เดอะ ครู้ดส์ ภาพยนตร์ผจญภัยแนวคอมเมดี้ในระบบสามมิติ ที่มีเรื่องราวการผจญภัยยุคดึกดำบรรพ์แนวคอมเมดี้ของครอบครัวแรกในโลกที่ต้องออกผจญภัย

เดอะ ครู้ดส์ ภาพยนตร์ผจญภัยแนวคอมเมดี้ในระบบสามมิติ ที่มีเรื่องราวการผจญภัยยุคดึกดำบรรพ์แนวคอมเมดี้ของครอบครัวแรกในโลกที่ต้องออกผจญภัย เมื่อถ้ำที่พวกเขาหลบซ่อนตัวจากภัยอันตรายกลับถูกทำลายลงไปพร้อมกับส่วนอื่นของโลกใบนี้ ครอบครัวครู้ดส์จำเป็นต้องพบกับโรดทริปแรกของครอบครัว เกิดความขัดแย้งในครอบครัวและการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ครอบครัวครู้ดส์ได้พบกับโลกใบใหม่อันน่าตะลึงที่มีสิ่งมีชีวิตสุดอัศจรรย์ และอนาคตสุดล้ำเหนือกว่าที่พวกเขาคิดไว้

แม้ว่าพัฒนาการของครอบครัวครู้ดส์จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว แต่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้กับครอบครัวเรา กรั๊ก (นิโคลาส เคจ) หัวหน้าครอบครัวที่เหมือนกับคุณพ่อทั่วไปโดยส่วนใหญ่ที่คอยปกป้องภรรยาและลูกๆ ทั้งสามอย่างเข้มงวด การเฝ้าระแวงจนเกินเหตุของเขาทำให้ต้องคอยกันครอบครัวไว้ในถ้ำให้ปลอดภัย หายห่วงและน่าเบื่อสุดๆ อุ๊กก้า (แคทเธอรีน คีเนอร์) ผู้มีความหนักแน่นและแบ่งรับภาระครึ่งหนึ่งของกรั๊ก เธอเห็นด้วยกับแนวคิดของสามีที่ว่า “กลัวไว้แล้วจะดี การเปลี่ยนแปลงมีแต่แย่” เช่นเดียวกับลูกชายของพวกเขา ธังค์ (คลาร์ก ดุ๊ก) ผู้พอใจอยู่กับความนิ่ง ม่า (คลอริส ลีชแมน) แม่ยายผู้จู้จี้ (หรือคอยวุ่นวายในบางที) และ แซนดี้ เด็กยุคหินหัวแข็ง เรียกได้ว่าเป็นสมาชิกของครู้ดส์ที่ดุสุดก็ว่าได้

ภาพยนตร์พูดถึงวัยรุ่นที่ชอบต่อต้าน (มีคนอื่นอีกหรอ?) การปกครองของพ่อแม่ โดยความมุ่งมั่นของกรั๊กอยู่ที่การเอาชีวิตรอด แต่อี๊ป (เอ็มม่า สโตน) ต้องการใช้ชีวิต สิ่งที่เธออยากรู้อยากเห็นคือโลกที่อยู่ภายนอกถ้ำของพวกเขาที่ขัดกับกฏโบราณของพ่อเธอ (ที่ต่อต้านบุคคลภายนอก อี๊ปมีเชิงหน้าผาส่วนตัวสำหรับการนอนหลับ ขณะที่ตระกูลครู้ดส์คนอื่นนอนหลับตากองรวมกันเป็นครอบครัว)

เหตุการณ์มหาวินาศทำให้พวกครู้ดส์ต้องพบกับการผจญภัยสุดแปลก และทบทวนแนวทางการใช้ชีวิตของพวกเขาใหม่ ซึ่งระหว่างทางพวกเขาได้พบกับกาย (ไรอัน เรย์โนลด์ส) ผู้พาไปพบกับสิ่งแปลกใหม่ที่สะดุดตาอาทิเช่น รองเท้า เปลวไฟ ถือว่าปลุกตระกูลครู้ดส์ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ สมาชิกส่วนใหญ่ของครอบครัว (โดยเฉพาะอี๊ป) เปิดรับมุมมองของกายของโลกใบใหม่ที่เรียกว่า “วันพรุ่งนี้” แต่กรั๊กมองเห็นมหันตภัยร้ายครั้งใหญ่ในคราบของเด็กหนุ่มน่ารักที่เขาต้อง “กัน” อี๊ปเอาไว้

