เมื่อสิบห้าปีที่แล้วการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดพลาดได้ให้กำเนิดสายพันธุ์วานรสติปัญญาสูงขึ้นมา…พร้อมกับไวรัสที่เกือบทำลายล้างมนุษยชาติ ไวรัสไข้หวัดลิง (Simian Flu) ได้นำมนุษย์มาเกือบถึงกาลอวสาน ผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่รายซึ่งมีภูมิต้านทานไวรัสต้องใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น… ขณะที่เหล่าวานรครองความยิ่งใหญ่ในพื้นที่ป่าอันปลอดภัยทางตอนเหนือของซานฟรานซิสโก…
ในรุ่งอรุณของความเจริญทางอารยธรรม ชุมชนวานรรุ่งเรืองขึ้นโดยปราศจากการติดต่อกับมนุษย์… จนกระทั่งพวกมันถูกค้นพบโดยผู้รอดชีวิตกลุ่มเล็กๆ ที่กำลังดิ้นรนสร้างอาณานิคมใหม่ของตัวเอง ชาวอาณานิคมและเหล่าวานรต่างพยายามอยู่ร่วมกันให้ได้ แต่สันติภาพอันเปราะบางระหว่างสองฝ่ายก็ได้ถูกทำลายลงโดยโคบา วานรซึ่งต้องการแก้แค้นมนุษย์ที่เคยคุมขังมันเอาไว้ ซีซาร์ จ่าฝูงของพวกวานร พยายามนำเอาความสงบกลับคืนมา แต่ไม่มีทางให้หวนกลับเมื่อการต่อสู้อันโหดเหี้ยมได้เปิดฉากไปแล้ว
ชาวอาณานิคมซึ่งถูกล้อมเอาไว้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไป โดยไม่แน่ใจว่ามีมนุษย์อยู่ภายนอกที่จะได้ยินสัญญาณบ้างหรือเปล่า สัญญาณนี้ไปถึงฐานลูอิส-แม็คคอร์ดที่ซึ่งทหารหลายร้อยนายมาลี้ภัยอยู่หลังเกิดเหตุไวรัสระบาด ทหารชายหญิงเหล่านี้เป็นกำลังพลทั้งหมดที่เหลืออยู่ของกองทัพสหรัฐ เมื่อได้รับสัญญาณ กองทหารที่แข็งแกร่งของผู้พันเหรียญกล้าหาญแห่งกองกำลังพิเศษจึงถูกส่งมาร่วมการต่อสู้ด้วย ซีซาร์และเหล่าวานรถอนกำลังกลับไปยังเขตป่า แต่กองกำลังฝ่ายมนุษย์ก็ติดตามไปด้วยหวังจะกำจัดเหล่าวานรให้สิ้นซาก ตลอดสองปีเหล่าทหารคว้าน้ำเหลวในการออกค้นหาซีซาร์ โดยมีข่าวลือว่าซีซาร์บัญชาการฝูงวานรอยู่ในฐานลับที่ซ่อนตัวอยู่ลึกเข้าไปในป่า
สงครามยังคงลุกลามต่อไป…
ใน War For The Planet Of The Apes ภาคที่สามอันเป็นจุดสูงสุดของเหตุการณ์ในหนังไตรภาคเรื่องนี้ ผู้กำกับ แม็ตต์ รีฟส์และทีมนักแสดงดาราดังได้นำเสนอเรื่องราวของเหล่าวานรที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วในโลกที่รุ่มร้อนด้วยการแบ่งแยกและความโกรธแค้น เมื่อวานรและมนุษย์ต่อสู้กันเพื่อเข้าควบคุมโลกโดยผู้ชนะหวังจะได้ครอบครองทุกอย่าง ในการสร้างภาพยนตร์ครั้งยิ่งใหญ่นี้ ผู้ชมจะได้ร่วมสัมผัสช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดชะตากรรมของอารยธรรมมนุษย์ และได้ร่วมเดินทางไปกับจ่าฝูงวานร ซีซาร์ เพื่อนำชุมชนวานรที่กำลังเติบโตไปสู่บ้านหลังใหม่ แม้ว่าในจิตใจของเขายังคงปั่นป่วนไปด้วยความขัดแย้งระหว่างความเชื่อมั่นในคุณค่าของครอบครัวและเกียรติยศกับแรงจูงใจของการคิดบัญชีล้างแค้น
แก่นหลักของหนังเรื่องนี้กล่าวถึงฐานที่มั่นสุดท้ายทั้งในแง่การทหารและในแง่อารมณ์ความรู้สึก เมื่อสันติภาพระหว่างสายพันธุ์ได้ถูกทำลายลง และกองทหารฝ่ายมนุษย์ซึ่งนำโดยผู้พันจอมเผด็จการได้ลงมือโจมตีอย่างเต็มกำลัง ซีซาร์จึงต้องมาเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาก้าวเข้าสู่ด้านมืดภายในจิตใจ เขาต้องมาต่อสู้กับแรงผลักดันอันไร้ความปราณี รวมทั้งความลังเลสงสัยในความสามารถของตนเองที่จะชักจูงให้เหล่าวานรมุ่งสู่อิสรภาพ แต่หนทางเดียวที่เหล่าวานรจะรอดพ้นจากความขัดแย้งครั้งนี้ได้ก็คือซีซาร์ต้องเป็นผู้นำ ในช่วงเวลาที่ความเห็นอกเห็นใจและเมตตากรุณาแทบจะหายไปจากโลกและจากจิตใจของเขา ซีซาร์ต้องค้นหาความเด็ดเดี่ยว ความเป็นพวกพ้อง และวิสัยทัศน์ที่จะนำเหล่าวานรมุ่งสู่อนาคตที่มีความหวัง
แอ็คชันสุดตื่นตา ประเด็นที่จริงจัง และการเล่าเรื่องอย่างทรงพลังได้มารวมกันใน War For the Planet of the Apes ส่งผลให้ซีรีส์นี้ก้าวไปสู่ขอบเขตใหม่ของการสร้างตำนาน เมื่อหนังได้สำรวจคุณค่าที่ช่วยก่อร่างสร้างอารยธรรมขึ้นมา เรื่องราวได้โลดแล่นขึ้นมาผ่านการแสดงอันซับซ้อนหนักแน่นของแอนดี เซอร์คิส ในบทซีซาร์ผู้ยิ่งใหญ่ และงานวิชวลเอฟเฟ็กต์ล้ำยุคจาก Weta Digital นอกจากนี้ยังมีนักแสดงอีกหลายคนที่กลับมาในภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นแคริน โคโนวัล ในบทมอริซ ที่ปรึกษาซึ่งซีซาร์ไว้วางใจ, เทอร์รี โนทารี ในบทร็อคเก็ต มือขวาของซีซาร์ รวมถึงจูดี เกรียร์ ในบทคอร์เนเลีย ภรรยาของซีซาร์ และโทบี เค็บเบลล์ ในบทโคบา
ตัวละครใหม่ที่น่าจดจำ ได้แก่ นักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วสองครั้ง วู้ดดี ฮาร์เรลสัน ในบทผู้พัน ทหารฝ่ายมนุษย์ผู้หุนหันพลันแล่นและเชื่อว่ามีแต่สงครามล้างผลาญเท่านั้นที่จะช่วยกอบกู้เศษซากสุดท้ายของอารยธรรมมนุษย์, สตีฟ ซาห์น ในบทแบดเอพ ลิงชิมแพนซีขี้เหงาผู้สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่เหล่าวานรในช่วงเวลาอันมืดมน, เอไมอาห์ มิลเลอร์ ในบทโนวา เด็กที่กลายมาเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างวานรและมนุษย์โดยไม่คาดฝัน, อเล็คส์ พอโนวิก ในบทวินเทอร์ กอริลลาสีขาวผู้งดงามแต่ขี้วิตกกังวล, ไมเคิล อดัมธ์เวท ในบทกอริลลาที่เป็นทหารนายกองของซีซาร์ ลูคา ผู้สร้างสายสัมพันธ์กับโนวา และไท โอลส์สันในบทเร็กซ์ กอริลลาที่แปรพักตร์มาทำงานรับใช้ผู้พัน หนังเรื่องนี้มีตัวละครวานรมากกว่าที่ผ่านมา โดยเป็นตัวละครหลักนับสิบตัว เนื่องจากสถานการณ์ไม่เป็นใจแก่เหล่ามนุษย์อีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ทีมงานได้นำเสนอฉากแอ็คชั่นจากเทคโนโลยีการจับความเคลื่อนไหวในพื้นที่ภูเขาอันหนาวเหน็บและโลกที่เต็มไปด้วยหิมะ ทั้งหมดนี้ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 65 มม.ภายใต้สายตาอันเฉียบคมของผู้กำกับภาพ ไมเคิล เซเรซิน พร้อมด้วยดนตรีประกอบเร้าอารมณ์โดยผู้ชนะรางวัลออสการ์ ไมเคิล จิอาชชิโน
ผู้กำกับรีฟส์ ซึ่งได้กลับมานำแฟรนไชส์นี้สู่ก้าวต่อไปหลังจาก Dawn of the Planet of the Apes หนังภาคสามนี้มีเป้าหมายชัดเจน นั่นคือการเล่าเรื่องราวของเหล่าวานรซึ่งยืนตัวตรงขึ้นและมีความสามารถมากขึ้นแต่ก็ยังมีความสงสัยเคลือบแคลงใจ พวกมันก้าวเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ พร้อมกับก้าวล่วงสู่พื้นที่อ่อนไหวทางจิตใจ ขณะที่ซีซาร์ต้องต่อสู้เพื่อรักษาสัญชาตญาณความอ่อนโยนของตนเอาไว้
รีฟส์ตระหนักว่าเส้นทางของเหล่าวานรสะท้อนถึงตำนานดั้งเดิมของมนุษย์ยิ่งกว่าที่ผ่านมา “เมื่อเรื่องราวเริ่มต้นขึ้น ไม่มีสันติภาพกับพวกมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ซีซาร์จึงถูกผลักดันเข้าสู่ความขัดแย้งอันสะเทือนอารมณ์และเป็นสากล” รีฟส์อธิบาย “ที่ผ่านมาซีซาร์มีเอกลักษณ์ตรงที่ว่าเขามีส่วนหนึ่งเป็นวานร ส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งโดยสมบูรณ์ เขาจึงเป็นความหวังที่จะเชื่อมสังคมทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน แต่ในตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ที่น่าตื่นเต้นก็คือการสำรวจความขัดแย้งในใจซีซาร์ในช่วงเวลาสำคัญนี้ ได้มอบโอกาสให้เราหันกลับมามองการต่อสู้ที่ทุกคนรู้จักกันดี นั่นคือสงครามระหว่างสติปัญญา ความเห็นอกเห็นใจ และสัญชาตญาณของเรา เราจะได้เห็นว่าการต่อสู้นั้นได้กำหนดนิยามความเป็นมนุษย์ของเราอย่างไร แม้ว่าเป็นการเดินทางอันมืดมนชวนหดหู่ แต่มันก็เป็นเรื่องราวที่เปี่ยมไปด้วยพลัง”
ผู้อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ เชอร์นิน ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในแฟรนไชส์ Apes นับตั้งแต่เริ่มต้นสร้างไตรภาคนี้ขึ้นมา กล่าวว่า “เรามองว่าเรื่องนี้มีสามส่วนมาตั้งแต่แรก เริ่มต้นจากกำเนิดของซีซาร์ เรื่องที่เขากลายเป็นวีรบุรุษผู้อ่อนต่อโลกในฐานะจ่าฝูงวานร จากนั้นก็เป็นผู้นำที่ฉลาดและมีเมตตากรุณาซึ่งจะถูกทดสอบ เติบโต และกลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในโลกที่วานรสติปัญญาสูงเหล่านี้เติบโตขึ้นมา เรารู้ว่าความขัดแย้งกับมนุษย์จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราได้มาถึงจุดที่น่าทึ่งในเรื่องนี้ เป็นจุดสูงสุดในการเดินทางของซีซาร์ และเมื่อคุณเห็นเขาต่อสู้ดิ้นรน คุณก็จะได้มองเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา นั่นคือสิ่งที่เราต้องการทำกับซีรีส์นี้มาตลอด คือการสำรวจทุกแง่มุมที่กระตุ้นและช่วยให้เราได้ขบคิดว่าการเป็นมนุษย์นั้นมีความหมายอย่างไร”
ผู้อำนวยการสร้าง ดีแลน คลาร์ก ซึ่งร่วมอำนวยการสร้างกับริค แจฟฟาและอแมนดา ซิลเวอร์ กล่าวว่า “หนังภาคนี้มีส่วนหนึ่งเป็นหนังโร้ดมูฟวี อีกส่วนหนึ่งเป็นหนังสงคราม อีกส่วนหนึ่งเป็นหนังคาวบอยและหนังผจญภัยมหากาพย์ แต่หัวใจของเรื่องราวทั้งหมดก็คือการสำรวจอารมณ์ความรู้สึกของผู้นำที่เรารัก เราได้เห็นซีซาร์ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายดำมืด แต่เขาก็ได้พบสัญญาณใหม่แห่งความหวังด้วย หนังเรื่องนี้อาจเป็นตอนที่มืดมนที่สุดและมีความหวังมากที่สุดในเรื่องราวของเหล่าวานร”
