Epic – Dark Prince ซับไทย
Epic – Tara’s Escape ซับไทย
EPIC – Experience Interstitial
Epic – Story Interstitial
ภาพยนตร์เรื่อง EPIC เป็นการผจญภัยแนวคอมเมดี้ในรูปแบบซีจีสามมิติ ซึ่งเป็นเรื่องราวของโลกสุดอัศจรรย์ที่ไม่เหมือนกับที่ใดในโลก ผลงานจากผู้สร้างฯ Ice Age และ Rio โดยภาพยนตร์เรื่อง EPIC จะเล่าเรื่องการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งระหว่างฝ่ายธรรมะที่ต้องการอนุรักษ์ธรรมชาติเอาไว้ และฝ่ายอธรรมที่หวังจะทำลายธรรมชาติ จนกระทั่งมีเด็กสาวคนหนึ่งพบว่าตัวเธอตกไปอยู่ในโลกเร้นลับอย่างน่าอัศจรรย์ จึงเข้าไปรวมพลังกับกลุ่มแม่ทัพเอกและกองกำลังทหารสุดฮา ซึ่งล้วนเป็นตัวละครเก่งๆ ที่คอยกอบกู้โลกของพวกเขา …และเราเอาไว้
ผลงานจากผู้เคยสร้างสีสันให้ภาพยนตร์แฟรนไชส์แอนิเมชั่นที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จมาก เรื่อง Ice Age โดยผู้กำกับฯ คริส เวดจ์ และทีมงานแห่ง Blue Sky Studios (เวดจ์เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง) ได้สร้างภาพ ฉากแอ็คชั่นการผจญภัย และรายละเอียดที่สมจริงระดับใหม่ไว้ในเรื่อง EPIC
การเริ่มต้นของ “EPIC”
แรงบันดาลใจแรกของเวดจ์สำหรับเรื่อง EPIC เกิดขึ้นในปี 1998 เมื่อได้เข้าชมงานจัดแสดงศิลปะภาพวาด 100 ปีที่แสดงถึงอาณาบริเวณซับซ้อนที่มีอยู่ในป่า “ในภาพมีเวทมนตร์แห่งอาณาจักรขนาดจิ๋วที่อยู่ตามต้นไม้และพุ่มไม้” เวดจ์เล่าถึงตอนนั้นว่า “ดูเป็นโลกที่มีความงดงาม ตอนนั้นผมคิดเลยว่าต้องสร้างภาพยนตร์ขึ้นมาตรงนั้น”
เมื่อเวดจ์ปิดงานจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องดังของเขา “Robots” ไอเดียภาพยนตร์เกี่ยวกับโลกเร้นลับจึงพุ่งพล่านต่อ ขณะเดียวกันผู้ประพันธ์ฯ วิลเลียม จอยซ์ ที่เคยร่วมงานกับเวดจ์ในเรื่อง “Robots” เคยเขียนหนังสือสำหรับเด็กเรื่อง The Leaf Men and the Brave Good Bugs ที่มีตัวละครนักรบซามูไร มนุษย์ใบไม้ และสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในสวนหลังบ้านของเราระหว่างพลังแห่งชีวิตและพลังแห่งความเสื่อมสลาย
แอนิเมชั่นล้ำสมัยของ Blue Sky Studios เหมาะต่อการสร้างสีสันให้ EPIC มาก “สถานที่บางแห่งไม่มีอะไรเข้าถึงได้นอกจากแอนิเมชั่น” เวดจ์อธิบายว่า “เรามีการพัฒนาฝีมือด้านงานศิลป์และเทคนิค ตอนนี้เราสามารถสร้างโลกทั้งใบให้มาอยู่ในธรรมชาติได้ ผมคิดว่าทำให้ผู้ชมอินไปกับภาพ อารมณ์ และความรู้สึกในดินแดนที่เราสัมผัสผ่านทางแอนิเมชั่นได้เท่านั้น”
โลกของ EPIC มีการผสมผสานกันระหว่างความคุ้นตากับความน่าอัศจรรย์ ป่าไม้ต่างจากที่เราเคยเห็นมา เมล็ดจิ๋วๆ ดูเหมือนหินก้อนใหญ่ บรรดาก้อนหินมีไซส์เท่าภูเขา ดอกไม้ใหญ่ยักษ์และดูซับซ้อน ส่วนผีเสื้อก็มีสีสันยามโบยบิน
ในโลกใบนี้เวดจ์ได้ผสมผสานฉากการต่อสู้อันน่าตื่นเต้นกับการแสดงจากตัวละครที่ดูคุ้นตาและมีความรู้สึก โดยที่มาของมุขตลก ความสนุกสนาน และเรื่องราวซึ้งๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างความอัศจรรย์ด้านภาพที่ยกระดับขึ้นมาใหม่ด้วยภาพแอนิเมชั่น ความเนียนสมจริง ฉากแอ็คชั่นและการผจญภัย คือตัวละครจากเรื่อง EPIC และเหล่านักแสดงผู้มารับหน้าที่สำคัญ
เหล่านักแสดงและตัวละครในเรื่อง “EPIC”
เราได้สัมผัสกับโลกของ EPIC ผ่านมุมมองของแมรี่ แคทเธอรีน (เธอชอบชื่อ เอ็ม.เค. มากกว่า) เธอเป็นเด็กสาววัย 17 ที่ฉลาดและมีความกล้าหาญมุ่งมั่น เธอพบว่าตัวเองอยู่ในการผจญภัยแห่งนิรันดร์ หลังจากที่เธอกลับสู่บ้านวัยเด็กเพื่อสานสัมพันธ์กับศาสตราจารย์บอมบ้า พ่อที่ห่างเหินกับเธอ เอ็ม.เค.หมดความอดทนกับเรื่องมนุษย์ล่องหนของพ่อที่อาศัยอยู่ในป่า แต่เมื่อเธอถูกส่งไปยังโลกของมนุษย์ใบไม้อย่างน่าอัศจรรย์ เธอจึงมีทัศนคติใหม่ขึ้นมา ในการหาทางกลับบ้าน เอ็ม.เค.ต้องทำมากกว่าการเชื่อในโลกใบนี้ คือต้องให้ความช่วยเหลือด้วย
อแมนด้า ไซย์ฟรีด นักแสดงยอดฝีมือชื่อดังจากภาพยนตร์เรื่อง Les Miserables และ Momma Mia มารับบทของเอ็ม.เค. นักแสดงสาวเล่าให้ฟังว่า “เธอมีความมุ่งมั่นและขาดการติดต่อกับพ่อ จนเธอคิดว่าไม่มีทางได้กลับไปอยู่กับพ่อแล้ว”
แต่การผจญภัยอันเหลือเชื่อของเอ็ม.เค.ในโลกเร้นลับที่สวนหลังบ้านของเธอได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปหลายด้าน ไม่ใช่วามรู้สึกที่เธอมีต่อพ่อแค่นั้น “เธอเชื่อพ่อจนสนิทใจ” ไซย์ฟรีดเล่าว่า “พ่อพูดถูกในหลายๆ เรื่อง”
อีกคนที่อยู่ในชีวิตของเอ็ม.เค.เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในแดนสนธยามีนามว่าน็อด จอช ฮัทเชอร์สันผู้เคยรับบท พีต้า มัลลาร์ค นักรบในภาพยนตร์ไตรภาคเรื่องดัง “The Hunger Games” มารับบทน็อด
น็อดมีความหล่อเหลาปราดเปรียว เขาเป็นคนชอบแหวกกฏและคอยฉายเดี่ยวตลอด แต่นิสัยการฉายเดี่ยวไม่ตรงกับอุดมการณ์ของทีมมนุษย์ใบไม้ เขาจึงออกจากกองทัพ หลังจากที่เอ็ม.เค.มาอยู่ในโลกของเขา และมีการเดิมพันสูงขึ้น น็อดพบว่าการเป็นฮีโร่ที่แท้จริงเป็นเช่นไร
เอ็ม.เค.และน็อดต้องผจญภัยร่วมกัน ทำให้ทั้งคู่เกิดความสนิทและกลายเป็นเรื่องราวสุดโรแมนติกที่น่าสงสัยและต้องต้านทานไว้ในช่วงแรก เสน่ห์ที่ยั่วใจอีกฝ่ายหนึ่งได้มาจากความรู้สึกของพวกเขาที่ถูกตัดขาดจากสิ่งอื่น เอ็ม.เค.ถูกตัดจากการพบหน้าพ่อของเธอ ส่วนน็อดถูกตัดจากธรรมชาติที่ต่อต้าน ซึ่งเขาเดินตามรอยผู้นำมนุษย์ใบไม้โรนิน พ่อผู้เป็นแบบอย่างของเขา
น็อดชอบแข็งข้อกับโรนินอย่างไร้มารยาท และท่าทางที่ต่างจากมนุษย์ใบไม้อย่างที่น็อดจะทำได้ “น็อดเป็นคนหัวแข็ง รักอิสระ และไม่คาดไม่ถึงว่าจะต้องทำหน้าที่พิทักษ์โลกของเขา” ฮัทเชอร์สันเล่าว่า “หลังจากที่พบกับเอ็ม.เค. เขาเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองหลายอย่าง จนเข้าใจและยอมรับในชะตาชีวิตตัวเอง
“โรนินเป็นคุณพ่อต้นแบบสำหรับน็อด และเป็นผู้นำมนุษย์ใบไม้ที่คอยปกป้องน็อด แต่เขาทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก” ฮัทเชอร์สันเล่าต่อว่า “โรนินเป็นคนมาดนิ่งและซื่อสัตย์ ส่วนน็อดไม่ใช่แบบนั้นเลยอย่างน้อยก็ในช่วงแรก พวกเขาไม่ค่อยเผชิญหน้ากันมากนัก”
เราจะเห็นความกล้าหาญ ฝีมือที่เฉียบขาดดั่งผู้นำ และความประมาทของน็อดได้ในช่วงที่ผนึกกำลังกันอย่างแข็งขัน และการต่อสู้อย่างดุเดือดที่ผู้สร้างภาพยนตร์เหวี่ยงน็อด ศัตรูฝ่ายตรงข้าม และผู้ชมผ่านต้นไม้ พุ่มไม้ และทุ่งนาในช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น
โรนินไม่โปรดกิจวัตรที่ไม่ข้องเกี่ยวกับมนุษย์ใบไม้ ผู้นำแห่งมนุษย์ใบไม้ที่มีใบหน้าแหลมคมและกร้านศึกสงคราม เหล่ากองทัพสาบานตนเพื่อปกป้องทุกชีวิตในผืนป่า โรนินใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อว่า “หลากใบหนึ่งต้น” ซึ่งมีความหมายว่า เราต่างแยกตัวเป็นหนึ่งแต่ขณะเดียวกันต่างเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เขาไม่รีรอที่จะเอาชีวิตเดิมพันเพื่อคนที่เขาห่วงใยเลย ตอนที่ป่าไม้และราชินีผู้เป็นที่รักของเขาถูกโจมตี โรนินเรียกรวมพลมนุษย์ใบไม้ให้ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญและอารมณ์ฝืดเคือง
โคลิน ฟาร์เรลมารับบทของโรนิน ฟาร์เรลเป็นชาวไอร์แลนด์ ช่ววงแรกเขาต้องพยายามออกเสียงสำเนียงอเมริกันอย่างหนัก แต่ผู้สร้างภาพยนตร์มองว่าสำเนียงท้องถิ่นของเขาเป็นการผสมเสน่ห์ที่ครองใจ และมีความเป็นธรรมชาติเหมาะกับตัวละครดี
ผู้สร้างภาพยนตร์ฯ ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายสำหรับฟาร์เรลที่ต้องนึกภาพโรนิน ผู้กำกับศิลป์ฯ ไมเคิล Knapp เรียกว่า “เหมือนคลินท์ อีสต์วูดปะทะกับจอห์น เวย์น” ถ้านั่นยังบรรยายถึงความกดดันไม่พอ ฟาร์เรลอธิบายให้เห็นชัดว่าภาพยนตร์เพิ่มความท้าทายให้นักแสดงและทีมงานของเรื่อง EPIC ทุกคนมาก “ภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ทั้งชื่อ ทั้งสภาพแวดล้อม และทั้งสิ่งที่ได้พบเจอ” นักแสดงเล่าว่า “ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้สมกับชื่อที่ตั้งไว้เลย จากความมุ่งมั่นให้ก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ จำนวนนักแสดงและภาพวิชวลที่น่าตะลึง”
ยานพาหนะของโรนินและมนุษย์ใบไม้คือนกฮัมมิงเบิร์ด ซึ่งในโลกแห่งการต่อสู้ของ EPIC นกฮัมมิงเบิร์ดทำหน้าที่เป็นทั้งมอเตอร์ไซค์และเฮลิคอปเตอร์ “พวกมันเป็นนกที่มีความปราดเปรียวว่องไวสุดเท่าที่จะนึกได้” แนปป์เล่าว่า “พวกมันพลิกตัว บินขึ้นลง ถอยหลัง ทำอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการ”
ผู้ที่สนิทและมีอิทธิพลต่อโรนินมากสุดคือราชินีทาร่า รับบทโดยศิลปินแห่งตำนานอย่างบียอนเซ่ โนวส์ ซึ่งให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์แอนิเมชั่นเป็นครั้งแรกในเรื่อง EPIC ทาร่าเป็นคนสวย ปราดเปรียว แข็งงแกร่ง เธอไม่ใช่แค่ราชินีของมนุษย์ใบไม้เท่านั้น เธอเปรียบเหมือนพลังอำนาจแห่งผืนป่า ซึ่งเธอปกครองด้วยความเคารพ ความเมตตา และอารมณ์ขัน ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างทาร่าและโรนิน สำหรับทุกคนแล้วทาร่าคือราชินี แต่สำหรับโรนิน เธอเป็นมากกว่านั้น
เมื่อทาร่ารู้ว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย เธอรู้ว่าวางใจโรนินได้เสมอ แต่สัมผัสพิเศษระหว่างเธอกับธรรมชาติทำให้เธอมีพลังเหนือกว่าคนอื่น เมื่อทุกอย่างดูคล้ายจะสิ้นหวัง เธอจึงขอความช่วยเหลือจากดินแดนสุดเซอร์ไพรส์
ทาร่าเปรียบเสมือนผืนป่า เธอมีพลังสื่อได้กับดินแดนของเธอ ดอกไม้จะเบ่งบานและโค้งคำนับเธอ “ทาร่าเปรียบเสมือนหัวใจของผืนป่า และเธอเป็นที่รักของประชากรของเธอที่เรียกว่า จิน” บียอนเซ่กล่าว
บียอนเซ่เห็นด้วยกับฟาร์เรลที่จะปลุกภาพยนตร์ให้มีความอลังการสมชื่อเรื่อง “ภาพยนตร์เรื่อง EPIC เป็นเรื่องราวการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างธรรมะและอธรรม โดยเรื่องราวเกิดขึ้นในดินแดนที่มีทิวทัศน์กว้างไกลอย่างที่คุณไม่เคยสัมผัสในภาพยนตร์มาก่อน” เธออธิบายว่า “ในเรื่อง EPIC อลังการไปซะทุกอย่าง ทั้งฉากแอ็คชั่น สิ่งเดิมพัน ตัวละคร แต่ในเวลาเดียวกันทุกอย่างก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ทั้งนั้น”
