ภาพยนตร์แอ็คชั่นทริลเลอร์ผลงานจากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส เรื่อง “Run All Night” นำแสดงโดย เลียม นีสัน ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar (“Schindler’s List,” “Non-Stop”), โจเอล คินนาแมน (“The Girl with the Dragon Tattoo”), วินเซนต์ ดี’โอโนไฟรโอ (“The Judge”) และเอ็ด แฮร์ริส ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar (“Pollock,” “The Hours”) กำกับฯ โดย ฮวม คอลเล็ต-เซอร์ร่า (“Non-Stop”)
อาชญากรแห่งบรูคลินและมือปืนมากประสบการณ์ จิมมี่ คอนลอน (นีสัน) เคยเป็นที่รู้จักในนาม The Gravedigger คิดถึงอนาคตที่สดใสกว่าเดิม เพื่อนของหัวหน้าแก๊งค์ ชอว์น แม็กไกวร์ (แฮร์ริส) ชื่อจิมมี่ตอนนี้มีอายุ 55 ปีแล้ว เขากำลังถูกบาปที่เคยก่อในอดีตตามหลอกหลอน รวมถึงตำรวจนักสืบที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ (ดี’โอโนไฟรโอ) ที่ตามหลังจิมมี่ถึง 30 ปี จนสุดท้ายสิ่งเดียวที่จะปลอบใจจิมมี่ได้ดูเหมือนจะเป็นวิสกี้สักแก้ว
แต่เมื่อลูกชายที่มีปัญหากับจิมมี่ ไมค์ (คินนามอน) ตกเป็นเป้าหมาย จิมมี่ต้องเลือกระหว่างอาชญากรรมในครอบครัวที่เขาเลือกกับครอบครัวที่เขาทิ้งไปเมื่อนานมาแล้ว เมื่อไมค์ต้องตกเป็นเป้าการไถ่บาปในอดีตของจิมมี่อาจเป็นการช่วยลูกชายไม่ให้มีชะตากรรมเหมือนเขา ที่เขาพบว่าตัวเองต้องมาอยู่ที่…ปลายกระบอกปืนผิดด้าน ตอนนี้ไม่มีที่ใดปลอดภัย จิมมี่เหลือเวลาเพียงคืนเดียวเพื่อคิดว่าเขาจะพึ่งพิงไว้ใจที่ไหนได้ และดูว่าเขาจะแก้ไขความผิดได้อย่างไรบ้าง
ภาพยนตร์เรื่อง “Run All Night” นำแสดงโดย เลียม นีสัน, โจเอล คินนาแมน (“The Girl with the Dragon Tattoo”), วินเซนต์ ดี’โอโนฟริโอ (“The Judge”), นิค โนลเต้ ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar (“Warrior,” “Affliction,” “Prince of Tides”), บรูซ แม็คกิล (“Ride Along”), เจเนซิส โรดริเกซ (“Identity Thief”) ร่วมด้วย คอมมอน เจ้าของรางวัล Oscar (“Selma”) และ เอ็ด แฮร์ริส พร้อมกับนักแสดง อาทิเช่น บอยด์ โฮลบรูค (ภาพยนตร์ HBO เรื่อง “Behind the Candelabra”) และ โฮลต์ แม็คคลลานี่ (“Gangster Squad”)
คอลเล็ต-เซอร์ร่ากำกับฯ จากบทของแบรด อิงเกลส์บี้ (“Out of the Furnace”) อำนวยการสร้างฯ โดย รอย ลี (“The Departed”), บรูคลิน วีเวอร์ (อำนวยการสร้างบริหารฯ “Out of the Furnace”) และไมเคิล แทดรอส (“Gangster Squad,” “Sherlock Holmes”) อำนวยการสร้างบริหารฯ โดย จอห์น พาวเวอร์ส มิดเดิลตัน (ผลงานทางง TV เรื่อง “Bates Motel”)
ทีมงานเบื้องหลัง ได้แก่ ผู้กำกับภาพ มาร์ติน รูห์ (“The American”), ผู้ออกแบบฉาก ชารอน ซีย์มัวร์ (“Argo”), ผู้ลำดับภาพ เดิร์ก เวสเทอร์เวลต์ (“Journey to the Center of the Earth”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แคทเธอรีน แมรี่ โธมัส (“The Heat”) ดนตรีโดย ทอม โฮลเคนเบิร์ก (Junkie XL) (“300: Rise of An Empire”)
วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์จาก a Vertigo Entertainment, a Jaume Collet-Serra film เรื่อง “Run All Night”
https://www.facebook.com/RunAllNightThailandรายละเอียดการถ่ายทำ
บาปของผู้เป็นพ่อs
จิมมี่
พ่อเคยทำพลาดมาหลายเรื่อง
หลายสิ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภัย
พ่อตัดสินใจมานานแล้วว่า
เมื่อถึงคืนที่ต้องชดใช้ในสิ่งที่พ่อทำลงไป
พ่อจะไม่บ่ายเบี่ยงใดๆ… แต่มันไม่เป็นตามแผน
และพวกเขาไม่ได้ตามล่าแค่พ่อ
มือปืนแก๊งค์มาเฟีย จิมมี่ คอนลอน ใช้ชีวิตอยู่กับความเศร้ากับสิ่งที่เขาทำไปแล้วและไม่อาจกลับไปแก้ไขได้ ช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจได้ตามหลอกหลอนเขาทั้งยามตื่นและยามหลับฝัน ทั้งการกลับมาทำร้ายเขา…หรือที่เลวร้ายสุดคือคนที่เขารัก
และในคืนนี้การตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีจะทำให้เขาต้องหนีเพื่อเอาตัวรอด.
ในภาพยนตร์เรื่อง “Run All Night” เลียม นีสัน รับบท คอนลอน ที่ต้องเผชิญหน้ากับอดีตเจ้านายแก๊งค์อันธพาลเพื่อปกป้องลูกชายของเขาในช่วงเวลาเพียงคืนเดียว ซึ่งการลงมือครั้งนี้เขาต้องใช้ต่อสู้กับการไล่ล่าเมื่อเขากลายเป็นบุคคลที่ต้องการตัวมากที่สุดในเมืองจากกฎหมายทั้งสองฝ่าย
“ผมชอบที่เรื่องราวเต็มไปด้วยการต่อสู้ ขณะเดียวกันก็ชวนคิดเรื่องมิตรภาพระหว่างผู้ชายสองคนที่เหมือนพี่น้องกัน กับพ่อผู้พยายามหาทางแก้ไขเพื่อลูกชายตัวเองสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน มันเป็นเรื่องราวที่มีรายละเอียดเข้มข้น ตื่นเต้นเร้าใจ และชวนให้จินตนาการถึงอะไรหลายอย่าง’” นีสันกล่าว “จะเกิดอะไรขึ้นหากจิมมี่เลือกเส้นทางนี้แทนที่จะเป็นเส้นทางนั้น? แต่นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราไม่ใช่หรือ?”