เมื่อผู้นำถูกทดสอบ: บทภาพยนตร์
แก่นของ The War for The Planet of the Apes คือเรื่องราวซึ่งไม่เพียงบอกเล่าการเริ่มต้นของสงครามระหว่างฝูงวานรที่เติบโตอย่างรวดเร็วกับสังคมมนุษย์ที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ แต่ยังเกี่ยวข้องกับด้านมืดในจิตใจของผู้นำอันทรงคุณธรรมของฝ่ายวานรอย่างซีซาร์ด้วย เขาต้องมาเผชิญหน้ากับช่วงเวลาแห่งการสร้างตำนานที่เต็มไปด้วยอันตราย พร้อมกันกับความขัดแย้งเชิงศีลธรรมภายในจิตใจ เมื่อเขาเริ่มไม่เชื่อในหลักการของวานรที่ตนเองได้วางไว้ รวมถึงความหวังต่อสันติภาพกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งได้สร้างบาดแผลลึกในจิตใจเขา เมื่อความเลวร้ายของสงครามได้แผ่ขยายมาถึงบุคคลสำคัญในครอบครัวของเขาเอง ซีซาร์จึงทำสงครามกับพวกมนุษย์ และกับตัวเองด้วย แต่ความโกรธอันรุนแรงจากความทุกข์ทรมานที่เขาได้สัมผัสมาก็จำเป็นต้องเปิดทางให้มุมมองใหม่ หากเขาคิดจะนำพวกพ้องก้าวไปข้างหน้าและออกจากความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้น
“ซีซาร์จะถูกทดสอบอย่างหนักในหนังเรื่องนี้” มาร์ค บอมแบ็คกล่าว เขาเป็นผู้เขียนบทร่วมกับรีฟส์ “โชคร้ายสำหรับซีซาร์ที่บททดสอบครั้งนี้ออกจะโหดร้าย ฝูงวานรเผชิญปัญหาอย่างหนักและเขาก็เข้าใจดีว่าวานรจำเป็นต้องก้าวขึ้นเป็นสายพันธุ์ที่ครองอำนาจบนโลกใบนี้”
รีฟส์เสริมว่า “ซีซาร์ถูกทดสอบในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเรามองว่าน่าระทึกใจ ยิ่งใหญ่ และช่วยให้หนังเรื่องนี้เปิดกว้างขึ้น หนังเรื่องนี้มีสเกลที่ใหญ่มาก พวกวานรได้ออกจากป่ามิวร์มาเผชิญโลกอันกว้างใหญ่”
เพื่อหาแรงบันดาลใจสำหรับความกว้างไกลและบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ในหนังเรื่องนี้ รีฟส์ได้กลับไปดูภาพฉากแอ็คชั่นอันยิ่งใหญ่ตระการตาในหนังหลายเรื่อง ตั้งแต่หนังซามูไรของคุโรซาวาไปจนถึงหนังคาวบอยของคลินต์ อีสต์วู้ด เช่นเดียวกับ War หนังเหล่านี้ได้ผสานความขัดแย้งเข้ากับความขำขัน รวมทั้งประเด็นว่าด้วยความพยายาม ความเสียสละ ความภักดี ป่าดงพงไพร ความกล้าหาญ รวมถึงพื้นที่สีเทาในแง่ศีลธรรมท่ามกลางความไม่แน่นอนชวนสับสน “สำหรับการทำหนังกลุ่มนี้ ความตื่นเต้นส่วนหนึ่งอยู่ที่โอกาสในการนำเทคโนโลยีใหม่และรูปแบบใหม่ๆ ในงานภาพยนตร์มาใช้กับตำนานคลาสสิก เพื่อสร้างสิ่งที่มีเอกลักษณ์ขึ้นมา” รีฟส์อธิบาย
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างด้านสว่างและด้านมืด ระหว่างความภักดีที่ถูกทดสอบและความกล้าหาญที่ค้นพบ ล้วนปรากฏอยู่ในการเดินทางอันยิ่งใหญ่ของซีซาร์ เขาได้สัมผัสความปวดร้าวเมื่อถูกบังคับให้ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความตั้งใจส่วนตัวที่จะแก้แค้นให้สมาชิกในครอบครัวกับชะตากรรมอันเลวร้ายของเผ่าพันธุ์หากต้องพบความพ่ายแพ้
“ในภาคสามนี้ เราต้องการนำซีซาร์ไปยังจุดที่เราไม่เคยคิดว่าเขาจะไป” บอมแบ็คอธิบาย “มันน่าประหลาดใจที่สุดเพราะไม่มีใครคิดว่าซีซาร์จะรู้สึกเกลียดชังหรือตัดขาดจากมนุษย์โดยสิ้นเชิงได้ มาตอนนี้นับเป็นครั้งแรกที่เขาสามารถเข้าใจความเกลียดชังที่เขาเห็นในตัวโคบาซึ่งเคยเป็นลิงในห้องทดลอง มันน่าสะพรึงกลัวสำหรับทุกคนรอบตัวเขา เพราะซีซาร์เป็นเสาหลักเรื่องความถูกต้องให้วานรฝูงนี้มาตลอด และถ้าซีซาร์ไร้หลักความถูกต้องแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมวานรแห่งนี้ล่ะ นั่นคือแก่นสำคัญที่หนังเรื่องนี้พูดถึง”
รีฟส์ระบุว่าบทภาพยนตร์ได้ผลักดันบอมแบ็คและตัวเขาให้ดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งในจิตใจของซีซาร์อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ขณะเดียวกันก็ได้ขยายเรื่องราวนี้ออกสู่โลกภายนอก จนนำไปสู่สงครามครั้งยิ่งใหญ่เมื่อมนุษย์ผู้คลุ้มคลั่งตั้งใจกำจัดวานรก่อนที่จะสายเกินไป ผลลัพธ์ก็คือการนำเสนอความยิ่งใหญ่ทางเทคนิคเต็มรูปแบบซึ่งก็เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพด้วย
“ในช่วงเวลาสำคัญนี้ ซีซาร์ต้องมาพบการเดินทางซึ่งแตกต่างจากที่ผ่านมาเพราะเขากำลังต่อสู้กับตัวเอง” รีฟส์อธิบาย “แต่แม้ว่าเรื่องราวนี้ได้นำเราเข้าไปในจิตใจของซีซาร์ในส่วนลึกที่สุด แต่เราก็ยังรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะต้องยิ่งใหญ่ จะต้องมีขอบเขตที่กว้างขวางยิ่งกว่าหนังภาคก่อนๆ เพราะมันเป็นทั้งมหากาพย์สงครามและเรื่องราวของการอพยพ”
ในฐานะบทสุดท้ายของไตรภาค หนังเรื่องนี้ยังเป็นจุดจบของเรื่องราวที่ยาวนานโดยเริ่มต้นจากไวรัสไข้หวัดลิงที่ทำให้วานรมีสติปัญญาสูง จนกระทั่งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสายพันธุ์ที่มีผู้ชนะได้เพียงหนึ่งเดียว บอมแบ็คชี้ว่า “สิ่งที่เราได้เห็นในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องราวของซีซาร์ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรม เหตุการณ์ที่คุณเห็นในตอนนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของตำนานที่วานรทุกตัวจะเล่าขานกันในอนาคต เมื่อซีซาร์พยายามนำสมาชิกฝูงไปสู่ดินแดนพันธสัญญาแห่งใหม่”
งานสร้างอันยิ่งใหญ่ได้นำนักแสดงและทีมงานไปสู่พื้นที่ใหม่ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี การออกแบบ ไปจนถึงขอบเขตของความเห็นอกเห็นใจที่มอบให้สายพันธุ์อื่น เช่นเดียวกับที่ Rise of the Planet of the Apes เป็นก้าวใหม่ที่นำเสนอศักยภาพในการสร้างหนังประเภทนี้ War ก็ได้แสดงให้เห็นว่าความก้าวหน้ามาไกลแค่ไหนแล้ว
“กระบวนการนี้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง” ปีเตอร์ เชอร์นินกล่าว “ตอนทำหนังภาคแรก เรากังวลอย่างหนักเพราะไม่เคยเห็นเทคโนโลยีการจับความเคลื่อนไหวในการแสดงแบบนี้มาก่อนเลย แต่แล้วเราก็ได้เห็นการแสดงที่น่าเชื่อถือและให้อารมณ์ที่สมจริง ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเราทำหนังภาคแรกเสร็จ เพราะรู้ว่าเราสามารถสร้างวานรที่สมจริงและมีสัมผัสรับรู้ เราจึงสามารถลงลึกกับตัวละครเหล่านี้ได้มากขึ้น ความอิสระประการหนึ่งในแฟรนไชส์นี้คือเราสามารถสำรวจการเล่าเรื่องทางอารมณ์ในรูปแบบใหม่ๆ เพราะเรากำลังจินตนาการภาพของสังคมซึ่งไม่เคยมีอยู่จริง แต่เราตั้งใจให้มันสมจริง ไม่ได้ดูมหัศจรรย์เพ้อฝัน ตรงนี้ล่ะครับที่สนุกมาก”
สำหรับเชอร์นิน รีฟส์เป็นบุคคลที่ขาดไม่ได้ในการขับเคลื่อนแฟรนไชส์นี้ไปข้างหน้า “ระดับของแอ็คชัน เอฟเฟ็กต์ การแสดง และสเกลงานสร้างโดยรวมเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่สำหรับแมตต์ในหนังเรื่องนี้ แต่คราวนี้เขามีเวลาและมีพื้นที่เพื่อวางแผนหนังตามที่เขาจินตนาการไว้ มีฉากแอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้ที่น่าทึ่งไม่แพ้หนังเรื่องไหนที่ผมเคยเห็นมา แต่ที่สำคัญที่สุดคือ แม็ตต์หมกมุ่นจริงจังกับแง่มุมทางอารมณ์ในหนังเรื่องนี้ ทำให้การเดินทางของวานรครั้งนี้กลายเป็นเรื่องราวที่มีความเป็นมนุษย์สูงมาก”
“หนังเรื่องนี้ได้มอบความตระการตามากขึ้น ความหนักหน่วงจริงจังมากขึ้น และอารมณ์ขันมากขึ้นให้แก่ผู้ชม รวมทั้งยังนำผู้ชมออกไปสู่การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดจากทั้งสามภาค” ดีแลน คลาร์ก สรุป “พลังและความเจ็บปวดที่แม็ตต์และมาร์คนำเสนอในบทหนังเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้ไกลยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา”
วิวัฒนาการและตำนาน: แอนดี เซอร์คิส ในบทซีซาร์
ใน War For the Planet of the Apes ซีซาร์ ราชาแห่งวานรสายพันธุ์ใหม่ ได้พัฒนาความสามารถในการคิด พูด และมองโลกผ่านมุมมองที่สลับซับซ้อนและเปี่ยมด้วยความรู้สึก เขาได้เริ่มต้นการเดินทางตามแบบตำนานดั้งเดิมซึ่งผู้นำจะต้องผ่านบททดสอบอันทรหดเพื่อช่วยเหลือผู้อยู่ในอาณัติของตน เมื่อถึงตอนจบของ Dawn of The Planet of the Apes ซีซาร์ได้ตกอยู่ในสภาวะที่ล่อแหลม เขาได้ทำผิดกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมขั้นพื้นฐานของตนเองด้วยการฆ่าวานรไปอีกตัวหนึ่งซึ่งก็คือโคบา เพื่อนรักของเขา เหตุการณ์นี้ได้ส่งให้เขาตกลงไปในหุบเหวลึก
เวลาผ่านมานานสองปี แต่ความตายของโคบาก็ได้ตั้งคำถามที่คอยหลอกหลอนอยู่ในใจซีซาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสงครามได้นำเอาความสูญเสียที่เกินจะรับได้มาสู่ครอบครัวของซีซาร์เอง ชุมชนวานรถูกมนุษย์ทำลายล้างจนสิ้นซาก และบรรดาวานรก็แปรพักตร์ไปอยู่ข้างเดียวกับมนุษย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซีซาร์จึงเล็งเห็นว่าสถานการณ์มาถึงจุดตัดสินแล้ว ถ้าเขาจะไม่รักษาสันติภาพกับพวกมนุษย์หรือพวกวานรที่ไปรับใช้มนุษย์ แล้วจะใช้ความรุนแรงจนถึงจุดไหน และถ้ามีขีดจำกัดอยู่ ซีซาร์จะพบขีดจำกัดนั้นในตัวเองได้หรือไม่ ในเมื่อเขาอยู่ในห้วงอารมณ์ที่สับสนปั่นป่วนอย่างรุนแรง