จากนั้นไม่นานพวกครู้ดส์ก็รู้ว่าหากไม่ปรับตัว…พวกเขาจะกลายเป็นเพียงอดีต

DreamWorks Animation SKG นำเสนอภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ครู้ดส์ กำกับโดย คริส แซนเดอร์ส และ เคิร์ก เดอมิคโก้ อำนวยการสร้างโดย คริสติน เบลสัน และ เจน ฮาร์ทเวล บทภาพยนตร์โดย เคิร์ก เดอมิคโก้ และ คริส แซนเดอร์ส เนื้อเรื่องโดย จอห์น คลีส, เคิร์ก เดอมิคโก้ และ คริส แซนเดอร์ส ประพันธ์ดนตรีโดย อลัน ซิลเวสทรี

ภาพยนตร์นำแสดงโดย นิโคลาส เคจ รับบทกรั๊ก ไรอัน เรย์โนลด์ส รับบทกาย เอ็มม่า สโตน รับบทอี๊ป แคทเธอรีน คีเนอร์ รับบทอุ๊กก้า คลาร์ก ดุ๊ก รับบทธังค์ และคลอริส ลีชแมน รับบทม่า

ภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ครู้ดส์ นำเสนอเรื่องราวของยุคที่เรียกว่ายุคครูเดเชียส เดอมิคโก้เล่าว่า “เป็นช่วงยุคระหว่างยุคไดโนเสาร์กับ ‘ยุคแคตเซ็นโซอิค’ ซึ่งอย่างน้อยได้รับความเห็นชอบจากนักโบราณคดีแห่งดรีมเวิร์คส เป็นโลกที่มีภาพอันงดงามและมีความยิ่งใหญ่ที่แฝงไปด้วยอุปสรรคสร้างความยุ่งยากให้ครอบครัว

 

ครอบครัวแรก ตระกูลแรกสุด

 

การเดินทางใดๆ ล้วนมีการค้นพบ และการเดินทางของตระกูลครู้ดส์ทำให้พบอะไร “อย่างแรก” หลายอย่าง เช่น ครอบครัวแรก โรดทริป เปลวไฟและรองเท้า รวมถึงสัตว์เลี้ยงตัวแรก มือถือเครื่องแรก (โอเค มันคือเปลือกหอย ก็ถือว่าใช่นะ) แถมยังมีโจ๊กเรื่องแรก แว่นกันแดดอันแรก และแม้แต่ความวิกฤติของชีวิตช่วงวัยกลางคนครั้งแรก

โดยหลักแล้วภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ครู้ดส์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว “มีความตลกในการพัฒนาภาพยนตร์เสมอ” ผู้เขียน-ผู้กำกับ คริส แซนเดอร์ส กล่าว “แต่เราจะเข้าใจเมื่อทิ้งทุกสิ่งในชีวิตล้ำสมัยของเรา เช่น อาชีพการงาน รถยนต์ หน้าที่ความรับผิดชอบ สิ่งสำคัญที่แท้จริงคือครอบครัวและเพื่อนฝูง”

จุดสำคัญของครอบครัวรวมถึงการแบ่งปันความขัดแย้ง การค้นพบ และการสะท้อนถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับพวกครู้ดส์ ตั้งแต่ผู้สร้างภาพยนตร์ นักแสดง ไปจนถึงผู้บริหารสตูดิโอ “หนังเรื่องนี้เป็นผลงานจากดรีมเวิร์คส แอนิเมชั่น เรื่องแรกที่เกี่ยวกับครอบครัวมนุษย์” แซนเดอร์สอธิบายว่า “ในช่วงการสร้าง โปรเจ็กต์ได้นำไปสู่ความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับครอบครัวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงไปจนถึงทีมงานของเรา เช่น ‘ตอนนั้นพี่ชายเคยทำแบบนี้ให้ฉัน’ หรือ ‘พ่อฉันเหมือนกรั๊กมากเลย’ อะไรทำนองนั้นแหละ”

ผู้เขียน-ผู้กำกับ เคิร์ก เดอมิคโก้ เล่าว่า “ทุกคนจะพบจุดที่ทำให้เข้าถึงภาพยนตร์ และอินไปกับตัวละครอย่างน้อยหนึ่งตัวพร้อมพูดว่า ‘ฉันรู้จักคนแบบนั้นนะ ถึงจะไม่เหมือนครอบครัวฉันก็เถอะ’… พวกเราทุกคนรู้ว่ามีคนแบบนั้นจริงๆ” เขายอมรับพร้อมรอยยิ้ม

ผู้อำนวยการสร้างฯ คริสติน เบลสัน อธิบายถึงรายละเอียดของเดอะครู้ดส์ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว และมีความต่างจากครอบครัวยุคปัจจุบันไว้ว่า  “ครอบครัวคือเรื่องที่มีความเป็นสากล เมื่อเทคโนโลยีและสิ่งต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น คำว่าครอบครัวที่แท้จริงของเมื่อหลายร้อยหลายพันปีที่แล้ว คือสิ่งที่แท้จริงในปัจจุบันและยังเป็นแบบนั้นในอนาคต  มีความดิ้นรนพยายาม การเอาชนะ การพัฒนาหลายอย่างที่เหมือนกัน”

