้ควบคุมงานสร้าง

อีริค แม็คลีออด เป็นผู้อำนวยการสร้างผู้คร่ำหวอดในวงการ ด้วยผลงานภาพยนตร์กว่า 30 เรื่อง ประสบการณ์งานสร้างที่กว้างขวางของเขาทำให้เขามีความสามารถพิเศษในการรับมือกับประเด็นด้านโลจิสติกที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ทุกเรื่องได้

แม็คลีออดเริ่มต้นทำงานในปี 1988 ในตำแหน่งผู้ประสานงานงานสร้างในภาพยนตร์เรื่อง Elm Street 4: The Dream Master เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับระดับแนวหน้าของวงการหลายคน รวมถึงไมเคิล แมนน์, กอร์ เวอร์บินสกี้, โทนี สก็อตและดั๊ก ลีแมน

ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยเวอร์บินสกี้เรื่อง  The Lone Ranger, Pirates of the Caribbean: At World’s End และ Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest, ภาพยนตร์โดยคาร์ล รินช์เรื่อง 47 Ronin, ภาพยนตร์โดยสก็อตเรื่อง Unstoppable และ Enemy of the State, ภาพยนตร์โดยไมค์ นีเวลเรื่อง Prince of Persia: The Sands of Time, ภาพยนตร์โดยเบน สติลเลอร์เรื่อง Tropic Thunder, ภาพยนตร์โดยเจย์ แชนดราเซคคาร์เรื่อง The Dukes of Hazzard, ภาพยนตร์โดยลีแมนเรื่อง Mr. & Mrs. Smith, ภาพยนตร์โดยโบ เวลช์เรื่อง Dr. Seuss’ The Cat in the Hat, ภาพยนตร์โดยเจย์ โร้คเรื่อง Austin Powers, ภาพยนตร์โดยทอม เดย์เรื่อง Showtime, ภาพยนตร์โดยทาร์เซม ซิงห์เรื่อง The Cell, ภาพยนตร์โดยริชาร์ด ลากราเวเนสเรื่อง Living Out Loud, ภาพยนตร์โดยแบร์รี เลวินสันเรื่อง Wag the Dog, ภาพยนตร์โดยเลสลี ลินกา แกลทเทอร์เรื่อง Now and Then, ภาพยนตร์โดยเจสซี เนลสันเรื่อง Corrina, Corrina และภาพยนตร์โดยจอห์น จี. เอวิลด์เซนเรื่อง 8 Seconds

 

       อเล็กซ์ การ์เซีย (Alex Garcia)—ผู้ควบคุมงานสร้าง

อเล็กซ์ การ์เซีย ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายครีเอทีฟที่เลเจนดารี เอนเตอร์เทนเมนต์ เขาดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมฝานสร้างภาพยนตร์ฮิตประจำซัมเมอร์ปี 2014 เรื่อง Godzilla และเป็นผู้ดูแลภาพยนตร์ที่กำกับโดยกาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์เรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มแรก และปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการเตรียมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Kong: Skull Island ผลงานของเลเจนดารีเกี่ยวกับบ้านเกิดที่ลึกลับของคิงคอง

ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการดูแลการพัฒนาหลายๆ โปรเจ็กต์ของเลเจนดารี ซึ่งรวมถึง Mass Effect ที่ดัดแปลงจากซีรีส์เกมยอดนิยมของไบโอแวร์/อีเอ และ Hot Wheels ซึ่งนำแบรนด์คลาสสิกของแมทเทลมาโลดแล่นบนจอเงิน

นับตั้งแต่ได้ร่วมงานกับเลเจนดารีในปี 2009 การ์เซียยังได้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ระดับโลกเรื่อง 300: Rise of an Empire และควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยไบรอัน ซิงเกอร์เรื่อง Jack the Giant Slayer อีกด้วย

ก่อนหน้าที่จะทำงานกับเลเจนดารี การ์เซียได้บริหารงานแบด แฮท แฮร์รี โปรดักชันส์ ของซิงเกอร์ ที่ซึ่งเขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับคนดังอย่างใกล้ชิดในภาพยนตร์ที่เขากำกับ รวมถึงทริลเลอร์สงครามโลกครั้งที่สอง Valkyrie ซึ่งนำแสดงโดยทอม ครูซ นอกเหนือจากนั้น เขายังทำหน้าที่ผู้บริหารงานสร้างในสามซีซันแรกของซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของฟ็อกซ์เรื่อง House และได้ร่วมควบคุมงานสร้างมินิซีรีส์ยอดนิยมทางไซไฟ แชนแนลปี 2005 เรื่อง The Triangle ที่เขาดูแลงานถ่ายทำในแอฟริกาใต้ นอกจากนั้น ภายใต้แบนเนอร์ของแบด แฮท แฮร์รี โปรดักชันส์ เขายังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์คัลท์สยองขวัญปี 2007 โดยไมเคิล ดูเกอร์ตี้เรื่อง Trick ’r Treat อีกด้วย

เขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย

 