แอนดี เซอร์คิส กลับมารับบทบาทที่สร้างชื่อเสียงให้เขา โดยได้นำซีซาร์ไปสู่พื้นที่อันสุ่มเสี่ยงและละเอียดอ่อนทางอารมณ์มากที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมา เซอร์คิสโด่งดังจากการรับบทเป็นตัวละครดิจิตัลอย่างกอลลัมใน Lord of the Rings แต่เขาไม่ได้หยุดความสำเร็จเอาไว้แค่นั้น
เขากล่าวว่าการนำซีซาร์มาพบมรสุมในชีวิตส่วนตัว ผ่านความเจ็บปวดรุ่มร้อนและการเผชิญหน้าอันไม่คาดฝัน จนกระทั่งกลายเป็นผู้นำอันหนักแน่นทรงคุณธรรมในหนังเรื่องนี้ “นับเป็นความท้าทายด้านการแสดงที่ให้ผลคุ้มค่าที่สุดในชีวิต” เซอร์คิสเสริมว่า “การได้เล่นเป็นตัวละครที่ซับซ้อนและสมบูรณ์อย่างซีซาร์นับตั้งแต่ยังเล็กจนกระทั่งมาถึงจุดสำคัญในชีวิตระหว่างการเป็นผู้นำนับเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งครับ”
แม็ตต์ รีฟส์ มองว่า เซอร์คิสได้มอบความพิเศษให้เรื่องราวส่วนสำคัญของซีซาร์ “แอนดีเป็นนักแสดงที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้เก่งมากคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยทำงานด้วย” ผู้กำกับรายนี้กล่าว “ในหนังเรื่องนี้เขาต้องถ่ายทอดความรุนแรงทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งและเจ็บปวดยิ่งกว่าในสองภาคแรก และการได้เห็นว่าเขาผลักดันตัวเองไปไกลแค่ไหนนั้นน่าทึ่งมาก การทำงานร่วมกันระหว่างเรานับเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตครับ”
War แสดงให้เห็นว่าแม้ซีซาร์จะเฉียบแหลม รู้จักไตร่ตรอง และมีหลักการ แต่เขากำลังเสียจุดยืนทางศีลธรรม เขากระหายที่จะคิดบัญชีล้างแค้น แต่ก็รู้ว่าวานรตัวอื่นๆ ยังหวังพึ่งเขาเพื่อเป็นโอกาสสุดท้ายสู่ชีวิตที่ปลอดภัยและมีอิสระ เซอร์คิสเข้าถึงบทนี้โดยมองว่าเป็นความท้าทายที่ตัวเขาจะได้ถ่ายทอดความรู้สึกส่วนลึก หรืออาจพูดว่า “ความเป็นมนุษย์” ในตัวละครสายพันธุ์อื่นที่ลึกลับ แต่ขณะเดียวกันก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากที่มนุษย์อย่างเราๆ สามารถเข้าใจได้ ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของซีซาร์จะเป็นอย่างไรก็ตาม
เขามองว่าภารกิจแรกคือการเผยความอ่อนแอที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้มัดกล้ามอันทรงพลังของซีซาร์ “หนังเปิดเรื่องขึ้นในตอนที่ชุมชนวานรกำลังแตกสลาย” เซอร์คิสอธิบาย “ซีซาร์พยายามรักษาชุมชนนี้เอาไว้ แต่เขาก็ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งและเจ็บปวดของผู้นำซึ่งดิ้นรนให้บรรดาสมาชิกที่แตกแยกรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซีซาร์มีใจให้ทั้งฝ่ายวานรและฝ่ายมนุษย์มาตลอด เขาไม่ต้องการเห็นการทำลายล้างสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง แต่ตัวเขาเป็นวานรและการอยู่รอดของวานรก็กำลังอยู่ในภาวะหมิ่นเหม่”
จากนั้นซีซาร์ก็ได้ประสบเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตอันยุ่งเหยิงของตน และได้ข้อสรุปอันน่าเศร้าว่ามนุษย์กับวานรไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ เซอร์คิสกล่าวต่อไปว่า “ซีซาร์เลือกเดินบนเส้นทางอันยิ่งใหญ่นับจากนั้น เขาก้าวข้ามเส้นแบ่งมาสู่โลกของการล้างแค้นซึ่งดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถเป็นอิสระจากมันได้ แม้จะขัดกับธรรมชาติของซีซาร์ แต่เขาก็ได้ดำดิ่งสู่ความมืดมนและความโกรธแค้น ซึ่งเขากลัวว่าอาจไม่สามารถหาทางออกได้ หลังจากได้สัมผัสเหตุการณ์ทั้งหมดมา เขาโศกเศร้ามากขึ้นแต่ก็ด้านชามากขึ้นด้วย เขาแทบจะสูญเสียด้านดีของตัวเองไป ครั้งหนึ่งซีซาร์เป็นวานรที่อยากทำลายปืนมากกว่าหยิบมันขึ้นมาใช้ แต่มาตอนนี้เขาเริ่มยอมรับความคิดที่จะใช้ทุกหนทางเพื่อกำราบพวกมนุษย์ โดยมีแรงผลักดันจากความต้องการส่วนตัวที่จะแก้แค้นผู้พัน”
ขณะที่เหล่าวานรมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วจากสัตว์ที่พูดไม่ได้จนกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตสติปัญญาสูง หนังแต่ละภาคก็ได้พาเซอร์คิสไปสำรวจความสามารถที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของซีซาร์ และ War ก็นับเป็นจุดสูงสุด การที่ซีซาร์พูดคล่องมากขึ้นช่วยให้เซอร์คิสสามารถสะท้อนบุคลิกของซีซาร์ให้มีรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ
“ในภาคแรกเริ่มมีการใช้ภาษาให้เห็นอยู่บ้างและเน้นการสำรวจว่าวานรรับมือกับจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการอย่างไร ในภาคที่สอง ผมเริ่มมองว่าซีซาร์เป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น และเขาก็เริ่มใช้ภาษาที่ซับซ้อนขึ้นในการแสดงความคิดความอ่านของตนเอง” เซอร์คิสอธิบาย “มาตอนนี้ซีซาร์พูดได้คล่องซึ่งก็ส่งผลต่อวิธีการที่เขาเข้าถึงสิ่งต่างๆ วิธีการที่เขามองตนเองและผู้อื่น”
เขากล่าวต่อไปว่า “น่าทึ่งมากที่ผมได้เข้าไปในความคิดจิตใจของสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ สำหรับภาคนี้ ในแง่กายภาพ ซีซาร์ยืนตัวตรงขึ้นและใช้มือหยิบจับสิ่งต่างๆ มากขึ้น เขาดูคล้ายมนุษย์ที่อยู่ในร่างวานร แต่เมื่อสติปัญญาและความสามารถของเขาพัฒนาขึ้น สิ่งที่เขารู้สึกและจดจำได้กลับยิ่งน่าหวาดกลัวกว่าเดิม”
ทีมผู้สร้างได้เห็นเซอร์คิสหลอมรวมบุคลิกของตนเข้าไปในตัวซีซาร์ในช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสที่สุด และรู้สึกทึ่งที่เซอร์คิสสะท้อนความรู้สึกทรมานและโหยหาที่ขัดแย้งกันออกมาได้อย่างถึงแก่น
เชอร์นินตั้งข้อสังเกตว่า “แอนดีเป็นหัวใจสำคัญของแฟรนไชส์นี้ เขารู้มาตั้งแต่ต้นว่าเหล่าวานรอาจจะออกมาดูแปลกประหลาด ดังนั้นตั้งแต่วันแรกที่มาทำงาน เขาก็แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่เคยหยุดศึกษาพฤติกรรมและการแสดงออกทางสีหน้าของลิง เพราะฉะนั้นในภาคนี้เขาจึงสามารถถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ของซีซาร์ซึ่งมาถึงจุดสูงสุดในบรรดาหนังทั้งสามภาค ด้วยการแสดงที่แทบจะถอดมาจากละครเชกสเปียร์ แอนดีเป็นส่วนสำคัญที่สร้างพลังทางอารมณ์ให้หนังเรื่องนี้”
“งานนี้ท้าทายและสะเทือนอารมณ์มากที่สุดเท่าที่แอนดีเคยทำมา” คลาร์กเสริม “ด้วยทักษะที่โดดเด่นของเขา เขาได้สร้างซีซาร์ให้เป็นตัวละครตามแบบฉบับในตำนาน ขณะเดียวกันก็สะท้อนอารมณ์ที่เจ็บปวดด้วย”
วู้ดดี ฮาร์เรลสัน ผู้รับบทเป็นผู้พันซึ่งต้องปะทะกับซีซาร์ในหลายๆ แง่ ก็รู้สึกทึ่งในความสามารถของเซอร์คิสเช่นกัน “แอนดีเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยพบมา” เขาให้ความเห็น “ผมอึ้งไปเลยเมื่อได้เห็นว่าเขาถ่ายทอดพลังได้มหาศาลมากแค่ไหนโดยไม่ต้องพูดเลยสักคำเดียว ผมคิดว่าไม่เคยพบความสามารถในการสื่ออารมณ์ผ่านสายตาอย่างถึงขีดสุดระดับนี้มาก่อน ในฐานะนักแสดง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเปรียบเทียบเขากับใครดี… เขาโดดเด่นจนหาตัวจับยาก เขาเล่นได้ประทับใจมากจนบางครั้งผมต้องปรบมือให้เขาเลยพอเล่นจบเทค”
เซอร์คิสให้ความเห็นว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะรีฟส์สร้างบรรยากาศการทำงานซึ่งเน้นการทำความเข้าใจอารมณ์เบื้องลึกของซีซาร์ โดยถือว่าเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การถ่ายทอดภาพของซีซาร์ให้มีชีวิตขึ้นมา
“แม็ตต์ทุ่มเทให้เรื่องนี้แบบสุดตัว” เซอร์คิสอธิบาย “เขามีสายตาที่แหลมคมในการใช้กล้อง แต่กุญแจสำคัญคือเขาไม่เคยทิ้งเรื่องการแสดง สิ่งสำคัญคือการดึงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาในทุกๆ ช่วง แม้กระทั่งในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายที่สุด เขาก็ยังคงมองหาหัวใจสำคัญของตัวละครเหล่านี้”
สิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้เซอร์คิสมากที่สุดในการสร้างตัวละครซีซาร์อาจเป็นแนวคิดที่ว่า ซีซาร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สะท้อนแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับตัวละครสัตว์ในนิทาน ข้อนี้ยิ่งปรากฏชัดในภาคนี้ เมื่อซีซาร์เดินทางผ่านห้วงเวลาของความขัดแย้งระดับโลกซึ่งดูคล้ายหลายช่วงในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่ข้อแตกต่างสำคัญอยู่ที่การมองเหตุการณ์เหล่านี้ผ่านมุมมองอันเปิดเผยของสิ่งมีชีวิตซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสัตว์ป่า
“ผมคิดว่าการถ่ายทอดการต่อสู้ดิ้นรนขั้นพื้นฐานของมนุษย์ผ่านสายตาของวานรช่วยให้ผู้ชมได้เข้าถึงอารมณ์ของมนุษย์อย่างถึงแก่นมากยิ่งขึ้น” เขาให้ความเห็น “เรารู้ว่าสายพันธุ์ลิงใหญ่เป็นญาติสนิทที่สุดของเรา พวกมันมีส่วนเหมือนเราอยู่ 97 เปอร์เซ็นต์ ถึงอย่างนั้นเราก็ยังมองโลกแตกต่างกัน บางทีการให้พวกมันได้ส่งเสียงและการได้มองโลกผ่านสายตาที่แตกต่างของพวกมัน อาจช่วยให้เราได้ออกมายืนข้างนอกตัวเราเองและมองเห็นตัวเองอย่างละเอียดลึกซึ้งอย่างที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน”