ประเด็นอื่นที่สำคัญในเรื่อง เดอะ ครู้ดส์ คือการเปลี่ยนแปลงและความรู้สึกของการได้ลองทำอะไรเป็นครั้งแรก “นั่นเป็นอีกเรื่องที่เราทุกคนเข้าใจได้” เจน ฮาร์ทเวล ผู้อำนวยการสร้างฯ เล่าว่า “ในความเป็นจริงแล้วการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับทุกยุคทุกสมัย แต่มันเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับปรับตัวและก้าวต่อไป กรั๊กเป็นตัวแทนของความกลัวเรื่องนั้น เขากลัวว่าครอบครัวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบที่เขาควบคุมไม่อยู่ และส่งผลถึงการรักษาความปลอดภัยให้ครอบครัวด้วย”

การเปลี่ยนแปลงไม่ต่างจากสิ่งอื่นซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับกรั๊กเลย เขาเป็นคนดื้อ รักครอบครัวและมีจริยธรรม สำหรับกรั๊กไม่มีคำว่าวันเสาร์อาทิตย์ วันหยุดหรือวันป่วย เขาจะจับตาดูตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวัน เท่ากับ 365 วันต่อปี

เขาใช้ชีวิตไปพร้อมความเชื่อหลายอย่าง อาทิเช่นที่กล่าวมาแล้วว่า “กลัวไว้แล้วจะดี การเปลี่ยนแปลงมีแต่แย่” รวมถึงหลักการอื่นของกรั๊ก เช่น “อะไรที่สนุกคือหายนะ” และ “จงอย่าทิ้งความกลัว” (ประโยคหลังถือเป็นการจุดประกายรูปแบบชีวิตเคิร์กกิซึ่ม (เหมือนเดอมิคโก้) ซึ่งสุดท้ายได้มาอยู่ในพจนานุกรมของกรั๊กไปแล้ว “แน่นอนเลย ผมยังกลัวอยู่” ผู้สร้างภาพยนตร์เล่นมุข)

เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยให้ครอบครัวอย่างแท้จริง กรั๊กต้องเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างการรอดชีวิตกับการใช้ชีวิต “กรั๊กอยากให้ครอบครัวอยู่รอดปลอดภัย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน” แซนเดอร์สเล่าต่อว่า “แต่ก็เหมือนกับคุณพ่อทุกคน เขาต้องเรียนรู้เพื่อรับมือกับอุปสรรคปัญหา ต้องคิดว่าจะควบคุมดูแลกลุ่มนักผจญภัยของพวกเขาอย่างไร”

“เขาเป็นคนมีความตั้งใจในทางที่ดี” เดอมิคโก้กล่าว “เขาเป็นคุณพ่อที่ดี พยายามอย่างเต็มที่ แต่เขาแค่กังวลมากไปในยามที่ตระกูลครู้ดส์ต้องพบกับการผจญภัย สมมุติอะไรๆ ยังไม่เลวร้ายมากพอ กรั๊กกำลังเผชิญกับวิกฤติวัยกลางคนครั้งแรก เมื่อเขารู้ว่า กาย แฟนหนุ่มของลูกสาวกำลังนำเรื่องหลายอย่างมาสู่เขา มากกว่าที่กรั๊กเคยผ่านมา”

นิโคลาส เคจ เจ้าของรางวัล Academy Award® ผู้มีความซาบซึ้งกับอีโก้บนจอของตัวละครเพราะ “เป็นไปไม่ได้เลยที่เป็นพ่อแล้วจะไม่เป็นห่วงเรื่องรักครั้งแรกของลูกตัวเอง หรือคอยตามติดความคิดแบบใหม่ของลูกๆ”

“ในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่บางครั้งก็คิดมากไป แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่กรั๊กเป็นอยู่” เคจเล่าต่อว่า “เขาได้พบกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราทุกคนต่างต้องพบสักครั้งในชีวิต”

มีอย่างนึงที่เหมือนเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ กาย ผู้จุดประกายการเฝ้าระวังของกรั๊ก (ในตัวของเด็กหนุ่มที่ก่อความรักกับอี๊ปขึ้นมา) และอิจฉา (ในสติปัญญาของกาย)

เคจเล่าว่า “กรั๊กสงสัยว่า ‘ฉันจะท้าทายมันสมองและความคิดที่แปลกใหม่ของกายยังไงดี?’ กรั๊กเป็นคนร่างใหญ่และบึกบึน ส่วนกายมีหุ่นนักกีฬา มีความฉลาดและน่ารัก แถมยังสนใจอี๊ปอีกด้วย รู้เลยว่านั่นทำให้กรั๊กรู้สึกไม่พอใจนัก แต่เมื่อการผจญภัยสิ้นสุดลง กรั๊กจะเปิดรับการใช้ชีวิตแบบใหม่ เขากลับชื่นชมและยึดกายเป็นแบบย่างด้วยซ้ำ”

