“Me Before You” ภาพยนตร์ที่สร้างจากนวนิยายขายดีโดย โจโจ โมเยส ผลงานของ New Line Cinema และ Metro-Goldwyn-Mayer Pictures นำแสดงโดยเอมิเลีย คลาร์ก (“Game of Thrones”) และแซม คลาฟลิน (“The Hunger Games”) จากฝีมือผู้กำกับละครชื่อดัง ธีอา ชาร์ร็อค ซึ่งมากำกับหนังยาวเป็นครั้งแรก
บ่อยครั้งคุณพบความรักในที่ซึ่งคุณไม่คาดคิดว่าจะเจอ และบางครั้งความรักก็นำคุณไปสู่ที่ซึ่งคุณไม่คาดหวังว่าจะไป…
เมื่อลูอิซ่า คลาร์ก หรือลู ต้องออกจากงานเด็กเสิร์ฟโดยไม่คาดคิด เธอจึงดิ้นรนหาแหล่งรายได้ใหม่เพื่อเลี้ยงครอบครัว สถานการณ์ที่สิ้นหวังผลักดันให้เธอรับงานเป็นผู้ดูแล วิลล์ เทรย์เนอร์ ชายหนุ่มอดีตนายธนาคารผู้ร่ำรวยและรักการผจญภัย เขาเคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่แต่วันเวลาเหล่านั้นได้กลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว หลังอุบัติเหตุอันน่าเศร้า วิลล์ก็สูญเสียความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่และกันคนอื่นออกห่างด้วยทัศนคติช่างถากถางและเจ้ากี้เจ้าการ แต่ลูไม่ยอมหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาหรือคอยเอาใจเขาเหมือนคนในครอบครัว ความมีชีวิตชีวาและเป็นกันเองของเธอนั้นยากที่จะมองข้าม แม้แต่ในสายตาของวิลล์ ในไม่ช้าคนทั้งสองต่างก็ไม่อาจขาดกันและกันได้อีกต่อไปแตแc9แต
ภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมแสดงโดยผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ แจเน็ต แม็คเทียร์ (“Albert Nobbs,” “Tumbleweeds”), ชาร์ลส์ แดนซ์, เบรนแดน คอยล์, สตีเฟน พีค็อก, แมทธิว ลูอิส, เจนนา โคลแมน, ซาแมนธา สปิโร, วาเนสซา เคอร์บี และเบน ลอยด์-ฮิวจ์ส
ชาร์ร็อคกำกับผลงานนี้จากบทภาพยนตร์โดย โจโจ โมเยส ตามเค้าโครงจากหนังสือของเธอ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย แคเรน โรเซนเฟลต์ และ อลิสัน โอเวน อำนวยการสร้างบริหารโดย ซู บาเดน-พาวเวลล์
ทีมงานเบื้องหลัง ได้แก่ ผู้กำกับภาพที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เรมี อเดฟาราซิน (“Elizabeth”) ผู้ออกแบบงานสร้าง แอนดรูว์ แม็คอัลไพน์, ผู้ตัดต่อ จอห์น วิลสัน และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย จิลล์ เทย์เลอร์ ดนตรีโดย เครก อาร์มสตรอง
“Me Before You” เป็นผลงานการนำเสนอของ New Line Cinema และ Metro-Goldwyn-Mayer Pictures จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment company และ Metro-Goldwyn-Mayer Pictures
https://www.facebook.com/MeBeforeYouMovieThailand/
เบื้องหลังการถ่ายทำ
ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า
“คุณมีแค่ชีวิตเดียว คุณมีหน้าที่ต้องใช้ชีวิตให้เต็มที่ที่สุดนะ” วิลล์ เทรย์เนอร์ พูดไว้ใน “Me Before You” คำแนะนำนี้มอบให้ ลูอิซ่า คลาร์ก หรือ “ลู” หญิงสาววัย 26 ปี ผู้ทำหน้าที่ดูแลเขา เธอเป็นคนมีชีวิตชีวาแต่ดูคล้ายว่ายังสับสน เธออ้างว่ามีความสุขดีกับชีวิตในเมืองอังกฤษที่มีกลิ่นอายแบบโบราณซึ่งทั้งสองเติบโตมา แต่วิลล์ในวัยเพียง 31 ปี รู้ดีว่าตัวเองกำลังพูดถึงอะไร…เขาอาจรู้ดียิ่งกว่าใครๆ
“โดยพื้นฐานแล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพลังของความรักและการที่ความรักทำให้คุณเปลี่ยนแปลงไป” ผู้กำกับ ธีอา ชาร์ร็อคกล่าว “ตัวละครสองตัวนี้ไม่น่าจะมาพบกันได้ด้วยวิถีชีวิตที่แตกต่างและความยากลำบากที่ต้องเผชิญ…แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้พบกัน แล้วเทพนิยายก็เริ่มต้นขึ้น”
เรื่องราวโรแมนติกที่มีเอกลักษณ์ของลูและวิลล์ได้รับการถ่ายทอดเป็นบทภาพยนตร์โดย โจโจ โมเยส จากนวนิยายขายดีของเธอเอง “เรื่องนี้ทั้งเรียบง่ายและซับซ้อนในเวลาเดียวกัน” ชาร์ร็อคกล่าวต่อ “ทั้งในบทหนังและในหนังสือ โจโจถ่ายทอดสถานการณ์ที่มีอารมณ์ซับซ้อนให้เข้าถึงได้ง่ายอย่างเหลือเชื่อ ด้วยการเผยให้เห็นตัวละครสองตัวนี้ค่อยๆ ทำความรู้จักกันไประหว่างการเดินทางที่เปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่”