นักรบคนสุดท้ายของมนุษยชาติ: วู้ดดี ฮาร์เรลสัน ในบทผู้พัน
เขาอาจเป็นความหวังสุดท้ายท่ามกลางความสิ้นหวังของมนุษยชาติ ผู้พัน เจ เวสลีย์ แม็คคัลล็อค เป็นศัตรูที่เหล่าวานรเกรงกลัวมากที่สุด นักสู้ผู้แข็งแกร่งไร้ความปราณีรายนี้เชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าเขาและกองทหารที่แยกตัวออกมามีเหตุผลรองรับที่จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อรักษามวลมนุษยชาติที่หลงเหลืออยู่และยุติการเรืองอำนาจของพวกวานรเมื่อยังทำได้
แรงจูงใจส่วนหนึ่งของผู้พันก็คือการที่เขามีลางสังหรณ์ว่าขณะที่พวกวานรมีวิวัฒนาการสูงขึ้น ไวรัสไข้หวัดลิงก็กำลังส่งผลตรงกันข้ามต่อมนุษย์ มนุษย์มีพัฒนาการที่ถดถอยและเริ่มสูญเสียความสามารถในการพูด ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่เกินจินตนาการสำหรับสายพันธุ์ซึ่งเคยครองโลก ด้วยเหตุนี้เขาจึงมุ่งมั่นทำภารกิจเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการลิดรอนอำนาจของผู้นำวานร และยิ่งเขาได้เห็นว่าซีซาร์มีมันสมองและความคิดที่ลึกซึ้ง เขาก็ยิ่งกลัวว่าวันเวลาของมนุษย์จะหมดลงหากไม่มีใครหยุดยั้งพวกวานรเสียตั้งแต่ตอนนี้
แม็ตต์ รีฟส์ อธิบายว่า “ซีซาร์ฉายรัศมีของความเป็นตำนานและความลึกลับทั้งในหมู่มนุษย์และวานร ผู้พันจึงเชื่อว่าหากมนุษย์สามารถค้นหาและโค่นล้มอำนาจของซีซาร์ลงได้ สถานะของพวกวานรก็จะคลอนแคลนและเป็นโอกาสให้มนุษย์ได้ฟื้นตัว”
ผู้ร่วมเขียนบทมาร์คบอมแบ็คเสริมว่า “เราตั้งมาตรฐานเอาไว้สูงสำหรับผู้พันเพราะเราต้องการให้เขาน่าสนใจไม่แพ้ตัวละครวานรในหนังเขาเป็นที่ชื่นชมบูชาและเป็นคนที่มีแนวคิดหมิ่นเหม่ว่าด้วยการทำทุกวิถีทางเพื่ออยู่รอดปรัชญาของผู้พันคือคนกลุ่มนี้ต้องแบกรับภาระในการปกป้องมนุษยชาติเอาไว้ดังนั้นการกระทำแทบทุกอย่างจึงถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้”
เพื่อหานักแสดงมารับบทนี้ทีมผู้สร้างรู้ว่าต้องการนักแสดงที่มีพลังดึงดูดเป็นคนที่สามารถต่อกรกับความยิ่งใหญ่ของเหล่าวานรด้วยส่วนผสมที่ผันแปรระหว่างความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวกับความสิ้นหวังของมนุษย์ทีมงานได้เลือกหนึ่งในนักแสดงนำที่รับบทบาทหลากหลายมากที่สุดคนหนึ่งของยุคนี้และเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วสองครั้งวู้ดดีฮาร์เรลสันเขากำลังจะปรากฏตัวในบทบาทที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในThree Billboards Outside Ebbing, Missouri และ The Glass Castle ในปีนี้ด้วย
“วู้ดดีเป็นนักแสดงที่ฉลาด สร้างสรรค์ และเข้าถึงบทบาทได้เป็นอย่างดี” รีฟส์บรรยาย “เราทั้งคู่มองว่าผู้พันจะต้องมีความเป็นมนุษย์ให้มากที่สุดเพื่อให้คนเข้าใจการกระทำที่สุดขั้วของตัวละครนี้ บทสนทนาระหว่างเราช่วยสร้างตัวละครผู้พันให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และเขาก็มีแนวคิดที่ดีมากๆ ผมกับมาร์คก็เลยใส่มันลงไปในบทด้วย”
ฮาร์เรลสันมองว่าตัวละครตัวนี้มีความยิ่งใหญ่น่าตื่นเต้น “ผู้พันเป็นคนที่มีความคิดแบบทหาร เขาเข้าใจสงครามดี” ฮาร์เรลสันอธิบาย “เมื่อได้เห็นวานรเข้าครองโลกพร้อมกับการระบาดของไข้หวัดลิง เขาจึงมองว่าในเมื่อตนเองเป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งมีทักษะความสามารถ เขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องมนุษยชาติไว้”
ปีเตอร์ เชอร์นิน กล่าวว่า “เวลาวู้ดดีรับบทเป็นผู้พัน คุณจะไม่ได้มองว่าเขาเป็นตัวร้าย แต่เป็นคนที่เชื่อว่าตัวเองกำลังต่อสู้ในสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องมนุษย์ คุณจะเห็นว่าเขาชื่นชมซีซาร์ เคารพในตัวซีซาร์อย่างแท้จริง และเช่นเดียวกับซีซาร์ เขาเองก็กำลังมองลึกลงไปในด้านมืดภายในจิตใจของตนเอง”
แม้ว่าผู้พันเป็นศัตรูผู้เหี้ยมโหดสำหรับเหล่าวานร ฮาร์เรลสันกล่าวว่าเช่นเดียวกับในสงครามอื่นๆ คุณจะมองเขาเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ฝั่งไหน สำหรับมนุษย์บางคนที่ได้เห็นการทำลายล้างอารยธรรมของตน ผู้พันเป็นเสมือนตัวแทนของความหวัง ฮาร์เรลสันอธิบายว่า “คุณจะมองผู้พันเป็นตัวร้ายในหนังเรื่องนี้ก็ได้ แต่ผมมองว่าเขารู้สึกเหมือนถูกเรียกให้มาทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่และสำคัญอย่างยิ่งในยุคมืดที่มนุษยชาติต้องเผชิญ”
ความทุ่มเทเต็มที่ของรีฟส์ในโครงการนี้จุดประกายให้ฮาร์เรลสัน “แม็ตต์มีวิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดา แล้วเขาก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาจะไม่ยอมหยุดทำงานจนกว่าจะรู้สึกว่าได้รับผลลัพธ์ที่ถูกต้องแล้วเท่านั้น ผมต้องคารวะเขาจริงๆ ในจุดนี้เพราะเขาเป็นคนที่เล็งผลเลิศเสมอ”
เช่นเดียวกับที่ฮาร์เรลสันประทับใจในการแสดงของเซอร์คิส เซอร์คิสก็ได้แรงกระตุ้นจากการรับบทเป็นผู้พันของฮาร์เรลสันเช่นกัน “สำหรับผม ความรื่นรมย์อย่างหนึ่งของการเล่นหนังเรื่องนี้ก็คือการทำงานกับวู้ดดี” เซอร์คิสให้ความเห็น “เราสนิทกันมาก เขาเป็นคนที่ตรงไปตรงมาดังนั้นจึงเป็นนักแสดงที่เล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตัวละครของเขาหายใจเข้าออกตามความเชื่อของตัวเองทำให้เขาดูน่าตื่นเต้นเร้าใจ เราเล่นฉากเน้นอารมณ์ที่สำคัญมากอยู่ฉากหนึ่ง เป็นฉากที่เราต้องคอยรับส่งกันตลอด และผมก็เห็นว่าวู้ดดีเล่นได้น่าประทับใจเลยล่ะครับ”
เซอร์คิสกล่าวต่อไปว่า “วู้ดดีกับผมต่างก็เข้าไปในความคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเราต้องทำเพราะตัวละครเหล่านี้ต่อสู้กันอยู่ ซีซาร์กับผู้พันเข้าใจในตัวอีกฝ่ายหนึ่งทั้งๆ ที่ทั้งสองเป็นหัวหน้าของเผ่าพันธุ์ที่กำลังจะปะทะกันอย่างรุนแรง พวกเขาเคารพซึ่งกันและกันอย่างน่าประหลาด ซึ่งวู้ดดีเองก็เข้าใจในจุดนี้ วู้ดดีช่วยให้ผมค้นพบความรู้สึกลังเลในตัวซีซาร์เพราะผู้พันที่เขาเล่นไม่ใช่ตัวร้ายอย่างตรงไปตรงมา วู้ดดีถ่ายทอดอารมณ์ที่จริงใจจนเขาสามารถสร้างตัวละครที่น่าค้นหาขึ้นมาในตัวผู้พัน และซีซาร์ก็ต้องยอมรับว่าทั้งสองมีบางอย่างที่เหมือนกัน”
ในบรรดาผู้ติดตามของผู้พันซึ่งพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมนุษยชาติ หนึ่งในนั้นคือ พรีชเชอร์ ทหารผู้ซื่อสัตย์ซึ่งใช้หน้าไม้เป็นอาวุธ ผู้มารับบทสำคัญนี้คือเกเบรียล ชาวาร์เรีย ซึ่งเป็นที่รู้จักจากบทบาทในซีรีส์ East Los High ทาง Hulu ชาร์วาร์เรียเข้าใจว่าทำไมพรีชเชอร์จึงทุ่มเทให้ผู้พัน ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะสับสนยุ่งเหยิงและบ้าคลั่งมากเพียงใดก็ตาม “พรีชเชอร์คอยติดตามผู้พันเพราะในยุคหลังวันสิ้นโลก ผู้พันเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่มีวิสัยทัศน์ในการผ่านพ้นจากสถานการณ์นี้” เขากล่าว “แต่ซีซาร์มีความเป็นมนุษย์ในตัวเองมากจนชวนสับสน พรีชเชอร์ยังคงซื่อสัตย์ต่อผู้พัน แต่เขาก็สองจิตสองใจเพราะซีซาร์ไม่ใช่วานรธรรมดาและถึงที่สุดแล้วทั้งสองอาจต้องการสิ่งเดียวกันก็ได้”
เด็กน้อยหลงทาง: เอไมอาห์ มิลเลอร์ ในบทโนวา
ตัวละครที่น่าประหลาดใจที่สุดตัวหนึ่งในWar For The Planet of the Apes ไม่ใช่วานรหรือชายคนไหน…แต่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่มีความกล้าหาญน่าทึ่ง เป็นเด็กที่ได้รับไวรัสและเป็นใบ้ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่าโนวา เธอกลายเป็นส่วนสำคัญในการเดินทางสู่บ้านใหม่ของเหล่าวานร
ความมหัศจรรย์ในตัวโนวาไม่ได้หลุดรอดสายตาของรีฟส์และบอมแบ็คบอมแบ็คกล่าวว่า “เธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กกำพร้าที่ใช้ชีวิตอยู่กับพวกวานรแม็ตต์กับผมคิดทันทีเลยว่าเธอดูเหมือนตัวละครที่หลุดออกมาจากเทพนิยายตั้งแต่โกลดิล็อคส์มาจนถึงหนูน้อยหมวกแดงมีเรื่องราวมากมายที่พูดถึงเด็กหญิงตัวน้อยในป่าซึ่งได้พบสัตว์อันตรายที่กลายมาเป็นผู้ปกป้องเธอนั่นเป็นแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งสำหรับตัวละครโนวาและชื่อโนวาเองก็เกี่ยวข้องกับหนังภาคดั้งเดิมด้วย”
“ความงดงามอย่างหนึ่งในตัวโนวาก็คือแม้กระทั่งในโลกที่ถูกแบ่งแยก คุณก็จะเห็นว่ายังมีวานรและมนุษย์ที่สร้างสายสัมพันธ์ทางอารมณ์อันลึกซึ้งได้” ปีเตอร์ เชอร์นินกล่าว “ในเวลาที่ซีซาร์อยู่ในความมืดมน เวลาที่เขาเกลียดชังมนุษย์ทุกคน โนวากลับเข้าถึงเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้ โนวาช่วยให้เราได้เห็นการเติบโตของไวรัสไข้หวัดลิงและความหมายของการอยู่รอดสำหรับมนุษย์ด้วย”
ผู้มารับบทบาทซึ่งซับซ้อนและต้องใช้ความสามารถสูงสำหรับนักแสดงเด็กนี้คือเอไมอาห์ มิลเลอร์ นักแสดงวัย 12 ปีซึ่งมารับบทในหนังใหญ่เป็นเรื่องแรก รีฟส์เล่าว่ามิลเลอร์ได้บทนี้มาอย่างไร “เอไมอาห์เป็นนักแสดงเด็กที่มีสัญชาตญาณดีมาก ตอนที่เธอเข้ามาทดสอบบท เราทิ้งบทหนังไปเลยแล้วผมก็ขอให้เธอเล่นกับตัวละครวานร เห็นได้ชัดตั้งแต่ตอนนั้นว่าเธอมีความพิเศษและมีความสามารถเกินวัยไปมาก เธอและนักแสดงคนอื่นๆ กลายเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน เธอมีอนาคตอันสดใสรออยู่ข้างหน้า และผมก็รอคอยที่จะได้เห็นว่าเธอจะทำอะไรต่อไป”
