“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวอ่อนไหวหรอกนะ แต่ทุกอย่างในชีวิตฉัน
นำฉันมาสู่ช่วงเวลานี้ อย่าให้มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นสำหรับความฝันของฉันเลย
แต่ให้มันเป็นจุดเริ่มต้นความฝันของคุณทุกคนด้วยก็แล้วกัน”
~ ไมค์ วาซาวสกี้, “Monsters University”
นับตั้งแต่ที่ไมค์ วาซาวสกี้ (พากย์เสียงโดยบิลลี่ คริสตัล) น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ เป็นสัตว์ประหลาดตัวน้อย เขาก็ใฝ่ฝันที่จะได้เป็นสัตว์ประหลาดหลอกคนมาตลอด และเขาก็รู้ดีกว่าใครว่า สัตว์ประหลาดที่หลอกคนได้เก่งที่สุดจบจากมหา’ลัยมอนสเตอร์ (เอ็มยู) กันทั้งนั้น แต่ระหว่างเข้าเรียนเทอมแรก แผนการของไมค์กลับพบอุปสรรคเมื่อเขาได้เจอกับเจมส์ พี. ซัลลิแวน “ซัลลี่” พ่อหนุ่มคนเก่ง (พากย์เสียงโดยจอห์น กู๊ดแมน) ผู้เป็นสัตว์ประหลาดหลอกคนแต่กำเนิด การแข่งขันชิงดีชิงเด่นที่เกินขอบเขตของพวกเขาทำให้ทั้งคู่โดนเตะออกจากหลักสูตรหลอกคนชั้นสูงของมหาวิทยาลัย ซ้ำร้าย พวกเขาตระหนักว่าพวกเขาต้องร่วมมือกัน และจับมือกับกลุ่มมอนสเตอร์ตัวป่วน หากยังหวังว่าจะแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
“Monsters University” จากดิสนีย์/พิกซาร์ ที่กรีดร้องด้วยเสียงหัวเราะ และพองโตไปด้วยความอบอุ่นหัวใจ กำกับโดยแดน สแกนลอน (“Cars,” “Mater and the Ghostlight,” “Tracy”) อำนวยการสร้างโดยโครี่ เรย์ (“Up,” “The Incredibles,” “Monsters, Inc.”) และควบคุมงานสร้างโดยจอห์น แลสซีเตอร์ เรื่องราวและบทภาพยนตร์โดยแดเนียล เกอร์สันและโรเบิร์ต แอล. เบียร์ด (“Monsters, Inc.”) และสแกนลอน
“Monsters University” พากย์เสียงโดยสตีฟ บุสเชมี่ (“Boardwalk Empire”) ในบทแรนดี้ บอกส์, เฮเลน เมอร์เรน (“Hitchcock,” “The Queen”) ในบทคณะบดีฮาร์ดแสครบเบิ้ล, อัลเฟรด โมลินา (ซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง “Monday Mornings,” “The Da Vinci Code,” “Frida”) ในบทศาสตราจารย์ไนท์, เดฟ โฟลีย์ (ซีรีส์ “NewsRadio,” “The Kids in the Hall”) ในบทเทอร์รี่ เพอร์รี่, ฌอน พี. เฮเยส (“The Three Stooges,” ซีรีส์ “Up All Night”) ในบทเทอร์ริ เพอร์รี่, โจเอล เมอร์เรย์ (ซีรีส์ “Mad Men,” “Two and a Half Men”) ในบทดอน คาร์ลตัน, ปีเตอร์ ซอห์นจากพิกซาร์ (“Ratatouille,” “Small Fry”) ในบท สก็อตต์ “สควิชชี่” สควิบเบิ้ลส์ และชาร์ลีย์ เดย์ (“Horrible Bosses,” “Pacific Rim,” ซีรีส์ “It’s Always Sunny in Philadelphia”) ในบทอาร์ท
ทีมพากย์เสียงของเรื่องยังรวมถึงนาธาน ฟิลเลียน (“Much Ado About Nothing,” “Percy Jackson: Sea of Monsters,” ซีรีส์ “Castle”) ในบทจอห์นนี่ เวิร์ธธิงตัน, บ็อบบี้ มอยนิฮัน (ซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Saturday Night Live,” ซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Girls,” “Delivery Man” โดยดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์) ในบทเชท อเล็กซานเดอร์, จูเลีย สวีนนีย์ (ซีรีส์ “The Goode Family,” “Saturday Night Live”) ในบทมิสสควิบเบิ้ลส์, ออเบรย์ พลาซ่า (“To Do List,” ซีรีส์ “Parks and Recreation”) ในบทแคลร์ วีลเลอร์, ไทเลอร์ ลาไบน์ (“Tucker & Dale vs. Evil,” “Mad Love”) ในบทบรอค แพร์สัน, จอห์น คราซินสกี้i (“Promised Land,” ซีรีส์ “The Office”) ในบท “ไฟรเทนนิง” แฟรงค์ แม็คเคย์, บอนนี่ ฮันท์ (ซีรีส์ “The Bonnie Hunt Show,” “Cheaper by the Dozen”) ในบทคาเรน เกรฟส์ ครูโรงเรียนประถมของไมค์ วาซาวสกี้, เบธ เบห์ (ซีรีส์ “2 Broke Girls”) ในบทแคร์รีย์ วิลเลียมส์และจอห์น แรทเซนเบอร์เกอร์ (“Cheers,”ภาพยนตร์ดิสนีย์/พิกซาร์) ได้หวนคืนสู่สตูดิโอบันทึกเสียงของพิกซาร์อีกครั้งเพื่อพากย์เสียงพนักงานของบริษัทมอนสเตอร์ส, อิงค์.
ดนตรีจากแรนดี้ นิวแมน (“Monsters, Inc.,” “Toy Story 3”) คอมโพสเซอร์เจ้าของรางวัลและอนาคตผู้ได้รับการบรรจุชื่ออยู่ในร็อค แอนด์ โรล ฮอล ออฟ เฟม, แอ็กซ์เวล และเซบาสเตียน อินกรอสโซจากสวีดิช เฮาส์ มาเฟีย และมาสโทดอน “Monsters University” เข้าฉายในอเมริกา วันที่ 21 มิถุนายน ปี 2013 และจะเข้าฉายในระบบ 3D ในโรงภาพยนตร์บางแห่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการจัดเรท G โดยสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งอเมริกา
ยินดีต้อนรับสู่มหา’ลัยมอนสเตอร์
ทีมงานเรื่องราวพาตัวละครย้อนเวลา
“เราอยากให้ ‘Monster University’ เป็นเรื่องราวของไมค์ตั้งแต่เริ่มต้นครับ” ผู้กำกับแดน สแกนลอนบอก “แรงขับและความจริงใจของเขามีเสน่ห์เหลือเกิน ซึ่งก็ทำให้การเดินทางของเขามีความเป็นส่วนตัวอย่างมากด้วย”
ตั้งแต่เริ่มต้น สแกนลอนก็สนใจไอเดียของการค้นพบตัวเอง “การสร้างเรื่องราวให้เกิดขึ้นในตอนที่ไมค์ได้ก้าวสู่โลกใบใหญ่ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกทำให้เราได้ล้วงลึกเข้าไปในการเดินทางเพื่อทำความรู้จักกับตัวเอง และได้สัมผัสกับความสนุกสนาน ขาขึ้น ขาลง มิตรภาพและการเปิดเผยที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเติบโตขึ้นพร้อมกันไปกับเขา ระหว่างช่วงเวลานี้นี่เอง ที่ไม่ว่าเราจะเรียนมหาวิทยาลัยหรือไม่ก็ตาม เรามักจะได้เรียนรู้ว่าตัวเราเองเป็นใคร ซึ่งมันก็อาจจะไม่ใช่คนที่เราคิดว่าเราเป็นก็ได้”
“ไมค์มั่นใจในตัวเองมาก และมีศรัทธาที่แน่วแน่” ผู้อำนวยการสร้างโครี่ เรย์กล่าว “แต่ความฝันของไมค์มีขนาดใหญ่โตเกินตัว เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าเขาอาจจะไม่บรรลุเป้าหมาย แต่เราก็มักไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเสมอไป ซึ่งรวมถึงสิ่งที่เราฝันมาทั้งชีวิตด้วย บางที มันอาจเป็นบทเรียนที่สาหัสที่สุดที่เราทุกคนต้องเผชิญ แต่มันก็เป็นการทดสอบถึงความเป็นผู้ใหญ่ค่ะ”
เมื่อประตูหนึ่งปิด อีกประตูหนึ่งก็เปิด
พีท ด็อคเตอร์ ผู้กำกับ “Monsters, Inc.” มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาธีมสำคัญต่างๆ ใน “Monsters University” “ธีมหนึ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกคือไอเดียที่ว่าเมื่อประตูหนึ่งปิด อีกประตูหนึ่งก็เปิดออกครับ” ด็อคเตอร์กล่าว “ประตูเป็นภาพที่สำคัญมากในหนังภาคแรก ดังนั้น ไอเดียนี้ก็เลยเป็นอะไรที่โดดเด่นจริงๆ เราตระหนักได้ว่า ข้อคิดสำคัญในหนังหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังสำหรับเด็กๆ ก็คือ ‘ถ้าคุณพยายามมากพอและเชื่อในตัวเอง คุณจะสามารถทำได้ทุกอย่าง!’ และนั่นก็ไม่ได้เป็นข้อคิดที่เลวร้ายเลย แต่มันก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป คุณจะทำยังไงล่ะครับถ้าความฝันของคุณสลายไป”
ทีมผู้สร้างบอกว่า เรื่องราวของไมค์ และความจริงที่ว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ ไม่เพียงแต่ทำให้เรื่องราวนี้น่าสนใจมากขึ้น แต่ยังทำให้เรื่องราวนี้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย “ส่วนสำคัญของหนังเรื่องนี้คือการเผชิญหน้ากับความจริง” เคลซีย์ แมนน์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเรื่องราว กล่าว “บางครั้ง มันก็โหดร้ายและไม่ยุติธรรม แต่มันก็โอเค เพราะมันอาจหมายความว่า คุณควรจะไปทำอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปก็ได้ บางสิ่งที่ท้ายที่สุดแล้วก็จะคุ้มค่ามากกว่า”
แลสซีเตอร์เห็นพ้องด้วย “มหาวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่เราทุกคนต่างก็มีความมั่นใจและมองโลกในแง่บวกอย่างมากว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ เรามีความฝัน มีเป้าหมาย ไม่มีใครหยุดเราได้ แต่แล้วความจริงก็เริ่มเข้ามา และเราก็เริ่มเจอกับประตูที่ปิดตรงหน้าเรา สิ่งที่คุณทำในตอนที่ความฝันของคุณแตกสลายคือสิ่งที่จะหล่อหลอมตัวคุณครับ”
สแกนลอนเชื่อว่ากุญแจสำคัญในการหาคำตอบสำหรับประเด็นเหล่านี้มักจะถูกเผยผ่านทางความสัมพันธ์ที่เราได้สร้างขึ้น “ไม่ว่าเราจะพยายามหนักแค่ไหน เราก็ทำคนเดียวไม่ได้ ไม่มีใครทำได้หรอกครับ เราก็เลยต้องหันไปหาคนอื่น และพวกเขาก็หันมาหาเรา แล้วเราถึงเริ่มเดินหน้าไปสู่ตัวตนที่เราจะเป็นจริงๆ ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมจริงๆ ส่วนที่ยากก็คือการรวมทีมที่ใช่น่ะครับ”
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป อย่างที่ไมค์ได้เรียนรู้ เจมส์ พี. ซัลลิแวน คู่อาฆาตผู้เปลี่ยนกลายเป็นเพื่อนร่วมทีมของไมค์ ไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่น่ารักน่ากอด ผู้ที่ในวันหนึ่งจะเป็นใหญ่ที่บริษัทมอนสเตอร์ส, อิงค์ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาเหยียบย่างลงในรั้วมหา’ลัยมอนสเตอร์ ซัลลี่ก็เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงและความกล้าบิ่น เขาก็แค่อยากจะสนุกเท่านั้นเอง ซัลลี่ ผู้เกิดมาเพื่อเป็นสัตว์ประหลาดหลอกคน คิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องพยายามหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จขนาดนั้น “ความเหลาะแหละของเขาทำให้ไมค์ไม่สบอารมณ์ครับ” แดเนียล เกอร์สัน มือเขียนบทบอก “มันทำให้ไมค์แทบคลั่งที่ซัลลี่ไม่ได้เคารพโอกาสที่เขาได้รับมามากพอที่จะลงมือทำงานหนัก หรือทำงานใดๆ ก็ตามน่ะครับ”
มือเขียนบทโรเบิร์ต แอล. เบียร์ด กล่าวเสริมว่า “มันทำให้ซัลลี่คลั่งที่ว่าเจ้าตัวกลมเขียวตัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นนี่มาวินในชั้นเรียน แถมหลอกคนได้เก่งกว่าเขา ที่เกิดมาเพื่องานนี้ด้วยซ้ำไป เขาก็เลยเริ่มจะไม่มั่นใจในตัวเอง ซึ่งก็เป็นเชื้อเพลิงที่จุดประกายการชิงดีชิงเด่นระหว่างทั้งคู่ครับ”
“ตอนที่ทุกอย่างระเบิดออก มันไม่สวยนักหรอกค่ะ” เรย์บอก “พวกเขาโดนคณะบดีไล่ออกจากหลักสูตรหลอกคนด้วยตัวเองและความฝันของทั้งคู่ก็สลาย แต่โชคชะตาบันดาลให้พวกเขาจำต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ สายสัมพันธ์อันเหลือเชื่อที่พวกเขาได้สร้างขึ้นกับกลุ่มตัวป่วน และการที่พวกเขาเติบโตขึ้น ทั้งในฐานะปัจเจกและในฐานะเพื่อน ก็ส่งผลให้เกิดเรื่องราวที่ตลกขบขันและน่าประทับใจมากๆ ที่เป็นที่เข้าถึงได้สำหรับคนแทบทุกวัยน่ะค่ะ”
แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้ออกมาเป็นอย่างที่พวกเขาต้องการซะทีเดียว บางที แค่บางทีน่ะนะ แมนน์บอกว่ามันออกมาดีกว่าที่คิดเสียอีก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าทำไมไมค์และซัลลี่ถึงน่าจะเป็นเพื่อนกัน “ไมค์เก่งในการสนับสนุนคนอื่น ในการไขว่คว้าความฝันที่ไกลเกินเอื้อมนี้ เขาก็กลายเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยม ทำให้ซัลลี่ดีขึ้นกว่าเดิมเป็นร้อยๆ เท่า พวกเขาเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมจริงๆ และเราก็ได้เห็นว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงน่ะครับ”
ย้อนเวลา
นับตั้งแต่ที่ “Monsters, Inc.” เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ปี 2001 ทีมงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ก็รู้ว่าไมค์, ซัลลี่และโลกสัตว์ประหลาด ได้กระทบใจผู้ชมทั่วโลกอย่างมาก ดังนั้น ไอเดียในการนำพวกเขากลับมาสู่จอเงินอีกครั้งจึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่การจะทำยังไงนั้นก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งเลยล่ะ
ผู้ควบคุมงานสร้าง จอห์น แลสซีเตอร์กล่าวว่า “ตอนที่เราสร้างหนังภาคแรกขึ้นมาที่พิกซาร์ ตอนที่เราสร้างมันเสร็จ เราก็รู้จักตัวละครเป็นอย่างดี พวกเขาเหมือนเป็นเพื่อน เป็นครอบครัว เป็นส่วนหนึ่งของเรา มันเป็นเรื่องหวานปนขมที่จะต้องเอ่ยคำลากับตัวละครแบบนั้น มันสนุกมากที่ได้เริ่มนึกถึงไอเดียใหม่ๆ ที่คุณสามารถทำได้ในโลกที่คุณรักมันอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องคิดเรื่องราวที่ดีพอๆ กันหรือดีกว่าภาคแรกขึ้นมาให้ได้น่ะครับ”
ในการผลักดันกระบวนการให้เดินไปข้างหน้า หัวหน้าทีมงานสร้างของพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “เบรน ทรัสต์” ได้จัดเซสชันระดมสมองขึ้น ด้วยการเชิญนักเล่าเรื่องคนเก่งของพิกซาร์ ซึ่งรวมถึงสมาชิกหลายคนจากทีม “Monsters, Inc.” ดั้งเดิมมาด้วย แน่นอนว่าไอเดียของการสร้างพรีเควลเป็นสิ่งที่คนกลุ่มนี้สนใจอยู่แล้ว และการจินตนาการถึงเบื้องหลังของไมค์และซัลลี่ ซึ่งเป็นส่วนตามธรรมชาติในกระบวนการถ่ายทำ ก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่มีการสร้างภาพยนตร์ภาคแรกขึ้นแล้วด้วย
ทีมผู้สร้างรู้ดีถึงความท้าทายที่จะตามมาจากการสร้างพรีเควล เบียร์ดกล่าวว่า “ตอนที่ไอเดียนี้ปรากฏขึ้น เราก็พูดกันว่า ‘โอเค ฟังดูน่าสนุก ลองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์หนังแล้วศึกษาพรีเควลเยี่ยมๆ ทุกเรื่องดูซิ’ แล้วเราก็มารู้สึกได้ว่า เราคิดไม่ออกซักเรื่อง”
สแกนลอนอธิบายว่า “หนึ่งในความท้าทายเกี่ยวกับพรีเควลคือตามคำนิยามแล้ว ทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวจะจบยังไง มันก็เลยเป็นเรื่องยากที่จะสร้างดรามาขึ้นมาในตอนที่คุณรู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างจะต้องคลี่คลายได้ มันเป็นเรื่องยากที่จะสร้างความเสี่ยงให้เกิดขึ้นได้ คุณจะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวละคร ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เราก็ได้ทำใน ‘Monsters University’ เราจะต้องผลักดันดรามาให้ไกลพอจนกระทั่งมันคุกคามความรู้สึกที่คนมีต่อตัวละครเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกันก็รับประกันว่าในตอนที่หนังจบ เราจะทำในสิ่งตรงกันข้ามด้วยการดึงผู้ชมให้ใกล้ชิดกับไมค์และซัลลี่มากขึ้นกว่าเดิมน่ะครับ”
เรย์กล่าวเสริมว่า “มันเป็นเรื่องยากสุดๆ ที่จะสร้างเรื่องราวที่คาดเดาไม่ได้ ที่มีจุดหักมุม ที่คนคาดไม่ถึงและมีการเปลี่ยนแปลงตัวละครที่น่าประหลาดใจ แต่ทีมเรื่องราวได้เจาะลึกลงไปและพัฒนารายละเอียดเกี่ยวกับตัวละครเหล่านี้ และได้สร้างพล็อตที่สนุกสนานแต่ก็ประทับใจ ที่ผู้ชมไม่มีทางคาดคิดได้ขึ้นมาด้วยล่ะค่ะ”
แมนน์ กล่าวว่า การรู้ว่าเรื่องราวจบอย่างไรได้เปิดประตูโอกาสที่น่าตื่นเต้นให้ทีมผู้สร้างด้วยซ้ำไป “คุณอาจจะรู้ว่าพวกเขาจะลงเอยที่ไหน” แมนน์กล่าว “แต่คุณไม่รู้หรอกว่าพวกเขาไปถึงที่นั่นได้ยังไง ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการเดินทาง มันเป็นไอเดียที่ปรากฏชัดอยู่ในหนังทั้งเรื่องครับ”
สแกนลอนกล่าวเห็นพ้องด้วย “กระบวนการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ได้สะท้อนถึงเส้นทางของตัวละครของเราในหนังเรื่องนี้ มันไม่ได้เป็นเส้นตรงจากจุดเริ่มต้นไปถึงจุดจบ แต่มันเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมและเนิน เลี้ยวซ้ายขวาและเปลี่ยนเส้นทางใหม่หลายครั้ง แต่ก็เหมือนกับเรื่องราวของไมค์ที่มันลงเอยอย่างที่ควรจะเป็นน่ะครับ”
ผู้กำกับกล่าวยกย่องทีมงานพิกซาร์ของเขา “สิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความร่วมมือร่วมใจที่นี่มีลักษณะโดดเด่นและมีค่าอย่างมาก ผมได้ฟีดแบ็คจากกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในวงการ ซึ่งผมไม่ได้ถูกคาดหวังว่าจะต้องใช้ไอเดียทั้งหมดนั่น หรือไอเดียไหนๆ เลย แต่ผมดีขึ้นเพราะฟีดแบ็คพวกนั้น และหนังเรื่องนี้ก็ด้วย คุณเชื่อได้เลยล่ะครับว่าผมเข้าถึงเรื่องราวของไมค์และซัลลี่ได้จริงๆ”
แน่นอนว่าการเดินทางไม่ได้ง่าย สแกนลอนบอก แต่มันคือการผจญภัย “นี่เป็นหนังมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็เลยอยากให้มันเป็นเรื่องสนุกจริงๆ และถ่ายทอดประสบการณ์การค้นพบตัวเองแบบนั้น แน่นอนเถอะว่าเราต้องการสร้างให้เกิดเสียงหัวเราะ ตัวละครสนุกสนาน และเรื่องราวประทับใจที่เข้าถึงได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคือการเล่าเรื่องราวที่จะทำให้คนรู้สึกดี บางที ใครบางคนอาจเพิ่งล้มเหลวมาในชีวิตหรือรู้สึกเหมือนความฝันครั้งใหญ่เพิ่งพังทลาย คนๆ นั้นอาจจะเดินออกจากโรงหนังด้วยความรู้สึกว่ายังมีความหวัง ว่ามันเกิดขึ้นกับทุกคน แม้กระทั่งสัตว์ประหลาด แน่นอนว่าความฝันของพวกเขาอาจต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่มันก็ไม่ใช่ว่าโลกจะถล่มซักหน่อยน่ะครับ”
การสร้างมอนสเตอร์
ได้เวลาสมัครเรียน “Monsters University”
แม้ว่าทีมผู้สร้างจะสามารถเริ่มต้นทำงานสร้างบรรดาตัวละครสำหรับ “Monsters University” ได้ทันทีเพราะพวกเขามีตัวละครหลักสามตัวที่กลับมาอีกครั้ง และมีแบบพิมพ์เขียวสำหรับโลกสัตว์ประหลาดจาก “Monsters, Inc.” อยู่แล้ว พวกเขาก็ยังมีงานหนักรอพวกเขาอยู่ตรงหน้า “เราต้องพาไมค์และซัลลี่ย้อนเวลาครับ” ผู้กำกับแดน สแกนลอนกล่าว “เราต้องทำให้พวกเขาอายุน้อยลง ไปถึงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แล้วคุณจะทำแบบนั้นกับสัตว์ประหลาดได้ยังไงล่ะครับ”
คำถามนี้เป็นสิ่งท้าทายสำหรับสแกนลอนและทีมงานสร้าง นักวาดภาพได้ดึงเอาข้อมูลอ้างอิงจากนักแสดงเอลิสต์บางคนที่อยู่ในวงการมานาน เพื่อเปรียบเทียบรูปภาพของพวกเขาในวัยที่แตกต่างกัน สำหรับไมค์ พวกเขาได้ศึกษาการมีอายุมากขึ้นของกบเพื่อตัดสินใจว่าเขาจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรตอนที่อายุน้อยกว่านี้ แล้วเนียร์วา, เจสัน ดีมเมอร์ ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายตัวละครและทีมงานหลายคนก็ได้ใช้สิ่งที่พวกเขารวบรวมมาในการสร้างไมค์และซัลลี่ เวอร์ชันอายุน้อยขึ้นมา “เราทำให้พวกเขาผอมลง หั่นเขาของเขาให้สั้นลง ลบริ้วรอยออกบ้างทำให้ดวงตาของพวกเขาสว่างไสวขึ้น และทำให้สีสันของพวกเขาสดใสขึ้นครับ” ดีมเมอร์กล่าว “เราได้สร้างรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาและก็ยินดีที่ได้เห็นว่าพวกเขาดูแตกต่างออกไปมากแค่ไหนเมื่อยืนเทียบกับพวกเขาตอนอายุมากกว่า เราคิดว่าผลโดยรวมมันออกมาชัดเจนทีเดียว แต่มันก็ยังไม่พอ ลูกบอลกลมสีเขียวที่ผอมลงนิดหน่อย และมีดวงตาเดียวก็ยังคงลักษณะแบบนั้นอยู่ ในตอนที่คุณดึงเอาลักษณะเด่นบางอย่างของใครซักคนออกมา ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันก็จะเป็นสิ่งที่คุณจดจำได้ในอีกสิบปีหลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้น่ะครับ”