นีสันกลับมาร่วมงานอีกครั้งกับผู้กำกับฯ ชอว์เม่ คอลเลต์-เซอร์ร่าที่เขาเรียกว่าเป็นเหมือน “พี่ชาย” และเป็นคนที่นักแสดงชายเรียกว่า “มองหนังแอ็คชั่นราวกับวงดนตรีซิมโฟนี่”
คอลเลต์-เซอร์ร่าเล่าว่า “นี่เป็นบทภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่สนุกมากเท่าที่ผมเคยอ่านมา ทุกถ้อยคำเห็นภาพได้อย่างชัดเจน ประเด็นสำคัญของเรื่องเกี่ยวกับความผิดบาปของพ่อที่ตามกลับมาหลอนเล่นงานลูกชายของพวกเขาจนเห็นภาพต่างๆ และตัวละครก็มีอารมณ์ความรู้สึกเต็มที่” ผู้กำกับฯ เล่าว่าเขาเห็นภาพนีสันในบทจิมมี่ทันที “ไม่ต้องคิดอะไรเลย ไม่ใช่เพราะเลียมมีฝีมือเท่านั้นแต่เขามีลูกชายด้วย และผมรู้ว่าเขาจะเข้าถึงเรื่องราวได้หลายระดับเลย”
นีสันยอมรับว่าบทภาพยนตร์เข้าถึงความรู้สึกลึกๆ ในตัวเขาที่มีลูกชายอยู่ในวัยที่รับรู้แนวทางชีวิตของตัวเองดี “ผมนึกภาพที่ต้องสูญเสียความรักหรือความไว้ใจจากพวกเขาไม่ได้เลย ผมเข้าใจดีถึงการยอมทำทุกอย่างไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรเพื่อให้ได้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับมา”
จุดเปลี่ยนที่พลิกผันในคืนที่ต้องหลบหนี คอลเลต์-เซอร์ร่าเห็นภาพเอ็ด แฮร์ริสในบทชอว์น แม็คไกวร์ หัวหน้าแก๊งค์มาเฟียที่ปกป้องลูกชายตัวเองเช่นกัน และตามล่าตัวคอนลอนในทุกวิถีทาง
“ผมคิดว่าเอ็ดเหมาะสมกับบทบาทที่สุดครับ” คอลเลต์-เซอร์ร่ากล่าว “เขาเป็นนักแสดงฝีมือดีและแสดงความน่ากลัวออกมาได้ เขาและเลียมต่างควบคุมการแสดงอันทรงพลังได้และสามารถแสดงฉากดราม่าและแอ็คชั่นได้ในทิศทางเดียวกัน การผสมผสานกันของทั้งคู่ทำให้ภาพยนตร์มีจุดเด่นขึ้นมา”
แฮร์ริสสนใจเรื่องราวของการแก้แค้น ความเสียใจและการไถ่บาป อีกทั้งยังตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับคอลเลต์-เซอร์ร่าและนีสัน “ผมดีใจมากครับที่พวกเขาชนให้ผมมาร่วมงานด้วย ผมคิดว่ามันต้องสนุกแน่ ซึ่งมันสนุกสุดๆ แถมยังเข้าใจในคืนวุ่นวายที่พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันอีกด้วย ชอว์เม่รู้วิธีผสมผสานการแสดงกับอารมณ์ความรู้สึก และผมชื่นชมในตัวเลียมมาโดยตลอด มันเลยเป็นบรรยากาศของการแสดงที่ดีมากครับ”
ผู้อำนวยการสร้างฯ รี ลอยยังผสมผสานเรื่องราวและสร้างความตื่นเต้นขึ้นมาจากการผสมผสานได้อีกด้วย “มันกินใจผมตั้งแต่แรกเลยครับ เหตุการณ์เพียงเสี้ยววินาทีเป็นชนวนที่เปรียบเสมือนโดมิโน่ และการไล่ล่าที่เดิมพันด้วยความเป็นความตาย เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปกำลังเกิดขึ้นและทางใดทางหนึ่งก่อนจะเช้า ทุกอย่างมีผลลัพธ์ในตัวมันเอง ชอว์เม่ถนัดเรื่องการไล่ล่าส่วนเอ็ดกับเลียมถนัดเรื่องการเป็นคนอึด”
บทภาพยนตร์มาถึงมือลีโดยผู้อำนวยการสร้างฯ บรูคลิน วีเวอร์ ผู้เป็นคนควบคุมมือเขียนบทฯ Brad Ingelsby วีเวอร์เล่าว่า “ผมรู้สึกทึ่งกับตัวละครที่มีอารมณ์เด่นชัดและเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งเขาถ่ายทอดการแสดงออกมาได้อย่างน่าตื่นเต้น ในหน้าที่ 4 ผมรู้สึกขนลุกพอมาถึงหน้า 11 ผมรู้เลยว่าตัวเองอยากทำหนัง ผมเข้าถึงความซับซ้อนและการผสมผสานเรื่องราวระหว่างพ่อลูกท่ามกลางฉากแอ็คชั่นตื่นเต้นที่ทำให้ผมหยุดพลิกบทไมได้ ผมรู้ว่าบทของแบรดเหมาะที่จะอยู่ในมือของชอว์เม่ เลียม และนักแสดงที่น่าทึ่งคนอื่นๆ แล้วครับ”
อินเจลส์บายต้องการสร้างความขัดแย้งขึ้นมาให้สอดคล้องกับฉากหลังที่มีพวกมาเฟียโดยอธิบายว่า “โลกใบนั้นทำให้ผมสนใจได้ตลอด โดยเฉพาะจากจุดเริ่มต้นในช่วงปีแรกเรื่อยมา เมื่อการตัดสินใจของคนเหล่านี้จากตอนที่ยังอายุน้อยและผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมายสะท้อนกลับมาหาพวกเขาในท้ายที่สุด”
ผู้อำนวยการสร้างฯ ไมเคิล แทดรอสเองก็รู้สึกสนใจกับเรื่องแก๊งค์อันธพาลเช่นกัน เขากล่าวเสริมว่า “ผมชอบเรื่องราวเหล่านั้นมากเพราะพวกเขาต้องเล่นกับความซื่อสัตย์ และโดยเฉพาะในหนังเรื่องนี้ที่การตัดสินใจของเราจะส่งผลถึงครอบครัวของเราด้วย เราอาจหนีจากอดีตได้แต่ปิดบังมันไม่ได้”
แต่บางที.. แค่บางที.. คุณอาจได้รับโอกาสครั้งที่สอง
คอลเลต์-เซอร์ร่าเล่าว่า “คนส่วนมากหวังว่าพวกเขาจะมีโอกาสแก้ไขข้อผิดพลาดในชีวิตที่เคยทำสักครั้ง เพื่อนำโอกาสนั้นมาปรับปรุงตัวเอง มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากซึ่งทุกคนจะเข้าใจเรื่องนั้นได้”
แต่จิมมี่มีโอกาสแก้ตัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพื่อให้ลูกชายไม่เกลียดเขาอีกต่อไป โอกาสเดียวที่จะรอดชีวิต…และคืนเดียวที่จะทำให้สำเร็จ
กรรมตามสนอง
ชอว์น
ไม่มีใครสนใจแกเลย ฉันเป็นคนเดียวที่ยังแคร์
และมันจบลงเมื่อ 1 ชั่วโมงที่แล้ว
จิมมี่
ฉันไม่ยอมให้แกเอาตัวเขาไปแน่ ชอว์น
ชอว์น
แกไม่มีทางเลือกแล้ว
ฉันจะไปล่าตัวลูกแกด้วยทุกวิถีทาง จิมมี่\
เลือดอาจจะข้นกว่าน้ำแต่พวกมาเฟียเหนียวแน่นกันเหนือยิ่งสิ่งใด จิมมี่รู้ว่าศพถูกฝังอยู่ที่ไหนเพราะเขาเป็นคนฝังเองกับมือ แต่ความลับของเขากลับมีค่าสำหรับเขา
นีสันเล่าถึงตัวละครของเขาว่า “จิมมี่เป็นสมาชิกในกลุ่มที่ยึดมั่นในหลักศีลธรรมและจริยธรรมต่างจากคนอื่น ความซื่อสัตย์คือทุกสิ่งทุกอย่าง และนั่นคือปมความขัดแย้งเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องที่ทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก เมื่อมาถึงที่สุดแล้วเขาจะเลือกใคร?”