บียอนเซ่ชื่นชมในตัวทาร่ามากกว่าแค่ด้านความงาม พลังอำนาจ และยศฐาบรรดาศักดิ์ “ที่ฉันชอบในตัวทาร่าที่สุดคือเธอเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนที่เธอปกป้อง และทาร่าเป็นแบบอย่างให้ตัวละครที่อายุยังน้อยด้วย”
สำหรับการคัดเลือกตัวนักแสดง เวดจ์คิดถึง “ความยิ่งใหญ่” อย่างไม่ต้องสงสัยเลย เขาเล่าว่า “ทาร่าต้องมีบารมีและเป็นสัญลักษณ์” และไม่มีศิลปินคนไหนที่สร้างความบันเทิงได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าบียอนเซ่ เจอร์รี่ เดวิส ผู้อำนวยการสร้างฯ กล่าวเสริมว่า “บียอนเซ่มีพลังและบุคลิกของราชินีที่ดูไม่มีพิธีรีตรองอะไร”
แม้ว่าน้ำเสียงการร้องของเธอที่มีความไพเราะและมีความชำนาญเป็นที่ชื่นชอบของทั่วโลก แต่น้ำเสียงการพูดของบียอนเซ่คือสิ่งที่ทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์เชื่อว่าเธอคือราชินีทาร่า “บียอนเซ่มีน้ำเสียงที่ไพเราะและมีความนุ่มนวล ลักษณะการพูดของเธอทำให้เราคล้อยตามได้จริงๆ” ลอรี่ ฟอร์เต้ ผู้อำนวยการสร้างกล่าว
บ้านของราชินีทาร่าอยู่ที่มูนเฮเว่น ซึ่งเป็นสวนอีเดนของจริงถิ่นกำเนิดของพรรณไม้และก้อนหิน รวมถึงเป็นถิ่นกำเนิดของความสมบูรณ์และความกลมกลืน บริเวณหนึ่งที่น่ากลัวสุดของมูนเฮเว่นคือริมสระน้ำที่บริวารทั้งสองของเธอจะดูแลรังไหมที่ทาร่าจะเลือกทายาทของเธอ โดยทุก 100 ปีรังไหมจะเบ่งบานใหม่และทดแทนราชินีองค์ปัจจุบัน
สองผู้จงรักภักดีของทาร่าที่รับผิดชอบหน้าที่สำคัญนีคือ มับ ตัวสลั๊กจอมเจ้าชู้ที่ชอบหลงตัวเอง ซึ่งอยู่อันดับล่างของห่วงโซ่อาหาร แต่เคารพตัวเองเป็นใหญ่ และคู่หูของเขาที่ชื่อ กรั๊บ หอยทากที่อยากเป็นมนุษย์ใบไม้ แม้ว่าคู่ slug และหอยทากคู่ฮานี้จะไม่มีกระดูกสันหลัง แต่พวกเขาแสดงความแกร่งออกมาให้เห็นโดยการเข้าร่วมภารกิจพิทักษ์โลกของพวกเขา
อนาคตของมูนเฮเว่นถูกฝากไว้กับเจ้าตัวเรืองแสงที่มีลูกตาและชอบนึกภาพตัวเองว่าเป็นฮีโร่
ดูโอคู่นี้จะถูกทุกคนดูถูกยกเว้นราชินี อาซิส แอนซารี่ นักแสดงตลกผู้มารับบท มับ อธิบายว่ามีอะไรมากกว่าที่เห็นในแววตาคู่หูคู่นี้ “มับอาจจะเป็นเพียง แต่เขาก็มีความลึกซึ้ง หลังจากที่พวกเขาดูแลรังไหมและจัดการเรื่องความชุ่มชื้น รังไหมต้องมีความชุ่มชื้นและใครจะให้ความชุ่มชื้นได้ดีไปกว่าเจ้าตัวสลั๊กกับหอยทากล่ะ?”
“มับและกรั๊บมีความฝันอันยิ่งใหญ่” นักแสดงซิตคอมที่ได้รับคำชมเรื่อง Parks and Recreation กล่าว เขามีความฝันในการจีบเอ็ม.เค.ของมับ แต่กลับเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาเชื่อว่าใจตรงกัน “มับรู้สึกว่าความผูกพันของเอ็ม.เค.ที่มีต่อเขามันยากจะต้านทาน แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี” แอนซารี่กล่าว “ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกเพราะเธอเขาไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ มันจึงเป็นมากกว่าอุปสรรคซะอีก”
ความฝันของกรั๊บเองก็แทบจะเป็นไปไม่ได้พอๆ กับของเพื่อนเขา สัตว์ที่มีวิวัฒนาการขั้นต่ำจะกลายเป็นมนุษย์ใบไม้ ซึ่งเป็นนักรบที่มีความสามารถไม่ธรรมดาได้อย่างไร? “กรั๊บพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะได้รับการยอมรับให้เป็นผู้ท้าชิงอัศวินมนุษย์ใบไม้” คริส โอ’ดาวด์ (Bridesmaids) ผู้รับบทกรั๊บกล่าว “มนุษย์ใบไม้ปราดเปรียวกว่าสิ่งอื่นใด และความคล่องตัวไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญ เมื่อเราเป็นหอยทาก แต่กรั๊บมีความกล้าหาญมาก แม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีกระดูกสันหลังก็ตาม เขามีความตั้งใจว่าอยากเป็นมนุษย์ใบไม้เป็นพิเศษ แต่บางครั้งเราต้องแกล้งจินตนาการจนกว่าจะทำสำเร็จ ซึ่งนั่นคือหลักการของกรั๊บ”
สำหรับเวดจ์ ทีมงานผู้ออกแบบ และทีมแอนิเมชั่นของเขา ตัวละครทั้งสองและสารหนืดเหนียวที่เป็นสัญลักษณ์ของพวกเขาเป็น “สิ่งที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากที่สุด และต้องสร้างภาพเคลื่อนไหว เพราะพวกเขาเคลื่อนที่ไปได้เกือบทุกรูปแบบ”
“เราต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้สารหนืดเหนียวที่ถูกต้อง” แนปป์กล่าวเสริม
ความพยายามของมับ กรั๊บ และกลุ่มมนุษย์ใบไม้จะขาดไม่ได้เลย เพราะต้องปกป้องรังไหมและทายาทของราชินีจากความชั่วร้ายที่รู้จักกันในนามบ็อกแกนส์ ศัตรูร้ายจอมเจ้าเล่ห์ที่จ้องจะทำลายมูนเฮเว่น สำหรับบ็อกแกนส์ไม่มีคำว่ากฏ
ผู้สร้างภาพยนตร์นึกภาพของบ็อกแกนส์ว่าเป็นผู้สร้างความเสื่อมโทรมให้โลกธรรมชาติ เวดจ์อธิบายว่า “คุณอาจเดินอยู่ในป่าหรือสวนสาธารณะแล้วเห็นอะไรที่ดูเหมือนตุ่มยื่นออกมาจากต้นไม้ นั่นล่ะผลงานของบ็อกแกนส์” จุดศูนย์กลางของความเสื่อมสลายเรียกว่าแรธวู้ด ซึ่งมีความมืดของอุโมงค์ที่คดเคี้ยวหวาดเสียว แตกต่างจากมูนเฮเว่นที่โปร่งและสว่าง
พลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความชั่วร้ายและการทำลายล้างคือผู้นำแห่งบ็อกแกนส์ที่ชื่อ แมนเดรค ความสามารถของเขาที่สัมผัสอะไรก็ทำลายสิ่งนั้นเป็นทั้งพรสวรรค์และคำสาป และบริวารของเขาชาวบ็อกแกนเป็นศัตรูเบอร์หนึ่งของมนุษย์ใบไม้ แมนเดรคเบื่อการหลบซ่อนตัวอยู่ในเงา ลูกชายของเขา แด็กด้า (รับบทโดยเบลค แอนเดอร์สัน) ที่อยู่ฝั่งเขาวางแผนชั่วร้ายเอาไว้ เพื่อทวงคืนป่าที่เขาเชื่อมาโดยตลอดว่าควรเป็นของเขา
ผู้มารับบทเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัล Academy Award® ถึงสองครั้ง คริสทอฟ วอลซ์ (Django Unchained, Inglourious Basterds) เขาเล่าว่าแมนเดรคทั้งขี้โกง อันตราย รอบรู้หลายเรื่อง ตลกและดูประหลาด ความคิดที่หลักแหลมและวาจาข่มขู่จะถูกภาพลักษณ์ที่ดูคล้ายแวมไพร์ของเขากลบเกลื่อน เขาสวมผ้าคลุมค้างคาวด้วย “เหมือนกับชาวอเมริกันพื้นเมืองที่สวมชุดหนังควายเลย” เวดจ์กล่าว “พวกเขาอยากเข้าถึงอารมณ์ของสัตว์จึงสวมชุดหนังของมัน แมนเดรคก็ทำเช่นนั้น” มีการออกหากินตอนกลางคืนและพวกหนูที่น่ากลัว ค้างคาวเป็นยานพาหนะที่บ็อกแกนส์ชอบใช้ด้วย
เวดจ์มีโอกาสได้ร่วมงานกับวอลซ์ และได้ร่วมงานมากกว่าที่คิดไว้เมื่อผู้กำกับอ่านประโยคโต้ตอบกับวอลซ์ระหว่างช่วงบันทึกเสียง “คริสทอฟอยากแสดงฉากต่างๆ ตลอด โพเดียมของเราจึงตั้งตรงข้ามกัน เขาแสดงเป็นแมนเดรค ส่วนผมอ่านบทตัวละครทุกตัวที่เขามีบทด้วย ทุกครั้งที่ผมเงยหน้าขึ้นมาจากบทก็จะเห็นคริสทอฟจ้องผมอยู่ด้วยมาดของแมนเดรคที่สมจริง เขาแสดงฉากนั้นได้อย่างแนบเนียน มันทั้งน่ากลัวและน่าตื่นเต้นเลย”
ตัวละครที่มีความสุภาพกว่าแมนเดรคและมีความคล้ายมนุษย์ใบไม้มากคือ นิม กาลู นิมเป็นสัตว์สังคม แต่อย่าปล่อยให้เจ้าดักแด้มาหลอกคุณได้นะ ความฉลาดและความจริงจังกับการรอบรู้ทำให้เขากลายเป็นพวกอยู่เบื้องหลังในการต่อสู้ครั้งสำคัญเพื่อปกป้องผืนป่า
นิมมีร่างกายขนาดใหญ่ มีหกแขน สี่ขา และมีเปลือกที่เป็นเอกลักษณ์ โดยลวดลายนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากปีกผีเสื้อ
ผู้มารับบทนิมคือหัวหน้าวงแอโรสมิธ สตีเฟ่น ไทเลอร์ จากการสบตาครั้งแรก การคัดเลือกตำนานร็อคแอนด์โรลเพื่อมาสวมบทลุงนักปราชญ์ (ผู้รักความสนุกสนาน) แห่งผืนป่า เป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิด แต่เวดจ์เล่าถึงไอเดียในการแคสต์ไทเลอร์ว่า “ความคิดนั้นผ่านมาที่เรา ฟังเสียงของสตีเฟ่นแล้วรู้สึกว่าเขามีรายละเอียดสำคัญทุกอย่างของนิม ซึ่งเป็นตัวละครตลกที่มีพลังเปี่ยมล้นเหมือนสตีเฟ่น”
สำหรับไทเลอร์แล้ว บทบาทนี้ทำให้เขานึกถึงประสบการณ์บางอย่างของเขาในวัยเด็ก “ผมโตขึ้นมากับป่าไม้ที่นิวแฮมเชียร์ ผมคิดเสมอว่ามีบางอย่างที่ต้องถ่ายทอดเกี่ยวกับความเงียบสงบแห่งผืนป่า” เขาอธิบายว่า “ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกกลัวป่า แต่พอโตมาผมกลับรักมัน ผมเลยคิดว่าภาพยนตร์เรื่อง EPIC เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การเล่าขานมาก”
ตอนที่โคลิน ฟาร์เรลหาโทนเสียงของโรนินในช่วงแรก ไทเลอร์ก็ต้องทดลองเสียงสำหรับนิมหลายแบบเช่นกัน ซึ่งเวดจ์กล้าปล่อยให้นักแสดงใช้เสียงในแบบของเขาเอง “ใช่ครับ คริสเอาชนะผมแค่เสี้ยวเดียวตอนที่ผมลองทำเสียงพวกนั้น” ไทเลอร์เล่าถึงตอนนั้น
หากราชินีทาร่ากับมนุษย์ใบไม้ผนึกกำลังด้านดี ส่วนแมนเดรคและบ็อกแกนส์ ผนึกกำลังด้านความชั่วร้าย ตัวละครของบูโฟ คงจะอยู่ระหว่างโลกสองใบนั้น คางคกหนังเหนียว บูโฟเป็นพวกจับแพะชนแกะ ชอบใช้ไหวพริบแก้ปัญหา เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบไม่ว่าด้านไหนจะแพ้หรือชนะก็ตาม
ตัวอย่างของการคัดเลือกตัวนักแสดงที่มาสร้างสรรค์ผลงานอีกคนหนึ่งเป็นแรปเปอร์/นักร้อง/นักแต่งเพลง พิทบูล ที่มารับบทบูโฟ “ตอนนั้นเรามองหาผู้เป็นต้นแบบสักคน และเราถามตัวเองว่าจะไปหาที่ไหน?” เวดจ์อธิบายว่า “เราไม่ไปหานักแสดงทั่วไปหรอก เราจะไปหานักดนตรี ซึ่งพิทบูลได้สร้างความพิเศษบางอย่างให้กับบทบาทขึ้นมา”
พิทบูลมีผลงานที่กำลังฮิตตอนนี้ (ร้องคู่กับคริสติน่า อากิเลร่า) คือเพลง “Feel this Moment” เปรียบเสมือนนักดนตรีผู้ช่ำชองของทีมผู้สร้างแอนิเมชั่น ผู้ออกแบบ และนักแสดงรวมพลังกันสร้างตัวละครภาพยนตร์ขึ้นมา “ตอนที่ผมอัดเสียง ผมได้ยินเสียงใจเต้นและรู้ทันทีเลยว่าตัวเองกำลังทำอะไร และมันจะออกมาแบบไหน” เขาอธิบายว่า “ฉะนั้นสำหรับผู้สร้างแอนิเมชั่นที่เห็นผมการถ่ายทอดการแสดงสู่ตัวละคร…ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์”
กลับมาหาเอ็ม.เค. และการผจญภัยอันเหลือเชื่อของเธอ เราได้พบกับศาสตราจารย์บอมบ้า ซึ่งเป็นพ่อของเธอที่เข้ามาช่วยมนุษย์ใบไม้และมูนเฮเว่น พร้อมกับโลกมนุษย์ในท้ายที่สุด
บอมบ้าเป็นศาสตราจารย์สติเฟื่องจอมเพี้ยน เขามีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับเอ็ม.เค. เขาใช้ชีวิตในบ้านที่เสื่อมโทรมกลางป่าเขาที่รายล้อมไปด้วยอุปกรณ์สุดมหัศจรรย์ภายในครัวเรือน เขาอุทิศชีวิตให้กับความหลงใหลด้านการศึกษาอารยธรรมของมนุษย์จิ๋วที่เขาไม่เคยพบ แต่พอเอ็ม.เค.หายไป บอมบ้าต้องเอาความฝันของเขาวางทิ้งไว้ใต้กล้องจุลทรรศน์ และค้นหาว่าจริงๆ แล้วที่ผ่านมาเขาต้องการอะไร
มิตรภาพระหว่างพ่อลูกทำให้เกิด “ความรู้สึกสำคัญในภาพยนตร์” นักแสดงจาก SNL เจสัน ซูเดคิส ผู้รับบทบอมบ้ายืนยัน