“สำหรับฉันมันคล้ายความฝันเลยค่ะที่เรื่องนี้ได้ออกจากหน้าหนังสือไปอยู่บนจอภาพยนตร์” โมเยสกล่าว “หลังจากได้เห็นผลงานที่ออกมาผ่านการถ่ายทอดของทีมนักแสดงและการกำกับที่ยอดเยี่ยมของธีอา ฉันพูดได้เลยว่าผู้ชมจะได้รับรู้เรื่องราวและตัวละครเดียวกัน แต่ก็จะได้รับสิ่งที่แตกต่างกันไปจากหนังเรื่องนี้ ผู้ชมนำเอาประสบการณ์ ความหวัง และความกลัวของตัวเองมาด้วย และฉันคิดว่าผู้ชมจะได้ออกจากตัวเองมาสู่โลกของลูและวิลล์อย่างแท้จริง”
ชาร์ร็อคเสริมว่า “โจโจอยู่กับตัวละครเหล่านี้มานาน โดยเฉพาะลู ฉันจึงมองว่าการนำเสนออย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นพิเศษ”
“ธีอาเป็นผู้กำกับละครที่ได้รับการยกย่องในอังกฤษ และฉันก็ได้ดูผลงานโทรทัศน์ของเธอมาซึ่งมีความเป็นอังกฤษแบบดั้งเดิมอย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อฉันพบเธอฉันก็เลยนึกว่าจะได้พบผู้หญิงอังกฤษทุกกระเบียดนิ้ว” ผู้อำนวยการสร้าง คาเรน โรเซนเฟลต์ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แต่เธอกลับทิ้งตัวลงบนโซฟาบุนวม แกว่งขาไปมาที่ข้างโซฟา และตลอดหนึ่งชั่วโมงต่อมาเราก็คุยกันสารพัดทั้งเรื่องหนัง ละคร และหนังสือ แล้วเราก็พูดถึงโครงการนี้ขึ้นมาและทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้นจากจุดนั้น ฉันชอบความเข้าอกเข้าใจของเธอ ความลึกซึ้งที่เข้าถึงได้ และการที่เธอทำตัวคุ้นเคยกับฉันและกับเรื่องราวในหนังสือได้โดยทันที”
ครั้งหนึ่งโลกของวิลล์เคยเปิดกว้าง เขาใช้ชีวิตแบบ “ไร้ขีดจำกัด” มาตอนนี้เขากลับอยู่ในโลกที่จำกัดคับแคบตลอดระยะเวลาสองปี อาการบาดเจ็บที่ไขสันหลังทำให้เขาต้องอาศัยอยู่ที่บ้านในชนบทของพ่อแม่ เขาคงไม่พูดว่าตัวเอง ใช้ชีวิตอยู่ ไม่ว่าในความหมายใดด้วยซ้ำไป ส่วนลูนั้นแทบไม่เคยได้ก้าวเท้าออกไปจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้ แม้กระทั่งการก้าวเท้าเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเทรย์เนอร์ หรือที่คนละแวกนั้นเรียกกันว่า “ปราสาท” ก็ยังเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอ แต่ทั้งสองก็ได้พบกัน ไม่ว่าด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาก็ตาม
เอมิเลีย คลาร์ก ผู้รับบทเป็นลู หญิงสาวผู้น่ารักและอ่อนต่อโลก เธอกล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้ฉันสนใจหนังเรื่องนี้ก็คือถ้อยคำของโจโจ โมเยส ทั้งในหนังสือและในบทภาพยนตร์ ฉันติดใจตั้งแต่หน้าแรกและตื่นเต้นมากที่จะได้รับบทเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์และความจริงใจ เป็นคนอังกฤษขนานแท้และมีเรื่องราวความเป็นมาที่น่ารักอ่อนโยน”
แซม คลาฟลิน แสดงนำร่วมกับเธอในบทวิลล์ เขาเองก็สนใจตัวงานต้นฉบับเช่นเดียวกัน “เรื่องนี้เขียนออกมาได้งดงามมากครับ และประเด็นเกี่ยวกับตัวละครที่ท้าทายตัวนี้ก็ได้รับการถ่ายทอดเป็นอย่างดีจนทำให้ผมต้องหยุดคิด นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ดึงดูดผม”
“สิ่งที่ตรงใจฉันในนวนิยายของโจโจก็คือเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวละครและความสมจริงทางอารมณ์” โรเซนเฟลต์กล่าว “ฉันชอบวิธีการที่เธอนำเสนอประเด็นส่วนตัวที่ซับซ้อนและการยืนยันถึงคุณค่าของชีวิต ฉันดื่มด่ำไปกับเรื่องนี้ ฉันอ่านม้วนเดียวจบและนึกภาพในหนังออกทันทีซึ่งน้อยครั้งที่จะเป็นแบบนี้”
เช่นเดียวกับโรเซนเฟลต์ ผู้อำนวยการสร้าง อลิสัน โอเวน ก็สนใจหนังสือเล่มนี้มานาน “ฉันอ่านหนังสือตอนที่เพิ่งออกมาใหม่ๆ แล้วก็ชอบมากค่ะ โจโจสร้างตัวละครที่น่าทึ่งและเธอก็เข้าใจชีวิตจิตใจของผู้คนเป็นอย่างดี เธอเขียนโดยมีอารมณ์ร่วมอย่างลึกซึ้ง” เธอกล่าว “ดังนั้นเมื่อแคเร็นโทรหาฉันและถามว่าอยากร่วมทีมรึเปล่า ฉันก็ตื่นเต้นมาก เพราะฉันสนใจทุกอย่างในโครงการนี้ ทั้งตัวเรื่อง ธีอา เอมิเลีย และแซม การตัดสินใจมาร่วมงานจึงเป็นเรื่องง่ายมากค่ะ”
“เมื่อคุณตกหลุมรักใครสักคนมากจนความรักเปลี่ยนชีวิตคุณไปโดยสิ้นเชิง และชีวิตคุณไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป แต่ขณะเดียวกันคุณก็ตระหนักดีว่าคุณอาจไม่ได้อยู่กับคนคนนั้น…นั่นล่ะค่ะคืออารมณ์ที่หนักหน่วงรุนแรง” ชาร์ร็อค กล่าว “ถือเป็นโชคดีของผู้กำกับอย่างฉันค่ะที่ได้พานักแสดงซึ่งยินดีเผชิญกับอารมณ์สุดขั้วไปจนถึงจุดนั้น นักแสดงและทีมงานของเราทุ่มเทเต็มที่และผ่านทุกอย่างมาด้วยกัน ทั้งหัวเราะและร้องไห้ เป็นการทำงานที่ได้ปลดปล่อยอย่างแท้จริง”
“ฉันกลายเป็นคนใหม่ก็เพราะคุณ” —ลู