ดังนั้น ทีมงานก็ได้สร้างสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ฮุควิชวล” ให้กับตัวละครที่ได้กลับมาอีกครั้ง สำหรับไมค์ นักวาดภาพได้ใส่เหล็กดัดฟันให้กับตัวเขาตอนเรียนประถม ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนไปใส่รีเทนเนอร์ในตอนเข้าเรียนมหา’ลัยมอนสเตอร์ ซัลลี่มีขนกระเซิงสมกับที่เป็นวัยรุ่น สะท้อนถึงทัศนคติสบายๆ ของเขา แรนดัลล์ ที่ใน “Monsters University” รู้จักกันในชื่อแรนดี้ ได้สวมแว่นตา ซึ่งก็มักจะก่อกวนการหายตัว ที่ตอนนี้ยังไม่เป็นท่าไม้ตายของเขา ไม่น้อยเลย
ตัวละครทุกตัว ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ ต่างก็ถูกสร้างขึ้นด้วยจิตวิญญาณที่มีชีวิตชีวา ตามสไตล์พิกซาร์ ก่อเกิดเป็นกลุ่มตัวละครที่น่าจดจำ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ก็ได้รับการเนรมิตชีวิตขึ้นมาโดยทีมนักพากย์พรสวรรค์ ที่นำทีมโดยบิลลี่ คริสตัลและจอห์น กู๊ดแมน “พวกเขาเยี่ยมมากครับ” สแกนลอนบอก “เราบันทึกเสียงพวกเขาแยกกันตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก เพื่อให้พวกเขาเรียนรู้จังหวะของตัวละครและให้ทุกคนได้พบกับไมค์และซัลลี่เวอร์ชันอายุน้อยลง แต่เมื่อเราให้พวกเขาได้มาเจอกัน มันก็วิเศษสุด พวกเขาเข้ากันได้ดีจริงๆ และมีเสน่ห์ตามธรรมชาติตอนที่อยู่ด้วยกัน สำหรับผมแล้ว มันเป็นเรื่องเยี่ยมที่ได้เซ็ทไอเดียคร่าวๆ สำหรับฉากนั้นๆ แล้วปล่อยให้พวกเขาบรรเลงให้เต็มที่ ส่วนผมก็จะยืนมอง แล้วก็เปลี่ยนแปลงตรงนั้นตรงนี้ ระดับพลังงานมันสูงมาก การบันทึกเสียงพวกเขาด้วยกันทำให้เกิดเรื่องบังเอิญที่น่ายินดี ที่คุณไม่ค่อยได้พบนักในอนิเมชัน มันเป็นช่วงเวลาฉับพลันที่ยอดเยี่ยมน่ะครับ”
ผู้อำนวยการสร้างโครี่ เรย์กล่าวเสริมว่า “เราโชคดีมากที่ได้ทีมนักพากย์ทีมนี้มา มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างพรสวรรค์ล้วนๆ และประสบการณ์ รวมทั้งความตื่นเต้นเพียวๆ ที่มีต่อโปรเจ็กต์นี้ ที่ทำให้หนังแบบนี้ติดปีกโบยบินจริงๆ ค่ะ”
ปัญหาใหญ่อีกข้อหนึ่งสำหรับทีมผู้สร้างคือเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ตอนนี้ เทคโนโลยีทำให้พวกเขาสามารถทำอะไรต่างๆ อย่างที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ใน “Monsters, Inc.” “ขนเป็นความท้าทายเชิงเทคนิคสำหรับหนังภาคแรก” เนียร์วา ผู้ทำงานในภาคแรกกล่าว “เราได้รับอนุญาตให้สร้างตัวละครขนฟูหนึ่งตัวต่อฉาก ซึ่งเราก็ได้พัฒนามาไกลแล้วนับตั้งแต่นั้นและใน ‘Monsters University’ เราสามารถใส่ตัวละครขนฟูไว้ตรงไหนก็ได้ เราก็เลยทำแบบนั้น แต่ [ผู้กำกับ] แดน [สแกนลอน] ก็ต้องคุมทุกอย่างไว้เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกินจากในภาคแรก ดังนั้น สัตว์ประหลาดบางตัวก็ต้องถูกถอนขนออกไปบ้างครับ”
เนียร์วากล่าวว่า มีตัวละคร 500 ตัวใน “Monsters University” ซึ่งเฉลี่ยแล้วมากกว่า 25 ตัวต่อช็อต นับว่าเป็นจำนวนที่มากเป็นสองเท่าของจำนวนในภาพยนตร์พิกซาร์เรื่องก่อนๆ นักวาดภาพได้ออกแบบและสร้างโมเดลตัวละครแบ็คกราวน์มากกว่า 400 ตัวตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการถ่ายทำ ระหว่างที่ทีมเรื่องราวได้ขัดเกลารายละเอียดการผจญภัยสมัยมหาวิทยาลัยของไมค์และซัลลี่
ใครเป็นใครในมหา’ลัย มอนสเตอร์
ความฝันอันยาวนานของไมค์ วาซาวสกี้คือการได้เป็นสัตว์ประหลาดจอมหลอนที่บริษัทมอนสเตอร์ส, อิงค์. และเขาก็มั่นใจว่าเขารู้ว่าจะทำได้ยังไง นับตั้งแต่ที่เขาเป็นสัตว์ประหลาดตัวน้อย ไมค์ก็หมายตามหา’ลัยมอนสเตอร์ ที่มีหลักสูตรหลอกคนระดับแนวหน้าของโลกมอนสเตอร์ ตอนนี้ เมื่อเขากลายเป็นนักศึกษาน้องใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง เขาก็คุ้นเคยในประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ทฤษฎีและเทคนิคที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายของเขาเป็นอย่างดี และสัตว์ประหลาดตาเดียวตัวเขียวนี้ก็มีความมั่นใจ ความกระตือรือร้น ความมุ่งมั่น และหัวใจอบอุ่นมากกว่าเพื่อนร่วมชั้นทุกคนของเขารวมกันเสียอีก แต่แล้วเขาก็ได้พบกับเจมส์ พี. ซัลลิแวน หรือซัลลี่ และชีวิตเขาก็เริ่มมีขวากหนามขึ้นมา “เขามีปมแบบคนตัวเล็กครับ” คริสตัล ผู้กลับมาสู่สตูดิโอบันทึกเสียงของพิกซาร์อีกครั้ง เพื่อพากย์เสียงไมค์ด้วยอารมณ์ขันและชีวิตชีวา กล่าว “เขามีอคติกับซัลลี่ สัตว์ประหลาดรูปหล่อตัวใหญ่ ผู้เป็นทุกอย่างอย่างที่ไมค์อยากจะเป็นน่ะครับ”
แน่นอนว่าปัญหาก็คือซัลลี่ไม่เคยพัฒนาพรสวรรค์ตามธรรมชาติของตัวเอง ในขณะที่ไมค์พยายามหนักเป็นพิเศษ โดยแทบไม่มีผล “หนังเรื่องนี้ทำในสิ่งที่แทบไม่มีใครทำ” สแกนลอนกล่าว “มันแสดงให้เห็นถึงคนที่มีความฝันและความปรารถนาที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เขาคาดหวัง ผมคิดว่ามันเกิดขึ้นกับทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราก็เลยอยากให้หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าบางครั้ง ในตอนที่เจอกับผนังพวกนั้น มันอาจจะมีสิ่งที่ดีกว่าอยู่ตรงหัวมุมก็ได้ มันไม่ใช่โลกถล่มลงมาซะหน่อย และไมค์ วาซาวสกี้ก็เป็นคนที่เพอร์เฟ็กต์ที่จะบอกเล่าเรื่องราวนั้นด้วยครับ”
คริสตัลกล่าวว่า สำหรับสัตว์ประหลาด ตัวละครเหล่านี้กลับมีความเป็นมนุษย์อย่างน่าประหลาดใจ “มันง่ายที่จะคิดว่าตัวละครพวกนี้ไม่น่าจะมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งอะไรเพราะพวกเขาเป็นสัตว์ประหลาด แต่พวกเขามีความรู้สึกครับ” คริสตัลกล่าว “พวกเขาเป็นเหมือนเด็กหนุ่มที่หาคำตอบว่าพวกเขาเป็นใครและต้องการอะไรในชีวิต รวมถึงสิ่งที่ชีวิตเตรียมรอพวกเขาไว้อยู่แล้ว สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับหนังพวกนี้คือมันไม่ได้แค่สร้างความบันเทิงเท่านั้น แต่มันยังมีข้อคิดที่วิเศษสุดด้วยครับ”
และการย้อนเวลาก็เป็นเหมือนโบนัสเช่นกัน นักแสดงหนุ่มกล่าวเสริม “เรากลับมามีอายุ 18 ปีอีกครั้ง พวกเขาทำให้เราดูอายุน้อยลงและผอมลง ผมอยากให้ชีวิตเป็นแบบนั้นจัง”
ในเรื่องของการหลอกคนแล้ว ซัลลี่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติ ขนาดใหญ่โตของเขา เสียงคำรามดุดัน และสายเลือดตระกูลสัตว์ประหลาดหลอกคนที่ยาวนานทำให้เขานอนมาอยู่แล้วสำหรับหลักสูตรหลอกคนที่มหา’ลัยมอนสเตอร์ “เราทุกคนต่างก็รู้ว่าซัลลี่กลายเป็นใคร” สแกนลอนกล่าว “ซัลลี่ทั้งถ่อมตน อ่อนหวานและเป็นผู้ใหญ่ใน ‘Monsters, Inc.’ เราสนุกมากกับการให้เขาทำตัวค้านกับนิสัยของตัวเองใน ‘Monsters University’ เขาเป็นจอมหลอนที่มีพรสวรรค์มากๆ เพราะเขาเป็นคนตัวใหญ่ เป็นนักกีฬา เขาเหมาะกับงานนี้และเขาก็รู้ตัว เขาก็เลยโชว์ออฟหน่อยๆ และอาจจะทะนงตัวเล็กๆ ด้วยครับ”
แต่ตั้งแต่นาทีแรกที่สัตว์ประหลาดที่มั่นใจเหลือล้นได้ก้าวเท้าขนปุยของเขาเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัย เราก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขาชื่นชอบการปล่อยมุขมากกว่าอ่านหนังสือ และเขาก็เจอบทเรียนที่ว่าพรสวรรค์เหลือล้นและชื่อเสียงตระกูลของเขาพาเขาไปได้ไม่ไกลนักหรอก เมื่ออีโก้ของเขาถูกสั่นคลอนและอนาคตของเขาตกอยู่ในอันตราย ซัลลี่ผู้ดื้อรั้นก็ต้องทิ้งความภาคภูมิใจของตัวเอง ร่วมมือกับกลุ่มสัตว์ประหลาดตัวป่วนและต้องลงมือทำงานอย่างจริงๆ จังๆ หากเขาต้องการดึงเอาศักยภาพจอมหลอนที่แท้จริงของตัวเองออกมา
ทีมผู้สร้างกล่าวว่า ตัวละครตัวนี้ ที่มีน้ำหนัก 985 ปอนด์ ต้องผ่านความเปลี่ยนแปลงมากมายก่อนที่พวกเขาจะพบกับส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความมั่นใจและความน่ารักน่าเอ็นดู โชคดีที่พวกเขามีคนที่เหมาะสมในการช่วยเนรมิตชีวิตให้กับตัวละครตัวนี้ เรย์กล่าวว่า “จอห์น กู๊ดแมน ชายผู้ทำงานหนักที่สุดในวงการบันเทิง กลับมาพากย์เสียงซัลลี่อีกครั้ง และเขาก็เยี่ยมมากๆ”
กู๊ดแมนรู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับมาพากย์เสียงบทนี้อีกครั้งแต่กล่าวว่าเขากังวลที่เรื่องการนำตัวละครที่เป็นที่รักนี้ย้อนเวลากลับไป “ผมกังวลเรื่องการใช้เสียงที่สูงขึ้นสำหรับเขา แต่มันก็เป็นของมันเองครับ” นักแสดงหนุ่มกล่าว “ผมเข้ามาแล้วอ่านบทซักสองสามบรรทัด ก่อนที่เราจะอ่านบททั้งหมดที่เหลือ แต่ที่สุดแล้ว เราก็มักจะกลับมาสู่บทดั้งเดิมอีกครั้งเสมอ เพราะถึงตอนนั้น ตัวละครก็พบตัวเองแล้วครับ”
แรนดี้ บอกส์ นักศึกษาใหม่จากมหา’ลัยมอนสเตอร์ มีความใฝ่ฝันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตมหาวิทยาลัย สัตว์ประหลาดหน้าตาพิลึกที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกิ้งก่า และมีแขนขายาวเก้งก้างตัวนี้ วางแผนที่จะเรียนเอกหลอกคน และใช้ชีวิตเที่ยวเตร่ ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน เพื่อนๆ และปาร์ตี้ของบ้าน “เขาไม่ใช่แรนดัลล์อย่างที่เรารู้จักใน ‘Monsters, Inc.’” สตีฟ บุสเชมี่ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยพากย์เสียงตัวละครดังตัวนี้ กล่าว “เขาไม่มั่นใจนิดๆ และเขาก็อยากจะทำตัวกลมกลืนกับคนอื่น เขาก็เลยตั้งหน้าตั้งตารอการสาบานตนเข้าบ้านที่เจ๋งที่สุดน่ะครับ”
ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเรื่องราว เคลซีย์ แมนน์กล่าวว่า เขาคิดว่าผู้ชมจะแปลกใจที่ได้เห็นจุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อยของแรนดัลล์ “เขาทั้งมีความสุขและมองโลกในแง่บวกสุดๆ และเขาก็ใฝ่ฝันว่าจะได้เป็นจอมหลอนมาตลอด เหมือนไมค์เลยครับ”
แน่นอนว่าเขามองหาแรงบันดาลใจอยู่ และหนึ่งในบทพูดที่น่าจดจำที่สุดของแรนดัลล์จาก “Monsters, Inc.” ก็ปรากฏในพรีเควลเรื่องนี้ด้วย สิ่งที่แขวนอยู่เหนือเตียงของแรนดี้คือโปสเตอร์สร้างแรงบันดาลใจที่มีข้อความว่า “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง”
ผู้ชมจะได้รับรู้แบบเกาะติดถึงสิ่งที่กระตุ้นความอยากแข่งขันของแรนดี้ แต่อนาคตจอมหลอนตัวเอ้ของบริษัทมอนสเตอร์ส, อิงค์.ผู้นี้จะต้องควบคุมนิสัยหายตัวแบบน่าอับอายของเขาได้เสียก่อน เพราะแรนดี้ไม่แน่ใจว่าเขาจะเป็นจอมหลอนที่ยอดเยี่ยมได้รึเปล่าถ้าไม่มีใครมองเห็นเขา
ถึงเวลาตัวป่วน
ตัวละครจากบ้านอูซมา แคปปา หลั่งไหลมาจากมื้ออาหารเที่ยงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและไม่ทันได้เตรียมตัวกันมาก่อนของบรรดาทีมผู้สร้าง “เราอยากจะออกแบบสมาชิกกลุ่มอูซมา แคปปาแต่ละตัวตามประเด็นในเรื่องราวหรือลักษณะที่จะสะท้อนถึงสิ่งที่ไมค์และซัลลี่กำลังเผชิญ” สแกนลอนบอก
เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงของหายนะทางเศรษฐกิจ ดอน คาร์ลตัน เซลส์แมนชาวมิดเวสเทิร์น พบว่าตัวเองต้องกลับไปเรียนเพื่อศึกษาทักษะใหม่ๆ และไล่ตามความฝันในการทำงานเป็นจอมหลอน “ดอนเป็นหนึ่งในตัวละครตัวโปรดของผมครับ” สแกนลอนบอก “ผมชอบไอเดียที่ว่ามันไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณต้องการจะทำและลองในสิ่งที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจเหลือเกิน เขาทำในสิ่งที่เขาไม่ได้ตื่นเต้นกับมันมาเป็นปีๆ ผมชอบไอเดียที่ว่าดอนมีโอกาสครั้งที่สองที่จะได้ทำในสิ่งที่เขารักจริงๆ ครับ”
ดอน หนึ่งในนักเรียน “โข่ง” ของมหา’ลัยมอนสเตอร์ สมาชิกผู้ก่อตั้งบ้านอูซมา แคปปาผู้นี้ ได้นำความซื่อสัตย์และความขยันขันแข็งมาสู่ความพยายามของพวกเขาและคอยดูแลให้พี่น้องในบ้านของเขายืดคอตั้งตรงและรักษาสายตาสับปะรดของพวกเขาเอาไว้ที่งานตรงหน้า
โจเอล เมอร์เรย์ เป็นผู้ถูกเลือกมาเนรมิตชีวิตให้กับนักเรียนโข่งผู้นี้ “ฉันคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมสำหรับดอน” เรย์กล่าว “เขาเป็นคนตลกจริงๆ แต่โจเอลมีความอ่อนหวานที่บริสุทธิ์ในตัวละครมากมายของเขา ซึ่งมันก็ปรากฏในตัวดอนด้วยเช่นกันค่ะ”
สก็อตต์ “สควิชชี่” สควิบเบิ้ลส์ ได้สร้างความหมายใหม่ให้กับคำว่า ไม่สามารถบ่งบอกได้ สแกนลอนกล่าวว่า “ดีไซน์ของเขาเป็นเหมือนก้อนดินเหนียวที่ต้องการการปั้นให้เป็นรูปร่าง เราจงใจออกแบบสควิชชี่ให้ตัวเล็กและน่ารักกว่าไมค์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า รูปลักษณ์ภายนอกไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ใครเป็นสัตว์ประหลาดจอมหลอกหลอนได้ แต่มันเป็นอะไรที่จับต้องได้ยากกว่านั้นครับ”
สควิชชี่ นักศึกษาปีสอง ผู้ซึ่งความใฝ่ฝันในการได้เป็นจอมหลอนถูกทำลายในปีแรกของการเรียนที่มหา’ลัยมอนสเตอร์ เป็นนักเดินทางขี้กลัวนิดๆ เขาทั้งตัวเล็ก น่ารัก ไร้เดียงสาและเงียบขรึม ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขายังคงใช้ชีวิตอยู่กับแม่ผู้คอยดูแลเอาใจใส่เขา แต่ความช่วยเหลือจากพี่น้องในบ้านอูซมา แคปปา ก็ทำให้สควิชชี่เริ่มตระหนักว่า เขาน่าจะเป็นได้มากกว่าสัตว์ประหลาดขี้อายตรงมุมห้อง
พีท ซอห์นจากพิกซาร์ เป็นผู้เข้ามาพากย์เสียง สควิชชี่ “เขามาพากย์เสียงชั่วคราวตั้งแต่แรก และมันก็กลายเป็นถาวรค่ะ” เรย์กล่าว “พีทเป็นนักพากย์ยอดเยี่ยมที่เคยทำงานในหนังหลายเรื่องของเรามแล้ว เขาเป็นสควิชชี่ที่เพอร์เฟ็กต์เลย สำหรับฉัน ตัวละครตัวนี้เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องค่ะ”
อาร์ท ผู้รักอิสระเสรี เป็นสัตว์ประหลาดลึกลับที่มีแบ็คกราวน์น่าฉงน “อาร์ทเป็นตัวคำถามครับ” สแกนลอนกล่าว “เราหาคำตอบไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร และการหาคำตอบไม่ได้นั้น ก็ทำให้เราได้พบเขา”
อาร์ท ผู้เป็นสมาชิกที่แปลกประหลาดที่สุดของบ้านอูซมา แคปปา ได้สร้างความประหลาดใจในการแข่งขัน ด้วยความคล่องแคล่วและวิธีที่พิลึกพิลั่นของเขา ไม่มีอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับตัวขนฟูที่แสนประหลาดผู้นี้
สแกนลอนกล่าวเสริมว่า “เขาเป็นตัวพิลึกที่คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย และก็มีคนจำพวกนี้ในมหาวิทยาลัยหลายคนเลยนะครับ ท้ายที่สุด เขากลับเป็นหนึ่งในตัวละครตัวโปรดของเราเพราะเขาพิลึกมากๆ แล้วดีไซน์ของเขาก็แปลกประหลาดไม่แพ้กันด้วยครับ”
ก็แปลกประหลาดจริงๆ นั่นแหละ อาร์ทมีรูปทรงโค้งราวสายรุ้ง เขามีแขนขายาวเฟื้อยจากที่ที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ “ผมคิดว่าทันทีที่เราได้แบบดีไซน์นั้นมา ทุกคนก็รู้ว่ามันจะต้องเยี่ยมแน่ๆ” เจสัน ดีมเมอร์ ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายตัวละครบอก “แล้วอนิเมชันก็เริ่มเข้ามามีส่วนและเริ่มดัดตัวเขาไปทุกทิศทาง เราหวังว่าเขาจะเป็นตัวละครที่โดดเด่นกว่าใครครับ”
ชาร์ลีย์ เดย์ ถูกเลือกมาเนรมิตชีวิตให้กับอาร์ท “เขาทำตามจังหวะชีวิตของตัวเองครับ” เดย์กล่าว “แต่อาร์ทมีหัวใจดวงโต และมันก็อยู่ที่ไหนซักแห่งระหว่างดวงตาและขาของเขาน่ะครับ”
สำหรับเทอร์ริและเทอร์รี่ เพอร์รี่ มันเป็นเรื่องยากที่จะไม่เอ่ยถามว่า “สองหัวดีกว่าหัวเดียวจริงหรือ?” สแกนลอนบอก
“เทอร์ริ และเทอร์รี่เป็นตัวละครคู่กัด ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของไมค์และซัลลี่ในตอนเริ่มแรก พวกเขาตัวติดกัน แต่กลับทำงานด้วยกันไม่ได้”
พวกเขามีอะไรเหมือนกันน้อยมาก เทอร์ริ ที่ชื่อมีสระอิ เป็นหนุ่มโรแมนติกที่มองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในทุกสถานการณ์ ในขณะที่ เทอร์รี่ พี่ชายของเขา ที่ชื่อมีสระอี จะมีมุมมองชีวิตที่หดหู่กว่า “พวกเขาจะต้องเรียนรู้ที่จะทำตัวเป็นหนึ่งเดียว แบบเดียวกับที่ไมค์และซัลลี่ทำน่ะครับ” สแกนลอนบอก
ถ้าพวกเขาหยุดทะเลาะกันได้นานพอที่จะร่วมมือกับพี่น้องในบ้านอูซมา แคปปาของพวกเขา บางที พวกเขาอาจจะรวมหัวกันได้สำเร็จ แบบจริงๆ เลยน่ะนะ และพบที่ทางของตัวเองในหลักสูตรหลอกคนของมหา’ลัยมอนสเตอร์อีกครั้งก็เป็นได้
ฌอน พี. เฮเยส ให้เสียงพากย์เทอร์ริ ในขณะที่เดฟ โฟลีย์พากย์เสียง เทอร์รี่ ทั้งคู่บันทึกเสียงด้วยกัน ซึ่งก็ทำให้เกิดการอิมโพรไวส์ยกใหญ่ทีเดียว เฮเยสกล่าวว่า “เราสนุกกับการอิมโพรไวส์และการคิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาได้เสมอ แต่มันก็จะอยู่ภายในขอบเขตของสิ่งที่เขียนขึ้นไว้แล้วครับ”
โฟลีย์กล่าวเสริมว่า “แดน สแกนลอนได้ขัดเกลาสิ่งที่เราอิมโพรไวส์ขึ้นมา และถ้าเราคิดสิ่งที่เขาชอบอยู่บ้างขึ้นมาล่ะก็ เขาก็จะนำทางมันไปสู่สิ่งที่เขาชอบแบบจริงๆ จังๆ น่ะครับ”
ผู้ดูแล
สำหรับคณะบดีฮาร์ดแสครบเบิ้ล มีทั้งสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว และก็มีสัตว์ประหลาดดาษๆ ทั่วไป ก็ไม่น่าแปลกใจที่เธอรู้สึกแบบนี้ เพราะเธอคือสัตว์ประหลาดจอมหลอนในตำนานและคณะบดีของคณะหลอกคนแห่งมหา’ลัยมอนสเตอร์น่ะสิ นักศึกษาคณะนี้จะต้องตอบรับความท้าทายในการทำให้เธอประทับใจ แม้ว่าเธอจะเชื่อว่าสายตาการประเมินสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวอย่างแท้จริงของเธอไม่เคยผิดพลาดเลยก็ตาม
“ฮาร์ดสแครบเบิ้ลอาจจะเป็นตัวละครที่ยากที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานมาตลอด 15 ปีที่ผมอยู่ที่นี่ก็ได้” เจสัน ดีมเมอร์ ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายตัวละครกล่าว “เราใช้คน 12 คนกับตัวละครตัวนี้ เธอจะต้องน่าสะพรึงกลัว น่าขนลุก แต่ในขณะเดียวกันก็งดงามและสง่างามด้วยครับ”