       สจวร์ต ดรายเบิร์กห์, เอเอสซี (Stuart Dryburgh, ASC)—ผู้กำกับภาพ

สจวร์ต ดรายเบิร์กห์, เอเอสซี เป็นผู้กำกับชาวอังกฤษ ที่ทำงานที่นิวยอร์ก

ผลงานของเขารวมถึงภาพยนตร์เรื่อง The Secret Life of Walter Mitty, The Painted Veil, Aeon Flux, Bridget Jones’ Diary, Analyze This, The Portrait of a Lady, Once Were Warriors, The Piano และ An Angel at My Table

ดรายเบิร์กห์เกิดในอังกฤษและอพยพไปนิวซีแลนด์พร้อมกับครอบครัวในปี 1961 โดยเขาใช้ชีวิตในวัยเด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่นั่น เขาสำเร็จการศึกษาสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ในปี 1977

เขาเริ่มต้นทำงานจากภาพยนตร์นิวซีแลนด์ เช่น Middle Age Spread, Goodbye Pork Pie และ Smash Palace

ในปี 1990 ดรายเบิร์กห์ ไดถ่ายทำมินิซีรีส์สามตอนเรื่อง An Angel at My Table ให้กับผู้กำกับเจน แคมเปียน ซึ่งนำไปสู่การร่วมมือกันอีกครั้งระหว่างดรายเบิร์กห์และแคมเปียนในเรื่อง The Piano สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 1994 สาขากำกับภาพยอดเยี่ยม ในปี 1994 เขาได้ถ่ายทำภาพยนตร์โดยลี ทามาโฮริเรื่อง Once Were Warriors

ในปี 1995 เขาได้ถ่ายทำภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกด้วย The Perez Family สำหรับผู้กำกับมิรา แนร์ ในปี 1996 เขาย้ายไปอยู่อเมริกาถาวร และเขาก็ได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับชื่อดังมากมาย เช่นปีเตอร์ เว็บเบอร์, ไมเคิล แมนน์และมาร์ติน สกอร์เซซี

 

       กาย เฮนดริกซ์ ไดแอส (Guy Hendrix Dyas)—ผู้ออกแบบงานสร้าง

กาย เฮนดริกซ์ ไดแอส ได้ร่วมมือกับสตีเวน สปีลเบิร์กใน Robopocalypse และได้ออกแบบงานสร้างไซไฟทริลเลอร์สุดทะเยอทะยานของคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง Inception ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและทำให้เชาได้รับรางวัลบาฟตา อวอร์ดสาขาออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมและรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์ ในปี 2010 เขากลายเป็นนักออกแบบชาวอังกฤษคนแรกที่ได้รับรางวัลโกยา อวอร์ดสาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยมจากผลงานของเขาในภาพยนตร์อีพิคอิงประวัติศาสตร์โดยอเลฮันโดร อเมนาบาร์เรื่อง Agora ซึ่งได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์

ก่อนหน้านี้ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์จากผลงานการออกแบบงานสร้างภาพยนตร์ของสปีลเบิร์กเรื่อง Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull, ภาพยนตร์โดยเชคาร์ คาปูร์เรื่อง Elizabeth: The Golden Age และภาพยนตร์โดยไบรอัน ซิงเกอร์เรื่อง Superman Returns นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบฟาตาในปี 2008 ในสาขาออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมจาก Elizabeth: The Golden Age เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบชาวอังกฤษที่ทำงานเบื้องหลังในฮอลลีวูดจากหนังสือพิมพ์ซันเดย์ ไทม์ สี่ปีติดต่อกัน

ไดแอสสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากรอยัล คอลเลจ ออฟ อาร์ตในลอนดอนและปริญญาตรีจากเชลซี คอลเลจ ออฟ อาร์ต เขาเริ่มต้นทำงานในโตเกียวในตำแหน่งนักออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของโซนีภายใต้การดูแลของผู้ก่อตั้งบริษัท อากิโอะ โมริตะ ระหว่างนั้น งานแสดงผลงานส่วนตัวของไดแอสทำให้เขาได้รับเชิญจากอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ให้ร่วมงานด้วยในแคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งเขาเริ่มต้นอาชีพในแวดวงภาพยนตร์ด้วยตำแหน่งผู้กำกับศิลป์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ใน Twister หลังจากนั้น เขาก็ได้พัฒนาทักษะของตัวเองในฐานะนักวาดภาพคอนเซ็ปต์ในภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์โดยทิม เบอร์ตันเรื่อง Planet of the Apes, ภาพยนตร์โดยพี่น้องวาโชว์สกี้เรื่อง The Matrix Reloaded และภาพยนตร์โดยกุยเลอร์โม เดล โทโรเรื่อง Mimic  ผลงานออกแบบงานสร้างเรื่องแรกของเขาคือภาพยนตร์โดยซิงเกอร์เรื่อง X2 ตามมาด้วยภาพยนตร์แฟนตาซีโดยเทอร์รี กิลเลียมเรื่อง The Brothers Grimm

 