คอลเลต์-เซอร์ร่าอธิบายว่า “เลียมเคยรับบทพ่อมาแล้ว แต่ผมว่าความแตกต่างของตัวละครนี้อยู่ที่ไม่ใช่แค่เรื่องการปกป้องหรือการช่วยชีวิต แต่เกี่ยวกับการทวงคืนตำแหน่งด้วย สำหรับคนเป็นพ่อแล้วผมนึกภาพออกว่าการสูญเสียอาจทำให้ใจสลายได้เลย ซึ่งคุณพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์”
ความบาดหมางจากครอบครัวเขาเป็นเพราะหลายสิ่งที่เขาทำตามเจ้านายของเขา ทำให้จิมมี่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวปราศจากความอบอุ่นในอพาร์ทเมนท์อันชวนหดหู่ที่บรูคลินช่วงคริสต์มาส
“จิมมี่เป็นสัญลักษณ์ของช่วงเวลาแห่งความล้าสมัย เขาต้องดิ้นรนเอาตัวรอดในโลกที่ไม่มีโอกาสให้เขาอีกต่อไป” นีสันอธิบาย “เขาวางมือจากวงการและเหลือไว้เพียงแต่ความเศร้าเสียใจ คนใกล้ชิดที่สนิทเหมือนครอบครัวตอนนี้คือชอว์น ซึ่งเป็นคนที่เขาพร้อมจะช่วยเหลือเหมือนเงินที่ต้องจ่ายค่าไฟ เขาคือผู้อุปถัมภ์”
อินเจลส์บายอธิบายว่า “ผมคิดว่ามันน่าตื่นเต้นที่ได้สวมบทบาทของผู้ที่เคยทรงอิทธิพล แต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในจุดที่มีอำนาจแล้วเพียงแค่ยังอยู่ในวงโคจรของโลกใบเดิม ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นกำลังหวาดกลัวเขาว่าจะไม่จริงใจแต่ใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือแทน”
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้คุ้มครองชอว์นแล้ว พวกเขาก็ยังรักษาระยะห่างของพวกเขาไว้อยู่ เพราะชอว์นยังคอยูแลความปลอดดภัยให้จิมมี่
“จิมมี่ต้องรับภาระหนัก ความซื่อสัตย์ครั้งนี้ไปจนถึงการก่ออาชญากรรมในครอบครัว เปรียบเสมือนครอบครัวของเขามากกว่าครอบครัวที่แท้จริงจากที่เขาเลือกเอง มันเป็นเรื่องที่น่านับถือมากที่เขาพยายามกันความชั่วร้ายจากลูกชายของเขา เขาอยู่ระหว่างความสัมพันธ์” คอลเลต์-เซอร์ร่ากล่าว “วันแรกในฉากแรกเลียมแสดงทุกอย่างในตัวละครออกมาเลย นั่นคือประสบการณ์ที่ผมมีร่วมกับเขาจากหนังทุกเรื่องที่เราร่วมงานกัน เขาเป็นนักแสดงที่เก่งมากและสร้างความสนุกได้ตลอด”
จิมมี่ถูกฝึกมาให้ฆ่าสังหารได้เหมือนกับทหารลับของกองทัพ เขากลับมาที่บ้านและเมื่ออะไรดูไม่เข้าท่า เขาจึงย้อนกลับมาสู่สิ่งที่เขารู้ว่าตัวเองถนัด
นีสันเล่าว่า “เราได้เห็นสิ่งที่เขาเคยเห็นและเคยทำมาแล้ว เขาทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้เลยต้องมารับงานสกปรก ตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้วและเขาอาจเริ่มล้าแต่เขาไม่ออกจากวงการ เขายังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่ใช่แค่ที่เวียตนามแต่ในป่าคอนกรีตอย่างที่นิวยอร์คด้วย ซึ่งสุดท้ายแล้วเขารู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะอยู่รอดได้ เขาคือผู้รอดชีวิตเลยครับ”
หัวหน้าของจิมมี่คือชอว์น แม็คไกวร์คือผู้รอดชีวิตอีกคนหนึ่ง ควบคุมธุรกิจนักเลงไอริชทางแถบตะวันตกเดอะเวสตีส์
แฮร์ริสเล่าว่า “ในยุค 70 เดอะ เวสตีส์คือกลุ่มที่ควบคุม Hell’s Kitchen โหดร้าย ทารุณ และติดยากันมาก คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ถ้าไม่ตายก็ติดคุกอย่างจิมมี่ ชอว์นที่อยู่นอกคุกและนอกโลงศพ เขาแข็งแกร่งจริงๆ”
แต่พวกเขามีอะไรมากกว่าทักษะการเอาตัวรอด พวกเขาเป็นเพื่อนกันและมีอดีตที่ผูกพันกันมา ตั้งแต่พวกสาวๆ ที่พวกเขาออกเดทด้วยไปจนถึงคนที่พวกเขาฆ่า
คอลเลต์-เซอร์ร่าเล่าว่า “สิ่งสำคัญคือการสร้างมิตรภาพระหว่างจิมมี่กับหัวหน้าของเขาและความผูกพันอันแน่นแฟ้นขึ้นมา ฉะนั้นเมื่อมิตรภาพและความซื่อสัตย์ของพวกเขาต้องถูกทดสอบจึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก เอ็ดถ่ายทอดการแสดงทั้งการเป็นเพื่อนรักและศัตรูร้ายในเส้นทางที่ไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบของพวกเขาได้อย่างดีเยี่ยม”
นีสันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับแฮร์ริสและพูดถึงเพื่อนร่วมแสดงของเขาว่า “ถ้าคุณมีโอกาสร่วมงานกับเอ็ด แฮร์ริสจงทำซะ ไม่ต้องลังเล เอ็ดคือนักแสดงแห่งตำนานคนหนึ่งเลย มันวิเศษมากที่ได้แสดงฉากที่เข้มข้นดุเดือดร่วมกับเขา”
“จิมมี่และชอว์นผ่านเรื่องราวสำคัญมาด้วยกัน พวกเขาสนิทกันมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ต่างกันกับลูกชายของพวกเขา มันน่าสนุกดีครับที่ได้ค้นหาไปพร้อมกับเลียม” แฮร์ริสกล่าว “จิมมี่เป็นพวกของชอว์นตั้งแต่ยุคแรกๆ คือเพื่อนที่สนิทมากของเขา ตอนนี้เขากำลังตกที่นั่งลำบากและชอว์นพยายามช่วยเขาออกมา มันช่วยสร้างมิติขึ้นมาหลายระดับ พวกเขาแคร์กันแม้ว่าสุดท้ายจะอยู่คนละฝ่ายก็ตาม”