ทีมผู้สร้างเลือกตะขาบหายากเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งก็คือ Scolopendra Gigantea หรือที่เป็นที่รู้จักในชื่อตะขาบยักษ์อเมซอน “เราไม่อยากให้เธอเป็นตะขาบอย่างเดียวครับ” ผู้ออกแบบงานสร้าง ริคกี้ เนียร์วากล่าว “เราก็เลยนึกถึงว่าการมีลักษณะแบบมังกรหรือปีกค้างคาวน่าจะเท่ดี เธอสามารถเดินทางจากจุด A ไปจุด B ได้อย่างรวดเร็ว และปีกของเธอก็เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการแสดงอารมณ์ของเธอออกมา ตอนที่เธอโกรธ เธอก็จะกระพือปีกได้เร็วมากเลยล่ะครับ”
ด้วยขา 30 ข้าง ปีกที่ตระการตาและประสบการณ์ชั่วชีวิต คณะบดีฮาร์ดแสครบเบิ้ลรู้เรื่องการหลอกคนอย่างทะลุปรุ
โปร่ง เธอไม่แยแสกับพวกคุณภาพปานกลางและนักศึกษาของเธอก็รู้ดี ดังนั้น เมื่อเธอที่ไม่พอใจอะไรง่ายๆ ได้เห็นความเป็นปรปักษ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างไมค์และซัลลี่ เธอจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และทำลายความฝันของพวกเขาในชั่วพริบตา
ต่างกับฮาร์ดแสครบเบิ้ล เฮเลน เมอร์เรน ผู้พากย์เสียงตัวละครตัวนี้ ชื่นชมคติในการทำงานของวาซาวสกี้ “การทำตามความฝันของคุณเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ถ้าปราศจากความพยายาม มันก็ไร้ค่าค่ะ ฉันคิดว่าคนจำนวนมากคิดว่าสิ่งที่คุณต้องทำมีเพียงแค่ฝัน แล้วมันก็จะเกิดขึ้นเอง แต่หนังเรื่องนี้สอนบทเรียนให้กับคนหนุ่มสาวอย่างงดงามและเฉียบคมว่า ความสำเร็จ 10% เป็นเรื่องของแรงบันดาลใจ และอีก 90% เป็นเรื่องของหยาดเหงื่อและความพยายาม และถึงกระนั้น ก็ไม่มีอะไรรับประกันความสำเร็จให้คุณได้หรอกค่ะ”
ศาสตราจารย์ไนท์สอนวิชาหลอกคน 101 ซึ่งเป็นคอร์สเบื้องต้นสำหรับคณะหลอกคนที่มหา’ลัยมอนสเตอร์ ด้วยความที่มีนักศึกษาเข้าใหม่หลายร้อยคนในแต่ละปี เขาก็เลยต้องคัดพวกอ่อนด้อยออกจากพวกผู้มีพรสวรรค์และหาผู้ที่แสดงศักยภาพในการเป็นจอมหลอนตัวจริงมากที่สุด มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถผ่านการสอบไล่หฤโหดและได้ผ่านไปสู่หลักสูตรหลอกคนชั้นสูงได้
อัลเฟรด โมลินาได้รับการทาบทามให้เนรมิตชีวิตให้กับครูผู้เป็นที่นับหน้าถือตาผู้นี้ “ศาสตราจารย์ไนท์เป็นส่วนผสมระหว่างโค้ชฟุตบอลและครูฝึกทหารครับ” โมลินากล่าว “เขาคาดหวังกับนักศึกษาของเขาเอาไว้เยอะ และเขาก็จะทั้งผลักทั้งดันพวกเขา แต่ที่เขาเข้มงวดแบบนี้เพราะเขาอยากให้พวกเขาได้ดีจริงๆ ครับ”
มิสสควิบเบิ้ลส์ เป็นคุณแม่ผู้โอ๋ลูก ผู้คอยให้กำลังใจ ดูแล และทะนุถนอมสก็อตต์ “สควิชชี่” สควิบเบิ้ลส์ ลูกชายคนเดียวของเธอ สควิชชี่อายุ 19 ปีแล้ว แต่ก็ยังอาศัยอยู่ที่บ้าน แต่ใครจะโทษเขาได้ล่ะ? เพราะมิสสควิบเบิ้ลส์เป็นแม่คนดีที่หนึ่งของเมืองมอนสโทรโพลิสเลยทีเดียว เธอทำอาหารให้เขา ซักรีดผ้าให้เขา และเธอยังทำตัวเหมือนแม่บ้านในตอนที่เขาพา “เพื่อนตัวน้อยๆ” มาทำกิจกรรมของบ้านอีกด้วย
ทีมผู้สร้างได้เลือกจูเลีย สวีนนีย์มาพากย์เสียงคุณแม่ผู้น่ารักผู้นี้ “เชอร์รี่ สควิบเบิ้ลส์มีดวงตาห้าดวง คิ้วสามคิ้วและคอที่หนามากๆ” สวีนนีย์บอก “เธอเป็นหญิงร่างกลม ที่มักจะสวมโรลม้วนผมอยู่เสมอ เธอไม่รู้เลยว่าบางทีเธออาจทำให้ลูกชายเธอขายหน้าต่อหน้าเพื่อนๆ เขาก็ได้ แต่พวกเขาพูดอะไรไม่ได้เพราะพวกเขาอยู่ในบ้านของเธอ ฉันชอบที่มันเป็นเรื่องของแม่ที่ดีทั้งนั้นเลยค่ะ”
สภานักเรียน
จอห์นนี่ เวิร์ธธิงตัน มีเหตุผลที่ทำให้เขามั่นใจสุดๆ เพราะเขาเป็นนักศึกษาการหลอกคนระดับหัวกะทิแห่งมหา’ลัยมอนสเตอร์ และเป็นประธานของบ้านรอร์ โอเมก้า รอร์ (RΩR) ซึ่งเป็นบ้านที่ดีที่สุดในรั้วมหาวิทยาลัย จอห์นนี่ ที่พากย์เสียงโดยนาธาน ฟิลเลียน มาจากตระกูลจอมหลอนที่มีประวัติยาวนาน และเขาก็เคารพในประวัติศาสตร์ ธรรมเนียมและที่สำคัญที่สุด ระบบการตัดสินความยอดเยี่ยมในการหลอกคนของมหาวิทยาลัย เขาอาจจะคาบช้อนเงินมาเกิดก็จริง แต่สัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ได้อ่อนปวกเปียกเลยแม้แต่น้อย
ฟิลเลียนกล่าว่า “ธีมหนึ่งในหนังเรื่องนี้คือการมองเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ของคนเรา มันเป็นทักษะที่จอห์นนี่ขาดแคลนครับ เขามองดูคนแค่ภายนอก และเขาก็ไม่มีทางได้รู้จักคนเหล่านั้นเลย มันเป็นอุปสรรคที่ไมค์และซัลลี่ต้องฝ่าฟันไปให้ได้กับกันและกันครับ”
ออเบรย์ พลาซ่า พากย์เสียง แคลร์ วีลเลอร์ ผู้เป็นประธานสภากรีกของมหา’ลัยมอนสเตอร์ และในปีนี้ เธอก็เป็นหนึ่งในพิธีกรผู้ได้รับเลือกสำหรับการแข่งขันหลอกคนประจำปีของมหาวิทยาลัย อย่าโดนภายนอกที่ดูเคร่งขรึมและเสียงพูดโมโนโทนของแคลร์หลอกเชียวล่ะ แม้ว่าภายนอกเธอจะดูไร้ชีวิตชีวา แต่ภายใน เธอเต็มไปด้วยพลังงานพลุ่งพล่าน ผู้คอยเตือนผู้เข้าแข่งขันการหลอกคนถึงอันตรายที่พวกเขาอาจต้องเผชิญอย่างขยันขันแข็ง
บรอค แพร์สัน พากย์เสียงโดย ไทเลอร์ ลาไบน์ เป็นสัตว์ประหลาดที่ดูดีมีสกุล ผู้เลือกที่จะช่วยเหลือประธานสภากรีก ในการเป็นพิธีกรการแข่งขันหลอกคนประจำปีของมหาวิทยาลัย บรอค ที่เหมือนนักกีฬาและบางคนอาจเรียกเขาว่า “คนทึ่มทื่อ” เป็นพิธีกรเสียงดัง ผู้กระตือรือร้นกับงานและชื่นชมอันตรายจากความท้าทายในการแข่งขันครั้งนี้
บ็อบบี้ มอยนิฮัน พากย์เสียง เช็ท อเล็กซานเดอร์ ไซด์คิกผู้กระตือรือร้นของจอห์นนี่ เวิร์ธธิงตัน ประธานบ้านรอร์ เขาเป็นคนคึกคัก ตื่นเต้นง่ายและเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่จอห์นนี่พูดแบบ 100% ถ้าจอห์นนี่อยากให้ใครโดนล้อเลียน เชทจะเป็นคนแรกที่ล้อพวกเขา ถ้าจอห์นนี่อยากได้เสียงหัวเราะ เชทก็จะหัวเราะท้องคัดท้องแข็งก่อนที่เขาจะเล่ามุขนั้นจบเสียอีก และถ้าจอห์นนี่อยากให้เชทเลิกเกาะติดเขาเสียที เชทก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเหมือนกัน
แคร์รีย์ วิลเลียมส์ ผู้นำผู้ไม่กลัวเกรงสิ่งใดของบ้านไพธอน นู แคปปา (พีเอ็นเค) สามารถเรียกความสนใจและความนับถือจากคนทั้งบ้านได้ด้วยการใช้ดวงตาแดงฉานที่เจิดจ้าของเธอ แคร์รีย์ ผู้เป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องแปดคนและเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ชื่นชอบการได้อยู่ในบ้านสาวๆ และความสัมพันธ์กับพี่น้องในบ้านพีเอ็นเคของเธอ เบธ เบห์ถูกเรียกตัวมาพากย์เสียงแคร์รีย์
บ้านนักศึกษาหนุ่ม บ้านนักศึกษาสาวและมาสคอท
อูซมา แคปปา (โอเค) ศูนย์รวมบรรดาตัวป่วนนิสัยดีแถมน่ารัก ได้สร้างความผูกพันกันจากการที่พวกเขาไม่สามารถผ่านหลักสูตรหลอกคนได้ ด้วยความที่มีสมาชิกในบ้านเพียงแค่สี่คน พวกเขาไม่มีสมาชิกมากพอที่จะลงชิงชัยในการแข่งขันหลอกคนด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะขาดความน่ากลัวและความมั่นใจ แต่พวกเขาก็มีหัวใจอบอุ่นมาทดแทน
บ้านรอร์ โอเมก้า รอร์ (รอร์) ประกอบไปด้วยสมาชิกระดับหัวกะทิ พวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดที่ฉลาดที่สุด มีความสามารถมากที่สุดและน่ากลัวที่สุดของมหา’ลัยมอนสเตอร์ และมาจากตระกูลที่มีประวัติการหลอกคนมายาวนาน แม้ว่าชาวรอร์อาจจะแต่งตัวเลิศหรู แต่พวกเขาก็เคลื่อนไหวอย่างดุดันและลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมถ้าจำเป็น บ้านรอร์ ที่ประกาศตัวเองว่าเป็นบ้านที่ดีเลิศที่สุดในรั้วมหาวิทยาลัย มีประธานคือจอห์นนี่ เวิร์ธธิงตัน ผู้ปกครองคนทั้งบ้านราวกับพระราชาผู้เรืองอำนาจ ด้วยความกระตือรือร้นที่จะสานต่อสถิติการชนะการแข่งขันหลอกคนของพวกเขา บ้านรอร์จะทำทุกอย่างเพื่อครองตำแหน่งแชมป์
ห้ามมองข้ามสาวๆ ไพธอน นู แคปปา (พีเอ็นเค) ในชุดสีชมพูเด็ดขาด สาวๆ พวกนี้ ภายใต้การนำของแคร์รีย์ ผู้นำผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ทั้งฉลาด เลือดเย็นและไร้ปรานี เปลือกนอกที่อ่อนหวานของสาวๆ พีเอ็นเคที่ถูกปกคลุมด้วยสีชมพูตั้งแต่หัวจรดเท้า จะเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวเมื่อการแข่งขันหลอกคนเริ่มต้นขึ้น
พี่น้องบ้านจอว์ส เตตต้า ชิ (จ็อกซ์) ที่ตัวใหญ่แต่สมองเล็ก มักจะสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีสันสดใสของพวกเขาชนิดไม่ให้ห่างตัว พวกจ็อกซ์เป็นผู้เข้าแข่งขันขาโหดที่ไม่เคยลังเลในการทำทุกอย่างเพื่อล้มคู่ต่อสู้ แม้ว่านั่นจะเป็นการแหกกฎก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาอยู่ในโรงยิมหรือในสนามจนเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง แต่สัตว์ประหลาดผู้รักกีฬาเหล่านี้ก็มักจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ร่างกายใหญ่โตไม่ได้หมายถึงความได้เปรียบในเรื่องของการหลอกคนหรอก
สาวๆ นักกีฬาจากบ้านสลักม่า สลักม่า แคปปา (อีอีเค) ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการออกกำลังกายและฝึกฝนเทคนิคการหลอกคนของพวกเธอ พิธีปฐมเทศของพวกเธอคือการแข่งไตรกีฬา และการฝึกฝนด้วยกันทุกวันทุกเวลาก็ช่วยทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเธอแน่นแฟ้นถึงขนาดที่สาวๆ ผู้เข้มแข็งและมั่นใจในตัวเองพวกนี้พร้อมที่จะทำงานหนักกว่าและหลอกคนได้มากกว่าสัตว์ประหลาดทุกตัวที่พวกเธอร่วมเผชิญด้วยกัน
บ้านเอต้า ฮิส ฮิส (เอชเอสเอส) อยู่มาตั้งแต่ก่อตั้งมหา’ลัยมอนสเตอร์ และสมาชิกของบ้านก็ทั้งลึกลับและน่าสะพรึงกลัว สาวๆ เอชเอสเอสอาจจะตัวซีด ลึกลับและเงียบขรึมก็จริง แต่สาวก็อธที่น่าหวั่นสะพรึงพวกนี้ก็จริงจังกับการแข่งขันและแข็งแกร่งสุดๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่รุ่นพี่ที่โด่งดังที่สุดของบ้านนี้คือหนึ่งในสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังและน่ากลัวที่สุดในรั้วมหาวิทยาลัย ผู้ซึ่งนักศึกษาคณะหลอกคนต้องการจะทำให้เธอประทับใจ เธอคนนั้นก็คือคณะบดีฮาร์ดแสครบเบิ้ลนั่นเอง
อาร์ชี เดอะ สแคร์ พิก มาสคอทอี๊ดอ๊าดประจำเฟียร์ เทค คู่แข่งของมหา’ลัยมอนสเตอร์ กลายเป็นเป้าหมายการกลั่นแกล้งจากเหล่านักศึกษาเอ็มยู เมื่อเขาโดนฉกตัวไปอย่างลับๆ แต่อาร์ชี่ไม่ได้เป็นหมูแฮมไร้กระดูกกระเดี้ยว เพราะเขาสามารถดูแลตัวเองได้และเท้าที่ว่องไวและนิสัยแสบสันต์ของเขาก็ทำให้คนที่ลักพาตัวเขาไปอยู่ไม่สุขเลย
ทำการบ้าน
ทีมผู้สร้างเดินทางไปทั่ว เพื่อหาพลพรรคเจ๋งๆ
มาทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้คำรามลั่น
การค้นคว้าเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญสำหรับความสำเร็จของพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ “สำหรับหนังทุกเรื่องที่เราสร้าง ความสมจริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดครับ” ผู้ควบคุมงานสร้างจอห์น แลสซีเตอร์กล่าว “ทีมงานของเราได้เดินทางไปสก็อตแลนด์สำหรับ ‘Brave’ และสำหรับ ‘Finding Nemo’ ทุกคนก็กลายเป็นนักดำน้ำสคูบา ที่มีประกาศนียบัตร การทำการค้นคว้าเรื่อง ‘Monsters University’ สนุกตรงที่เรื่องมันเกิดภายในรั้วมหาวิทยาลัย ผมมีลูกชายห้าคนและตอนนี้สามคนก็กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ผมสามารถถามรายละเอียดพวกเขาได้ ผมลองนึกถึงลูกชายผมในมหาวิทยาลัย แล้วก็นำเอาไอเดียและข้อสังเกตที่ได้กลับมาคุยในการประชุมเรื่องราวครั้งถัดไปครับ”
เปิดเทอมใหม่
เช่นเดียวกับสมาชิกหลายคนในทีมงานสร้าง ตัวสแกนลอนเองก็สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนศิลปะเช่นกัน “เราไม่ได้มีประสบการณ์เหมือนมหาวิทยาลัยทั่วๆ ไป เราก็เลยต้องไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศพวกนั้น แค่ได้เห็นนักศึกษา ที่อายุน้อยและเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด พวกเราส่วนใหญ่ก็ดีใจที่เราผ่านช่วงเวลานั้นในชีวิตมาแล้ว แต่เรายังรู้สึกด้วยว่า ทุกอย่างเป็นไปได้ มันมีโอกาสมากมายและมีสาขาให้เลือกเรียนเยอะแยะ เราได้เห็นคณะต่างๆ มากมายในมหาวิทยาลัย ที่ทำให้พวกเราทุกคนตื่นเต้นกับการจินตนาการว่ามหา’ลัยมอนสเตอร์น่าจะเป็นยังไงน่ะครับ”
ผู้อำนวยการสร้างโครี่ เรย์มีส่วนร่วมในการออกเดินทางเพื่อเก็บข้อมูลและหาแรงบันดาลใจของทีมงานในตอนที่พวกเขาเริ่มต้นคิดเรื่องราวกันด้วยเช่นกัน “การเดินทางค้นคว้าข้อมูลครั้งแรกของเราคือไปอีสต์โคสต์เพื่อเยี่ยมมหาวิทยาลัยหลายแห่ง รวมถึงฮาร์วาร์ดและมิทด้วย” เรย์บอก “มันยอดเยี่ยมมาก ในวันแรกของการเดินทาง เราทึ่งมาก เราอึ้งกับสเกลของมหาวิทยาลัยและกิจกรรมทั้งหลาย ทำนองว่า ‘เนี่ยล้อเล่นรึเปล่า’ เราได้ไปเยี่ยมชมห้องเรียน ได้ฟังเล็คเชอร์ ทุกคนอินกับมันจริงๆ ค่ะ”
นักวาดภาพเองก็ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาบันการศึกษาที่พวกเขาไปเยี่ยมชมเช่นกัน “ใน ‘Monsters, Inc.’” ผู้ออกแบบงานสร้างริคกี้ เนียร์วากล่าว “พวกเขานำเอาส่วนที่ดีที่สุดของบริษัทอเมริกันมาแปลงให้เป็นโลกสัตว์ประหลาด แล้วพอเราไปดูมหาวิทยาลัยพวกนี้ เราก็อยากจะสัมผัสถึงจิตวิญญาณของมหาวิทยาลัย เพื่อที่เราจะสามารถแปลงสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็นโลกสัตว์ประหลาดได้น่ะครับ”
“เราตระหนักได้ว่ามีประวัติศาสตร์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยที่ยังคงมีตึกจากสมัยที่มันก่อตั้งอยู่” เนียร์วากล่าวต่อ “มันมีประวัติศาสตร์ในลักษณะที่ตึกต่างๆ ถูกออกแบบและสร้างขึ้นมา เราได้เห็นว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งพัฒนาขึ้นพร้อมกับกาลเวลาอย่างไร มันมีตึกเก่าจริงๆ อยู่เคียงข้างตึกใหม่จริงๆ เราได้เรียนรู้ว่าตึกเก่าที่สุด ซึ่งมักจะเป็นตึกที่มีการประดับประดามากที่สุด ในมหาวิทยาลัยคือที่ที่มหาวิทยาลัยเริ่มต้นขึ้น ปกติแล้ว มันมักจะถูกห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ต้นใหญ่ที่เก่าแก่จริงๆ และส่วนที่เหลือของมหาวิทยาลัยก็จะขยายจากตรงนั้นครับ”
เนียร์วากล่าวว่า ทีมงานได้ให้ความสนใจกับรายละเอียดอย่างมาก และท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ได้รวมเอาสิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเขาได้สังเกตเห็นเข้าไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ “เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับแบบแผนการเดินของนักศึกษา ที่เราพบว่าน่าทึ่งมาก มันมีทางเดินที่ลัดเลี้ยวผ่านสนามในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเอง เราตระหนักได้ว่าเส้นทางมากมายพวกนี้เกิดขึ้นจากนักศึกษาที่จะต้องเดินทางจากจุด A ไปจุด B ระหว่างคลาสให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเขาก็เลยต้องเดินตัดสนามหญ้าแทนที่จะเดินตามเส้นทางที่มีไว้แต่เดิม ส่งผลให้หญ้าตาย ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ดูแลก็เลยต้องถางหญ้าตรงทางลัดนั้นซะเพราะพวกเขาไม่อยากจะปลูกหญ้าใหม่อยู่เรื่อยๆ น่ะครับ”
ผลของการสังเกตการณ์ทำให้นักวาดภาพสร้างคณะหลอกคนให้เป็นตึกที่เก่าแก่ที่สุดในมหา’ลัยมอนสเตอร์ ที่มาพร้อมกับต้นไม้สูงใหญ่ ทางเดินเก่าทรุดโทรม ที่เชื่อมต่อกับทางเดินที่มีการแผ้วถางทางเรียบร้อยแล้ว และเหล่าสัตว์ประหลาดที่ใช้ประโยชน์จากทางเดินพวกนั้นอย่างเต็มที่ ทีมผู้สร้างได้หยิบยืมธรรมเนียมอย่างหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่พวกเขาไปเยี่ยมชมมาด้วย นั่นคือนักศึกษาที่เรียนคณะหลอกคน ในวันแรกที่เปิดเทอม พวกเขาจะต้องสัมผัสนิ้วหัวแม่เท้าของรูปปั้นเพื่อความโชคดีเสียก่อน
แต่ชีวิตมหาวิทยาลัยมีอะไรมากกว่าตึก ทางเดินและรูปปั้น ทีมงานได้ไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก ซึ่งรวมถึงสแตนฟอร์ดและยูซี เบิร์คลีย์ เพื่อสังเกตแง่มุมที่สนุกสนานกว่านั้นของชีวิตนักศึกษา เนียร์วากล่าว “มหาวิทยาลัยบางแห่งจะเปิดกว้างกว่า เช่นมีคนโยนฟริสบี้บนสนามหญ้า เราชอบการเข้าไปตามบ้านนักศึกษาต่างๆ พวกเขายินดีต้อนรับพวกเราเข้าสู่บ้านของพวกเขาครับ และเราก็ถ่ายรูปไว้เยอะเลย”
ทีมงานบางคนได้เข้าร่วมงานก่อกองไฟที่ยูซี เบิร์คลีย์ ก่อนหน้าการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญกับสแตนฟอร์ดด้วย ประสบการณ์นั้นเป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับความเป็นปรปักษ์ระหว่างเอ็มยูและเฟียร์ เทคได้เป็นอย่างดี
แมลงร้าย
การค้นคว้าข้อมูลของทีมงานยังครอบคลุมนอกเหนือจากรั้วมหาวิทยาลัยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการออกแบบคณะบดีฮาร์ดแสครบเบิ้ล นักวาดภาพได้ศึกษานกฮูก ผีเสื้อกลางคืน และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย แต่การได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขนลุกขนพองตัวหนึ่งได้กระตุ้นให้เกิดแบบดีไซน์ที่สมบูรณ์ของเธอขึ้นมา
โอเวน เมิร์คส์แห่งอีสต์ เบย์ วิแวเรียม ได้รับเชิญจากพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ให้มาแนะนำให้ทีมงานได้รู้จักกับตะขาบยักษ์อเมซอน หรือ Scolopendra Gigantae ที่อาจมีความยาวลำตัวมากถึง 12 นิ้ว “แมลงตัวนี้น่าขนลุกมากครับ” เนียร์วาบอก “เมิร์คส์บอกเราว่าเขารับมือกับทั้งงูมีพิษ กิ้งก่าและแมงมุมมาแล้ว แต่เขากลับบอกว่าเขาจะไม่ไปยุ่มย่ามกับตะขาบ เขาใส่ถุงมือหนังและคีมเหล็กขนาดยาวเป็นเครื่องมือและเขาก็พร่ำบอกเราว่า ตะขาบตัวนี้อันตรายแค่ไหน ยิ่งเขาพูดถึงมัน เราก็ยิ่งคิดว่า ‘แล้วเรากำลังทำอะไรกับเจ้าตัวนี้ในออฟฟิศเราล่ะเนี่ย’ มันน่ากลัวเพราะมันไม่รู้จักอิ่ม เขาบอกว่า ‘ถ้ามันกัดคุณ คุณจะไม่ตายหรอก แต่คุณจะหวังว่าคุณน่าจะตายๆ ไปซะ’”
“แต่มันมีการเคลื่อนไหวที่งดงามและสร้างแรงบันดาลใจได้จริงๆ” เนียร์วายอมรับ “พวกอนิเมเตอร์ตื่นเต้นและได้แรงบันดาลใจจากมันจริงๆ เราได้ฟุตเตจมากมายจากวันนั้น ซึ่งแน่นอนว่าเราเก็บภาพจากระยะปลอดภัยครับ”
สวมวิก
เช่นเดียวกับภาพยนตร์พิกซาร์ทุกเรื่อง การค้นคว้าข้อมูลสำหรับ “Monsters University” มักจะเกี่ยวกับการทดลองที่ไม่ธรรมดาภายในออฟฟิศที่เอเมอรีวิลล์ ในการที่ทีมผู้สร้างจะสร้างแอ็กชันหรือเอฟเฟ็กต์บางอย่างด้วยอนิเมชัน CG พวกเขาจะต้องหาตัวอย่างในชีวิตจริงให้ได้เพื่อกระตุ้นจินตนาการของตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น ทีมงานต้องการจะใส่องค์ประกอบวิชวลขำขันเข้าไปในฉากที่ชมรมในเอ็มยูโฆษณาข้อดีของชมรมให้ไมค์ฟังตอนที่เขาเดินอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย “สำหรับชมรมศิลปะ” เนียร์วากล่าว “มีตัวละครขนฟูตัวหนึ่งที่เทสีรดหัวตัวเองแล้วก็เอาหัวพุ่งชนผืนผ้าใบ ทีมเอฟเฟ็กต์สนุกมากกับการถ่ายทำฟุตเตจอ้างอิงสำหรับฉากนั้น พวกเขาได้เทสีรดลงไปบนวิกผมแล้วกระแทกมันเข้ากับผ้าใบสีขาว ครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพวิดีโอที่ได้ออกมาฮามากครับ”