       โจ วอล์คเกอร์, เอซีอี (Joe Walker, ACE)—มือลำดับภาพ

โจ วอล์คเกอร์, เอซีอี ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ ได้ทำงานในโปรเจ็กต์ที่โด่งดังและน่าตื่นเต้นมากมายทั้งในแวดวงจอแก้วและจอเงิน ในปี 2012 เขาได้รับรางวัลยูโรเปียน อีดิตเตอร์ อวอร์ดจากเวทียูโรเปียน ฟิล์ม อวอร์ดครั้งที่ 25

ปัจจุบัน เขาได้ร่วมมือกับผู้กำกับเดนิส วิลเลนิวในภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Sicario ที่นำแสดงโดยเอมิลี บลันท์, เบนิซิโอ เดล โทโรและจอช โบรลิน เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, บาฟตา อวอร์ดและเอซีอี เอ็ดดี้ อวอร์ดสำหรับภาพยนตร์โดยสตีฟ แม็คควีนเรื่อง 12 Years a Slave ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและรางวัลบาฟตา อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2014 นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาได้ร่วมมือกับแม็คควีนหลังจาก Hunger (2008) และ Shame (2011) ผลงานของเขาในเรื่อง Shame ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงราบงวัลบริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดสาขาความสำเร็จด้านเทคนิคยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซทเทิลไลท์ อวอร์ดสาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม เขาได้รับรางวัลกล้องทองคำในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์จากผลงานของเขาใน Hunger

วอล์คเกอร์ได้ลำดับภาพให้กับสารคดีแปลกใหม่เรื่อง Life in a Day (2011) สำหรับผู้กำกับเควิน แม็คโดนัลด์และผู้อำนวยการสร้างริดลีย์ สก็อต ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นความท้าทายด้านเทคนิคและงานสร้างได้ถูกกลั่นกรองจากฟุตเตจ 4,500 ชั่วโมง ที่ถูกส่งมาจากผู้ใช้ยูทูปภายในวันที่ 24 กรกฎาคม ปี 2010 วันเดียวเท่านั้น

ผลงานอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยมาร์ฟ ฟิล์มส์เรื่งอง Harry Brown ซึ่งนำแสดงโดยไมเคิล  เคน, Brighton Rock สำหรับคุโดส์ ฟิล์ม แอนด์ เทเลวิชันและภาพยนตร์รางวัลบีฟา อวอร์ดเรื่อง The Escapist ซึ่งเขียนบทและกำกับโดยรูเพิร์ต ไวแอทท์

 

       สตีเฟน ริฟคิน, เอซีอี (Stephen Rivkin, ACE)—มือลำดับภาพ

สตีเฟน ริฟคิน, เอซีอี ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับไมเคิล แมนน์มาก่อนในตำแหน่งผู้ร่วมลำดับภาพให้กับ Ali ซึ่งทำให้วิล สมิธได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ

ริฟคินได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด รางวัลบาฟตา อวอร์ดและรางวัลเอซีอี เอ็ดดี้ อวอร์ดจากผลงานของเขาในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยเจมส์ คาเมรอนเรื่อง Avatar เขาได้ร่วมลำดับภาพให้กับ Pirates of the Caribbean สามภาคโดยผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์และผู้กำกับกอร์ เวอร์บินสกี้ ภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอซีอี เอ็ดดี้ อวอร์ด และคว้ารางวัลมาได้จากภาพยนตร์ฮิตประจำซัมเมอร์เรื่อง Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl

เขาได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์สี่เรื่องของผู้กำกับนอร์แมน จิววิสัน ได้แก่ The Hurricane ซึ่งทำให้เดนเซล วอชิงตันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ, The Statement, Bogus และ Only You เขาได้ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยอำนวยการสร้างในภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง Nine Months, Outbreak, My Cousin Vinny, Fire in the Sky และ Band of the Hand ที่ควบคุมงานสร้างโดยแมนน์ ผลงานลำดับภาพเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยเมล บรู๊คส์เรื่อง Robin Hood: Men in Tights, Stealth, Swordfish, Idle Hands, Excess Baggage, Bat21 และ Hot Dog…The Movie เขาได้ลำดับภาพและทำหน้าที่ผู้ช่วยลำดับภาพในภาพยนตร์เรื่อง Youngblood และ The Personals

ผลงานจอแก้วของเขาได้แก่ซีรีส์ทีเอ็นทีที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเคเบิลเอซ อวอร์ดเรื่อง Nightbreaker, ซีรีส์เอชบีโอเรื่อง The Comrades of Summer และ El Diablo และซีรีส์ไลฟ์ไทม์เรื่อง Wildflower และภาพยนตร์ซีบีเอสเรื่อง The Girl With the Crazy Brother ที่กำกับโดยไดแอน คีย์ตันทั้งสองเรื่อง

ปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการมือลำดับภาพภาพยนตร์อเมริกันและเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารสมาพันธ์มือลำดับภาพภาพยนตร์ด้วย

 

       เจเรไมอาห์ โอ’ ดริสคอล (Jeremiah O’ Driscoll)—มือลำดับภาพ

เจเรไมอาห์ โอ’ ดริสคอล เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานของเขากับผู้กำกับโรเบิร์ต ซีเมคิส พวกเขาเริ่มต้นร่วมงานกันในภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Forrest Gump (1994) การร่วมงานกันของพวกเขายังรวมถึง Flight (2012) ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซทเทิลไลท์ อวอร์ดสาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม, A Christmas Carol (2009), Beowulf (2007), The Polar Express (2004), Cast Away (2000), What Lies Beneath (2000) และ Contact (1997)