ลู หญิงสาวผู้สร้างสรรค์ไม่เหมือนใครยังคงไร้ซึ่งแนวทางอันชัดเจนในชีวิต เธอทำงานเป็นสาวเสิร์ฟในร้านกาแฟเล็กๆ เพื่อช่วยหาเลี้ยงครอบครัว “ลูอิซ่า คลาร์ก เป็นหญิงสาวที่ไม่กังวลทุกข์ร้อนและพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่” เอมิเลีย คลาร์กกล่าวถึงตัวละครที่เธอเล่น “ในตอนแรกเราจะได้เห็นเธอทำงานอยู่ที่ร้าน เดอะ บัตเทอร์ บัน คาเฟ่ เป็นคนเสิร์ฟชาและสโคน เธอทำงานได้ดีมาก เธอชอบลูกค้าในร้าน และเราก็ได้เห็นว่าเธอเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยนเอาใจใส่ที่ตั้งอกตั้งใจทำงาน”
แต่เมื่อกิจการประสบภาวะลำบาก ลูจึงต้องตกงาน เธอรู้ดีว่ารายได้ของเธอจำเป็นมากขณะที่เธอก็ไม่ได้มีทักษะมากมายอะไร เธอจึงบอกตัวแทนบริษัทจัดหางานว่ายินดีลองทำงานอะไรก็ได้ ทว่ามุมมองโลกอันสดใสของเธอก็ต้องถูกทดสอบเมื่อเผชิญความท้าทายทางอาชีพครั้งใหม่ในฐานะผู้ดูแลและผู้ติดตาม วิลล์ เทรย์เนอร์ ชายหนุ่มผู้นี้เคยเป็นคนแข็งแรงแต่กลับต้องมาพึ่งพาคนอื่นหลังเกิดอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน ทำให้โลกของเขากลับตาลปัตรในชั่วพริบตาเดียว
ชาร์ร็อคกล่าวว่า “ลูอาศัยอยู่กับพ่อแม่ น้องสาว ปู่ และหลานชายในบ้านหลังเล็กในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง แต่แม่ของเธอไม่มีงานทำ ปู่ไม่มีงานทำ แล้วพ่อก็มาไม่มีงานทำอีก รายได้เล็กน้อยของเธอจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่เธอก็ยังคงมองโลกในแง่ดี”
เพื่อหานักแสดงมารับบทเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกแม้อยู่ภายใต้แรงกดดัน ทีมผู้สร้างได้มองหาจากตัวเลือกมากมาย “เราพบสาวๆ เป็นร้อยๆ คน และฉันก็คุยสไกป์กับเอมิเลียเรื่องบทนี้ แต่ฉันพูดได้เลยว่าตอนที่เธอเดินเข้ามาทดสอบบทและเริ่มต้นเล่นฉากแรก มันคล้ายกับว่าเราได้ ลู คลาร์กมาอยู่ในห้องเลยล่ะค่ะ” ชาร์ร็อคเล่า “ฉันจำได้ว่าแอบส่งข้อความไปหา คาเรน โรเซนเฟลต์ ฉันพิมพ์ไปแค่ว่า ‘เราพบแล้ว’ ไม่ต้องสงสัยเลย พลังของเธอมันใช่ เธอทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นมาเหมือนกับลู”
คลาร์กมีสายสัมพันธ์อันดีกับผู้กำกับรายนี้ ซึ่งมาทำงานหนังเป็นครั้งแรก “ธีอาเยี่ยมที่สุดเลยค่ะ ฉันชอบเธอมาก คุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่านี่เป็นหนังเรื่องแรกของเธอ” เธอประกาศ “งานชิ้นนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความฉลาดหลักแหลม ความจริงจังแน่วแน่ และวินัยในการทำงาน ซึ่งช่วยให้การทำงานในหนังซึ่งมีประเด็นที่ถ่ายทอดได้ยากกลับไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย เธอเป็นคนใจกว้างและมักจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะซึ่งช่วยให้เราผ่อนคลายได้เสมอ สิ่งนี้ส่งผ่านไปยังทุกๆ คน ฉันไม่เคยรู้สึกว่าทำงานอยู่เลยค่ะ”
เมื่อลูพบกับวิลล์ ไม่นานนักเธอก็ค้นพบว่าเขาไม่ได้เป็นนักผจญภัยผู้กล้าหาญอีกต่อไป ไม่เพียงในแง่ร่างกาย แต่ยังรวมถึงจิตใจด้วย คลาร์กกล่าวว่า “วิลล์เป็นคนที่คล้ายจะไปมาแล้วทุกที่ เห็นมาแล้วทุกสิ่ง ทำมาแล้วทุกอย่าง ขณะที่ลูนั้นตรงกันข้าม เธอมาเจอเขาพร้อมกับความใสซื่อจริงใจและมุมมองโลกซึ่งเขายังไม่เคยพบมาก่อน เธอทำตัวซุ่มซ่ามอย่างไม่อายใครและทำให้เขาหัวเราะได้ เขาอดไม่ได้ที่จะเห็นแสงสว่างอันแท้จริงในชีวิตผ่านดวงตาของเธอ”
แม้ว่าวิลล์จะยอมแพ้โดยสิ้นเชิงแล้ว แต่ลูมุ่งมั่นที่จะแสดงให้เขาเห็นว่าชีวิตยังมีคุณค่า แต่คนที่โมเยสบรรยายไว้ว่าเป็นอดีต “ผู้บงการจักรวาล” คงไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ แม้กระทั่งกับคนมองโลกในแง่ดีอย่างลู ผู้เขียนอธิบายว่า “พวกเขาเริ่มต้นจากสถานการณ์ที่ลุ่มๆ ดอนๆ วิลล์เป็นคนประเภทที่ชอบกระโดดจากเครื่องบินและปีนเขา เขาตั้งใจจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิด เขาก็ต้องมาให้คนอื่นดูแล และเขาก็ตัดสินใจว่าไม่ต้องการอยู่แบบนี้อีกต่อไป เมื่อมองจากสิ่งที่เขาสูญเสียไปแล้ว”
แซม คลาฟลิน สารภาพว่าความท้าทายทางร่างกายที่วิลล์ต้องเผชิญนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาอยากรับบทนี้ “ตอนแรกผมมีความเข้าใจน้อยมากเกี่ยวกับโลกที่วิลล์อยู่หรือเรื่องราวที่เราจะเล่า” เขากล่าว “แต่การเดินทางของตัวละครนี้ขุดลึกลงไปในประสบการณ์นั้น มันช่วยเปิดหูเปิดตาให้ผมครับ”
