“Passion พิศวาสรักลวงแค้น” ภาพยนตร์โดยไบรอัน เดอ พัลมา 6 มิถุนายนนี้ เฉพาะ Apex

เรื่องย่อ

PASSION โดยไบรอัน เดอ พัลมา ทริลเลอร์อีโรติกที่ดำเนินตามแบบฉบับของภาพยนตร์ดังอย่าง “Dressed To Kill” และ “Basic Instinct” บอกเล่าเรื่องราวของการยื้อแย่งอำนาจสุดอันตรายระหว่างผู้หญิงสองคนในโลกธุรกิจข้ามชาติที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีกัน คริสตินมีความงามสง่าตามธรรมชาติและมีการวางตัวอย่างดี สมกับการเป็นคนที่ไม่เคยขาดแคลนทั้งเงินทองและอำนาจ

อิซาเบล รุ่นน้องที่ชื่นชมเธอ เป็นหญิงสาวน่ารัก ไร้เดียงสา และหลอกใช้ง่าย เธอเต็มไปด้วยไอเดียแปลกใหม่ที่คริสตินขโมยไปใช้อย่างไม่รู้สึกรู้สา แหม ก็พวกเธออยู่ทีมเดียวกันนี่…คริสตินพึงพอใจในการใช้อำนาจควบคุมหญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่า และชักพาเธอให้ดำดิ่งเข้าสู่กลเกมของการยั่วยวนและการบงการ การมีอำนาจเหนือกว่าและการทำให้อับอาย แต่เมื่ออิซาเบลได้ขึ้นเตียงกับคนรักคนหนึ่งของคริสติน สงครามก็ปะทุขึ้น ในคืนของการฆาตกรรม อิซาเบลอยู่ที่การแสดงบัลเลต์ ในขณะที่คริสตินได้รับบัตรเชิญที่แสนเย้ายวน แต่จากใครกันนะ? คริสตินชื่นชอบเรื่องเซอร์ไพรส์ เธอเปลือยกายไปพบคนรักปริศนาที่รอคอยเธออยู่ในห้องนอนของเธอ…

 

บทสัมภาษณ์ไบรอัน เดอ พัลมาจาก “PASSION”

Q:            คุณจะนำเสนอเรื่องราวนี้อย่างไร

A:             นี่เป็นการแย่งชิงอำนาจระหว่างผู้หญิง และปริศนาฆาตกรรมครับ

Q:            อะไรที่ทำให้คุณสนใจเรื่องราวนี้

A:             การที่มันเป็นทริลเลอร์ ซึ่งเป็นแนวที่เหมาะสำหรับการเล่าเรื่องด้วยภาพมากที่สุด ที่มีองค์ประกอบสนุกสนานบางอย่างน่ะสิครับ แล้วมันก็เป็นหนังแนวที่ผมไม่ได้สร้างมาตั้งแต่ “Raising Caine” ตั้งแต่เมื่อ 22 ปีก่อนแล้ว ผมชื่นชอบตัวละครในหนังของอัลเลน คอร์โน แต่ผมกลับนึกถึงวิธีการคลี่คลายคดีฆาตกรรมในรูปแบบที่ต่างออกไป ผมได้เขียนบทขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มันมีเรื่องเซอร์ไพรส์อยู่ตลอด ให้มีผู้ต้องสงสัยหลายคน และคุณก็ไม่มั่นใจเลยว่าใครกันแน่เป็นฆาตกร นอกจากนี้ ผมยังคิดหาลูกไม้สองสามอย่างเพื่อทำให้ผู้ชมเชื่อในแบบหนึ่งทั้งๆ ที่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงมันเป็นอย่างอื่นน่ะครับ

Q:            คุณนำเสนอความสัมพันธ์ที่เข้มข้นระหว่างนูมิ ราเพซ สาวคมเข้มและราเชล แม็คอดัมส์ สาวบลอนด์ผิวขาวได้อย่างไร

A:             นูมิ ราเพซเป็นผู้หญิงอันตรายครับ เธอสามารถทำตัวน่ากลัวได้พอๆ กับอิซาเบลเพราะคุณไม่รู้หรอกว่าเธอคิดอะไรอยู่ และคุณก็จะเชื่อได้สนิทใจเลยว่าเธอสามารถฆ่าคนได้จริงๆ ส่วนราเชลก็เซ็กซีและสนุกกับการเล่นเป็นสาวแสบมากๆ นักแสดงหญิงไม่ค่อยชอบรับบทผู้หญิงจอมบงการอย่างคริสตินหรอกครับ แต่ราเชลก็ทุ่มให้กับบทนี้อย่างสุดตัว แล้วนูมิและราเชลก็เคยร่วมงานกันมาแล้วใน “Sherlock Holmes” (กาย ริทชี) และรู้จักกันดีพอที่จะก้าวพ้นจากขอบเขตที่พวกเธอคุ้นเคย เข้าสู่พื้นที่อันตราย พวกเธอไม่กลัวที่จะไปไหนต่อไหนด้วยกัน ซึ่งก็ทำให้ทั้งคู่เป็นนักแสดงที่มีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์น่าจับตามองครับ

Q:            สองสาวกลายเป็นสามสาวเมื่อมีแครอลิน เฮอร์เฟิร์ธ สาวผมแดง ที่รับบทผู้ช่วยสาว ดานี มาร่วมวงด้วย คุณเลือกเธอเพราะอะไร

A:             หนังเรื่องนี้เป็นผลงานร่วมสร้างระหว่าฝรั่งเศสและเยอรมนี และแครอลินก็เป็นดาราชาวเยอรมันที่ได้รับความนิยมสูงมากๆ ผมได้ดูเธอใน “The Perfume” ที่กำกับโดยทอม ไทเควอร์ และผมก็ชอบลุคของเธอตอนผมแดงด้วย เธอเป็นนักแสดงหญิงที่เก่งและในวงล้อมของงูพิษนั้น ดานีก็เป็นเพียงคนเดียวที่ดูเหมือนจะมีหัวใจ แต่โชคร้ายที่เธอดันตกหลุมรักอิซาเบลครับ

Q:            ผู้หญิงทั้งสามคนทำงานกับบริษัทโฆษณา และพวกเธอก็มีหน้าที่คิดไอเดียโฆษณาแปลกใหม่ออกมา คุณหาไอเดียพวกนี้มาจากไหน

A:             ผมเข้าอินเทอร์เน็ตและเจอกับโฆษณาที่ถูกส่งต่อกันอย่างแพร่หลาย มันเป็นเรื่องของเด็กสาวชาวออสเตรเลียสองคนที่เสียบโทรศัพท์ไว้ที่กระเป๋าหลังของพวกเธอคนใดคนหนึ่ง แล้วเดินไปมารอบเมืองเพื่อถ่ายภาพคนที่ดูก้นของเธอ พวกเธอโหลดคลิปลงอินเทอร์เน็ตแล้วคนเป็นล้านๆ ก็ได้เห็นคลิปนี้ มันดูเหมือนเพื่อนสาวสองคนเล่นสนุกกัน แต่กลายเป็นว่าพวกเธอคือพนักงานขายโฆษณาคนเก่ง และมันก็เป็นโฆษณาโทรศัพท์น่ะครับ! ผมก็เลยทำแบบเดียวกันในหนังของผม โดยอิซาเบลจะเป็นอัจฉริยะหัวสร้างสรรค์ และดานี ก็เป็นผู้ช่วยของเธอครับ

Q:            คุณนำเสนอฉากฆาตกรรมอย่างไร

A:             มันเป็นเรื่องลำบากทุกครั้งที่คุณต้องจัดฉากให้ใครซักคนถูกฆ่า ปกติแล้ว บรรยากาศรอบบ้านจะเงียบกริบและตึงเครียดมากๆ ซึ่งทุกคนก็เห็นภาพแบบนี้มาเป็นล้านๆ ครั้งแล้ว ผมก็เลยนำเสนอมันในรูปแบบที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วยการแบ่งหน้าจอออกเป็นสองส่วน ซึ่งผมไม่ได้ใช้เทคนิคนี้มาซักพักแล้ว คือผมทำให้ผู้ชมสนใจไปกับบัลเลต์ที่งดงามมากๆ ในหน้าจอหนึ่ง ในขณะที่คริสตินกำลังถูกฆ่าในอีกหน้าจอหนึ่ง ผมไม่รู้เลยว่าผู้ชมจะมีปฏิกิริยากับการจับคู่ระหว่างสิ่งที่โรแมนติกเหลือเกินและสิ่งที่รุนแรงเหลือเกินแบบนี้อย่างไร แต่ผมก็ชอบความแปลกของมัน คุณจะรู้สึกได้ว่าคุณกำลังอยู่ในโซนอันตราย โดยไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มันคล้ายกับ “Sisters” ที่คุณจะได้เห็นฉากฆาตกรรมจากสองมุมมองที่แตกต่างกันมากๆ ครับ

Q:            ทำไม “Afternoon of a faun” ถึงเป็นการแสดงบัลเลต์ที่เหมาะสมสำหรับฉากนี้

A:             เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจุมพิตมรณะน่ะสิครับ อิซาเบลจุมพิตคริสตินเหมือนกับที่เจ้าพ่อมาเฟียจะจุมพิตคนที่กำลังจะตาย และในท่าที่ออกแบบโดยเจอโรม ร็อบบินส์ ที่นำเค้าโครงมาจากการแสดงที่โด่งดังของเดอบุสซี จู่ๆ แดนเซอร์ก็จะจุมพิตแก้มบัลเลรินา และล่วงล้ำเธอ ในแบบเดียวกับที่อิซาเบลล่วงล้ำคริสติน สตูดิโอแห่งนั้นเป็นฉากที่มีผนังสามด้าน และบรรดาแดนเซอร์ก็จะหันหน้าหาผู้ชมราวกับกำลังมองเข้าไปในผนังกระจกของสตูดิโอ มันทำให้ผมมีโอกาสทำให้พวกเขาจ้องมองมาที่กล้อง ซึ่งเป็นการแหกกฎผนังด้านที่ 4 และช่วยเสริมคุณสมบัติแปลกพิลึกให้กับฉากนั้นได้ นอกจากนี้ อัลเฟรด ฮิทช์ค็อกเองบางครั้งก็ยังใช้กล้องบุคคลที่หนึ่ง อย่างในเรื่อง “The Paradine Case” หลังจากนั้น ในตอนที่อิซาเบลถูกตำรวจจับ ผมก็ใช้มุมกล้องแบบนั้นอีกครั้งเพื่อขยายฉากการสอบสวนครับ

Q:            ผลงานของคุณนำเสนอธีมของความหมกมุ่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยขาด และตัวละครของคุณก็มักจะสวมหน้ากากและเครื่องอำพรางตัว ทำไมล่ะ

A:             ก็เพื่อซ่อนใบหน้าของฆาตกรน่ะสิครับ! ความคิดของผมคือการใช้หน้ากากสวยๆ ที่มีเค้าโครงใบหน้าของคริสติน ซึ่งเธอให้คู่รักเธอสวม…เพื่อที่เธอจะได้ร่วมรักกับตัวเองเสมอๆ หน้ากากนั้นอาจจะเป็นตัวแทนฝาแฝดในจินตนาการของเธอ ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีอยู่จริงก็ได้น่ะครับ

Q:            เรื่องนั้นก็เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่เรื่อยๆ ทำไมถึงมีฝาแฝด คนที่เหมือนกัน หรือหน้าตาคล้ายกันจำนวนมากในหนังของคุณล่ะ

A:             ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ในหนังหลายๆ เรื่องของผม ผมก็ได้นำเสนอสถานการณ์ที่จะตีแผ่ความรู้สึกผิดออกมา เหมือนตอนที่คริสตินบอกว่าเธอรู้สึกเหมือนตัวเองต้องรับผิดชอบกับอุบัติเหตุของคลาริสซา ฝาแฝดของเธอ แล้วผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนที่ผมยังเล็กมากๆ มันมีความทารุณที่กระทำต่อคนอ่อนแอกว่าในครอบครัวของผม พ่อผม แม่ผม บรูซ พี่ชายผมก็เป็นแบบนั้น ตอนนั้น ผมอายุ 10 ขวบ ส่วนบาร์ท พี่ชายอีกคนของผมก็อายุ 12 ขวบ เขาเป็นคนอ่อนไหวและเปราะบางมากๆ และผมก็อยากปกป้องเขาจากอารมณ์รุนแรงแบบนั้น แต่ผมไม่เคยทำได้เพราะผมเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ผมก็เลยเกิดความรู้สึกผิดครับ!

Q:            การมีฉากเซ็กซีและไดอะล็อคที่ยั่วเย้าอารมณ์ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังทริลเลอร์อีโรติครึเปล่า

A:             มันก็พูดยากนะครับ ในหนังต้นฉบับ อัลเลน คอร์โนไม่ได้เผยถึงความพึงพอใจระหว่างตัวละครอย่างโจ่งแจ้ง แต่นูมิ ราเพซกับราเชล แม็คอดัมส์กลับเผยมันออกมาอย่างตรงไปตรงมา ผมไม่ได้บอกกับพวกเธอว่า “จูบกัน แล้วทำให้มันอีโรติคซะ” แต่พวกเธอเป็นคนทำแบบนั้นเอง และมันก็ได้ผลทีเดียวล่ะครับ

Q:            แล้วมันก็มีฉากอาบน้ำ ชุดชั้นในสีดำ เซ็กส์ทอย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอหนังของคุณด้วย คุณเป็นคนชอบถ้ำมองเหมือนกับตัวเอกบางคนในหนังของคุณรึเปล่า

A:             อย่างที่ผมเคยบอกซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมชื่นชอบการถ่ายภาพผู้หญิงมากกว่าผู้ชายครับ และในที่นี้เราก็มีผู้หญิงแสนสวยที่ไม่กลัวการเปลื้องผ้า แต่หนังเรื่องนี้เป็นหนังเกี่ยวกับผู้หญิง ที่สร้างขึ้นเพื่อผู้หญิงด้วย ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากทำให้มันสง่าและเรียบร้อยกว่าเดิม อย่างเรื่องความรุนแรงก็เหมือนกัน ผมไม่ได้ทำให้มันโจ่งแจ้งเกิดไปเพราะพวกผู้หญิงจะรังเกียจมันน่ะครับ

Q:            ส่วนหนึ่งของเรื่องราวนี้อยู่ในความฝันนี่ ความฝันเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการสร้างสรรค์ของคุณรึเปล่า

A:             ใช่ครับ ผมมักจะฝันถึงทางแก้ไขปัญหาสำหรับหนังของผมตอนที่ผมหลับเสมอ และหนังก็เป็นเหมือนความฝันต่อเนื่องที่คุณไม่รู้ว่าอะไรจริงไม่จริงจนกว่าคุณจะตื่น แล้วการยึดติดกับกระบวนการที่น่าเบื่อหน่ายในโลกแห่งความฝันที่สวยงามก็กลายมาเป็นเรื่องสนุกเหมือนกันล่ะครับ

Q:            วิชวล เอฟเฟ็กต์แบบไหนที่จะบ่งบอกว่าเรากำลังอยู่ในห้วงความฝันล่ะ

A:             ในตอนแรก ทุกอย่างที่เป็นของจริงจะถูกถ่ายทำด้วยมุมกล้องแบบตรงไปตรงมา แต่พอเราเข้าสู่ความฝัน ทุกอย่างก็จะเอียง และคุณก็จะเจอกับแสงแบบฟิล์มนัวร์ที่มีสไตล์มากๆ ทันทีที่คุณเห็น “แถบ” ที่ดูเหมือนมู่ลี่เวเนเซียตรงผนังแล้วล่ะก็ รู้ตัวไว้เลยว่าคุณกำลังอยู่ในความฝัน! เว้นแต่บางครั้ง…เราคิดว่าเราอยู่ในความฝัน หรือพูดให้ถูกก็คือฝันร้าย แต่มันกลับกำลังเกิดขึ้นจริงๆ ผมก็เลยเล่นกับเรื่องนั้นตลอดทั้งเรื่อง เพื่อทำให้ผู้ชมตั้งตัวไม่ติดน่ะครับ

Q:            แล้วการร่วมงานกับโฮเซ หลุยส์ อัลเคน ผู้กำกับภาพของเปโดร อัลโมโดวาร์เป็นอย่างไรบ้างล่ะ

A:             เขามาจากแบ็คกราวน์การถ่ายทำแบบคลาสสิก เขาเข้าใจ “มัน” ในทันทีและเขาก็รู้ดีว่าจะถ่ายภาพผู้หญิงอย่างไร มีผู้กำกับภาพไม่กี่คนหรอกครับที่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ผู้หญิงดูสวยงาม และมันก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผม แล้วการถ่ายทำฟิล์มนัวร์ที่มีสีสันก็เป็นเรื่องยากครับ แต่เขาก็ทำให้ภาพออกมาดูวิเศษมาก

Q:            พิโน โดแนจจิโอ้ เป็นคนแต่งดนตรีประกอบทริลเลอร์ที่โด่งดังที่สุดของคุณหลายเรื่อง นั่นเป็นเหตุผลให้คุณเลือกใช้งานเขาในหนังเรื่องนี้รึเปล่า

A:             ใช่ครับ เขารู้วิธีแต่งดนตรีความฝันที่สยดสยองในแบบที่ผมต้องการสำหรับหนังเรื่องนี้ เขาเคยทำสำเร็จมาแล้วใน “Carrie”, “Dressed to Kill”, “Blow Out”, “Body Double” และ “Raising Cain” ซีเควนซ์สุดท้ายเป็นอะไรที่จำเป็นมากๆ และมันจะต้องได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างเฉพาะเจาะจงด้วย แม้ว่าเราจะไม่ได้ร่วมงานกันมา 22 ปีแล้ว แต่เขาก็รู้จักผมดีและพอผมเสนอแนะอะไรเขาไป เขาก็คิดสิ่งที่เหลือเชื่อขึ้นมาได้ครับ

Q:            แม้ว่าเรื่องราวส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในอาคาร แต่คุณก็ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ในเบอร์ลิน คุณใช้ประโยชน์จากการตกแต่งภายในของมันอย่างไรบ้าง

A:             หนังเรื่องนี้เป็นดรามาความเป็นมนุษย์ที่เกิดขึ้นในออฟฟิศและห้องนอนครับ และเราจะค้นพบคำตอบว่าความจริงแล้ว ตัวเราอยู่ที่ไหนก็ตอนที่คนเริ่มพูดภาษาเยอรมันนั่นเอง แต่ผมก็มักจะมองหาความเป็นไปได้ในเรื่องภาพวิชวลและโลเกชันเสมอ เราก็เลยใช้พิพิธภัณฑ์โบเด้และธนาคารดีซีที่น่าทึ่ง ที่สร้างโดยฝีมือของสถาปนิกแฟรงค์ เกห์รี ซึ่งมันก็ช่วยเสริมบรรยากาศขึ้นมาได้จริงๆ ครับ

Q:            มันดูเหมือนกับว่าคุณเป็นชาวอเมริกันคนเดียวในกองถ่ายเลย คุณชื่นชอบการได้ทำงานในยุโรปรึเปล่า

A:             ในยุโรป มีคนมีพรสวรรค์มากมาย และคุณก็สามารถสร้างหนังได้ด้วยทุนสร้างย่อมเยา ผมถอยห่างจากฮอลลีวูดหลังจากที่ผมสร้าง “Mission to Mars” ซึ่งใช้ทุนสร้างร้อยล้านเหรียญ มันเป็นหนังที่ใช้ทุนสูงที่สุดเท่าที่ผมเคยสร้างมา ซึ่งมันไม่ดีเลยที่งานศิลปะจะราคาแพงขนาดนั้น ทุนสร้าง 250 ล้านเหรียญบีบให้คุณต้องทำหนังบางประเภท และในฐานะผู้กำกับที่มีอายุมากขึ้น ผมก็ไม่สนใจเรื่องพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว เรื่องราวที่มีความสดใหม่มากๆ อาจถูกสร้างเป็นหนังได้ด้วยทุนไม่สูงนัก ในแบบเดียวกับหนังอินดีอเมริกา และตอนนี้ที่เราสามารถถ่ายทำในระบบดิจิตอลได้แล้ว ซึ่งไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย เราก็จะได้พบคนมีพรสวรรค์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ถ่ายทำหนังในแบบของตัวเอง ผมอยู่ตรงกลางระหว่างแนวโน้มเหล่านี้เพราะผมชื่นชอบความงดงามในหนัง และความงดงามก็มีราคาแพงครับ