ผลงานที่น่าสนใจเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ นีลเรื่อง Goats (2012), ภาพยนตร์โดยแอนดรูว์ เดวิสเรื่อง Chain Reaction (1996), ภาพยนตร์โดยไมค์ นิโคลส์เรื่อง Primary Colors (1998) และ The Birdcage (1996) รวมถึงภาพยนตร์โดยแฟรงค์ มาร์แชลเรื่อง Congo (1995)

ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการลำดับภาพให้กับภาพยนตร์โดยซีเมคิสเรื่อง The Walk ที่มีกำหนดเข้าฉายในปี 2015

 

       มาโกะ คามิสึนะ (Mako Kamitsuna)—มือลำดับภาพ

มาโกะ คามิสึนะ เกิดในเมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส และเติบโตในเมืองฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เธอกลับไปอเมริกาเพื่อทำตามความฝันในการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เธอก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากหลักสูตรภาพยนตร์ของทิสช์ สคูล ออฟ เดอะ อาร์ตส์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก

คามิสึนะ ซึ่งได้เวิลด์ไวลด์ โปรดักชัน เอเจนซี เป็นตัวแทนในฐานะผู้ไม่ค่อยใช้สื่อ เป็นมือลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ทั้งที่สร้างจากเรื่องแต่งและเรื่องจริง ในปี 2010 เธอได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์อินดีเรื่อง Pariah ซึ่งเปิดตัวงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2011 และหลังจากนั้น ก็จัดจำหน่ายโดยโฟกัส ฟีเจอร์ส และได้รับรางวัลฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด ในปี 2012 เธอได้ลำดับภาพให้กับมินิซีรีส์สารคดีเอชบีโอเรื่อง Witness ซึ่งควบคุมงานสร้างโดยไมเคิล แมนน์  Witness: Libya หนึ่งในเอพิโซดที่เธอลำดับภาพ ได้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2012 และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขาซีรีส์จำกัดยอดเยี่ยมจากเวทีสมาพันธ์สารคดีนานาชาติปี 2013 ในปี 2013 เธอได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์อินดีสองเรื่องได้แก่ภาพยนตร์โดยแฟรงค์ ฮอล กรีนเรื่อง WildLike ซึ่งควบคุมงานสร้างโดยคริสติน วาชอนและนำแสดงโดยบรูซ กรีนวู้ด, ไบรอัน เกราตี้และเอลลา เพอร์เนลและภาพยนตร์ใหม่เรื่อง The World Made Straight ซึ่งอำนวยการสร้างโดยท็อดด์ ลาบาโรว์สกี้และนำแสดงโดยโนอาห์ ไวล์, เจเรมี เออร์วิน, อะเดเลด เคลเมนส์และสตีฟ เอิร์ล ในช่วงต้นปี 2014 เธอได้ลำดับภาพให้กับดรามาโดยทิม เบลค เนลสันเรื่อง Anesthesia ซึ่งนำแสดงโดยเคิร์สเตน สจวร์ต, แซม วอเตอร์สตัน, เกลนน์ โคลส, เกรทเชน โมลและไมเคิล เค. วิลเลียมส์ เธอเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำงานในขั้นตอนโพสต์โปรดักชันของภาพยนตร์เรื่อง Jackie & Ryan ซึ่งกำกับโดยเอมี คานาน แมนน์ (Texas Killing Field) ที่นำแสดงโดยแคทเธอรีน ไฮเกล และเปิดตัวในสายประกวดฮอไรซันในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส

นอกเหนือจากการเป็นมือลำดับภาพแล้วเธอยังเป็นผู้กำกับ/มือเขียนบท ที่มีเอกลักษณ์และความสนใจในเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์และสุนทรียศาสตร์ด้านวิชวลที่ชัดเจนสำหรับการเล่าเรื่องภาพยนตร์ หลังจากได้ทำงานในโครงการบุกเบิกอย่างโปรเจ็กต์ อินวาลว์ที่ฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ เธอก็กลายเป็นหนึ่งในแปดผู้กำกับหญิงที่ได้เข้าร่วมไดเร็คติ้ง เวิร์คช็อป ฟอร์ วีเมนของสถาบันภาพยนตร์อเมริกันในปี 2011 ระหว่างนั้น เธอได้กำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง She, Who Excels in Solitude ดรามาพีเรียดที่สร้างจากเรื่องราวของ Mercury 13 ซึ่งเป็นกลุ่มนักบินอวกาศหญิงฝึกหัดหญิงกลุ่มแรกในปี 1960 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนิยายยอดเยี่ยมและนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีแกรนด์ ออฟ เวิลด์ อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดในกรุงวอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2012 คามิสึนะได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 25 ผู้กำกับรุ่นใหม่จากทั่วโลกที่ได้เข้าร่วมทาเลนต์ แล็บของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต ภายใต้การสนับสนุนของทาเลนต์ แล็บ เธอได้สร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง The Lull Breaker สำหรับการประกวดผู้กำกับดาวรุ่ง ของธนาคารแคนาดา และติดหนึ่งในห้าผู้เข้ารอบสุดท้าย ภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่องนี้ได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตในปี 2013