“บอมบ้าค่อนข้างเพี้ยน เป็นคนสนุกสนาน ขี้เล่นและติ๊งต๊อง” นักแสดงเล่าต่อ “เสียดายที่เอ็ม.เค.เข้าไม่ถึงความน่าสนใจในภารกิจของเขาที่ต้องค้นหาโลกเร้นลับในผืนป่าที่เขารู้ว่ามีจริง แต่ผมชอบมากที่เขามีจังหวะบ้าๆ คอยโจมตีทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในความคิดของเขา โดยส่วนใหญ่ผมชอบตรงที่เขาเชื่อว่ามีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง”
บอมบ้าอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สภาพทรุดโทรมและรกรุงรัง “มันไม่ใช่บ้าน มันเหมือนปลวกกำลังรวมพลังทำลายบ้าน” คนขับแท็กซี่ (จูดาห์ ฟรีดแลนเดอร์จาก 30 Rock) ผู้มาส่งเอ็ม.เค.ที่บ้านบอมบ้ากล่าว ในบ้านมีทั้งอุปกรณ์ สิ่งประดิษฐ์ เซ็นเซอร์ กล้อง อุปกรณ์เฝ้าติดตาม กริ่ง สัญญาณเตือน…และเจ้าสุนัขแก่สามขาที่ชอบน้ำลายยืดอย่างออซซี่ สหายผู้ซื่อสัตย์ของบอมบ้าอายุมากแล้ว แต่เขามีหัวใจของหมาแชมเปี้ยน
การคัดเลือกตัวนักแสดงของภาพยนตร์ที่มีการระดมดาราเอาไว้คับคั่งถือเป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่ไม่ใช่ภารกิจที่ “น่ากลัว” สำหรับเวดจ์เลย เขาอธิบายว่า “การคัดเลือกตัวนักแสดงมีความน่าตื่นเต้นมาก การสร้างตัวละครขึ้นมาสักตัวต้องอาศัยการร่วมงานกันระหว่างการออกแบบ การเขียน การแสดง แอนิเมชั่นและเสียง ผมต้องการให้แต่ละรายละเอียดปลีกย่อยมารวมกันในตัวละครเดียว ผมลองผสมเสียงให้เข้ากับการออกแบบตัวละคร ซึ่งมันทำให้ตัวละครมีชีวิตชีวาขึ้นมา แต่ไม่ได้เบี่ยงเบนความสนใจเราจากหนัง”
ปิดฉาก “EPIC”
ตลอดช่วงโพสต์-โพรดักชั่นที่มีทั้งการลำดับภาพ ประพันธ์ดนตรี การแก้สี มิกซ์เสียง และทำอีกหลายสิ่ง เวดจ์ใช้เวลาสะท้อนถึงแรงท้าทายหลายชั้น และโอกาสที่ได้รับจาก EPIC ซึ่งสามารถแยกภารกิจอันสำคัญของหัวหน้าแผนกต่างๆ และทีมงานของพวกเขา
ผู้ออกแบบฉากฯ เกร็ก เคาช์ เป็นผู้สร้างภาพยนตร์คนแรกๆ ที่มาร่วมงานกับเวดจ์ในเรื่อง EPIC ไอเดียการเติมแต่งโลกใบนี้ในช่วงแรกของการพัฒนา “ผลงานของเกร็กมีสีสันมาก มีความมหัศจรรย์จนน่าตะลึง” ผู้กำกับกล่าว ไมเคิล แนปป์ มาร่วมงานในฐานะผู้กำกับศิลป์ฯ โดยทำหน้าที่ออกแบบตัวละคร สีสัน บรรยากาศ รายละเอียด เนื้อเรื่องและการให้แสง ในฐานะของผู้กำกับศิลป์ฯ เขาต้องร่วมงานกับเวดจ์เพื่อแปลงสภาพผืนป่าที่ดูคุ้นตาให้เป็นกลายเป็นดินแดนประหลาด มีสีสันจัดจ้านกว่า แสงสดใสกว่า และพืชพันธุ์โอนเอนตัวราวกับมีชีวิตจริง
ผู้ควบคุมการสร้างแอนิเมชั่น กาเล็น แทน ชู และ เมลวิน ชิง เชิร์นแทน ค้นหาท่าทางการเคลื่อนไหวให้ตัวละครและสิ่งมีชีวิตต่างๆ อย่างคาดไม่ถึงโดยใช้การปั้น การสร้างหุ่นจำลอง เครื่องแต่งกายและเส้นขน และฝ่ายเอ็ฟเฟ็กต์เองก็สร้างผลงานสำคัญให้โลกของ EPIC ด้วย
แผนกต่างๆ ได้สร้างภาพที่น่าตื่นเต้นสมจริงได้อย่างที่มีเคยมีมาก่อน เวดจ์ยกตัวอย่าง “การผลักดันแอนิเมชั่นให้ก้าวไกลกว่าที่เคยมีมาก่อน” เป็นความท้าทายด้านการสร้างสรรค์ที่น่ากลัวอีกเรื่อง “ตัวละครของเราในเรื่อง EPIC มีลักษณะที่ดูซับซ้อนและเหมือนมนุษย์ที่สุดจากบรรดาผลงานของ Blue Sky Studios เราทั้งหมด” เขากล่าว
ทีมงาน The Blue Sky Studios มีแฟนพันธุ์แท้ใกล้ตัวอย่างบียอนเซ่ โนวส์ เธอเล่าว่า “เหล่าผู้สร้างแอนิเมชั่นอิงผลงานของพวกเขาจากฟุตเทจการบันทึกบทสนทนาของนัแสดง ฉะนั้นการแดงสีหน้าและท่าทางของฉันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของราชินีทาร่าด้วย
“ฉันรู้สึกทึ่งกับรายละเอียดของแอนิเมชั่น” เธอกล่าวต่อว่า “ยากที่จะเรียกว่านั่นเป็นผลงานแอนิเมชั่นมากๆ มันดูราวกับมีชีวิตจริง ฉันนึกภาพว่าได้มีส่วนร่วมในหนังแอนิเมชั่นมาโดยตลอด ฉะนั้นพอได้เห็นผลงานฉันจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก”
ความอลังการอีกอย่างคือโลกของเสียงดนตรี – ผู้ประพันธ์ดนตรี แดนนี่ เอลฟ์แมน (Oz the Great and Powerful, The Simpsons Movie) นำพรสวรรค์ของเขามาใช้กับดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง EPIC “ผมคิดว่าแดนนี่เพิ่มความสมจริงและอารมณ์ให้ภาพยนตร์ได้มากขึ้น และมีการถ่ายทอดความน่ารัก” เวดจ์กล่าว “ในเพลงประกอบภาพยนตร์ทั้งหมดที่สร้างขึ้นใน Blue Sky Studios หนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกมากที่สุด ผมเกลียดการใช้คำว่า ‘อลังการ’ แต่มันให้ความรู้สึกว่าเป็นหนังใหญ่จริงๆ”
หน้าที่ของผู้ออกแบบซาวด์เจ้าของรางวัล Academy Award แรนดี้ ธอม (The Incredibles) คือการเรียงร้อยบทเพลงของเอลฟ์แมนเพื่อเพิ่มเสน่ห์ด้านการฟังเพิ่มขึ้น ธอมใช้เสียงต่างๆ จากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ลู่ลม นกบิน หรือลมหายใจเบาๆ ของผู้หญิง และสร้างความแปลกอีกรูปแบบหนึ่งขึ้นมา
ฉากแอ็คชั่นคือพระเอก หรือในกรณีนี้คือราชินีของเรื่อง EPIC ซึ่งมีฉากต่อสู้ที่อลังการสองฉาก รวมถึงการเผชิญหน้าครั้งสำคัญระหว่างมนุษย์ใบไม้ เอ็ม.เค. และบอมบ้ากับแมนเดรคและบ็อกแกนส์ที่จะเป็นการตัดสินชะตากรรมของมูนเฮเว่นมีการถ่ายทอดเรื่องราวอย่างยิ่งใหญ่ ฉากแอ็คชั่นสุดอลังการ เหล่าฮีโร่และตัวร้ายระดับแถวหน้าในสงครามครั้งสำคัญระหว่างธรรมะและอธรรม
นี่เป็นความยิ่งใหญ่อลังการ EPIC และทุกอย่างเกิดขึ้นในโลกที่คุณไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน แต่อยู่ใกล้ตัวคุณเพียงสวนหลังบ้านเท่านั้น
ประวัตินักแสดง
โคลิน ฟาร์เรล (โรนิน) กลับมารับงานในฮอลลีวูดอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี 2009 ฟาร์เรลได้รับรางวัล Golden Globe® จากบทมาร์ติน แม็คโดนอห์ ในภาพยนตร์เรื่อง In Bruges และล่าสุดกลับมาร่วมงานกับผู้สร้างภาพยนตร์สำหรับการรับบทนำในเรื่อง Seven Psychopaths ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้เขียนบทภาพยนตร์ที่สนใจเรื่องการขโมยสุนัขของเพื่อนที่น่าตื่นเต้น (รับบทโดย แซม ร็อคเวล และ คริสโตเฟอร์ วัลเค่น)
ตอนนี้เขากำลังแสดงในภาพยนตร์แนวดาร์กระทึกขวัญเรื่อง Dead Man Down คู่กับนูมี ราเพซ กำกับโดย นีลส์ อาร์เดน ออพเลฟ ผู้ควบคุมภาพยนตร์ต้นฉบับเรื่อง Girl with the Dragon Tattoo
เมื่อไม่นานนี้ฟาร์เรลเพิ่งปิดกล้องจากเรื่อง Saving Mr. Banks ที่ร่วมงานกับทอม แฮงค์ส และ เอ็มม่า ธอมป์สัน ภาพยนตร์เป็นภาพเบื้องหลังกว่าจะเป็นหนังเรื่องโปรดจาก Disney เรื่อง Mary Poppins ตอนนี้ฟาร์เรลกำลังแสดงเรื่อง Winter’s Tale ของผู้เขียนบทเจ้าของรางวัล Academy Award Akiva Goldsman ผู้มากำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรก ภาพยนตร์แนวแฟนตาซีเรื่องนี้เกิดขึ้นที่แมนฮัตตันในยุคศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับโจร เด็กผู้หญิงที่กำลังใกล้ตาย และม้าบินสีขาว
ผลงานที่มีชื่อเสียงของฟาร์เรลในอดีต ได้แก่ ภาพยนตร์รีเมคของเล็น ไวซ์แมน เรื่อง Total Recall ที่ร่วมงานกับเคท เบ็คกินเซล, เจสสิก้า บีล และ ไบรอัน แครนสตัน; ภาพยนตร์ของปีเตอร์ เวียร์ เรื่อง The Way Back ที่ร่วมงานกับเอ็ด แฮร์ริส และ จิม สเตอร์เจส; ภาพยนตร์ของนีล จอร์แดน เรื่อง Ondine ที่ร่วมงานกับอลิคก้า บัคเลด้า และภาพยนตร์ของวิลเลียม โมนาฮาน เรื่อง London Boulevard ที่ร่วมงานกับคีร่า ไนท์ลีย์ เขายังมีผลงานการแสดงที่น่าจดจำในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น ภาพยนตร์ของแกวิน โอ’คอนนอร์ เรื่อง Pride and Glory, ภาพยนตร์ของวูดดี้ อัลเล็น เรื่อง Cassandra’s Dream, ภาพยนตร์ของไมเคิล แมน เรื่อง Miami Vice, ภาพยนตร์ของเทอร์เรนซ์ มาลิค เรื่อง The New World, ภาพยนตร์ของไมเคิล เมเยอร์ เรื่อง A Home at the End of the World, ภาพยนตร์ของโอลิเวอร์ สโตน เรื่อง Alexander และภาพยนตร์ของโจเอล ชูมัคเกอร์อีกสองเรื่องอย่าง Phone Booth และ Tigerland
ผลงานเรื่องอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Fright Night, Horrible Bosses, The Recruit, Minority Report, Ask the Dust, Daredevil, American Outlaws, S.W.A.T. และ Intermission
เขาเกิดและโตขึ้นที่ Castleknock ในสาธารณรัฐไอร์แลนด์ เขาเป็นลูกชายของเอม่อน ฟาร์เรล และเป็นหลานของทอมมี่ ฟาร์เรล ทั้งคู่เป็นนักฟุตบอลชาวไอริชคลับ Shamrock Rovers ในปี 1960
ในช่วงวัยรุ่นฟาร์เรลมุ่งมั่นที่จะเดินตามรอยเท้าของพ่อและลุง แต่ไม่นานเขาก็เปลี่ยนความสนใจเป็นด้านการแสดง และเข้าศึกษาที่ Gaiety School of Drama ในดับลิน ก่อนจะเรียนจบหลักสูตร ฟาร์เรลได้รับบทแสดงนำในภาพยนตร์ทางทีวีเรื่อง Falling for a Dancer สร้างขึ้นจากนิยายของดิเอเดร เพอร์เซล หลังกลับมารับบทเดิมในซีรี่ส์ทาง BBC เรื่อง Ballykissangel เขาได้แสดงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรก The War Zone (1999) ซึ่งเป็นการกำกับครั้งแรกของทิม ร็อธ
ตอนนี้ฟาร์เรลอาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลิส
จอช ฮัตเชอร์สัน (น็อด) ตอนอายุ 20 ปีเขากลายเป็นนักแสดงหนุ่มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งแห่งฮอลลีวูด ในปี 2012 เขาได้รับเกียรติจากรางวัล Cinema Con สาขานักแสดงชายที่โดดเด่น, MTV Movie Award™ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, Logo’s New Now Next Award สาขา Next Mega Star และ GLAAD’s Vanguard Award
จอชเป็นที่รู้จักดีจากการแสดงในบทพีต้า เมลลาร์ค ในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง เรื่อง The Hunger Games ที่แสดงร่วมกับเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, เลียม เฮมส์เวิร์ธ, สแตนลีย์ ทุคชี่, วูดดี้ ฮาร์เรลสัน และ เอลิซาเบธ แบงค์ส ภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games เป็นภาพยนตร์ไตรภาคที่ได้รับความนิยมภาคแรกที่สร้างขึ้นจากนิยายของซูเซน คอลลินส์ และได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์ นอกจากนั้นยังสร้างสถิติให้บ็อกซ์ออฟฟิศอีกมากมาย จอชจะกลับมารับบทเดิมในภาพยนตร์สองภาคสุดท้ายของไตรภาค ได้แก่ Catching Fire และ Mockingjay โดยเรื่อง Catching Fire จะมีการฉายในฤดูใบไม้ร่วงปี 2013