ในการรับบทเป็นวิลล์ นักแสดงรายนี้จะขยับร่างกายได้เฉพาะตั้งแต่ส่วนคอขึ้นไปและที่นิ้วชี้กับนิ้วโป้งข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นผลจากการทำกายภาพบำบัดอย่างหนักนานสองปี “เขาได้รับการดูแลอย่างดี ได้รับคำแนะนำทางการแพทย์ที่ดีที่สุดและความช่วยเหลือที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” เขากล่าวต่อ “แต่เขาไม่ต้องการความช่วยเหลืออีกต่อไป เขาตัดสินใจแล้วในเรื่องนี้”
จนกระทั่งเขาได้พบลู
โอเวนส์ตั้งข้อสังเกตว่า “เธอแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เขารู้จัก แฟนและเพื่อนๆ ของเขามีแต่คนชั้นสูง งดงามหรูหรา เป็นอภิสิทธิ์ชน ขณะที่ลูเป็นสาวมั่นที่มีชีวิตชีวาและออกจะเพี้ยนนิดๆ เขาไม่เคยพบใครแบบเธอมาก่อนเลย”
“เธอเป็นคนแรกที่เปิดใจคุยกับเขา” คลาฟลินเสริม “เธอยินดีคอยต่อปากต่อคำกับเขา และผมคิดว่าเขาเล็งเห็นและชื่นชมความจริงใจของเธอ เธอเปลี่ยนแปลงเขา เธอเปิดหูเปิดตาให้เขาได้เห็นโลกในมุมมองใหม่ เช่นเดียวกันเขาก็เปิดตาให้เธอได้เห็นโลกและเห็นว่ามีอะไรรออยู่ในชีวิตนอกหมู่บ้านเล็กๆ ที่เธออาศัยอยู่ เขาอยากให้เธอได้กางปีกและโบยบินไป”
ชาร์ร็อคชื่นชมความสามารถของคลาฟลินในการถ่ายทอดแง่มุมต่างๆ ของตัวละครนี้ “วิลล์อาจเป็นคนงี่เง่าและใจร้ายได้เหมือนกัน เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัยเลย” เธอหัวเราะ “ฉันอยากได้คนที่มีความอบอุ่น มีเสน่ห์ และมีความเมตตาอยู่ภายในเพื่อที่ว่าการเปลี่ยนแปลงของวิลล์จะได้ดูเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และแซมก็ทำได้อย่างสบายๆ”
สิ่งหนึ่งที่คลาฟลินต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อรับบทเป็นวิลล์ก็คือการลดน้ำหนัก เขากล่าวว่าเขาลดน้ำหนักไป “กว่าสามสโตน” (ประมาณ 19 กิโลกรัม) เพราะตัวละครไม่ได้เคลื่อนไหวมานานกว่าสองปีทำให้กล้ามเนื้อหายไปตามธรรมชาติ แต่ถึงแม้ว่าวิลล์จะเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ แต่เขาก็ยังมีสติปัญญาเฉียบแหลมเช่นเดิม
“ผมต้องถ่ายทอดความเฉียบแหลมของวิลล์เพราะสมองของเขายังคงทำงานได้ดีเหมือนเดิม เขาฉลาดปราดเปรื่อง และลึกลงไปภายในเขาก็เป็นคนที่อ่อนไหว ถึงแม้ว่าตอนแรกจะดูไม่เป็นแบบนั้นก็ตาม” คลาฟลินเสริม
ลูคงยังไม่เห็นความอ่อนไหวนั้นเมื่อต้องมารับมือกับคำพูดที่คมเป็นใบมีดโกนของวิลล์ทันทีที่พบกัน
เช่นเดียวกับเรื่องราวความรักในหนังเรื่องอื่นๆ สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือความเข้ากันได้ระหว่างคู่นักแสดงนำ “ตอนที่เราคัดนักแสดงให้เหลือน้อยลงแล้ว เราก็นำคนที่เข้ารอบมาอ่านบทด้วยกัน” ผู้กำกับกล่าว “นั่นเป็นจุดตัดสิน ทันทีที่แซมกับเอมิเลียพบกัน ฉันกับผู้คัดเลือกนักแสดงก็มองตากันและรู้ว่าเราได้คู่ที่เหมาะสมแล้ว”
ระหว่างการซ้อม ชาร์ร็อคกล่าวว่า “เราสามคนได้ทำความรู้จักกันขณะที่เราคุยกันว่าตัวละครเหล่านี้เป็นใคร และระหว่างการถ่ายทำแซมก็อุตส่าห์หาเวลามาช่วยเอมิเลียเตรียมตัวสำหรับฉากอื่นๆ เพราะเธอแสดงในแทบทุกฉาก สองคนต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันและสิ่งเหล่านั้นก็ปรากฏออกมาบนจอภาพยนตร์”
“เอมิเลียกับผมเกือบได้ทำงานร่วมกันมาสองสามครั้งแล้วครับ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกันด้วยเหตุผลบางอย่าง เรื่องตารางเวลาอะไรแบบนั้น” คลาฟลินกล่าว “เรื่องนี้เข้ามาในจังหวะที่สมบูรณ์แบบและเป็นงานที่สมบูรณ์แบบ และที่จริงแล้วเธอก็เป็นนักแสดงนำร่วมที่สมบูรณ์แบบด้วย”
“แซมมีเสน่ห์มากเลยค่ะ” คลาร์กกล่าว “การได้เล่นคู่กับเขาเป็นสิ่งที่วิเศษมาก การร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องง่าย เขาทุ่มเทเต็มที่และผลลัพธ์ก็ออกมาดีมาก”
แน่นอนว่าลูไม่ใช่คนเดียวที่ต่อสู้กับสถานการณ์และทางเลือกในชีวิตของวิลล์ คามิลลา เทรย์เนอร์ ก็พยายามระงับความกังวลของคนเป็นแม่ด้วยการสงวนท่าทีตามแบบอังกฤษ แม้ว่าเธอยังต้องทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูก ส่วนสตีเฟน เทรย์เนอร์ ผู้เป็นพ่อนั้นต้องการเหมือนกับที่พ่อแม่ทุกคนหวัง นั่นคือให้ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขาตระหนักดีมากกว่าภรรยาว่าวิลล์อาจไปจนถึงขีดจำกัดแล้ว ทีมผู้สร้างเลือกนักแสดงภาพยนตร์และละครเวทีผู้มีประสบการณ์ แจเน็ต แม็คเทียร์ มาจับคู่กับนักแสดงและผู้กำกับผู้มีชื่อเสียง ชาร์ลส์ แดนซ์ เพื่อรับบทเป็นสามีภรรยาคู่นี้