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่มีโอกาสได้ร่วมงานกัน แม้ว่าขณะเดียวกันแฮร์ริสจะมีการแสดงบรอดเวย์ 8 รอบต่อสัปดาห์ ผู้สร้างฯ ได้ปรับตารางการทำงานใหม่ให้เหมาะสมกับเขา “มันชัดเจนมากว่าเราต้องการเอ็ดและอยากให้เขามาแสดงหนังมากขนาดไหน” คอลเลต์-เซอร์ร่ากล่าว “ผมชื่นชมในความทนทานของเขาครับ”
แทดรอสเล่าถึงตอนนั้นว่า “เราจะพาเขาไปถึงที่สุดจากการป้องกันของตำรวจ ไม่ว่าเราต้องทำอะไรเพื่อให้เขามาอยู่ตรงนั้นก็ตาม เขาทำงานทั้งกลางวันกลางคืนตลอดการถ่ายทำ เอ็ดคือมืออาชีพตัวจริงเลยครับ น่าทึ่งไปเลย”
“มันคุ้มค่านะครับ ผมรู้สึกพอใจกับผลงานมาก” แฮร์ริสกล่าว
จิมมี่และชอว์นต่างมีสัญชาตญาณความเป็นพ่ออยู่ในตัว เช่นเดียวกับอดีตที่หมองมัวของพวกเขา ซึ่งสัญชาตญาณเหล่านั้นขัดแย้งกับความซื่อสัตย์ที่ต่างมีให้กันในคืนที่ลูกชายของพวกเขาทำลายอดีตอย่างไม่ตั้งใจ แม้ว่าพวกเขาจะโตขึ้นมาในเมืองเดียวกันและวงการเดียวกัน แต่ลูกของจิมมี่และชอว์นกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โจเอล คินนาแมน รับบทไมค์ คอนลอน ลูกชายของจิมมี่ที่มีปัญหา เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพ่อหรือเส้นทางอาชีพของพ่อเลยตั้งแต่ที่จิมมี่ทิ้งพวกเขาไปเมื่อหลายปีก่อน การเป็นนักมวยอาชีพในระยะสั้นไม่ประสบความสำเร็จ ฉะนั้นเขาจึงทำอาชีพเสริมด้วยการขับรถเพื่อดูแลภรรยาและลูกอีกสองคน
คินนาแมนเล่าถึงไมค์ว่า “เป็นแนวทางความสูญเสียที่ได้มาจากการใช้ชีวิตแบบพ่อของเขา เขาทิ้งไมค์ไปตอนอายุ 5 ขวบ ไมค์พยายามใช้ชีวิตตรงข้ามกับพ่อตัวเองทุกด้าน” ครั้งเดียวที่ไมค์เห็นหน้าจิมมี่เมื่อ 5 ปีก่อนคืองงานศพของแม่ จากนั้นจิมมี่ก็อยู่ในสภาพขี้เมา ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาต้องการที่หลบซ่อนตัว “จิมมี่ไม่ใช่พ่อที่ดี ไมค์จึงทำหน้าที่พ่อของตัวเอง นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องทำงานหนัก เขาพยายามทำเพื่อครอบครัวและครอบครัวคือทุกสิ่งของเขา เขามีชีวิตเพื่อสิ่งนั้น” คินนาแมนกล่าว
นักแสดงชายเป็นที่สนใจของคอลเลต์-เซอร์ร่ามาบ้างแล้ว “ผมเป็นแฟนผลงานของโจเอลและรู้สึกดีใจมากที่เขาได้มาร่วมงานด้วย เขาเป็นคนที่มีพลังในหลายด้านทั้งจิตใจ ร่างกาย ความรู้สึก เขาถ่ายทอดทุกอย่างสู่ตัวละครนี้ เขากับเลียมเข้ากันได้ทันทีเลยครับ”
ทั้งคินนาแมนและนีสันต่างเห็นด้วยว่าการรับบทพ่อลูกบนหน้าจอทำให้พวกเขามีโอกาสสนิทกันหลังจอด้วย
คินนาแมนเล่าว่า “ผมเฝ้าดูเขาตลอด มันเลยเป็นโอกาสที่พิเศษมากครับ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ประกบคู่กับเลียม การแสดงของเขาน่าประทับใจหลายบทบาทเลยครับ”
“มันวิเศษมากครับที่ได้ร่วมงานกับโจเอล” นีสันยืนยันว่า “พวกเราเหมือนทีมเดียวกันมากๆ ต้องช่วยกันค้นหาอารมณ์ที่มีความซับซ้อนระหว่างพ่อลูก พวกเขาต้องมาอยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องมีความไว้วางใจกัน แต่ไมเคิลไม่รู้ว่าจะไว้ใจจิมมี่อย่างไร” หลายอย่างตึงเครียดเพราะจิมมี่ไม่เคยพบหน้าภรรยาของลูกชายตัวเองหรือหลานสาวของเขาที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางการวิวาทมาก่อน
เจเนซิส โรดริเกซ รับบท แกเบรียล คอนลอน ภรรยาของไมค์ที่กำลังตั้งครรภ์ “เธอเป็นคนง่ายๆ และจะคอยให้กำลังใจค่ะ” นักแสดงหญิงกล่าว “เธอเข้าใจเขาดีกว่าใครว่าเขาเคยเจ็บปวดจึงอยากเป็นพ่อที่ดี ซึ่งแกเบรียลและลูกสาวทั้งสองคนของพวกเขามาเติมเต็มชีวิตครอบครัวของไมค์ที่เขาขาดหายไปมาโดยตลอด”
โรดิเกซยอมรับว่าตัวละครมีความแตกต่างกับเธอ โดยเฉพาะในหนังแอ็คชั่น “ฉันไม่เคยรับบทแม่ที่ต้องสนใจคนอื่นก่อนตัวเองเลยค่ะ เรารู้สึกเปราะบางยิ่งขึ้นเมื่อเราอึดอัด เราจะรู้สึกได้ถึงความหนักของมันและมันจะคอยถ่งเราไว้เวลาที่เราต้องวิ่งหนี” เธอกล่าว
“เจเนซิสแสดงได้ดีมากครับ” คินนาแมนยอมรับ “เธอแสดงความดุและพลังของคนเป็นแม่ออกมาในบทแกเบรียล เธอแสดงออกมาได้ในฉากที่แกเบรียลและไมค์มีความเห็นไม่ลงรอยกัน คุณจะเห็นนว่าทำไมเขาต่อสู้เพื่อครอบครัว แต่ก็จะเห็นว่าแกเบรียลปกป้องเขาด้วยเช่นกัน”
“โจเอลจะพูดกับตัวเองในใจตลอดเวลาที่เกิดเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นการแสดงที่เยี่ยมมากครับ” โรดิเกซกล่าว
ความรับผิดชอบของไมค์ในการเป็นพ่อที่ดียังรวมถึงการพาลูกไปเข้าโรงยิม โดยเฉพาะนักชกมวยเด็กที่ชื่อ เคอร์ทิส “เลกส์” แบงค์สผู้รับบทออเบรย์ โอมารี โจเซฟ ที่เขาต้องเป็นครูพี่เลี้ยง ตลอดการต่อสู้ของพวกเขาไมค์ต้องปกป้องเลกส์จากความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในเหตุการณ์ตอนกลางคืน คินนาแมนเตรียมตัวเขาในการรับบทด้วยการเรียนการชกมวย ฝึกซ้อมการเป็นนักมวยอาชีพเป็นเวลา 3 เดือน