เมื่อปีที่แล้วจอชแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Red Dawn ซึ่งรีเมคจากหนังคลาสสิคปี 1984 เกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นที่พยายามปกป้องเมืองจากทหารต่างชาติ, Journey 2: Mysterious Island ที่ร่วมงานกับไมเคิล เคน และ ดเวย์น จอห์นสัน, ภาพยนตร์อินดี้เรื่อง Detention โดยจอชทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร และภาพยนตร์หลากเรื่องราวในชื่อ Seven Days in Havana ซึ่งเป็นหนังสั้น 7 เรื่องจาก 7 ผู้กำกับ
ตอนนี้จอชกำลังแสดงภาพยนตร์เรื่อง Paradise Lost ภาพยนตร์แนวดราม่าเกี่ยวกับ พาโบล เอสโคบาร์ ผู้นำคนสำคัญที่สร้างเรื่องฉาวโฉ่ และร่วมแสดงกับเบนิซิโอ เดล โตโร
ในปี 2010 จอชร่วมแสดงกับแอนเน็ต เบนิ่ง และ จูเลียน มัวร์ ในภาพยนตร์ของลิซ่า โชโลเดนโก้ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award เรื่อง The Kids are All Right มีการฉายภาพยนตร์ครั้งแรกในงาน Sundance Film Festival ของปีนั้น ซึ่งได้ซื้อสิทธิ์ไปโดย Focus Features ซึ่งเป็นข้อตกลงที่แพงมากสำหรับเทศกาลนี้ ภาพยนตร์ได้รับคำชมอย่างมากจากการฉายรอบปฐมทัศน์ และได้รับรางวัล Teddy Awards ที่งาน Berlin International Film Festival รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild®, Independent Spirit Awards และ Golden Globe
ผลงานที่มีชื่อเสียงนอกจากนั้นได้แก่ The Vampire’s Assistant ที่แสดงคู่กับจอห์น ซี. เรลลี่ และ ซัลม่า ฮาเย็ค, Carmel, Journey to the Center of the Earth 3-D ซึ่งเป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่นสามมิติเรื่องแรกในระบบไฮเดฟ, Bridge To Terabithia, Winged Creatures, Firehouse Dog, RV, Little Manhattan, Zathura, Kicking and Screaming, Howl’s Moving Castle แล The Polar Express จอชได้รับรางวัล Young Artist Awards สาขา “นักแสดงนำวัยรุ่นชาย” จากบทบาทในเรื่อง Zathura และ Bridge to Terebithia
อแมนด้า ไซย์ฟรีด (เอ็ม.เค.) ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักแสดงนำหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีเสน่ห์มากที่สุดแห่งวงการฮอลลีวูด
ไซย์ฟรีดมีชื่อเสียงจากการรับบทแสดงนำในภาพยนตร์สุดฮิตของ Universal Pictures เรื่อง Mamma Mia! โดยไซย์ฟรีดได้แสดงพลังเสียงอันโดดเด่นในบทของ โซฟี ลูกสาวของดอนน่า (เมริล สตรีพ) ในภาพยนตร์ด้วย ภาพยนตร์กำกับโดยฟิลลิด้า ลอยด์ มีการฉายเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2008 และกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 600 ล้านเหรียญ
ต่อไปไซย์ฟรีดจะเริ่มแสดงภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายของเซธ แม็คฟาร์เลน เรื่อง A Million Ways to Die in the West แสดงร่วมกับแม็คฟาร์เลน และ ชาร์ลีซ ธีรอน
ล่าสุดไซย์ฟรีดแสดงในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงโดย Universal เรื่อง Les Miserables ที่เธอรับบทเป็น โคเซ็ตต์ โดยเธอแสดงร่วมกับแอน แฮทธะเวย์, ฮิวจ์ แจ็คแมน และ รัสเซล โครว์ กำกับภาพยนตร์โดยทอม ฮูเปอร์ ฉายเมื่อ 25 ธันวาคม 2012 กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 400 ล้านเหรียญ
หลังจากนี้จะได้เห็นไซย์ฟรีดในภาพยนตร์ของ Lionsgate เรื่อง The Big Wedding ที่เธอแสดงคู่กับโรเบิร์ต เดอ นีโอ และ ไดแอน คีตัน ภาพยนตร์จะมีการฉายวันที่ 26 เมษายน 2013
ถัดจากปีนี้ไซย์ฟรีดจะมีผลงานในภาพยนตร์ของ Millennium/Radius Films เรื่อง Lovelace ภาพยนตร์แนวดราม่าที่กำกับโดยร็อบ เอพสตีน และ เจฟฟรีย์ ฟรีดแมน ภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวจริงของลินดา เลิฟเลซ (ไซย์ฟรีด) ดาราหนังโป๊คนแรกของโลก ผู้ถูกครหาจากวงการและสามีที่คอยกดขี่ ก่อนที่เธอจะต่อสู้กลับและกำหนดชีวิตของเธอเอง เธอร่วมแสดงกับปีเตอร์ ซาร์การ์ด และ ชารอน สโตน แสดงในภาพยนตร์ โดยภาพยนตร์จะมีการฉายในปี 2013
เมื่อปี 2011 ไซย์ฟรีดแสดงภาพยนตร์คู่กับจัสติน ทิมเบอร์เลคในภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟระทึกขวัญจาก New Regency เรื่อง In Time จากผู้เขียนฯ-ผู้กำกับฯ แอนดรูว์ นิคโคล จัดจำหน่ายภาพยนตร์โดย Twentieth Century Fox เป็นเรื่องราวของสังคมที่มีอายุขัยสิ้นสุดที่ 25 ปีและเวลาถูกใช้แทนเงินตรา ภาพยนตร์ฉายเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2011
และในปี 2011 ไซย์ฟรีดได้แสดงในภาพยนตร์ของ Warner Bros. เรื่อง Red Riding Hood อำนวยการสร้างโดยบริษัทของลีโอนาร์โด ดิคาปริโอในนาม Appian Way กำกับโดยแคทเธอรีน ฮาร์ดวิค
ในปี 2010 ไซย์ฟรีดมีผลงานคู่กับแชนนิ่ง ทาทัม ในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมจากบ็อกซ์ออฟฟิศ เรื่อง Dear John ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายขายดีของนิโคลาส สปาร์คส (The Notebook) ในภาพยนตร์ไซย์ฟรีดรับบทเป็นหญิงสาวที่ได้พบและตกหลุมรักกับทหาร (แชนนิ่ง ทาทัม) ช่วงที่เขาลากิจ แลสซี่ ฮัลสตรอม (The Cider House Rules, Chocolat) กำกับจากบทภาพยนตร์ของเจมี่ ลินเด็น ภาพยนตร์เรื่อง Dear John กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 100 ล้านเหรียญ และเป็นภาพยนตร์ของ Sony Screen Gems ที่เปิดตัวด้วยรายได้สูงสุดจนถึงปัจจุบัน
และในปี 2010 ไซย์ฟรีดแสดงในภาพยนตร์ของ Summit เรื่อง Letters to Juliet เธอรับบทเป็นสาวอเมริกันที่เดินทางไปยังเวโรน่า ประเทศอิตาลี เพื่อตอบจดหมายของคนที่เขียนถึง Romeo and Juliet อันเลื่องชื่อ ภาพยนตร์กำกับโดยแกรี่ วินิค (Bride Wars, 13 Going On 30) และยังนำแสดงโดยวาเนสซ่า เรดเกรฟ และ เกล การ์เซีย เบอร์นัล
ในปี 2010 ไซย์ฟรีดแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Chloe ซึ่งเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญที่กำกับโดยอะตอม อีโกยาน โดยเธอร่วมแสดงกับจูเลียน มัวร์ และ เลียม นีสัน ไซย์ฟรีดรับบทเป็นสาวรับจ้างเที่ยวของคุณหมอผู้ประสบความสำเร็จ (มัวร์) เพื่อทดสอบความซื่อสัตย์ของสามีเธอ
ในปี 2009 ไซย์ฟรีดแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Jennifer’s Body ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่เขียนโดยไดอะโบล โคดี้ (Juno) ไซย์ฟรีดรับบทเป็น นีดดี้ เพื่อนสนิทของเจนนิเฟอร์ (มีแกน ฟ็อกซ์) เชียร์ลีดเดอร์ผู้ถูกสิงและเริ่มออกฆ่าหนุ่มๆ ในเมืองเล็ก
สำหรับผลงานทางทีวี ไซย์ฟรีดได้รับคำชมจากนักวิจารณ์จากการรับบทแสดงนำในภาพยนตร์แนวดราม่าทาง HBO ที่เข้าชิงรางวัล Golden Globe เรื่อง Big Love
ไซย์ฟรีดเป็นชาวเพ็นซิลวาเนีย เธอเริ่มเดินแบบตอนอายุ 11 ขวบ หลังจากนั้นไม่นานเธอได้หันมาทำการแสดงและเซ็นสัญญาครั้งแรกเมื่อปี 2000 สำหรับการรับบทลูซี่ มอนต์โกเมอรี่ ในภาพยนตร์เรื่อง As the World Turns ในปี 2002 ภาพยนตร์เรื่อง All My Children เซ็นสัญญากับเธอให้มารับบทโจนี่ สตัฟฟอร์ด
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเธอเกิดขึ้นเมื่อปี 2004 ในภาพยนตร์แนวดราม่าคอมเมดี้ เรื่อง Mean Girls ของ Lorne Michaels/Tina Fey/Paramount โดยเธอร่วมแสดงกับลินด์เซย์ โลฮาน และ ราเชล แม็คอดัมส์ พวกเขาร่วมกันรับรางวัล Best On-Screen Team Award ที่งาน MTV Movie Awards
ในปี 2005 ไซย์ฟรีดแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมที่งาน Sundance Film Festival เรื่อง Nine Lives เขียนและกำกับโดยโรดริโก การ์เซีย ภาพยนตร์นำแสดงโดยซิสซี่ สปาเค็ก, เกล็น โคลส, ฮอลลี่ ฮันเตอร์, โรบิน ไรท์ เพ็นน์ และ ดาโกต้า แฟนนิ่ง
ในปี 2006 เธอแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Alpha Dog กำกับโดยนิค คาสซาเวเทส นำแสดงโดยจัสติน ทิมเบอร์เลค, ชารอน สโตน, อีมิล เฮิร์ช และ บรูซ วิลลิส ไซย์ฟรีดมีผลงานต่อมาด้วยเรื่อง American Gun ที่นำแสดงโดย โดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์, ฟอเรสต์ ไวเทคเกอร์ และ มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดน
ตอนนี้อแมนด้าแบ่งเวลาอยู่ระหว่างที่ลอสแองเจลิสกับนิวยอร์ค
คริสทอฟ วอลซ์ (แมนเดรค) เมื่อไม่นานนี้เพิ่งได้รับรางวัล Academy Award เป็นครั้งที่สองจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์ของควอนติน ตารานติโน่ เรื่อง Django Unchained ซึ่งบทของเขาทำให้วอลซ์ได้รับรางวัล Golden Globe และ BAFTA สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในปี 2009 เขาได้รับรางวัล Academy, SAG, BAFTA, Golden Globe และรางวัลจากงาน Cannes Film Festival สำหรับการแสดงในบททหารนาซี โคโลเนล ฮานส์ แลนด้า ในภาพยนตร์ของตารานติโน่ เรื่อง Inglourious Basterds
เมื่อไม่นานนี้วอลซ์เพิ่งปิดกล้องจากภาพยนตร์ของเทอร์รี่ กิลเลม เรื่อง Zero Theorem ที่แสดงร่วมกับแม็ตต์ เดม่อน และ ทิลด้า สวินตัน
ล่าสุดวอลซ์มีผลงานในภาพยนตร์เรื่อง Carnage ซึ่งเป็นผลงานที่ดัดแปลงจากละครของยาสมินา รีซ่า ที่ได้รับรางวัล Tony® เรื่อง God of Carnage โรมาน โพลานสกีทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์ และวอลซ์แสดงคู่กับเคท วินสเล็ต, โจดี้ ฟอสเตอร์ และ จอห์น ซี. เรลลี่ ภาพยนตร์มีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่งาน Venice Film Festival เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2011 และเปิดตัวที่งาน New York Film Festival เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2011 ภาพยนตร์มีการฉายภายในประเทศโดย Sony Pictures Classics เมื่อเดือนธันวาคม 2011
ล่าสุดวอลซ์แสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Three Musketeers ของผู้กำกับฯ พอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สัน และ Summit Entertainment วอลซ์รับบทเป็นคาร์ดินัล รีเชลีเอ คู่กับนักแสดงต่างประเทศอย่างมิลล่า โจโววิช, ออร์ลันโด บลูม, แมทธิว แม็คแฟดเยน, แมดส์ มิคเคลสัน และ จูโน่ เทมเพิล ภาพยนตร์มีการฉายเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2011