เนื่องจากโนวามีความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับลิงอุรังอุตัง มอริซ ซึ่งยืนยันให้พาเธอร่วมการเดินทางอันยาวไกลของพวกวานรด้วย มิลเลอร์จึงใช้เวลาหนึ่งเดือนทำงานกับแคริน โคโนวัล ผู้รับบทเป็นมอริซ “เอไมอาห์กับฉันจะต้องมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งเหนียวแน่นจริงๆ” โคโนวัลกล่าว “ดังนั้นเราฉันก็เลยได้ทำความรู้จักกันโดยไม่ต้องพูดในฐานะมอริซและโนวาก่อนที่เราจะเริ่มต้นคุยอะไรกันด้วยซ้ำ โชคดีที่เราสร้างสายสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ และทุกอย่างก็เริ่มต้นจากจุดนั้น น่ามหัศจรรย์ที่ทีมผู้สร้างให้โอกาสเราได้พัฒนาความผูกพันที่แท้จริงขึ้นมา”
ดีแลน คลาร์ก กล่าวว่า “แม็ตต์, เด็บ เซน ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกนักแสดง และผม เห็นตรงกันว่ามีนักแสดงเด็กเพียงคนเดียวที่ควรมารับบทเป็นโนวา และคนคนนั้นก็คือเอไมอาห์”
ผู้หลบหนี: สตีฟ ซาห์น ในบทแบดเอพ
ตัวละครใหม่อีกตัวหนึ่งได้มานำเสนอสถานการณ์ที่ผกผันสำหรับเหล่าวานรทั่วโลกเมื่อไวรัสไข้หวัดลิงระบาดเขาเป็นลิงชิมแพนซีที่มีความฉลาดและหนีออกมาจากสวนสัตว์พยายามฝ่าฟันในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปและเริ่มใช้ภาษาขั้นพื้นฐานด้วยตนเองลิงซึ่งเรียกตัวเองว่าแบดเอพนี้รับบทโดยสตีฟซาห์น (Dallas Buyer’s Club, Rescue Dawn) ผู้ผสมผสานความขำขันลงไปในตัวละคร
แม็ตต์รีฟส์กล่าวว่า “แบดเอพเป็นตัวละครสำคัญที่ช่วยให้เรื่องราวนี้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นเขาตลกมากแต่ตัวละครนี้ทำให้คุณได้เห็นด้วยว่าไวรัสได้แพร่กระจายออกไปสู่สิ่งมีชีวิตมากมายและโลกของวานรสติปัญญาสูงก็กำลังรออยู่เป็นโลกที่กำลังพัฒนาจนกลายเป็นเหมือนอย่างที่คุณเห็นในPlanet of the Apes ฉบับดั้งเดิมเมื่อปี 1968 ในแง่ตัวละคร แบดเอพถือเป็นตัวละครโปรดตัวหนึ่งของเรา”
“การเขียนบทให้แบดเอพถือเป็นส่วนที่สนุกที่สุดครับ” มาร์คบอมแบ็คเสริม “เรามักต้องหยุดตัวเองไม่ให้ไปไกลเกินไปเพราะเขาเป็นตัวละครที่เยี่ยมมากเขาอาจแย่งพื้นที่บททั้งเรื่องไปง่ายๆเลยแต่เราคิดว่าสิ่งสำคัญก็คือการแสดงให้เห็นว่ามีวานรอยู่ในโลกภายนอกซึ่งต่างก็มีเรื่องราวของตนเอง”
เมื่อซาห์นก้าวเข้ามารับบทนี้แบดเอพก็กลายเป็นตัวละครที่มีบุคลิกสมบูรณ์มากขึ้น “ผมติดตามผลงานของสตีฟมาตลอดครับผมว่าเขาแสดงได้เป็นธรรมชาติตลกและน่าประหลาดใจแต่สิ่งที่ผมไม่คาดหวังมาก่อนก็คือเขาเป็นนักแสดงที่ถ่ายทอดอารมณ์สะเทือนใจได้ดีด้วย” รีฟส์กล่าว “เขาทำให้แบดเอพมีชีวิตชีวาและอารมณ์ขันแต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือมีอารมณ์ความรู้สึกและความลึกซึ้งด้วยเขามีความละเอียดอ่อนและเป็นหัวใจของตัวละครแบดเอพอย่างแท้จริง”
ซาห์นชอบการสร้างตัวละครที่ออกมาสู่โลกภายนอกเมื่อได้ค้นพบชุมชนวานรที่เพิ่งเกิดใหม่ “ครั้งแรกที่เราได้พบเขานั้นแบดเอพไม่ได้เห็นพวกเดียวกันมานานหลายปีแล้ว” ซาห์นอธิบาย “เขาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังคล้ายคนป่าเขาใช้ภาษาได้เพราะเรียนมาจากคนดูแลสวนสัตว์ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อให้ตัวเองว่าแบดเอพความจริงเขาตรงกันข้ามกับชื่อเลยแต่เขาถูกเรียกว่าแบดเอพเพราะเขาเป็นสัตว์ที่ซุกซนตอนอยู่ที่สวนสัตว์คนเรียกเขาว่า ‘เจ้าลิงร้ายเจ้าลิงร้าย’ มันเลยกลายเป็นชื่อที่ติดมา”
War For The Planet Of The Apes นับเป็นครั้งแรกที่ซาห์นมารับบทบาทที่ใช้การจับความเคลื่อนไหวในการแสดง และเขาก็ปรับตัวเข้ากับงานนี้ได้อย่างรวดเร็ว “ตอนแรกผมคิดว่ามันคงเน้นเรื่องเทคนิค แต่ที่จริงผมกลับรู้สึกว่ามันคล้ายงานละครมาก” เขาอธิบาย “มันทำให้ผมนึกถึงการเล่นละครเวที การรับบทเป็นแบดเอพเป็นความจริงที่ถูกเสริมแต่งขึ้นมาซึ่งจะต้องมาจากทั้งในแง่กายภาพและแง่อารมณ์รวมกัน”
จิตสำนึกของซีซาร์: แคริน โคโนวัล ในบทมอริซ และเทอร์รี โนทารี ในบทร็อกเก็ต
เมื่อซีซาร์เริ่มไขว้เขวในแง่หลักการทางศีลธรรมวานรที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุดพยายามรักษาศรัทธาในตัวเขาในฐานะผู้นำโดยเฉพาะอย่างยิ่งมอริซซึ่งพยายามปลุกซีซาร์ผู้ทรงความยุติธรรมและทรงคุณธรรมให้กลับมาผู้กลับมารับบทลิงอุรังอุตังผู้แน่วแน่รายนี้เป็นครั้งที่สามก็คือแครินโคโนวัล
ความรู้เรื่องวานรอย่างลึกซึ้งซึ่งเธอนำมาใช้ในบทมอริซกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัวละครนี้มีความสมจริงน่าค้นหา “แครินน่าทึ่งมากครับ” แม็ตต์รีฟส์กล่าว “เธอสามารถสร้างตัวละครมอริซให้สมจริงได้อย่างน่าเหลือเชื่อเธอผูกพันทางจิตใจกับเหล่าอุรังอุตังจากการทำงานในหนังทั้งสามภาคและสัญชาตญาณของเธอก็สร้างความประหลาดใจให้ผมได้เสมอ”
โคโนวัลเคารพในตัวมอริซ แม้ว่าตัวละครนี้ทำให้เธอต้องก้าวกระโดดไปรับบทเป็นอีกเพศหนึ่งและอีกสายพันธุ์หนึ่ง เธอกล่าวว่า “อุรังอุตังมีความมั่นคงหนักแน่นในสิ่งที่ตัวเองเป็น และฉันรู้สึกว่านั่นคือแก่นแท้ของความเป็นมอริซ เขาช่างสังเกต และเมื่อเขาทำอะไรก็ตาม เขาก็ตั้งใจจริง ฉันคิดว่าเขาคือจิตสำนึกของซีซาร์ เขาเป็นที่ปรึกษาให้ซีซาร์มานานและเขาก็ทุ่มเทอุทิศตัวเพื่อซีซาร์อย่างเต็มที่”
แม้ว่าเธอจะคุ้นเคยดีกับการรับบทเป็นมอริซ แต่โคโนวัลก็ยังคงสำรวจตัวละครนี้แบบเจาะลึกมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเตรียมตัวมารับบทในภาคนี้ เธอใช้เวลาอยู่กับโทแวน อุรังอุตังเพศผู้ซึ่งน่าจะมีอายุมากที่สุดในโลกในปัจจุบันที่สวนสัตว์วู้ดแลนด์พาร์คในซีแอตเทิล มันเป็นลิงที่ชอบวาดรูปและได้ช่วยให้เห็นว่าสัตว์ตระกูลไพรเมทที่ไม่ใช่มนุษย์นั้นมีความพิเศษและซับซ้อนมากเพียงใดในโลกส่วนตัวของพวกมัน น่าเศร้าที่โทแวนเสียชีวิตลงไม่กี่วันหลังจากสิ้นสุดการถ่ายทำ War For The Planet Of The Apes
โคโนวัลยังจำสิ่งที่อุรังอุตังตัวนี้สอนให้เธอได้ “เขาช่วยให้ฉันสร้างตัวตนภายในของมอริซขึ้นมา” เธอกล่าว “ฉันต้องขอบคุณโทแวนมากจริงๆ ค่ะ โอกาสที่จะได้สังเกตดูอุรังอุตัง และทำความรู้จักพวกมันรวมถึงกลุ่มนักอนุรักษ์อุรังอุตัง ถือเป็นข้อขวัญชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งที่ฉันได้รับ ชื่อของโทแวนแปลว่า ‘อาจารย์’ และเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาที่เขามองจ้องตาคุณ ไม่มีอะไรที่จะมาเทียบได้เลย และนั่นคือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันในการค้นหาจิตวิญญาณของมอริซ”
ในภาคนี้ จิตวิญญาณของมอริซถูกดึงไปสู่ทิศทางที่ไม่คาดฝันเมื่อเขามาผูกพันกับลูกมนุษย์กำพร้า โนวา ด้วยการสร้างสายสัมพันธ์ที่เหนือคำพูด “ฉันสนุกมากเวลาเป็นคนที่ไปทำความรู้จักกับอุรังอุตัง จึงเป็นเรื่องดีที่ได้นำสถานการณ์นั้นมาพลิกกลับและรับบทเป็นอุรังอุตังที่สร้างสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมนุษย์” โคโนวับกล่าว “การรับบทเป็นมอริซเป็นการเดินทางที่เต็มเปี่ยมมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ”
แอนดีเซอร์คิสระบุว่าการรับบทเป็นมอริซโดยโคโนวัลนั้นจุดประกายให้เขาในการรับบทซีซาร์ “แครินทุ่มเทชีวิตจิตใจให้บทมอริซและเธอก็นำความรู้เรื่องพฤติกรรมวานรมาใช้ทำให้มันดูสมจริงมาก” เขาตั้งข้อสังเกต “สำหรับเธอแล้วนี่ไม่ใช่การเลียนแบบสัตว์แต่เป็นการทำความเข้าใจโลกภายในของพวกมันและคุณก็ได้ตระหนักว่าสิ่งนี้เองที่ทำให้บทนี้มีชีวิตขึ้นมา”
นักแสดงและผู้ออกแบบท่าทางที่ประสบความสำเร็จ เทอร์รี โนทารี กลับมารับบทเป็นร็อคเก็ต มือขวาของซีซาร์ รวมถึงทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนท่าทางให้นักแสดงที่รับบทเป็นลิงทั้งหมด รีฟส์เรียกโนทารีว่าเป็น “ปรมาจารย์เซ็นของเหล่าวานร” ผู้กำกับรายนี้บอกด้วยว่า “เขาทำงานด้วยความรักความทุ่มเทซึ่งส่งต่อถึงกันได้ ไม่เพียงแต่เขาได้ช่วยให้ร็อกเก็ตมีชีวิตขึ้นมาอย่างงดงาม แต่ยังได้เล่นเป็นวานรอีกนับไม่ถ้วนในหนังเรื่องนี้ และฝึกสอนนักแสดงทุกคนให้รู้วิธีเคลื่อนไหวและแสดงเป็นวานร เขาเป็นศิลปินอย่างแท้จริง”
โนทารีกล่าวถึงร็อกเก็ตว่า “เขาเป็นเพื่อนคู่คิดและเพื่อนสนิทของซีซาร์เสมอ แต่ในหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าเขากำลังค้นพบจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในชีวิต ซึ่งก็คือการปกป้องซีซาร์ให้ปลอดภัย ร็อกเก็ตเคยผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกับที่ซีซาร์ได้สัมผัสในภาคนี้ เขาจะคอยดูแลให้ซีซาร์ผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้ คอยปกป้องซีซาร์ในยามที่เขาหลงทาง”