ผู้อำนวยการสร้างฯ ไมค์ แทดรอส เล่าให้ฟังว่า “เขาแสดงได้ดีมากครับ ไม่มีที่ติอะไรเลย มีนักมืออาชีพรอบตัวเขาคอยบอกผมว่า ‘เด็กคนนี้ชกมวยได้จริงๆ’”
คินนาแมนสนุกกับการฝึกซ้อม “การชกมวยแสดงให้เห็นถึงความโกรธที่อยู่ลึกๆ ในตัวไมค์ แต่มันทำให้เขาดูบึกบึน บ่งบอกถึงความสามารถที่ร้ายกาจ เขาไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตการใช้ความรุนแรงของพ่อ แต่บางครั้งเขาก็ต้องระบายอารมณ์ผ่านความรุนแรง” เขาเล่ารายละเอียด
แม้ว่าลูกชายของจิมมี่และชอว์นต่งามีเส้นทางที่ต่างกัน แดนนี่ แม็คไกวร์มีเหตุผลของตัวเอง เขาอาจเจริญรอยตามชอว์นและเป็นส่วนหนึ่งในวงการ แต่ระหว่างพวกเขาก็มีหลักการและความรู้สึกที่ขัดแย้งกันที่มามั่วสุมกับพวกค้ายาอัลบาเนียน ต่างจากพ่อของเขาที่ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องค้ายา แดนนี่ไม่พอใจกับธุรกิจที่ขาวสะอาดด้วยการทำบาร์เหล้า
บอยด์ โฮลบรูค ผู้รับบทแดนนี่ได้เล่าถึงตัวละครของเขาว่า “แดนนี่และไมค์เหมือนหยินกับหยาง ไมค์เป็นคนที่มีแนวทางชัดเจน เขามีครอบครัว มีงานสุจริต ส่วนแดนนี่พยายามไต่เต้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาค่อนข้างทะเยอทะยานในทางที่ผิด เขามีหลายสิ่งที่ต้องพิสูจน์เพื่อให้ทัดเทียมกับพ่อ”
เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพ่อมาเยอะมาก “ในความคิดของเขา พ่อเป็นคนกล้าหาญและเขาอยากเป็นแบบนั้น” เขาเล่าต่อว่า “เขาพยายามเรียนรู้เพื่อทำให้ตัวตนเป็นที่ยอมรับ ซึ่งอาจจะเป็นการแปลงสภาพให้เข้ากับยุคสมัยของเขา”
“ลูกชายของชอว์นค่อนข้างหัวรุนแรง” แฮร์ริสกล่าว “ผมคิดว่าแดนนี่ต้องการวางตัวให้เหนือชอว์นตามที่เขาคิดหรือภาวนาว่าชอว์นเป็น เช่น ทำตัวแหกกฎได้อย่างบ้าดีเดือด เขาภาวนาว่าชอว์นจะหุนหันพลันแล่นและกล้าสานธุรกิจมากกว่านี้”
การตัดสินใจของแดนนี่เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็น และการตัดสินใจของไมค์เพื่อสร้างความชัดเจนด้วยการให้พวกเขาร่วมชะตากรรมกัน 1 คืน เมื่อไมค์บังเอิญขับรถให้พ่อค้ายาที่ติดต่อกับแดนนี่ ไมค์รู้เห็นเรื่องการฆาตกรรมที่สามารถซักทอดไปถึงแดนนี่ได้ นั่นคือช่วงเวลาที่ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
บรูคลิน วีเวอร์เล่าว่า “จากครั้งแรกที่เราพบกัน ชอว์เม่ให้แง่คิดว่านี่คือคืนเดียวที่สำคัญต่อทั้งชีวิตของไมค์”
ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ ชอบหรือไม่ชอบก็ตาม เขาต้องการควาช่วยเหลือจากพ่อ คินนาแมนเล่าว่า “เขาไม่เต็มใจรับความช่วยเหลือในตอนแรกเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า แต่กลับเห็นชัดว่าพ่อของเขาคือคนเดียวที่ช่วยเขาจากสถานการณ์นี้ได้ พวกเขาจึงต้องร่วมมือกัน”
คอลเลต์-เซอร์ร่าเล่าต่อว่า “หากดูในนมุมมองกว้างๆ ของเรื่องต่างๆ หากไม่เกิดเรื่องคืนนี้ขึ้นไมค์คงไม่มีทางสมบูรณ์แบบได้ เรื่องคืนนี้ต้องเกิดขึ้นเพื่อให้เขาได้เชื่อมสัมพันธ์กับพ่อ เขาจะได้เป็นพ่อที่แสนดีเท่าที่เขาจะเป็นได้”
ในการช่วยลูกชายของเขา จิมมี่ต้องเอาปืนของเขามาปัดฝุ่นเพื่อใช้มันอีกครั้ง แน่นอนว่าเมื่อเขาใช้มันเขาต้องพบกับพวกอันธพาลและตำรวจทั้งแผนกมาตามตัวเขา “พ่อกับลูกเกาะกลุ่มกันบ้างในบางเวลา พวกเขาพยายามเลี่ยงข้อกฎหมายและคำสั่งและแก๊งค์เวสตีส์จนทำให้เกิดความเครียดที่มีมุมน่ารักระหว่างทั้งคู่ขึ้นมา” นีสันกล่าว
วินเซนต์ ดี’โอโนฟริโอ รับบทนักสืบจอห์น ฮาร์ดิง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องการตัวจิมมี่ 30 ปีแล้วและตอนนี้เขาอาจจะได้สิทธิ์นั้น “ผมอยากมีส่วนร่วมในหนังแนวดราม่า/แอ็คชั่นที่นิวยอร์คร่วมกับเลียมและเอ็ดมากครับ” ดี’โอโนฟริโอใช้เวลาหลายชั่วโมงที่โรงละครเพื่อดูแฮร์ริสบนเวที เขาเล่าว่า “ฮาร์ดิงเป็นนักสืบของนิวยอร์คที่มีประวัติร่วมกับจิมมี่อย่างโชกโชน เขาไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นได้เลยว่าจิมมี่สังหารมากี่ศพแล้ว และเขายังจมอยู่กับอดีตเช่นนี้ มันผ่านไปนานหลายปีแล้วแต่เมื่อพวกเขาได้พบกันอีกครั้งกลับเป็นสิ่งแรกที่อยู่ในความคิดของฮาร์ดิง เขาเชื่อว่าคืนนี้เขาจะไม่พลาดจิมมี่ คอนลอนแน่”
ถ้าเขาสามารถจับตัวได้
นีสันเล่าว่า “ฮาร์ดิงไม่ได้เป็นเป็นตัวแทนของความยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นฝ่ายคุณธรรมของจิมมี่ด้วย จิมมี่ถูกหลอกหลอนจากคนที่เขาฆ่า เขาเห็นหน้าพวกเขาและเขาอยากปลดปล่อยตัวเอง เขาแค่ต้องผ่านคืนนี้ไปให้ได้เพื่อไปยังจุดที่ บรรลุหลังจากเววลาทั้งหมดนี้ผ่านไป”
แต่คนที่จิมมี่ต้องกังวลมากที่สุดคือคนที่ชอว์นเรียกมาให้สะกดรอยตามเขากับลูกชายคือ แอนดรูว์ ไพรซ์ เขาเป็นมือสังหารประเภทใหม่ และเขาโหดเหี้ยมเย็นชากว่าที่จิมมี่เคยเป็น