ในเดือนเมษายน 2011 วอลซ์ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Water for Elephants ที่ริชาร์ด ลากราวานีสดัดแปลงบทภาพยนตร์จากนิยายของซาร่า กรูเอน วอลซ์รับบทเป็นเจ้าของโรงละครสัตว์และหัวหน้าโรงละครสัตว์ของภาพยนตร์ เขาแสดงคู่กับรีซ วิเธอร์สพูน และ โรเบิร์ต แพททินสัน ก่อนหน้านั้นวอลซ์รับบทเป็นวายร้ายชัดนอฟสกีในภาพยนตร์ของมิเชล กอนดรี้ เรื่อง The Green Hornet คู่กับเซธ โรแกน และ คาเมรอน ดิแอซ
ผลงานของวอลซ์ที่ยุโรปทางทีวี ภาพยนตร์ และละครมีความยาวนานถึง 30 ปี ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ Gun-Shy, Berlin Film Festival entry Lapislazuli, Dorian, She, Falling Rocks, Ordinary Decent Criminal, Our God’s Brother, The Beast, Berlin Blues and Angst สำหรับผลงานทางทีวี เขาแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล Adolf Grimme Award เรื่อง Der Tanz mit dem Teufel – Die Entführung des Richard Oetker และ Dienstreise – Was für eine Nacht Dienstreise สำหรับผลงานของเขาในเรื่อง Du Bist Nicht Allein – “Die Roy Black Story” ทำให้วอลซ์ได้รับรางวัล Bavarian และ German TV รวมถึง RTL Golden Lion
บียอนเซ่ โนวส์ (ราชินีทาร่า) เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและเป็นที่สนใจอย่างมากในกระแสความนิยม เส้นทางสู่การปรากฏตัวบนเวทีโลกได้เริ่มต้นในฐานะของสมาชิกผู้ก่อตั้งวง Destiny’s Child พวกเธอได้เดินทางไปที่บ้านเกิดในฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส ตอนบียอนเซ่อายุเพียง 9 ขวบ พวกเธอกลายเป็นกลุ่มนักร้องหญิงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงตลอดกาล และบียอนเซ่กลายเป็นนักร้องเดี่ยว นักแสดงหญิง นักสังคมสงเคราะห์ และนักธุรกิจที่เหมือนเป็นแบบอย่าง
ในปี 2001 บียอนเซ่เป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกันหญิงคนแรกและเป็นผู้หญิงคนที่สองที่ได้รับรางวัล ASCAP Pop Songwriter of the Year Award เธอสร้างชาร์ตที่เป็นประวัติศาสตร์ไว้ในปี 2003 ที่เธอกลายเป็นศิลปินคนแรกในช่วง 20 ปี และเป็นนักร้องหญิงคนแรกที่ได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของสหรัฐฯ และอังกฤษในเวลาเดียวกันจากอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเธอที่ชื่อ Dangerously In Love และเพลง “Crazy In Love” ผลงานที่มีศิลปินไม่กี่คนประสบความสำเร็จ อาทิเช่น the Beatles และ Simon & Garfunkel บียอนเซ่ออกทัวร์ที่อเมริกาครั้งแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวในปี 2004 เพื่อโปรโมทอัลบั้มเดี่ยวของเธอชุดแรกที่เป็นอันดับ 1 multi-platinum ชุด Dangerously In Love ซึ่งเธอได้รับรางวัล Grammy Awards® เป็นครั้งที่ 5 ในปีนั้น รวมถึงรางวัล Best Contemporary R&B Album และ Best R&B Song สำหรับเพลง “Crazy In Love” ที่ร้องคู่กับเจย์-ซี การที่เธอได้รับรางวัล Grammy ถึง 5 ครั้งในปีเดียว ทำให้บียอนเซ่ครองสถิติศิลปินหญิงผู้คว้ารางวัล Grammy มากที่สุดในปีเดียว
หลังจากความสำเร็จของการร้องเพลงเดี่ยวครั้งแรก บียอนเซ่ได้เปิดตัวอีกสองอัลบั้มที่ขึ้นแท่นอันดับ 1 ตามลำดับ ได้แก่ อัลบั้ม B’DAY เมื่อปี 2006 ที่มีเพลงฮิตอย่าง “Irreplaceable” และ “Beautiful Liar” และอัลบั้ม I AM…SASHA FIERCE เมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นอัลบั้มที่มีการกล่าวขานกันมากแห่งปี 2009 จากวีดีโอสำหรับเพลง “Single Ladies (Put A Ring On It)” ที่มีการรับชมและ mimicked ทั่วโลกมากที่สุด
บียอนเซ่เริ่มต้นปี 2010 ด้วยการคว้ารางวัลแห่งประวัติศาสตร์ที่งาน Grammy Awards ประจำปีครั้งที่ 52 ในการมางานประกาศรางวัลฐานะศิลปินที่มีการเข้าชิงรางวัลมากที่สุดแห่งปีด้วยการเข้าชิงถึง 10 รางวัล โดยส่วนใหญ่เข้าชิงด้วยอัลบั้มที่ครองอันดับ 1 ทั่วโลกของเธอชุด I AM…SASHA FIERCE บียอนเซ่ได้รับรางวัล Grammy กลับไปครองถึงหกรางวัล สร้างสถิติในการเป็นศิลปินหญิงที่คว้ารางวัลมากที่สุดในปีเดียวกัน จนถึงปัจจุบันนี้เธอได้รับรางวัล Grammy ทั้งหมดรวม 17 รางวัล
รางวัลแห่งประวัติศาสตร์ของเธอทั้ง 6 รางวัล ได้แก่ Song of the Year “Single Ladies (Put A Ring On It)”, Best Female Pop Vocal Performance “Halo”, Best Female R&B Vocal Performance “Single Ladies (Put A Ring On It),” Best Traditional R&B Vocal Performance “At Last”, Best R&B Song “Single Ladies (Put A Ring On It)”, Best Contemporary R&B Album I AM…SASHA FIERCE ชัยชนะของ “At Last” ให้เกียรติกับผลงานของเธอจาก Cadillac Records โดยนำเอาผลงานของ Etta James มาขับร้องสู่ผู้ชมทั่วโลกรับชมเมื่อปี 2009 ในงานคืนวันสาบานตน เมื่อเธอทำการแสดงให้กับประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า และสตรีหมายเลข 1 มิเชล โอบาม่า จากคำเรียกร้องของพวกเขา
“I AM…” World Tour เป็นการสนับสนุนอัลบั้มที่ได้รับคำชมเปิดตัวที่แคนาดาเมื่อเดือนมีนาคม 2009 และบียอนเซ่ต้องออกทัวร์ทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ เธอแสดงต่อหน้าฝูงชนอันแน่นขนัดในทุกทวีป ซึ่งรวมถึงการแสดงเดี่ยวครั้งใหญ่สุดของเธอที่ Sặo Paulo ประเทศบราซิลที่มีแฟนเพลง 60,000 คนมาร่วมในงานแสดงเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2010 ที่ Morumbi Stadium จน Billboard Magazine ยกให้ “I AM” เวิล์ดทัวร์เป็นคอนเสิร์ตที่สร้างความฮือฮาเป็นอันดับ 1 แห่งปี 2009 และ Billboard ยังยกตำแหน่ง Woman of the Year ให้บียอนเซ่เมื่อเดือนตุลาคม 2009 และ Top Female Artist of the Decade ในเดือนธันวาคม 2009
ช่วงซัมเมอร์ปี 2011 บียอนเซ่เปิดตัวอัลบั้มชุดที่ 4 ของเธอที่มีชื่อว่า 4 และขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอัลบั้มมีเพลงฮิตที่ได้รับความนิยมอย่าง “Love On Top” ซึ่งได้รับรางวัล Grammy for Best Traditional R&B Performance, “Countdown” และเพลงที่เปรียบเสมือนเป็นเพลงชาติเพลงใหม่อย่าง “Run The World (Girls)”
การแสดงทางทีวีครั้งแรกของเพลง “Run The World (Girls)” ในงาน Billboard Awards เมื่อเดือนพฤษภาคม 2011 กลายเป็นที่กล่าวขานกันมากที่สุดแห่งปี 26 มิถุนายน 2011 ซึ่งเป็นเวลาสองวันก่อนที่จะวางจำหน่ายอัลบั้ม บียอนเซ่ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกที่งาน The Pyramid Stage ใน Glastonbury ต่อหน้าผู้ชมนับ 200,000 คน
ในเดือนสิงหาคม 2011 บียอนเซ่ทำการแสดงอัลบั้ม 4 ของเธอให้แฟนเพลงที่สนิทเป็นเวลานานเกิน 4 คืนที่ Roseland Ballroom ที่มีชื่อเสียงของนิวยอร์ค ดีวีดี “Live At Roseland” ทำการกำกับโดยบียอนเซ่ มีการจำหน่ายเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2011
ในปี 2012 บียอนเซ่ให้การสนับสนุน United Nations ในงานฉลอง World Humanitarian Day และความสำเร็จจากภารกิจการส่ง 1 พันล้านข้อความของผู้ที่ทำความดีทั่วทุกมุมโลก เธอจัดการแสดง “I Was Here” ที่ United Nations General Assembly เพื่อทำวีดีโอการแสดงสด ซึ่งมีการลำดับภาพเข้ากับฟุตเทจดิบจากเวิล์ดอีเวนท์
หลังให้กำเนิดลูกสาวเธอได้หวนคืนสู่เวทีด้วยการแสดง 4 ชุดที่บัตรจำหน่ายหมดเกลี้ยงในช่วง Memorial Weekend ที่ Revel ใน Atlantic City เธอยังทำการแสดงที่ Barclays Center ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในบรูคลิน เมืองนิวยอร์ค และได้รับรางวัล MTV VMA สาขาการลำดับวีดีโอ “Countdown” อันยอดเยี่ยม
จนมาถึงปีนี้บียอนเซ่ทำการแสดงในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเป็นครั้งที่ 2 ของประธานาธิบดีโอบาม่า ซึ่งเป็นการแสดงใน Super Bowl Halftime ต่อหน้าผู้ชมกว่า 108 ล้านคน โดยมีการกำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์สารคดี Life Is But a Dream ที่ออกอากาศทางช่อง HBO เป็นภาพยนตร์สารคดีที่มีผู้ชมมากที่สุดของสถานีในช่วงเวลาเกือบ 10 ปี
บียอนเซ่เปิดการแสดง The Mrs. Carter Show World Tour ที่ยุโรปเมื่อวันที่ 15 เมษายน ซึ่งเป็นการแสดงทางตอนเหนือของอเมริกาที่จัดขึ้นในลอสแองเจลิสเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ตอนนี้เธอกำลังบันทึกเสียงอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 5 ของเธออยู่
อาซิส แอนซารี่ (มับ) รับบทเป็น ทอม ฮาเวอร์ฟอร์ด เพื่อนที่ดูแลตัวเองของเลสลี่ โนป (นักแสดงซีรี่ เอมี่ โพห์เลอร์) ในภาพยนตร์คอมเมดี้ทาง NBC เรื่อง “Parks and Recreation” แอนซารี่มีบทบาทในโลกคอมเมดี้ขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขากำลังมีผลงานการแสดงในทีวีซีรี่ส์ยอดนิยม มีภาพยนตร์หลายเรื่อง และเมื่อไม่นานนี้เคยเปิดตัวอัลบั้มเดี่ยวพิเศษความยาว 1 ชั่วโมง แอนซารี่เคยเป็นพิธีกรในงาน MTV Movie Awards เมื่อปี 2010 ด้วย
แอนซารี่ไม่เคยว่างเว้นจากโลกภาพยนตร์ เขาเคยมีส่วนร่วมในภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดนิยมอย่าง Ice Age: Continental Drift, ภาพยนตร์แอ็คชั่นคอมเมดี้ 30 Minutes or Less; ภาพยนตร์คอมเมดี้ที่กำกับโดยจัดด์ อพาทาว เรื่อง Funny People ที่แอนซารี่ฝากตัวละครชื่อดังอย่าง แรนนนนนนนดี้ เอาไว้จนกลายเป็นวลีฮิตบน FunnyOrDie.com ในเวลาต่อมา
แอนซารี่ยังเคยแสดงในเรื่อง Get Him to the Greek คู่กับรัสเซล แบรนด์, โจนาห์ ฮิล และ ฌอน ‘ดิดดี้’ คอมบ์ส .ในบทของเพื่อนร่วมงานของตัวละครฮิล และเขาเคยรับบทในคอมเมดี้ยอดนิยม I Love You, Man และ Observe and Report ด้วย
แอนซารี่ได้เปิดตัวการแสดงเดี่ยวชุดพิเศษ Comedy Central ที่ชื่อว่า Intimate Moments for a Sensual Evening. ทั้งดีวีดีและซีดีชุดพิเศษต่างประสบความสำเร็จอย่างมาก และอัลบั้มยืนหยัดบนรายชื่อคอมเมดี้ที่ขายดีบน iTunes แอนซารี่เคยรับบทแสดงช่วงค่ำคืนเป็นประจำในบทผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยการแสดงอันยากจะลืมในเรื่อง The Late Show with David Letterman, The Tonight Show with Conan O’Brien, และ Jimmy Kimmel Live