“เหตุผลที่ฉันชอบเรื่องนี้ก็เพราะมันมีหลายแง่มุม” แม็คเทียร์กล่าว “ไม่ใช่แค่เรื่องราวความรักระหว่างคนสองคน แต่ยังมีเรื่องของชีวิตและหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจขึ้นมา แล้วก็ยังมีความเป็นอังกฤษในแง่ของชนชั้นและการตั้งข้อสรุปให้คนอื่นโดยมองจากชนชั้นด้วย
“ตัวละครที่ฉันเล่น คามิลลา เป็นชนชั้นสูงเลยล่ะค่ะ” เธอกล่าว “คงง่ายมากที่จะตัดสินเธอจากจุดนั้น แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือเมื่อดูไปเรื่อยๆ คุณจะได้กระเทาะเปลือกออกและมองเห็นว่าคนเหล่านี้ก็เป็นคนธรรมดา สุดท้ายแล้วคามิลลาซึ่งในตอนแรกดูน่ากลัว ก็เป็นแค่แม่คนหนึ่ง เป็นแม่ผู้ทุกข์ทรมานอย่างหนัก และวิธีที่เธอจัดการกับความรู้สึกนั้นก็คือการทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากๆ และค่อนข้างแข็งกร้าว”
เมื่อลูเข้ามาในครอบครัวเทรย์เนอร์ ความมีชีวิตชีวาของเธอได้ส่งผลต่อวิลล์และช่วยให้คามิลลาลดท่าทีแข็งกร้าวลงเช่นเดียวกับลูกชาย
“เรื่องราวนี้หนักแน่นและน่าประทับใจ แต่ก็มีเสียงหัวเราะมากมายระหว่างทาง” แดนซ์กล่าว “เมื่อลูอิซ่าเข้ามาในสถานการณ์ที่ไม่ง่าย เธอก็ได้นำเอาความแปลกประหลาด ความเพี้ยนนิดๆ มาพร้อมกับตัวเธอด้วย เธอช่วยให้คามิลลามีความหวังขึ้นมาว่าวิลล์อาจเปลี่ยนใจ ขณะที่ตัวละครของผมผ่านจุดนั้นไปแล้วและยอมรับในสิ่งที่ลูกชายต้องการทำ ไม่ว่าเขาจะเกลียดความคิดนั้นมากแค่ไหน แต่เขาก็จะช่วยให้ลูกชายได้ทำตามที่ต้องการ”
แดนซ์อยากมารับบทนี้เพื่อจะได้ร่วมงานทั้งกับชาร์ร็อคและแม็คเทียร์ “ธีอามีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้กำกับละคร และผมก็อยากทำงานกับเธอ แล้วผมยังชื่นชอบแจเน็ต แม็คเทียร์และอยากทำงานร่วมกับเธอมาตลอด แต่ก็ไม่เคยได้ทำเลย เธอเป็นชนชั้นสูงในแวดวงละครเลยล่ะครับ เป็นนักแสดงที่มีความสามารถโดดเด่นน่าเกรงขามมากๆ”
“ฉันกับชาร์ลส์เห็นหน้าค่าตากันมาหลายปีแล้วค่ะแต่ไม่เคยได้ทำงานร่วมกันเลย ที่สำคัญเขาน่าจะเป็นนักแสดงชายไม่กี่คนที่ตัวสูงกว่าฉันนะ” แม็คเทียร์หัวเราะ “เราสนุกกันมากค่ะ เขาเป็นคนมีเสน่ห์มากเลยทีเดียว”
ชาร์ร็อคกล่าวว่าการแสดงของนักแสดงทั้งสองนั้น “น่าประทับใจอย่างยิ่ง ทั้งสองสามารถถ่ายทอดความเจ็บปวดที่คู่สามีภรรยาเทรย์เนอร์ต้องเผชิญ…ช่วงเวลาที่พ่อแม่ตระหนักว่าสิ่งที่ตนเองต้องการอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก บางครั้งคุณก็ต้องปล่อยให้ลูกทำสิ่งที่ลูกคิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเขาเอง”
แม้ว่าวิลล์น่าจะเคยมีเพื่อนฝูงมากมาย แต่คนเดียวที่เป็นเสาหลักในชีวิตเขาเมื่อลูเข้ามานอกเหนือจากพ่อแม่ ก็คือบุรุษพยาบาล/นักกิจกรรมบำบัด นาธาน โดยนักแสดงชาวออสเตรเลียอย่าง สตีเฟน พีค็อก ได้เข้ามารับบทนี้ท่ามกลางทีมนักแสดงชาวอังกฤษ
“นาธานทำหน้าที่เป็นคนดูแลวิลล์ เป็นนักกิจกรรมบำบัด หรือบุรุษพยาบาลแล้วแต่คุณจะเรียก” พีค็อกกล่าว “แต่โดยภาพรวมแล้ว เขาน่าจะอยู่กับวิลล์มานานกว่าใครๆ นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ และทั้งสองก็เป็นเพื่อนกันด้วย สุดท้ายแล้วนาธานก็เป็นคนที่วิลล์คุยด้วยในเรื่องต่างๆ”
เพื่อช่วยพีค็อกและคลาฟลินถ่ายทอดการกระทำระหว่างตัวละคร พีค็อกกล่าวว่า “เรามีนักกิจกรรมบำบัดมาช่วยเรา คือ รูธ พีชเมนต์ และ เกย์เนอร์ วิลล์ม็อธ คนที่ตกอยู่ในสภาพอย่างวิลล์แทบจะทำอะไรเองไม่ได้เลย เรื่องเล็กน้อยๆ ที่เราไม่ใส่ใจอย่างการเกาจมูก การยืดตัว การลงนั่งและการลุกจากเก้าอี้เป็นสิ่งที่นาธานต้องทำให้วิลล์ ดังนั้นสองคนนี้จึงต้องมีความเชื่อใจกัน บทนี้เยี่ยมมากตรงที่มีอารมณ์ขันแทรกอยู่ตลอดเวลาขณะที่สองคนนี้ทำงานร่วมกัน พวกเขาพูดตลกกันเรื่องต่างๆ และวิลล์ก็มีไหวพริบเฉียบแหลมทีเดียว ผมว่านาธานน่าจะสนุกกับการทำงานนี้นะ”