คอลเลต์-เซอร์ร่าบรรยายถึงไพรซ์ว่า “เหมือนปีศาจที่เราปล่อยออกมาและไม่สามารถควบคุมได้ เขาคือมือปืนรุ่นต่อไป เขาไม่สนใจใครหรือสิ่งใดนอกจากเงิน เขาคือตัวแทนของพวกอันธพาลแนวใหม่ ทุกอย่างมีความชัดเจนมากครับ”
เมื่อชอว์นได้ติดต่อไพรซ์ จุดมุ่งหมายคือการสังหารจิมมี่และไมค์ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แฮร์ริสเล่าว่า “ทั้งจิมมี่และชอว์นรู้ว่ามีทางเดียวที่จะยุติได้ มันเป็นกฏของเส้นทางในโลกที่พวกเขาอยู่”
คอมมอนรับบทไพรซ์ นักฆ่าที่จะไม่ยอมวางมือจนกว่า “พวกเราจะตายกันหมด” จิมมี่เล่าว่า “มันวิเศษมากครับที่ได้แสดงหนังร่วมกับเลียม นีสัน และรับบทตัวละครที่คล้ายกนักับตัวละครของเขา ซึ่งเป็นตัวละครที่จะจ้องตาใครสักคนและยิงหัวพวกเขาก่อนพูดว่า “ภารกิจสำเร็จ” และค่อยเดินหน้าต่อ ไพรซ์มีความได้เปรียบ เขาค่อนข้างน่ารำคาญ แต่ฉลาด เด็ดเดี่ยว และเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ เขากำลังเดินทางเพื่อตะครุบเหยื่อของเขาและตามติดพวกเขา นั่นคือความตื่นเต้นในการรับบทครับ”
คอลเลต์-เซอร์ร่าเล่าถึงการพบกันครั้งแรกให้ฟังว่า “คอมมอนเป็นคนน่ารักมากครับ มันเห็นได้ชัดจากการแสดงของเขาที่อินอย่างจริงจังและแสดงบทคนร้ายออกมาได้ดูแข็งแกร่งและน่ากลัว แถมมีพลังอย่างเหลือล้นแบบนี้ด้วย”
สำหรับบทบาทของเขา คอมมอนต้องฝึกการแสดงร่วมกับผู้ควบคุมสตั๊นท์เพื่อพัฒนาลักษณะท่าทางและการใช้ปืนที่แตกต่างจากคนอื่น “เขาทำตามคำสั่งคนที่บอกให้เขาตามล่าตัวละครของเลียม นีสัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” คอลเลต์-เซอร์ร่ายิ้ม
นักแสดงคนอื่นได้แก่ บรูซ แม็คกิลที่รับบทแพท มุลเลน ที่ปรึกษาของชอว์น; โฮลต์ แม็คคอลลานี่รับบทแฟรงค์ ขุมกำลังของเขา ส่วนแพทริเซีย คาเลมเบอร์รับทโรส แม็คไกวร์ภรรยาของเขา นิค โนลเต้ยังมาแสดงฉากสำคัญในบท เอ็ดดี้ พี่ชายของจิมมี่ที่เขาไม่ค่อยเห็นหน้าอีกด้วย
นีสันเล่าว่า “เราโชคดีมากที่มีนิค โนลเต้ยอดฝีมือ ผมไม่อยากเชื่อตอนที่ชอว์เม่บอกผมเลย เขาเก่งมากครับ ดูเป็นธรรมชาติและจริงใจ เขามีบทสั้นๆ แต่สำคัญต่อตัวละครขงผมและพวกเราตื่นเต้นมากกับการแสดงบทบาทของเขา”
คอลเลต์-เซอร์ร่าเห็นด้วยว่า “ผมโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงเก่งๆ พวกเขาทุ่มเทกับตัวละครของตัวเองที่มีผลต่อเรื่องราวมาก การแสดงของพวกเขาจะสะกดคุณและทำให้คุณต้องนั่งติดขอบเบาะ ซึ่งมันยิ่งเพิ่มการเดิมพันเพื่อเอาชีวิตรอดและการล้างแค้น”
การล้างแค้น
จิมมี่
ตอนนี้ ชอว์นทำให้ทุกคนมาพบที่ the Abbey…
พวกเขาจะทำลายชีวิตให้แหลก
และพวกตำรวจก็จะทำตามหน้าที่ของตัวเอง
สิ่งเดียวที่จะขอ.. คือ… เชื่อฟังพ่อสักคืน
ไมเคิล
คืนเดียว จากนั้นเราไม่ต้องพบกันอีก
ภาพยนตร์เรื่อง “Run All Night” ถ่ายทำในสถานที่จริงทั้งในและรอบนิวยอร์ค เริ่มที่บ้านเกิดของผู้เขียนบทฯ ย่านฟิลลี่ที่รายล้อมไปด้วยอันธพาลอิตาเลียน แบรด อินเจส์บาย ได้ศึกษาและก่อตั้งแก๊งค์มาเฟียชาวไอริชขึ้นมาตอนที่ผู้สร้างฯ เลือกจะเปลี่ยนสถานที่ และกองถ่ายยังให้ความสนใจในโลกแห่งความหรูหราของ Westies ที่พวกอันธพาลผู้โหดเหี้ยมมีธุรกิจ Hell’s Kitchen ในยุค 70
“แม้จะพูดได้ว่าแก๊งค์นั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ย้ายไปอยู่ที่ควีนส์” คอลเลต์-เซอร์ร่าให้ความเห็น นั่นคือสถานที่ที่เราออกลาดตระเวนดู” ตอนที่พวกเขาขับรถไปรอบๆ ภาพในจินตนาการก็เริ่มผุดขึ้นมาในความคิดของผู้กำกับฯ “มันเต็มไปด้วยผับไอริช วัฒนธรรมชาวไอริช และผมนึกขึ้นได้ว่ามีที่แบบนั้นอยู่ใกล้ๆ หรือด้านล่างรถไฟยกระดับ มันทำให้ผมสัมผัสความรู้สึกของสถานที่และสิ่งก่อสร้าง ฉะนั้นรถไฟยกระดับและรถไฟใต้ดินจึงกลายการเปรียบเทียบถึงคอนเนคชั่นของพวกอันธพาล ทุกสิ่งและทุกคนที่ข้องเกี่ยวกับโลกนั้นต้องอยู่ใกล้รถไฟใต้ดินหรือรถไฟ”
ผู้ออกแบบฉากฯ ชารอน ซีย์มัวร์ เล่าว่า “มันเป็นมุมมองที่แสดงได้ถึงแก๊งค์สเตอร์ ซึ่งเป็นไอเดียของชอว์เม่ที่เห็นภาพชัดเจนและดูฉลาดมากครับ และเป็นเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นในนิวยอร์คเพราะเราไม่ได้ถ่ายทอดหนังแมนฮัตตันที่นิวยอร์ค มันมีความรู้สึกของเพื่อนบ้าน สังคมนอกเมืองแมนฮัตตัน ชอว์เม่มีการผสมผสานกันและเขาก็ทำได้อย่างงดงามมากครับ สิ่งที่เขาชอบและยอมรับมีความชัดเจนมาก สถาปัตยกรรมทำให้เรารู้สึกได้ถึงสถานที่นั้น”
ทีมผู้ออกแบบฉากได้สร้างผับของชอว์นที่ชื่อว่า the Abbey ซึ่งเป็นกองบัญชาการของพวกอันธพาลนอกเหนือจาก 3 สถานที่อื่น เช่น ด้านนอกรถไฟใต้ดินบนถนน Jamaica Avenue ด้านนอกรถไฟใต้ดินที่ Woodside และภายใน Bay Ridge ที่บรูคลิน พวกเขามองหาไอริชบาร์หลายแห่งในเมือง และมีบ้างใน Yonkers ซีย์มัวร์เล่าว่า “พอเรามีความชัดเจนว่าต้องการด้านนอกแบบไหน ตัวเลือกของเราก็ถูกจำกัดลงที่ย่านอุโมงค์ยกระดับ มันดูเหมือนจิ๊กซอว์ที่มีความซับว้อนอยู่พักหนึ่งแต่เราก็แก้มันได้” ด้านในต้องมีความรู้สึกเดียวกับด้านนอกแต่กว้างใหญ่กว่าและมีพื้นที่ที่ดูมีชีวิตชีวามากกว่า