ก่อนที่ตระกูลครู้ดส์จะโชคร้ายจนมาเจอกับกาย กรั๊กต้องคอยรบกับอี๊ป เธอพยายามดึงดันครอบครัวอย่างดันทุรังเพื่อจะออกจากถ้ำและไปดูแสงสี เธอมีความรู้สึกลึกๆ ว่าการผจญภัยและการค้นพบเพื่อไปสัมผัสกับโลกภายนอกถ้ำได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อตระกูลครู้ดส์ได้เริ่มออกผจญภัย

อี๊ปอาจเป็นตัวละครวัยรุ่นที่เราไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนในหนังแอนิเมชั่น แต่เราก็เข้าใจเธอได้ทุกอย่างแม้แต่ธรรมชาติความเป็นเธอ ด้วยความแข็งแรงและกล้ามเนื้อของร่างกายที่เป็นมัด อี๊ปจึงเป็นตัวละครที่ดูมีพลังและมีความปรารถนา บุคลิกพิเศษขอเธออยู่ที่ความแข็งแรง ความอยากรู้อยากเห็นและความดื้อรั้น

“อี๊ปมีนิสัยของเด็กวัยรุ่นสมัยนี้หลายอย่าง เช่น ขี้หงุดหงิดกับครอบครัวของตัวเอง” เอ็มม่า สโตน เล่าว่า “เธออยากกางปีกออกไปสำรวจโลกที่อยู่นอกบ้าน จึงเป็นเรื่องยากที่เธอจะทนอยู่ในกฏระเบียบและการกระทำของกรั๊ก เช่น การที่เขากลิ้งหินยักษ์มาขวางปากถ้ำทุกคืน เพื่อป้องกันครอบครัวจากสิ่งที่อยู่นอกถ้ำ ไม่ว่าจะเป็นโดยพลกำลังหรือด้านจิตใจ ตอนที่เราได้พบกับอี๊ป เธอไม่เคยได้เห็นแสงดาวมาก่อนเลย!”

ทุกอย่างเริ่มพลิกผันหลังจากหลายสิ่งเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากเกิดเหตุทำให้ครู้ดส์พบกับโรดทริปที่ไม่มีวันลืม ในการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่นั้น อี๊ปได้พบกับอะไรหลายอย่าง และสิ่งที่โดดเด่นระหว่างนั้นคือรักครั้งแรกของวัยรุ่น สิ่งสุดท้ายคือเธอได้พบกับ “กาย” ที่เหมาะกับเธอ

“เธอชอบที่กายมีใจรักอิสระ เพราะเธอเองก็มีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน” สโตนกล่าว เขาเองก็ชื่นชอบในอารมณ์ความรู้สึกของเธอ แม้ว่าตอนแรกเธอจะดูมีพลังเหลือล้ำไปสักหน่อย อาทิเช่น ตอนที่สาวน้อยเหวี่ยงกายขึ้นไปบนบ่าของเธอได้ “ใช่แล้ว เธอยกเขาขึ้นได้จริงๆ!” สโตนร้องเสียงดัง “จึงเข้าใจได้เลยที่กายรู้สึกกลัวอี๊ป อย่างน้อยๆ ในตอนแรกเธอก็ดูก้าวร้าวดุดันมาก_”

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับพลัน กายคอยสอนอี๊ปและครอบครัวของเธอถึงความอัศจรรย์ของไฟ และ “ความคิดต่างๆ” ความรู้สึกกลัวของเธอยังไม่มีที่สิ้นสุดไปกับช่วงเวลาแห่งการค้นพบชั่วขณะ เพราะหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ตื่นเต้นดีใจสุดขีดกับรองเท้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ถูกลิขิตไว้ให้เป็นจุดเริ่มต้นของเสน่ห์แห่งการสวมที่รองเท้า “อี๊ปคิดว่าเท้าของเธอหายไปในรองเท้า ถือเป็นเรื่องวิเศษสำหรับเธอ” สโตนเล่าพร้อมหัวเราะ

แนวคิดแห่งความสร้างสรรค์ของกายในท้ายที่สุดได้พาตระกูลครู้ดส์เปิดสู่ศักยภาพแบบใหม่และโลกใบใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาบอกว่า “ที่นั่นมีแสงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้ากว่าที่เราจะนับได้ และมีสิ่งต่างๆ ที่งดงามกว่า”