ขณะที่ลูเริ่มกะเทาะเปลือกนอกของวิลล์ออก ทั้งคู่ก็ได้ออกไปข้างนอกตามแผนที่เธอวางไว้เพื่อให้เขาเห็นว่าเขายังใช้ชีวิตนอกกำแพงบ้านได้ จากหัวมุมปราสาทเทรย์เนอร์ไปจนถึงสนามแข่งม้าและคอนเสิร์ตที่เป็นทางการ การเดินทางแต่ละครั้งทำให้มิตรภาพของทั้งสองลึกซึ้งยิ่งขึ้น วิลล์ถึงกับยอมไปร่วมกินอาหารเย็นฉลองวันเกิดของเธอที่บ้านหลังเล็กๆ ของครอบครัวเธอ ที่นั่นเขาได้พบแพทริก ซึ่งไม่พอใจนักกับความผูกพันที่ปรากฏชัดระหว่างลูกับวิลล์
แมทธิว ลูอิส ผู้รับบทนี้ กล่าวว่า “แพทริกเป็นแฟนของลูมาประมาณเจ็ดปี และทุกอย่างมันก็ง่ายดีน่ะครับ เขาทำงานเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวและเป็นคนบ้าฟิตเนส เขามีกิจการของตัวเองและชนะรางวัลผู้ประกอบการท้องถิ่นประจำปีมาสองสมัย ทำให้เขายิ่งอยากฟิตตัวเองมากขึ้นไปอีก เขากำลังวางแผนลงแข่งไตรกีฬาไวกิ้งในนอร์เวย์ระหว่างที่เขากับลูจะไปใช้เวลาช่วงหยุดพักผ่อนร่วมกัน เขาวาดภาพเอาไว้ และลูเองก็อาจเคยคิดเหมือนกันว่าทั้งคู่จะอาศัยอยู่ในเมืองนี้ไปตลอดชีวิต แต่งงาน ซื้อบ้าน มีลูก และทุกอย่างก็จะเรียบร้อยดี
“เมื่อวิลล์เข้ามาในชีวิตเธอ” เขากล่าวต่อ “สายตาเธอจึงเปิดกว้างเห็นความเป็นไปได้และโอกาสต่างๆ ในโลกภายนอกเมืองแห่งนี้… และเป็นโลกที่ไม่มีแพทริก”
ชีวิตในบ้านเกิดของลูยังมีตัวละครอื่นๆ อย่าง เบอร์นาร์ด พ่อของลู รับบทโดย เบรนแดน คอยล์, โจซี แม่ของเธอ รับบทโดย ซาแมนธา สปิโร และแคทรินา (หรือทรีนา) น้องสาวที่ลูไว้วางใจ รับบทโดย เจนนา โคลแมน และปู่ของทั้งสอง รับบทโดย อลัน เบร็ค
สำหรับตัวละครในชีวิตที่ผ่านมาของวิลล์นั้น เราได้พบอลิเชียซึ่งเคยเป็นแฟนสาวของเขา รับบทโดยวาเนสซา เคอร์บี และรูเพิร์ต อดีตเพื่อนและเพื่อนร่วมงาน รับบทโดยเบน ลอยด์-ฮิวจ์ส นอกจากนี้แฟนๆ ละครตลกอังกฤษก็ยังจะได้เห็นดาราจาก “Absolutely Fabulous” โจแอนนา ลัมลีย์ มารับบทรับเชิญเป็นแขกผู้น่าจดจำในงานแต่งงานที่ลูไปร่วมงานพร้อมกับวิลล์
“ไปที่ไหนสักแห่งเถอะ ที่ไหนก็ได้ในโลก แค่คุณกับฉัน” —ลู
“Me Before You” มีฉากเกือบทั้งหมดอยู่ในอังกฤษและถ่ายทำเกือบทั้งหมดในอังกฤษเช่นเดียวกันทีมงานเบื้องหลังของชาร์ร็อครวมถึงผู้กำกับภาพเรมีอเดฟาราซินและนักออกแบบงานสร้างแอนดรูว์แม็คอัลไพน์ทำงานร่วมกับผู้กำกับเพื่อดัดแปลงสถานที่ตามท้องเรื่องซึ่งบรรยายไว้อย่างละเอียดในหนังสือและบทภาพยนตร์ของโมเยสทีมงานได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ลูและวิลอาศัยอยู่ให้ตรงตามต้นฉบับหลังจากที่แฟนๆนิยายจินตนาการกันมาตั้งแต่หนังสือตีพิมพ์เมื่อปี 2012
เมืองเพมโบรคในเวลส์ใช้เป็นฉากเมืองที่ครอบครัวเทรย์เนอร์อาศัยอยู่ในปราสาทบนเนินเขา ขณะที่ครอบครัวคลาร์กอาศัยอยู่ในบ้านที่อบอุ่นสบายๆ แต่ไร้ซึ่งความหรูหรา ฉากที่ลูทำงานในร้าน เดอะ บัทเทอร์ บัน คาเฟ่ ก็ถ่ายทำกันที่นั่น รวมถึงฉากภายนอกคฤหาสน์ของวิลล์ ซึ่งก็คือปราสาทเพมโบรคนั่นเอง ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1093 และมีชื่อเสียงในฐานะเป็นสถานที่ประสูติของพระเจ้าเฮนรีที่เจ็ด
แม็คอัลไพน์เล่าว่า “ผมรู้จักปราสาทเพมโบรคในเวลส์ตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ก่อนแล้ว เป็นเรื่องยากนะครับที่จะหาปราสาทหินที่ล้อมรอบด้วยหมู่บ้านของชนชั้นแรงงานแบบนี้ ที่นั่นมีทุกอย่างที่ผมต้องการนำเสนอในงานของผมเพื่อถ่ายทอดภาพมุมกว้างภายนอกบ้านของครอบครัวเทรย์เนอร์ รวมถึงความแตกต่างขัดแย้งกับบริเวณโดยรอบ”
วิธแธม แอบบี คฤหาสน์ในออกซ์ฟอร์ดเชียร์ ถูกใช้เป็นฉากคฤหาสน์แกรนต์เชสเตอร์ คฤหาสน์ของครอบครัวเทรย์เนอร์ภายในกำแพงปราสาท ฉากพื้นที่ภายนอกทั้งหมดรอบตัวคฤหาสน์และพื้นที่ภายในคฤหาสน์หลังหลักถ่ายทำกันที่นั่น และแม็กอัลไพน์ก็ได้สร้างบรรยากาศให้เหมาะกับครอบครัวที่ร่ำรวยและรักความเป็นส่วนตัว
“คามิลลาเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและโศกเศร้า เธอมีรสนิยมดีและอยู่ในโลกของความเป็นจริง” เขากล่าว “การผสมผสานระหว่างรสนิยมกับความเหมาะสมในการใช้งานปรากฏอย่างชัดเจนเมื่อเธอเปลี่ยนคอกม้าให้เป็นส่วนต่อเติมสำหรับวิลล์ โดยหวังว่าลูกชายจะมีชีวิตที่ดี”
แม้ว่าฉากภายในบ้านถ่ายทำกันที่แอบบี แต่ฉากภายในของส่วนต่อเติมนั้นสร้างขึ้นที่ไพน์วู้ด สตูดิโอ โดยทำให้ดูเหมือนว่ามันเชื่อมกับคฤหาสน์หลังใหญ่โดยตรง เพื่อสะท้อนความปั่นป่วนภายในครอบครัวและภายในบ้านได้อย่างแนบเนียน นักออกแบบจึงจับคู่โทนสีให้ทั้งสองส่วนมี “โทนสีเทาอมเขียวเหมือนขอบเกลียวคลื่นเมื่อเกิดพายุ”