และช็อตที่ออกมา ซึ่งยาวประมาณสามวินาที ก็สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียดเบื้องหลังการสร้างช็อตนี้ขึ้นมา
การสร้างมหาวิทยาลัยเก่าแก่ 700 ปี
ทีมงานสร้างผสมผสานการค้นคว้าและจินตนาการ
เพื่อสร้างโลกสัตว์ประหลาดใหม่เอี่ยม
สำหรับโลกใน “Monsters University” นักวาดภาพจะต้องสำรวจยุคต่างๆ เพื่อออกแบบทั้งภายนอกและภายในของตึกต่างๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย และลิสต์สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็ยืดยาว ตั้งแต่ห้องโถงเล็คเชอร์ใหญ่ ทั้งด้านในและด้านนอก ไปจนถึงหอพักและบ้านต่างๆ และพวกเขาก็ต้องสร้างบริษัทมอนสเตอร์ส, อิงค์. ขึ้นใหม่ ในสองยุคสมัยที่แตกต่างกันอีกด้วย
ภาคแรกเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับทีมผู้สร้าง ผู้กำกับพีท ด็อคเตอร์จาก “Monsters, Inc.” กล่าวว่า “ทีมงานค้นคว้าข้อมูลมากมายสำหรับภาคแรก เราตระหนักว่ารายละเอียดทางสถาปัตยกรรมอย่างดอกไม้หรือใบไม้คงจะไม่มีความหมายอะไรกับพวกสัตว์ประหลาด ที่ชื่นชอบของอย่างเขี้ยว กรงเล็บและฟันมากกว่า ทีมงาน ‘Monsters University’ ได้ต่อยอดจากแนวคิดนั้นออกไปอีกครับ”
การสร้างฉากมหาวิทยาลัยเป็นงานขนาดมหึมา “ผมคิดว่าตอนที่เราเริ่มต้น ผมไม่ได้มีลุคมหาวิทยาลัยที่เฉพาะเจาะจง” ผู้กำกับแดน สแกนลอนบอก “แต่พอเราค้นคว้าข้อมูล และได้เห็นมหาวิทยาลัยต่างๆ มากมาย เราก็พบว่าภาพที่เราสนใจที่สุดจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เราอยากให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนมันมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ก็ไม่น่าอึดอัดเกินไป เราอยากให้มันเป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงก็จริง แต่เราก็ยังอยากให้มันรู้สึกสนุกสนานด้วย เราคุยกันถึงไอเดียของการใส่เนินเขาเข้าไปภายในเขตมหาวิทยาลัยและและใส่ทางเดินคดเคี้ยวและตึกเข้าไปหลังตึก เพื่อที่มันจะให้ความรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ตรงหัวมุมตลอด เพราะนั่นก็คือชีวิตมหาวิทยาลัยครับ และมันก็กลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของมหาวิทยาลัยไปแล้ว”
ศูนย์กลาง
โรเบิร์ต คอนโด ผู้รับหน้าที่ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายฉากของเรื่อง กล่าวว่าทีมงานได้เริ่มต้นจากที่ที่มหา’ลัยมอนสเตอร์เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 700 ปีก่อน นั่นคือคณะหลอกคน “มันเป็นหนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่เราได้ออกแบบเพราะมันเป็นจุดศูนย์กลางของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ครับ”
นักวาดภาพได้ดึงเอาภาพอ้างอิงมาจากกลุ่มมหาวิทยาลัยไอวี ลีก ด้วยการบันทึกกลิ่นไอยุโรปที่พวกเขาพบที่นั่น รวมถึงงานประติมากรรมหิน ซึ่งคอนโดบอกว่าเหมาะกับโลกสัตว์ประหลาดอย่างดีเยี่ยม “มันงดงามจริงๆ ครับ ประติมากรรมเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับโลกสัตว์ประหลาด เราสามารถใส่ใบหน้าต่างๆ เข้าไปในนั้นได้”
คอนโดประทับใจเป็นพิเศษกับตึกที่ฮาร์เวิร์ด ที่สร้างด้วยอิฐขนาดใหญ่และมีเท็กซ์เจอร์มากมาย “สเกลโดยรวมของตึกหลังนี้ยังให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ สำหรับเรา มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นจุดศูนย์กลางที่ยอดเยี่ยม รวมถึงเป็นสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียด้วย เพราะความชื่นชอบในความใหญ่โต และความใหญ่โตนั้นเองที่ให้ความรู้สึกแบบโลกสัตว์ประหลาดกับเรา”
ในฐานะจุดศูนย์กลางของทั้งมหาวิทยาลัย และตามทฤษฎีแล้ว เป็นตึกที่เก่าแก่ที่สุดในมหาวิทยาลัย คณะหลอกคนก็เลยต้องโดดเด่นกว่าที่อื่นๆ “เราต้องการลักษณะที่โดดเด่นบางอย่างเพื่อเน้นถึงความสำคัญด้านวิชวลของตึกหลังนั้น” คอนโดกล่าว “เราก็เลยใช้โดมและประตูโค้ง และหนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับคณะนี้คือประตูหน้า ที่เป็นประตูเหล็กขนาดใหญ่ หนักอึ้ง สีเข้ม และก็มีประตูเล็กๆ ภายในประตูใหญ่อีก เพื่ออ้างถึงความจริงที่ว่าที่นี่มีทั้งสัตว์ประหลาดตัวเล็กตัวใหญ่ และบางที เมื่อนานมาแล้วในตอนที่ตึกหลังนี้ถูกสร้างขึ้น เคยมีสัตว์ประหลาดร่างมหึมา แล้วจู่ๆ โลกของเราก็ใหญ่ขึ้นมาครับ”
นักวาดภาพสามารถใส่เอาใบหน้าของสัตว์ประหลาดเข้าไปในตึกหลายแห่งได้ ซึ่งรวมถึงคณะหลอกคน ด้วยการสร้างดวงตาจากหน้าต่างสองบานหญ่และปากจากประตูหน้า
ก้าวเข้าสู่ด้านใน
เมื่อถึงเวลาออกแบบภายในของคณะหลอกคน นักวาดภาพรู้ว่าพวกเขาต้องสร้างด้านในให้มีความว้าวไม่แพ้ด้านนอก ทีมงานได้ใช้ข้อมูลจากหลายแหล่ง แต่สิ่งหนึ่งที่กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับการออกแบบภายในก็คือคณะบดีฮาร์ดแสครบเบิ้ลนั่นเอง
“ผมคิดว่ามันเป็นเหมือนส่วนต่อขยายของฮาร์ดแสครบเบิ้ล” คอนโดกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นตัวแทนของสิ่งที่เธอทำงานเพื่อมัน มันเป็นเหมือนตัวแทนของธรรมเนียมและประวัติศาสตร์ของคณะนี้ มันเป็นสิ่งที่ไมค์รัก เป็นสิ่งที่ซัลลี่รัก มันเป็นจุดศูนย์กลางของมหาวิทยาลัย ที่ซึ่งไอเดียต่างๆ ได้มาเจอกันและเราก็อยากให้ระดับความสำคัญของมันปรากฏเด่นชัดครับ”
คอนโดกล่าวว่า ภาพคอนเซ็ปต์เริ่มแรกมีโทนที่มืดหม่นมากๆ และทีมงานก็โน้มเอียงไปทางแบบดีไซน์ที่ตระการตามากกว่า เพื่อให้เหมาะกับคณะบดีระหว่างฉากแบ็คลิทที่อลังการของเธอ ทีมงานได้ใช้เสาฮาร์ดวู้ดที่แข็งกระด้าง เพื่อให้โชว์ถึงลุคแบบอลังการ แต่ก็น่ายำเกรงเหมือนนกับมหาวิหาร พวกเขามีภาพอ้างอิงนับไม่ถ้วนจากมหาวิทยาลัยไอวี ลีก ที่จะช่วยสร้างความรู้สึกแบบสถาบันการศึกษาเข้าไปในแบบดีไซน์โดยรวม
ผู้ออกแบบงานสร้างริคกี้ เนียร์วากล่าวว่า ความรู้สึกแบบสถานศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการออกแบบตึกทั้งหมดในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ทีมงานก็ได้รับการสนับสนุนให้สนุกกับมันด้วย “เราทำให้ตึกของเราสร้างความรู้สึกแบบสัตว์ประหลาดด้วยการเสริมพวกกรงเล็บ เขา ฟัน หนาม หนวดและใบหน้าเข้าไป เราได้ใส่ท่อเข้าไปในฉากภายในด้วยเพราะทุกอย่างจะต้องใช้พลังจากเสียงกรี๊ดครับ”
“มันสนุกจริงๆ ครับ” เนียร์วากล่าวต่อ “ไอเดียของเราคือการทำให้มันสนุกที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะการเรียนมหาวิทยาลัยก็สนุกได้เหมือนกัน โลกสัตว์ประหลาดเป็นโอกาสพิเศษสุดจริงๆ ในการเล่นกับแบบดีไซน์ครับ”
ได้เวลาเข้าหอพัก
ไอเดียชีวิตในหอพักนักศึกษาทำให้เกือบทุกคนคิดถึงภาพอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทีมผู้สร้างต้องการจะถ่ายทอด คอนโดกล่าวว่า “สำหรับคนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัย เราอยากให้มันโดนจริงๆ ‘พระเจ้า มันเหมือนหอที่ฉันเคยพักเลย’ คุณจะเจอกับเตียง โต๊ะ ตู้หนังสือและตู้เสื้อผ้าแบบมาตรฐาน ความสนุกคือสิ่งที่นักศึกษาเอาเข้ามาในพื้นที่นั้นครับ”
ผู้ชมจะได้เห็นห้องในหอพักของไมค์ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่อง ดังนั้น ทีมงานก็จะต้องหารสนิยมตอนเขาอายุ 17 ให้ได้ “ไมค์สนใจแต่เรื่องการหลอกคน” คอนโดกล่าว “เขาไปอยู่ตรงนั้นเพื่อเป็นนักศึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อศึกษา และพยายามอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมาย แต่เราก็จะต้องมีลิตเติล ไมกี้ ตุ๊กตาที่เขามีใน ‘Monsters, Inc.’ ด้วย แล้วเขาก็มีผ้าปูเตียง ‘Full Scream Ahead’ ของจอมหลอน ที่เขาน่าจะใช้งานมานานนมแล้วด้วย มันเป็นเรื่องของการเพิ่มเติมแง่มุมต่างๆ ให้กับไมค์ เราแสดงให้เห็นว่าเขาเคยอยู่ที่ไหน ด้วยข้าวของต่างๆ จากบ้านของเขา และเขากำลังจะมุ่งหน้าไปไหน ด้วยปฏิทินที่บอกกำหนดการต่างๆ ในเทอมนี้ของเขา และแน่นอนว่าเขามองเห็นวิวสวยๆ ของคณะหลอกคนด้วย เป้าหมายของเขาอยู่ตรงหน้าเขาพอดี”
แนวบ้านพักนักศึกษา
หนึ่งในบริเวณสำคัญในรั้วมหา’ลัยมอนสเตอร์คือแนวบ้านพักนักศึกษา ที่ซึ่งไมค์ และท้ายที่สุดก็ซัลลี่ ได้ยินเสียงของความเคลือบแคลงใจ เมื่อการแข่งขันกันของทั้งคู่ทำให้พวกเขาโดนไล่ออกจากคณะหลอกคน พวกเขาก็เลยหันไปสู่ระบบกรีกและการแข่งขันหลอกคนประจำปี เพื่อให้ได้กลับสู่หลักสูตรหลอกคนของคณะบดีฮาร์ดแสครบเบิ้ลอีกครั้ง แต่การเดินทางของพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย และการออกแบบฉากที่เป็นพื้นหลังสำหรับเรื่องราวส่วนนี้ของ “Monsters University” ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเหมือนกัน
ทีมงานได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อหาข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับบ้านนักศึกษาหนุ่มและสาว และลักษณะการรวมตัวกันของพวกเขาในแต่ละมหาวิทยาลัย “เราพยายามจะสร้างตึกที่สะท้อนถึงประเภทของคนที่อาศัยอยู่ในนั้นครับ” เนียร์วากล่าว
“ยกตัวอย่างเช่น บ้านรอร์ ซึ่งเป็นบ้านของพวกหัวกะทิ และมีแต่สัตว์ประหลาดที่ร่ำรวย มีอภิสิทธิ์และมีความสามารถ เป็นหนึ่งในบ้านหลังใหญ่ในละแวกนั้น มันเป็นบ้านที่แลดูสง่างาม และเราก็เติมองค์ประกอบสัตว์ประหลาดเข้าไปด้วยหนวดและหนามน่ะครับ”
ในทางกลับกัน บ้านจ็อกซ์กลับไม่มีลักษณะที่เลิศหรูแบบนั้น การปาร์ตี้สุดเหวี่ยงมาหลายปีดีดักส่งผลเสียต่อบ้าน แม้ว่าสมาชิกบ้านจ็อกซ์จะไม่แคร์เลยก็ตาม “บ้านหลังนั้นเป็นศูนย์กลางปาร์ตี้ครับ” คอนโดกล่าว “มันจะต้องเป็นบ้านที่เอียงกะเท่เร่ มีโซฟาตั้งอยู่ด้านหน้า พร้อมกับป้ายบอกทางที่ถูกขโมยมาและไฟคริสต์มาสครับ”
และบ้านที่สุดโต่งอีกหลังหนึ่งก็คือบ้านเอชเอสเอส ที่เหมือนกับปราสาท ซึ่งเป็นบ้านของกลุ่มสาวๆ ก็อธตัวซีดเผือด และมันก็แตกต่างอย่างสุดขั้วกลับบ้านที่ไมค์ และซัลลี่ สมาชิกใหม่ผู้สาบานตนเข้าบ้านอูซมา แคปปาเรียกว่าบ้านในท้ายที่สุดด้วย
โอเคใช่เลย
บ้านอูซมา แคปปาถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อหยิบยื่นความเป็นพี่น้องให้กับสัตว์ประหลาดที่เข้ากับที่ไหนไม่ได้ ดังนั้น เมื่อทีมผู้สร้างตัดสินใจไม่สร้างบ้านสำหรับตัวป่วนเหล่านี้ในที่ตั้งของบ้านนักศึกษาทั่วไป แต่ใช้บ้านของมิสสควิบเบิ้ลส์ คุณแม่ผู้โอ๋ลูก แทน นักวาดภาพก็สนุกสนานกับการออกแบบ และเติมเต็มบ้านหลังนั้นด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่และภาพถ่ายครอบครัวตามฝาผนัง
“เราจินตนาการถึงบ้านของคุณยายครับ” คอนโดกล่าว “เราได้ใส่เอาลวดลายอ่อนช้อยแบบคุณยายเข้าไปรอบบ้าน แต่ถ้าคุณมองใกล้ๆ มันจะมีรายละเอียดแบบสัตว์ประหลาดอยู่เต็มไปหมด เช่นกุหลาบที่ดูบอบบางก็จะมีหนามและลูกตาอยู่ในนั้นด้วยครับ”
มอนสเตอร์ส อิงค์. โฉมใหม่
ผู้ออกแบบงานสร้าง ริคกี้ เนียร์วากล่าวว่า ทีมงานยินดีที่มีแบบพิมพ์เขียวสำหรับโรงงานเสียงกรี๊ดจาก “Monsters, Inc.” “เราคิดว่ามันเยี่ยมมากที่เราได้แบบงานสร้างออริจินอลที่งดงามจากฮาร์ลีย์ เจสซัพและบ็อบ พอลลีย์มาครับ”
แต่ในการสร้างชั้นเรียกเสียงกรี๊ดสำหรับฉากเปิดเรื่องที่มีไมค์ในวัยเด็ก ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ 20 ปีก่อนภาคแรก และฉากใน 10 ปีให้หลัง ในตอนที่สมาชิกบ้านอูซมา แคปปาได้ไปเยี่ยมชมบริษัทแบบกะทันหัน ทีมผู้สร้างจะต้องคิดฉากโรงงานนี้เสียใหม่ “เราไม่สามารถจะหยิบเอาฉากเก่ามาใช้ได้เลย” เนียร์วากล่าว “เทคโนโลยีพัฒนามาไกลเกินไป เราก็เลยต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่ และคิดหาสิ่งต่างๆ ที่จะแตกต่างออกไปเนื่องด้วยความแตกต่างในเรื่องเวลาน่ะครับ”
ยกตัวอย่างเช่น เนียร์วาและทีมงานจะต้องคิดกระดานผู้นำของบริษัทมอนสเตอร์ส, อิงค์.ขึ้นใหม่ “ในภาคแรก เสียงกรี๊ดจะถูกแสดงบนหน้าจอโทรทัศน์” เนียร์วาบอก “เราก็เลยคิดว่ามันอาจจะเริ่มต้นเหมือนกับในสถานีรถไฟที่จะมีป้ายตัวเลขพลิกได้ ผมคิดว่ามันเจ๋งมาก มันแตกต่างกันมากพอ แต่ก็ยังมีความเชื่อมโยงกับภาคแรกอยู่ครับ”
“เราพิจารณาถึงวิวัฒนาการของมือถือ” เนียร์วากล่าว “จากโทรศัพท์อันโตไปเป็นโทรศัพท์เครื่องจิ๋ว เราก็เลยทำให้แน่ใจว่าประตูสถานีจะหนาและใหญ่กว่า เพื่อสะท้อนถึงยุคอดีตน่ะครับ”
ทีมผู้สร้างยังได้จัดการกับฉากอื่นๆ ตั้งแต่ฉากภายนอกของมหาวิทยาลัย มีช็อตหนึ่งที่โชว์สัตว์ประหลาดใต้น้ำว่ายน้ำมาเรียน ไปจนถึงกระป๋องเสียงกรี๊ดและห้องแล็บประตู รวมถึงสนามฟุตบอลมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าสิ่งที่มีเหมือนกันคือการร้อยเรียงแต่ละฉากเข้ากับตัวละครที่อาศัยอยู่ในโลกใบนั้น ผู้ควบคุมงานสร้าง จอห์น แลสซีเตอร์ กล่าวว่า “มันเป็นหนังที่งดงามที่ถ่ายทอดถึงหัวใจของฉากมหาวิทยาลัยจริงๆ และรายละเอียดก็สนุกมากๆ เพราะถ้าคุณมองใกลๆ ทุกอย่างจะมีองค์ประกอบแบบสัตว์ประหลาด และที่ดีไปกว่านั้น มันก็รองรับการมองโลกในแง่บวกของการที่ไมค์มาถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้เพื่อตามหาความฝันของตัวเองด้วย
แสงส่องสว่าง
“Monsters University” ใช้เทคโนโลยีใหม่
ย้อนกลับไปในปี 2001 ไมค์, ซัลลี่และทีมตัวละครหลากสีสันได้เปิดตัวในโลกจอเงินด้วย “Monsters, Inc.” พิกซาร์ได้สร้างความแปลกใหม่ในเรื่องเทคนิคและได้ฟันฝ่าอุปสรรคใหญ่ในเรื่องของขน ทั้งความซับซ้อนในการเคลื่อนไหวของมัน ลักษณะการให้แสงและการแปรงให้มันเรียบร้อย รวมถึงซิมูเลชันเสื้อผ้า ซึ่งที่โดดเด่นที่สุดคือเสื้อของบูด้วย ในตอนนั้น ซัลลี่ที่ขนปุกปุยเป็นตัวละครที่ซับซ้อนมากและต้องอาศัยการเรนเดอร์มากจนทีมผู้สร้างต้องยับยั้งความต้องการในการเพิ่มตัวละครขนฟูอีกตัวของพวกเขาเอาไว้ บัดนี้ ใน “Monsters University” ปรมาจารย์ด้านเทคนิคของพิกซาร์ได้ยกระดับงานของพวกเขาขึ้นอีกครั้ง ด้วยการฝ่าฟันความท้าทายใหม่ๆ เพื่อทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ทะเยอทะยานที่สุดในแง่ของการให้แสง ซิมูเลชันและการเรนเดอร์ สำหรับตัวละครขนฟู วิธีการให้แสงแบบใหม่ได้ช่วยสร้างความรู้สึกสมจริงภายใต้การกำกับศิลป์ที่ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์นี้ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา
สโคปยิ่งใหญ่ของโปรเจ็กต์นี้ ทำให้ “Monsters University”ใช้เวลาเรนเดอร์นาน 100 ล้านชั่วโมง CPU ซึ่งเท่ากับ 10,000 ปีสำหรับคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ซึ่งก็เป็นปริมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์พิกซาร์ แต่ละเฟรม (ถ้าเรนเดอร์ด้วยคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว) จะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 29 ชั่วโมง เรนเดอร์ ฟาร์มของพิกซาร์ (เครือข่ายคอมพิวเตอร์และหน่วยประมวลผล) มีขนาดเพิ่มขึ้นจากใน “Brave” ประมาณสองเท่า เพื่อรองรับความต้องการของทีมงาน นอกเหนือจากนั้น คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นมัลติโปรเซสเซอร์ (ที่จะมีตัวประมวลผล 12 เครื่องในแต่ละเครื่อง) เพื่อให้สามารถแยกแต่ละช็อตออกและเรนเดอร์พร้อมๆ กันในเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องด้วยการอ่านข้อมูลพร้อมๆ กันได้
หนึ่งในนวัตกรรมสำคัญในการสร้าง “Monsters University” คือการใช้กระบวนการให้แสงใหม่ของพิกซาร์ ที่เรียกว่า โกลบอล อิลลูมิเนชัน (จีไอ) ซึ่งเป็นกระบวนการแปลกใหม่ในการให้แสง ที่ทีมเทคโนโลยีของพิกซาร์ได้พัฒนาขึ้นอย่างประณีตเพื่อสร้างภาพวิชวลที่โดดเด่นให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ โกลบอล อิลลูมิเนชันทำให้ทีมผู้สร้างสามารถใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบเป็นบริเวณ แทนที่จะใช้แสงโดดๆ หลายร้อยดวง เพื่อให้ได้เอฟเฟ็กต์ที่สมจริงและเป็นไปตามหลักฟิสิกส์มากกว่า หนึ่งในประโยชน์สำคัญของวิธีนี้คือมันทำให้ทีมผู้สร้างเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าแสงสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร แทนที่จะต้องรอจนถึงตอนสุดท้ายของกระบวนการถ่ายทำตามปกติ
คริส คิง หัวหน้าฝ่ายโกลบอล อิลลูมิเนชันของเรื่อง กล่าวว่า “ในการให้แสงภาพยนตร์คอมพิวเตอร์ อนิเมชัน เราได้จำลองหลักฟิสิกส์ของแสงในแต่ละฉากขึ้นมา ในความเป็นจริง แสงจะผ่านเข้ามาแล้วก็จะกระทบกับพื้นผิวทุกอย่างในฉากนั้นๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคำนวณได้ เราก็เลยต้องทำให้กระบวนการนั้นง่ายขึ้น ในหนังเรื่องนี้ เราได้กำจัดขั้นตอนง่ายๆ ที่เราเคยใช้ในอดีตและทำการจำลองแสงและพื้นผิวให้ใกล้เคียงกับความจริงมากขึ้นครับ”
ผู้อำนวยการสร้างโครี่ เรย์กล่าวเสริมว่า “กระบวนการโกลบอล อิลลูมิเนชันที่พิกซาร์เริ่มต้นจากคนสามคนที่มีพรสวรร์มากๆ ที่ในตอนเริ่มต้นมาหาฉันแล้วถามว่า พวกเขาขอทดลองได้มั้ย พวกเขามีเวลาแค่หกเดือนในการคิดสิ่งที่พวกเขาสามารถนำเสนออย่างเป็นทางการได้ และพวกเขาก็ทำได้ มันน่าทึ่งมากๆ ผลที่ออกมาคือแสงที่สมจริงและสวยงามกว่า ที่เหมาะกับฉากมหาวิทยาลัยอย่างเพอร์เฟ็กต์ แล้วเราก็พบประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจกว่าสำหรับทีมงานเพราะพวกเขาจะเข้าใจถึงเรื่องของแสงตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของการถ่ายทำ ซึ่งก็ทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้กรอบเวลาที่เข้มงวดน่ะค่ะ”