สถานที่ของจิมมี่ต้องอยู่ติดกับรถไฟ ซึ่งมันต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง ซีย์มัวร์เล่าว่า “สุดท้ายเราใช้พื้ที่จริงที่เราสร้างขึ้นซึ่งมีขนาดเล็กกว่าความเป็นจริง แต่หน้าต่างห้องครัวมองลงไปเห็นรถไฟ ส่วนด้านนอกก็มีรถไฟวิ่งผ่าน ผลลัพธ์ทำให้เรากลัวความสูงแต่สะท้อนให้เห็นถึงสุดปลายทางและความถดถอยของจิมมี่”
ด้านในเป็นพื้นที่แคบๆ ของบ้านช่องของชนชั้นทำงานที่แท้จริงย่าน Ridgewood, Douglaston และ Bellerose บรรยากาศรอบข้างตัวละครเว้นไมค์และครอบครัวของเขาล้วนมีสีสันแบบธรรมชาติ เช่น อิฐ ไม้ หรือสีโทนเย็น
มีแต่โลกของไมค์ที่ใช้สีโทนอบอุ่นและ “ให้ความรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ในนั้น” ซีย์มัวร์กล่าว “เราต้องการสะท้อนว่าพวกเขามีระบบเศรษฐกิจแบบไหน และพวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างดิ้นรน เราพบบ้านหลังนี้ที่ Maspeth ซึ่งมีชั้นเดียว ห้องนอนเล็ก 2ห้อง มันรู้สึกว่าใช่เลย มีการตกแต่งหลายอย่างให้ความรู้สึกเหมือนบ้านที่เพิ่งเริ่มมาอยู่ มันแคบแต่เต็มไปด้วยชีวิต”
คลับชกมวยของจอห์นที่ย่านบรองซ์เป็นหนึ่งในสถานที่แรกๆ ที่พวกเขาพบ “มันให้ความรู้สึกเหมือนโรงยิมในชุมชน ไม่ดูหรูหราหรือใหม่เลย” ซีย์มัวร์กล่าว พวกเขายังเดินทางไปทางตอนเหนือของ Putnam เมืองนิวยอร์คเพื่อสร้างกระท่อมในชนบทขึ้นมาฉากหนึ่ง
คอลเลต์-เซอร์ร่าเล่าว่า “มันสำคัญมากสำหรับหนังที่ชื่อว่า ‘Run All Night’ เราไม่ได้วิ่งจากบรูคลินไปยังควีนส์เท่านั้น เราต้องวิ่งทั่วนิวยอร์คด้วย เราต้องใช้ความพยายามในการไปที่แมนฮัตตันหลายครั้งมาก รวมถึงที่ควีนส์ บรูคลิน และบรองซ์ด้วย เราถ่ายทำจริงเกือบทุกที่เลย”
แทดรอสยิ้ม “เรื่องราวเกิดขึ้นในคืนเดียว แต่เราถ่ายทำกัน 48 คืน ที่นิวยอร์คช่วงหน้าหนาว”
บรูคลิน วีเวอร์เล่าต่อว่า “ไมค์ แทดรอส ทุกคนอยู่ที่นิวยอร์คและรู้จักเมืองทั้งในและนอก ถ้าไม่มีเขาพวกเราคงไม่ได้สถานที่ต่างๆ แบบนี้”
สถานที่แห่งหนึ่งที่จดจำได้ดีที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อการถ่ายทำคือ Madison Square Garden ที่มีชื่อเสียงระดับโลก “แม้ว่าพวกอันธพาลจะปรากฏตัวกันที่ย่าน Woodside พวกเขาก็ยังมีฐานตั้งมั่นอยู่ในเมือง” ซีย์มัวร์อธิบายว่า “นั่นเป็นสิ่งที่นำเราสู่จุดเชื่อมต่อทั้งหมดกับ Madison Square Garden และร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ มันกลายเป็นสถานที่ใหม่ที่พวกเขาใช้กันประจำ”
รอย ลีเล่าถึงการถ่ายทำที่สวนว่า “มีความท้าทายแต่ก็คุ้มค่าครับ” คอลเลต์-เซอร์ร่าถ่ายทำดด้านในสถานที่ที่มีคนมาชุมนุมกันก่อนมีเกมฮอคกี้ New York Rangers แต่สำหรับด้านนอกที่มีกลุ่มคนอยู่ที่นั่นจริงๆ มีการทำงานรอบพื้นบริเณการจราจรบนถนน Seventh Avenue
ความท้าทายที่ไม่แพ้กันคือการถ่ายทำฉากต่างๆ ในรถไฟใต้ดิน ตั้งแต่รถไฟใต้ดินมักอยู่ในภาพยนตร์ตลอดและเจ้าหน้าที่นิวยอร์คดูแลระบบอย่างเข้มงวด ผู้สร้างฯ จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปใช้งานได้เป็นรายครั้งเท่านั้น
คอลเลต์-เซอร์ร่ามีเวลาถ่ายทำ 2 วัน วันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น “เราควบคุมระบบรถไฟใต้ดินไม่ได้เลย เว้นแต่ช่วง 1 ชั่วโมงตั้งแต่ตี 3-4 เพียงคืนเดียวเท่านั้น แต่เราไม่รู้ว่ารถไฟจะมาตอนไหน หรือจะมีคนเยอะมั้ย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเขาก็จะมองมาที่กล้อง…มันเลยทำให้ทุกอย่างลำบากและวุ่นวายขึ้น แต่มันคือนิวยอร์ค” เขายิ้ม
นอกจากการไล่ล่ากันที่รถไฟใต้ดินแล้ว ยังมีฉากขับรถที่น่าตื่นเต้นตอนที่จิมมี่ต้องขับรถไล่ล่าตำรวจผ่านบรูคลินด้วยรถ Camaro แต่มีจุดเปลี่ยนเมื่อไมค์อยู่ในรถตำรวจที่เขาไล่ล่าอยู่ สำหรับฉากที่น่าตื่นเต้นทีมผู้ออกแบบฉากได้สร้างร้านรับจำนำขึ้นมาจากโรงถ่ายว่างๆ ที่ Richmond Hill ใกล้กับควีนส์
“เรามักจะเห็นตำรวจตามล่าคนร้าย มันเลยตลกดีพอเห็นคนร้ายไล่ล่าตำรวจ ยิ่งเราเห็นตัวละครหลักไล่ตามรถที่ลูกชายเป็นคนขับอยู่ มันยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับสถานการณ์” คอลเลต์-เซอร์ร่ากล่าว “ผมอยากให้มันเกิดขึ้นที่อุโมงค์ยกระดับด้วยซ้ำและให้ไล่ล่ากันผ่านตึกอาคาร มันดูน่าตื่นเต้นดี”