แอนซารี่ประสบความสำเร็จจากทัวร์การแสดงเดี่ยวที่มีชื่อว่า Dangerously Delicious Tour ในเมืองใหญ่ๆ หลายเมือง เขาเริ่มการแสดงเดี่ยวเมื่อปี 2001 ระหว่างศึกษาที่ NYU และยังมีการแสดงต่อที่สถานที่หลายแห่ง ณ วันนี้ ในปี 2005 Rolling Stone ได้ขนานนามให้เขาเป็น Hot Standup ที่ยอดเยี่ยมสุดในฮอทลิสต์ประจำปี และเขาได้รับรางวัล Jury Award สาขา Best Standup ที่งาน US Comedy Arts Festival ใน Aspen ปี 2006
แอนซารี่ได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นครั้งแรกจากซีรี่ส์แนวคอมเมดี้ยอดนิยมเรื่องสั้นที่งาน MTV เรื่อง Human Giant ซีรี่ส์สร้างขึ้นหนังสั้นรอบตัว นำแสดงโดย แอนซารี่ คู่กับร็อบ ฮูเบล และ พอล เชียร์ เรื่องสั้นหลายเรื่องของพวกเขากลายเป็นเรื่องดังบนอินเตอร์เน็ต และทำให้ทั้งสามเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นทั่วสหรัฐฯ แอนซาริสยังเคยเป็นนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์ทาง HBO เรื่อง Flight of the Conchords โดยเขารับบทเป็นคนขายผลไม้ที่ชอบแบ่งชนชั้น และยังเห็นเขาใน Scrubs อีกหลายตอน
ตอนนี้แอนซารี่อาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลิส
คริส โอ’ดาวด์ (กรั๊บ) เติบโตขึ้นในย่านบอยล์ อำเภอ Roscommon ประเทศไอร์แลนด์ และเข้าศึกษาด้านการเมืองและสังคมที่ดับลินก่อนที่จะหันมาฝึกฝนด้านการแสดง
หลังสำเร็จการศึกษาจาก London Academy of Music and Dramatic Art จุดพลิกผันของโอ’ดาวด์ครั้งแรกคือการรับบทนักแสดงตลก ทอมมี่ โอ’ไดเออร์ ในภาพยนตร์ปี 2005 เรื่อง Festival ที่ได้รับรางวัล BAFTA Scotland Award สาขานักแสดงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ชาวสก็อต บทบาทนั้นทำให้เขาสร้างสถานภาพในฐานะดาราที่โดดเด่น ในบทของรอย ทรีนเนแมน ที่ขี้บ่น ซึ่งมีประโยคคุ้นเคยว่า “คุณเคยเปิดและปิดมันตลอดเวลามั้ย ในการแสดงทาง Channel 4 Television เรื่อง The IT Crowd ตั้งแต่มีการแสดงแรกในปี 2006 ผู้คนนับล้านได้พลิกรอยให้เป็นฮีโร่ของหนังคัลท์ไปเลย
ในปี 2011 ถือเป็นปีทองของโอ’ดาวด์ที่แสดงในภาพยนตร์ฮิตของบ็อกซ์ออฟฟิศที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เรื่อง Bridesmaids และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA Rising Star Award ซึ่งรางวัลนี้เป็นการยอมรับด้านการพัฒนาด้านการแสดงของเขาอย่างรวดเร็ว
ปีนี้ถือเป็นปีเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของโอ’ดาวด์จนถึงปัจจุบัน ช่วงซัมเมอร์เราได้พบเขากลับไปร่วมงานกับเพื่อนร่วมแสดงจากเรื่อง Bridesmaids ครินเทน วิก ในเรื่อง Friends With Kids นำแสดงโดยเมแกน ฟ็อกซ์ และ จอน แฮมม์ ตอนนี้โอ’ดาวด์มีผลงานการแสดงในภาพยนตร์มิวซิเคิลแนวดราม่า เรื่อง The Sapphires ซึ่งเป็นเรื่องราวในปี 1968 สร้างอิงจากเรื่องาวชีวิตจริงของกลุ่มพี่น้องและญาติชาวพื้นเมืองที่ได้ก่อตั้งคณะเพลงโซล และแสดงให้ กองกำลังทหารสหรัฐฯ ในเวียดนาม ตอนนี้โอ’ดาวด์กำลังแสดงทีวีซีรี่ส์เรื่อง Moone Boy ฤดูกาลที่สอง เขาทำหน้าที่เขียนและกำกับให้ Sky Television สร้างอิงจากเรื่องราวในวัยเด็กของเขา และถ่ายทำในบ้านเกิดของเขาที่บอยล์ Moone Boy ฤดูกาลที่หนึ่งออกอากาศทางช่อง Sky เดือนกันยายน เดือนตุลาคมได้ชมภาพยนตร์คอมเมดี้เรื่อง 3, 2, 1…Frankie Go Boom ที่โอ’ดาวด์แสดงคู่กับแซม แอนเดอร์สัน และ ลิซซี่ แคปแลน ในเดือนธันวาคมแสดงภาพยนตร์คอมเมดี้ของจัดด์ อพาทาว เรื่อง This is 40
ในปี 2013 โอ’ดาวด์จะมีผลงานคู่กับนิค ฟรอสต์ และ ราชิด้า โจนส์ ในภาพยนตร์คอมเมดี้เรื่อง Cuban Fury
หลังจากเรื่อง Festival และความโดดเด่นในเรื่อง Vera Drake และ How to Lose Friends & Alienate People โอ’ดาวด์รับบทเป็น ไซมอน ในภาพยนตร์ของริชาร์ด เคอร์ทิส เรื่อง Pirate Radio และแสดงคู่กับแจ็ค แบล็ค ในบทสุดยอดคู่หูที่ชื่อเอ็ดเวิร์ด ในภาพยนตร์เรื่อง Gulliver’s Travels ปีต่อมาเขาแสดงในภาพยนตร์คอมเมดี้ของเจย์ โรช เรื่อง Dinner for Schmucks นำแสดงโดย สตีฟ คาเรล
ตั้งแต่เรื่อง The IT Crowd โอ’ดาวด์ไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นบนจอทีวี ความถนัดด้านการเล่นมุขของเขาอยู่ในภาพยนตร์ทาง BBC2 เรื่อง Roman’s Empire และ ITV’s FM เขายังพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นนักแสดงที่มีฝีมือในภาพยนตร์แนวดราม่าที่ได้รับรางวัล เรื่อง The Year London Blew Up: 1974 ล่าสุดเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Irish Film and Television Award สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมจากผลงานทางทีวีที่เขารับบทที่ได้รับคำชมอย่างวิลเลียม แร็คแฮม นักแสดงชาวอังกฤษคนสำคัญ ในภาพยนตร์ทาง BBC เรื่อง The Crimson Petal and the White
ในปี 2012 โอ’ดาวด์รับบทเป็น โธมัส จอห์น ในซีรี่ส์แนวคอมเมดี้ยอดนิยมทาง HBO เรื่อง Girls คู่กับลีน่า ดันแฮม, อดัม ไดร์เวอร์ และ อลิสัน วิลเลียมส์
พิทบูล (บูโฟ) โด่งดังเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกจากการเป็นนักร้องและนักแสดง เขาเป็นชาวไมอามี่ ล่าสุดได้ทำเพลงที่อยู่ในลิสต์ได้อย่างยาวนานและได้รับความนิยมจนขึ้นเป็นอันดับ 1 ครั้งแรกอย่าง “Give Me Everything” ในเวลาเดียวกันคอนเสิร์ตเวิล์ดทัวร์ของเขาก็จำหน่ายบัตรหมดที่ลาตินอเมริกา แคนาดา และยุโรป ก่อนที่จะมีการฉลองที่สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เพลงใหม่ของพิทบูลชื่อ “Feel This Moment” ที่ร้องคู่กับคริสติน่า อากิเลร่า ที่โด่งดังไปทั่วดลก และเพลง “Don’t Stop The Party” ได้รับความนิยมจากสถานีวิทยุทัวโลก และวีดีโอเพลงที่ได้รับความนิยมในอัลบั้มใหม่ของเขาที่ชื่อ Global Warming
อัลบั้มได้รับความคาดหวังอย่างสู่หลังจาก Planet Pit ที่ได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์ และประสบความสำเร็จทางทีวี พร้อมยอดขายอัลบั้มที่มากกว่า 1.7 ล้านและเดี่ยวๆ 19 ล้าน เพลง “Don’t Stop the Party” และ “Feel This Moment” ทำให้พิทบูลมียอดขายเพลงมากกว่า 2 ล้าน เพลง “Back In Time” ถือเป็นเพลงฮิตอันดับหนึ่งของชาร์ทจากภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยคอมเมดี้เรื่อง Men In Black 3
องค์ประกอบของความสำเร็จทั่วโลกในฐานะของศิลปิน พิทบูลยังลงทุนทำธุรกิจวอดก้าแคลอรี่ต่ำแต่มีคุณภาพสูงชื่อ Voli และเป็นผู้ถือหุ้นในธุรกิจแฟนไชส์อาหารอันเลื่องชื่อที่เกี่ยวกับบ้านเกิดของเขาในไมอามี่อย่าง The New Miami Subs Grill; RockDoc ผลิตภัณฑ์ลำโพงพกพาที่ปฏิรูปนวัตกรรม และหุ้นส่วนกับ Sheets ผลิตภัณฑ์เพิ่มพลังงานที่ละลายในปาก พิทบูลได้ลงชื่อร่วมเซ็นสัญญากับผลิตภัณฑ์ชั้นนำอย่าง Bud Light, Dr Pepper, Pepsi (ลาติน อเมริกา) และ Kodak
เจสัน ซูเดคิส (บอมบ้า) กำลังมีผลงานในรายการ Saturday Night Live ฤดูกาลที่ 8 ของทางช่อง NBC ซูเดคิสใช้เวลาสองปีทำหน้าที่ผู้เขียนของรายการก่อนที่จะมีผลงานอย่างต่อเนื่องในปี 2005 และชนะใจผู้ชมด้วยบทรองประธานาธิบดี โจ ไบเด็น ผู้ชนะ American Idol เทย์เลอร์ ฮิคส์ และกลับมารับบทนักเต้นฮิพฮอพในละครสั้นเรื่อง “What Up with That”
ซูเดคิสเคยแสดงในภาพยนตร์คอมเมดี้เรื่อง Horrible Bosses คู่กับเควิน สเปซีย์ และ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน; ภาพยนตร์คอมเมดี้ของพี่น้องฟาร์เรลลี่ Hall Pass คู่กับโอเว่น วิลสัน, คริสติน่า แอปเปิลเกต และ เจนน่า ฟิสเชอร์ และซีรี่ส์ยอดนิยมแนวคอมเมดี้ทาง HBO เรื่อง Eastbound and Down
เขาจะแสดงคู่กับชาร์ลี เดย์ ในเรื่อง One Night on the Hudson ผลงานแนวคอมเมดี้จากบทของทีเจ ฟิกซ์แมน กำกับโดยเซธ กอร์ดอน ซึ่งโปรเจ็กต์นี้เป็นการกลับมาร่วมงานกันระหว่างซูเดคิส เดย์ และกอร์ดอนจากเรื่อง Horrible Bosses
โปรเจ็กต์ที่กำลังจะเข้าฉาย ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง We’re the Millers ที่เป็นการกลับมาร่วมงานกับเจนนิเฟอร์ อนิสตัน; ภาพยนตร์แนวดราม่าของอดัม แชงค์แมน เรื่อง This is Where I Leave You และภาพยนตร์แนวคอมเมดี้เรื่อง Relanxious
ผลงานที่มีชื่อเสียงก่อนหน้านี้ของซูเดคิส ได้แก่ The Bounty Hunter ที่ร่วมงานกับเจนนิเฟอร์ อนิสตัน และ เจอรราร์ด บัดเลอร์; Going the Distance ที่ร่วมงานกับดรูว์ แบร์รี่มอร์, จัสติน ลอง และ ชาร์ลี เดย์; What Happens in Vegas ที่ร่วมงานกับคาเมรอน ดิแอซ และ แอชตัน คุตเชอร์ และ A Good Old Fashioned Orgy ที่ร่วมกำกับและร่วมเขียนกับพีท ฮัค และ อเล็กซ์ กรีกอรี่ รวมถึงการรับบทในเรื่อง The Fan, Watching the Detectives, Bill, Semi-Pro และ The Rocker
ซูเดคิสได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากบทบาทในซีรี่ส์ทาง NBC ที่ได้รับรางวัล Emmy® Award เรื่อง 30 Rock คู่กับทีน่า เฟย์ ที่รับบท ฟลอยด์ คู่รักอารมณ์ดีและมีเสน่ห์ เขายังให้เสียงพากย์ในซีรี่ส์แอนิเมชั่นแนวคอมเมดี้ทาง Fox เรื่อง The Cleveland Show สร้างขึ้นโดยเซธ แม็คฟาร์เลน และเป็นแขกรับเชิญให้เรื่อง It’s Always Sunny in Philadelphia ในบทของ ชมิตตี้ สมาชิกคนที่ 4 ของแก๊งค์แพดดี้ที่ถูกหลงลืมไปอย่างยาวนาน
ซูเดคิสเกิดที่แฟร์แฟกซ์ เวอร์จิเนีย เขาโตขึ้นที่โอเวอร์แลนด์ พาร์ค รัฐแคนซัส เข้าศึกษาวิทยาลัยด้วยทุนด้านบาสเก็ตบอล เขาเหมือนตัวตลกของชั้นเรียนและเป็นผู้ที่ชอบบ่ายเบี่ยง บางครั้งก็ชอบหาเรื่องให้ตัวเอง จุดเริ่มต้นเส้นทางของเขาเริ่มจากการแสดงในชั้นเรียนที่ ComedySportz Theater (ตอนนี้ชื่อ Comedy City) ในเมืองแคนซัส ก่อนจะin Kansas City ก่อนออกจากทีมบาสเก็ตบอลและวิทยาลัยไปที่ชิคาโก้ที่เขามีผลงานแสดงร่วมกับ The Second City National Touring Company, Improv Olympic, The Annoyance Theater และ Boom Chicago in Amsterdam เขาย้ายไปที่เนวาด้าเพื่อรวมกลุมสมาชิกของ The Second City Las Vegas ในปี 2003 ซูเดคิสได้รับการสนับสนุนจากจอร์จ เวนด์ ลุงของเขาในการส่งเทปไปให้ผู้ผลิตรายการ SNL เขาเริ่มทำหน้าที่เป็นนักขเยนบท หลังจากช่วงเวลาสองปีและการออดิชั่นหลายรอบ เขาจึงได้มาอยู่หน้ากล้องและไม่เคยหวนกลับไปทำงานเก่าอีกเลย