แม้กายจะรู้ว่าอะไรเป็นยังไงได้ดีกว่า แต่เขาก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ “เขาใช้ชีวิตอย่างลำพังมานานแสนนาน” ไรอัน เรย์โนลด์ส ผู้เข้ามามีบทบาทในภาพยนตร์แอนิเมชั่นเป็นครั้งแรกด้วยเรื่อง เดอะ ครู้ดส์ เล่าว่า “เขาต่างจากตระกูลครู้ดส์ เพราะเขาไม่มีครอบครัว ชีวิตของกายเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ขณะที่ชีวิตของพวกเขาไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่วนกายได้พบกับความแปลกใหม่ทุกวัน เพราะเขาต้องย้ายที่อยู่ตลอดเวลา เขาได้พบกับความเจริญอย่างฝืนใจ”

“กายจำเป็นต้องเชื่อมั่นในความคิดของเขาอีกด้วย เขาถึงเป็นคนดื้อรั้น” เรย์โนลด์ส เล่าต่อว่า “นั่นล่ะความสนุกที่ได้มารับบทบาท เพราะเขาจะโชว์เก๋าเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เราอยากให้เขาเป็น กายไม่มีขีดจำกัดอยู่แล้ว เพราะเขาชอบคิดพิจารณาอยู่ตลอดเวลา” แม้ว่าเขาจะมีมันสมองสูงส่ง แต่กายก็ต้องการมิตรภาพจากตระกูลครู้ดส์ และอยากรู้สึกเหมือนเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

ก่อนที่จะเกิดพรหมลิขิตให้กายได้พบกับอี๊ป สิ่งที่สนิทกับเขามากที่สุดจนเหมือนเป็นครอบครัวคือเพื่อนร่วมทางของเขาเพียงตัวเดียว ซึ่งเป็นเจ้าตัวสล็อธที่ชื่อ เบลท์ ซึ่งก็สมชื่อของเขาเพราะเบลท์จะคอยเกาะกางเกงของกายเอาไว้ “เลยดูทั้งมีประโยชน์และเก๋ล้ำสมัย” เรย์โนลด์สกล่าว เบลท์เป็นสัตว์เลี้ยงชนิดแรก นั่นหมายถึงว่า “เขาเป็นสัตว์ที่เราจะไม่กิน” กายบอกกับตระกูลครู้ดส์ที่เคยมีประสบการณ์กับสัตว์ทั้งหลายมาแล้ว ทั้งจับกินหรือไม่ก็เคยวิ่งหนีพวกมันมาก่อน

เบลท์พูดไม่ได้ แต่เสียงร้องที่มีเอกลักษณ์ของเขาเป็นการสื่อถึงหายนะ – “ดา-ดา-ดาาา!” ระดับเสียงที่แผ่กระจายให้เสียงพากย์โดยใครอื่นนอกจาก คริส แซนเดอร์ส ไม่ได้เลย

เจ้าตัวสล็อธยังมีบทบาทสำคัญต่อเบื้องหลังการถ่ายทำอีกด้วย เคิร์ก เดอมิคโก้ เล่าว่า “ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่เรามีการถ่ายทำ เรามีการนำเสนอพิเศษที่จะสร้างความทันสมัยให้พนักงานของดรีมเวิร์คส ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ครอบคลุมทั้งองค์กร เราอยากเพิ่มสีสันให้การพรีเซนต์แต่ละครั้งด้วยอะไรที่พิเศษ และการพรีเซนต์ครั้งสุดท้ายคริสกับผมทำหนังสั้นที่ใช้สล็อธตัวเป็นๆ ขึ้นมาเรื่องนึง ฟังแล้วเป็นไอเดียที่เหลวไหล เราขอให้ แดเนียล ชุง ซึ่งเป็นผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ให้ไปสะกดรอยตามสล็อธ โดยไม่ให้คลาดสายตา เขาเห็นมันได้อย่างชัดเจน อีกหนึ่งวันถัดมา แดเนียลไม่ได้ไปตามติดสล็อธอย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังอยากรู้ว่าเราต้องการให้สล็อธทำอะไรแปลกๆ มั้ยอีกด้วย นั่นคือวันที่เรารู้ตัวว่ากำลังทำงานอยู่ในโลกฮอลลีวูด”

เมื่อตระกูลครู้ดส์ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงอันน่าตื่นเต้นที่สอดคล้องกับความคิดใหม่ๆ ของกาย อุ๊กก้า ภรรยาของกรั๊กจึงให้รวมกลุ่มเกาะกันไว้ “บางครั้งในครอบครัวก็ต้องมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นบ้าง เธออาจอึดอัด มากกว่าคนอื่น” แคทเธอรีน คีเนอร์ กล่าว “อุ๊กก้าเป็นคุณแม่ดีเด่นที่ให้ทั้งความรักและการดูแล แต่ขณะเดียวกันเธอก็มีพลกำลังที่แข็งแกร่งและเด็ดขาดเหมือนกรั๊ก”

