ผู้กำกับ อังตง กอร์เบจ์น (Control, The American)
เขียนบท ลุค เดวีส์ (Candy, Reclaim)
นักแสดง โรเบิร์ต แพททินสัน รับบท เดนนิส สต็อค, เดน เดอฮาน รับบท เจมส์ ดีน, โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน รับบท จอห์น มอร์ริส, เบน คิงส์ลี่ย์ รับบท แจ็ค วอร์เนอร์, อเล็ซซานดร้า มาสโตรนาร์ดี รับบท ปิแอร์ แองเจลี่
ดัดแปลงจากเรื่องจริงของ เดนนิส สต็อค ช่างภาพชื่อดังที่ได้รับมอบหมายให้ไปติดตามและถ่ายภาพชีวิตของดาราหนุ่มนาม เจมส์ ดีน ในช่วงที่เขากำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตการแสดงเพื่อลงนิตยสาร LIFE ตลอดการเดินทางและมิตรภาพของพวกเขาได้เป็นแรงบันดาลใจที่ก่อให้เกิดภาพลักษณ์บุรุษสุดเท่ในตำนานที่ทั่วโลกจดจำ
เบื้องหลังงานสร้าง
กว่า60 ปีที่เจมส์ดีนจากโลกไปชีวประวัติของเขาก็นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หลากหลายเวอร์ชั่นแต่สองผู้อำนวยการสร้างเอียน แคนนิง และ เอมีล เชอร์แมน แห่งค่าย See-Saw Films ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ออสการ์อย่าง The King’s speech ตั้งใจทำให้หนังเรื่อง Life ไม่ใช่หนังชีวประวัติทั่วๆไป แต่เป็นหนังเกี่ยวกับเบื้องหลังชีวิตของศิลปินชื่อดังทั้งตัวเจมส์ ดีน นักแสดงหัวขบถ และเดนนิส สต็อค ช่างภาพมากฝีมือซึ่งมิตรภาพของพวกเขากลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ซูเปอร์สตาร์สายเลือดใหม่ในประวัติศาสตร์ โดยมือเขียนบท ลุค เดวีส์ ได้ค้นคว้าเรื่องราวของเจมส์ ดีนเพื่อมาทำหนังจนกระทั่งเขาสะดุดตาภาพถ่ายเจมส์ ดีน ของเดนนิส สต็อค เขาจึงตัดสินใจนำเรื่องของพวกเขามาเขียนบท ซึ่งเดวีส์ก็มีความเห็นคล้ายกับผู้อำนวยการสร้างว่านี่ไม่ใช่หนังชีวประวัติ แต่เป็นหนังเล่าเสี้ยวชีวิตที่มีแนวคิดอันยิ่งใหญ่ต่างหาก
เดวีส์จึงค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเดนนิสสต็อคและเบื้องหลังภาพถ่ายเจมส์ดีนสำหรับหนังเรื่อง Life จากสื่อหลายประเภทรวมถึงบทสัมภาษณ์ของ จอห์น มอร์ริส ผู้บริหารกลุ่ม Magnum Photography และ ร็อดนี่ย์ สต็อค ลูกชายของเดนนิส ขณะเดียวกันการค้นคว้าของเดวีส์ก็บันทึกไว้เป็นละครสามองก์คือ องก์แรก – ลอส แองเจลีส, องก์สอง – นิวยอร์ก และองก์สาม – อินเดียน่า ที่เป็นบ้านเกิดของเจมส์ ดีน การเดินทางไปยังอินเดียน่าจึงเหมือนกับการย้อนรอยอดีตของเขา และถ่ายทอดความกดดันในชีวิตระหว่างการอาศัยในบ้านเกิดกับโลกแห่งชื่อเสียง อีกทั้งการตัดสินใจใช้ชื่อหนังเรื่องนี้ว่า Life เพราะนอกจากเป็นชื่อนิตยสารที่สต็อคถ่ายภาพให้แล้ว หัวใจของหนังเรื่องนี้คือทางเลือกชีวิตของตัวละครซึ่งความเป็นความตายของคนเราได้ส่งผลกระทบอย่างมาก หนังเรื่อง Life จึงเปรียบเสมือนการเฉลิมฉลองชีวิตอันยิ่งใหญ่และบทอาลัยต่อการจากไปของเขา