บิล รีฟส์ (พนักงานคนที่สองของพิกซาร์ ผู้บุกเบิกเจ้าของรางวัลออสการ์ในโลกของคอมพิวเตอร์ กราฟิคส์) ช่างเทคนิคที่พิกซาร์, ฌอน-คล็อด คาชาชี (ผู้กำกับภาพฝ่ายแสง) และคริสตอฟ เฮรี เป็นผู้นำทีมจีไอใน “Monsters University” ด้วยความช่วยเหลือของคริส คิง, รองประธานฝ่ายซอฟท์แวร์ กุยโด้ ควอโรนี่และทีมผู้เชี่ยวชาญ
คาลาชีกล่าวว่า “ในตอนจบของ ‘Up’ ผมมีบันทึกหนา 16 หน้าเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ผมอยากจะปรับปรุง สิ่งที่ผมอยากจะค้นคว้าเพิ่มเติมและสิ่งที่ผมอยากจะเรียนรู้ สิ่งหนึ่งที่ติดใจผมคือเซ็ทอัพแสงของเรามันซับซ้อนขึ้นแค่ไหนแม้กระทั่งตอนที่เราพยายามจะสร้างภาพที่เรียบง่ายมากๆ หนึ่งในโปรเจ็กต์หลักที่ผมคิดคือโกลบอล อิลลูมิเนชัน ตอนที่ผมรู้ว่าผมจะได้ทำงานใน ‘Monsters University’ ผมก็ไปหากุยโด้กับโครี่ และเสนอว่าผมขอเวลาคิดหาวิธีการทำให้เซ็ทอัพแสงของเราง่ายขึ้น บิล รีฟส์เองก็สนใจในเรื่องนี้เหมือนกัน และเมื่อเขาเข้าร่วมทีม เราก็เสนอว่าจะค้นคว้าเรื่องจีไอด้วยกัน คริสตอฟ เฮรี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านแสงที่ไอแอลเอ็ม, จาค็อบ คูเอนเซล ผู้กำกับฝ่ายเทคนิคที่พิกซาร์และคริสก็ร่วมทีมกับเราด้วยเหมือนกัน เรารู้ว่าจีไอจะต้องมีประโยชน์ระยะยาวอย่างมหาศาลแน่ๆ ท้ายที่สุดแล้ว มันทำให้เรื่องของแสงเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์และเป็นศิลปะมากขึ้น และลดขั้นตอนเทคนิคที่ซ้ำซ้อนทิ้งไปครับ”
“เราอยากทดลองวิธีการใหม่ๆ ในการให้แสงมาหลายปีแล้วครับ” รีฟส์กล่าวเสริม “สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือตอนนี้คอมพิวเตอร์ทำงานเร็วขึ้นและเราก็ฉลาดขึ้นด้วย จีไอเป็นการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของการทำงานใหม่ มันจะเป็นไปตามสัญชาตญาณและธรรมชาติมากขึ้น และมันก็ทำให้เราสามารถใช้แสงเพียงนิดเดียวแต่ได้สิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยรายละเอียดจริงๆ จีไอปล่อยให้คุณให้แสงแต่ละฉากภายในแค่วันสองวัน แทนที่จะเป็นสองสามเดือน สำหรับพิกซาร์ จีไอเป็นขั้นตอนใหม่เอี่ยม เราต้องเรียนรู้การทำงานที่ต่างออกไป แต่ผลที่ได้ออกมาก็น่าตื่นตาตื่นใจมากครับ”
อเล็กซ์ โคลลิโอพูลิส ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเรนเดอร์ อธิบายว่าในการคลี่คลายความท้าทายของจีไอ พิกซาร์จะต้องคิดหาวิธีการใหม่ในการจัดสรรทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ก่อนเป็นอันดับแรก “โกลบอล อิลลูมิเนชันทำให้ต้องใช้เวลาในการเรนเดอร์มากขึ้นเป็นสองเท่า และใช้หน่วยความจำมากขึ้นเป็นสี่เท่า” เขากล่าว “เราก็เลยต้องคิดหาวิธีที่จะอ่านงานหลายๆ ชิ้นได้พร้อมกัน ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ของเราให้กลายเป็นมัลติโปรเซสเซอร์ แทนที่จะมีการเรนเดอร์งานชิ้นหนึ่งต่อหนึ่งคอร์ เราก็จะให้มีการเรนเดอร์งานชิ้นหนึ่งในหลายๆ คอร์ โดยทั่วไปแล้ว เราใช้ตัวอ่านสี่ตัวสำหรับการเรนเดอร์ภาพหนักๆ ซึ่งหมายถึงว่าเราจะมีสี่คอร์สำหรับการเรนเดอร์หนึ่งเฟรม ซึ่งมันก็จะใช้เวลาเร็วขึ้นสี่เท่า เพราะมันมีหน่วยความจำมากขึ้นเป็นสี่เท่าครับ”
ตัวละครและกลุ่มคน: มีสัตว์ประหลาดมากกว่าเก่า
ด้วยความที่ฉากของเรื่องเป็นมหาวิทยาลัย “Monsters University” จำเป็นต้องอาศัยกลุ่มนักศึกษา ครูและสัตว์ประหลาดทั่วไปมากมาย คริสเตียน ฮอฟแมน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายตัวละคร ได้นำทีมฝ่ายเทคนิคสร้างตัวละครเกือบ 500 ตัว ที่สร้างจากตัวละครหกแบบหลัก ซานเจย์ บัคชี หัวหน้าผู้กำกับฝ่ายเทคนิคเป็นผู้รับผิดชอบดูแลกลไกริกกิ้ง การให้เงาและการสร้างโมเดลตัวละคร รวมถึงหน้าที่อื่นๆ ที่เกี่ยวกับฉาก เลย์เอาท์ เอฟเฟ็กต์และเทคโนโลยีโกลบอล เจดี นอร์ธรัพมีหน้าที่ดูแลกลุ่มคนและหน้าที่ของพวกเขาในการเติมกลุ่มคนเข้าไปในกิจกรรมตามสเตเดียม ห้องเรียนและรั้วมหาวิทยาลัย ในขณะที่ อดัม เบิร์ค เป็นผู้ดูแลทีมอนิมชันกลุ่มคน
“จำนวนและความหลากหลายของตัวละครเป็นความท้าทายใหญ่ในหนังเรื่องนี้ครับ” บัคชีกล่าว “นี่เป็นหนังมหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยใหญ่ที่น่าตื่นเต้น เราก็เลยต้องสร้างนักศึกษาจำนวนมากเพื่อสร้างความรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นมหาวิทยาลัยจริงๆ เพียงแต่เป็นมหา’ลัยมอนสเตอร์เท่านั้นเอง ทีมกลไกริกกิ้งและทีมสร้างโมเดลของเราจะต้องรับมือกับความหลากหลายในกลุ่มคน ซึ่งใน ‘Monsters’ ภาคแรกไม่เป็นปัญหาเลย เพราะแขนและหนวดของตัวละครจะมีกลไกแยกจากส่วนลำตัว แต่ในหนังเรื่องนี้ เราอยากจะทำให้ตัวละครของเรามีเลือดเนื้อและเหมือนมีชีวิตจริงๆ เรารู้ว่าเราต้องสร้างตัวละครหลายร้อยตัว เราก็เลยสร้างลักษณะเด่นของสปีซีส์ต่างๆ ขึ้นมา จากจุดนั้น เราก็สามารถสร้างแบบคอนโทรลที่ซับซ้อนขึ้นมาและเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติต่างๆ เพื่อให้ตรงกับสัตว์ประหลาดแต่ละประเภทน่ะครับ”
ฮอฟแมนกล่าวเสริมว่า “เราคิดสัตว์ประหลาดหกแบบหลักขึ้นมาสำหรับตัวละครแบ็คกราวน์ ที่เราได้จับมาเพิ่มเติมเสริมแต่ง ทั้งติดเขา เพิ่มหนาม ขนและสิ่งอื่นๆ เข้าไป เพื่อสร้างความหลากหลาย พวกชาร์ลีย์ (ตั้งชื่อตามตัวละครที่หน้าตาคล้ายกันจาก “Monsters, Inc.”) เป็นตัวละครที่มีตาอยู่บนก้านตา และมีหนวดใช้แทนแขนและขา พวกสปิฟฟ์จะมีหน้าตาเหมือนมุษย์มากกว่า แต่มีเขาแทนจมูก พวกพิลล์จะมีลักษณะเหมือนปราสาท และมีดวงตาสามดวงและมีแขนขาลีบ พวกบล็อกเป็นสัตว์ประหลาดตัวเหลี่ยมรูปร่างใหญ่ พวกฟังกัสจะมีรูปร่างเหมือนทากและจะเลื้อยอยู่บนพื้นดิน พวกเขาจะมีดวงตาสองดวงใหญ่เหมือนแมลง มีลำตัวกลมเล็ก แขนขาลีบ
“หนึ่งในความก้าวหน้าสำคัญในหนังเรื่องนี้คือการควบคุมอนิเมชันหรืออาวาร์สครับ” ฮอฟแมนกล่าวต่อ “ระดับความซับซ้อนพัฒนาขึ้นจริงๆ เราได้สีหน้าท่าทางที่ชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อน ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถขยับมุมปากได้มากขึ้น และได้ปฏิกิริยาตรงแก้มที่ซับซ้อนมากๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน พวกอนิเมเตอร์สามารถผลักดันตัวละครให้พวกเขามีลักษณะและให้ความรู้สึกเหมือนมีเลือดเนื้อและเป็นสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ ใบหน้าของพวกเขาจะสามารถขยับได้มากขึ้นครับ”
การสร้างกลุ่มสัตว์ประหลาดสำหรับฉากในมหาวิทยาลัย ในห้องเรียนและในการแข่งขันหลอกคนเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการบอกเล่าเรื่องราวและทำให้มันดูน่าเชื่อ “มันเป็นหนังที่ค่อนข้างจะฟอร์มใหญ่ทีเดียวจากมุมมองในเรื่องกลุ่มคน” นอร์ธรัพ ผู้นำทีมเทคนิคฝ่ายกลุ่มคนบอก “ในฉากหนึ่งที่สนามฟุตบอล เรามีตัวละครสัตว์ประหลาดประมาณ 5,000 ตัว ฉากอื่นๆ จะมีกลุ่มคนเฉลี่ยประมาณ 200-400 คน สิ่งที่ยากเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือความหนาแน่นของตัวละคร เราอาจจะมีตัวละครในช็อตต่างๆ มากกว่าในหนังพิกซาร์เรื่องอื่นๆ เสียอีกครับ”
“สิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ คือความหลากหลายของประเภทตัวละครที่เราต้องเลือก” นอร์ธรัพกล่าว “นอกจากนี้ เราต้องโฟกัสไปที่การทำให้วงจรการเดินดูดีด้วย เพราะนี่เป็นเขตรั้วมหาวิทยาลัย และเรารู้ว่าเราต้องมีช็อตคนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย บททดสอบแรกๆ สำหรับเราคือในซีเควนซ์เปิดเรื่อง ที่เราได้เห็นไมค์เดินเข้ามาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นครั้งแรก กล้องจะแพนไปยังโลเกชันต่างๆ ในมหาวิทยาลัย และลงเอยที่ภาพเขาเดินไปหอพัก มันเป็นช็อตภาพกว้าง และมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยกิจกรรมเคลื่อนไหว มีตัวละครประมาณ 500 ตัวในพื้นที่แบบมินินี้ ก่อนที่เขาจะขยับเข้าสู่พื้นที่หลักด้วยตัวละครประมาณ 800 ตัวครับ”
นอร์ธรัพกล่าวว่าทีมงานรู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษกับซีเควนซ์รอบสุดท้ายของการแข่งขันที่เกิดขึ้นในโรงละครครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ เขากล่าวว่า การเติมเต็มสถานที่แห่งนี้ด้วยสัตว์ประหลาดประมาณ 1,600 ตัว ที่ไปๆ มาๆ พร้อมกับส่งเสียงเชียร์และเฮโลลงในสนามไม่ใช่งานง่ายๆ เลย
ซิมูเลชัน: การขยับเส้นขน พืชพันธุ์ หมอนและหนังสือ
คริสติน แว็กกอนเนอร์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายซิมูเลชัน เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานที่ช่วยสร้างการเคลื่อนไหวที่สมจริงสำหรับขนของซัลลี่และเสื้อยืดของบูใน “Monster’s Inc.” ในครั้งนี้ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทำให้งานของเธอง่ายขึ้นในหลายๆ อย่าง แต่มันก็นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ ด้วย
“มีตัวละครขนฟูในหนังเรื่องนี้มากกว่าแต่ก่อนค่ะ” แว็กกอนเนอร์กล่าว “ตามปกติแล้ว เรามีตัวละครหลักที่ขนฟูได้แค่ตัวเดียวใน ‘Monsters, Inc.’ เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ในตอนนั้นและส่งผลต่อเวลาเรนเดอร์ของเราด้วย ใน ‘Monsters University’ 15-20% ของประชากรสัตว์ประหลาดจะมีขน การสร้างเส้นผมและขนง่ายขึ้นเยอะค่ะ เทคโนโลยีได้พัฒนาขึ้นจริงๆ เช่นเดียวกับโปรแกรมซิมูเลชันของเรา ฮาร์ดแวร์กราฟิคส์ของเราทำให้อนิเมเตอร์ได้เห็นเส้นผมและขนตอนที่พวกเขาสร้างภาพอนิเมชัน พวกเขาไม่ได้เห็นเส้นผมหรือขนจำลอง แต่พวกเขาก็สามารถคิดภาพพวกนั้นขึ้นมาได้จริงๆ ด้วยความเร็วที่สามารถใช้งานได้แบบอินเตอร์แอ็กทีฟ ในเชิงศิลปะ มันทำให้อนิเมเตอร์และนักวาดภาพเลย์เอาท์กะเกณฑ์การจัดวางองค์ประกอบของช็อตและปริมาณของขนได้ค่ะ”
แว็กกอนเนอร์กล่าวว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอีกอย่างสำหรับซิมูเลชันกลุ่ม นั่นก็คือกู๊ดกราส “มันมีพื้นผิวหญ้ามากมายในรั้วมหาวิทยาลัยที่เขียวชะอุ่มและการแข่งขันเอาท์ดอร์ของเราค่ะ เราได้รวบรวมเทคโนโลยีที่ทำให้ตัวละครมีปฏิสัมพันธ์กับหญ้าได้แทบจะเป็นอัตโนมัติ และพวกเขาแทบจะทิ้งรอยเท้าเอาไว้ด้วยซ้ำ เราได้สร้างเทคโนโลยีที่สามารถรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนของการที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่นแขน ขา หนวด หางและครีบ มีปฏิสัมพันธ์กับพืชต่างๆ น่ะค่ะ”
คริส คิง หัวหน้าฝ่ายโกลบอล อิลลูมิเนชัน กล่าวว่า “ในการให้แสงหนังคอมพิวเตอร์ อนิเมชัน เราได้จำลองฟิสิกส์ของแสงในแต่ละฉากขึ้นมา ตามความเป็นจริง พอแสงเข้ามา มันก็จะกระเด้งจากทุกพื้นผิวในฉากนั้นๆ มันเป็นสิ่งที่คำนวณออกมาไม่ได้เลย เราก็เลยต้องทำให้ปัญหานั้นเป็นเรื่องง่ายขึ้น ในหนังเรื่องนี้ เราได้ขจัดกระบวนการง่ายๆ ที่เราเคยใช้ในอดีตทิ้งไปและจำลองแสงและพื้นผิวให้สมจริงมากขึ้น” อีกอย่างหนึ่งคือการจำลองการพลิกหน้าหนังสือ ซึ่งเป็นรายละเอียดสำคัญในฉากสถาบันการศึกษา ดังนั้น จึงมีการสร้างริกกิ้งพิเศษขึ้นเพื่อที่หน้าหนังสือต่างๆ จะได้พลิกอย่างเป็นธรรมชาติ
ในเรื่องเทคโนโลยี ผู้กำกับแดน สแกนลอนยินดีกับผลลัพธ์ที่ออกมา “ผมทึ่งกับสิ่งที่ช่างเทคนิคที่พิกซาร์สามารถทำสำเร็จได้ เทคโนโลยีเป็นพื้นฐานสำคัญของกระบวนการเล่าเรื่องของเรา มันเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญของสตูดิโอ เพราะมันทำให้รายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุดมีชีวิตชีวาขึ้นมาในแบบที่เชื่อมโยงคนเข้าด้วยกันอย่างเหลือเชื่อครับ”
การสร้างดนตรีมอนสเตอร์
ทีมผู้สร้างทาบทามแรนดี้ นิวแมน, แอ็กซ์เวลและเซบาสเตียน อินกรอสโซ
จากสวีดิช เฮาส์ มาเฟียและมาสโทดอน
“Monsters University” ที่จะมาเขย่าซัมเมอร์นี้ให้สั่นสะเทือน นำเสนอดนตรีจากคอมโพสเซอร์รางวัล แรนดี้ นิวแมนและแอ็กเวลและเซบาสเตียน อินกรอสโซจากสวีดิช เฮาส์ มาเฟีย นอกจากนั้น ทีมผู้สร้างยังได้ทาบทามมาสโทดอน วงฮาร์ดร็อคจากแอตแลนตา เพื่อมาขับกล่อมหนึ่งในสัตว์ประหลาดใหม่ของเรื่อง
“เราอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกแบบมหาวิทยาลัยใน ‘Monsters University’ ครับ” สแกนลอนกล่าว “และดนตรีก็เป็นส่วนสำคัญ ดนตรีประกอบหนังของเรื่องและนักดนตรีเยี่ยมๆ อย่างแอ็กซ์เวลและเซบาสเตียน อินกรอสโซ [จากสวีดิช เฮาส์ มาเฟีย] และมาสโทดอน ช่วยสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและมีอิสระเสรีแบบมหาวิทยาลัยขึ้นครับ”
ดนตรีประกอบภาพยนตร์จากนิวแมน!
นิวแมน คอมโพสเซอร์/นักแต่งเพลงเจ้าของรางวัลออสการ์, แกรมมีและเอ็มมี กลับมาแล้ว ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ดิสนีย์/พิกซาร์เรื่องที่เจ็ด ผลงานที่ได้รับรางวัลของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อชิง 20 รางวัลออสการ์ผู้นี้ได้แก่เพลง
“If I Didn’t Have You” จาก “Monsters, Inc.” และ “We Belong Together” จาก “Toy Story 3” ผู้เพิ่งได้รับการบรรจุชื่อลงในร็อคแอนด์โรล ฮอล ออฟ เฟม ผู้นี้ได้รังสรรค์เพลงประจำมหาวิทยาลัยในชื่อ “Monsters University” ที่เป็นเพลงธีมที่ปรากฏบ่อยๆ ขึ้นมา “เราได้ใช้ทีมงานที่พิกซาร์ แคนาดามาบันทึกเสียงเพลงประจำมหาวิทยาลัย” สแกนลอนกล่าว “เราต้องการให้กลุ่มนักศึกษาสัตว์ประหลาดสุดเพี้ยนมาร้องเพลงนี้และทีมแคนาดาก็เก่งมาก ผลลัพธ์สุดท้ายคือความ ‘เพี้ยน’ ที่เพอร์เฟ็กต์ จริงๆ แล้ว ครั้งแรกที่เราบันทึกเสียงเพลงนี้ มันเยี่ยมมาก จนผมต้องบอกว่า ‘นี่ พวกเรา สัตว์ประหลาดพวกนี้เป็นนักศึกษาในการแข่งขันกีฬานะ ทำเสียงให้มันเพี้ยนหน่อยดีกว่า’ น่ะครับ”
นิวแมนได้ใส่เอกลักษณ์ที่โดดเด่นเข้าไปในดนตรีประกอบของเขา ด้วยการเรียกวงกลองที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก เดอะ บลู เดวิลส์ ให้มาสร้างเสียงที่ให้ความรู้สึกของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ เขายังได้ใส่ดนตรีจากวงคอนเสิร์ตแบนด์เพื่อเป็นตัวอย่างของความรู้สึกของการอยู่ในมหาวิทยาลัยด้วย นิวแมนกล่าวว่า จริงๆ แล้ว “มันมี ‘Academic Festival Overture’ ของบราห์มส์นิดๆ ตอนที่ไมค์กำลังขี่หมู ผมคิดว่าบราห์มส์น่าจะปลาบปลื้มกับการใส่ดนตรีของเขาเข้าไปในดนตรีประกอบเรื่องนี้ด้วยแน่ๆ”
ดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่บันทึกเสียงด้วยวงออร์เคสตรา 112 ชิ้น นำเสนอธีมของตัวละครต่างๆ ซึ่งรวมถึงทำนองจากแอคคอร์เดียน เพื่อนำเสนอถึงสถานะต่ำเตี้ยติดดินของบ้านอูซมา แคปปา, ทำนองสบายๆ ที่แนะนำซัลลี่และไมค์ วาซาวสกี้ ผู้ใฝ่ฝันจะเป็นจอมหลอน มักจะปรากฏตัวพร้อมกับเสียงคลาริเน็ต ที่นิวแมนตั้งข้อสังเกตว่า จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับความเปลี่ยนแปลงของไมค์
ผู้อำนวยการสร้างโครี่ เรย์กล่าวว่า ดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้กระตุ้นอารมณ์ในตอนที่เธอไม่คาดคิดเลยแม้แต่น้อย “มีฉากหนึ่งในหนัง ที่ไมค์พาซัลลี่และพี่น้องบ้านอูซมา แคปปาไปดูชั้นเสียงกรี๊ดที่บริษัทมอนสเตอร์ส, อิงค์. ในตอนที่แรนดี้เล่นดนตรีประกอบฉากนั้นในเซสชันบันทึกเสียงครั้งแรก มันก็ทำให้ฉันร้องไห้เพราะมันทั้งทรงพลังและเปี่ยมด้วยอารมณ์ ดนตรีของเขายอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น มันน่าทึ่งจริงๆ ค่ะ”
การเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาด
เมื่อไมค์และซัลลี่อยู่ในงานปาร์ตี้ของบ้าน ทีมผู้สร้างก็อยากนำเสนอการเคลื่อนไหวของพวกเขา แต่ก่อนอื่น พวกเขาต้องมีดนตรีเสียก่อน และแอ็กซ์เวลและเซบาสเตียน อินกรอสโซจากสวีดิช เฮาส์ มาเฟียก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับเพลงปาร์ตี้ในชื่อ “Roar” ซึ่งแน่นอนว่ามีซาวน์อิเล็คโทรนิค แดนซ์ที่คึกคักจนแม้แต่สัตว์ประหลาดยังชื่นชอบ “เราอยากให้มันสนุก คึกคัก แต่ก็เจ๋งและมีกลิ่นไอสัตว์ประหลาดอยู่ในนั้นนิดๆ น่ะครับ” แอ็กซ์เวลกล่าว
สแกนลอนชื่นชอบเพลงนี้ “มันเป็นเพลงที่สนุกจริงๆ ผมจำได้ว่าได้ดูอนิเมเตอร์ทำงานในฉากนี้ ตอนที่เขาเปิดเพลงนี้ขึ้น นักวาดภาพที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป ที่ไม่ได้ทำงานในหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ก็อดขยับเท้าไม่ได้ แน่นอนว่าเขาได้ฟังเพลงนี้มาหลายวันแล้ว แต่วินาทีที่เขาได้ยินเพลงนี้ เขาก็ต้องขยับเท้าน่ะครับ”
ได้เวลาร็อค!
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามที่ว่า สัตว์ประหลาดที่น่ารักน่าจะฟังอะไรในช่วงเวลาว่าง ทีมผู้สร้างก็ตัดสินจะสร้างความแปลกใหม่ขึ้นมา “มีช่วงเวลาเยี่ยมๆ ใน ‘Monsters University’ ที่เราคิดว่าคงจะตลกน่าดูถ้าเพลงพวกนั้นเป็นเพลงเฮฟวี เมทัลที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่คุณจะจินตนาการได้ มาสโทดอนเป็นตัวเลือกที่ชัดเจน พวกเขาแสดงให้เห็นถึงแง่มุมสัตว์ประหลาดที่คาดไม่ถึงของหนึ่งในตัวละครใหม่ที่ยอดเยี่ยมของเราครับ”
และพวกเขาก็ได้เลือกเพลง “Island” ที่มีอยู่แล้วของวงนี้มาใช้
ประวัตินักพากย์
บิลลี่ คริสตัล (พากย์เสียงไมค์ วาซาวสกี้) นักแสดงและนักแสดงตลกเจ้าของรางวัลเอ็มมี อวอร์ด เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่อง “When Harry Met Sally…,” “City Slickers,” “The Princess Bride” และ “Analyze This” รวมไปถึงละครบรอดเวย์รางวัลโทนีในปี 2005 ของเขาเรื่อง “700 Sundays” การเป็นหนึ่งในทีมนักแสดงจาก “Saturday Night Live” และในฐานะพิธีกรพิธีประกาศผลรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (หลายครั้ง)
คริสตัลเกิดในวันที่ 14 มีนาคม ปี 1948 และเติบโตขึ้นในลองบีช, นิวยอร์ก เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สาขาศิลปศาสตร์จากทิสช์ สคูล ออฟ อาร์ตส์ ในปี 1970 บทบาทแจ้งเกิดของเขาคือการแสดงในซีรีส์กลางคืนเรื่อง “Soap” ระหว่างปี 1977-1981 ในปี 1984 เขาเป็นพิธีกรรายการ “Saturday Night Live” และได้ร่วมทีมนักแสดงด้วย ตัวละครที่โด่งดังที่สุดของเขาคือ เฟอร์นันโด้ พิธีกรรายการทอล์คโชว์ที่มีแท็กไลน์ว่า “คุณดูดีมั่กมาก!”