ในช่วงเวลาหลายปีที่พวกเขาสร้างครอบครัวขึ้นมา อุ๊กก้าจะคอยผ่อนหนักผ่อนเบาอำนาจของสามีเธออยู่เสมอ แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพที่อยู่ของพวกเขาเป็นตัวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ครั้งยิ่งใหญ่ “ในตอนท้ายของเรื่องเธอคือที่บอกให้กรั๊กเปลี่ยนแนวคิด” แซนเดอร์สกล่าว

“การแต่งงานและชีวิตครอบครัวของพวกเขาต่างจากทุกวันนี้” คีเนอร์เล่าต่อว่า “เราเข้าใจพวกครู้ดส์ดี ครอบครัวได้พบกับความจริงของโลกว่า การเปลี่ยนแปลงและปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เมื่อพวกเขาได้พบกับโลกใบใหม่อันน่าตะลึ และต้องกระโจนออกจากหน้าผาเพื่อไปที่นั่น ชีวิตของทุกคนส่วนใหญ่ต้องเป็นแบบนั้น คุณต้องยอมรับความเสี่ยง”

ม่า คุณแม่จอมวุ่นของอุ๊กก้าเองก็ทำตัวสร้างความวุ่น โดยเฉพาะกับลูกเขยที่เธอมีความสุขกับการได้ก่อกวน จริงๆ แล้วม่าเป็นมนุษย์สมัยโบราณ บ้างก็ว่าเธออายุ 45 ปี (จำแบบนี้มาพักนึงแล้ว) ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้อาการหงุดหงิดหรือสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเธอลดลงเลย เธอเหลือฟันซี่เดียวแต่ยังกระปรี้กระเปร่า เป็นสมาชิกที่ยังคงมีความคล่องแคล่วในบรรดา 5-6 คน

“ม่าไม่ใช่ยายแก่ที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว” คลอริส ลีชแมน เล่าว่า “เธอมีความฮึกเหิมในการเดินทางไม่แพ้สมาชิกคนอื่นของครอบครัว”

“ม่าเป็นหญิงชราที่ใช้ชีวิตผ่านยุคน้ำแข็งมาแล้ว โดยการสยบอดีตสามีของเธอแต่ละคน” เดอมิคโก้แซวเรื่องอดีตของตัวละคร “เธอไม่เคยพูดถึงใครในแง่ดี โดยเฉพาะกรั๊ก แต่ตอนท้ายของเรื่องม่าจะเซอร์ไพรส์ทุกคน เพราะเธอมีสติปัญญาดีกว่าวัยของเธอ”

สมาชิกที่มีความนุ่มนวลและใจเย็นกว่านั้นในตระกูลครู้ดส์คือ ธังค์ เขาสูง 6 ฟุต 3 นิ้ว น้ำหนัก 280 ปอนด์…และอายุ 9 ขวบ “เขาเป็นเด็กที่มีร่างใหญ่ยักษ์” คลาร์ก ดุ๊ก เล่าว่า “ธังค์อยากเป็นนักล่าที่เก่งกาจเหมือนพ่อของเขา แต่ธังค์ไม่สามารถตีข้างลำตัวช้างแมมมอธได้”

“ธังค์พยายามทำให้กรั๊กประทับใจตลอด เขาอยากถอดแบบจากพ่อทุกระเบียดนิ้ว” เดอมิคโก้กล่าว “เขามีพลังที่ล้นเหลือและมีความกระตือรือร้น แต่น่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัวที่อ่อนแอสุด”

น้องเล็กที่อายุน้อยสุดแต่แสบกว่าคือแซนดี้ เธอเหมือนกับลูกแมวป่า ในโลกอันโหดร้ายเต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆ  ที่คอยจะกัดทำร้ายเธอ แต่แซนดี้กลับไม่กลัวที่จะกัดตอบ “เธอทำตัวเหมือนลูกของสัตว์ป่า แต่เป็นลูกสาวหัวอ่อน” แซนเดอร์สกล่าว “กรั๊กคงภาวนาให้อี๊ปเป็นเหมือนแซนดี้”

ผู้ชำนาญของภาพยนตร์ ผู้ออกแบบและผู้สร้างแอนิเมชั่นต้องรับหน้าที่สำคัญในการสร้างให้ตัวละครเหล่านี้มีชีวิตขึ้นมา แต่เดอมิคโก้ แซนเดอร์ส และผู้อำนวยการสร้างฯ คริสติน เบลสัน และ เจน ฮาร์ทเวล ยกเครดิตให้นักแสดงที่ไม่ได้มาสร้างการแสดงสุดมหัศจรรย์เท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ตัวละครต่างๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาด้วย

“นักแสดงของเราแต่ละคนช่วยเหลือทีมงานได้มากเลย” เดอมิคโก้เล่าว่า “ในการบันทึกเสียงแต่ละครั้ง เราจะชอบพูดว่า ‘ยอดไปเลย เราจะเอาไปใส่ในหนัง’ มันก็จะเป็นการแสดงเล็กๆ น้อยๆ หรือบทสนทนาท่อนใหม่ไป”