ด้านนอกมีกล้องอยู่ 7 ตัว ตัวหนึ่งจะอยู่บนแขนซึ่งจะมีการเดินทางและเคลื่อนไหว พวกเขามีการใช้กล้องแบบมุมมองนกด้วย ซึ่งจะวางกล้องอยู่บนเครนสูงและส่องลงมาเห็นภาพมุมกว้างและกล่องที่ล้มลงมาจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีมอนิเตอร์สำหรับควบคุมในร้านจำนำเพื่อเก็บภาพฟุตเทจจากมุมที่จะตัดเข้าไปในหนังด้วย
รถจะชนกันบนทางลาดและลอยกลางากาศจนตกมาที่กลางร้านรับจำนำ “มันเหมือนงมเข็มอยู่” คอลเลต์-เซอร์ร่ากล่าว “พวกเขามีระยะแค่ 4 ฟุตจากทางเข้าแต่ละด้านเมื่อเขามาจากด้านข้าง และพวกเขาต้องได้มุมที่พอดีเป๊ะ ถ้าสั้นหรือยาวไปเรามีปัญหาแน่ แต่ทีมงานมีการเตรียมตัวอย่างดีและเรามีคนขับสำหรับการแสดงผาดโผนที่มีฝีมือดีมาก”
ยังมีฉากอื่นที่ถ่ายทำกันที่อพาร์ทเมนท์ Linden Plaza ในบรูคลินที่ เลกส์ เพื่อนของไมค์อาศัยอยู่ด้วย
ซีย์มัวร์อธิบายว่า “เจ้าหน้าที่ด้านการเคหะของเมืองนิวยอร์คมีการก่อสร้างหลายโปรเจ็กต์ในเวลาเดียวกัน ตอนที่เราเริ่มค้นหาสถานที่ล้วนแต่มีความชัดเจน แต่เมื่อปรากฏภาพนี้ขึ้นมามันกลับโดดเด่นและชัดเจนมาก มันมีระเบียงที่สวยและเหมาะกับฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นเต้นมาก”
มีฉากหนึ่งในเรื่องที่ตัวละครของนีสัน คอมมอน ดี’โอโนฟริโอ และคินนาแมนต้องไล่ล่ากันผ่านทั้งด้านในและนอกของสถานที่ที่มีความซับซ้อนมาก สิ่งก่อสร้างยากจะควบคุมด้วยขนาดของมัน และต้องมีการใช้แสงสว่างและทีมงานจำนวนมาก มีการใช้กล้องและเฮลิคอปเตอร์หลายลำทั้งคืน สองวันที่ถ่ายทำที่นั่นทั้งอากาศหนาวและมีลมแรงตลอดเวลา จนท้ายที่สุดกำหนดการช่วงกลางคืนจึงให้พวกเขาอยู่ในอพาร์ทเมนท์ตลอดการถ่ายทำ
ดี’โอโนฟริโอเล่าว่า “เราเข้าไปในอพาร์ทเมนท์และทะลุระเบียงทั้งหมด ออกไปช่วงปลายตึกผ่านห้องโถงจากนั้นกลับมาที่ห้องของพวกเขาในช่วงค่ำคืนที่ผู้คนกำลังนั่งดูทีวีหรือกำลังจะนอนหลับ ช่วงที่เราถ่ายทำเสร็จในเทคสุดท้ายมีคู่รักคู่หนึ่งกำลังนอนหลับบนเตียงพร้อมกับลูกของพวกเขาที่เพิ่งเกิดมา ซึ่งพวกเขานอนหลับกันโดยที่ไม่ตื่นขึ้นมาระหว่างการถ่ายทำเลย จากนั้นเราได้ย้ายผ่านห้องนั่งเล่นและระเบียงจนมาถึงเทคสุดท้าย มันสนุกดีครับ”
“มันหนาวมาก เป็นช่วงค่ำคืนที่แสนทรมานแต่เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก” แทดรอสกล่าว “ผู้อาศัยต่างชวนเราเข้าไปในบ้านของพวกเขา ชงกาแฟให้เรา พวกเขาน่ารักและใจดีมากครับ”
มีฉากด้านในฉากหนึ่งในสถานที่เดียวกันที่ต้องอาศัยการต่อสู้ด้วยมือในอพาร์ทเมนท์ที่กำลังเกิดไฟไหม้ คอลเลต์-เซอร์ร่าเล่าว่า “ผมอยากถ่ายฉากต่อสู้ฉากแรกในห้องที่มีไฟไหม้มานานแล้ว มันยากมากเพราะอากาศร้อนและต้องอาศัยความเร็ว มันมีควันเยอะมากและกล้องไม่สามารถเก็บภาพได้” แต่นักแสดงของเขาก็แสดงได้นานโดยที่ไม่มีใครบ่นเลย
“มันช่วยได้เวลาที่เราเดินเครื่องมาพร้อมแล้ว โดยมีผู้กำกับฯ คอยควบคุมแบบนั้น” ลีกล่าว “เราไม่อยากสร้างความวุ่นวายช่วงตี 4 แต่นั่นคือเหตุผลที่เราต้องมีคนที่เหมาะสมกับงานนั้น บางครั้งชอว์เมีและเลียมก็แทบไม่ต้องพูดเลย เลียมรู้ว่าชอว์เม่คิดอะไรอยู่บ้าง พวกเขาคือสุดยอดทีมเลยครับ”
ตั้งแต่การต่อสู้บนรถไฟใต้ดินไปจนถึงการถูกแขวนอยู่นอกตึก นีสันคอยช่วยวางแผนและสดงฉากต่อสู้ของเขาเอง คินนาแมนเล่าว่า “ฉากแอ็คชั่นมีความเข้มข้นมากครับ และฉากต่อสู้ส่วนใหญ่มันสนุกเป็นพิเศษเมื่อถ่ายทำกับเลียม มันน่าประทับใจมากในความทุ่มเทและการแสดงของเขา”
คอลเลต์-เซอร์ร่าเล่าว่า “เลียมชอบแสดงฉากแอ็คชั่ตนและใช้เวลาฝึกซ้อมเพื่อให้ไม่พลาด เขาเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่มีความชำนาญ ในหนังเรื่องเก่าของเรา เขาต้องทำทุกอย่างเลยครับแม้แต่การแกว่งอยู่บนสายเคเบิล และในเรื่องนี้เขาทำยิ่งกว่านั้น เพราะต้องอยู่บนสายเคเบิลที่สูงเหนือพื้น 16 ฟุต”
มาร์ค แวนซีโลว์ ผู้แสดงสตั๊นท์แทนนีสันมาเป็นเวลานานและเป็นผู้ควบคุมการแสดงผาดโผนได้ร่วมงานกับนีสันและคอลเลต์-เซอร์ร่าอย่างใกล้ชิดเพื่อออกแบบท่าการต่อสู้ นีสันแสดงความเห็นว่า “แต่ละตัวละครที่เราแสดงต่างมีพื้นฐานต่างกัน ฉะนั้นแต่ตัวละครต้องมีการโต้ตอบแตกต่างกันไป แม้แต่การถืออาวุธก็ต่างกัน มันเป็นช่วงเวลาที่สร้างความหลงใหลได้ตลอดเลยครับ”
ดนตรีของ Junkie XL จะควบคู่ไปกับเหตุการณ์ในค่ำคืนที่นำไปสู่จุดไคลแมกซ์อันระทึก โดยจิมมี่และชอว์นต้องเผชิญกับการสังเวยเพื่อลูกชายของพวกเขา
“ผมหวั่นไหวตลอดเวลากับเนื้อหาความขัดแย้งในครอบครัวจากหนังเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะถ้ารวมฉากแอ็คชั่นเข้าไปบ้าง ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้มีทั้งหมดที่กล่าวมา” นีสันกล่าว
คอลเลต์-เซอร์ร่าสรุปความว่า “ผมคิดว่าผู้ชมจะมาดูฉากแอ็คชั่น และพวกเขาต้องอินไปกับความตื่นเต้นและสนุกไปกับเหตุการณ์ในเรื่องครับ”