ภาพถ่ายเจมส์ ดีนโดยเดนนิส สต็อค ได้รับการตีพิมพ์ก่อนภาพยนตร์เรื่อง East of Eden ที่แจ้งเกิดเขาจะออกฉาย และภาพถ่ายชุดนี้ที่ตอกย้ำความเป็นซูเปอร์สตาร์สุดเท่ตลอดกาล ดังนั้นภาพถ่ายของเขาจึงมีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ที่พร้อมจะถ่ายทอดออกมาในรูปแบบจอเงินซึ่งจะเผยความเป็นปุถุชนภายใต้ชื่อเสียงระดับตำนาน เห็นความขัดแย้งในชีวิตของศิลปินรุ่นใหม่ที่วงการบันเทิงพยายามผลักดันเขาให้ถึงจุดสูงสุด ทั้งเจมส์ ดีน และเดนนิส สต็อค นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นทางเดินชีวิตที่แตกต่างของศิลปินสองคน หากเจมส์ ดีนคือความขบถ ทั้งแฟชั่นและการไม่เล่นตามเกมที่ฮอลลีวู้ดวางหมากไว้ เดนนิส สต็อคคือการเดินตามบรรทัดฐานที่สังคมวางไว้นั่นคือความมั่นคงในการงาน เสาะแสวงหาคู่และสร้างครอบครัวซึ่งความแตกต่างของพวกเขาก็ช่วยเสริมสร้างมิติของความสัมพันธ์ทั้งสองคนในหนังเรื่องนี้ งานถ่ายภาพเจมส์ ดีนอาจจะเหมือนการฉวยโอกาสในหน้าที่การงานของสต็อค ส่วนดีนก็ไม่อยากตกหลุมพรางของการงานและชื่อเสียง แม้วิถีชีวิตจะต่างกันสุดขั้ว แต่สุดท้ายการทำงานร่วมกันของทั้งสองก็พัฒนาจนกลายเป็นมิตรภาพ และด้วยหนังเล่าในมุมมองของช่างภาพเดนนิส สต็อคที่ได้เดินทางเพื่อบันทึกทุกฝีก้าวเจมส์ ดีน ซึ่งเป็นบทบันทึกเพื่อทำความรู้จักและเข้าใจชีวิตของเขา อังตง กอร์เบจ์น ผู้กำกับที่มีประสบการณ์เป็นช่างภาพมาก่อนจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการกำกับหนังเรื่องนี้
แคนนิงกล่าวว่าการสร้างหนังเรื่อง Life ได้แรงบันดาลใจจากผลงานแจ้งเกิดของกอร์เบจ์นเรื่อง Control (2007) ภาพยนตร์ขาวดำที่เล่าชีวิตของ เอียน เคอร์ติส นักร้องนำวง Joy Division กอปรกับผลงานภาพถ่ายของกอร์เบจ์นซึ่งบันทึกชีวิตศิลปินชื่อดังหลายคน อาทิ วง U2, เดวิด โบวี่, คลิ้นท์ อีสต์วูด ฯลฯ แคนนิงจึงเห็นจุดเชื่อโยงกันระหว่างหนังเรื่อง Life กับผลงานของกอร์เบจ์น ซึ่งก็คือการถ่ายภาพและอิทธิพลของตัวบุคคลที่จะถ่าย “ในการกำกับหนังเรื่อง Control เขาสามารถบันทึกชีวิตของเคอร์ติสและวง Joy Division เพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณของพวกเขาสู่ผู้ชมได้ เขาก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการกำกับเรื่อง Life ที่เล่าเรื่องการถ่ายภาพของสต็อคเพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณของเจมส์ ดีนได้เช่นกัน อีกประการหนึ่งคือกอร์เบจ์นก็สนใจที่จะถ่ายทอดความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินสองคนอีกด้วย” แคนนิงกล่าว ทางด้าน ลุค เดวีส์ มือเขียนบทก็ยินดีอย่างยิ่งที่กอร์เบจ์นตัดสินใจเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ เพราะนอกจากเห็นจุดเชื่อมโยงระหว่างหนังเรื่อง Life กับปูมหลังและความชื่นชอบในการถ่ายภาพของกอร์เบจ์นแล้ว เขาชื่นชอบหนังเรื่อง Control อีกด้วย เดวีส์เห็นว่าเขาเคยเป็นช่างภาพมาก่อน เขาจึงเข้าใจตัวละครหลักอย่างเดนนิส สต็อคอย่างถ่องแท้ เมื่อพิจารณาวิสัยทัศน์การทำหนังของกอร์เบจ์น