ตัวอย่างเช่น “ช่วงที่นิโคลาส เคจทำให้ผมประหลาดด้วยการแสดงที่เขาแสดงออกมา” เบลสันเล่าย้อนไปว่า  “จากนั้นเราก็กลับไปหาการลำดับภาพและแอนิเมชั่น จนนึกได้ว่า ใช่เลย มันต้องเจ๋งกว่าที่เราคิดเอาไว้มากแน่ๆ”

“ไรอัน เรย์โนลด์สเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวน ซึ่งนั่นทำให้ได้การพากย์เสียงที่เจ๋งสุดๆ เขาทำให้กายมีส่วนผสมระหว่างความลื่นไหลและมีเสน่ห์จนเกินห้ามใจ” แซนเดอร์สกล่าวเสริม เดอมิคโก้เล่าว่าท่าทางการแสดงและการเปิดเผยของเอ็มม่าก็เหนือความคาดหมายเหมือนกัน ยิ่งกว่าน่าพอใจซะอีก “เราจะใช้ท่าทางแบบ ‘เอ็มม่า’ ช่วงที่บันทึกเสียงใส่ลงไปในหนังด้วย”

เคจยืนยันว่าช่วงบันทึกเสียงมักผิดทิศทางที่คิดไว้เสมอ เพื่อผลดีต่อนักแสดงและเนื้อเรื่อง “เคิร์กและคริสปล่อยให้เราได้ทดลองและแสดงออกไปจริงๆ  พวกเขาปล่อยให้พวกเราลองแสดงบางอยางตามแง่ทฤษฎี พอได้ยินแล้วพวกเขารู้ว่าแบบไหนถึงจะเหมาะ ไม่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในหนัง ซึ่งมันส่งผลดีต่อผมมาก เพราะผมจะได้ขัดเกลาบท”

การแสดงจากเหล่านักแสดงช่วยเติมเต็มจินตนาการของผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีต่อตระกูลครู้ดส์ ให้พวกเขาดู มีความสามารถด้านพลกำลังมากขึ้น รับมือต่ออุปสรรคต่างๆ ที่เกิดระหว่างการผจญภัยที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นในทุกช่วงเวลา “เราอยากให้ตระกูลครู้ดส์ดูคล่องแคล่วและแข็งแกร่งกว่าตัวละครอื่นที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์” เดอมิคโก้กล่าว “เราอยากสร้างตัวละครให้มีความรู้สึกเหมือน พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่มีความท้าทายและต้องใช้พลกำลังที่เราสร้างขึ้นมา เราไม่อยากให้รู้สึกเหมือนแค่เอาพวกเขาไปวางอยู่ในฉากหนัง ตระกูลครู้ดส์จึงยังมี ‘ความคิดริเริ่ม’ ของมนุษย์ถ้ำอยู่ แต่ความกล้าหาญของเขาค่อนข้างเต็มพิกัด”

ฉากหนึ่งที่อยู่ตอนแรกของภาพยนตร์ รวมถึงฉากการไล่ล่าที่พวกครู้ดส์หวังว่าจะเป็นมื้ออาหารที่ต้องการมากที่สุด เน้นให้เห็นถึงความคล่องตัว ความแข็งแรงและความว่องไวของพวกเขา “มันเป็นฉากที่เกี่ยวกับร่างกายเน้นๆ เพื่อสร้างภาพให้ผู้ชมเห็นว่าพวกครู้ดส์มีความแข็งแรงขนาดไหน และเพื่อเป็นการสร้างขอบเขตของโลกที่เรากำลังเข้าไปสำรวจ” แซนเดอร์สเล่าว่า “มีความเป็นลูนีย์ทูนส์อยู่ในฉากนั้นด้วย”

การเพิ่มสีสันให้ฉากวิ่งหนีและเป็นตัวควบคุมความโกลาหลของฉาก คือดนตรีที่ประพันธ์โดย อลัน ซิลเวสทรี ผู้ประพันธ์ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award บรรเลงโดย University of Southern California Marching Band ที่มีชื่อเสียง พวกเขาเคยสร้างสีสันให้แฟนฟุตบอลในยุคเกมการแข่งขัน USC ดนตรีที่มีความโดดเด่นที่ผลักดันองค์ประกอบสำคัญให้มีการเปลี่ยนแปลง “เราคุยกับอลันถึงอารมณ์ที่เราอยากได้” เดอมิคโก้เล่าว่า “เหมือนกับเป็น ‘ช่วงการแข่งขัน หรือ ‘เราจะออกไปล่าเหยื่อแล้ว!’ ดนตรีและการแสดงทำให้เห้นว่าการไล่ล่าเหมือนเกมอย่างหนึ่งของพวกครู้ดส์  ‘ทีมตรงข้าม’ ซึ่งเป็นอาหารที่ล่าเพื่อครอบครัว และหวังว่าจะเป็นอาหารมื้อใหญ่ก็แข็งแกร่งพอๆ กับครู้ดส์เลย”