ภาพยนตร์ขนาดสั้นของเธอเรื่อง Katya ซึ่งเธอเขียนบท กำกับและลำดับภาพ เป็นดรามาร่วมสมัยที่ได้แรงบันดาลใจจากการจมของเรือดำน้ำโซเวียต K-129 ในปี 1968 และนำแสดงโดยนักแสดงหญิงชื่อดังชาวรัสเซีย ชูลปาน คามาโทวา  (Good Bye, Lenin!) นอกจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรนด์ ออฟ เวิล์ด อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดสาขานิยายยอดเยี่ยมในปี 2011 อีกด้วย ปัจจุบัน เวอร์ชันภาพยนตร์ของเรื่องนี้กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยมีวิลเลียม ฟิชเนอร์ (Black Hawk Down, The Dark Knight) ถูกวางตัวให้รับบทนำ ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์นิวเคลียร์ปี 1968 ที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่น่าเศร้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตของชาวรัสเซียสองรุ่นที่เจอกันในนิวยอร์ก ซิตี้

 

       คอลลีน แอทวู้ด (Colleen Atwood)—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย

คอลลีน แอทวู้ด เริ่มต้นทำงานเป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์โดยไมเคิล แอพเท็ดเรื่อง Firstborn ที่นำแสดงโดยซาราห์ เจสสิกา ปาร์คเกอร์และโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ในช่วงที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์ก แอทวู้ดได้ร่วมมือกับโจนาธาน เดมม์ในภาพยนตร์เรื่อง Married to the Mob, The Silence of the Lambs, Philadelphia และ Beloved

ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80s แอทวู้ดย้ายไปลอสแองเจลิสและเริ่มต้นร่วมงานกับทิม เบอร์ตันด้วยภาพยนตร์เรื่อง Edward Scissorhands เธอโชคดีที่ได้ร่วมงานกับเบอร์ตันต่อไปในภาพยนตร์เรื่อง Ed Wood, Mars Attacks!, Sleepy Hollow, Big Fish, Sweeney Todd The Demon Barber of Fleet Street, Alice in Wonderland, Dark Shadows และล่าสุด Big Eyes นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมงานกับร็อบ มาร์แชลในภาพยนตร์เรื่อง Chicago, Memoirs of a Geisha, Nine และ Into the Woods อีกด้วย

เธอได้รับการเสนอชื่อชิง 10 รางวัลอคาเดมี อวอร์ด และได้รับรางวัลมาสามครั้งสำหรับ Chicago, Memoirs of a Geisha และ Alice in Wonderland นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลด้านออกแบบเครื่องแต่งกายอีกกว่า 50 รางวัล

 

       แฮร์รี เกร็กสัน-วิลเลียมส์ (Harry Gregson-Williams)—ดนตรีโดย

แฮร์รี เกร็กสัน-วิลเลียมส์ เป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดของฮอลลีวูด ดนตรีของเขาปรากฏอยู่ในโปรเจ็กต์โด่งดังหลากหลายตั้งแต่แอ็กชัน ดรามา ไปจนถึงอนิเมชัน ซึ่งแต่ละเพลงหลอมรวมความสะเทือนอารมณ์และความเข้มข้น ที่เป็นสไตล์เอกลักษณ์ของเขา

เกร็กสัน-วิลเลียมส์ โด่งดังจากการร่วมงานกับฮันส์ ซิมเมอร์ในช่วงเริ่มแรกและจากความสัมพันธ์ในการทำงานที่ยาวนานระหว่างเขากับผู้กำกับชื่อดังอย่างเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์, เจฟฟรีย์ แคทเซนเบิร์ก, โทนี สก็อต, ริดลีย์ สก็อต, แอนดรูว์ อดัมสัน, โจเอล ชูมัคเกอร์และเบน แอฟเฟล็ค นำสู่ดนตรีที่น่าจดจำเบื้องหลังบล็อกบัสเตอร์มากมายในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ผลงานของเขาปรากฏในภาพยนตร์โดยฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์เรื่อง The East, ภาพยนตร์โดยเลน ไวส์แมนเรื่อง Total Recall ซึ่งนำแสดงโดยโคลิน ฟาร์เรลและเคท เบคคินเซล, ภาพยนตร์อนิเมชัน CG 3D คอเมดีสำหรับครอบครัวเรื่อง Arthur Christmas ซึ่งอำนวยการสร้างโดยอาร์ดแมน อนิเมชันส์ สำหรับโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชัน, ภาพยนตร์โดยจอน แฟฟโรเรื่อง Cowboys & Aliens สำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สและดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์, สารคดีโดยเควิน แม็คโดนัลด์เรื่อง Life in a Day และภาพยนตร์โดยสก็อตเรื่อง Prometheus นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีเพิ่มเติมให้กับภาพยนตร์โดยสก็อตเรื่อง Exodus: Gods and Kings นอกเหนือจากนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งได้ทำงานภาพยนตร์ฮิตเรื่อง The Equalizer ที่นำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตันและโคลอี้ เกรซ มอเรทซ์ รวมถึงเกม Call of Duty: Advanced Warfare ที่วางแผงในเดือนพฤศจิกายน ผลงานของเขาจะได้เป็นส่วนหนึ่งของ Monkey Kingdom โดยดิสนีย์เนเจอร์และ Miss You Already โดยแคทเธอรีน ฮาร์ดวิค