ส่วนตัวกอร์เบจ์นเองก็เห็นจุดเชื่อมโยงระหว่างเดนนิส สต็อค และตัวเขาเองซึ่งก็คือเป็นช่างภาพให้ศิลปินชื่อดัง และภาพถ่ายของเขาก็สร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของศิลปินคนๆนั้นให้เป็นที่รู้จัก กอร์เบจ์นจึงตัดสินใจกำกับหนังเรื่องนี้ซึ่งเขายืนยันว่าความพิเศษของหนังเรื่องนี้ไมใช่เกี่ยวกับชีวิตเจมส์ ดีนทั่วๆไป แต่เป็นเบื้องหลังรูปถ่ายเจมส์ ดีน โดยเดนนิส สต็อค ที่ผู้ชมจะรับรู้ผ่านสายตาของสต็อค
“แน่นอนว่าคุณอยากใกล้ชิดกับบุคคลจริงๆในการทำหนังซักเรื่อง แล้วมักจะหาประเด็นเข้มข้นเร้าอารมณ์มาถ่ายทอดเสมอ แต่คุณอย่าพยายามตกแต่งคนๆนั้นให้ดูดีเกินจริง คุณควรพยายามเพิ่มมิติและแรงจูงใจของตัวละครต่างหาก” กอร์เบจ์นกล่าวถึงวิธีการกำกับหนังเรื่อง Life
และแล้วโปรเจกต์หนังเรื่อง Life ก็กลายเป็นผลงานที่น่าจับตามองเพราะได้สองดาราหนุ่มมากเสน่ห์แห่งยุคนี้อย่างโรเบิร์ต แพททินสัน และ เดน เดอฮาน มารับบทนำ ซึ่งแพททินสันในบทของ เดนนิส สต็อคกล่าวชมบทหนังของเดวีส์ว่าบทละเมียดละไมและมีความเป็นกวีในการเล่าเรื่อง แต่ก่อนที่ แพททินสันจะตอบตกลง เขาก็ต้องรู้ว่าใครจะเล่นเป็นเจมส์ ดีน ขณะที่หลายคนคิดว่าแพททินสันเองก็เหมาะสมจะเป็นเจมส์ ดีนเช่นกัน ในที่สุดคนๆนั้นก็คือ เดน เดอฮาน ซึ่งบุคลิกตัวจริงของเขาก็แตกต่างจากแพททินสันโดยสิ้นเชิง จึงนับเป็นผลดีสำหรับกอร์เบจ์นในการถ่ายทอดความแตกต่างของศิลปินสองคนที่กลายเป็นมิตรภาพ เอียน แคนนิง ผู้อำนวยการสร้าง ได้สังเกตพัฒนาการแสดงของแพททินสันว่าเขาจะฉีกภาพลักษณ์ดาราขวัญใจวัยรุ่นแล้วหันมารับบทที่ซับซ้อนมากขึ้นอย่างในหนังเรื่องนี้ เขาจะเป็นช่างภาพผู้บันทึกชีวิตของดาราผู้ที่กำลังก้าวสู่จุดสูงสุดของอาชีพซึ่งไม่ต่างจากยุคหนึ่งของแพททินสันที่ดังสุดขีดจากหนังเรื่อง The Twilight Saga และเพื่อเข้าถึงบทบาทของช่างภาพ แพททินสันจึงฝึกการถ่ายภาพโดยใช้กล้องไลก้าเป็นเวลาสองสามเดือนก่อนถ่ายทำภาพยนตร์ แพททินสันกล่าวถึงความหลงใหลในการถ่ายภาพแบบสมัยก่อนว่าเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่กำลังจางหาย “มันมีความละเมียดละไมเฉพาะตัวเมื่อเปรียบเทียบกับการถ่ายภาพแบบดิจิตอล เพราะคุณไม่สามารถกำหนดตัวรูปภาพได้ และคุณไม่สามารถถ่ายภาพในแบบเดียวกับที่คุณถ่ายด้วยไอโฟนแล้วตกแต่งภาพทีหลังได้หรอก” แม้การถ่ายภาพสมัยก่อนต้องใช้เวลากว่าจะได้ภาพดีๆ แต่แพททินสันก็ชื่นชอบและต้องการเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจตัวละครมากขึ้น ส่วนแคนนิงกล่าวถึงการแสดงของแพททินสันว่าเขาพยายามอย่างยิ่งเพื่อเข้าใจแรงผลักดันทางจิตใจของสต็อค และเข้าใจวิถีชีวิตของคนหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆในยุคนั้นที่เสาะแสวงความมั่นคงในชีวิต ทว่าตัวสต็อคกลับมีชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งแคนนิงก็ชื่นชมแพททินสันว่าการแสดงของเขาเผยถึงการผสานรวมกันระหว่างความเห็นใจคนอื่นกับความเปราะบางในตัวละครของเขาที่ต้องทำตามบรรทัดฐานของสังคมยุคนั้น และความซับซ้อนทางอารมณ์