ซูเดคิสยังมีส่วนร่วมในโรงพยาบาลเด็ก The Children’s Mercy Hospital ในเมืองแคสซัสรวมถึงมูลนิธิอื่นอีกด้วย
สตีเฟ่น ไทเลอร์ (นิม กาลู) เป็นนักแต่งเพลงชื่อดังและเป็นสัญลักษณ์แห่งแอโรสมิธ วงร็อคที่ยิ่งใหญ่สุดแห่งอเมริกา ไทเลอร์เป็นคนหนึ่งที่ได้รับการนับถือมากที่สุดในด้านดนตรี และเป็นผู้นำที่มีเอกลักษณ์ Rolling Stone เรียกเขาว่าเป็น “หนึ่งในสุดยอดนักร้องตลอดกาล” จากการเพิ่มชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของพวกเขา ไทเลอร์และแอโรสมิธมียอดขายแผ่นเสียงทั่วโลกมากกว่า 150 ล้านแผ่น ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย (อาทิเช่นรางวัล Grammy หลายรางวัล, American Music Awards®, Billboard และ MTV) และมีรายชื่ออยู่ใน Rock ‘n’ Roll Hall of Fame ปี 2001 ในปี 2013 สตีเฟ่นจะได้รับรางวัล Founder’s Award ที่งาน ASCAP Pop Awards และจะมีรายชื่ออยู่ในSongwriters Hall of Fame
ปีที่แล้วแอโรสมิธมีผลงานเพลงในอัลบั้มที่มีชื่อเสียงลำดับที่ 15 Music From Another Dimension และได้รับผลสำเร็จจากการทัวร์ในอเมริกาทางตอนเหนือถึงสองครั้งของ Global Warming Tour ในปี 2013 แอโรสมิธวางแผนว่าจะจัดทัวร์ Global Warming Tour ทั่วโลก
ผู้ชายที่มีเอกลักษณ์แห่งตัวตนอย่างไทเลอร์ สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองนอกจากผลงานด้านดนตรี ในปี 2007 ไทเลอร์ทุ่มเทอย่างหนักกับการคิดค้นและวางแผนการพัฒนาให้มาร์ค ดิริโก้ และออกแบบให้มอเตอร์ไซค์แบรนด์สุดเท่ห์อย่าง Dirico Motorcycles
ในเดือนธันวาคม 2010 เขาแสดงดนตรีต่อหน้าประธานาธิบดีโอบาม่าและสตรีหมายเลข 1 โดยการให้เกียรติต่อเซอร์ พอล แม็คคาร์ทนีย์ ที่ Kennedy Center Honors อีกหนึ่งเดือนต่อมาไทเลอร์ได้ร่วมงานกับเจนนิเฟอร์ โลเปซ, แรนดี้ แจ็คสัน และพิธีกรไรอัน ซีเครสต์ ในฐานะผู้ตัดสิน American Idol รายการทีวีเรทติ้งสูงสุดในประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน ในเดือนพฤษภาคม 2011 ไทเลอร์วางจำหน่ายบันทึกประจำวันของเขาที่ชื่อ Does the Noise in My Head Bother You? (Ecco/Harper Collins) ซึ่งครองตำแหน่งอันดับ 2 บนรายชื่อหนังสือขายดีจาก New York Times ช่วงเวลาเดียวกับที่มีการวางจำหน่ายหนังสือ ไทเลอร์ได้ปล่อยซิงเกิลเดี่ยวที่ชื่อ “(It) Feels So Good” (ร้องคู่กับนิโคล เชอร์ซิงเกอร์) ซึ่งทำลายสถิติ Billboard Hot 100 เป็นเพลงที่ขึ้นอันดับชาร์ทสูงสุดจากสมาชิกแอโรสมิธในปี 2001 เพลง “Jaded”
สำหรับด้านสุขภาพ เมื่อเส้นเสียงของ Demon of Screamin เกิดการบาดเจ็บเมื่อปี 2006 เขาไปหาศัลยแพทย์ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง ดร.สตีเฟ่น เอ็ม. ซีเทลส์ ตอนนี้ไทเลอร์ดำรงตำแหน่ง Advisory Board of the Voice Health Institute คู่กับจูลี่ แอนดรูว์ส, โจ บัค, โรเจอร์ ดัลทรีย์, คริสติน่า เพอร์รี่, ไลโอเนล ริชชี่, พอล สแตนลีย์ และ คีธ เออร์บาน
จากชื่อเสียงด้านการแสดงออกที่เห็นชัดเจนและแฟชั่นที่ดูเท่ห์ ไทเลอร์ยังเป็นแรงบันดาลใจและผู้ให้คำปรึกษาด้านการออกแบบของ Andrew Charles เสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับชาวร็อคเกอร์ จากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Tommy Hilfiger ได้นำเสนอหมวดเสื้อผ้าร็อคแอนด์โรลในปี 2012 นอกจากการมีส่วนร่วมในโลกแฟชั่นแล้ว ไทเลอร์ยังร่วมงานกับ Modo Eyewear เพื่อออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเขาด้านหนังสือและแว่นตา
ประวัติผู้สร้างภาพยนตร์
คริส เวดจ์ (ผู้กำกับ, เนื้อเรื่อง) เป็นผู้กำกับเจ้าของรางวัล Oscar ผู้อำนวยการสร้าง และผู้ร่วมก่อตั้ง Blue Sky Studios เขาเริ่มผลงานด้วยการเป็นผู้สร้างแอนิเมชั่นแบบสต็อป-โมชั่น ต่อมาเวดจ์ร่วมงานกับ MAGI/SynthaVision ที่เขาเป็นผู้สร้างแอนิเมชั่นคนสำคัญคนหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องดังของ Disney เรื่อง Tron (1982) เขากำกับฉากตัวละครแอนิเมชั่นให้ภาพยนตร์จาก Warner Bros./Geffen Films เรื่อง Joe’s Apartment (1996) และทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการสร้างสรรค์ในภาพยนตร์และโฆษณามากมาย
เวดจ์เขียนและกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกให้ Blue Sky เป็นหนังสั้นที่สร้างความประทับใจเรื่อง Bunny (1998) ซึ่งได้รับรางวัล Academy Award สาขาแอนิเมชั่นเรื่องสั้นยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ใช้ radiosity Blue Sky เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการจัดแสงรอบด้าน นอกจากภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล Academy Award เรื่อง Bunny แล้วยังได้รับรางวัลจากทั่วโลกอีกมากกว่า 25 รางวัลจากความเป็นเลิศด้านแอนิเมชั่น ต่อมาเวดจ์กำกับภาพยนตร์แอนิเมชั่นสองเรื่องแรกของ Blue Sky ที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ ได้แก่ Ice Age (2002) ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม และเรื่อง Robots (2005) เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้เรื่อง Ice Age: The Meltdown (2006) กวาดรายได้ไปมากกว่า 638 ล้านเหรียญ, Dr. Seuss’ Horton Hears a Who! (2008), ภาพยนตร์แอนิเมชั่นคอมพิวเตอร์กราฟฟิคเรื่องแรกของ Dr. Seuss CG; Ice Age: Dawn of the Dinosaurs กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 887 ล้านเหรียญ และภาพยนตร์ที่ฮิตทั่วโลก Rio (2011) และ Ice Age: Continental Drift
เวดจ์สำเร็จการศึกษาในปี 1981 จาก SUNY Purchase ด้านภาพยนตร์ เขาได้รับปริญญาโทด้านศิลปศาสตร์ คอมพิวเตอร์กราฟฟิคและศิลปศึกษาจาก Advanced Computing Center for the Arts และ Ohio State University
ลอรี่ ฟอร์เต้ (ผู้อำนวยการสร้าง) เริ่มอาชีพด้วยภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ Disney เธอทำหน้าที่เป็นผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ในภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award เรื่อง Toy Story และ Runaway Brain ช่วงที่เธอดำรงตำแหน่งที่ Disney เธอได้มีส่วนร่วมในเรื่อง The Lion King และ Pocahontas
ต่อมาฟอร์เต้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างฯ ที่ Fox Animation Studios โดยเธอพัฒนาด้านมุมมองให้ภาพยนตร์หลายเรื่อง สำหรับการสร้างเสน่ห์ในภาพยนตร์เรื่อง Ice Age และสิ่งมีชีวิตให้มีความงดงามเป็นพิเศษ ฟอร์เต้เกิดไอเดียว่าต้องสร้างภาพยนตร์ที่เป็นโลกน้ำแข็งและมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา
ภาพยนตร์แฟรนไชส์เกิดขึ้นเมื่อฮีโร่ของเรื่อง Ice Age ที่อุณหภูมิติดลบอย่างแมนนี่ ซิด ดิเอโก้ สแครท และโลกสุดอัศจรรย์ของพวกเขาได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก ต่อมาฟอร์เต้พัฒนาและผลิตเรื่อง Ice Age: The Meltdown, Ice Age: Dawn of the Dinosaurs และ Ice Age: Continental Drift และผลิตหนังสั้นที่เข้าชิงรางวัล Academy Award เรื่อง No Time For Nuts (ร่วมกับจอห์น ซี. ดอนคิน)
ก่อนหน้านี้ฟอร์เต้อำนวยการสร้างบริหารที่ NBC-TV โดยเธอช่วยพัฒนาทีวีซีรี่ส์แนวคอมเมดี้ จากนั้นฟอร์เต้มาร่วมงานกับ Columbia Pictures Television ที่เธอทำหน้าที่เปป็นรองประธานด้านการพัฒนาคอมเมดี้ ควบคุมหลายรายการและซีรี่ส์ รวมถึง Parker Lewis Can’t Lose
ฟอร์เต้อาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลิส เว้นแต่ช่วงมีงานด้านการผลิตเธอจะอยู่ที่ Blue Sky Studios ในคอนเน็คติคัท
เจอร์รี่ เดวิส (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้ร่วมงานกับ Blue Sky Studios ตั้งแต่เริ่มการผลิตต้นฉบับเรื่อง Ice Age ในปี 1999 และร่วมงานกับผู้กำกับฯ คริส เวดจ์ ในเรื่อง Ice Age, Robots และ EPIC ตอนนี้ เดวิสเคยผลิตภาพยนตร์สุดฮิตอย่าง Robots เมื่อปี 2005
ต่อมาเขาทำหน้าที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่สายงานฝ่ายสร้างสรรค์ให้กับ Starz Animation โดยควบคุมสตูดิโอแอนิเมชั่นในลอสแองเจลิส แวนคูเวอร์ และโตรอนโต ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารในเรื่อง Everyone’s Hero และ Space Chimps ซึ่งทั้งสองเรื่องจำหน่ายโดย Twentieth Century Fox และกลับมาที่ Blue Sky Studios ในปี 2010
เดวิสเข้าสู่โลกแอนิเมชั่นที่ Walt Disney Studios เมื่อปี 1992 ในฐานะผู้อำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์ของ Disney/Pixar เรื่อง Toy Story เขาได้รับเชิญให้มาริเริ่มภาพยนตร์ในแอนิเมชั่นของ Warner Bros.’ เดวิสได้ซื้อสิทธิ์ Iron Giant และรวบรวมภาพยนตร์ที่กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของแบรด เบิร์ด และเป็นที่นิยมของคนรักแนวคัลท์ หลังจากกลับบ้านเกิดของเขาที่ East Coast เดวิสได้เริ่มร่วมงานอย่างยาวนานกับ Blue Sky Studios
เขาเริ่มอาชีพภายใต้การให้คำปรึกษาของผู้ผลิตบรอดเวย์แห่งตำนาน อเล็กซานเดอร์ เอช. โคเอน เดวิสผลิตละครเพลง 4 เรื่องใหม่ให้กับ Goodspeed Opera House และการแสดง off-Broadway ที่ประสบความสำเร็จ 4 เรื่อง รวมถึงการนำเสนอประวัติของชาร์ลส บุช ผู้เลื่องลือ ในการแสดงที่ทำลายสถิติของเขาเรื่อง Vampire Lesbians of Sodom และ Psycho Beach Party สำหรับ Entertainment Group เดวิสควบคุมการผลิตบรอดเวย์เรื่อง TRU นำแสดงโดย โรเบิร์ต มอร์ส
ในปี 2011 เดวิสร่วมเขียนหนังสือเด็กเล่มแรกของเขา (ร่วมกับภรรยา เคที่ เดวิส) เรื่อง Little Chicken’s Big Day (Simon & Schuster/McElderry 2011) เดวิสได้ร่วมงานใน Advisory Board และเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ Producers Guild of America