เกร็กสัน-วิลเลียมส์ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ แกรมมีและอิวอร์ โนเวลโลจากดนตรีประกอบภาพยนตร์อีพิคแฟนตาซีโดยอดัมสันเรื่อง The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe ที่สร้างจากนิยายคลาสสิกโดยซี.เอส. ลูอิส เขาโด่งดังจากเอกลักษณ์ของเขาในการผสมผสานเครื่องดนตรีอิเล็คทรอนิคและเครื่องดนตรีเล่นสดเข้าด้วยกันในดนตรีประกอบดรามาอาชญากรรมโดยแอฟเฟล็คเรื่อง The Town

เขาเริ่มต้นอาชีพในแวดวงดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อเขาได้ทัวร์ยุโรปร่วมกับวงดนตรีจากเซนต์จอห์น คอลเลจ, เคมบริดจ์ หลังจากนั้น เขาก็ได้รับทุนการศึกษาด้านดนตรี ซึ่งทำให้เขาได้เข้าศึกษาที่กิลด์ฮอล สคูล ออฟ มิวสิค แอนด์ ดรามาในลอนดอน หลังจากจบการศึกษา เขาก็ทำในอีกสิ่งหนึ่งที่เขาชื่นชอบ ซึ่งก็คือการสอนดนตรีให้กับเด็กๆ ทุกวัยในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ หลังจากกลับลอนดอน เขาก็ได้พบกับนักประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังชาวอังกฤษ สแตนลีย์ ไมเยอร์ส ผู้มองเห็นสิ่งที่คล้ายๆ กันในตัวเกร็กสัน-วิลเลียมส์ ในฐานะวาทยากร ผู้เรียบเรียงเสียงและนักเขียนในภาพยนตร์หลายเรื่องหลังจากนั้นของไมเยอร์ส เขาได้เรียนรู้เทคนิคการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์และได้สานสายสัมพันธ์กับนักประพันธ์เพลงระดับแนวหน้าหลายคน รวมถึงซิมเมอร์ ซึ่งเป็นศิษย์เก่าของไมเยอร์ส ความเกี่ยวข้องระหว่างเกร็กสัน-วิลเลียมส์และไมเยอร์สนั่นเองที่ทำให้เขาได้ผูกมิตรกับผู้กำกับชื่อดัง นิโคลัส โร้ค และหลังจากการเสียชีวิตของไมเยอร์ส เขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ของโร้คเรื่อง Full Body Massage และภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Hotel Paradise

ในปี 1995 เกร็กสัน-วิลเลียมส์ ย้ายไปลอสแองเจลิส ตามคำเชิญของซิมเมอร์ และพวกเขาก็ได้ร่วมมือกันในโปรเจ็กต์ต่างๆ รวมถึง The Lion King, Crimson Tide, Beyond Rangoon, K2 และ Two Deaths ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักประพันธ์เพลง

หลังจากร่วมมือกับซิมเมอร์ใน The Rock เกร็กสัน-วิลเลียมส์ก็ได้แต่งดนตรีสุดระทึกให้กับแอ็กชันทริลเลอร์บล็อกบัสเตอร์หลายเรื่องของบรั๊คไฮเมอร์ เขาได้ร่วมมือกับมือกีตาร์ร็อค เทรเวอร์ ราบินสำหรับภาพยนตร์โดยบรั๊คไฮเมอร์เรื่อง Armageddon และ Enemy of the State ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานที่เขาร่วมงานกับโทนี สก็อต นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ให้กับภาพยนตร์ยอดนิยมหลายเรื่องของสก็อต รวมถึง Spy Game ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโกลเดน แซทเทิลไลท์ อวอร์ด, Man on Fire, Déjà Vu, The Taking of Pelham 1 2 3 และ Unstoppable ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอิวอร์ โนเวลโลสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมมือกับริดลีย์ สก็อตใน Kingdom of Heaven ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลคลาสสิคัล บริท อวอร์ด

เกร็กสัน-วิลเลียมส์ สานต่อการร่วมงานกับบรั๊คไฮเมอร์ โดยล่าสุดเขาได้แต่งดนตรีที่ได้แรงบันดาลใจจากดินแดนตะวันออกกลางให้กับภาพยนตร์เรื่อง Prince of Persia: The Sands of Time