ส่วนต่อเติมนั้นกลายมาเป็นโลกของวิลล์ ที่นี่เองที่เขากับลูได้พบกันเป็นครั้งแรก แม็คอัลไพน์ตั้งข้อสังเกตว่า “ผีเสื้อน้อยชื่อลูได้เข้ามาในส่วนต่อเติมนี้ แต่งตัวอย่างสวยงามมีสีสันตามแบบฉบับของตัวเอง ผมจึงใช้โทนสีเงินอ่อนที่บริเวณผนัง ทำให้เราได้ความสว่างที่ดูงดงาม ผมตั้งใจลดการใช้สีลงเพื่อที่ว่าทุกครั้งที่ลูเข้ามา สีสันจากตัวเธอจะได้เฉิดฉายออกมา”
ทุกๆ อย่างในเขตที่พักนี้ได้รับการออกแบบให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของวิลล์ “เราวางสัดส่วนของพื้นที่ส่วนต่อเติมให้เหมาะกับความต้องการของคนที่ใช้รถเข็น” เขากล่าวต่อ “ผมยังได้ออกแบบเตียงของเขาให้ดูเหมือนว่าคามิลลาหาช่างจากลอนดอนมาทำเตียงให้นอนสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมีหน้าต่างกระจกบานใหญ่เพื่อที่เธอจะได้แน่ใจว่าเขารู้สึกเหมือนยังอยู่ในสนามเด็กเล่นเมื่อตอนเป็นเด็ก”
ยังมีการสร้างฉากภายในบ้านของครอบครัวคลาร์กขึ้นที่ไพน์วู้ดด้วย “เมื่อได้เห็นบ้านของลู เราจะรู้สึกว่ามันเป็นบ้านซึ่งความยากลำบากถูกกลบด้วยความอบอุ่น บ้านของครอบครัวชนชั้นแรงงานอังกฤษที่ภาคภูมิใจในสถานะของตนเอง” เขาเสริม
พื้นที่ภายนอกบ้านคลาร์กและบริเวณถนนนั้นถ่ายทำกันที่แฮร์โรว์ในลอนดอน บ้านในเมืองอีเชอร์ เซอร์เรย์ ใช้เป็นฉากขององค์กร Dignitas ในสวิตเซอร์แลนด์ และสนามแซนดาวน์พาร์คในอีเชอร์ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ก็เป็นสถานที่ถ่ายทำเหตุการณ์ในสนามแข่งม้า รวมถึงเป็นบริเวณเช็กอินของสนามบิน แซนดาวน์พาร์คซึ่งเปิดเมื่อปี 1875 ยังคงเปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน และเป็นสนามแข่งม้าแห่งแรกๆ ในอังกฤษที่คิดค่าเข้าจากผู้ชมทุกคน
คฤหาสน์เชนีส์ในบักกิงแฮมเชียร์ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากพิธีแต่งงานและงานเลี้ยงที่ลูไปร่วมงานพร้อมกับวิลล์ ทีมงานใช้ประโยชน์จากความงดงามของสถานที่โดยถ่ายช็อตมุมกว้างระหว่างงานเลี้ยงค็อกเทลหลังพิธีเพื่อให้เห็นปล่องไฟอิฐ 22 ปล่องซึ่งทำเป็นลวดลายแตกต่างกัน รวมถึงสวนอันงดงาม
นอกเหนือจากความดีงามของชนบทอังกฤษที่ต้องปรากฏอยู่ในเรื่องแล้ว ตอนที่ลูและวิวออกการเดินทางสุดโรแมนติกไปด้วยกันนั้นก็ต้องการทิวทัศน์ที่มีเสน่ห์ชวนค้นหา ทีมงานใช้เกาะมายอร์กาของสเปนเป็นสถานที่ถ่ายทำแทนเกาะมอริเชียสของฝรั่งเศสตามที่ปรากฏในบท ฉากหลายฉากถ่ายทำกันที่บริเวณโรงแรมบาร์เซโล ฟอร์เมนทอร์และชายหาดที่อยู่ติดกัน
“ที่นั่นสวยงามและสงบครับ” แม็คอัลไพน์กล่าว “แล้วยังมีอ่าวที่ดูคล้ายในมอริเชียสอีกด้วย” แต่พืชพรรณที่แตกต่างกันทำให้เกิดความท้าทาย “มีต้นสนชนิดหนึ่งซึ่งเป็นต้นสนสูงชะลูดที่พบในมอริเชียส เราก็เลยปลูกต้นไม้เกือบ 600 ต้นและปูสนามหน้าใหม่รอบสถานที่ถ่ายทำเพื่อเพิ่มความเขียวชอุ่มและเสริมความถูกต้องให้มากยิ่งขึ้น”
“ตอนฉันยังเด็กๆ แม่ฉันซื้อรองเท้าบู๊ตที่มีประกายวิบวับให้คู่หนึ่งและฉันก็ไม่ยอมถอดมันออก… ชุดโปรดของฉันคือรองเท้าบู๊ตวิบวับกับกางเกงลายผึ้ง…แบบลายขวางเหลืองดำน่ะ!” —ลู
สิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดใน “Me Before You” ไม่ใช่ปราสาทหรือเกาะอันชวนค้นหาในยุโรป แต่เป็นตัวละครลูนั่นเอง นักออกแบบเครื่องแต่งกาย จิลล์ เทย์เลอร์ บรรยายว่าเธอเป็นคน “เพี้ยนนิดๆ แต่ไม่ได้ทำตัวเป็นตลก เธอเป็นหญิงสาวที่เป็นตัวของตัวเอง ชอบเสื้อผ้า ชอบสีสัน และมีความสุขกับการนำสิ่งต่างๆ มารวมเข้าด้วยกัน”
ที่จริงแล้วในฉากหนึ่ง ลูบอกวิลล์ว่าแฟนของเธอพูดว่ารองเท้าบางคู่ทำให้เธอดูเหมือน “กระเทยภูติจิ๋ว” เทย์เลอร์ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เสื้อผ้าชิ้นพิเศษเป็นเหมือนงานศิลปะสำหรับเธอ เธอเล็งเห็นคุณค่าของมัน”
เทย์เลอร์เริ่มต้นหาเสื้อผ้าให้ลูด้วยการสังเกตดูรอบตัว “ฉันเริ่มสังเกตว่าสาวๆ ใส่อะไรกันตามท้องถนนในลอนดอน” เธอเล่า “สิ่งที่คุณหาได้ตามร้านต่างๆ ค่อนข้างน่าตื่นเต้นเลยทีเดียว ฉันได้แรงบันดาลใจมากมายจากที่นั่น”
เทย์เลอร์กล่าวว่ากระบวนการทำงานเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ “ฉันพบเอมิเลีย เราคุยกันแล้วก็ออกไปช็อปปิง มันง่ายขนาดนั้นเลยล่ะค่ะ เราหยิบชุดนู้นชุดนี้มาลองกันและเธอก็น่ารักมาก!”
ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าที่ลูใส่ในวันธรรมดาจะเป็นผ้าพิมพ์สีสันสดใสและมีเนื้อผ้าที่เน้นผิวสัมผัสเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสเว็ตเตอร์ขนปุยไปจนถึงรองเท้าลายดอกไม้ แต่ก็มีสองชิ้นที่เทย์เลอร์ออกแบบให้เธอโดยเฉพาะสำหรับโอกาสพิเศษที่ไม่สามารถใช้เสื้อผ้าปกติ
“มีฉากหนึ่งที่เธอพาวิลล์ไปดูคอนเสิร์ตโมสาร์ทและชุดสีแดงก็สำคัญมาก” เทย์เลอร์กล่าว “ฉันวาดแบบออกมาและส่งไปตัด เธอใส่แล้วดูสวยมากค่ะ เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นลูดูสวยสง่าขึ้นมา”
แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย “เรายังทำชุดให้เธอสำหรับฉากงานแต่งงานด้วย ทรงคล้ายกันกับชุดสีแดง แต่ใช้ผ้าต่างออกไปมาก” แน่นอนว่าเป็นผ้าพิมพ์ลายสีสันสดใส
เครื่องแต่งกายของวิลล์เรียบง่ายกว่ามาก “แนวทางสำหรับเครื่องแต่งกายของเขาก็คือมันจะต้องดูค่อนข้างแพง แต่ก็เรียบง่าย สง่างาม หรูหรา” เทย์เลอร์กล่าว “ชุดสูทของเขาในช่วงต้นของหนังก่อนเกิดอุบัติเหตุเป็นสูท Armani แต่หลังจากนั้นเขาก็จะใส่เสื้อผ้าแคชเมียร์ ผ้าฝ้ายนุ่มๆ… ชุดที่ใส่และถอดง่ายซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขา”
แต่ว่าเขาก็ได้ใส่สูททักซิโดในตอนที่ทั้งสองออกไปดูคอนเสิร์ตซึ่งก็เป็นไปตามโอกาส เป็นฉากเดียวในหนังที่มีดนตรีคลาสสิก
ดนตรีในฉากอื่นๆ ของ “Me Before You” แทรกอยู่กับดนตรีประกอบซึ่งเป็นผลงานของนักประพันธ์ เครก อาร์มสตรอง เพื่อช่วยสร้างความโรแมนติกและปลุกเร้าอารมณ์ตามเรื่องราว เพลงทั่วไปที่มาเป็นซาวด์แทร็ก ได้แก่ “Thinking Out Loud” และ “Photograph” ของเอ็ด ชีแรน, “Unsteady (Erich Lee Gravity Remix)” ของเอ็กซ์ แอมบาสซาเดอร์ส, “Till The End” ของเจสซี แวร์ และ “Not Today” ของอิมเมจิน ดรากอนส์
“ดนตรีของเครกและเพลงที่เราเลือกใช้ส่งผลอย่างมากต่อตัวหนัง” ชาร์ร็อคกล่าว “ดนตรีสอดคล้องไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างลูและวิลล์ในทุกๆช่วงทุกๆตอนของความสัมพันธ์นี้”
“ลูและวิลล์…Me Before You…สำหรับฉันแล้วหมายถึงแค่ว่า ‘สิ่งที่ฉันเป็นก่อนมาพบคุณ’” โจโจ โมเยสเผย “เป็นการพูดถึงเรื่องที่ต่างคนต่างก็ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอีกฝ่ายหนึ่ง ลูหวั่นใจเมื่อเข้าไปในคฤหาสน์หลังนี้และต้องมาพบกับคนอีกชนชั้น เธอต้องก้าวออกจากจุดที่เธอคุ้นเคย ขณะที่วิลล์ก็ไม่ได้ต้องการเธอ เขาเลยทำทุกทางที่จะคอยกวนประสาทและไม่ยอมอ่อนข้อให้ ทั้งสองเริ่มต้นจากการเป็นคนสองคนที่ไม่น่าจะมาเจอกันได้ แต่ยิ่งรู้จักกันมากขึ้น ทั้งสองต่างก็มองเห็นจุดแข็งในตัวอีกฝ่ายหนึ่ง เขาตระหนักว่าในบางแง่เธอก็ติดกับอยู่ที่นี่เช่นเดียวกับเขา เพราะความคาดหวังของเธอเองและเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา สุดท้ายแล้ววิลล์จึงเป็นคนผลักดันให้ลูมองออกไปข้างนอก คาดหวังจากชีวิตให้มากขึ้น แต่เขาจะทำได้ก็ต่อเมื่อเธอเปิดตาและเปิดใจของเขาเท่านั้น”
เอมิเลียคลาร์กหวังว่าตัวหนังจะตรงใจผู้ชมเช่นเดียวกับที่นวนิยายได้เข้าไปอยู่ในใจของผู้อ่านเธอกล่าวว่า “ในแง่พื้นฐานสิ่งที่ฉันอยากให้คนดูได้รับจากหนังเรื่องนี้คือความสุขที่ชีวิตได้มอบให้และความสุขที่ความรักได้มอบให้เราเรื่องนี้กระทบใจคนเมื่อได้อ่านและกระทบใจเราทุกคนขณะที่ทำหนังเรื่องนี้ฉันจึงหวังว่ามันจะเข้าถึงผู้คนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้เช่นกัน”
“หนังเรื่องนี้ตั้งคำถามมากมายโดยเฉพาะเกี่ยวกับตัวละครของผม” แซมคลาฟลินกล่าว “ผมหวังว่าคนดูจะได้คุยกันเรื่องนี้และได้เรียนรู้มากขึ้นผมพูดได้เลยว่ามีเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจและเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจของผู้คนอย่างวิลล์และลูอยู่มากมายผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ทั้งสร้างแรงบันดาลใจและน่าสะเทือนใจในขณะเดียวกันและเหนือสิ่งอื่นใดมันก็ได้ช่วยให้ความหวังแก่เราด้วย”
ธีอาชาร์ร็อคสรุปว่า “มีความร่าเริงอยู่ในตัวลูเป็นความร่าเริงเบิกบานและอารมณ์ขันที่ทำให้เราได้เพลิดเพลินแล้วก็มีช่วงเวลาที่ไม่คาดฝันระหว่างลูกับวิลล์ซึ่งณจุดนั้นทั้งสองได้ดึงส่วนที่ดีที่สุดในตัวอีกฝ่ายออกมาถ้าคุณไปโรงหนังเพื่อดูหนังรักที่เรียบง่ายคุณก็จะได้ตามนั้นคุณจะหัวเราะไปตลอดเรื่องและอาจร้องไห้ในตอนจบและเราก็หวังว่าถ้าเราได้สร้างหนังที่ควรค่ากับเรื่องราวของโจโจและสมความคาดหวังของแฟนหนังสือเรื่องราวการเดินทางครั้งนี้ก็น่าจะติดตรึงอยู่ในใจคุณ”