ส่วนตัวแพททินสันก็กล่าวถึงตัวละครของเขาว่านอกจากเขากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาทางครอบครัว (สต็อคทุ่มเทกับงานจนแทบไม่มีเวลาดูแลภรรยาและลูกวัยเจ็ดขวบ) เขาก็มีปัญหากับการงานที่เขาทำอีกด้วยเขาคิดว่างานถ่ายภาพที่เขาทำทั้งชีวิตเป็นไปเพราะรู้สึกเหมือนถูกบังคับตลอดเขาจึงไม่รู้สึกปลาบปลื้มกับผลงานของตนเองก่อนที่เขาจะพบกับเจมส์ดีนซึ่งกว่าที่เขาได้รับความไว้วางใจจากดีนเพื่อให้เขามีเวลาบันทึกภาพก็ต้องท้าทายตนเองพอสมควรแล้วความพยายามของสต็อคก็ถือว่าคุ้มค่ากับผลงานภาพถ่ายที่อาจจะทำให้สต็อคได้อะไรมากกว่าชื่อเสียง
สำหรับการตัดสินใจของเดนเดอฮานในการสวมบทเป็นเจมส์ดีน ทีมงานหลายคนต่างเห็นพ้องว่าเขาเหมาะสมอย่างยิ่งแต่เดอฮานไม่เคยคิดอยากสวมรอยเป็นดาราในดวงใจแม้เขาชื่นชมบทหนังและตัวกอร์เบจ์นจนกระทั่งเขากับผู้อำนวยการสร้างได้ปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับตัวหนังแล้วแคนนิงกล่าวว่าหนังเรื่องนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนรู้จักเจมส์ดีนกอปรกับการท้าทายในการเปลี่ยนแปลงบุคลิกของเดอฮานจากชายร่างผอมบางให้เป็นหนุ่มสุดเท่มีความเป็นสมชายจนเป็นแฟชั่นที่หนุ่มๆอยากทำตามเดอฮานจึงตอบตกลงซึ่งตรงตามเป้าหมายสำคัญของผู้สร้างหนังที่อยากให้บทเป็นของนักแสดงที่มีฝีมือจริงๆไม่ใช่ต้องการแค่คนหน้าเหมือนเจมส์ดีนมาเล่น
และกว่าที่เดอฮานจะกลายเป็นเจมส์ดีนเขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงร่างกายครั้งใหญ่โดยเขาต้องเพิ่มน้ำหนัก 25 ปอนด์และออกกำลังกายเป็นเวลาสามเดือนก่อนเปิดกล้องมีช่างแต่งหน้าซาราห์ รูบาโน ที่เคยร่วมงานกับเดอฮานใน The Amazing Spiderman 2 มาแปลงโฉม รวมถึงงานออกแบบเสื้อผ้าโดย เกอร์ชา ฟิลลิปส์ ที่จะทำให้เดอฮานเป็นเจมส์ ดีนจริงๆ กระนั้นก็มีสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงร่างกาย แคนนิงกล่าวว่าแม้เดอฮานจะเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเจมส์ ดีนได้ แต่เขาต้องถ่ายทอดความเป็นปุถุชนคนหนึ่งซึ่งคือความพิเศษสำหรับเขาในหนังเรื่องนี้ เดอฮานไม่ได้เล่นเป็นเจมส์ ดีน แต่เขาได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของดีน ตัวเดอฮานเองก็เข้าใจเช่นกันว่าเขาพยายามจะนำเสนอความเป็นปัจเจกชนและถ่ายทอดตำนานให้ผู้ชมรับรู้
“ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร ดังนั้นคุณควรรับผิดชอบที่จะให้เกียรติเขา แต่พยายามฉีกกฎเดิมๆในการแสดงให้ผู้ชมรู้ตัวตนแท้จริงของเขา ไม่ใช่ตัวเขาในสายตาคนอื่น” เดอฮานกล่าว
นอกจากนี้เดอฮานก็มีความคิดเห็นว่าหนังเรื่อง Life ไม่ใช่ชีวประวัติทั่วไป “มันคือเรื่องราวสองสัปดาห์ในชีวิตของเจมส์ ดีน และเดนนิส สต็อค แต่มันเป็นสองสัปดาห์อันแสนคุณค่า หนังเรื่องนี้คือการศึกษาผู้คนมากกว่าชีวประวัติ” ซึ่งเมื่อพิจารณาชีวิตผู้คนในยุค 1950 ก็พบว่าวัฒนธรรมคนดังมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของความรวดเร็วฉับไวในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและการถ่ายภาพ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนและน่าสนใจสำหรับเดอฮานในการเล่นหนังเรื่องนี้คือชื่อเสียงแสนซับซ้อนของตัวเจมส์ ดีน และเพราะหนังเรื่องนี้คือการศึกษาชีวิตผู้คน เดอฮานจึงต้องใช้เวลากว่าสามเดือนเพื่ออ่านหนังสือเกี่ยกับดาราผู้นี้ และดูบทสัมภาษณ์ของเขาก่อนเปิดกล้อง
“หนังเรื่องนี้จะแสดงให้เห็นว่า เดนนิสมีช่วงเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตโดยมีเจมส์เป็นแรงขับเคลื่อน แล้วทั้งสองคนก็เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สิ่งที่เจมส์ผ่านประสบการณ์มาตลอดได้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเขา และผมเองก็คิดว่าสองสัปดาห์ของการเดินทางทำให้เขารู้ว่าตนเองกำลังห่างเหินจากครอบครัวของเขาและชีวิตในบ้านเกิดได้อย่างไร แล้วเดนนิสก็ช่วยให้เขาตระหนักถึงประเด็นนี้ ขณะเดียวกัน เดนนิสก็วิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง ดังนั้นเจมส์จึงช่วยให้เขาสามารถมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน Life จึงเป็นหนังเล่าเรื่องของศิลปินสองคนที่มีชีวิตแตกต่างกันสุดขั้ว ได้เดินทางด้วยกันและแชร์ประสบการณ์ล้ำค่าด้วยกัน” เดอฮาน กล่าวถึงความสัมพันธ์ของสองตัวละครอันเป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้
Life ถือเป็นผลงานสำคัญที่นอกจากจะได้สองดาราขายเสน่ห์อย่างแพททินสันและเดอฮานมาแสดงนำแล้วยังได้ดาราขายฝีมืออย่างเบน คิงส์ลี่ย์ เจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Gandhi (1982) มารับบทเป็น แจ็ค วอร์เนอร์ ผู้บริหารสตูดิโอที่บงการชีวิตการงานของเจมส์ ดีน ตามด้วย โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน ผู้เคยฝากฝีมือการแสดงสุดเข้มข้นในหนังเรื่อง Warrior (2011), Zero Dark Thirty (2012) และ Exodus: Gods and Kings (2014) มาเป็นจอห์น มอรร์ริส ประธานกลุ่ม Magnum Photography ที่ช่วยเหลือเดนนิส สต็อคด้านการงาน และดาวรุ่งสาวจากอิตาลี อเล็ซซานดร้า มาสโตรนาร์ดี ในบทของ ปิแอร์ แองเจลี่ นักแสดงสาวที่กลายเป็นคู่ครองของเจมส์ ดีน
หนังเปิดกล้องเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 ถ่ายทำที่กรุงลอสแองเจลิสสหรัฐอเมริกาและเมืองต่างๆในรัฐออนแทริโอแคนาดาซึ่งทีมงานต้องสร้างฉากและสถานที่สำคัญๆขึ้นมาใหม่ตรงตามท้องเรื่องที่เกิดในยุค50 และเหมือนกับสถานที่จริงๆที่ปรากฏบนภาพถ่ายของเดนนิสสต็อคไม่ว่าจะเป็นงานเปิดตัวภาพยนตร์ของเจมส์ดีนบ้านเกิดของเขาที่เมืองแฟร์เมาท์รัฐอินเดียน่ารวมถึงจตุรัสไทม์สแควร์ที่กลายเป็นฉากหลังของภาพถ่ายในตำนานอันลือลั่น
อัลบั้มรูปถ่ายเจมส์ ดีน โดยเดนนิส สต็อค http://www.magnumphotos.com/Catalogue/Dennis-Stock/1955/USA-James-DEAN-US-actor-1955-NN146418.html