หลังจากนั้น เขาก็ประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับแคทเซนเบิร์กที่ดรีมเวิร์คส์ ด้วยการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์อนิเมชันเรื่องแรกของบริษัท Antz ตามด้วยภาพยนตร์อนิเมชันคลาสสิกรางวัลออสการ์ Shrek ดนตรีประกอบเรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาและได้รับรางวัลอิวอร์ โนเวลโล อวอร์ดสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและรางวัลแอนนี อวอร์ด ผลงานอนิเมชันของเกร็กสัน-วิลเลียมส์เรื่องอื่นๆ ยังรวมถึงภาพยนตร์ดรีมเวิร์คส์ชื่อดังเรื่อง Chicken Run, Shrek 2, Shrek The Third, Shrek Forever After, Sinbad: Legend of the Seven Seas และ Flushed Away

เกร็กสัน-วิลเลียมส์ ได้ร่วมงานหลายครั้งกับผู้กำกับชูมัคเกอร์ ในภาพยนตร์หลากหลาย รวมถึง Phone Booth, Veronica Guerin, The Number 23 และ Twelve นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีสะเทือนอารมณ์ภาพยนตร์ผลงานการกำกับเรื่องแรกของแอฟเฟล็คเรื่อง  Gone Baby Gone อีกด้วย

ผลงานของเขารวมถึง The Whole Wide World, Smilla’s Sense of Snow, Deceiver, The Replacement Killers, The Borrowers, Bridget Jones: The Edge of Reason, The Chronicles of Narnia: Prince Caspian และ X-Men Origins: Wolverine

นอกเหนือจากภาพยนตร์ เขายังได้แต่งดนตรีประกอบเกม ผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือการแต่งดนตรีประกอบเกมในแฟรนไชส์ยอดนิยม Metal Gear Solid อย่าง Metal Gear 2: Sons of Liberty, Metal Gear 3: Snake Eater และ Metal Gear 4: Guns of Patriots

เกร็กสัน-วิลเลียมส์ได้รับรางวัลฮอลลีวูด คอมโพสเซอร์ อวอร์ดในปี 2005 จากเวทีฮอลลีวูด ฟิล์ม อวอร์ด รวมถึงรางวัลริชาร์ด เคิร์ค อวอร์ดสาขาความสำเร็จยอดเยี่ยมจากเวทีบีเอ็มไอ ฟิล์ม แอนด์ เทเลวิชัน อวอร์ด

 

       แอททิคัส รอส (Atticus Ross)—ดนตรีโดย

แอททิคัส รอส เป็นผู้อำนวยการสร้าง วิศวกรเสียงและนักดนตรี เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ผู้ร่วมมือกับเทรนท์ เรซเนอร์ในภาพยนตร์เรื่อง The Social Network, The Girl With the Dragon Tattoo และ Gone Girl เขาและเรซเนอร์ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสำหรับ The Social Network ในปี 2010 ในปี 2013 ทั้งคู่ได้รับรางวัลแกรมมี อวอร์ดสาขาซาวน์แทร็คยอดเยี่ยมสำหรับสื่อวิชวล จาก The Girl With the Dragon Tattoo

เขาได้ร่วมมือกับผู้กำกับระดับแนวหน้าของวงการภาพยนตร์หลายคน รวมถึงเดวิด ฟินเชอร์, พี่น้องฮิวจ์และแคทเธอรีน ฮาร์ดวิค ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ Broken City, Limitless, The Book of Eli, Twilight และภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Love & Mercy ด้านจอแก้ว เขาได้แต่งดนตรีประกอบห้าเอพิโซดของซีรีส์ Touching Evil ทางยูเอสเอ เน็ตเวิร์ค

 

       ไมเคิล พานิโก้ (Michael Panico)—ที่ปรึกษาเทคนิคด้านอาชญากรรมไซเบอร์

ไมเคิล พานิโก้ มีประสบการณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลมากว่า 15 ปี พานิโก้ อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษ FBI ได้รับการยกย่องจากการทลายเครือข่ายบ็อทเน็ทนานาชาติ ที่ใช้การโจมตีแบบไม่ให้ใช้ทรัพยากรของเครือข่าย ที่ก่อให้เกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลายล้านเหรียญ

หลังจากความสำเร็จครั้งนั้น เขาก็ถูกเรียกตัวไปยังสำนักงานใหญ่ของ FBI เพื่อนำ “ทีมพิเศษ” ที่ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษ ที่ดูแลการแทรกแซงด้านไซเบอร์ที่จริงจังที่สุดของอเมริกา รวมถึงการปฏิบัติการสองครั้งในโอลิมปิค เกมส์ในปี 2004 และ 2006 ที่ซึ่งเขานำทีมให้คำปรึกษาด้านอาชญากรรมไซเบอร์กับหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของประเทศเจ้าภาพ ระหว่างที่เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ FBI เขามีโอกาสได้สัมภาษณ์แฮ็กเกอร์หลายคนและได้เรียนรู้วิธีการและแรงจูงใจของพวกเขา

หลังจากออกจาก FBI ในปี 2006 เขาก็ได้เข้าทำงานกับไมโครซอฟท์ด้านการโต้ตอบเหตุการณ์สำหรับบริการสาธารณูปโภคศูนย์ข้อมูลทั่วโลกและทรัพย์สินออนไลน์ของไมโครซอฟท์ ที่สุดแล้ว เขาก็ได้ดูแลทีมโต้ตอบฉุกเฉินสำหรับบริการออนไลน์ทั้งหมด