การร่วมงานกับซิลเวสทรีในเพลงปิดท้าย “Shine Your Way” [บรรเลงโดย อดัม ยัง และ ยูนา] ถือเป็นประสบการณ์อันน่าตะลึงสำหรับผู้กำกับ “การเขียน [บทภาพยนตร์ให้] เรื่องเดอะ ครู้ดส์เป็นเวลานาน มีบางจังหวะที่เป็นช่วงไฮไลท์ บางจะหวะก็ไม่มากนัก แต่มีความพิเศษเล็กๆ ในการเขียนอย่างหนึ่งที่ผมจะไม่มีวันลืมได้ลง” เดอมิคโก้จำได้ว่า “เรามีการคุยกันบ้างถึงเรื่องเพลงตอนจบ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการทำให้ไม่ได้ข้อสรุป ผมแนะนำคริสว่าเราน่าจะลองประพันธ์ร่วมกับความช่วยเหลือจากอลัน ซิลเวสทรี คริสกับผมเดินทางไปที่บ้านของอลันที่คาร์เมล เริ่มทำเพลงร่วมกับเขาและเพื่อนร่วมงานของเขาที่ชี่อเกล็น บอลลาร์ด ถือเป็นความตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมในขั้นตอนนี้ ขีดจำกัดด้านการเขียนเพลงต่างจากบทภาพยนตร์มากเลย เราถ่ายทอดอารมณ์ลงไปการปรึกษาร่วมกับอลันและเกล็น การได้ยินนักร้องที่มีความสามารถอย่างอดัมและยูนาร้องเพลงของเราก็ถือเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่มากอย่างหนึ่งจากการสร้างภาพยนตร์

 

การพัฒนา

ทุกครอบครัวต้องมีการลำดับเครือญาติ เหมือนกับโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ทุกเรื่อง โดยเรื่องเดอะ ครู้ดส์ แกะรอยตาม “ต้นตระกูล” ของปี 2005 และเรื่องราวภาพยนตร์ต้นฉบับที่เดอมิคดก็เขียนร่วมกับ จอห์น คลีส ผู้เป็นนักแสดงแห่งตำนาน นักเขียน และตัวละครมอนตี้ ไพตัน ทั้งคุ่ร่วมแชร์เครดิตเนื้อเรื่องกับแซนเดอร์สที่มาร่วมโปรเจ็กต์ด้วยเมื่อไม่กี่ปีให้หลัง ภาพยนตร์เรื่องเดอะ ครู้ดส์แปลงจากภาพยนตร์แนวคอมเมดี้แบบคู่หูที่มีตัวละครเด่นอย่างกรั๊กกาย มาสู่เรื่องราวแบบครอบครัวที่มาพร้อมกับหัวหน้าเหล่าตัวละครสำคัญ

“แนวคิดโปรเจ็กต์ตอนแรกเป็นคอมเมดี้แบบที่เป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ถ้ำกับเพื่อนของเขาที่มีไอเดียแปลกใหม่จนทำให้คนสมัยโบราณรู้สึกกลัว” เบลสันอธิบายว่า “เคิร์ก เดอมิคโก้ได้แรงบันดาลใจในการสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวขึ้นมมา จากนั้นเราเริ่มเพิ่มตัวละครอื่นและลักษณะนิสัยของตัวละครที่เรานึกได้เข้าไป เช่น แม่ยาย พ่อขี้วิตก ลูกสาววัยรุ่นจอมดื้อ และโปรเจ็กต์มีความโดดเด่นมาก และมารวมเข้ากันในรูปแบบใหม่”

ตลอดช่วงที่มีการพัฒนา การผลิต และโพสต์-โพรดักชั่นเป็นเวลา 8 ปี ถิ่นฐานของตระกูลครู้ดส์ตั้งอยู่ที่ ดรีมเวิร์คส แอนิเมชั่น ที่มีการดูแลโปรเจ็กต์ตั้งแต่ช่วงก่อสร้างไปจนถึงช่วงถ่ายทอดภาพยนตร์ไปทั่วโลก ดรีมเวิร์คสคือครอบครัวแรกที่มอบการผจญภัยอันยากจะลืมเลือนให้ผู้ชม นิโคลาส เคจ เล่าว่า   “ผู้ชมจะได้ร่วมทริปไปกับตระกูลครู้ดส์ จะได้ตื่นตาไปกับความงดงามและจินตนาการแห่งโลกใบนั้น ส่วนใหญ่พวกเขาจะชอบครอบครัวนี้และการผจญภัยของเรื่อง เพราะในหนังให้อารมณ์ที่สมจริงและสร้างเสียงหัวเราะได้”