ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังร่วมแสดงโดยดาราผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ซามูเอล แอล แจ็คสัน (“Pulp Fiction”, “Captain America”), มาร์โก้ ร็อบบี้(“The Wolf of Wall Street”, “Suicide Squad” ซึ่งกำลังจะเข้าฉาย), ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ไจมอน ฮอนซู (“Blood Diamond,” “Gladiator”), ผู้ชนะรางวัลออสการ์ จิม บรอดเบนต์ (“Iris”) และผู้ชนะรางวัลออสการ์สองสมัย คริสทอฟ วอลซ์ (“Inglourious Basterds”, “Django Unchained”)
นับเป็นเวลานานหลายปีตั้งแต่ชายผู้เคยเป็นที่รู้จักในชื่อทาร์ซาน (สการ์สการ์ด) ออกจากป่าดงดิบในแอฟริกามาใช้ชีวิตคนเมืองในฐานะจอห์น เคลย์ตัน หรือลอร์ดเกรย์สโตค พร้อมกับมี เจน (ร็อบบี้) ภรรยาผู้เป็นที่รักอยู่เคียงข้าง มาตอนนี้เขาได้รับเชิญให้กลับไปยังคองโกเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าให้รัฐบาล โดยหารู้ไม่ว่าตนเองกำลังเป็นหมากในแผนการอันตรายที่เกิดจากความโลภและความแค้น แผนการครั้งนี้มีทูตของกษัตริย์เบลเยียม ลีออน รอม (วอลซ์) เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่เหล่าผู้คิดแผนการสังหารยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะปลดปล่อยสิ่งใดออกมา
เดวิด เยตส์ (“Harry Potter” สี่ภาคสุดท้าย, “Fantastic Beasts and Where to Find Them” ซึ่งกำลังจะเข้าฉาย) กำกับ “The Legend of Tarzan” จากบทภาพยนตร์โดย อดัม โคแซด และเครก บรูว์เออร์ เรื่องโดยบรูว์เออร์และโคแซด โดยอ้างอิงจากเรื่องราวของทาร์ซานโดยเอ็ดการ์ ไรซ์ เบอร์โรห์ส ผู้อำนวยการสร้างระดับตำนาน เจอร์รี ไวน์ทรอบ (“Behind the Candelabra,” ไตรภาค “Ocean’s”) อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับเดวิด บาร์รอน (“Harry Potter”, “Cinderella”), อลัน ริช (“Southpaw”) และโทนี ลุดวิก (“Starsky & Hutch”) โดยมีซูซาน เอคินส์, นิโคลาส คอร์ดา, คีธ โกลด์เบิร์ก, เดวิด เยตส์, ไมค์ ริชาร์ดสัน และบรูซ เบอร์แมน ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ทีมงานเบื้องหลัง ได้แก่ ผู้กำกับภาพเฮนรี บราแฮม (“The Golden Compass”, “Guardians of the Galaxy Vol. 2” ที่กำลังจะเข้าฉาย), นักออกแบบงานสร้างผู้ชนะรางวัลออสการ์ สจ๊วร์ต เครก (“Dangerous Liaisons”, “The English Patient”, “Harry Potter”), มือตัดต่อ มาร์ค เดย์ (“Harry Potter and the Deathly Hallows, Parts 1 & 2”) และนักออกแบบเครื่องแต่งกายผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ รูธ ไมเออร์ส (“Emma”, “Unknown”) ดนตรีประกอบโดย รูเพิร์ต เกรกสัน-วิลเลียมส์ (“Grown Ups”)
“The Legend of Tarzan” ถ่ายทำที่ Warner Bros. Studios ในลีฟส์เด็น โดยมีการถ่ายทำเพิ่มเติมที่ประเทศกาบองในแอฟริกาและบริเวณเทือกเขาโดโลไมส์ในอิตาลี รวมถึงสถานที่ต่างๆ ในสหราชอาณาจักร
Warner Bros. Pictures ร่วมกับ Village Roadshow Pictures และ RatPac-Dune Entertainment ขอเสนอผลงานการสร้างของ Jerry Weintraub Production, Riche/Ludwig Production และ Beaglepug Production ผลงานการกำกับของเดวิด เยตส์ เรื่อง “The Legend of Tarzan” ภาพยนตร์เรื่องนี้จะฉายในโรงภาพยนตร์ระบบสองมิติและสามมิติ รวมถึงโรงภาพยนตร์ IMAX โดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment และในบางพื้นที่โดย Village Roadshow Pictures
เบื้องหลังการถ่ายทำ
มนุษย์และธรรมชาติ
สุภาพบุรุษซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษเรียกตัวมายังบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิงก็คือจอห์นเคลย์ตันที่สามผู้ดำรงตำแหน่งเป็นเอิร์ลแห่งเกรย์สโตคคนที่ห้าและสมาชิกสภาขุนนางแต่ไกลออกไปครึ่งโลกเมื่อนานมาแล้วเขาเคยเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่ง… ชื่อที่กลายเป็นตำนานนับจากนั้นชื่อของเขาคือทาร์ซาน
หลังจากผลงานในหนัง “Harry Potter” สี่ภาคสุดท้าย ผู้กำกับเดวิด เยตส์กล่าวว่าเขาต้องการหาโครงการซึ่ง “ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยแอ็คชันและความตระการตา แล้วบทหนังเรื่องนี้ก็โผล่มา มันดึงดูดความสนใจผมทันที บทหนังเรื่องนี้เสนอมุมมองใหม่ต่อตัวละครอันเป็นตำนานนี้”
อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด นักแสดงผู้รับบทนำกล่าวเห็นด้วย “บทหนังเรื่องนี้ทำให้ผมทึ่ง มันมีความน่าตื่นเต้นทุกอย่างที่เราต้องการ แต่ตัวละครก็ยังมีมิติและความสัมพันธ์ก็ได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างงดงาม ผมชอบหนังที่มีความยิ่งใหญ่และสนุกสนาน ขณะเดียวกันคุณก็ยังเทใจให้ตัวละครและอยากติดตามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้น”
ผู้อำนวยการสร้าง เดวิด บาร์รอน กล่าวว่า หนังเรื่องนี้นำตัวละครไปไกลเกินความคาดหวังของผู้ชม “ทาร์ซานเป็นตัวละครแอ็คชันฮีโร่ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แต่หนังเรื่องนี้จะสร้างความประหลาดใจให้คนที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องราวอยู่แล้ว เขาเติบโตมาในป่า ลิงเลี้ยงเขามา ดังนั้นพลังของเขาก็คือความแข็งแรงและประสาทสัมผัสที่พัฒนามากกว่าคนปกติ”
ในหนังผจญภัยเรื่องใหม่นี้ ทาร์ซานได้เผชิญหน้ากับศัตรูผู้น่าเกรงขามที่ข่มขู่ว่าจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนที่เขารัก แต่หลังจากใช้เวลานานหลายปีในหมู่ผู้ดีชาวอังกฤษ เขาก็ต้องเผชิญกับภัยร้ายแรงจากศัตรูเก่าที่รอให้เขากลับมายังแอฟริกา
เยตส์อธิบายว่าในช่วงเริ่มต้นของหนัง “จอห์นได้รับเชิญจากกษัตริย์ลีโอโปลด์ของเบลเยียมให้เดินทางกลับไปยังคองโก ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะให้เขามาดูแลสินค้าและงานการกุศลของกษัตริย์ แต่การมอบหมายงานนี้แท้จริงแล้วกลับเป็นเพียงอุบาย และเป็นกับดักอย่างดีด้วย ที่จริงแล้วจอห์นถูกลีออน รอม นักการทูตผู้ทรยศล่อลวงให้กลับมา โดยหวังจะจับตัวทาร์ซานส่งไปให้ศัตรูเก่าเพื่อแลกกับเพชรจำนวนมหาศาล”
สการ์สการ์ดกล่าวว่า “จอห์นเติบโตมาในหมู่วานรแต่เขาจากโลกนั้นไปนานเกือบทศวรรษแล้ว ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างลังเลใจที่จะกลับไป เขามีศัตรูอยู่บ้างในคองโกและมีอดีตอันเลวร้ายอยู่ที่นั่น ผมคิดว่าที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือเขาหวาดกลัวตัวตนที่เขาเคยเป็น ดังนั้นการกลับไปจึงค่อนข้างน่ากลัวสำหรับเขา”
เดิมพันยิ่งสูงขึ้นไปอีกเมื่อภรรยาผู้เป็นที่รัก เจน ยืนยันว่าจะติดตามสามีกลับไปยังแอฟริกาซึ่งเธอมองว่าเป็นเหมือนบ้าน จอห์นยอมตามใจแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
มาร์โก้ ร็อบบี้ผู้รับบทเป็นเจน ชื่นชมที่หนังนำเสนอคู่รักคู่นี้ให้ดูร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น “เรื่องราวเกิดขึ้นในศตวรรษ 1800 แต่ก็ให้อารมณ์สมัยใหม่และมีประเด็นสากลซึ่งเข้ากันได้กับทุกยุคทุกสมัย” เธอกล่าว “มีการผจญภัยอันน่ามหัศจรรย์แต่แก่นหลักก็ยังคงอยู่ที่เรื่องราวความรักอันงดงาม ฉันชอบที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องราวเดิมๆ ที่ให้ทาร์ซานกับเจนพบกันในป่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองซับซ้อนมากขึ้นแล้วในจุดนี้”
บทภาพยนตร์เรื่อง “The Legend of Tarzan” เขียนโดยอดัมโคแซดและเครกบรูว์เออร์จากเรื่องที่ทั้งสองแต่งขึ้นโคแซดเผยว่า “สิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญกับผมมากและตรงใจเดวิดเยตส์ด้วยก็คือเรื่องราวโรแมนติกระหว่างจอห์นหรือทาร์ซานกับเจนซึ่งส่งผลสำคัญในเรื่อง”
“ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังสือ” บรูว์เออร์เล่า “ก็เลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใส่ตัวละครและฉากจากเรื่องราวต้นฉบับของเบอร์โรห์ลงไปด้วย แน่ล่ะครับว่าจะต้องเริ่มต้นด้วยทาร์ซานกับเจน แต่เราต้องการวางเรื่องราวให้มีฉากหลังเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการยึดครองคองโกของกษัตริย์ลีโอโปลด์ จึงน่าสนใจที่จะให้ตัวละครทั้งสองได้มาเกี่ยวข้องกับผู้คนในช่วงเวลาและสถานที่นั้น”
แม้ทาร์ซานและเจนเป็นตัวละครที่แต่งขึ้น แต่พวกเขาก็ได้พบกับตัวละครหลักสองตัวซึ่งดัดแปลงจากบุคคลที่มีอยู่จริง นั่นก็คือ จอร์จ วอชิงตัน วิลเลียมส์ ทหารผู้กล้าที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักมนุษยชน รับบทโดย ซามูเอล แอล แจ็คสัน และตัวร้ายหลัก ลีออน รอม รับบทโดยคริสทอฟ วอลซ์
เยตส์ตั้งข้อสังเกตว่า “เรื่องราวเกิดขึ้นโดยมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของคองโกในช่วงเวลานั้นซึ่งผมมองว่าน่าสนใจมาก แล้วเรื่องนี้ก็ยังมีประเด็นที่ดึงดูดผมมาตลอด นั่นก็คือการที่ตัวละครค้นหาว่าตนเองเป็นใครและที่แห่งไหนเป็นที่สำหรับเขาจริงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือครั้งแรกที่ผมได้อ่านบท ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องราวที่มีเลือดเนื้อจิตใจ”
อลัน ริช เป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ร่วมกับหุ้นส่วน โทนี ลุดวิก เขาให้ความเห็นว่า “การพัฒนาหนังเรื่องนี้เป็นการเดินทางอันยาวไกล แต่เดวิด เยตส์ได้ช่วยนำทางเรากลับบ้าน ความสามารถอันเต็มเปลี่ยมของเขารวมทั้งทีมงานและนักแสดงได้ช่วยนำเราไปสู่ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมของการชมภาพยนตร์”
บาร์รอนซึ่งร่วมงานกับเยตส์ใน “Harry Potter” กล่าวว่า “เดวิดนำเอาประสบการณ์ทั้งหมดจากหนังเหล่านั้นมาใช้ใน ‘The Legend of Tarzan’ การทำงานอย่างสบายๆในหนังที่มีนักแสดงมากมายมีฉากขนาดใหญ่และมีคิวบู๊สำคัญๆหลายจุดรวมถึงความเข้าใจในงานวิชวลเอฟเฟ็กต์อันซับซ้อนล้วนเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีในการทำหนังประเภทนี้นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่น่าคบหามากที่สุดคนหนึ่งด้วยเป็นคนมีรสนิยมดีและมีความจริงจังแน่วแน่ภายนอกที่ดูสบายๆนั้นมีแก่นที่แข็งแกร่งอยู่ภายในเขามีมุมมองที่ชัดเจนเด็ดขาดว่าต้องการและไม่ต้องการอะไรเป็นผู้รับฟังที่ฉลาดและเต็มใจรับคำแนะนำเสมอ…เมื่อเป็นคำแนะนำที่ดี”
คริสทอฟวอลซ์กล่าวว่า “เดวิดมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนแต่ก็เปิดกว้างรับข้อเสนอแนะจากผมจึงน่าพอใจมากที่ได้รู้สึกว่ามีคนรับฟังครับเขาทำงานหนักในการร้อยเรียงองค์ประกอบต่างๆมาผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นผลงานที่งดงามผมจึงต้องการทำทุกอย่างเพื่อช่วยสนับสนุนงานนี้เขาเป็นคนอ่อนโยนที่สุดเท่าที่คุณจะนึกออกและด้วยความสุภาพอ่อนโยนนี่ล่ะครับที่ทำให้เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการ” นักแสดงรายนี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ซามูเอลแอลแจ็กสันเห็นตรงกันเขาเสริมว่า “โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ไม่เพียงระหว่างตัวละครด้วยกันเท่านั้นแต่กับผืนแผ่นดินชนเผ่าสัตว์ป่าและทุกสิ่งที่ตัวละครได้เผชิญเดวิดมุ่งความสนใจไปยังประเด็นนั้นและปล่อยให้เราลงรายละเอียดเพื่อให้ผู้ชมได้เกิดอารมณ์ร่วมไปกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และผลกระทบทางอารมณ์เช่นเดียวกันกับการผจญภัย”
“เดวิดมีวิสัยทัศน์ที่แจ่มชัดและการทำงานร่วมกับเขาก็เป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งค่ะ” ร็อบบีกล่าว “บรรยากาศในกองถ่ายขึ้นอยู่กับผู้กำกับและการอยู่ในกองถ่ายนี้ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเดวิด เขามีบุคลิกที่สุภาพอ่อนโยนมากๆ ค่ะ”
มีการปรากฏตัวของคนอีกคนหนึ่งที่ส่งผลสำคัญในกองถ่ายและสร้างความประทับใจอันไม่อาจลืมเลือนต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คนคนนั้นก็คือผู้อำนวยการสร้าง เจอร์รี ไวน์ทรอบ นักแสดงและทีมงานรู้สึกขอบคุณที่ได้ร่วมงานกับผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของวงการนี้ สการ์สการ์ดกล่าวว่า “เรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นกับงานนี้คือการที่เจอร์รี ไวน์ทรอบมาอำนวยการสร้างครับ เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างชั้นยอดและเป็นมนุษย์ที่น่าทึ่ง…เขาน่ารักมากๆ เลยล่ะครับ”
เยตส์ให้ความเห็นว่า “เจอร์รีใจดีแต่ก็เข้มแข็งลึกซึ้งตลกและเป็นโชว์แมนของแท้เลยเขามีความเชื่อมั่นในตัวผู้คนที่เขาเลือกทำงานด้วยซึ่งก็อดไม่ได้ที่จะทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกตัวลอยเขาเป็นตัวตั้งตัวตีของ ‘The Legend of Tarzan’ จากการพัฒนาโครงการนี้มานานหลายปี เราทุกคนถือเป็นเกียรติที่ได้ทำหนังที่เขาตั้งใจนำเสนอแก่โลกให้สำเร็จเป็นจริงขึ้นมาได้ เราคิดถึงเขามากครับ”
“เราอาจจะพูดกันบ่อยๆว่าคนนั้นคนนี้มีบุคลิกโดดเด่นน่าประทับใจแต่ในกรณีของไวน์ทรอบถือว่าถูกต้องตรงตามความเป็นจริงที่สุดแล้ว” บาร์รอนกล่าว “เขาเป็นคนที่ไม่เหมือนใครมุ่งมั่นทุ่มเทพูดจาฉะฉานช่างคิดรอบรู้และตลกเขากระตือรือร้นกับทุกเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘Tarzan’ และผมรู้ว่าเขาต้องภูมิใจมากในตัวหนังเสร็จออกมาได้ผมยินดีที่ได้ร่วมงานกันแม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆและน่าเสียดายที่จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
หนังเรื่องนี้ได้นำเยตส์และบาร์รอนกลับมาพบกับทีมงานหลายคนจาก “Harry Potter” รวมถึงนักออกแบบงานสร้าง สจ๊วร์ต เครก, มือตัดต่อ มาร์ค เดย์ และผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ ทิม เบิร์ค ทีมงานเบื้องหลังคนอื่นๆ ได้แก่ ผู้กำกับภาพ เฮนรี บราแฮม, นักออกแบบเครื่องแต่งกาย รูธ ไมเออร์ส และนักแต่งเพลง รูเพิร์ต เกรกสัน-วิลเลียมส์ หนังเรื่องนี้สำเร็จลงได้ด้วยทักษะและประสบการณ์ของคนเหล่านี้ ตลอดจนการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมงานฝ่ายต่างๆ
การสร้างหนังเรื่อง “The Legend of Tarzan” นับเป็นการผสมผสานอย่างไม่ธรรมดาระหว่างการออกแบบอันยอดเยี่ยม การถ่ายภาพทางอากาศด้วยวิธีการที่แปลกใหม่ และวิชวลเอฟเฟ็กต์อันล้ำสมัย ทั้งหมดนี้ช่วยให้สามารถถ่ายทอดภูมิทัศน์อันตระการตาและผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ป่าของแอฟริกา โดยถ่ายทำแทบทั้งหมดในโรงถ่ายและบริเวณภายนอกของสตูดิโอลีฟส์เด็นในอังกฤษ และแม้ว่าตัวละครมนุษย์จะสื่อสารโต้ตอบกับสัตว์สายพันธุ์ต่างๆ ในแอฟริกา แต่ไม่มีการใช้สัตว์จริงในการสร้างหนังเรื่องนี้ สัตว์ทุกตัวตั้งแต่กอริลลาไปจนถึงสิงโต ช้าง และอื่นๆ ล้วนมีชีวิตขึ้นมาได้อย่างสมจริงน่าทึ่งด้วยเทคโนโลยีซีจีอันล้ำสมัย
ในขั้นตอนก่อนการถ่ายทำจอชพอนเทผู้ทำงานอนุรักษ์สัตว์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติในประเทศกาบองในแอฟริกาตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมาได้จัดหาเครื่องเฮลิคอปเตอร์ของทหารเพื่อให้เดวิดเยตส์ได้ชมความงามของป่าไม้หน้าผาแม่น้ำและน้ำตกในประเทศแห่งนี้ผู้กำกับใช้เวลาสี่วันสำรวจความงามของสถานที่ซึ่งปรากฏอยู่เบื้องล่างแล้วก็รู้ว่าเขาพบฉากของเรื่องแล้วภูมิประเทศอันห่างไกลซึ่งสุดท้ายใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำตลอดหกสัปดาห์หลังการถ่ายทำที่สตูดิโอลีฟส์เด็นกลายเป็นฉากหลังอันมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ซึ่งประสานเข้ากับฉากของสจ๊วร์ตเครกได้เป็นอย่างดี
หลังจากนำการเดินทางสำรวจสถานที่ครั้งแรกในกาบองพอนเทก็ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางเทคนิคเกี่ยวกับแอฟริกาให้หนังเรื่องนี้และได้ให้คำปรึกษาอันมีค่ายิ่งแก่ทีมงานแทบทุกฝ่าย “การได้จอชมาช่วยเรานับเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งครับ” บาร์รอนยืนยัน “เขาใช้เวลามหาศาลกับการทำงานในแอฟริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกาบองและมีความรอบรู้ในทุกๆเรื่องตั้งแต่ปริบททางประวัติศาสตร์ของเรื่องราวที่เรานำเสนอไปจนถึงวัฒนธรรมหมู่บ้านและสัตว์ชนิดต่างๆ”
“‘The Legend of Tarzan’ นำเราไปสู่โลกแห่งการผจญภัยในส่วนที่ลึกที่สุดของแอฟริกาซึ่งมีความลี้ลับและน่าเกรงขามไม่แพ้ที่ใดๆในโลก” เยตส์กล่าว “เราต้องการให้หนังเรื่องนี้ตื่นเต้นเร้าใจขณะเดียวกันก็พูดถึงเรื่องครอบครัวและชุมชนตลอดจนการอนุรักษ์ธรรมชาติหนังเรื่องนี้ยกย่องความยิ่งใหญ่ของทิวทัศน์ทางธรรมชาติศักดิ์ศรีและความสง่างามของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นรวมถึงความน่ามหัศจรรย์ของบรรดาสัตว์ป่าเรื่องนี้มีหลายแง่มุมซึ่งเรามองว่าช่วยให้มันกลายเป็นประสบการณ์อันเต็มอิ่มและน่าตื่นเต้นบนจอภาพยนตร์”
นักแสดง
เยตส์เล่าว่าในช่วงเริ่มต้นของหนัง “จอห์นทิ้งชีวิตทาร์ซานไว้เบื้องหลังและรับตำแหน่งเป็นลอร์ดเกรย์สโตคโดยมีเจนผู้เป็นภรรยาอยู่เคียงข้าง”
แม้จอห์นจะใช้ชีวิตเช่นนั้นมานานหลายปี “แต่เขายังต้องพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับอังกฤษยุควิกตอเรียน” สการ์สการ์ดกล่าว “เขายังคงเก็บซ่อนตัวตนบางส่วนเอาไว้และการทำความเข้าใจตัวตนส่วนนั้นก็เป็นก้าวสำคัญในการค้นหาตัวละครขั้วตรงข้ามระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่าเป็นประเด็นที่ผมสนใจมาตลอดเวลาที่คุณรับบทเป็นตัวละครแบบจอห์นขั้วตรงข้ามนี้ขัดแย้งกันอย่างสุดขั้วเริ่มต้นจากที่เขาเป็นขุนนางชาวอังกฤษผู้เคร่งขรึมจากนั้นเราก็ค่อยๆลอกเปลือกของเขาออกจนกลายเป็นทาร์ซานอีกครั้งการได้ถ่ายทอดความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องวิเศษมากเลยล่ะครับ”
เยตส์กล่าวว่ามีเหตุผลหลายประการที่ทำให้เขารู้ว่าสการ์สการ์ดเป็นนักแสดงที่เหมาะกับบทบาทหลักในเรื่อง “เขามีทุกอย่างเริ่มต้นจากเรื่องที่ว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงแน่นอนว่าเขามีรูปร่างใหญ่และสามารถถ่ายทอดคุณสมบัติความกล้าหาญของทาร์ซานออกมาได้แต่เขาก็สามารถขุดลึกลงไปยังความเปราะบางและอ่อนไหวของตัวละครนี้ได้ด้วยส่วนผสมนี้ทำให้เขาเหมาะสมที่สุดเพราะทาร์ซานเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกซับซ้อนหลายชั้นอเล็กซ์สามารถถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ทั้งหมด”
คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งในการเลือกทั้งสการ์สการ์ดและร็อบบีมารับบทนี้ก็คือความเข้ากันได้ดีระหว่างนักแสดงทั้งสอง “เราจะต้องสัมผัสได้ถึงความรักระหว่างจอห์นและเจนทันที” เยตส์กล่าวย้ำ “เพราะทั้งสองถูกแยกออกจากกันหลังเดินทางมาถึงแอฟริกาได้ไม่นานแม้ว่าตัวละครสองตัวนี้จะอยู่ห่างกันเป็นเวลานานแต่คุณจะต้องเชื่อว่าความผูกพันของทั้งสองไม่สามารถทำลายได้”
“ฉันคิดว่าความรักของคนคู่นี้ทำให้คุณคอยลุ้นบทสรุปของเรื่องเพราะสุดท้ายแล้วคุณจะอยากให้ทั้งสองได้กลับมาอยู่ด้วยกัน” รอบบีกล่าว “ฉันชอบเรื่องรักดีๆเสมอค่ะแค่ความคิดที่ว่าทาร์ซานจะไปจนสุดขอบโลกเพื่อช่วยเจนกลับมาก็ทำให้ใจสั่นนิดๆแล้ว…โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นอเล็กซานเดอร์สการ์สการ์ด” เธอยิ้ม “เขามีบุคลิกที่โดดเด่นและทุ่มเทให้บทบาทนี้มากยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นคนนิสัยดีมากๆและน่าทำงานด้วยจริงๆค่ะ”
สการ์สการ์ดก็รู้สึกเช่นเดียวกัน “มาร์โก้น่ารักมากและมีชีวิตชีวาตลอดเวลา” สการ์สการ์ดกล่าว “การทำงานกับเธอสนุกมากครับ เธอเป็นสาวออสเตรเลียที่ออกจะห้าวนิดๆ ด้วย และเธอก็ใช้ส่วนนั้นในการสร้างตัวละครเจนขึ้นมา”
ผู้กำกับชี้ว่าความเข้มแข็งในตัวร็อบบีเป็นเหตุผลที่เขาเลือกเธอมารับบทนี้ “เจนต้องเป็นคนเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นทุ่มเทเธอไม่ใช่ดอกไม้เหี่ยวเฉาที่รอคนมาช่วยเธอก็ลุยได้เหมือนกันมาร์โก้ไม่ได้แค่นักแสดงที่น่าทึ่งแต่เธอมีใจกล้าและนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมชอบในตัวเธอเธอทำให้เจนเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่น่าเกรงขาม”
ร็อบบีกล่าวอย่างชัดเจนว่าเธอต้องการให้ตัวละครเป็นแบบนี้เท่านั้น “ฉันไม่มีทางอยากเล่นเป็นหญิงสาวผู้น่าสงสารและเจนก็ไม่ใช่ตัวละครแบบนั้นเลยฉันกับเดวิดเห็นตรงกันว่าเธอควรเป็นคนที่เข้มแข็งและเร่าร้อนฉันจึงตื่นเต้นกับบทบาทนี้ค่ะเธอตอบโต้กลับได้ก็เลยเป็นการสร้างแรงขับเคลื่อนได้อย่างดีเยี่ยมกับตัวละครของคริสทอฟวอลซ์ที่เป็นตัวร้ายหลักเป็นเหมือนการเล่นเกมทางความคิดระหว่างสองคนนี้ซึ่งก็น่าสนใจดีนะคะเพราะขณะที่มีการต่อสู้โดยใช้กำลังก็มีการต่อสู้ทางสติปัญญาดำเนินไปพร้อมกันด้วย”
วอลซ์รับบทเป็นลีออนรอมทูตชาวเบลเยียมผู้ทำข้อตกลงอันชั่วร้ายนั่นคือการแลกเปลี่ยนชีวิตของทาร์ซานกับเพชรจำนวนมหาศาลมากเพียงพอที่จะเติมคลังอันว่างเปล่าของกษัตริย์ลีโอโปลด์รอมวางกับดักด้วยการเชิญลอร์ดเกรย์สโตคมายังคองโกแต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจนจะเป็นคนมาติดกับดักนี้อย่างไรก็ตามเมื่อไปถึงที่นั่นแล้วเธอก็กลายเป็นหมากสำคัญในเกมอันตรายของเขา…เป็นเหยื่อล่อในหลุมพรางที่เขาทำไว้
“รอมเป็นตัวละครที่น่าสะพรึงกลัวและสำหรับเจนการเผชิญหน้ากับเขาตัวต่อตัวก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจ” ร็อบบีกล่าว “แน่นอนว่าในความเป็นจริงการแสดงร่วมกับคริสทอฟก็น่าหวั่นใจในตอนแรกเขาทำให้ฉันต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลาซึ่งสนุกมากค่ะ”
วอลซ์ให้ความเห็นว่า “มาร์โก้น่ารักเป็นที่สุดและน่าทำงานด้วยมากๆเลยล่ะครับ”
แม้เป็นตัวละครที่แต่งขึ้นมาใหม่แต่ลีออนรอมก็เป็นตัวละครที่ดัดแปลงบางส่วนจากบุคคลจริงในช่วงเวลานั้นวอลซ์ตั้งข้อสังเกตว่า “มันช่วยให้หนังเรื่องนี้มีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่คาดหวังในหนังผจญภัยประเภทนี้และในกรณีนี้ก็ทำออกมาได้อย่างงดงามทีเดียว”
เยตส์เล่าว่า “เราออกเดินทางไปกับคริสทอฟในการพัฒนาตัวละครนี้ขึ้นมาเขาได้นำเสนอหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามาในกระบวนการนี้ซึ่งเราก็อ้าแขนรับสัญชาตญาณของเขาไปไกลกว่าตัวละครเขาสนใจเรื่องราวและปริบทแวดล้อมด้วยทำให้เขาเป็นผู้ร่วมงานที่ยอดเยี่ยมในกระบวนการทำหนังเราได้อภิปรายกันอย่างเจาะลึกและได้ค้นพบรอมที่สร้างความประทับใจให้เราทั้งคู่ในกระบวนการนั้นเอง”
บาร์รอนกล่าวเห็นด้วย “คริสทอฟสะกดทุกสายตาเมื่อปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารอมเป็นคนเหี้ยมโหดแต่คริสทอฟก็นำอารมณ์ขันเข้ามาใส่ในบทนี้ได้อย่างน่าประหลาดใจเขาเป็นคนฉลาดหลักแหลมและอัธยาศัยดียิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีมเขาคือทุกอย่างที่เราต้องการ”
รอมไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ต้องการให้ทาร์ซานกลับไปยังแอฟริกาเมื่อจอห์นเคลย์ตันปฏิเสธคำเชิญของกษัตริย์ลีโอโปลด์ชาวอเมริกันชื่อจอร์จวอชิงตันวิลเลียมส์ได้ขอร้องให้เขาตอบรับคำเชิญแม้ว่าจะมีแรงจูงใจที่แตกต่างจากรอมโดยสิ้นเชิงซามูเอลแอลแจ็คสันรับบทเป็นตัวละครนี้ซึ่งดัดแปลงมาจากบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริงในยุคนั้นเช่นเดียวกันนักแสดงรายนี้กล่าวว่า “จอร์จต้องการให้ทาร์ซานไปยังคองโกเพื่อที่เขาจะได้ไปด้วยเขาต้องการหาข้อพิสูจน์ในเรื่องที่เขาสงสัยอยู่นั่นคือเรื่องที่ว่ามีการค้าทาสเกิดขึ้นแม้มีคำปฏิเสธออกมาก็ตาม”
ที่น่าสนใจคือแจ็คสันก็เพิ่งค้นพบว่าบรรพบุรุษของเขาเกี่ยวข้องกับประเทศกาบองเขากล่าวว่าข้อเท็จจริงนี้ “ทำให้ผมได้จุดเริ่มต้นในการทำความเข้าใจตัวละครทั้งในเชิงอารมณ์และเชิงศิลปะอันที่จริงแล้วจอร์จวอชิงตันวิลเลียมส์เป็นชาวแอฟริกันอเมริกันคนแรกๆที่เดินทางไปยังคองโกหลังจากพระเจ้าลีโอโปลด์อ้างสิทธิ์เหนือดินแดนนั้นถ้าดูตามยุคสมัยที่เขาเกิดเขาอาจอยู่ห่างจากคนรุ่นที่ถูกจับมาขายเป็นทาสแค่รุ่นเดียวในหนังเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจและเป็นโอกาสให้ผมได้ทำความเข้าใจเขาในเชิงส่วนตัว”
ในแง่กายภาพนั้นจอร์จไม่รู้มาก่อนว่าเขาจะได้พบกับอะไรและไม่ได้เตรียมตัวมาสำหรับการติดตามทาร์ซานในป่าดงดิบความตึงเครียดและความขำขันจึงเกิดขึ้นสการ์สการ์ดขยายความว่า “นี่เป็นพื้นที่ที่เขาไม่รู้จักจอห์นก็เลยเตือนว่าเขาไม่มีทางตามทันหรอกแต่จอร์จก็ยังตามมาเสมอเขาคอยตามหลังอยู่สองสามก้าว…หอบไปด้วยตลอดเวลา” เขาหัวเราะ
“พวกเขาเริ่มสนิทกันเมื่อเวลาผ่านไป” เยตส์กล่าว พร้อมเสริมว่า “ผมตั้งใจมาตลอดที่จะให้แซมมารับบทเป็นจอร์จ เพราะผมพูดได้เลยว่าเขาคือนักแสดงระดับโลก เขารับบทบาทโดยถ่ายทอดให้เห็นถึงอำนาจ ศักดิ์ศรี และความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า รวมถึงอารมณ์ขันด้วย”
ลีออนรอมทำข้อตกลงกับศัตรูเก่าของทาร์ซานที่ชื่อมบองกาหัวหน้าเผ่ามโบลองกาผู้พิทักษ์ดินแดนโอปาร์ซึ่งมีแร่อุดมสมบูรณ์รวมถึงเพชรด้วย
ไจมอนฮอนซูผู้รับบทนี้กล่าวว่า “มบองการู้ดีว่าดินแดนของตนอุดมสมบูรณ์แต่อาจไม่เข้าใจว่ามันจะส่งผลเสียหายร้ายแรงเพียงใดถ้าตกอยู่ในมือของคนชั่วเขาเป็นตัวละครที่ทรงพลังแต่มีบาดแผลในใจจากเหตุการณ์กับทาร์ซานในอดีตหลังจากผ่านไปนานหลายปีความโกรธก็ยิ่งกัดกินใจและทำลายส่วนที่ดีของเขาไปเขาทำข้อตกลงกับลีออนรอมเพื่อล่อให้ทาร์ซานกลับมายังแอฟริกาความแค้นทำให้เขามืดบอดและไม่ได้ตระหนักว่ากำลังทำสัญญากับปีศาจ”
ฮอนซูซึ่งเป็นชาวแอฟริกันกล่าวต่อไปว่า “ผมรักความงามของแอฟริกาเสมอมาแต่น่าเสียดายที่ในอดีตทวีปนี้ไร้สิทธิ์ไร้เสียงและในหลายแง่ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่จนถึงปัจจุบันดังนั้นถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมดแต่แนวคิดบางส่วนก็สัมพันธ์กับความเป็นจริง”
“ไจมอนสุดยอดมากครับ” เยตส์กล่าว “ผมอยากให้เขามารับบทเป็นมบองกาจริงๆและดีใจมากที่เขาตอบตกลงผมต้องการนักแสดงที่หนักแน่นสง่างามและทรงพลังรวมถึงถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างแท้จริงไจมอนมีทุกอย่างที่ผมต้องการ”
เมื่อมาถึงแอฟริกาจอห์นและเจนก็ได้กลับไปพบกับครอบครัวของพวกเขาเผ่าคูบาซึ่งต้อนรับการกลับมาของทั้งสองด้วยบทเพลงและงานรื่นเริงบทเพลงและบทพูดส่วนใหญ่ของนักแสดงที่รับบทเป็นชนเผ่าคูบารวมถึงสการ์สการ์ดและร็อบบีนั้นใช้ภาษาลิงกาลา
“ที่ผ่านมาการพูดภาษาลิงกาลาเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับฉันเลยค่ะ” ร็อบบีเผย “มีฉากหนึ่งที่เจนต้องพูดภาษาลิงกาลาเยอะมาก และมีประโยคหนึ่งที่ฉันพูดไม่ได้จริงๆ หลังจากลองไปสองสามครั้ง มันก็เริ่มตลกและทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ง่ายขึ้นเลย มันขำสุดๆ เลยค่ะ”
“ผมไม่รู้ว่าลิงกาลาเป็นภาษาของชนเผ่าคูบาจริงๆ ในยุคทศวรรษ 1890 รึเปล่า ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะมีภาษาของตัวเอง” พอนเทคาดเดา “แต่ในภูมิภาคนั้นมีภาษาพูดอยู่ราว 50 ภาษา ดังนั้นเราจึงต้องเลือกมาหนึ่งภาษา และลิงกาลาก็เป็นภาษาที่ทีมงานเลือกมา เรามีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยฝึกนักแสดงให้พูดภาษาถิ่นนี้”
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์แอฟริกายุคศตวรรษที่ 19 พอนเทจัดเวิร์คช็อปให้นักแสดงและตัวประกอบชาวอังกฤษนอกจากนี้พอนเทยังได้ช่วยเรียบเรียงเพลงบางเพลงที่ใช้ในหมู่บ้านโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ของตัวเองแต่เขาพบว่าบางอย่างก็สอนกันไม่ได้ “ผมเริ่มเล่นเพลงร้องโต้ตอบที่ผมอัดไว้แล้วทุกคนก็เข้าใจทันทีผมพูดกับเดวิดว่า ‘คุณแค่ต้องปล่อยใจไป’ ในกาบองเราเรียกว่า ‘จิตวิญญาณถูกปลุกขึ้น’ จิตวิญญาณได้ถูกปลุกขึ้นในตอนนั้นล่ะครับ”
เยตส์ให้ความเห็นว่า “เราต้องการยกย่องชุมชนในหนังของเราซึ่งก็ปรากฏออกมาในรูปของชนเผ่าคูบา ดังนั้นเราจึงใช้เวลานานในการสร้างเผ่านี้ขึ้นมา ทุกคนช่วยให้การถ่ายทำฉากเหล่านั้นมีความอบอุ่น เป็นพลังที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน เมื่อคุณก้าวเข้าไปในฉากหมู่บ้านในพื้นที่ของสตูดิโอ คุณจะรู้สึกเหมือนถูกส่งไปยังอีกที่หนึ่งทันที”
จอห์นและเจนไม่ได้กลับไปพบกับมนุษย์เท่านั้น “The Legend of Tarzan” ยังมีสัตว์อีกมากมายหลายชนิดอย่างไรก็ตามไม่มีการใช้สิ่งมีชีวิตจริงๆในการสร้างหนังเรื่องนี้เลยเดวิดบาร์รอนเน้นว่า “เราไม่ใช้สัตว์จริงเพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะให้สัตว์ป่าอย่างสิงโตช้างและลิงขนาดใหญ่มาทำตามที่เราต้องการโดยใช้วิธีการที่มีมนุษยธรรมซึ่งก็คือการปฏิบัติต่อมันอย่างที่ควรจะเป็นและด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ทุกวันนี้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สัตว์จริงสัตว์ที่สร้างขึ้นจากซีจีสามารถทำสิ่งที่คุณต้องการได้ในเวลาที่เหมาะสมซึ่งถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง”
ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ทิมเบิร์คร่วมงานกับบริษัทวิชวลเอฟเฟ็กต์หลายแห่งเช่น Framestore, MPC และ Rodeo FX เพื่อนำกลุ่มสิงสาราสัตว์มาปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์ได้อย่างสมจริงน่าทึ่งทีมงานทุกทีมจะต้องเริ่มต้นด้วยการดูฟุตเทจสารคดีเพื่อศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ชนิดต่างๆในป่าบางทีมก็ได้เดินทางไปสวนสัตว์เพื่อสังเกตด้วยตนเองและได้เห็นว่าสัตว์ที่ถูกขังทำตัวแตกต่างจากเวลาที่อยู่ตามธรรมชาติอย่างไรด้วยข้อมูลเหล่านี้นักสร้างแอนิเมชันซีจีจึงได้จำลองพันธุ์สัตว์ในเรื่องอย่างสมจริงไม่ว่าจะเป็นกอริลลาสิงโตช้างกาเซลล์ม้าลายฮิปโปโปเตมัสนกกระจอกเทศวิลเดอบีสต์จระเข้และอื่นๆ
ความหลากหลายของสายพันธุ์สัตว์ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้ทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์เบิร์คอธิบายว่า “เราได้พัฒนาเทคนิคในการสร้างขนขนนกและผิวหนังแต่มันซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเมื่อคุณทำงานในสเกลขนาดนี้ที่ต้องเรนเดอร์องค์ประกอบหลายส่วนในช็อตจำนวนมากเราเพิ่งแน่ใจว่าจะทำงานใหญ่ขนาดนี้ให้เป็นจริงขึ้นมาได้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เองมาตรฐานสูงขึ้นตลอดเวลาและเราต้องคอยไล่ตามให้ทัน”
มาตรฐานนั้นยิ่งสูงขึ้นไปอีกเวลาที่บรรดาสัตว์ตอบสนองกับทาร์ซานโดยตรงไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เขาเอาจมูกดุนกับสิงโตตะลึงกับความสง่างามของช้างหรือกลับไปเชื่อมสัมพันธ์กับกอริลลาแมงกานีที่เคยเป็นครอบครัวของเขา “สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในตัวทาร์ซานก็คือความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์” เยตส์กล่าว “ผมคิดว่ามันเป็นแง่มุมที่น่ามหัศจรรย์อย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้”
ในฉากเหล่านั้น นักแสดงสตันท์จะใส่ชุดสีเทาเพื่อมาแสดงแทนสัตว์ ช่วยให้สการ์สการ์ดและทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์มีจุดอ้างอิงในการแสดง ตัวอย่างสำคัญคือการต่อสู้ระหว่างทาร์ซานกับพี่ชายกอริลลาที่ชื่อ อะคูต เบิร์คเล่าว่า “เราออกแบบชุดบุนวมขนาดใหญ่และหมวกโปร่งใสที่ช่วยให้สตันท์แมนมีขนาดใกล้เคียงกับอะคูต อเล็กซ์จำเป็นจะต้องตอบสนองกับสิ่งที่มีขนาดและรูปร่างเหมือนกับอะคูต ไม่อย่างนั้นเราจะพบปัญหาสารพัดจากการที่อเล็กซ์ยื่นแขนผ่านลำตัวของอะคูตหรือเคลื่อนไหวไปทับพื้นที่ของอะคูตอย่างที่ไม่ควรจะเป็น นี่ไม่ใช่การจับการเคลื่อนไหว เพียงแค่เป็นแนวทางให้นักแสดงและคนทำแอนิเมชัน แต่วิธีนี้ก็ช่วยได้มากทีเดียว”
เพื่อเป็นแนวทางนักแสดงสตันท์ไม่เพียงต้องมีขนาดใกล้เคียงกับกอริลลาแต่ยังต้องเลียนแบบการกระทำของพวกมันด้วยโดยในจุดนี้ทีมสตันท์ซึ่งนำโดยผู้ประสานงานสตันท์บัสเตอร์รีฟส์ได้ร่วมงานกับนักออกแบบท่าทางการเคลื่อนไหวเวย์นแม็คเกรเกอร์ “พวกเขาไม่ต้องเคลื่อนไหวเหมือนกอริลลาเป๊ะๆ” แม็คเกรเกอร์อธิบาย “แต่จะต้องถ่ายทอดความเป็นกอริลลาออกมาคุณจะเคลื่อนไหวแบบนี้ได้ก็ต่อเมื่อคุณไม่คิดแบบมนุษย์เราจึงต้องทำเวิร์คช็อปหลายครั้งเพื่อสำรวจถึงความหมายของการเป็นกอริลลาท่าทางของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อคุณมีน้ำหนักแตกต่างไปจากเดิมการเดินสี่ขาแล้วเปลี่ยนมาใช้สองขานั้นเป็นอย่างไรเกิดอะไรขึ้นบ้างกับศีรษะไหล่และแขนขากิริยาท่าทางต่างๆนั้นสื่อถึงอะไร”
รีฟส์เสริมว่า “เวย์นกับผมทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้การแสดงออกที่ดีที่สุดสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับทีมของผมคือการไม่ย้อนกลับไปทำท่าทางเหมือนคนเพราะคนเรามีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะเคลื่อนไหวตามแบบมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากต่อสู้การคงความเป็นสัตว์เอาไว้เป็นความท้าทายสำคัญที่สุดครับ”
แต่สการ์สการ์ดมีงานที่หนักกว่านั้นรออยู่นั่นคือการถ่ายทอดช่องว่างที่หดแคบลงเรื่อยๆระหว่างจอห์นเคลย์ตันและทาร์ซานนักแสดงรายนี้ยืนยันว่า “ส่วนสำคัญของการรับบทเป็นตัวละครนี้คือการหาพัฒนาการของตัวละครครับเริ่มต้นจากการเป็นขุนนางชาวอังกฤษผู้สุขุมเคร่งขรึมจากนั้นก็ปล่อยให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าค่อยๆปรากฏออกมาความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งที่เดวิด, เวย์นและผมคุยกันหลายครั้งในช่วงเริ่มต้นของหนังตอนที่เขาอยู่ในลอนดอนเราหยอดช่วงเวลาที่มีอะไรแปลกๆลงไปบ้างเล็กน้อยแล้วท่วงท่าและการเคลื่อนไหวของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดการเดินทาง”
“เวย์นใช้กระบวนการคิดที่เป็นเอกลักษณ์มาสำรวจด้านกายภาพของทาร์ซาน” เยตส์กล่าว “เขามักเสนอความคิดที่แปลกใหม่ให้อเล็กซ์ซึ่งเป็นประโยชน์มากต่อการสำรวจตัวละครของเรา”
เพื่อเตรียมตัวรับบทนี้สการ์สการ์ดต้องฟิตร่างกายอย่างหนักโดยครูฝึกแม็กนัสลีดแบ็คได้กำหนดโปรแกรมให้เหมาะกับตัวละครนี้ “เราเริ่มจากการยกน้ำหนักและคาร์ดิโอโดยมีโรงยิมเคลื่อนที่อยู่ในกองถ่ายถ้าจะรับบทเป็นตัวละครอย่างทาร์ซานคุณจะต้องมีหุ่นฟิตเปรี๊ยะและเคลื่อนที่ภายในป่าได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเสือดำคุณจะอยู่แต่ในยิมตลอดเวลาไม่ได้ดังนั้นเราจึงสลับระหว่างการว่ายน้ำการวิ่งการต่อยมวยและศิลปะการต่อสู้หลายๆประเภท”
เยตส์ประทับใจอย่างมากกับความทุ่มเทของนักแสดง “อเล็กซ์ไม่เคยหยุดเลยเขาออกกำกลังกายนานสองชั่วโมงในช่วงต้นวันแล้วพอท้ายวันเขาก็จะกลับไปฟิตต่อเขาทำทุกอย่างเพื่อเป็นทาร์ซานที่สมบูรณ์แบบและผมมองว่าเขาทำได้จริงๆ”
แน่นอนว่าส่วนสำคัญของการเป็นทาร์ซานที่สมบูรณ์แบบก็คือการท่องไปในป่าด้วยการห้อยโหนผู้กำกับรายนี้กล่าวว่า “คุณสร้างหนังทาร์ซานโดยไม่มีฉากห้อยโหนเถาวัลย์ในป่าไม่ได้หรอกครับแต่เราอยากทำให้มันดูตระการตายิ่งกว่าเดิม”
เบิร์คยอมรับว่าหนทางเดียวที่จะได้ระยะทางความเร็วและการเคลื่อนไหวที่ไหลลื่นอย่างที่ต้องการก็คือการใช้ซีจี “ในฉากที่ทาร์ซานทำสิ่งต่างๆอย่างเช่นห้อยโหนไปตามต้นไม้และกระโดดจากหน้าผาเราตัดสินใจใช้ตัวละครซีจีทั้งหมดเพื่อช่วยให้ตัวละครเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแบบที่เราต้องการ” นักแสดงกายกรรมห้อยโหนของคณะ Cirque du Soleil ทำหน้าที่เป็นแบบให้นักสร้างแอนิเมชันโดยแสดงตัวอย่างท่วงท่าและการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม ส่วนใบหน้ายังคงเป็นของสการ์สการ์ด เบิร์คกล่าวสรุปว่า “ในหนังเรื่องนี้เราได้พัฒนาวิธีการที่น่าสนใจในการถ่ายทำเพื่อจับการเคลื่อนไหวบนใบหน้าของเขา เราได้สร้างอุปกรณ์วงกลมขนาดใหญ่สำหรับกล้อง RED Dragon 16 ตัวเพื่อคอยจับภาพการแสดงสีหน้าของอเล็กซ์ตลอดเวลา จากจุดนั้นเราสามารถที่จะสร้างรูปทรงบนใบหน้าในแต่ละช่วงเวลารวมถึงพื้นผิวในการจัดแสงแบบแบนราบซึ่งจะถูกนำมาทาบลงบนตัวละครซีจี วิธีนี้ช่วยให้เราได้การแสดงที่แท้จริงของเขาพร้อมกับลักษณะบนใบหน้า จากนั้นเราก็นำมาจัดแสงใหม่ให้เหมาะกับแต่ละฉาก ดังนั้นแม้ว่าร่างกายจะเป็นซีจี แต่คุณก็จะได้เห็นใบหน้าของอเล็กซ์”
จากแอฟริกาถึงอังกฤษ
ในงานที่มีขอบเขตกว้างกว่านั้นมากทีมงานได้บุกเบิกแนวทางใหม่ด้วยการใช้กล้อง RED 6K ขนาดเล็กเพื่อถ่ายทำทิวทัศน์อันน่าตื่นตาของประเทศกาบองซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากหลักให้เรื่องราวนี้หลายเดือนก่อนเริ่มต้นการถ่ายทำจอชพอนเทได้ขอยืมเครื่องเฮลิคอปเตอร์ของประธานาธิบดีแห่งกาบองเพื่อพาเยตส์ไปบินสำรวจสถานที่ “เดวิดเหมือนเด็กในร้านขายลูกกวาดเลยครับเขาแนบจมูกติดหน้าต่างเลย” พอนเทเล่า “เขาได้เห็นสถานที่ซึ่งเคยอยู่แต่ในจินตนาการเราทุกคนต่างมีความคิดในหัวว่าโลกของทาร์ซานน่าจะเป็นยังไงแต่นี่คือของจริง”
แต่การนำกองถ่ายทั้งกองเข้าไปในป่าดงดิบของกาบองเพื่อถ่ายทำหนังทั้งเรื่องก็เป็นไปได้ยากในเชิงลอจิสติกส์และไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมทีมงานจึงคิดค้นวิธีการถ่ายทำความงดงามของกาบองจากทางอากาศโดยได้สั่งทำกล่องสำหรับใส่กล้องหกตัวซึ่งสวมเข้ากับโครงตั้งกล้องที่ผลิตโดย Shotover บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านระบบกล้องทางอากาศสำหรับงานภาพยนตร์ด้วยวิธีนี้ทีมงานจึงสามารถติดตั้งกล้องสองแถวแถวละสามตัวไว้กับเฮลิคอปเตอร์ช่วยให้ผู้กำกับภาพเฮนรีบราแฮมสามารถจับภาพพื้นที่ต่างๆของกาบองได้อย่างมีรายละเอียดน่าตื่นตาตื่นใจ
บราแฮมเล่าว่า “การที่ผมได้ถ่ายทำส่วนนี้ด้วยตัวเองสร้างความแตกต่างอย่างมากครับเพราะผมรู้ว่าสภาพแสงและภูมิประเทศแบบไหนที่ผมต้องการในแต่ละฉากและสามารถถ่ายทำฉากหลังให้เข้ากันได้พอดีซึ่งก็นับเป็นงานที่ท้าทายในสภาพแวดล้อมเขตร้อนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเรายังได้ถ่ายภาพทิวทัศน์เพิ่มเติมเพื่อช่วยเพิ่มสเกลภาพให้กับหนังด้วย”
ในบางฉากเช่นฉากการล่องแม่น้ำหรือฉากในป่าดงดิบทีมงานใช้เทคนิคการแขวนอุปกรณ์กล้องเป็นชุดหรือแขวนกล้องธรรมดาทั่วไปไว้กับเส้นลวดยาว 50 ฟุตช่วยให้กล้องสามารถจับภาพในสถานที่ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้จากภาคพื้นดิน
การถ่ายทำนอกสถานที่นานหกสัปดาห์ช่วยให้ทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์ของเบิร์คมีเพลตฉากหลังซึ่งเหลื่อมซ้อนกันและเมื่อรวมกันแล้วก็จะกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวขนาดใหญ่เบิร์คให้รายละเอียดว่า “กล้องหกตัวช่วยให้ได้มุมมอง 180 องศาแต่เราบินผ่านเที่ยวหนึ่งโดยหันกล้องไปด้านหน้าและอีกหนึ่งเที่ยวโดยหันกล้องไปด้านหลังและจากนั้นก็เป็นด้านข้างๆจึงทำให้เราได้ภาพเคลื่อนไหว 360 องศาที่สมจริงแบบภาพถ่ายและสามารถนำไปทาบลงในช็อตไหนก็ได้ผลลัพธ์ออกมายอดเยี่ยมมากเพราะเราใช้ภาพจากการถ่ายทำจริงมารวมกับภาพจากการถ่ายทำจริงดังนั้นจึงให้ความรู้สึกสมจริงและกลมกลืนผมพูดได้เลยว่าเราก้าวข้ามขีดจำกัดของการถ่ายทำเพลตผมไม่เคยทำอะไรที่ก้าวหน้าและท้าทายอย่างนี้มาก่อนเลย”
ระหว่างการถ่ายทำหลักบราแฮมยังได้ใช้กล้องชุดเดิมนี้ในวิธีการที่เขาบรรยายว่า “แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการถ่ายทำจากเฮลิคอปเตอร์” เขาอธิบาย “ในแง่การสร้างภาษาภาพของหนังเรื่องนี้เดวิดต้องการถ่ายระยะใกล้เพื่อให้ตัดกับสเกลภาพที่กว้างใหญ่ของหนังและนำเสนอมุมมองที่ถ่ายทอดอารมณ์อย่างใกล้ชิดซึ่งเราพัฒนามาตลอดการถ่ายทำหนังเรื่องนี้เพื่อให้ได้ความอเนกประสงค์แบบที่เราต้องการเราจึงทำงานร่วมกับ RED ในการปรับปรุงกล้อง 6K ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ให้เหมาะกับความท้าทายนี้การที่กล้องมีน้ำหนักเบามีเทคโนโลยีขนาดกะทัดรัดและมีพื้นที่เนกาทีฟขนาดใหญ่ช่วยให้ได้ภาพที่น่าตื่นตา ‘The Legend of Tarzan’ เป็นหนังเรื่องแรกๆที่ถ่ายทำด้วยเทคโนโลยีนี้”
เยตส์ซึ่งมาร่วมงานกับบราแฮมเป็นครั้งแรกกล่าวชมว่า “เฮนรีมีพลังล้นเหลือเขาทำทุกอย่างครับไม่ว่าจะเป็นการจัดแสงการถือกล้องสเตดีแคมวิ่งไปรอบๆด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์… พอผ่านไปได้สี่วันผมก็เรียกเขามาคุยแล้วบอกว่า ‘เฮนรีคุณทำงานได้เยี่ยมมากนะมันออกมาดูดีมากแต่ว่าเราถ่ายทำกันอีกนานนะทำไมคุณไม่ให้คนอื่นมาถ่ายกล้องสเตดีแคมหรือกล้องแฮนด์เฮลด์แทนล่ะ’ แต่เขาบอกว่า ‘ไม่เป็นไรเดวิดผมทำได้’ และเมื่อถ่ายทำเสร็จเขาก็ยังคงมีพลังอยู่เขาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังออกมาสวยงามเป็นเพื่อนคู่คิดอย่างแท้จริงเลยครับ”
“The Legend of Tarzan” นับเป็นการร่วมงานระหว่างเยตส์กับนักออกแบบงานสร้างสจ๊วร์ตเครกเป็นเรื่องที่ห้าแล้วผู้กำกับรายนี้กล่าวว่านั่นทำให้เขามั่นใจเต็มร้อยว่าทีมงานสามารถยกแอฟริกามาอยู่ในโรงถ่ายที่ลีฟส์เด็นได้ “เราทำงานด้วยกันใน ‘Harry Potter’ มานานหลายปีผมจึงรู้ว่าเขาสามารถสร้างแอฟริกาขึ้นมาได้เราต้องการให้รู้สึกเหมือนอยู่ในแอฟริกาแต่เป็นแอฟริกาแบบที่เขียวชอุ่มและดูโรแมนติกรวมทั้งขับเน้นความยิ่งใหญ่และอาณาเขตอันกว้างขวางดังนั้นกระบวนการจึงเริ่มต้นขึ้นจากสจ๊วร์ตและงานออกแบบของเขาจากนั้นเราจึงสังเคราะห์ฉากขึ้นมาด้วยภาพซีจีซึ่งขยายเพิ่มเติมจากภูมิทัศน์ในกาบองเราจึงสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้โดยสมบูรณ์”
ด้วยพื้นที่โรงถ่ายสองโรงเต็มๆเครกและทีมงาน “ปลูก” ป่าทั้งป่าซึ่งจะต้องมาตกแต่งใหม่ซ้ำหลายครั้งเมื่อตัวละครเดินทางผ่านไปเครกให้รายละเอียดว่า “มีฉากป่าเจ็ดแบบแตกต่างกันเพื่อที่คุณจะได้ไม่รู้สึกว่าอยู่ที่เดิมตลอดเวลาถือเป็นงานใหญ่ของฝ่ายศิลป์ที่จะต้องจำลองธรรมชาติออกมาในสเกลใหญ่ขนาดนั้นและทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาก็ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้มากขึ้น”
เยตส์กล่าวว่า “สจ๊วร์ตร่วมงานกับเจมส์แฮมบิดจ์ (หัวหน้าผู้กำกับศิลป์) ในการสร้างฉากป่าขึ้นมาใหม่ระหว่างที่เราถ่ายทำไปตามเรื่องราวในตอนแรกเราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำสำเร็จหรือเปล่าแต่สจ๊วร์ตเก่งมากเขาสามารถปรับพื้นที่ใหม่เพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่างแม้ว่าอยู่ในโรงถ่ายเดียวกัน”
ผู้ตกแต่งฉากแอนนาพินน็อคและผู้ดูแลพันธุ์ไม้ลูซินดาแม็คลีนเดินทางไปยังฮอลแลนด์เพื่อหาพันธุ์ไม้แปลกตาจำนวนมากมาตกแต่งฉากป่าฝนมีการติดตั้งไฟแบบพิเศษและระบบระบายน้ำเพื่อปลูกต้นไม้เปลี่ยนให้โรงถ่ายกลายเป็นเรือนกระจกไปโดยปริยาย
ทางฝ่ายศิลป์ก็ได้ประดิษฐ์ต้นไม้หลายรูปแบบให้ผสมผสานไปกับต้นไม้จริงโดย “ออกแบบต้นไม้เหมือนกับเป็นงานประติมากรรม” เครกกล่าว “เมื่อเราทำงานไปเรื่อยๆเราก็ได้เรียนรู้เคล็ดลับว่าไม่ควรฝังต้นไม้เหล่านี้ไว้ในพุ่มใบแต่ควรนำพุ่มใบไปไว้ด้านหลังเพื่อให้ต้นไม้อยู่ในเงามืดก็เหมือนการจัดดอกไม้นั่นล่ะครับเพียงแต่ในสเกลที่ใหญ่กว่ามาก” เขาหัวเราะ
วิชวลเอฟเฟ็กต์เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างฉากป่าและฉากอื่นๆให้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีกและขยายขอบเขตออกไปจนสุดลูกหูลูกตา
พื้นที่ภายนอกของสตูดิโอลีฟส์เด็นกลายเป็นที่ตั้งฉากสำคัญหลายฉากรวมถึงฉากหมู่บ้านคูบาซึ่งมีกระท่อมมุงจากและถ้ำของบองกาซึ่งล้อมรอบด้วยหน้าผาขรุขระสูงชันแนวหินยักษ์สร้างขึ้นจากแม่พิมพ์ขนาดใหญ่โดยได้แรงบันดาลใจจากเหมืองหินชนวนในเวลส์แนวเทือกเขาที่เป็นฉากหลังของสถานที่นั้นถอดแบบมาจากเทือกเขาโดโลไมส์ในอิตาลีตอนเหนือ
จุดเด่นของฉากคือชั้นน้ำตกที่ไหลลงมาตามภูเขา ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ เดวิด วัตคินส์ กล่าวว่า “เราต้องวิจัยและพัฒนาอย่างหนักเพื่อทำให้มันสมจริงและไม่ให้ดูเหมือนการเทน้ำลงมาจากด้านบนฉาก เราใช้หัวปั๊มดีเซลขนาดใหญ่เรียงเป็นแถวพ่นน้ำผ่านแผ่นหักเหกระแสน้ำ ช่วยให้น้ำแยกออกและดูเป็นชั้นๆ”
“น้ำตกทั้งสองสายจะต้องตกลงมาด้วยกันจากหน้าผาสูง 100 ฟุต” เครกเสริม “นับเป็นน้ำปริมาณมหาศาลและผลลัพธ์ที่ได้ก็ตระการตายิ่งกว่าที่ผมจินตนาการไว้และต่างจากน้ำตกจริงตรงที่เราสามารถปิดมันได้ซึ่งนับเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากเลยล่ะครับ”
นักแสดงก็ประทับใจไม่แพ้กัน “ฉากพวกนี้น่าเหลือเชื่อครับ” สการ์สการ์ดกล่าว “ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยการที่เรารู้สึกว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นจริงๆจะช่วยนักแสดงได้มาก”
วอลซ์เห็นด้วย “การได้ฉากที่กว้างใหญ่ขนาดนั้นมีทั้งน้ำตกแม่น้ำและป่าดงดิบ… มันมีขอบเขตกว้างใหญ่มหาศาลและงดงามมากจริงๆครับ”
ทีมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ยังได้ร่วมงานกับฝ่ายศิลป์ของเครกในการก่อสร้างท่าเรือไม้ขนาดใหญ่ริมแท็งก์น้ำของสตูดิโอลีฟส์เด็นซึ่งต่อมาจะถูกทำลายในฉากหลักวัตคินส์ให้รายละเอียดว่า “มันเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ครับยาว 100 ฟุตสูงประมาณ 40 ฟุตและเราจะต้องทำลายโครงสร้างนี้จริงๆดังนั้นจึงเป็นงานหนักและต้องอาศัยการเตรียมตัวมากมายเนื่องจากในตอนแรกฉากนี้จะต้องใช้งานได้และปลอดภัยพอที่นักแสดงและทีมงานจะทำงานอยู่บนนั้นจากนั้นเราก็นำเอาโครงสร้างที่เสริมความปลอดภัยออกและปล่อยให้มันพังลงมาตามคิวที่กำหนด”
ฉากหลายฉากอยู่ในเรือกลไฟติดใบพัดของลีออนรอมซึ่งเป็นเรือที่ลอยได้จริงๆผู้กำกับศิลป์คริสเตียนฮิวแบนด์ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเรือขยายความว่า “มันสร้างอยู่บนทุ่นลอยแบบของกองทัพเราสร้างโครงสร้างส่วนบนเพื่อรองรับดาดฟ้าเรือห้องเคบินและเครื่องยนต์ซึ่งดูเหมือนส่งพลังงานให้ล้อใบพัดแต่ที่จริงแล้วเรือลำนี้ควบคุมด้วยมอเตอร์นอกลำเรือซึ่งทำงานอยู่ในตำแหน่งที่ซ่อนเอาไว้โดยรอบลำไม่มีลำเรือจริงแต่มีด้านข้างเรือซึ่งยื่นลงไปใต้ระดับน้ำแค่สองสามนิ้ว”
ทีมงานใช้เรือลำนี้ครั้งแรกในทะเลสาบเวอร์จิเนียวอเตอร์ในสวนวินด์เซอร์เกรตพาร์คจากนั้นก็แยกชิ้นส่วนและขนขึ้นรถบรรทุกไปยังลีฟส์เด็นเพื่อนำไปประกอบใหม่ในแท็งก์
นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทำตามสถานที่หลายแห่งในสหราชอาณาจักร ที่สำคัญคือหอเคดเลสตันอันโอ่อ่าซึ่งใช้เป็นคฤหาสน์เกรย์สโตค สถานที่สำคัญจากยุคศตวรรษที่ 18 ในดาร์บีเชียร์แห่งนี้ปัจจุบันเป็นขององค์การ National Trust และมีคุณสมบัติทุกประการที่ทีมงานต้องการสำหรับฉากคฤหาสน์ประจำตระกูลเคลย์ตัน เครกกล่าวว่า “มันเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีเสาหินอ่อนต้นยักษ์ เป็นสถาปัตยกรรมยุคนีโอคลาสสิกอันงดงาม ความเคร่งขรึมจริงจังของสถานที่เป็นองค์ประกอบสำคัญเพราะเราต้องการความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งส่งผลถึงมุมมองที่ผู้ชมมีต่อสถานการณ์ของจอห์น เคลย์ตัน”
ต้นซีดาร์อันงดงามถูกเลือกมาใช้เป็นฉากในช่วงเวลาโรแมนติกระหว่างจอห์นและเจนด้วยกิ่งก้านสาขาที่แผ่กว้าง มันอยู่ในบริเวณของปราสาทไฮเคลียร์ซึ่งมีชื่อเสียงจากซีรีส์ “Downton Abbey”
เครื่องแต่งกายของอเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ดซึ่งออกแบบโดยรูธ ไมเออร์สก็สะท้อนสภาพการณ์ของตัวละครตัวนี้ ซึ่งแปรสภาพไปเป็นทาร์ซานอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่ก็เห็นได้ชัดเจน ไมเออร์สกล่าวว่า “เสื้อผ้าที่จอห์น เคลย์ตันใส่ในลอนดอนจะต้องรัดแน่นพอดีตัว ดังนั้นถึงแม้จะตัดเย็บมาอย่างดี แต่มันก็ดูอึดอัดมากในช่วงแรก จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป เสื้อผ้าของเขาก็จะยิ่งชำรุดเสียหายและหมดสภาพจนกระทั่งเปื้อนดินโคลนเละไปหมด ทำให้เขาดูเป็นธรรมชาติเต็มที่”
เสื้อผ้าของเจนก็เริ่มต้นจากชุดที่ดูจำกัดเช่นเดียวกัน แต่แม้เมื่ออยู่ในลอนดอน เธอก็ยังแสดงการต่อต้านแฟชั่นตามยุคสมัย “ครั้งแรกที่ผู้ชมเห็นเธอ เราอยากจะให้ได้ความรู้สึกว่าอังกฤษมาเหนี่ยวรั้งเธอไว้เพราะเธอเติบโตมาอย่างอิสระมากๆ ในแอฟริกา ดังนั้นเสื้อผ้าของเธอจึงได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงยุคสมัย แต่ไม่ได้ตรงตามนั้นเป๊ะๆ เธอไม่เคยใส่กระโปรงซับในเหมือนอย่างผู้หญิงในสมัยนั้น เราอยากสื่อให้เห็นว่าเธอมีความเป็นขบถอยู่เหมือนกัน”
มาร์โก้ ร็อบบี้กล่าวว่าเธอยินดีมากที่เจนทิ้งชุดคอร์เซ็ตทันทีที่ทำได้ “ฉันดีใจมากเพราะการใส่คอร์เซ็ตวิ่งไปวิ่งมาเป็นเดือนๆ คงต้องแย่มากแน่ๆ ฉันก็เลยเห็นด้วยเต็มที่กับการตัดสินใจของเจนและคิดว่ามันเข้ากันดีกับตัวละครด้วย เธอไม่สนใจความงดงามหรูหราตามแบบอังกฤษ แล้วก็คงจะไม่ใส่ชุดคอร์เซ็ตเมื่ออยู่ในป่าเพราะมันไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมเอาซะเลย”
สีสันก็เข้ามามีบทบาทด้วยเช่นกัน ไมเออร์สบรรยายว่า “ครั้งแรกที่เราเห็นมาร์โก้ เธอใส่ชุดสีน้ำเงินซึ่งดูสวยมาก แต่สีน้ำเงินก็เข้ากับบรรยากาศความเย็นชาในลอนดอนด้วย แต่เมื่อมาถึงแอฟริกา เธอก็กลับมาสู่แสงสว่างอีกครั้ง”
เสื้อผ้าของลีออน รอมเป็นสีขาวเกือบทั้งหมดเพราะ “เขาเป็นคนจู้จี้จุกจิกและชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย” ไมเออร์สกล่าว “ทุกครั้งที่ชุดของเขาเลอะ เขาจะต้องเปลี่ยนตัวใหม่”
ไมเออร์สกล่าวว่า “ถึงแม้เครื่องแต่งกายจะเป็นส่วนสำคัญของยุคสมัย แต่ฉันกับเดวิดตกลงกันว่ามันไม่จำเป็นต้องตรงตามยุคสมัยเสมอไป เราแอบโกงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บ้าง มีช่องว่างให้ทำแบบนั้นได้เพราะเราต้องการให้โลกในหนังดูเหนือจริงขึ้นมาเล็กน้อย”
“รูธเป็นผู้ร่วมงานที่สร้างแรงบันดาลใจได้มากเลยครับ” เยตส์กล่าว “เธอทุ่มเทและกระตือรือรือร้นกับงานที่ทำและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม”
ไมเออร์สสนุกกับการสร้างสรรค์เสื้อผ้าของชนเผ่าเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดนักรบเสือดาวซึ่งไจมอน ฮอนซูเป็นคนใส่ แน่นอนว่าชุดนั้นไม่ได้ใช้ชิ้นส่วนจริงของเสือดาว “เป็นงานใหญ่เลยล่ะค่ะ” ไมเออร์สกล่าว “เราใช้เวลาเยอะมากกับเครื่องประดับศีรษะและกรงเล็บ เดวิดกับฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงดูชุดต้นแบบหลายชุดจนกระทั่งเราได้แบบสุดท้ายมา เครื่องแต่งกายนี้ดูน่าเกรงขามมากด้วยช่วงไหล่กว้างและเครื่องประดับศีรษะซึ่งตั้งใจให้ดูน่ากลัว
ฮอนซูยืนยันว่าเครื่องแต่งกายนี้ให้ผลลัพธ์ที่ต้องการ “ตามมุมมองทางวัฒนธรรมของชาวแอฟริกัน ถ้าคุณพยายามเลียนแบบสัตว์ชนิดใดก็ตาม คุณจะต้องกลายเป็นสัตว์ตัวนั้น ดังนั้นมบองกาจึงใส่กรงเล็บ หนัง และกะโหลกของเสือดาวเพื่อกลายเป็นเสือดาวจริงๆ ผมต้องบอกว่ารูปลักษณ์นี้ดูน่าประทับใจ ทุกอย่างแสดงให้เห็นว่าเขามีพลังอำนาจที่จะประมาทไม่ได้เลย เวลาที่ใส่ชุดนี้ ผมรู้สึกเหมือนเป็นนักรบ… รู้สึกราวกับว่าผมสามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนเสือดาว”
บทเพลงแบบแอฟริกันปรากฏอยู่ในดนตรีประกอบที่แต่งโดย รูเพิร์ต เกรกสัน-วิลเลียมส์ “ในหนังอย่าง Tarzan เราจะต้องรู้สึกได้ถึงเสียงเรียกจากแอฟริกา” เขายืนยัน “หนังเปิดด้วยเสียงอันไพเราะของโซอี มาธีเยน ที่กำลังเรียกเราไป ผมใช้เครื่องดนตรีหลายชนิด แน่นอนว่าต้องมีกลองชนิดต่างๆ และขลุ่ยแอฟริกาตะวันตกด้วย”
นักประพันธ์รายนี้ได้แต่งเพลงธีมให้ตัวละครแต่ละตัว เขากล่าวว่า “ทาร์ซานมีเพลงธีมที่ทั้งกล้าหาญและเปี่ยมอารมณ์ ผมยังได้แต่งเพลงรักให้กับทาร์ซานและเจนด้วย ทาร์ซานต้องการจะช่วยเธอจากเงื้อมมือของกัปตันรอม ดังนั้นท่วงทำนองจึงช่วยเชื่อมโยงทั้งสองผ่านผืนป่า”
“ดนตรีเล่นโดยวงออร์เคสตรา แต่มันก็ให้โทนและบรรยากาศของหนัง โดยรวมเอาองค์ประกอบความเป็นแอฟริกาเข้ามาด้วย” เยตส์กล่าว “ดนตรีประกอบไม่ใช่แค่การเติมช่องว่างให้เต็มแต่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นมาก ผมต้องการให้ดนตรีสำรวจตัวละครไปกับเราและร่วมการเดินทางไปด้วย”
ผู้กำกับรายนี้สรุปว่า “ความวิเศษของการทำหนังคือคุณสามารถนำผู้ชมไปยังสถานที่ที่ยิ่งใหญ่อย่างแอฟริกาซึ่งนับว่าน่ามหัศจรรย์ทีเดียว ผู้ชมไม่ต้องเดินทาง แค่ก้าวเข้าไปในโรงหนังแล้วก็จะถูกพาไปยังอีกยุคหนึ่งและอีกโลกหนึ่งที่อาจไม่เคยจินตนาการมาก่อน นั่นล่ะครับคืออภิสิทธิ์ของคนทำหนัง”
# # #