พานิโก้ทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้กับบริษัทในฟอร์จูน 500 ที่มีความชำนาญด้านการสืบสวนการเจาะข้อมูลและนิติวิทยาดิจิตอล ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้โต้ตอบการแทรกแซงทางคอมพิวเตอร์สำคัญต่างๆ และทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้กับฝ่ายบริหารจัดการ ที่ต้องการสิ่งแวดล้อมด้านคอมพิวเตอร์ที่ปลอดภัย

พานิโก้ได้ให้คำปรึกษาในโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินหลายเรื่อง และให้การสนับสนุนเพื่อสร้างเสริมความสมจริงและรายละเอียดให้กับโปรเจ็กต์เหล่านั้นในหลายๆ ขั้นตอนของงานสร้าง

 

       เควิน โพลเซน (Kevin Poulsen)—ที่ปรึกษาด้านการแฮ็ก

เควิน โพลเซน เป็นนักข่าว นักเขียนเจ้าของรางวัลที่ทำงานให้กับนิตยสารไวร์ และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Kingpin: How One Hacker Took Over the Billion-Dollar Cybercrime Underground” (คราวน์, 2010) โพลเซน ซึ่งเคยเป็นแฮ็กเกอร์ ถูกจับขึ้นศาลในปี 1991 ในข้อหาเข้าถึงระบบของบริษัทโทรศัพท์อย่างผิดกฎหมาย เพื่อโกงการแข่งขันที่ใช้การโทรศัพท์เข้าไปที่สถานีวิทยุ

เขาเริ่มต้นงานเขียนในปี 1997 และทำหน้าที่บรรณาธิการของเซคิวริตี้โฟกัส ก่อนที่จะทำงานให้กับไวร์เต็มตัวในปี 2005 โดยที่นั่น เขาได้ก่อตั้งบล็อก “Threat Level” ขึ้นมา ในปี 2006 โพลเซนได้เริ่มต้นการสืบสวนที่ใช้คอมพิวเตอร์เข้าช่วยเพื่อเสาะหาผู้กระทำผิดทางเพศทางโซเชียล เน็ตเวิร์ค ซึ่งนำไปสู่การใช้กฎหมายส่วนกลาง ในปี 2010 โพลเซนได้ออกข่าวว่ารัฐบาลได้จับกุมตัวเชลซี แมนนิง นักวิเคราะห์ข่าวสารของกองทัพอย่างลับๆ ในข้อหาปล่อยข้อมูลหลายหมื่นชิ้นให้กับวิกิลีคส์

โพลเซนร่วมมือกับแอรอน ชวอร์ทซ์ ผู้ล่วงลับ ในการออกแบบและพัฒนา ซีเคียวดร็อป ซอฟท์แวร์โอเพนซอร์สเพื่อสร้างเสริมการสื่อสารที่ปลอดภัยระหว่างนักข่าวและแหล่งข้อมูล ที่ตอนนี้ถูกใช้ที่องค์กรข่าวหลายสิบแห่ง รวมถึงนิวยอร์กเกอร์และวอชิงตัน โพสต์

โพลเซนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านเทคนิคมูลนิธิฟรีดอม ออฟ เดอะ เพรส

 

       คริสโตเฟอร์ แม็คคินเลย์ (Christopher McKinley)—ที่ปรึกษาด้านการแฮ็ก

คริสโตเฟอร์ แม็คคินเลย์ เป็นคณิตกรและนักเคลื่อนไหว ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำของกลุ่มนิรนามนับตั้งแต่ปี 2010 ในตอนที่เขาเรียนปริญญาโทที่ยูซีแอลเอ เขาได้ใช้เทคนิคการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อทำการวิศวกรรมย้อนกลับเว็บไซต์เกี่ยวกับการเดทที่ชื่อ โอเคคิวปิด โปรไฟล์การเดทของเขากลายเป็นโปรไฟล์ผู้ชายที่ได้รับความนิยมสูงสุดในลอสแองเจลิส การแฮ็กครั้งนั้น ที่ได้ลงนิตยสารไวร์ เป็นเรื่องราวที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับสองในปี 2014 ของนิตยสาร

ก่อนหน้าที่จะสำเร็จปริญญาโท เขาเล่นแบล็คแจ็คอาชีพมานานห้าปีกับทีมเอ็มไอที แบล็คแจ็ค ทีมเขาได้ร่วมมือกับกูเกิล แล็บส์, เอชอาร์แอล แล็บบอราทอรีส์และศูนย์ค้นคว้าบรรยากาศแห่งชาติ ผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์ลงเนเจอร์ เมธอดส์, สมาพันธ์คณิตศาสตร์แห่งอเมริกา, กู๊ด มอร์นิง อเมริกา, เอ็นพีอาร์, เดอะ ฮัฟฟิงตัน โพสต์ และสื่ออื่นๆ ทางโทรทัศน์ วิทยุและอินเทอร์เน็ตใน 15 ประเทศ

ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส