บทบาท-คาแร็คเตอร์
เรื่องนี้โบรับบทเป็น “หวาย” ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบทำงานออฟฟิศ ไม่ชอบอะไรที่เป็นกฎเกณฑ์ ชีวิตไม่เคยวางแผน ชอบท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ เพราะจริงๆ เขาใฝ่ฝันอยากเป็นนักวาดการ์ตุน อยากมีหนังสือการ์ตูนเป็นของตัวเอง ชอบท่องเที่ยวเพื่อไปหาแรงบันดาลใจ ก็เลยเป็นเหตุผลที่ไม่ชอบที่จะอยู่ติดที่ใดที่หนึ่ง แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้เล่นไม่เอาจริงเอาจัง ความฝันนั้นก็เหมือนไม่ได้ลงมือทำซักที ทีนี้พอต้องมาเป็นผู้ช่วยพระเอก เรื่องยุ่งๆ ฮาๆ มันเลยเกิดขึ้น
คือ “ปั้น” (ติ๊ก เจษฎาภรณ์) พระเอกของเรื่องเขาจะเป็นเจ้านายเราที่มีลักษณะเป๊ะแมน อยู่ในกรอบในระเบียบ เป็นคนตึง มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน แต่ก็ต้องมาเจอกับหวาย ซึ่งในเรื่องจะต้องเป็นผู้ช่วย แต่ป่วนทุกอย่างที่เขาวางไว้จนมันเละหมดเลย ความสนุกก็จะเกิดขึ้นว่า เมื่อคนที่อยู่ต่างขั้วกัน แต่ต้องมาทำงานร่วมกันเพื่อโบนัสของทุกคนปลายปี มันจะเป็นยังไง หวายจะได้บทเรียนอะไรจากการที่เข้ามาอยู่ในชีวิตมนุษย์เงินเดือน เพราะว่าจริงๆ ก็ไม่ได้อยากที่จะมาทำงานตรงนี้ แต่ที่บ้านอยากให้มาทำ ในขณะที่ปั้นก็ไม่เคยเจอคนที่ไร้ระเบียบได้ขนาดนี้ แล้วต้องมาทำงานร่วมกัน ปั้นก็จะได้รับอะไรบางอย่างจากหวายไปเหมือนกัน ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างที่อาจจะไม่เคยคิดในแง่มุมนี้ในการใช้ชีวิตของตัวเองมาก่อน
ความรู้สึกแรกที่ได้เข้ามาเป็นนักแสดงเรื่องนี้
ตอนที่รู้ว่าได้เล่นก็ดีใจมากค่ะ แต่ในขณะเดียวกันประหลาดใจนิดนึง แต่ก็ดีใจ ภาคภูมิใจ ดีใจที่ได้เล่นกับพี่ติ๊กด้วย ได้ประสบการณ์แปลกใหม่ แต่สิ่งที่ตามมาเป็นความกังวล เครียด มันจะทำได้มั้ย แต่ก็เต็มที่ค่ะ มีการเตรียมตัวก่อนเปิดกล้อง คือทางทีมงานก็จะส่งให้โบไปเรียนการแสดง ก็ไปเวิร์คช็อปกันอยู่หลายครั้ง มันก็เครียด ยาก กดดัน แล้วก็เลยคิดต่อไปถึงตอนแสดง เพราะดีเทลมันเยอะมาก เพราะไม่เคยผ่านการแสดงด้วย ก่อนหน้านั้นก็รู้ว่ามันยาก แต่เราไม่เคยรู้แง่มุมว่ามันยากกว่าที่เราคิดเยอะเลย ก็รู้ต้องทำความเข้าใจบทนะ ต้องถ่ายทอด โอเคมันยาก มันต้องทำให้เป็นธรรมชาติ แต่ไม่เคยรู้ในการแสดงจริงๆ มันต้องใช้ความรู้สึกหรืออะไรเยอะมาก ต้องมีแอ็คชั่นทางกาย แอ็คชั่นสายตาทุกอย่าง มันมีความหมายไปหมด มันจะมีดีเทลเยอะ พอได้เข้ามาคลุกคลีจริงๆ แล้ว คือมันเหมือนกับรู้ความยากของการแสดงขึ้นไปอีกสเต็ปหนึ่งจากเดิมที่เราเป็นแค่ผู้ชม ก็คือมันยากกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลยค่ะ แต่ดีที่มีเวิร์คช็อปกับพี่ติ๊กก่อนจะเปิดกล้องด้วย ก็สนุกดีค่ะ ทำให้สนิทกันมากขึ้น แล้วด้วยความที่พี่ติ๊กเขาวางตัวดี เจอกันก็ทักทายอัธยาศัยดี เราก็รู้สึกว่าเขาเป็นกันเอง เราก็จะไม่เกร็งมาก โบจะตื่นเต้นตอนไปแคสติ้งมากกว่า พอแคสติ้งรอบสองเราต้องเล่นกับพี่ติ๊กเลย แต่ ณ โมเมนต์นั้นก็ใส่ไปเต็มที่ มันคงไม่ได้มีโอกาสแบบนี้บ่อยๆ ค่ะ
ตอนถ่ายทำฉากแรกเลยรู้สึกอย่างไรบ้าง
ฉากแรกจะเป็นฉากเปิดตัว ก็คือได้เจอกับพี่ติ๊กเลย จริงๆ มันก็เป็นฉากที่ไม่ได้เป็นฉากใหญ่อะไรมากนะคะ ก็คือเป็นฉากที่เราจะนั่งรออยู่ในห้องประชุมเล็กๆ ปั้นก็จะหันมามองเรา และเราก็จะต้องทักทายเขา แต่จะเป็นโมเมนต์ที่เป็นการทักทายแบบที่ปั้นจะรู้สึกว่ายัยคนนี้เหรอที่จะมาเป็นผู้ช่วยเรา จะวางใจมันได้มั้ย เพราะท่าทางในการทักทายแบบขอไปที มันดูไม่ Professional เอาซะเลย
ก็รู้สึกตื่นเต้น เพราะเราเข้าฉากวันแรกแล้วคนเยอะ คือปกติก็ทำงานที่มีกองถ่ายแต่เราจะไม่ได้เป็นคนที่อยู่ข้างหน้า เราจะเป็นคนที่อยู่ข้างหลัง เราก็จะไม่ได้อะไรมาก แต่พอเรามาอยู่ข้างหน้าเองมันก็แปลกๆ คนก็เยอะ แต่ก็ได้ความรู้ใหม่ขึ้นเรื่อยๆ สมมติเล่นอย่างนี้ เขาก็จะบอกว่าต้องมีมุม กล้องไหน จังหวะไหนต้องหันต้องอะไร ก็จะตื่นเต้นและก็จะเกร็งในเรื่องบล็อคกิ้ง เพราะหนูจะเป็นคนที่ผิดตลอดอะไรแบบนี้ แต่ก็จะโอเคแก้ไขกันไปเรื่อยๆ ก็มีความลื่นไหลขึ้น เล่นดีขึ้นอะไรอย่างนี้ค่ะ
ความยากง่ายในการแสดงเรื่องแรก
ยากมากค่ะ ยากเกือบทั้งเรื่องแทบไม่มีอะไรง่ายเลย ฉากที่ง่ายมันก็เป็นแค่ฉากที่เราอาจจะผ่านไปได้อย่างเร็ว แล้วเรารู้สึกโอเค แต่มันก็มีความยากอยู่ในนั้นอยู่ดีค่ะ ง่ายที่สุดก็จะเป็นพวกฉากจิปาถะ ถ่ายเจาะตัวเองเล็กๆ น้อยๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ คือไม่ได้เป็นฉากสำคัญแต่ก็จะมีความหมายกับหนัง ถ้าเล่นไม่ดีในฉากนั้นเนี่ยไม่ได้เลยค่ะ
ตัวละครในเรื่องมีความเหมือนหรือแตกต่างกับตัวจริงอย่างไรบ้าง
ถ้าเหมือนก็อาจจะเป็นเรื่องความสนุกสนานขี้เล่น เป็นพวกบ้าพร็อบบ้าๆ บอๆ จะซื้ออะไรพวกนี้เหมือนกัน ไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กัน คือชอบท่องเที่ยว วาดรูป แต่ความที่ไม่ใกล้เคียงคือหวายเหมือนเป็นคนที่ไม่วางแผนอะไรมากเกินไป ปล่อยไปเรื่อยเปื่อย แต่ในขณะที่ตัวโบในชีวิตประจำวันก็มีการวางแผนบ้าง อันนี้จะไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ก็จะกลับกัน แต่ในมุมสนุกสนานนี่จะเหมือนกัน
คิดว่าตัวละครหวายสะท้อนมนุษย์เงินเดือนด้านไหนบ้าง
อาจจะเป็นลักษณะกึ่งๆ เหมือนคนถูกบังคับมา คือคนที่ไม่ได้เต็มใจที่จะต้องเข้ามาอยู่ในกรอบหรือกฎเกณฑ์ แต่จะต้องทำไปเพราะมีความจำเป็นบางอย่าง เพื่อทำให้ใครซักคนสบายใจว่าเราก็อยู่กับล่องกับลอยนะ ซึ่งในชีวิตจริงตัวละครแบบนี้ก็มีจริงๆ นะ จริงๆ แล้วอยากจะไปทำงานอิสระ อยากเป็นฟรีแลนซ์ แต่เหมือนที่บ้านอยากให้ไปทำงานที่เป็นระบบระเบียบเพื่อความสบายใจ เพราะเขามองว่าเป็นสิ่งที่มั่นคงกว่าค่ะ ตัวละครตัวนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่สามารถเจอได้ในชีวิตจริง
ฉากยาก-ฉากประทับใจ
จริงๆ ฉากที่ยากกับฉากที่ประทับใจจะเป็นฉากเดียวกันเลยค่ะ คือมันเป็นฉากที่ต้องใช้อารมณ์ค่อนข้างเยอะ ที่ประทับใจเพราะว่าฉากนั้นเป็นฉากที่สำคัญกับเรื่องด้วย เป็นฉากที่เราต้องคุยกับพี่ติ๊ก เป็นฉากที่ยาวมากๆ เหมือนกับพี่ติ๊กแทบไม่ต้องพูดอะไรเลย จะเป็นเราที่พูดยาวๆ และทีนี้การที่พูดยาวเนี่ย มันยากตั้งแต่ตอนพูดละ คือมันเริ่มตั้งแต่ตอนเดินเข้ามา คือวันนั้นก็ไม่รู้เป็นไร จะถ่ายก็ฝนตก คือกว่าจะได้ถ่ายก็เทคหลายครั้งมากๆ เหมือนไม่ได้จังหวะ ก็เดินไปเดินมาหลายครั้ง พอถึงตอนพูดก็ไม่ผ่าน เพราะฉากนี้เป็นฉากใช้อารมณ์ความรู้สึก วิธีหรือสิ่งที่เราพูดออกไปมันค่อนข้างมีความหมาย เพราะฉะนั้นเวลาพูดมันจะไม่เหมือนบทสนทนาที่พูดธรรมดา มันก็จะมีความยากอยู่ในนั้น และเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงต่อไปในอนาคตด้วย คือฉากนี้ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะผ่านไปได้ค่ะ
การร่วมงานกับทีมนักแสดง
การร่วมงานกับทีมนักแสดง ก็อย่างพี่ติ๊กนี่จะเจอกันเยอะสุด รู้สึกโชคดีที่ได้เล่นกับพี่ติ๊ก ตอนแรกก็แอบเกร็งแหละ แต่ว่าหลังจากที่เวิร์คช็อปก็เห็นแล้วว่าเขาเป็นกันเอง คือนอกฉากในฉากเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เคยเห็นเขามีอารมณ์โมโห ก็เลยช่วยเราในการทำงานได้ค่อนข้างเยอะ เพราะว่าบางทีเราเองก็จะเทคบ่อย ยังไม่ได้ซักที แต่พี่เขาก็รอและไม่มีอาการอะไรที่กดดันเรา คือพี่ติ๊กเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์ทางการแสดงมาก และบางทีก็จะมีการดีไซน์ไอเดียผุดมาตลอดเวลาก็จะเข้าไปปรึกษากับผู้กำกับว่า ฉากนี้ผมว่าแบบอย่างนี้ดีมั้ยอย่างนั้นดีมั๊ย ซึ่งบางทีเขาก็ครีเอทนู่นนี่ มันก็ช่วยให้เวลาทำงานบางฉากมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น มันก็เหมือนกับส่งอารมณ์ช่วยเราได้เยอะขึ้น พี่ติ๊กไม่ค่อยมีเรื่องเมาท์เขานะ เขาประพฤติตัวดีตลอดเลย จริงๆ เขาก็เป็นคนตลกนะ มุกเยอะ แต่จะแป้กซะส่วนใหญ่ แต่ก็ตลกดีค่ะ เฮฮาดี ทำให้กองถ่ายไม่เครียด
สำหรับตัวพี่ติ๊กที่ต้องมาเล่นเป็นมนุษย์เงินเดือนจอมเป๊ะ คือมันก็น่าดูนะ ปกติเราจะรู้สึกว่าพี่ติ๊กเป็นอะไรที่หล่อเนี้ยบอะไรก็ว่าไป แต่คือเรื่องนี้มันก็มีความเนี้ยบอยู่ แต่รู้สึกว่าเขาเล่นเป็นคนธรรมดาที่จับต้องได้มากขึ้น ด้วยความที่พี่ติ๊กเล่น เขาก็จะมีเสน่ห์เฉพาะตัวเวลาเขาเล่น เขาจะมีหยอดนู่นนี่ ก็แปลกดี ดูยิ้มๆ ไม่เครียดเลยค่ะ
คือจริงๆ โดยรวมของทีมนักแสดงเรื่องนี้ โบคิดว่าเลือกมาค่อนข้างใกล้เคียงกับคาแร็คเตอร์ในเรื่องเลย บางคนก็เหมือนตัวจริงเลย เพราะบางทีเห็นในบทเป็นอย่างนี้ นอกจอก็เป็นอย่างนี้ ก็ค่อนข้างใกล้เคียง รู้สึกว่ามันสนุกสนาน พอยิ่งอยู่ไปนานๆ มันก็ยิ่งรู้สึกเป็นเพื่อนกัน เป็นพี่เป็นน้องกันหมด ก็สนุกสนานดีค่ะ
การร่วมงานกับผู้กำกับ
พี่โจ้เป็นผู้กำกับที่ค่อนข้างใจดีกับนักแสดง สปอยล์นักแสดง อารมณ์ดีไม่มีเหวี่ยง แต่ว่าในความเป็นจริงคือเขาก็เป็นคนที่ดูละเอียด วิธีการแสดงออกของเขาทำให้บรรยากาศไม่เครียด คือทุกคนก็จะรู้สึกผ่อนคลาย ก็จะแบบโอเคเล่นไปได้ ก็มีความสุขดีค่ะ
บางทีสมมติเราเล่นไป พี่โจ้จะมีเข้ามาบอกบ้างว่า เขาจะให้เราเล่นไปก่อน แต่สมมติว่าถ้ามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิดไว้ เขาจะเดินเข้ามาบอก ก็เสริมเข้าไปจะอธิบายเพิ่มขึ้นว่าตัวละครตัวนี้ ตอนนี้มันรู้สึกอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ และลองเล่นออกมา เขาก็จะเข้ามาเสริมเรื่อยๆ ก็ทำให้เราเล่นได้ดีขึ้นและถูกใจมากขึ้น
อุปสรรคหรือปัญหาในการแสดง
มีค่ะ ถ้าอุปสรรคโดยส่วนตัวที่โดนแก้เยอะมากคือเรื่องการพูด เพราะพูดไม่ชัด พูดไม่ชัดในทีนี่ไม่ใช่พูดแบบฝรั่ง แต่แบบติดเหน่อโดยที่เราไม่รู้ตัว บางทีเราชอบพูดเล่นกับเพื่อน พูดแบบวัยรุ่นตลอด ครูเค้าก็จะแก้ตั้งแต่เวิร์คช็อป เราก็ต้องพูดให้ชัด อันนี้จะเป็นอุปสรรคตอนที่เราถ่ายทำ คือเราก็พยายามไม่ใช่แค่เสียงนะคะ วิธีเดินด้วย บางทีเผลอ บางครั้งเราก็ไปจดจ่อกับการพูดชัด มันก็จะแสดงออกมาแปลกๆ เสียงเบาเสียงดังตลอด แต่ก็ผ่านไปได้ค่ะ
คาดหวังกับหนังเรื่องแรกยังไงบ้าง
คาดหวังประมาณว่าอยากให้คนดูชอบ ชอบในเชิงชอบหนังทั้งเรื่อง เพราะรู้สึกมันเป็นหนังไทยที่ไม่เคยมีใครหยิบยกเรื่องมนุษย์เงินเดือนเข้ามาทำเป็นหนังอย่างจริงๆ จังๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าติดตาม มีเนื้อเรื่องที่สนุก มีตัวละครหลากหลาย นักแสดงก็สนุกสนาน เราเข้าไปดูแล้วอาจจะรู้สึกว่า ตัวนี้เหมือนเรา ตัวนี้เหมือนเพื่อนเรา มันมีครบรส มีสนุกสนาน มีเศร้ามี ดราม่า มีกุ๊กกิ้ก
นิยามของมนุษย์เงินเดือน
รู้สึกว่ามนุษย์เงินเดือนคือคนทำงาน มันคือเป็นสเต็ปหนึ่งของชีวิตที่คนส่วนใหญ่ต้องเจอ มันคงมีน้อยคนนักที่จบจากมหา’ลัยแล้วก็ไปเป็นฟรีแลนซ์ดีกว่า มันมีค่ะ แต่ว่ามนุษย์เงินเดือนมันคือนิยามคล้ายกับเป็นช่วงชีวิตที่คนส่วนใหญ่เลี่ยงไม่ได้หรือต้องเจอ ซึ่งเจอแล้วจะอยู่ไปตลอดหรือเจอแล้วรู้สึกไม่ชอบก็กระโดดออกมา คือเราว่ามันเป็นอะไรที่ดีนะ คือการที่เราเข้าไปเป็นมุนษย์เงินเดือนเราจะมีสังคมอะไรอีกแบบหนึ่ง คือมันเป็นประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ ก็มีข้อดีของมัน แต่การที่เราไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน มันก็มีข้อดีอีกแบบหนึ่ง มันมีข้อดีต่างกัน
ความน่าสนใจโดยรวม
อย่างที่บอก คือมันเป็นสเต็ปหนึ่งของชีวิตที่ทุกคนต้องเจอ สิ่งที่มันเกี่ยวกับหนังก็คือเหมือนเราเข้าไปดูชีวิตของคนกลุ่มนี้ เผลอๆ คล้ายของเราเองหรือคนที่เรารู้จัก มันเป็นวงจรที่คล้ายๆ ว่าถ้าเอาโดยแพทเทิร์นมันแล้ว มันก็จะเป็นแบบนี้แหละ มันจะต้องมีกลุ่มคนแบบนี้แหละ แล้วทุกคนก็จะมีความคาดหวังอะไรแบบนี้แหละ แต่ความน่าสนใจคือหนังเรื่องนี้จะนำพาไปสู่คำตอบว่า จริงๆ แล้วมนุษย์เงินเดือนทำงานได้เงินเดือน แต่เราไม่รู้ว่าเงินเดือนที่เราได้มาคือสิ่งที่เราต้องการสุดท้ายจริงๆ หรือเปล่า
ก็คือหนังเรื่องนี้จะมีครบรสเลย มันไม่ใช่แค่พระเอกนางเอกเป็นตัวเดินเรื่อง คือมันมีหลายๆ ตัวแทนของคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ตั้งแต่คนที่เป็นเจ๊ใหญ่เป็นหนี้บัตรเครดิต เด็กฝึกงานที่ต้องเข้ามาเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้พ่อแม่ กลุ่มคนที่อยู่ออฟฟิศมานาน แต่อยู่เพื่อความหวังอะไรบางอย่าง คือแต่ละเส้นมีความน่าสนใจของมันเอง คือถ้ามาดูก็จะเห็นตัวเองด้วย เห็นตัวเองและอาจจะได้คำตอบดีๆ กลับไป ก็คงจะได้อิ่มกับมัน เรื่องนี้มันสอนอะไรเรา มันสะท้อนอะไรออกมา สนุกสนาน เศร้าเคล้าน้ำตา แต่ว่ามันไม่เครียด โดยเรื่องมันไม่ได้ดำเนินไปด้วยความเครียดอยู่แล้ว เพราะมันมีหลายกลุ่มคน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่สนุกสนานทั้งหมด เพียงแต่ละคนจะมีความฝันของตัวเองอยู่ลึกๆ ที่ต้องไปดูในหนังว่าเขาหวังอะไรกันแน่ ก็ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