เจมส์ วี. ฮาร์ท (บทภาพยนตร์, เนื้อเรื่อง, ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) ได้ร่วมความสำเร็จในฐานะของผู้เขียนและผู้ผลิต ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาในช่วงแรกได้แก่ ภาพยนตร์ปี 1991 เรื่อง Hook ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากไอเดียลูกชายวัย 6 ขวบของฮาร์ท ฮาร์ทเขียนและอำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์ผจญภัยแนวแฟนตาซีเกี่ยวกับปีเตอร์แพนตอนโต กำกับโดยสตีเฟ่น สปีลเบิร์ก ปีต่อมาเขาเขียนและร่วมการผลิตภาพยนตร์ของบรัม สโตคเกอร์ เรื่อง Dracula กำกับโดย แฟรนซิส ฟอร์ด คอพโพล่า ที่ได้รับรางวัล Saturn Awards 5 รางวัลจากงาน Academy ในสาขาภาพยนตร์ไซไฟ ภาพยนตร์แฟนตาซี ภาพยนตร์ระทึกขวัญ รวมถึงบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ระทึกขวัญยอดเยี่ยม เขาร่วมงานกับคอพโพล่าและจอห์น วีชในการผลิตเรื่อง Mary Shelley’s Frankenstein นำแสดงโดย เคนเนธ บรานอห์
ต่อมาฮาร์ทร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Muppet Treasure Island; ภาพยนตร์ของโรเบิร์ต เซเม็คคิส เรื่อง Contact ที่สร้างขึ้นจากนิยายของคาร์ล ซาแกน ที่ฮาร์ทได้รับรางวัล Hugo Award และเข้าชิงรางวัล Saturn Award และ Humanitas Prize; Tuck Everlasting และภาพยนตร์ทางทีวีเรื่อง Jack and the Beanstalk: The Real Story ที่เขาร่วมอำนวยการสร้างบริหาร
เขาร่วมเขียนภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่อง Sahara ที่ดัดแปลงจากนิยายขายดีของคลีฟ คัสเลอร์ นำแสดงโดย แมทธิว แม็คคอนอฮี่ และ สตีฟ ซาน และภาพยนตร์คอมเมดี้แนวดราม่าเรื่อง August Rush ของ Warner Bros เขายังร่วมแชร์เครดิตของภาพยนตร์แอ็คชั่นยอดนิยมแห่งปี 2005 เรื่อง Lara Croft Tomb Raider: The Cradle of Life นำแสดงโดย แองเจลีน่า โจลี่ และภาพยนตร์แนวแฟนตาซีปี 2007 เรื่อง The Last Mimzy เขายังมีโปรเจ็กต์การแสดงมากมายที่อยู่ในการพัฒนาอีกด้วย
นอกจากนั้นฮาร์ทยังเขียนหนังสือเล่มแรกเรื่อง Capt. Hook – The Adventures of a Notorious Youth ซึ่งเป็นเรื่องราวในช่วงแรกที่เจมส์ ฮุค อยู่ที่อีตันก่อนเขาจะมีการผจญภัยร่วมกับปีเตอร์แพน ตีพิมพ์โดย Laura Geringer Books ให้กับ Harper Collins เมื่อปี 2005 นิยายได้รับการขนานนามให้ติด Top Ten Young Adult Books โดย American Library Association หนังสือภาคต่อ Capt. Hook – Pirate King กำหนดวางจำหน่ายเมื่อปี 2008
ฮาร์ทเกิดที่ Shreveport รัฐหลุยเซียน่า และโตขึ้นที่ฟอร์ด เวิร์ธ รัฐเท็กซัส ฮาร์ทสำเร็จการศึกษาจาก Southern Methodist University (SMU) เขาเริ่มการทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างเมื่อปี 1970 ก่อนมาทำหน้าที่ด้านการเขียนบทภาพยนตร์ ทุกวันนี้ฮาร์ทมีส่วนร่วมในการเขียนอบรมการเขียนบทภาพยนตร์ที่งาน Sundance Film Lab ในยูท่าห์และทั่วโลก เขายังสอนด้านการเขียนบทภาพยนตร์ที่ Columbia University Graduate School of the Arts ในเมืองนิวยอร์คและ SMU ในดอลลาส
วิลเลียม จอยซ์ (บทภาพยนตร์, เนื้อเรื่อง, อำนวยการสร้างบริหาร) อาศัยอยู่ที่ Shreveport รัฐหลุยเซียน่ากับภรรยาที่น่ารักของเขา เอลิซาเบธและลูกๆ ของเขา แมรี่ แคทเธอรีนและแจ็ค พวกเขายังมีสุนัขพันธุ์ดัชชุนชื่อโรสและอีกตัวที่ชื่อเร็กซ์ คุณจอยซ์ได้ผลิตแอนิเมชั่นทางทีวี 2 ชุดที่สร้างขึ้นจากหนังสือของเขา ได้แก่ Rolie Polie Olie และ George Shrinks เขายังผลิตและออกแบบภาพยนตร์นิเมชั่นเรื่อง Robots บางครั้งเขาจะออกแบบปกให้กับ The New Yorker ด้วย
ผลงานหนังสือภาพที่เป็นแรงบันดาลใจอย่างเหลือเชื่อของเขา ได้แก่ Dinosaur Bob and His Adventures with the Family Lazardo, Santa Calls, The Leaf Men and the Brave Good Bugs และ Bently & Egg ตอนนี้เขากำลังหมกมุ่นกับหนังสือและนิยายหลายเล่มที่เกี่ยวกับพลังการรักษาความโง่
แดน เชียร์ (บทภาพยนตร์) ร่วมเขียนหนังสั้นเรื่องดัง George Lucas in Love ซึ่งในตอนแรกได้รับความสนใจเมื่อมีการแพร่หลายใน Hollywood ช่วงซัมเมอร์ปี 1999 ภาพยนตร์มีการฉายรอบปฐมทัศน์อย่างเป็นทางการที่งาน Toronto Film Festival ต่อมาได้รับรางวัลอีกมากมาย อาทิเช่น Canal+ Short Film Award ที่งาน Deauville American Film Festival ในปี 2000, Audience Award ทั้งในงาน Florida Film Festival และ San Sebastián Horror และ Fantasy Film Festival และ Best Short Film ที่งาน U.S. Comedy Arts Festival ในปี 2000
ภาพยนตร์เรื่อง EPIC เป็นเรื่องแรกที่เขาเขียนบทภาพยนตร์
ทอม เจ. แอสเทิล (บทภาพยนตร์) เคยเขียนบทภาพยนตรคู่กับแม็ตต์ แอมเบอร์ ในภาพยนตร์คอมเมดี้เรื่องฮิต Get Smart ของ Warner. Bros. ผลงานที่มีชื่อเสียงของพวกเขา ได้แก่ ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง Failure to Launch และภาพยนตร์สามมิติแนวคอมเมดี้ที่กำลังจะเข้าฉายของ DreamWorks Animation เรื่อง Happy Smekday ก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยร่วมงานกันนานหลายปีในผลงานทางทีวีฐานะผู้เขียน-ผู้อำนวยการสร้างเดี่ยว
ผลงานทางทีวีที่มีชื่อเสียงของแอสเทิล ได้แก่ Coach, The Hughleys, Stargate และอีกหลายเรื่อง เขาสร้างซีรี่ส์ที่มีการฉายอย่างยาวนานทาง Disney Channel เรื่อง So Weird ก่อนหน้านั้นเขาได้รับรางวัล Emmy Award จากการเขียนหนังสือชุดสำหรับเด็กเรื่อง Adventures in Wonderland
เขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนภาพยนตร์ Northwestern University และอาศัยอยู่ที่ Sherman Oaks ในยามที่เขาไม่ออกไปตกปลาที่มอนทาน่าบ้านเกิดของเขา
แม็ตต์ แอมเบอร์ (บทภาพยนตร์) เขาร่วมเขียนบทภาพยนตร์กับทอม เจ. แอสเทิลในภาพยนตร์คอมเมดี้ยอดนิยมเรื่อง Get Smart ของ Warner Bros. ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยร่วมงานกันในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ที่ประสบความสำเร็จ เรื่อง Failure to Launch นำแสดงโดย แมทธิว แม็คคอนอฮี่ และ ซาร่าห์ เจสสิก้า ปาร์คเกอร์
ตอนนี้พวกเขากำลังเขียนบทภาพยนตร์คอมเมดี้สามมิติของ DreamWorks เรื่อง Happy Smekday ซึ่งจะมีการฉายในปี 2014
การเขียนบทที่มีชื่อเสียงของแอมเบอร์ทางทีวี ได้แก่ Becker จำนวนหลายตอน, Titus, The Drew Carey Show และ Grace Under Fire
แอมเบอร์สำเร็จการศึกษาจาก Wesleyan University เขาอาศัยอยู่ที่ Sherman Oaks
แดนนี่ เอลฟ์แมน (ดนตรี) ได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับฯ แซม ไรมี่ ในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่ได้รับความนิยมอย่าง Oz the Great and Powerful หลังประพันธ์ดนตรีห้าภพยนตร์เรื่องดังที่ได้รับความนิยมของผู้สร้างภาพยนตร์อย่าง Spider-Man (เข้าชิงรางวัล Grammy Award), Spider-Man 2, Darkman และ A Simple Plan
เอลฟ์แมนเป็นผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่มีความทันสมัยความสามารถมากคนหนึ่งของโลก เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award จากเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Milk และ Good Will Hunting (ทั้งสองเรื่องกำกับโดย กัส แวน แซงต์), Men In Black และภาพยนตร์ของทิม เบอร์ตัน เรื่อง Big Fish เขาน่าจะเป็นที่รู้จักดีจากการ่วมงานกับผู้สร้างฯ เบอร์ตันจากภาพยนตร์ 14 เรื่อง ได้แก่ Pee-wee’s Big Adventure, Beetlejuice, Batman (เขาได้รับรางวัล Grammy Award สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเป็นครั้งที่สองในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม), Edward Scissorhands, Batman Returns, The Nightmare Before Christmas, Mars Attacks!, Sleepy Hollow, Planet of the Apes, Big Fish, Charlie and the Chocolate Factory, The Corpse Bride, Alice in Wonderland และ Dark Shadows
ผลงานที่มีชื่อเสียงของเอลฟ์แมน ได้แก่ Dick Tracy, Midnight Run, Mission: Impossible, Wanted, และภาพยนตร์เพลงที่ได้รับรางวัล Oscar เรื่อง Chicago ล่าสุดเขาประพันธ์ดนตรีให้ภาพยนตร์ของเดวิด โอ รัสเซล เรื่อง Silver Linings Playbook, ภาพยนตร์ของกัส แวน แซงต์ เรื่อง Promised Land, Men In Black 3, Hitchcock และภาพยนตร์ของทิม เบอร์ตัน เรื่อง Frankenweenie
นอกจากการเข้าชิงรางวัล Oscar สี่ครั้งของเขาแล้ว ผลงานของเอลฟ์แมนยังได้รับรางวัลอีกมากมาย อาทิเช่น เข้าชิงรางวัล Grammy 13 รางวัล (Alice in Wonderland, Batman, Dick Tracy, Edward Scissorhands, Men in Black, Planet of the Apes, Spider-Man, Big Fish, Charlie and the Chocolate Factory, Milk) เข้าชิงรางวัล Golden Globe สามรางวัล (Big Fish, Alice in Wonderland, The Nightmare Before Christmas), เข้าชิงรางวัล BAFTA สองรางวัล (Alice in Wonderland, Chicago) และ Emmy Award จาก main title theme ที่โดดเด่นของภาพยนตร์ทาง ABC เรื่อง Desperate Housewives (เข้าชิงรางวัล Emmy ครั้งที่สองในเรื่อง The Simpsons) แต่ละปีเขายังเข้าชิงรางวัล BFI Film & TV Award อย่างต่อเนื่อง (เขาได้รับรางวัลและเข้าชิงรางวัลมาแล้วมากกว่า 24 รางวัล) และได้รับรางวัลจากองค์กรนักวิจารณ์แห่งชาติหลายแห่งในช่วงเวลาหลายปี
เอลฟ์แมนเป็นชาวลอสแองเจลิสที่เริ่มทำงานในวงการดนตรีตอนที่เขาร่วมก่อตั้งคณะแสดงละครเพลงในปารีส (ร่วมกับ ริชาร์ด พี่น้องของเขาซึ่งเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีความกระตือรือร้น) ชื่อว่า The Mystic Knights of Oingo Boingo (ภาพยนตร์ที่พี่น้องเขากำกับเรื่องแรกในปี 1982 เป็นผลงานคลาสสิคแนวคัลท์ตอนนี้ เรื่อง Forbidden Zone ซึ่งเป็นการให้เกียรติการแสดงวงดนตรี) ในที่สุดได้สร้างเอกลักษณ์ให้กลุ่ม Oingo Boingo เอลฟ์แมนประพันธ์ดนตรีแนวอีเล็คทริคร็อคที่ชนะใจแฟนเพลงจำนวนมาก ผู้กำกับฯ ที่มีชื่อเสียงอย่างเบอร์ตันให้เอลฟ์แมนมาประพันธ์ดนตรีในผลงานช่วงแรกๆ ของเขาอย่างเรื่อง Pee-wee’s Big Adventure เพลงของ Oingo Boingo ยังถูกเปิดเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์อยู่บ่อยๆ อาทิเช่น Fast Times at Ridgemont High, Sixteen Candles, Weird Science, Back to School และ Donnie Darko ซึ่งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy สองรางวัลในช่วงเวลาหลายปี