โนทารีกล่าวว่าร็อกเก็ตยังเชื่อด้วยว่าควรทิ้งช่องว่างให้ซีซาร์ได้ต่อสู้กับจิตสำนึกของตัวเอง “ร็อกเก็ตรู้ว่าความโกรธแค้นอันมืดบอดของซีซาร์นั้นอันตราย แต่เขาก็รู้ว่าซีซาร์ต้องผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ไปให้ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นร็อกเก็ตจึงต้องวางสมดุลระหว่างการรักษาระยะห่าง พร้อมกับต้องดูแลให้ซีซาร์ทำหน้าที่ผู้นำต่อไปให้ได้ เป็นการเดินทางที่ลึกซึ้งและท้าทายสำหรับทั้งคู่”
เซอร์คิสก็ได้รับแรงสนับสนุนจากการทำงานกับโนทารีด้วย “ร็อกเก็ตมีพัฒนาการที่น่าทึ่งในเรื่องนี้ เขาผูกพันกับซีซาร์อย่างลึกซึ้งและซีซาร์ก็ไว้วางใจเขาในฐานะเพื่อนที่สนิทที่สุด” โนทารีกล่าวถึงการร่วมงานกันระหว่างทั้งสอง “สิ่งที่น่าทึ่งในตัวแอนดีก็คือเขาสามารถปล่อยอารมณ์อันบริสุทธิ์ออกมาโดยไม่ต้องฝืนตัวเองเลย ผมสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของซีซาร์ปรากฏออกมาในหลากหลายรูปแบบและมันก็ช่วยเป็นพลังให้เรา”
ยกมาตรฐานการจับความเคลื่อนไหว
พัฒนาการของเทคโนโลยีการจับความเคลื่อนไหวในการแสดงซึ่งสามารถบันทึกแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กน้อยของความเคลื่อนไหวท่าทางและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครแอนิเมชันซึ่งเล่นโดยนักแสดงที่เป็นมนุษย์ได้นำไปสู่การสร้างสรรค์บุคลิกอันน่าจดจำในภาพยนตร์หลายเรื่องรวมถึงวานรที่ปรากฏในRise of the Planet of the Apes และ Dawn of the Planet of the Apes
แต่การหลอมรวมเทคโนโลยีนี้เข้ากับการแสดงของมนุษย์ยังคงไม่เสถียรและได้รับการยกระดับอยู่เรื่อยๆ แอนดี เซอร์คิส มองว่าระยะหลังมานี้มีความก้าวหน้าอย่างชัดเจนในการทำงานของนักแสดงร่วมกับเทคโนโลยีการจับความเคลื่อนไหว เช่น ในบทซีซาร์ซึ่งปรากฏในหนังเรื่องนี้และเป็นบทที่เขาตั้งใจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
“นักแสดงเริ่มเข้าใจว่าเวลาแสดงผ่านเทคโนโลยีนี้ คุณไม่ได้เป็นแค่นักแสดงแทนตัวละครซึ่งจะถูกสร้างขึ้นภายหลัง คุณไม่ใช่ ตัวแทน ของตัวละคร แต่คุณต้อง กลายเป็น ตัวละครนั้น” เขาอธิบาย “จากมุมมองของผม ไม่ได้มีความแตกต่างเลยระหว่างการรับบทที่ต้องใส่ชุดจับความเคลื่อนไหวในการแสดงกับบทที่ต้องแต่งตัวแต่งหน้า ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อยครับ”
เซอร์คิสเล่าว่าเขาเคยคุยกับวู้ดดีฮาร์เรลสันว่าเขาตั้งความหวังเอาไว้อย่างไรในการทำงานร่วมกันโดยคนหนึ่งเป็นนักแสดงในชุดจับความเคลื่อนไหวอีกคนแสดงตามปกติแต่ทั้งสองต่างก็สวมบทบาทเป็นตัวละครของตนอย่างเต็มที่ตั้งแต่แรก “นักแสดงที่เล่นร่วมกับนักแสดงในชุดจับความเคลื่อนไหวอาจต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยอยู่บ้าง” เขากล่าว “แต่เมื่อคุณเริ่มสื่อสารกันคุณจะตระหนักว่าแม้คนหนึ่งจะมีกล้องอยู่บนหัวและจุดบนใบหน้าเราต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตจากจินตนาการอย่างเท่าเทียมกัน”
ความท้าทายใหม่สำหรับเซอร์คิสในคราวนี้ก็คือการถ่ายทอดความเจ็บปวดจากสถานการณ์ที่ซีซาร์ต้องเผชิญ เป็นสภาวะที่มีความเป็นมนุษย์อย่างมากแม้ตัวเขาจะไม่ได้มีร่างกายเป็นมนุษย์ก็ตาม นั่นหมายถึงการก้าวข้ามรูปลักษณ์ภายนอกในระดับหนึ่งด้วยการเผยความรู้สึกที่เป็นแก่นแท้ไร้สิ่งปรุงแต่งยิ่งกว่าในตัวละครมนุษย์
“ที่จริงแล้วทุกฉากของซีซาร์ในหนังเรื่องนี้มีอารมณ์หม่นมืดแฝงอยู่” เซอร์คิสชี้ “สำหรับผม กุญแจสำคัญคือการหันไปหาด้านมืดและความน่ากลัวเหมือนที่เราทำเวลาแสดงโดยไม่ใส่ชุดจับความเคลื่อนไหว นี่ไม่ใช่การแสดงละครใบ้ ถ้าคุณต้องการลงลึกให้ถึงก้นบึ้งของจิตใจใครสักคนอย่างจริงจัง ซึ่งนักแสดงทุกคนที่เล่นเป็นวานรก็ต้องทำในหนังเรื่องนี้ คุณต้องพร้อมที่จะเผยตัวเองออกมาอย่างหมดเปลือก”
ทีมผู้สร้างได้เลือกใช้บริการจากทีมศิลปินของ Weta Digital บริษัทวิชวลเอฟเฟ็กต์จากนิวซีแลนด์อีกเช่นเคย “การทำงานกับแดน เลมนอนและทีมศิลปินที่ Weta ช่วยสร้างแรงบันดาลใจได้มากเลยครับ” รีฟส์กล่าว “พวกเขายกระดับความเป็นไปได้อยู่ตลอดเวลาและผลลัพธ์ในหนังเรื่องนี้ก็บ่งบอกถึงมาตรฐานสูงสุดสำหรับงานวิชวลเอฟเฟ็กต์ในปัจจุบัน”
Weta Digital พัฒนาเทคโนโลยีการจับความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องตลอดการทำหนังทั้งสามภาคเพื่อให้แน่ใจว่า ไม่ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปทางใด การแสดงของนักแสดงก็จะได้รับการบันทึกเอาไว้เสมอเพื่อให้นักแอนิเมชันสามารถเห็นแรงขับเคลื่อนที่ปรากฏอยู่ในนั้น “ตอนที่เราถ่ายทำภาค Rise ยังไม่เคยมีการใช้เทคโนโลยีจับความเคลื่อนไหวในสภาพแวดล้อมเปิดนอกโรงถ่ายมาก่อน และเราก็เป็นรายแรกที่ถ่ายทำฉากลักษณะนี้ในป่า” ปีเตอร์ เชอร์นินกล่าว “มาตอนนี้เราไปถ่ายทำกันบนยอดเขาและในฉากหิมะ คนทั่วไปอาจไม่รู้ว่าฉากเหล่านี้ซับซ้อนเป็นพิเศษมากแค่ไหน ขนสัตว์เปียกน้ำเป็นงานดิจิตัลที่ยากที่สุดงานหนึ่ง และขนสัตว์ที่มีหิมะเกาะก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกระดับ ที่น่าสนใจคือมีบุคลากรด้านสเปเชียลเอฟเฟ็กต์จำนวนมากที่มาทำงานด้านนี้เพราะได้ดูหนัง Planet of the Apes ฉบับดั้งเดิม ทั้งที่หนังเรื่องนั้นใช้การแต่งหน้าและใส่ชุดคอสตูม นั่นก็เพราะว่ามันเป็นหนังที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการ มาตอนนี้พวกเขากำลังผลักดันเทคโนโลยีด้านซีจีที่ล้ำสมัยเพื่อสร้างภาพอย่างเช่นภาพวานรบนหลังม้าท่ามกลางหิมะ ซึ่งเป็นเรื่องที่พิเศษสุดจริงๆ”
“Weta ช่วยให้เราได้ทำสิ่งที่เคยได้แต่อยู่ในจินตนาการ” ดีแลน คลาร์ก เสริม
“Weta คือที่หนึ่ง” ผู้ร่วมอำนวยการสร้างและผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิชวลเอฟเฟ็กต์ไรอันสแตฟฟอร์ดเสริมเขาทำงานในหนังApe ภาคก่อนๆ มาเช่นกัน “พวกเขาเป็นที่หนึ่งด้านตัวละคร เป็นที่หนึ่งด้านการทำเอฟเฟ็กต์ขนสัตว์ และเป็นที่หนึ่งด้านการร่วมงานเชิงสร้างสรรค์กับทีมผู้สร้างหนัง”
หัวหน้าฝ่ายวิชวลเอฟเฟ็กต์ของ Weta แดนเลมนอนซึ่งได้เข้าชิงรางวัลออสการ์จากผลงานในภาคRise และ Dawn อธิบายว่านับตั้งแต่ถ่ายทำภาค Rise เทคโนโลยีการจับความเคลื่อนไหวได้พัฒนาไปมากไม่แพ้วิวัฒนาการของพวกวานร ข้อจำกัดต่างๆ ได้ถูกกำจัดไป เครื่องมือสร้างแอนิเมชันส่วนใบหน้าแบบเรียลไทม์ช่วยให้ศิลปินสามารถกำหนดแอนิเมชันบนใบหน้าซึ่งมีความซับซ้อนและแม่นยำได้อย่างรวดเร็ว ศิลปินจึงสามารถสร้างสีหน้าแบบใดๆ ก็ได้ โดยยังคงรักษาความถูกต้องตามการแสดงของนักแสดง ทั้งยังสามารถจัดการตัวละครนับร้อยๆ ตัวในฉากฉากเดียว
“ภาค Rise เป็นครั้งแรกที่เรานำเอาเทคโนโลยีการจับความเคลื่อนไหวมาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เราได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากจุดนั้น ซึ่งได้ส่งผลให้เทคโนโลยีการเรนเดอร์ของเราพัฒนาขึ้นมาก ระบบที่เราใช้จัดการขนสัตว์ การจัดรูปแบบแสงที่ส่องไปตามจุดต่างๆ และวัตถุต่างๆ ในฉากก็ได้รับการพัฒนาให้ละเอียดซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ความสมจริงที่คุณจะได้เห็นในหนังเรื่องนี้นั้นสูงกว่าเรื่องอื่นๆ มาก” เลมนอนกล่าว
หนังเรื่องนี้ยังได้มอบความท้าทายใหม่ให้ Weta ด้วยการมีวานรเป็นตัวละครหลักกว่าสิบตัวซึ่งมากกว่าในภาคก่อนๆ และพวกมันก็ยังพูดคุยกันได้คล่องกว่าเดิมด้วย “การสร้างสีหน้าและซิงค์ปากให้เข้ากับเสียงพูดได้อย่างน่าเชื่อถือนั้นนับเป็นเรื่องที่ท้าทาย แค่ทำให้ตัวละครหนึ่งตัวก็ยากแล้ว แต่นี่ตัวละครของเรามีเพิ่มมากขึ้น เราจึงต้องพัฒนาความสามารถในการจัดการกับใบหน้าเพื่อให้ผู้ชมเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น” เลมนอนกล่าว “เราได้ปรับปรุงสิ่งต่างๆ ไม่เพียงในแง่เทคโนโลยี แต่รวมถึงในเชิงศิลปะด้วย”
หนังภาค War ยังเป็นการนำเทคโนโลยีการจับความเคลื่อนไหวมาใช้ในรูปแบบใหม่เป็นครั้งแรก นั่นคือการนำมาใช้ในสภาพอากาศที่สุดขั้วรวมถึงหิมะตก เลมนอนอธิบายถึงภารกิจอันยากลำบากนี้ว่า “เราต้องดำเนินกระบวนการที่ละเอียดอ่อนมากอยู่แล้ว และต้องนำมันไปปรับใช้อย่างระมัดระวังกับพื้นที่ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งและมีหิมะโปรยปราย มันน่าตื่นเต้น เพราะเราได้เปิดรับความเป็นไปได้ที่จะใช้เทคโนโลยีการจับความเคลื่อนไหวในสถานที่ทุกแห่ง มีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทุกรูปแบบ โดยยังมั่นใจเต็มที่ว่าได้ถ่ายทอดรายละเอียดทั้งหมดที่ได้จากนักแสดง”
ในขณะเดียวกันไรอันสแตฟฟอร์ดก็ได้ควบคุมบุคลากรด้านวิชวลเอฟเฟ็กต์ราว 50 คนและดูแลหน่วยกล้องสังเกตการณ์ที่ใช้คน 10 คนกล้องจับความเคลื่อนไหวรวม 35-45 ตัวรวมถึงทีมผู้แปลงผลข้อมูลผู้สำรวจข้อมูลและช่างภาพที่คอยเก็บข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดในฉากแต่ละฉากแค่งานสำรวจอย่างเดียวก็เป็นเรื่องใหญ่มากแล้ว “เพราะขณะถ่ายทำเราไม่รู้ว่าองค์ประกอบส่วนไหนที่จะถูกนำมาสร้างด้วยซีจีในตอนท้ายเราจึงต้องแน่ใจว่ารายละเอียดฉากและสถานที่ถ่ายทำทุกส่วนนั้นผ่านการสำรวจเก็บข้อมูลมาเรียบร้อยแล้วเราต้องใช้ทีมงานจำนวนมากเพื่อให้แน่ใจว่าของประกอบฉากทุกชิ้นอุปกรณ์ตกแต่งฉากทั้งหมดจนถึงก้อนกรวดทุกก้อนบนพื้นนั้นได้รับการถ่ายภาพเอาไว้เราทำการสแกนสามมิติตัวฉากในทุกตารางนิ้ว” เขาอธิบาย
สแตฟฟอร์ดกล่าวต่อไปว่า “จากนั้นเราก็มีระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เราเรียกว่าส่วนควบคุมภารกิจซึ่งจะต้องมีผู้ควบคุมมากมาย ทีมงานเหล่านี้คอยกดปุ่มบันทึกการจับความเคลื่อนไหวทั้งหมด ปรับโฟกัสของกล้อง และตรวจดูให้แน่ใจว่าข้อมูลที่เราได้รับนั้นเรียบร้อยดี เป็นงานที่หนักมากครับ เราต้องถ่ายทำทุกช็อตสองรอบ หรือบางครั้งก็สี่รอบ โดยพยายามนำเอากระบวนการทำงานที่ซับซ้อนทั้งหมดนี้ยัดลงไปในตารางการถ่ายทำแบบปกติ”
ความสำเร็จที่น่าพอใจมากที่สุดประการหนึ่งสำหรับทีมงานด้านการจับความเคลื่อนไหวก็คือฉากที่มอริซเริ่มทำความรู้จักกับโนวาเป็นครั้งแรกสแตฟฟอร์ดกล่าวว่า “ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพวกวานรนั้นละเอียดอ่อนมากจนนำมาซึ่งความซับซ้อนในการทำงานนับตั้งแต่การที่เส้นผมของเธอไปสัมผัสกับขนของมอริซและเสื้อผ้าของเธอแนบอยู่กับท้องของมอริซทั้งหมดนั้นต้องถูกนำมาประสานเข้าด้วยการอย่างระมัดระวังเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือและน่าประทับใจ”
เอฟเฟ็กต์ของเหล่าวานร: ความก้าวหน้าในงานวิชวลเอฟเฟ็กต์
ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการจับความเคลื่อนไหวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสำหรับ Weta ซึ่งได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนใหม่ในงานเอฟเฟ็กต์ดิจิตัลเพื่อสร้างสรรค์ภาพที่ใช้เอฟเฟ็กต์ขั้นสูงกว่า 1,400 ช็อตในหนังเรื่องนี้ ทีมงานภายใต้การดูแลของผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์อาวุโส โจ เล็ตเทอรี และผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ แดน เลมนอน มุ่งความสนใจไปยังการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่สมจริงระหว่างตัวละครวานรและสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ป้อมปราการลับไปจนถึงคุกของผู้พัน แนวคิดใหม่ๆ ที่ปรากฏในภาค War ได้แก่
ซอฟต์แวร์สร้างป่าแบบใหม่ที่มีชื่อว่า Totara เครื่องมือจำลองภาพรุ่นใหม่นี้สามารถจำลองรูปแบบการเติบโตของพืชพันธุ์ในธรรมชาติได้อย่างชาญฉลาด โดยต้นไม้สามารถปรับตัวตามพืชซึ่งขึ้นอยู่โดยรอบ รวมถึงเปลี่ยนแปลงรูปทรงและสีสันไปตามอายุด้วย พืชที่เพิ่งขึ้นจะเป็นสีแดง จากนั้นใบก็จะกลายเป็นสีเขียว และสีน้ำตาลตามธรรมชาติเมื่อเหี่ยวเฉาไป Weta มองว่าเครื่องมือนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของทิศทางอันน่าตื่นเต้นของเครื่องมือสร้างเอฟเฟ็กต์ธรรมชาติในช่วงทศวรรษข้างหน้า
ระบบจำลองขนสัตว์ขั้นสูง เทคโนโลยีการจำลองขนสัตว์ที่ใช้ในภาคนี้เหนือกว่าทั้งหมดที่เคยใช้กันมา นับเป็นการเพิ่มความซับซ้อนขึ้นไปอีกระดับในการจำลองภาพขนสัตว์ดิจิตัลที่มีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ความจำเป็นที่จะต้องนำเอาหิมะมาใช้ร่วมกับขนสัตว์ช่วยผลักดันนวัตกรรมใหม่ เนื่องจากทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์จะต้องคิดว่าหิมะติดอยู่บนขน เกาะเป็นกระจุก และร่วงลงมาในลักษณะใด ขณะที่วานรเดินไปในสภาพแวดล้อมที่มีหิมะ ในภาคนี้ยังมีการแต่งขนให้หนาขึ้นอีกด้วย เฉพาะซีซาร์เพียงตัวเดียวก็มีขนอยู่เกือบล้านเส้น
ชุดเครื่องมือ Manuka physLight ชุดเครื่องมือที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้มีความแม่นยำสูงในการกำหนดว่ากล้องจะจับแสงและตอบสนองต่อแสงอย่างไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือทีมงานสามารถให้แสงแก่เหล่าวานรได้ใกล้เคียงกับการจัดแสงของผู้กำกับภาพ โดยใช้กฏเกณฑ์การถ่ายภาพเช่นเดียวกันกับที่ใช้ในโรงถ่าย
หิมะถล่มแบบซีจี Weta ได้ศึกษาวิจัยอย่างจริงจังเพื่อสร้างฉากหิมะถล่มในหนังเรื่องนี้ ซึ่งรวมถึงการศึกษาหลักฟิสิกส์ด้านกลศาสตร์ของไหลเพื่อให้สามารถสร้างกลุ่มหิมะที่พุ่งลงมาจากภูเขาได้อย่างถูกต้องสมจริง
ค่ายวานรกับเทอร์รี โนทารี
ก่อนเริ่มต้นการถ่ายทำนักแสดงและผู้ออกแบบท่าทางเทอร์รีโนทารีได้จัดให้มีกิจกรรมที่เรียกกันว่าค่ายวานรโดยให้นักแสดงได้คุ้นเคยกับการทำพฤติกรรมแบบวานรรวมทั้งปรับรายละเอียดในการเคลื่อนไหวจังหวะและช่วงเวลานักแสดงทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ต้องเผชิญกับสภาพเงื่อนไขใหม่ของพวกวานรเมื่อพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลำตัวตั้งตรงมากขึ้นเริ่มสูญเสียความเป็นสัตว์ป่ารวมทั้งมองโลกในมุมมองใหม่
“วานรมีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ และยิ่งพวกมันมีวิวัฒนาการ เราซึ่งเป็นนักแสดงก็ต้องถ่ายทอดวิวัฒนาการนั้นตามไปด้วย โดยถ่ายทอดให้เห็นถึงความมีจิตสำนึก การรู้จักตนเอง ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมของพวกมัน” โนทารีอธิบาย
ค่ายวานรเริ่มต้นด้วยการนั่งนาน 20 นาที โนทารีอธิบายว่าการนำนักแสดงที่เป็นมนุษย์มาเปลี่ยนให้เป็นวานรที่มีสติปัญญาขั้นสูงนั้นต้องอาศัยกระบวนการฝึกสมาธิ “ก็ตลกดีครับ นักแสดงใหม่ๆ มักถามว่า ‘ผมต้องทำอะไรบ้าง จะให้ผมทำยังไง’ แต่สิ่งแรกเลยก็คือคุณไม่ต้องทำอะไร ที่จริงแล้วเราหยุดทำทุกสิ่ง นั่นล่ะครับคือกุญแจสำคัญ ตลอดการถ่ายทำหนังเหล่านี้ ผมได้พบว่ามันไม่ใช่เรื่องของการถ่ายทอดความเป็นวานรเลย แต่เป็นการดิ่งลึกลงไปในตัวคุณเอง ปรับมุมมองของคุณให้เปิดกว้างและอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะเปิดรับสิ่งต่างๆ และอ่อนแอบ้าง ผมได้เรียนรู้จากการรับบทเป็นร็อกเก็ตว่านั่นคือตัวผมในแบบที่ซื่อสัตย์ที่สุด”
เขากล่าวต่อไปว่า “อีกอย่างที่สำคัญคือ ในฐานะมนุษย์ เราอยู่ในตระกูลเดียวกับวานรอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ต้องทำอะไรมากเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น เราแค่ปลดสภาพเงื่อนไขของความเป็นมนุษย์ออก แค่คิดว่า ‘เอาล่ะ จะเป็นยังไงถ้าเราลดทอนความเป็นตัวเองลงให้เหลือแต่ความซื่อสัตย์จริงใจ ความเปิดกว้าง และสัญชาตญาณดั้งเดิม’”
โนทารีศึกษาข้อมูลอย่างกว้างขวางดูวิดีโอภาพกอริลลาลิงชิมแพนซีและลิงอุรังอุตังมากมายทั้งในป่าและในกรงแต่เขาเชื่อว่าเมื่อเราต้องการเคลื่อนไหวให้เหมือนวานรการลอกเลียนแบบนั้นไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุด “พวกวานรใหญ่เป็นสัตว์ที่น่าดูมากแล้วก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ตราบใดที่คุณไม่พยายามลอกเลียนแบบมันการลอกเลียนแบบให้ความรู้สึกไม่สมจริงแทนที่จะทำอย่างนั้นคุณควรมองหาองค์ประกอบพื้นฐานจากนั้นก็นำมันไปปรับแต่งผ่านตัวละครของคุณความละเอียดอ่อนนี้จะช่วยให้ตัวละครดูหนักแน่นสมจริง”
แอนดีเซอร์คิสพบว่าการฝึกของโนทารีมีประโยชน์อย่างยิ่ง “ถ้าไม่มีเทอร์รีพวกวานรก็คงไม่ดูมีชีวิตชีวาขนาดนี้” เขากล่าว “เขาสอนทักษะการเคลื่อนไหวให้แต่ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสอนให้นักแสดงแค่เป็นสิ่งนั้นและไม่ต้องพยายามแสดงออกมากเกินไป” สตีฟซาห์นเสริม “ถ้าคุณแสร้งทำเหมือนเป็นลิงมันจะดูแย่มากแต่ถ้าคุณกลายเป็นวานรจากภายในตัวเองในแบบที่เรียบง่ายธรรมดาที่สุดคุณก็จะแปรสภาพเป็นตัวละครได้อย่างรวดเร็ว”
สำหรับนักแสดงผู้มาใหม่อย่างไมเคิลอดัมธ์เวทซึ่งมารับบทสำคัญเป็นลูคากอริลลาหลังเงินค่ายวานรเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน “เราใช้เวลาหลายวันอยู่กับการฝึกวิ่งอย่างเดียวเราหมุนตัว 360 องศาวิ่งผ่านลำธารและก้อนหินซ้ำแล้วซ้ำเล่าคำแนะนำที่เราได้รับก็คือแค่ลงมือทำอย่าคิดแค่เป็นวานรนับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำงานกับเทอร์รีและรับพลังที่ไร้ขีดจำกัดของเขามาด้วยครับ”
สถาปัตยกรรมวานร: การออกแบบ
ขณะที่เหล่าวานรเดินทางข้ามแคลิฟอร์เนียมาถึงเทือกเขาเซียร์ราWar For The Planet Of The Apes ก็ได้นำเหล่าวานรมาสู่งานภาพแบบภาพยนตร์เต็มรูปแบบ ผู้กำกับ แม็ตต์ รีฟส์ ได้ร่วมงานกับทีมงานที่เขาไว้วางใจเพื่อสร้างการเดินทางในธรรมชาติอันน่าตื่นเต้นผ่านโลกในตำนานนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับภาพ ไมเคิล เซเรซิน, นักออกแบบงานสร้าง เจมส์ ชินลันด์ หรือนักออกแบบเครื่องแต่งกาย เมลิสซา บรุนนิง
เพื่อถ่ายทอดขอบเขตอันกว้างขวางและแอ็คชันอันน่าตื่นเต้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สุดขั้ว ซึ่งสะท้อนทั้งภาพป่าดงพงไพร อารยธรรมมนุษย์ที่กำลังเลือนหาย และความงามแบบวานรที่เริ่มพัฒนาขึ้นมา เซเรซินได้ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ในระบบสามมิติโดยใช้ฟอร์แมตดิจิตัลรูปแบบใหม่ของกล้อง Arriflex 65 มม. “จุดมุ่งหมายคือการสร้างภาพสงครามอันยิ่งใหญ่” รีฟส์กล่าว “ภาพที่ไมเคิลถ่ายมานั้นงดงามมาก”
ในขณะเดียวกัน ชินลันด์ก็ได้ออกผจญภัยในแบบของเขาเองด้วยการสร้างฉากที่ละเอียดประณีตที่สุดเท่าที่เขาเคยออกแบบมา อันได้แก่ คุกทาวเวอร์ร็อคอันใหญ่โตน่าเกรงขาม ป้อมปราการลับของพวกวานร และที่พักสำหรับเล่นสกีซึ่งถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง “เจมส์สร้างรูปลักษณ์ที่เด่นชัดในหนังเรื่องนี้ซึ่งผมอยากเรียกว่าไซไฟสมจริง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจินตนาการอเมริกายุคหลังวันสิ้นโลกที่สังคมวานรเริ่มสร้างโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมา แต่เจมส์ก็ทำหน้าที่นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม” ดีแลน คลาร์ก กล่าว
ชินลันด์ระบุว่าหนังเรื่องนี้ยังได้ให้โอกาสเขาสร้างฉากที่มีเอกลักษณ์เป็นจำนวนมากด้วย “แม็ตต์ตื่นเต้นมากที่จะได้พัฒนาบรรยากาศแบบหนังโร้ดมูฟวี” เขากล่าว “ดังนั้นเราจึงต้องหาคำตอบว่าทำอย่างไรจึงจะนำเสนอรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่มหาสมุทรไปจนถึงภูเขาและทะเลทรายพร้อมกับสร้างเรื่องราวการเดินทางของเหล่าวานรไปด้วยการนำวานรมายังสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติหลายรูปแบบเป็นสิ่งที่เราตื่นเต้นมาตั้งแต่แรกและเราก็ต้องพัฒนาต่อเนื่องในจุดนี้”
นอกจากนี้ยังมีโอกาสมากมายที่จะได้สำรวจรูปทรงทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น “วานรได้พัฒนาระบบการก่อสร้างของตัวเองขึ้นมาโดยใช้เสาค้ำสามเสาเป็นหลัก” ชินลันด์อธิบาย “คุณจะได้เห็นสิ่งก่อสร้างลักษณะนี้มากขึ้นในหนังเรื่องนี้”
ชินลันด์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สร้างป้อมปราการปัจจุบันของเหล่าวานร ซึ่งออกแบบให้ป้องกันการโอบล้อมได้ เขาและทีมงานได้สร้างป้อมนี้บนเชิงเขาซึ่งมีป่าปกคลุมที่เหมืองกรวดลาฟาร์จในเมืองโคควิทแลมใกล้แวนคูเวอร์ “น่าตื่นเต้นมากที่ได้จินตนาการว่าป้อมปราการของพวกมันจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เราใช้โครงค้ำที่แข็งแกร่งเพื่อเพิ่มระดับการปกป้องให้ถึงจุดสูงสุด” นักออกแบบกล่าว จากนั้นป้อมปราการนี้จะถูกแต่งเติมด้วยซีจีจนกลายเป็นฉากที่ผสมผสานกันอย่างซับซ้อนมากที่สุดฉากหนึ่งเท่าที่เคยมีมาในหนังเรื่องนี้
ฉากที่ใหญ่ที่สุดและสับสนวกวนมากที่สุดก็คือฉากคุกทาวเวอร์ร็อคอันน่าหวาดกลัวค่ายทหารที่ได้รับการตกแต่งใหม่นี้อยู่ภายใต้การปกครองอันโหดเหี้ยมของผู้พันและการสร้างฉากนี้ก็นับเป็นการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ในตัวมันเองทีมงานอุทิศเวลาห้าเดือนเต็มเพื่อสร้างและประกอบฉากบนพื้นที่ว่างใกล้แม่น้ำเฟรเซอร์ในเมืองริชมอนด์ชานเมืองแวนคูเวอร์ “ฉากคุกทาวเวอร์ร็อคนั้นไม่ธรรมดา” แอนดีเซอร์คิสกล่าว “ตอนที่เราเดินเข้าฉากเป็นวันแรกและได้สัมผัสความใหญ่โตมหึมาและบรรยากาศแฝงลางร้ายของมันมันดูหดหู่สิ้นหวังสุดๆเลยครับมันเหมาะกับเรื่องราวมากแต่การทำงานในฉากนั้นก็โหดอยู่เหมือนกันเราอยู่ที่นั่นราว 40 วันแล้วก็รู้สึกย่ำแย่สิ้นหวังซึ่งตรงกับจุดประสงค์ของมันเลย”
ชินลันด์เห็นด้วยว่าคุกนี้ถูกสร้างมาให้ดูเกรอะกรังและเศร้าหมอง แต่เขาก็ทำให้มันดูน่าสนใจด้วย “คุกเป็นสถานที่ซึ่งยากที่จะสร้างรายละเอียดและงานภาพที่น่าตื่นเต้น” เขาตั้งข้อสังเกต “แต่เราต้องการนำเสนอฉากที่โดดเด่นดึงดูดใจ เรายังได้ออกแบบฉากเพื่อให้ไมเคิล เซเรซินและทีมถ่ายทำมีทางเลือกที่สร้างสรรค์มากมายในการเคลื่อนกล้องและค้นหามุมที่น่าสนใจด้วย”
ตรงกันข้ามกับคุกอันชวนสิ้นหวังก็คือที่พักเล่นสกีบนภูเขาซึ่งตั้งอยู่ภายในปราสาทน้ำแข็งอันตระการตานับเป็นโอกาสให้ทีมออกแบบได้สร้างฉากซึ่งเปล่งแสงแวววาวชวนอัศจรรย์ท่ามกลางภาวะสงครามฉากนี้ก่อสร้างขึ้นด้วยความพยายามที่แมมม็อธสตูดิโอใกล้แวนคูเวอร์
“ฉากนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อแม็ตต์” ชินลันด์อธิบาย “เขาต้องการเห็นมันอยู่ภายในปราสาทน้ำแข็ง ผมมักพยายามนำเอาลักษณะการเคลื่อนไหวของวานรไปคิดด้วย ดังนั้นผมจึงออกแบบให้ที่พักนี้ออกจะเป็นพื้นที่แนวตั้ง การออกแบบฉากแนวตั้งแทนที่จะเป็นแนวนอนเป็นเงื่อนไขที่ไม่ธรรมดาจนนำไปสู่การสร้างสรรค์ใหม่ๆ ผมชอบเล่นกับแนวคิดนี้และแนวคิดที่ให้เหล่าวานรอาศัยอยู่ริมขอบหน้าผา โดยมีภูมิประเทศอันสวยงามในหน้าหนาวปรากฏอยู่โดยรอบ”
เสื้อผ้าในยุคหลังวันสิ้นโลก: เครื่องแต่งกาย
สำหรับนักออกแบบเครื่องแต่งกายเมลิสซาบรุนนิงซึ่งออกแบบเครื่องแต่งกายในภาคDawn ด้วยนั้น War For The Planet of the Apes นำเสนอความท้าทายที่พบได้ไม่บ่อยนัก ตั้งแต่การทำงานกับตัวละครวานร ไปจนถึงการจัดหาชุดให้กองทัพมนุษย์จำนวนมากและนำเอาองค์ประกอบที่มหัศจรรย์คล้ายเทพนิยายมาอยู่ในยุคสมัยอันร้อนระอุไปด้วยสงคราม
การแต่งกายให้ผู้พันและทหารในอาณัติของเขานั้นทำให้บรุนนิงได้สำรวจแง่มุมที่น่าสนใจและทำให้เธอได้คิดว่ามนุษย์ต้องเผชิญอะไรมาบ้างนับตั้งแต่ไวรัสไข้หวัดลิงเริ่มระบาดไปทั่วโลก “ฉันมีแนวคิดว่าเครื่องแบบทหารที่เราเห็นกันในหนังจะต้องได้รับการผลิตขึ้นในปี 2012 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายที่สังคมมนุษย์ยังคงสงบสุขอยู่ ดังนั้นพันเอก พันตรี และนายจ่าจึงใส่ชุดลายพรางที่ใหม่กว่าเมื่อเทียบกับพลทหารซึ่งใส่ชุดแบบเดิมที่ยกเลิกการผลิตไปนับจากจุดนั้น ผู้พันใส่ชุดที่ทหารเรียกกันว่ามัลติแคม [ชุดลายพรางเจ็ดสีสำหรับสภาพแวดล้อมหลายรูปแบบซึ่งใช้กันในสงครามอัฟกานิสถาน] ส่วนพรีชเชอร์นั้นใส่ชุดดิจิแคม [ชุดลายพรางแบบจุดพิกเซลซึ่งไม่ใช้กันแล้วในปัจจุบัน] คนทั่วไปอาจไม่รู้ แต่ถ้าคุณอยู่ในกองทัพ คุณจะรู้ว่ามันถูกต้องตามความเป็นจริง”
งานออกแบบที่บรุนนิงชอบในภาคนี้ก็คือชุดของโนวา “ไม่ได้มีแผนที่บอกไว้ว่าเราควรทำอย่างไรกับโนวา” บรุนนิงเล่า “แม็ตต์มองว่าเธอเป็นแสงแห่งความหวังอย่างแท้จริงฉันก็เลยมองว่าเธอจะต้องดูล่องลอยและคล้ายมีเวทมนตร์เป็นมนุษย์ตัวน้อยที่เอาชนะใจเหล่าวานรได้แม็ตต์ชอบแนวคิดว่าด้วยการเล่าเทพนิยายยุคใหม่เราก็เลยลองใส่ความเป็นแฟนตาซีลงไปเล็กน้อยในโลกที่จริงจังและเต็มไปด้วยอารมณ์นี้”
หลังจากศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนบรุนนิงก็ให้รีฟส์ดูบรรดาตัวละครหญิงจากเทพนิยายจากนั้นก็สร้างตัวละครสมัยใหม่ในแบบของเธอเองโดยอาศัยพื้นฐานจากตัวละครเหล่านั้นเธอบรรยายว่า “โนวาใส่กางเกงทรงหลวมและกระโปรงที่ชวนให้นึกถึงยุคพายุฝุ่นเธอใส่เสื้อที่มีหมวกฮู้ดแต่มันทำจากผ้าเนื้อหยาบซึ่งดูคล้ายตุ๊กตาสัตว์เก่าๆรองเท้าบู๊ตสีแดงช่วยเพิ่มลูกเล่นเข้าไปเพราะเธอดูโปร่งเบาและล่องลอยแต่เราให้เธอใส่รองเท้าบู๊ตสีแดงเพื่อเพิ่มความหนักแน่นชัดเจนให้กับเธอเธอไม่ได้มาจากยุคใดยุคหนึ่งเธอก็เลยดูไม่ขึ้นอยู่กับยุคสมัย”
เมื่อการถ่ายทำหลักสิ้นสุดลงแล้วความยิ่งใหญ่ในงานถ่ายทำก็แปรสภาพมาเป็นความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันในขั้นตอนการตัดต่อซึ่งจะต้องเปลี่ยนสิ่งที่ถ่ายทำมาให้กลายเป็นเรื่องราวที่กระชับโดยร้อยเรียงแอ็คชั่นอารมณ์ความรู้สึกและแก่นเรื่องเอาไว้ด้วยกันผู้ตัดต่อวิลเลียมฮอยและสแตนแซลฟาสซึ่งเป็นผู้ตัดต่อภาคDawn ทำงานร่วมกับรีฟส์อย่างใกล้ชิด
“แม็ตต์มองหาช่วงเวลาที่ลึกซึ้งและถ่ายทอดอารมณ์ซึ่งจะช่วยให้ผู้ชมผูกพันกับตัวละครทั้งฝ่ายมนุษย์และวานรสิ่งสำคัญก็คือความสมดุล” ดีแลนคลาร์กกล่าว “มือตัดต่อของแม็ตต์ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อดึงเอาเอกลักษณ์เฉพาะของตัวละครออกมาพร้อมกับเน้นหนักไปที่การสร้างความตึงเครียดและความประหลาดใจ”
งานตกแต่งช่วงสุดท้ายในหนังเรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องอันทรงประสิทธิภาพมากที่สุดชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือดนตรีประกอบจากไมเคิล จิอาชชิโน ซึ่งมีตั้งแต่บทเพลงที่ละเอียดอ่อนและงดงามไปจนถึงบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ตลอดฉากต่างๆ ซึ่งมีบทพูดน้อย “ด้วยธรรมชาติของเรื่องนี้ทำให้เพลงประกอบต้องช่วยขับเคลื่อนการกระทำและอารมณ์ ดังนั้นดนตรีจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก” เชอร์นินกล่าว “ไมเคิลกับแม็ตต์ทำงานสร้างสรรค์เข้ากันได้เป็นอย่างดี และไมเคิลก็เข้าใจโลกของวานรอย่างลึกซึ้ง รวมถึงเข้าใจวิธีการที่จะปลุกเร้าอารมณ์ในการเดินทางครั้งนี้ด้วย”
สำหรับรีฟส์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษยชาติหรือวานรตัวหนังที่ออกมาก็ได้พูดถึงอุดมคติขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ความเป็นมนุษย์ซึ่งไม่ใช่ในแง่ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์แต่ในแง่ของการค้นหาคุณสมบัติอันสร้างแรงบันดาลใจจากภูมิปัญญาและความเมตตากรุณา
“ความมหัศจรรย์ของหนังกลุ่มนี้คือมันช่วยให้เราได้โอกาสสำรวจแก่นแท้ในธรรมชาติของมนุษย์แต่ในรูปแบบที่น่าตื่นเต้นและแตกต่างออกไป” รีฟส์สรุป