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “This Is Spinal Tap” (1984), “Running Scared” (1986), “Throw Momma from the Train” (1987) และ “Forget Paris” (1995) เขาได้กำกับภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง “61*” (2001) เกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างมิคกี้ แมนเทิลและโรเจอร์ มาริส เพื่อทำลายสถิติโฮมรันซีซันเดียวของเบ๊บ รูธ เขาได้รับรางวัล 2007 มาร์ค ทเวน ไพรซ์ ฟอร์ อเมริกัน ฮิวเมอร์ หนังสือเรื่องก่อนหน้านี้ของเขาได้แก่ “Absolutely Marvelous” (1986), “700 Sundays” (2005) และหนังสือสำหรับเด็กสองเล่มได้แก่ “I Already Know I Love You” (2004) และ “Grandpa’s Little One” (2006) คริสตัลเป็นที่รู้จักดีจากการเป็นพิธีกรรายการออสการ์ทั้งหมดเก้าครั้ง นอกจากนี้ เขายังเป็นพิธีกรรายการแกรมมี อวอร์ดสามครั้ง และผลงานจอแก้วของเขาก็ได้ทำให้เขาได้รับหกรางวัลเอ็มมี อวอร์ด เขาได้แสดงประกบเบ็ตต์ มิดเลอร์ในคอเมดีสำหรับครอบครัวโดยทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง “Parental Guidance” ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันคริสต์มาสปี 2012 นอกจากนี้ เขายังจะกลับมาพากย์เสียงไมค์ วาซาวสกี้อีกครั้งในภาพยนตร์ดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “Monsters University” พรีเควลของภาพยนตร์เรื่อง “Monsters, Inc.” ที่จะเข้าฉายในปี 2013 ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการเขียนอนุทินแสนขบขันเกี่ยวกับการมีอายุมากขึ้น ที่จะตีพิมพ์โดยเฮนรี โฮลท์ ในปี 2013
โปรเจ็กต์ภาพยนตร์ปัจจุบันของจอห์น กู๊ดแมน (พากย์เสียงเจมส์ พี. ซัลลิแวน) ได้แก่ดรามาโดยเบน แอฟเฟล็คเรื่อง “Argo” ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตปี 2012, ทริลเลอร์โดยโรเบิร์ต ซีเมคิสเรื่อง “Flight” ซึ่งเปิดตัวในฐานะภาพยนตร์ที่ฉายในคืนปิดเทศกาลภาพยนตร์นิวยอร์ก และดรามากีฬาโดยคลินท์ อีสต์วู้ดเรื่อง “Trouble with the Curve”
ผลงานภาพยนตร์หลังจากนี้ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยพี่น้องโคเอนเรื่อง “Inside Llewyn Davis,” คอเมดีโดยวินซ์ วอห์นและโอเวน วิลสันเรื่อง “The Internship,” ภาพยนตร์โดยท็อดด์ ฟิลลิปส์เรื่อง “The Hangover Part III” และภาพยนตร์โดยดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “Monster’s University”
ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของกู๊ดแมนได้แก่ภาพยนตร์เงียบขาวดำโดยวีนสไตน์ คัมปะนีเรื่อง “The Artist” และดรามาโดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง “Extremely Loud & Incredibly Close” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผลงานจอแก้วล่าสุดของเขาได้แก่ “Damages” โดยไดเร็คทีวีและ “Community” ทางเอ็นบีซี
รางวัลมากมายที่กู๊ดแมนได้รับรวมถึงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงเจ็ดรางวัลเอ็มมี อวอร์ดจากการแสดงในซีรีส์ “Roseanne” นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีจากการนำแสดงในซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง “Kingfish: A Story of Huey P. Long,” ในโปรดักชันซีบีเอสของ “A Streetcar Named Desire” โดยเทนเนสซี วิลเลียมส์ และในภาพยนตร์โดยพี่น้องโคเอนเรื่อง “Barton Fink” ในปี 2007 กู๊ดแมนได้รับรางวัลเอ็มมี (สาขานักแสดงรับเชิญในซีรีส์ดรามา) สำหรับ “Studio 60 on the Sunset Strip”
ภาพยนตร์ชีวประวัติของแจ็ค เคโวริเคียนทางเอชบีโอเรื่อง “You Don’t Know Jack” ทำให้กู๊ดแมนได้ร่วมงานกับอัล ปาชิโน (“Sea of Love”) และซูซาน ซาแรนดอน (“Speed Racer”) อีกครั้งหนึ่ง เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในมินิซีรีส์หรือภาพยตร์และได้รับการเสนอชื่อชิงแซ็ก อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์หรือมินิซีรีส์
ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเขาได้แก่ “In the Electric Mist,” “Confessions of a Shopaholic,” “Speed Racer,” “Bee Movie,” “Pope Joan,” “Alabama Moon,” “Gigantic,” “Marilyn Hotchkiss’ Ballroom Dancing and Charm School,” “Beyond the Sea,” “Masked and Anonymous,” “Storytelling,” “O Brother, Where Art Thou?,” “Coyote Ugly,” “What Planet Are You From?,” “One Night at McCool’s,” “Bringing Out the Dead,” “Fallen,” “The Borrowers,” “Blues Brothers 2000,” “The Runner,” “The Flintstones,” “Mother Night,” “Arachnophobia,” “Always,” “Pie in the Sky,” “Born Yesterday,” “Matinee,” “The Babe,” “King Ralph,” “Punchline,” “Everybody’s All-American,” “Sea of Love,” “Stella,” “Eddie Macon’s Run,” “C.H.U.D.,” “Revenge of the Nerds,” “Maria’s Lovers,” “Sweet Dreams,” “True Stories,” “The Big Easy,” “Burglar” “The Wrong Guys,” “Raising Arizona” และ “The Big Lebowski”
เขาได้พากย์เสียงภาพยนตร์อนิเมชันมากมาย ซึ่งรวมถึง “The Emperor’s New Groove,” “Tales of the Rat Fink” และ “The Jungle Book 2” นอกจากนี้ เขายังได้พากย์เสียงตัวละครหลักในซีรีส์อนิเมชันโดยเอ็นบีซีเรื่อง “Father of the Pride” อีกด้วย
กู๊ดแมนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเซาธ์เวสต์ มิสซูรี ด้วยความตั้งใจจะเล่นฟุตบอล แต่อาการบาดเจ็บทำให้เขาเปลี่ยนไปเรียนเอกการละคร เขาไม่เคยหวนคืนสู่สนามฟุตบอลอีกเลยและก็สำเร็จการศึกษาในสาขาการละคร
กู๊ดแมนได้แสดงละครบรอดเวย์เรื่อง “Waiting for Godot” ซึ่งทำให้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในบท ปอซโซ ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงละครที่เล่นตอนดินเนอร์และละครสำหรับเด็กหลายเรื่อง รวมถึงละครออฟบรอดเวย์อีกหลายเรื่องด้วย ผลงานละครในท้องถิ่นของเขาได้แก่ “Henry IV, Parts I and II,” “Antony and Cleopatra,” “As You Like It” และ “A Christmas Carol” เขาได้แสดงในละครเรื่อง “The Robber Bridegroom” โปรดักชันละครเร่และได้แสดงในละครบรอดเวย์สองเรื่องได้แก่ “Loose Ends” ในปี 1979 และ “Big River” ในปี 1985 ในปี 2001 เขาได้แสดงในละครโดยพับลิค เธียเตอร์เรื่อง “The Seagull” ที่กำกับโดยไมค์ นิโคลส์ ในปีถัดมา เขาได้แสดงละครบรอดเวย์เรื่อง “Resistible Rise of Arturo Ui” ที่จัดแสดงที่เนชันแนล แอ็กเตอร์ เธียเตอร์
กู๊ดแมนและครอบครัวของเขามีบ้านอยู่ในลอสแองเจลิสและนิวออร์ลีนส์
สตีฟ บุสเชมี่ (พากย์เสียง แรนดัลล์ บอกส์ –แรนดี้) ได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด, สมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์เอ็มจีเอ็มเรื่อง “Ghost World” ที่กำกับโดยเทอร์รี่ ซวิกออฟและร่วมแสดงโดยธอรา เบิร์ชและสการ์เล็ตต์ โยฮันสัน เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทโทนี บลันเด็ตโต้ในซีรีส์ “The Sopranos” และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี สาขานักแสดงรับเชิญยอดเยี่ยมจากการแสดงในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “30 Rock” เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโลลา จากเวทีเยอรมัน ฟิล์ม อคาเดมี อวอร์ดสำหรับผลงานของเขาใน “John Rabe” ซึ่งกำกับโดยเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ฟลอเรียน กัลเลนเบอร์เกอร์ ปัจจุบัน เขากำลังแสดงในดรามาเอชบีโอเรื่อง “Boardwalk Empire” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ, สี่รางวัลแซ็ก อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็มมี อวอร์ดอีกด้วย
บุสเชมี่เกิดในบรู๊คลิน, นิวยอร์ก เขาเริ่มแสดงความสนใจการแสดงระหว่างที่เขาเรียนไฮสคูลปีสุดท้าย เขาย้ายไปแมนฮัตตันเพื่อศึกษาการแสดงกับจอห์น สตราส์เบิร์ก ที่ซึ่งเขาและเพื่อนนักแสดง/นักเขียน มาร์ค บูน จูเนียร์ เริ่มเขียนและแสดงละครเวทีของตัวเองในพื้นที่การแสดงต่างๆ และโรงละครย่านดาวน์ทาวน์ มันนำบุสเชมี่ไปสู่การแสดงนำครั้งแรกในละครโดยบิล เชอร์วู้ดเรื่อง “Parting Glances” ในบทนักดนตรีที่เป็นโรคเอดส์
ผลงานภาพยนตร์ของบุสเชมี่รวมถึงภาพยนตร์โดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง “New York Stories,” ภาพยนตร์โดยจิม จาร์มัสช์เรื่อง “Coffee and Cigarettes” และ “Mystery Train” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไอเอฟพี สปิริต อวอร์ดและภาพยนตร์โดยอเล็กซานเดร ร็อคเวลเรื่อง “Somebody to Love” และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลจูรี อวอร์ดจากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 1992 เรื่อง “In the Soup” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง “Reservoir Dogs” ซึ่งเขาได้รับรางวัลไอเอฟพี สปิริต อวอร์ด, ภาพยนตร์โดยพี่น้องโคเอนเรื่อง “Miller’s Crossing,” “Barton Fink,” ภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Fargo” และ “The Big Lebowski,” “Twenty Bucks,” ภาพยนตร์โดยทอม ดิซิลโลเรื่อง “Double Whammy,” ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เรื่อง “Living in Oblivion” ประกบเดอร์ม็อท มัลโรนีย์และแคทเธอรีน คีนเนอร์, “Desperado,” “Things to Do in Denver When You’re Dead,” ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต อัลท์แมนเรื่อง “Kansas City,” ภาพยนตร์โดยจอห์น คาร์เพนเตอร์เรื่อง “Escape From L.A.” ประกบเคิร์ท รัสเซล, “Con Air,” “Armageddon,” ภาพยนตร์โดยสแตนลีย์ ตุชชี่เรื่อง “The Imposters,” ภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง “The Laramie Project,” “Love in the Time of Money,” ภาพยนตร์โดยทิม เบอร์ตันเรื่อง “Big Fish,” ภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง “The Island,” ภาพยนตร์โดยเทอร์รี่ ซวิกออฟเรื่อง “Art School Confidential,” “I Now Pronounce You Chuck & Larry” ประกบอดัม แซนด์เลอร์, “I Think I Love My Wife” ประกบคริส ร็อคและ “G-Force” เขาได้แสดงคามีโอในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น “Rising Sun,” “The Hudsucker Proxy,” “Big Daddy,” “Pulp Fiction” และ “The Wedding Singer”
บุสเชมี่พากย์เสียงตัวละครในภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง “Final Fantasy: The Spirits Within” และ “Charlotte’s Web” เขาได้พากย์เสียงเน็บเบอร์แคร็กเกอร์ในภาพยนตร์อนิเมชันที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์โดยโซนี พิคเจอร์สเรื่อง “Monster House” ที่ควบคุมงานสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์กและโรเบิร์ต ซีเมคิสและบทสแคมเปอร์ในภาพยนตร์เอ็มจีเอ็มเรื่อง “Igor” ที่ร่วมงานกับจอห์น คูแซ็ค
นอกเหนือจากพรสวรรค์ของเขาในฐานะนักแสดงผู้ประสบความสำเร็จ บุสเชมี่ยังได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นมือเขียนบทและผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องอีกด้วย โปรเจ็กต์แรกของเขาคือภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง “What Happened to Pete?” ซึ่งได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงรอตเตอร์ดัมและโลคาร์โน และแพร่ภาพทางบราโว เขาเปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกด้วย “Trees Lounge” ที่เขาเขียนบทและนำแสดง ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ร่วมแสดงโดยโคลอี้ เซวิญญี, ซามวล แอล. แจ็คสันและแอนโธนี ลาแพ็กเลีย เปิดตัวในคืนสายผู้กำกับฝรั่งเศสในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1996 และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่สองของบุสเชมี่ในฐานะผู้กำกับ “Animal Factory” บอกเล่าเรื่องราวของชายผู้ถูกส่งตัวเข้าคุกด้วยการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างขึ้นจากหนังสือโดยเอ็ดเวิร์ด บังเกอร์ นำแสดงโดยวิลเลม เดโฟและเอ็ดเวิร์ด เฟอร์ลอง และเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2000
ไอเอฟซีได้ปล่อยผลงานการกำกับเรื่องที่สามของเขา “Lonesome Jim” คอเมดีดรามาที่นำแสดงโดยเคซีย์ แอฟเฟล็คและลีฟ ไทเลอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 10 ภาพยนตร์อินดียอดเยี่ยมแห่งปีโดยสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติ และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรนด์ จูรี ไพรซ์จากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ด้วย
ในปี 2007 โซนี พิคเจอร์ส คลาสสิกส์ได้ปล่อย “Interview” ที่บุสเชมี่ร่วมเขียนบท กำกับและร่วมแสดงกับเซียนนา มิลเลอร์ รีเมกภาพยนตร์โดยธีโอ แวน โก๊ะห์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในปีเดียวกัน
ผลงานการกำกับของบุสเชมี่ยังรวมถึงซีรีส์หลายเรื่อง ได้แก่ซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Homicide: Life on the Street” ที่เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดีจีเอ อวอร์ดและซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “The Sopranos” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีและดีจีเอ อวอร์ดจากเอพิโซด “Pine Barrens” เขาได้กำกับหลายเอพิโซดของซีรีส์รางวัลเอ็มมีเรื่อง “30 Rock” และดรามาดังทางโชว์ไทม์เรื่อง “Nurse Jackie” ที่นำแสดงโดยเอ็ดดี้ ฟัลโก้
นอกจากนี้ เขายังได้ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์อิสระในนิวยอร์กในปี 2008 ในชื่อ โอลีฟ โปรดักชันส์ ร่วมกับนักแสดง/ผู้กำกับสแตนลีย์ ตุชชี่และผู้อำนวยการสร้างเรน อาร์เธอร์ โอลีฟมีโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินที่หลากหลาย ซึ่งหลายเรื่องถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้บุสเชมี่และตุชชี่กำกับ พวกเขาได้ขายซีรีส์โทรทัศน์สีเรื่อง ภาพยนตร์หนึ่งเรื่องให้กับเอชบีโอและภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องให้กับโซนี พิคเจอร์ส ซึ่งนำแสดงโดยเมอริล สตรีพและทีนา เฟย์
ล่าสุด เขาได้แสดงในภาพยนตร์โดยมิเกล อาร์เททาเรื่อง “Youth in Revolt,” ในผลงานการกำกับเรื่องแรกโดยโอเรน มูฟเวอร์แมนเรื่อง “The Messenger” ที่ร่วมแสดงโดยนักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ วู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและเบน ฟอสเตอร์และ “Rampart” ประกบฮาร์เรลสัน, ฟอสเตอร์และซิเกอร์นีย์ วีฟเวอร์
เฮเลน เมอร์เรน (พากย์เสียง คณะบดีฮาร์ดแสครบเบิ้ล) ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกจากผลงานละครเวที ภาพยนตร์และโทรทัศน์ของเธอ การแสดงบทพระราชินีนาถอลิซาเบธที่สองในภาพยนตร์ปี 2006 เรื่อง “The Queen” ทำให้เธอได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด รางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลแซ็ก อวอร์ดและรางวัลบาฟต้า อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และเธอก็ยังได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์มากมาย ตั้งแต่ลอสแองเจลิสไปจนถึงลอนดอนอีกด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง “RED 2” ซึ่งถ่ายทำที่มอนทรีอัลและลอนดอนกับบรูซ วิลลิส, จอห์น มัลโควิช, แมรี่-หลุยส์ ปาร์คเกอร์และแอนโธนี ฮ็อปกินส์ ผลงานล่าสุดของเธอคือ “Hitchcock” โดยซาชา เกอร์วาซี ที่สร้างจากนิยายเรื่อง “Alfred Hitchcock and the Making of Psycho” โดยสตีเฟน รีเบลโล เธอได้แสดงประกบแอนโธนี ฮ็อปกิน์ในบทอัลมา เรวิลล์ ภรรยาของฮิทช์ค็อก ซึ่งเป็นบทที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, แซ็กและบาฟต้า สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
ภาพยนตร์ชีวประวัติของฟิล สเป็คเตอร์ทางเอชบีโอ ที่เธอรับบททนายความหญิง ลินดา เคนนีย์ บาเดนประกบอัล ปาชิโน ในบทฟิล สเป็คเตอร์ มีกำหนดเข้าฉายในปี 2013 การแสดงในบทอีเมเรงค์ของเธอในภาพยนตร์เรื่อง “The Door” ที่กำกับโดยอิสวาน ซาโบ เพิ่งได้เข้าฉายในเยอรมนี ฮังการีและประเทศอื่นๆ ในยุโรป ผลงานล่าสุดของเธอรวมถึงภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงลูกโลกทองคำเรื่อง “RED” ที่สร้างจากการ์ตูนชื่อเดียวกันของดีซี คอมิก, “The Debt” ที่เธอรับบทเจ้าหน้าที่มุสซาด ในทริลเลอร์ที่กำกับโดยจอห์น แมดเดนเรื่อง “Arthur” และ “Brighton Rock”
ผลงานภาพยนตร์ของเธอเริ่มต้นด้วยภาพยนตร์โดยไมเคิล พาวเวลล์เรื่อง “Age of Consent” แต่การแสดงแจ้งเกิดของเธอคือภาพยนตร์โดยจอห์น แม็คเคนซีย์ปี 1980 เรื่อง “The Long Good Friday” ตลอด 10 ปีหลังจากนั้น เธอได้แสดงในภาพยนตร์ชื่อดังหลากหลายแนว ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์โดยจอห์น บูร์แมนเรื่อง “Excalibur,” ภาพยนตร์ทริลเลอร์ไอริชโดยนีล จอร์แดนเรื่อง “Cal” ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์และรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด อวอร์ด, ภาพยนตร์โดยปีเตอร์ เวียร์เรื่อง “The Mosquito Coast,” ภาพยนตร์โดยปีเตอร์ กรีนอะเวย์เรื่อง “The Cook, the Thief, His Wife & Her Lover” และภาพยนตร์โดยชาร์ลส์ สเตอร์ริดจ์เรื่อง “Where Angels Fear to Tread”
เมอร์เรนได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ครั้งแรกจากบทราชินีชาร์ล็อตต์ในภาพยนตร์โดยนิโคลัส ไฮท์เนอร์เรื่อง “The Madness of King George” ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1994 เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่สองจากการแสดงในภาพยนตร์ปี 2001 โดยโรเบิร์ต อัลท์แมนเรื่อง “Gosford Park” การแสดงของเธอในบทแม่บ้านทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและบาฟต้า อวอร์ด ได้รับหลายรางวัลชมรมนักวิจารณ์และแซ็ก อวอร์ดควบ รางวัลหนึ่งในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมและอีกรางวัลในฐานะหนึ่งในทีมนักแสดงยอดเยี่ยม ล่าสุด เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำจากการแสดงของเธอใน “The Last Station” ในบทโซเฟีย โทลสตอย
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ภาพยนตร์โดยเทอร์รี่ จอร์จเรื่อง “Some Mother’s Son” ซึ่งเธอรับหน้าที่ผู้ช่วยอำนวยการสร้าง, “Calendar Girls,“ “The Clearing,” “Shadowboxer” และ “State of Play” เธอได้แสดงในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากละครเชคสเปียร์เรื่อง “The Tempest” ในบทพรอสเพรา ที่มีการแปลงเพศตัวละครคลาสสิก
เธอเริ่มต้นอาชีพนักแสดงจากบทคลีโอพัตราที่เนชันแนล ยูธ เธียเตอร์ หลังจากนั้น เธอก็ได้ร่วมงานกับรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนี ที่ซึ่งเธอได้แสดงในละครหลายเรื่องเช่น “Troilus and Cressida” และ “Macbeth” ในปี 1972 เธอได้ร่วมงานกับคณะละครของผู้กำกับคนดัง ปีเตอร์ บรู๊ค และได้ร่วมแสดงรอบโลก
เมอร์เรนมีผลงานละครเวทีมากมายด้วยการแสดงในบทที่หลากหลายและท้าทาย ล่าสุด เธอได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลโทนี อวอร์ดจากการแสดงใน “A Month in the Country” และจากการแสดงประกบเซอร์ แม็คเคลเลนใน “Dance of Death” นอกจากนี้ เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากการแสดงใน She “Mourning Becomes Electra” ที่เนชันแนล เธียเตอร์ในลอนดอน ในปี 2009 เมอร์เรนได้หวนคืนสู่เวทีเนชันแนล เธียเตอร์อีกครั้งเพื่อรับบทนำในละครเรื่อง “Phèdre” ที่กำกับโดยเซอร์นิโคลัส ไฮท์เนอร์ เธอจะกลับไปรับบทพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 อีกครั้งบนเวทีละครในลอนดอนปี 2013 ในละครเรื่อง “The Audience” ในบทละครที่เขียนโดยปีเตอร์ มอร์แกน ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “The Queen”
ด้านจอแก้ว เมอร์เรรนได้แสดงในซีรีส์รางวัลเรื่อง “Prime Suspect” ในบทหัวหน้านักสืบเจน เทนนิสัน เธอได้รับหนึ่งรางวัลเอ็มมีและสามรางวัลบาฟต้า และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอีกมากมายจากการแสดงในภาคก่อนๆ ของซีรีส์ “Prime Suspect” เธอได้รับอีกหนึ่งรางวัลเอ็มมีและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำเมื่อเธอกลับมารับบทนักสืบเจน เทนนิสันในซีรีส์ปี 2006 เรื่อง “Prime Suspect 7: The Final Act” ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของซีรีส์พีบีเอส นอกจากนี้ เมอร์เรนยังได้รับรางวัลเอ็มมี รางวัลลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ดจากบทพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ในมินิซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Elizabeth I” อีกด้วย
ผลงานจอแก้วมากมายของเธอรวมถึง “Losing Chase,” “The Passion of Ayn Rand,” “Door to Door” และ “The Roman Spring of Mrs. Stone” ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลและได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ เอ็มมี และแซ็ก อวอร์ด
เมอร์เรนได้รับการติดยศท่านผู้หญิงแห่งราชอาณาจักรอังกฤษในปี 2003
อัลเฟรด โมลินา (พากย์เสียงศาสตราจารย์ไนท์) เป็นนักแสดงชาวลอนดอนผู้ประสบความสำเร็จ ผลงานโดดเด่นหลากหลายของเขาได้นำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในแวดวงจอแก้ว จอเงินและละครเวที ปัจจุบัน เขากำลังแสดงในซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง “Monday Mornings” ที่เขียนบทและอำนวยการสร้างโดยเดวิด อี. เคลลีย์ (“Ally McBeal” และ “Harrys Law”) ซีรีส์นี้ได้เปิดตัวทางทีเอ็นทีในเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ เขายังกำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Return to Zero” สำหรับผู้กำกับฌอน ฮานิช ประกบมินนี่ ไดรเวอร์ ในเดือนมกราคม ภาพยนตร์เรื่อง “Emanuel and the Truth about Fishes” ที่เขาแสดงร่วมกับเจสสิก้า บีล จะเข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ โดยในงานนี้ ครีเอทีฟ โคอัลลิชัน จะมอบรางวัลสปอตไลท์ อวอร์ดให้กับผลงานของเขาในแวดวงภาพยนตร์อินดีด้วย
ในซีซันปี 2010-2011 เขาได้นำแสดงในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Law & Order: Los Angeles” สำหรับผู้อำนวยการสร้างดิ๊ค วูลฟ์ นอกจากนี้ เขายังได้นำแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง “An Education” และได้ถ่ายทำซีรีส์คอเมดีบีบีซีเรื่อง “Roger & Val Have Just Got In” ประกบดอว์น เฟรนช์ ในปี 2009 โมลินาได้แสดงในละครเรื่อง “Red” โปรดักชันของดอนมาร์ แวร์เฮาส์ ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง ซึ่งเปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในเดือนเมษายน ปี 2010 และที่ทำให้โมลินาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ด ในซัมเมอร์ปี 2012 เขาได้นำแสดงใน “Red” ที่โรงละครมาร์ค เทเปอร์ ฟอรัมในลอสแองเจลิส
ในซัมเมอร์ปี 2010 เขามีผลงานภาพยนตร์สองเรื่องคือ “Prince of Persia: The Sands of Time” ประกบเจค จิลเลนฮาลและ “The Sorcerer’s Apprentice” ประกบนิโคลัส เคจ ในเดือนกันยายน ปี 2011 โมลินาได้แสดงในภาพยนตร์ไลออนส์เกทเรื่อง “Abduction” ประกบเทย์เลอร์ เลาท์เนอร์และซิเกอร์นีย์ วีฟเวอร์และกำกับโดยจอห์น ซิงเกิลตัน เขาได้แสดงในสามเอพิโซดของซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Harry’s Law” ที่นำแสดงโดยเคธี เบทส์
ในปี 2002 โมลินาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า, รางวัลสมาพันธ์นักแสดง, รางวัลนักวิจารณ์ภาพยนตร์บรอดคาสต์และรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชิคาโก สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทดิเอโก ริเวรา ศิลปินคลั่งเซ็กส์ชาวเม็กซิกันใน “Frida”ดรามาสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของฟรีดา คาห์โลที่นำแสดงโดยซัลมา ฮาเย็ค ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ในระหว่างนี้ของเขาได้แก่ “Pink Panther 2,” “The Little Traitor” และ “The Tempest” ที่ทำให้เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับจูลีย์ เทย์เมอร์
หลังจากที่ได้เข้าศึกษาที่กิลด์ฮอล สคูล ออฟ มิวสิค แอนด์ ดรามาในลอนดอนแล้ว เขาก็ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะละครรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนี ที่โด่งดังของอังกฤษอย่างรวดเร็ว โดยเขาได้แสดงทั้งในละครคลาสสิกอย่าง “Troilus and Cressida” และละครออริจินอลใหม่ๆ อย่าง “Frozen Assets” และ “Dingo” ในปี 1979 เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม (และได้รับรางวัลเพลย์ แอนด์ เพลเยอร์ส อวอร์ดสาขานักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยม) ในบทเดอะ มานิแอ็คในละครเรื่อง “Accidental Death of an Anarchist” ที่จัดแสดงที่โรงละครฮาล์ฟ มูน เธียเตอร์ในกรุงลอนดอน หลังจากนั้น เขาก็ได้ก้าวไปสู่จอเงินด้วยการเปิดตัวในภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกด้วย “Raiders of the Lost Ark” และในดรามาปี 1987 ของสตีเฟน เฟรียส์เรื่อง “Prick Up Your Ears”
เส้นทางการงานของโมลินายังคงรุ่งโรจน์ในหนึ่งทศวรรษให้หลัง ด้วยบทบาทที่หลากหลายเช่นภาพยนตร์โดยไมค์ นีเวลล์เรื่อง “Enchanted April,” ภาพยนตร์ปี 1993 ของเดวิด โจนส์ที่ดัดแปลงจากนิยายโดยคาฟกาเรื่อง “The Trial” และ “Not Without My Daughter” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Maverick,” “Boogie Nights” ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์และดรามาอีพิครวมดาราเรื่อง “Magnolia” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดมากมาย เขาได้รับบทผู้อพยพชาวคิวบาในภาพยนตร์โดยมิรา แนร์เรื่อง “The Perez Family” และทนายความชาวกรีก/อเมริกันในดรามาโดยบาร์เบ็ต ชโรเดอร์เรื่อง “Before and After” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ทริลเลอร์ไซไฟโดยโรเจอร์ โดนัลด์สันเรื่อง “Species,” ทริลเลอร์ขบขันโดยจอน เอมีเอลเรื่อง “The Man Who Knew Too Little,” ภาพยนตร์โดยเบอร์นาร์ด โรสเรื่อง “Anna Karenina” และภาพยนตร์โดยสแตนลีย์ ตุชชี่เรื่อง “The Imposters”
โมลินาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงครั้งที่สามในสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมจากโรแมนติกคอเมดีขำขันที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ของแลสซี ฮอลสตรอมเรื่อง “Chocolat” และได้กลับมาร่วมงานกับฮอลสตรอมอีกครั้งเมื่อเขาได้แสดงประกบริชาร์ด เกียร์เรื่อง “The Hoax” ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของเขาได้แก่ซีเควลบล็อกบัสเตอร์โดยแซม ไรมีเรื่อง “Spider-Man 2,” ภาพยนตร์โดยจิม จาร์มัสช์เรื่อง “Coffee and Cigarettes,” ภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดที่ดัดแปลงจาก “The Da Vinci Code,” ภาพยนตร์โดยอิซาเบล โคเซ็ทเรื่อง “My Life Without Me,” ดรามาชีวประวัติโดยอีริค ทิลเรื่อง “Luther,” ทริลเลอร์ระทึกขวัญสองภาษาเรื่อง “Cronicas,” ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากบทละครเชคสเปียร์โดยเคนเนธ บรานาห์เรื่อง “As You Like It,” ภาพยนตร์โดยฟรังซัวส์ จิราร์ดเรื่อง “Silk” และภาพยนตร์โดยจอห์น เออร์วินเรื่อง “The Moon an the Stars”
ผลงานจอแก้วของโมลินาได้แก่ซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Bram and Alice” และ “Ladies’ Man” ซึ่งเขารับหน้าที่หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างด้วย ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่มินิซีรีส์ชื่อดังปี 1983 เรื่อง “Reilly: Ace of Spies,” “Miami Vice,” ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางบีบีซีเรื่อง “Revolutionary Witness,” ซีรีส์ทางกรานาดา ทีวีเรื่อง “El C.I.D.,” มินิซีรีส์ทางบีบีซีเรื่อง “Ashenden” และ ซีรีส์ทางฮอลมาร์ค แชนแนลเรื่อง “Joan of Arc” (เป็นผู้บรรยาย) นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในมินิซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง “The Company” และได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์ “Law & Order: Special Victims Unit” และ “Monk” อีกด้วย
ถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จจากงานภาพยนตร์และโทรทัศน์ โมลินาก็ไม่เคยห่างหายไปจากเวที เขาหวนคืนสู่รอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนี เพื่อรับบทเพทรูชิโอในละครเรื่อง “Taming of the Shrew” ในปี 1985 และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอลิเวียร์ จากผลงานของเขาในละครโปรดักชันอังกฤษโดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง “Speed the Plow” การแสดงละครเวทีบรอดเวย์ของเขาในปี 1998 ในละครโดยยัสมินา เรซาเรื่อง “Art” ที่นำแสดงโดยอลัน อัลดาและวิคเตอร์ การ์เบอร์ ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีครั้งแรกในจำนวนสองครั้ง (สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในละครดรามา) เขาได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในละครโดยไบรอัน ฟรีลเรื่อง “Molly Sweeney” (1995-96) และล่าสุด เขาก็ประสบความสำเร็จในบทเทฟเยในละครปี 2004 เรื่อง “Fiddler on the Roof” ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีเป็นครั้งที่สอง (สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในมิวสิคัล) และเขาก็เสร็จสิ้นจากการแสดงละครเรื่อง “The Cherry Orchard” ในปี 2006 ประกบแอนเน็ตต์ เบนนิง ที่จัดแสดงขึ้นที่มาร์ค เทเปอร์ ฟอรัม
เดฟ โฟลีย์ (พากย์เสียงเทอร์รี่) เกิดและเติบโตในโตรอนโต ที่ซึ่งเขาเข้าศึกษาในโรงเรียนไฮสคูลทางเลือก ระหว่างที่อยู่ที่นั่น เขาเริ่มต้นเขียนบทสแตนด์อัพคอเมดีสำหรับโปรเจ็กต์งานเขียนสร้างสรรค์ ความสนใจในละครอิมโพรไวส์นำเขาไปสู่เวิร์คช็อปคอเมดี ที่ซึ่งเขาได้พบและร่วมมือกับเควิน แม็คโดนัลด์ หนึ่งปีให้หลัง พวกเขากลายเป็น “เดอะ คิดส์ อิน เดอะ ฮอล” และอย่างที่คนเขาพูดกัน ที่เหลือก็เป็นเรื่องของอดีต!
เอกลักษณ์คอเมดีที่โดดเด่นและน่าขบขันของพวกเขาทำให้ “เดอะ คิดส์ อิน เดอะ ฮอล” มีแฟนกลุ่มใหญ่คอยติดตาม ซึ่งก็ส่งอิทธิพลให้เกิดสเก็ตช์ คอเมดีรุ่นใหม่ขึ้นมา ในปี 1987 ลอร์เน ไมเคิลส์ได้ผลิตรายการพิเศษทางโทรทัศน์เรื่องแรกของพวกเขา ในปี 1989 พวกเขาได้มีซีรีส์ของตัวเองกับแคนาเดียน บรอดคาสติ้ง คัมปะนี และต่อมาก็ทางเอชบีโอ ที่ซึ่งรายการนี้ได้แพร่ภาพจนกระทั่งปี 1991ไม่นานนัก ซีบีเอสและคอเมดี เซ็นทรัลก็เลือกมันมาฉายระหว่างปี 1992-1994 พวกเขาได้ขยับขยายไปทำงานภาพยนตร์ด้วย “Brain Candy” ปี 1995 ให้กับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส
หลังจากความสำเร็จทางจอแก้วของ “Kids…” ก็เซ็นสัญญากับซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Newsradio” ระหว่างซีซัน เขาได้กรุยทางสู่งานภาพยนตร์ที่ยังคงไปได้สวยอยู่จนทุกวันนี้ นอกเหนือจากงานคอเมดีแล้ว โฟลีย์ยังได้แสดงในมินิซีรีส์ชื่อดังทางเอชบีโอเรื่อง “From the Earth to the Moon” นอกจากนี้ เขายังได้เขียนบทและนำแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “The Wrong Guy” ที่เข้าฉายในแคนาดาอีกด้วย นอกเหนือจากนั้น เขาก็ได้กำกับสารคดีเกี่ยวกับ “คิดส์ อิน เดอะ ฮอล” ในชื่อ “Same Guys New Dresses” ที่สร้างจากการแสดงทัวร์ของกลุ่มด้วย
ผลงานภาพยนตร์ของเขาได้แก่ “Sky High,” “A Bug’s Life,” “Toy Story 2,” “A Blast from the Past” และ “South Park: Bigger and Longer”
โฟลีย์กล่าวว่าความสนใจในการแสดงส่วนใหญ่ของเขาเกิดจากตัวอย่างระดับแนวหน้าอย่างแฟรงค์ แซ็ปป้า, เจอร์รี่ ลูอิส, พี่น้องมาร์กซ์, บัสเตอร์ คีย์ตันและมอนตี้ ไพธอน
ฌอน พี. เฮเยส (พากย์เสียงเทอร์ริ) ผู้ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงละครเวที จอแก้วและจอเงิน สะสมชื่อเสียงอย่างรวดเร็วจากบทแจ็ค แม็คฟาร์แลนด์ หนุ่มช่างประชดประชันผู้น่าขบขันในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Will & Grace” นอกเหนือจากการทำงานอย่างประสบความสำเร็จและพร้อมกันในละครเวที จอแก้วและจอเงิน เขายังพ่วงหน้าที่ในการอำนวยการสร้างเข้าไปด้วย ในฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา เขาได้แสดงในคอเมดียอดนิยมที่ถูกนำกลับมาสร้างใหม่เรื่อง “The Three Stooges” ภาพยนตร์ที่กำกับโดยปีเตอร์และบ็อบบี้ ฟาร์เรลลีเรื่องนี้ทำให้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลามจากการแสดงในบทแลร์รี่ ประกบคริส เดียแมนโทพูลอส ในบทโมและวิล แซสโซในบทเคอร์ลี่ ในซัมเมอร์ปีนี้ เขาได้รับบทคามีโอที่น่าจดจำในแอ็กชันคอเมดีโดยแด็กซ์ เชพเพิร์ดเรื่อง “Hit and Run” ด้านจอแก้ว เขาได้แสดงในหลายเอพิโซดของซิทคอมทางเอ็นบีซีเรื่อง “Up All Night” เขาได้รับบทดารารับเชิญในซีซันล่าสุดของซีรีส์ “Parks and Recreation,” “Portlandia” และซีรีส์ “Hot in Cleveland” ของเขา ในเดือนกุมภาพันธ์ เขาจะได้แสดงในหลายเอพิโซดของ “Smash” ในฐานะดาราจอแก้วและจอเงินที่เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์
ในปี 2011 เฮเยสได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในละครที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง “Promises, Promises” ที่เขาแสดงประกบคริสติน เชโนเวธ เขาได้รับบท ชัค แบ็กซ์เตอร์ พนักงานประกันชีวิตหนุ่ม ผู้ให้ผู้บริหารของเขายืมอพาร์ทเมนต์ทำเรื่องนอกใจด้วยความหวังจะก้าวหน้าในบริษัท เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีจากการแสดงของเขาและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมีจากการบันทึกเสียงซาวน์แทร็คของเขาด้วย ในปีเดียวกัน เขายังรับหน้าที่พิธีกรรายการประกาศผลรางวัลโทนี อวอร์ดและได้รับรางวัลเอ็มมีจากผลงานของเขาในภายหลัง ก่อนหน้านี้ เขาได้แสดงละครเวทีเรื่อง “Damn Yankees” โปรดักชันของนิวยอร์ก ซิตี้ เซ็นเตอร์ ประกบเจน คราโคว์สกี้และเชยีนน์ แจ็คสัน
ในปี 2003 เขาและท็อดด์ มิลลิเนอร์ หุ้นส่วนการอำนวยการสร้างของเขาได้ก่อตั้งเฮซี่ มิลส์ โปรดักชันส์ขึ้น “Situation: Comedy” ผลงานสร้างเรื่องแรกของเขา ซึ่งเป็นรายการสารคดีโทรทัศน์ที่ค้นหาซิทคอมเยี่ยมๆ เรื่องใหม่ แพร่ภาพในซัมเมอร์ปี 2005 และได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในวงกว้าง เฮซี่ มิลส์กำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้างซีซันที่สี่ของซีรีส์ “Hot in Cleveland” คอเมดีแบบมีบทสำหรับทีวี แลนด์ ที่นำแสดงโดยเบ็ตตี้ ไวท์, เว็นดี้ มาลิค, เจน ลีฟส์และวาเลรี่ เบอร์ทิเนลลี่ ซีซันแรกของมันได้รับเรตติ้งสูงสุดในประวัติศาสตร์ของทีวี แลนด์และยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ซีรีส์นี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดปี 2011 (การแสดงยอดเยี่ยมโดยทีมนักแสดงในซีรีส์คอเมดี) และทำให้เบ็ตตี้ ไวท์ได้รับรางวัลแซ็ก อวอร์ดปี 2011 และ 2012 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดี เฮซี่ มิลส์ได้อำนวยการสร้างซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Grimm” ดรามาตำรวจแฟนตาซีมืดหม่นที่กำลังแพร่ภาพซีซันที่สองและเกิดขึ้นในโลกที่ตัวละครที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเทพนิยายกริมม์มีอยู่จริง ล่าสุด พวกเขาได้อำนวยการสร้างซิทคอมเรื่อง “The Soul Man” ที่นำแสดงโดยเซดริค เดอะ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และแพร่ภาพทีวี แลนด์ในซัมเมอร์ที่ผ่านมา ผลงานหลังจากนี้ของพวกเขาคือ “Sean Hayes TV Project” ซิทคอมสำหรับเอ็นบีซีที่เฮเยสจะนำแสดง
เขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างในปี 1998 เมื่อเขาได้รับบทแจ็คในซีรีส์ “Will & Grace” การแสดงของเขาทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ด (และได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัล), สี่รางวัลแซ็ก อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงเจ็ดรางวัลลูกโลกทองคำ ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ที่โดดเด่นของเขาได้แก่บทดารารับเชิญที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในซีรีส์ “Scrubs” และ “30 Rock” รวมไปถึง “Martin & Lewis” ภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ที่นำแสดงโดยเฮเยสในบทเจอร์รี่ ลูอิส ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ด
ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเขาได้แก่ “The Bucket List,” “Billy’s Hollywood Screen Kiss,” “Pieces of April,” the voice of Mr. Fish in “The Cat in the Hat,” “Win a Date with Tad Hamilton,” “Igor,” “Soul Men” และได้พากย์เสียงมิสเตอร์ ทิงเคิลส์ในภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง “Cats and Dogs”
โจเอล เมอร์เรย์ (พากย์เสียง ดอน คาร์ลตัน) เป็นนักแสดงอเมริกันผู้มีบทบาทโดดเด่นในซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Grand,” “Love & War” และ “Dharma and Greg” และเขายังได้แสดงในภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงการแสดงนำใน “God Bless America”ด้วย
เขาได้แสดงในซีรีส์ปี 1990 เรื่อง “Grand,” ซีรีส์คอเมดีปี 1991 เรื่อง “Pacific Station,” ซีรีส์คอเมดีปี 1992 เรื่อง “Love & War” ในบทเรย์ ลิทวัคและซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Dharma & Greg” ในบทพีท คาวานัฟ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในโฆษณาสำหรับเฟิร์สท์ ชิคาโก้ เอ็นบีดีอีกด้วย เขาได้พากย์เสียงซีรีส์อายุสั้นปี 1994 เรื่อง “Beethoven” และซีรีส์เรื่อง “3-South” เขารับบทสมทบ ฟิทซ์ ในซิทคอมทางซีบีเอสเรื่อง “Still Standing” และได้รับบทเอ็ดดี้ แจ็คสันในซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง “Shameless” ในปี 2011
การแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเมอร์เรย์คือคอเมดีปี 1986 เรื่อง “One Crazy Summer” ในบทจอร์จ คาลามารี่ การแสดงเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่คอเมดีปี 1988 เรื่อง “Scrooged” กับบิล, ไบรอันและจอห์น พี่น้องของเขา เขาได้แสดงในภาพยนตร์ปี 1992 เรื่อง “Shakes the Clown” ร่วมกับบ็อบ โกลด์ธเวทและทอม วิลลาร์ด เพื่อนร่วมแสดงจาก “One Crazy Summer”
ในซีซันแรก ซีซันที่สองและซีซันที่สี่ของซีรีส์รางวัลเอ็มมีทางเอเอ็มซี ทีวีเรื่อง “Mad Men” เมอร์เรย์ได้แสดงใน 12 เอพิโซดในบทก็อปปี้ไรเตอร์ เฟร็ดดี้ รัมเซน เขาได้แสดงบทดารารับเชิญในซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่องเช่น “The Nanny,” “Joan of Arcadia,” “Two and a Half Men,” “Malcolm in the Middle,” “Criminal Minds” และ “Blossom”
ในภาพยนตร์ปี 2011 เรื่อง “God Bless America” เขารับบท แฟรงค์ ชายผู้ซึ่งความรังเกียจในความฉาบฉวยและความเห็นแก่ตัวในสังคมอเมริกันผลักดันเขาให้เสียสติและไล่ล่าฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง
เมอร์เรย์แต่งงานกับเอไลซา คอยล์และมีลูกด้วยกันสี่คน เขาและพี่น้องของเขาบริหารงานแคดดี้แช็ค ร้านอาหารที่ตั้งชื่อตามภาพยนตร์คอเมดีปี 1980 ที่นำแสดงโดยบิลและไบรอัน พี่น้องของเขา
ปีเตอร์ ซอห์น (พากย์เสียงสก็อตต์ “สควิชชี่” สควิบบิ้ลส์) ได้เข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนกันยายน ปี 2000 และเริ่มต้นทำงานในแผนกศิลป์และแผนกเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง “Finding Nemo” เขาเดินหน้าทำงานในแผนกศิลป์ เรื่องราวและอนิเมชันในภาพยนตร์เรื่อง “The Incredibles” เขาโฟกัสกับการสร้างภาพอนิเมชันของครอบครัวพาร์และทำงานในฉากที่น่าจดจำมากมายของเรื่อง นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่นักวาดภาพสตอรี บอร์ดในภาพยนตร์ปี 2008 ที่ได้รับรางวัลออสการ์เรื่อง “WALL•E” อีกด้วย
ซอห์นได้ร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างเควิน เรเฮอร์ในภาพยนตร์ขนาดสั้นของพิกซาร์เรื่อง “Partly Cloudy” ซึ่งเป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกที่พิกซาร์ของเขาเช่นกัน ปัจจุบัน เขากำลังทำหน้าที่ผู้กำกับร่วมในโปรเจ็กต์พิกซาร์เรื่องใหม่
นอกเหนือจากผลงานเบื้องหลังแล้ว เขายังได้พากย์เสียงภาพยนตร์พิกซาร์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงบทเอมิลในภาพยนตร์เรื่อง “Ratatouille” อีกด้วย
ก่อนหน้าพิกซาร์ เขาได้ทำงานกับวอร์เนอร์ บรอส. กับผู้กำกับแบรด เบิร์ดจาก “Ratatouille” ในภาพยนตร์เรื่อง “The Iron Giant” และดิสนีย์ ทีวี เขาเติบโตขึ้นมาในนิวยอร์กและเข้าศึกษาที่แคลิฟอร์เนีย อินสติติวท์ ออฟ ดิ อาร์ตส์ (แคลอาร์ตส์) ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในเบย์ แอเรีย
ชาร์ลีย์ เดย์ (พากย์เสียงอาร์ท) นักแสดง/มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างผู้นี้ได้รับเสียงชื่นชมจากบรรดานักวิจารณ์และแฟนๆ ทั่วโลก ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในคอเมดีจากงานบีทีเจเอ คริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดจากการแสดงของเขาในบทชาร์ลีย์ เคลลี่ หนุ่มซุ่มซ่ามใน “It’s Always Sunny in Philadelphia” นอกเหนือจากงานแสดง เขายังรับหน้าที่มือเขียนบทและผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่องอีกด้วย เขาได้สร้างซีรีส์นี้ร่วมกับเพื่อนๆ ร็อบ แม็คเอลเฮนนีย์และเกลนน์ โฮเวอร์ตัน ซีซันที่เก้าของซีรีส์ “Sunny” จะแพร่ภาพครั้งแรกในฤดูใบไม้ร่วงทางเอฟเอ็กซ์
เดย์เริ่มต้นการแสดงจากละครเวที เขาแสดงที่วิลเลียมส์ทาวน์ เธียเตอร์ เฟสติวัลนานสี่ปี ก่อนที่จะได้รับบทนำในละครเรื่อง “Dead End” ที่ฮันติงตัน เธียเตอร์ในบอสตัน
เขารับบทประจำในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Third Watch” และรับบทนำ ริชชี่ในซีรีส์คอเมดีทางฟ็อกซ์เรื่อง “Luis” ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่บทประจำในซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Madigan Men” ที่กำกับโดยเจมส์ เบอร์โรว์ส, ซีรีส์ทางคอเมดี เซ็นทรัลเรื่อง “Reno 911!,” ซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Law & Order” และซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Mary and Rhoda” ที่นำแสดงแมรี่ ไทเลอร์ มัวร์
เดย์เข้าสู่วงการภาพยนตร์ด้วยคอเมดีเรื่อง “Going the Distance” ที่เขาแสดงประกบดรูว์ แบร์รีมอร์, จัสติน ลองและเจสัน ซูเดคิส หลังจากนั้น เขาก็มีผลงานตามมาเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง “Horrible Bosses” ประกบเจสัน เบทแมน, เจมี่ ฟ็อกซ์และเจนนิเฟอร์ อานิสตัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่า 200 ล้านเหรียญทั่วโลก
ผลงานถัดไปของเขาคือภาพยนตร์สัตว์ประหลาดที่หลายคนเฝ้ารอโดยกุยเลอร์โม เดล โทโรเรื่อง “Pacific Rim” ที่ร่วมแสดงโดยอิดริส เอลบ้า, ชาร์ลีย์ ฮันน์แนมและวิลเลม เดโฟ ภาพยนตร์โดยเดอะ ลีเจนดารี พิคเจอร์สเรื่องนี้จะเข้าฉายในซัมเมอร์ปีนี้
ในเดือนกันยายน ปี 2011 อาร์ซีจี บริษัทโปรดักชันของเดย์ ที่ก่อตั้งขึ้นโดย เกลนน์ โฮเวอร์ตันและร็อบ แม็คเอลเฮนีย์ ผู้ร่วมสร้าง “It’s Always Sunny in Philadelphia” ได้เซ็นสัญญามูลค่า 50 ล้านเหรียญ กับเอฟเอ็กซ์ พวกเขาจะปล่อย “Sunny” ออกมาอีกสองซีซัน และมีทางเลือกสำหรับซีซันที่สาม นอกจากนี้ พวกเขายังได้สร้างซีรีส์อนิเมชันสำหรับสถานีในชื่อ “Unsupervised” ที่แพร่ภาพในเดือนมกราคมปี 2012 พากย์เสียงโดยคริสเตน เบลและจัสติน ลอง
เดย์เกิดในย่านบรองซ์, นิวยอร์ก ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาของเขา แมรี่ อลิซาเบธ เอลลิส ผู้รับบท “สาวเสิร์ฟ” ใน “Sunny”
นอกเหนือจากการแสดงใน “Castle” แล้ว นาธาน ฟิลเลียน (พากย์เสียง จอห์นนี่) ยังรับบทประจำในซีรีส์ “Desperate Housewives” ในบทดร.อดัม เมย์แฟร์ เพื่อนบ้านใหม่บนถนนวิสเทอเรีย เลน และสามีที่อายุอ่อนกว่าของแคทเธอรีน เมย์แฟร์ (ดานา เดลานี่) ด้านจอเงิน เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Percy Jackson: Sea of Monsters” ที่จะเข้าฉายในวันที่ 16 สิงหาคม ปี 2013 และได้นำแสดงในภาพยนตร์โดยเจส วีดอนเรื่อง “Much Ado About Nothing” ซึ่งจะเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ “Trucker” ที่ประกบมิเชลล์ โมนาแกน, “Waitress” โรแมนติกคอเมดีประกบเครี่ รัสเซล, ภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลเรื่อง “Slither” ที่ร่วมแสดงโดยอลิซาเบธ แบงค์, “White Noise 2,” ภาพยนตร์โดยวีดอนเรื่อง “Serenity,” “Saving Private Ryan,” ภาพยนตร์อินดีเรื่อง “Water’s Edge,” “Blast from the Past” และ “Dracula 2000” ด้านจอแก้ว เขาได้รับการเสนอชื่อชิงเอ็มมี จากการแสดงของเขาในดรามาช่วงกลางวันเรื่อง “One Life to Live” ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ซีรีส์ “Drive,” “Two Guys, a Girl and a Pizza Place,” “Buffy the Vampire Slayer,” “Pasadena” และ “Miss Match”
ฟิลเลียน เป็นชาวเอ็ดมอนตัน, อัลเบอร์ต้า เขาเคยอยากเป็นครูสอนเด็กไฮสคูลและได้ศึกษาที่มหาวิทยาลัยอัลเบอร์ต้า หลังจากนั้น เขาได้แสดงในละครต่างๆ ในเอ็ดมอนตัน ฟรินจ์ เฟสติวัลและได้ร่วมแสดงกับคณะตลกในเมืองก่อนที่เขาจะไล่ตามเส้นทางสายนักแสดงในนิวยอร์กและลอสแองเจลิส
บ็อบบี้ มอยนิฮัน (พากย์เสียง เช็ท) เป็นสมาชิกของ Saturday Night Live และตลอดสี่ปีที่เขาได้ร่วมแสดงรายการ เขาก็ได้แสดงบทออริจินอลมากมายเช่นลุงขี้เมาจากวีคเอนด์ อัพเดท, มาร์ค เพย์น พนักงานเสิร์ฟที่ไม่ได้เรื่องที่พิซเซอเรีย อูโน่และวินนี่ วีเซ็ดดี้ จูเนียร์ ลูกชายพิธีกรรายการทอล์คโชว์ชาวอิตาเลียน ที่รับบทโดยบิล เฮเดอร์ ส่วนผลงานเลียนแบบของเขารวมถึงนิโคล “สนุ้กกี้” โพลิซซี่, กาย เฟียรี่, คริส คริสตี้ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์และนิวท์ กินกริช
ผลงานจอแก้วของเขารวมถึงบทรับเชิญในซีรีส์ “Girls” ทางเอชบีโอ, “Happy Endings” ทางเอบีซี, “Mercy” ทางเอ็นบีซีและ “Human Giant” ทางเอ็มทีวี ด้านภาพยนตร์ เขามีบทสมทบในคอเมดีเรื่องใหม่ของอดัม แซนด์เลอร์เรื่อง “Grown-Ups 2” และได้รับบทน้องชายของวินซ์ วอห์นในภาพยนตร์โดยเคน สก็อตเรื่อง “Delivery Man” ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเขาได้แก่ “The Invention of Lying” ที่ร่วมกำกับและนำแสดงโดยริคกี้ เกอร์เวส, “When in Rome” ประกบคริสเตน เบลและจอช ดูฮาเมลและ “Mystery Team” ภาพยนตร์อินดีจากเดอร์ริค คอเมดี ที่เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2009
เขาเป็นนักแสดงขาประจำที่อัพไรท์ ซิติเซนส์ บริเกด เธียเตอร์ในนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขายังคงแสดงในฐานะสมาชิกผู้ภาคภูมิใจของคณะอิมโพรไวส์ยอดนิยมของยูบีซี ในชื่อเดอะ สเต็ปฟาเธอร์ส เขาเป็นสมาชิกของคณะยูซีบี ฮาร์โรลด์ เดอะ โชฟส์และโพลิซ ชีฟ รัมเบิล และเป็นมือเขียนบท/นักแสดงสำหรับยูบีซี ทัวริง คัมปะนี เขายังคงแสดงอย่างสม่ำเสมอในรายการ “Assssscat” ประจำสัปดาห์ของยูซีบี
เขาร่วมกับชาร์ลีย์ แซนเดอร์สและยูจีน คอร์เดโร เพื่อนของเขา ก่อตั้งคณะสเก็ตช์ บัฟฟูนส์ขึ้น การแสดงของพวกเขาที่คล้ายกับ “The Three Stooges” ได้รับความนิยมอย่างสูงในเทศกาลจัสท์ ฟอร์ ลัฟส์ คอเมดี เฟสติวัลในมอนทรีอัล ในปี 2007 นอกเหนือจากนั้น เขายังได้แสดงร่วมกับสมาชิกของคณะสเก็ตช์ยอดนิยม เดอร์ริค คอเมดี และได้ร่วมแสดงกับโฮราชิโอ ซันส์ เพื่อนจาก SNL ของเขาในฐานะส่วนหนึ่งของทัวร์คิงส์ ออฟ อิมโพรไวส์ของซันส์
มอยนิฮันมาจากอีสต์เชสเตอร์, นิวยอร์กและใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์ก ซิตี้ เขาเกิดวันที่ 31 มกราคม
จูเลีย สวีนนีย์ (พากย์เสียงมิสสควิบเบิ้ลส์) เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดง “Saturday Night Live” สี่ซีซัน (1990-1994) ซึ่งตัวละครที่โด่งดังที่สุดของเธอคือแพท บุคคลไร้เพศ นอกจากนี้ เธอยังเป็นที่รู้จักจากโมโนล็อกเดี่ยวที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม “God Said, Ha!” และ“Letting Go of God” “God Said, Ha!” ได้จัดแสดงบนเวทีบรอดเวย์ในโรงละครลีเซียมในปี 1996 ละครเรื่องนี้เล่าเหตุการณ์ที่ไมเคิล พี่ชายของเธอถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งและประสบการณ์ของเธอในฐานะผู้ดูแลเขา ระหว่างนี้ ตัวเธอเองก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งด้วยเช่นกัน มิราแมกซ์ได้จัดจำหน่ายเวอร์ชันภาพยนตร์ของละครเรื่องนี้ในปี 1998 ซึ่งอำนวยการสร้างโดยเควนติน ทารันติโน เวอร์ชัน CD ของละครเรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมี ส่วน “Letting Go of God” ซึ่งเป็นละครเกี่ยวกับการตามหาพระเจ้าของสวีนนีย์ ก็จัดแสดงในนิวยอร์กและลอสแองเจลิสเช่นกัน และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์สำหรับโชว์ไทม์
สวีนนีย์ทำหน้าที่เป็นมือเขียนบทซีรีส์หลายๆ เรื่อง ซึ่งรวมถึง “Sex and the City” และ “Desperate Housewives” นอกจากนั้น เธอยังได้แสดงซีรีส์อีกหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Fraiser” และ “Sex & the City” และในภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “It’s Pat: The Movie,” “Pulp Fiction” และ “Stuart Little” รวมไปถึง “Beethoven 3” และ “Beethoven 4” ในบทแม่ สวีนนีย์ได้แสดงร่วมกับเพื่อนของเธอ นักร้องร็อค/โฟล์ค จิล โซบุล เป็นครั้งคราวในการแสดงที่ไม่เป็นทางการนัก (แต่ก็สนุกมาก) ในชื่อว่า “The Jill & Julia Show” พวกเขาเปิดการแสดงปีละประมาณ 12 ครั้ง
หนังสือเรื่อง “If It’s Not One Thing, It’s Your Mother” ได้รับการตีพิมพ์โดยไซมอน แอนด์ ชูสเตอร์ในเดือนเมษายน ปี 2013 เธอกำลังอยู่ระหว่างการเขียนหนังสืออีกเรื่องหนึ่งในชื่อ “My Beautiful Loss-of-Faith Story: A Catholic Girl Goes Rogue” รวมถึงเขียนบทภาพยนตร์สำหรับผลงานการกำกับเรื่องแรกของเธอในชื่อ “Fork”
สวีนนีย์ใช้ชีวิตอยู่นอกเมืองชิคาโก้ในวิลเม็ทท์, อิลลินอยส์ กับสามีและลูกสาวของเธอ
ออเบรย์ พลาซ่า (พากย์เสียงแคลร์ วีลเลอร์) เมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งได้แสดงประกบมาร์ค ดูพลาสและเจค จอห์นสันในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมโดยโคลิน เทรวอร์โรว์เรื่อง “Safety Not Guaranteed” ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่อำนวยการสร้างโดยเจย์และมาร์ค ดูพลาส เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2012 การแสดงของพลาซ่าในเรื่องนั้นทำให้เธอได้รับรางวัล 2012 อัลมา อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดนิยม-คอเมดี/มิวสิคัล และทีมนักแสดงของเรื่องก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลก็อทแธม อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัล 2013 อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์เรื่องแรกยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลภาพยนตร์เรื่องแรกยอดเยี่ยมอีกด้วย
หลังจากนี้ เธอจะรับบทนางเอกในภาพยนตร์โดยแม็กกี้ แครีย์เรื่อง “The To Do List” ในบทนักเรียนที่เพิ่งจบไฮสคูลและตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องสะสมประสบการณ์ทางเพศมากขึ้นก่อนจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย ภาพยนตร์เรื่องนี้จะจัดจำหน่ายโดยซีบีเอส ฟิล์มส์ในวันที่ 16 สิงหาคม ปี 2013 และร่วมแสดงโดยบิล เฮเดอร์, แอนดี้ แซมเบิร์กและราเชล บิลสัน
เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์โดยจัสติน เรียร์ดอนเรื่อง “A Many Splintered Thing” ประกบคริส อีวานส์, จิโอวานนี ริบิซี่, แอนโธนี แม็กกี้, ลุค วิลสันและมิเชลล์ โมนาแกน ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของมือเขียนบทหนุ่ม (อีวานส์) ผู้ต้องสะสางวิกฤติในชีวิตที่เกิดจากการพบหญิงสาวคนหนึ่ง (โมนาแกน) ที่ทำให้เขาเชื่อในความรักเสียที แต่หล่อนดันมีคู่หมั้นแล้วซะนี่ พลาซ่ารับบท มัลโลรี่ หนึ่งในเพื่อนสนิทของมือเขียนบทและสมาชิกกลุ่มมือเขียนบท ผู้ช่วยให้เขาผ่านพ้นวิกฤติแต่ก็แอบหลงรักเขาเงียบๆ
ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของเธอได้แก่การแสดงนำในภาพยนตร์โดยโรมัน คอปโปลาเรื่อง “A Glimpse Inside the Mind of Charlie Swan III,” ภาพยนตร์โดยเจมี่ ลินเดนเรื่อง “10 Years”ประกบแชนนิง ทาทัม, ภาพยนตร์โดยวิท สติลแมนเรื่อง “Damsels in Distress” ประกบเกรต้า เกอร์วิกและอดัม โบรดี้, แอ็กชันคอเมดีโดยเอ็ดการ์ ไรท์เรื่อง “Scott Pilgrim vs. The World” ประกบไมเคิล เซรา, เจสัน ชวอร์ทซ์แมนและคริส อีวานส์, ภาพยนตร์โดยจั๊ดด์ อพาโทว์เรื่อง “Funny People”ประกบอดัม แซนด์เลอร์, เลสลีย์ แมนน์และเซธ โรแกนและภาพยนตร์โดยแดน เอคแมนเรื่อง “Mystery Team” ประกบโดนัลด์ โกลเวอร์
ด้านจอแก้ว เธอได้แสดงในซีรีส์คอเมดีเอ็นบีซีที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีเรื่อง “Parks and Recreation” ประกบเอมี่ โพห์เลอร์ เธอรับบทเอพริล ลุดเกท ผู้ช่วยผู้ถูกมองข้ามของรอน สแวนสัน ที่รับบทโดยนิค ออฟเฟอร์แมน ที่แต่งงานกับแอนดี้ ไดเยอร์ ที่รับบทโดยคริส แพรทท์ ซีรีส์นี้จากเกร็ก แดเนียลส์และไมเคิล ชูร์ ผู้สร้าง “The Office” เป็นม็อคคิวเมนทารีครึ่งชั่วโมงเกี่ยวกับการปกครองในท้องถิ่น ที่กำลังแพร่ภาพซีซันที่ห้า
ผลงานอื่นๆ ของเธอได้แก่ซีรีส์ออนไลน์ยอดนิยม “The Jeannie Tate Show,” ซีรีส์เว็บอีเอสพีเอ็น “Mayne Street” และการเป็นดารารับเชิญในซีรีส์ “30 Rock” และ “Portlandia”
พลาซ่าแสดงอิมโพรฟและสเก็ตช์ คอเมดีที่อัพไรท์ ซิติเซนส์ บริเกด เธียเตอร์มาตั้งแต่ปี 2004 เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งแสดงสแตนด์อัพและได้แสดงที่โรงละครลัฟ แฟคทอรีและเดอะ อิมโพรฟ พลาซ่าเดิมมาจากวิลมิงตัน, เดลาแวร์ เธอสำเร็จการศึกษาจากทิสช์ สคูล ออฟ ดิ อาร์ตส์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก
ไทเลอร์ ลาไบน์ (พากย์เสียงรองประธานสภากรีก) จะได้ร่วมแสดงกับจัสติน ลองในคอเมดีเรื่อง “Best Man Down” ในบทลัมปี้ เพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งงานที่อริโซนาเป็นดาวเด่นของงานปาร์ตี้จนกระทั่งค่ำคืนสุขสันต์ที่ยาวนานนำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์แฮมป์ตันปี 2012 หลังจากนั้น ลาไบน์ก็ได้แสดงใน “Someone Marry Barry” ภาพยนตร์เกี่ยวกับเพื่อนสามคนที่วางแผนจะกำจัดเพื่อนที่ออกสังคมไม่เก่งของพวกเขาด้วยการหาภรรยาให้เขา แต่เมื่อเขาดันไปเจอผู้หญิงที่เหมือนกับเขา ปัญหาของพวกเขาก็เลยเบิ้ลเป็นสองเท่า นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบมาลิน แอ็คเกอร์แมนและลูซี่ พันช์ใน “Cottage Country” เกี่ยวกับวันหยุดพักผ่อนของครอบครัวที่ลงเอยด้วยฆาตกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย
ในปี 2011 เขาได้รับบทแฟรงค์ลิน คู่หูแล็บของตัวละครของเจมส์ ฟรังโก้ใน “The Rise of the Planet of the Apes” นอกจากนั้น เขายังแสดงในคอเมดีเรื่อง “A Good Old Fashioned Orgy” ประกบเจสัน ซูเดคิสอีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องของกลุ่มเพื่อนสนิทวัย 30 กว่าๆ ที่ใช้เวลาทุกสุดสัปดาห์ในทุกซัมเมอร์จัดงานปาร์ตี้สุดอลังการ ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมในงานเทศกาลภาพยนตร์ไทรเบกา
เขาได้แสดงในคอเมดีสยองขวัญปี 2010 เรื่อง “Tucker and Dale vs. Evil” ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ เขาได้รับรางวัลลีโอ อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์จากผลงานของเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออเดียนซ์ อวอร์ดและมิดไนท์ มูฟวี อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์และดนตรีเซาธ์บายเซาธ์เวสต์, รางวัลจูรี ไพรซ์สาขาภาพยนตร์เรื่องแรกยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์แฟนตาเซียที่มอนทรีอัลและรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสมาพันธ์ผลิตสื่ออัลเบอร์ตา ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “My Boss’s Daughter” ประกบแอชตัน คุทเชอร์, “Zack and Miri Make a Porno” ประกบเซธ โรแกน, “Flyboys,” “Trixie” และ “Antitrust” ในปี 2004 เขาได้อำนวยการสร้างเรื่อง “Everyone” ซึ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์มอนทรีอัล เขาและคาเมรอน พี่ชายของเขาได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “Control Alt Delete” ที่ไทเลอร์ได้นำแสดงและอำนวยการสร้าง โดยคาเมรอนเป็นผู้กำกับ นอกเหนือจากนั้น เขายังได้ควบคุมงานสร้าง นำแสดง เขียนบทและร่วมกำกับม็อคคิวเมนทารีเรื่อง “Extreme Walking” อีกด้วย
เขาได้แสดงในคอเมดีเอ็นบีซีเรื่อง “Animal Practice” ในบทดร.ดั๊ก แจ็คสัน สัตวแพทย์ผู้เข้ากับสัตว์ได้ดีแต่อับโชคในเรื่องความรัก เขาได้ขโมยซีนในซีรีส์คอเมดีทางซีบีเอสเรื่อง “Mad Love” เกี่ยวกับชาวนิวยอร์กสี่คนที่กำลังตามหารัก นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในดรามาซีดับบลิวเรื่อง “Reaper” ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลลีโอ อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามาติดต่อกัน ลาไบน์ ผู้เป็นขาประจำซีรีส์ไซไฟทางเอบีซีเรื่อง “Invasion” ได้แสดงนำในซีรีส์กฎหมายยอดนิยมของเอบีซีเรื่อง “Boston Legal” ซึ่งได้รับห้ารางวัลเอ็มมี อวอร์ดและสี่รางวัลลูกโลกทองคำ ระหว่างที่แพร่ภาพห้าปี เขาได้นำแสดงในซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “Sons of Tucson” และรับบทจอห์น เบลุชชี่ในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “Behind the Camera: The Unauthorized story of ‘Mork & Mindy’
ลาไบน์ ผู้เป็นพิธีกรและผู้อำนวยการดนตรีมากความสามารถ ได้ก่อตั้งวงฮิปฮ็อป เซลฟ์-เดปกับไคล์ พี่ชายของเขา, เจฟ กุสตาฟสันและไรอัน ร็อบบินส์ ดีมอนส์ อาร์ รีล ของลาไบน์เป็นวงอิเล็คโทร/อินดี/ป๊อปที่เขาก่อตั้งร่วมกับคาเมรอน พี่ชายของเขา
ลาไบน์เป็นชาวแคนาดา เขาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงตอนอายุได้ 9 ขวบ เมื่อเขาได้แสดงในซีรีส์โทรทัศน์และละครเวทีในโตรอนโต, ออนตาริโอ เขาย้ายไปแวนคูเวอร์, บริติช โคลัมเบีย และเดินหน้าทำงานในจอแก้วและจอเงินอย่างต่อเนื่อง ลาไบน์แบ่งเวลาอยู่ระหว่างแวนคูเวอร์และลอสแองเจลิส
จอห์น คราซินสกี้ (พากย์เสียง “ไฟรเทนนิง” แฟรงค์ แม็คเคย์) ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในนักแสดง มือเขียนบทและผู้กำกับที่น่าตื่นเต้นที่สุด และได้สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมทั้งในจอแก้วและจอเงิน
เขาได้แสดงในภาพยนตร์ที่กำกับโดยกัส แวน แซงต์เรื่อง “Promised Land” ซึ่งเขาเขียนบทร่วมกับแมทท์ เดมอน ทั้งคู่ได้นำแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเซลส์แมนจากบริษัทใหญ่ (เดมอน) ผู้เดินทางไปเมืองชนบทพร้อมกับคู่หูของเขา (ฟรานซิส แม็คดอร์มานด์) เพื่อเสนอสิทธิในการขุดเจาะน้ำมันให้กับชาวเมือง สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นงานง่ายๆ กลับยุ่งเหยิงด้วยการคัดค้านจากครูผู้ได้รับการนับหน้าถือตา (ฮัล ฮอลบรู๊ค) ผู้ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำแคมเปญชนชั้นรากหญ้า (คราซินสกี้)
คราซินสกี้กำลังอยู่ระหว่างช่วงเริ่มแรกของการพัฒนามินิซีรีส์เอชบีโอ ที่สร้างจากหนังสือปี 1987 เรื่อง “Life at the Marmont” โดยเรย์มอนด์ อาร์. ซาร์ล็อท อดีตเจ้าของร่วมของชาโต มาร์มองท์ และเฟร็ด อี. แบสตัน มินิซีรีส์เรื่องนี้ ที่ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อ จะบอกเล่าเรื่องราวที่เชื่อมโยงกันของแขกที่น่าสนใจที่สุดหลายคนของมาร์มองท์ รวมถึงเรื่องราวหลอนประสาท ที่ทำให้โรงแรมแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบัน คราซินสกี้จะควบคุมงานสร้างซีรีส์นี้ ที่จะเขียนบทโดยมือเขียนบทรางวัลออสการ์ แอรอน ซอร์กิน
คราซินสกี้ที่อาจจะเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทจิม ฮัลเบิร์ท เด็กหนุ่มข้างบ้านเจ้าเสน่ห์ในซีรีส์คอเมดียอดนิยมทางเอ็นบีซีเรื่อง “The Office” กำลังอยู่ระหว่างการแสดงซีซันเก้า ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายของซีรีส์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมีและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำเรื่องนี้
ผลงานภาพยนตร์ของคราซินสกี้ได้แก่ภาพยนตร์โดยแซม เมนเดสเรื่อง “Away We Go,” ภาพยนตร์โดยจอร์จ คลูนีย์เรื่อง “Leatherheads,” “Monsters vs. Aliens,” “Shrek the Third,” ภาพยนตร์โดยเคน ควาพิสเรื่อง “License to Wed,” ภาพยนตร์โดยเกร็กก์ อารากิเรื่อง “Smiley Face,” ภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ เกสท์เรื่อง “For Your Consideration,” ภาพยนตร์โดยแนนซี ไมเยอร์ส “The Holiday,” ภาพยนตร์โดยบิล คอนดอนเรื่อง “Dreamgirls,” “Kinsey,” “Jarhead” ที่นำแสดงโดยเจค จิลเลนฮาล, “Duane Hopwood,” ภาพยนตร์โดยเคน ควาพิสเรื่อง “Big Miracle,” ภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง “Doogal,” “Something Borrowed” ประกบจินนิเฟอร์ กู๊ดวินและเคท ฮัดสันและภาพยนตร์โดยแนนซี ไมเยอร์สเรื่อง “It’s Complicated”
คราซินสกี้ได้ดัดแปลงหนังสือโดยเดวิด ฟอสเตอร์ วอลเลซเรื่อง “Brief Interviews with Hideous Men” และได้กำกับภาพยนตร์อินดีเรื่องนี้ที่เขาดัดแปลงบทเองด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดจำหน่ายโดยไอเอฟซีในปี 2009
คราซินสกี้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบราวน์ในฐานะนักเขียนบทละครเวทีเกียรตินิยม หลังจากนั้น เขาก็ได้ศึกษาที่สถาบันเนชันแนล เธียเตอร์ อินสติติวท์ เขาเกิดและเติบโตในนิวตัน, แมสซาซูเซทส์ เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
บอนนี่ ฮันท์ (พากย์เสียง คาเรน เกรฟส์) เป็นมือเขียนบท ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้างมากความสามารถและประสบความสำเร็จและเป็นนักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี ลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ด และเธอก็ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากผลงานภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวทีอีกด้วย
ฮันท์โตขึ้นมาในย่านชนชั้นแรงงานในชิคาโก้ เธอได้ฝึกฝนด้านการแสดงกับคณะละครอิมโพรไวส์ชื่อดัง เดอะ เซคคันด์ ซิตี้ ควบคู่ไปกับการทำงานเป็นพยาบาลด้านมะเร็งวิทยาที่โรงพยาบาลนอร์ธเวสเทิร์น เมโมเรียล ไม่นานนัก เธอก็กลายเป็นที่คุ้นเคยของผู้ชมด้วยบทคามีโอที่น่าจดจำของเธอในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น “Rain Man” ที่เธอรับบทสาวเสิร์ฟที่ทำไม้จิ้มฟันร่วงและใน “Dave” ในบทไกด์นำชมทำเนียบขาว บทพูดอิมโพรไวส์ของเธอ “เรากำลังเดิน เรากำลังเดิน…” โด่งดังอย่างรวดเร็วเมื่อผู้ชมตอบรับอารมณ์ขันที่เข้าถึงได้ของเธอ
ความสำเร็จด้านจอแก้วของฮันท์ทั้งมากมายและแปลกใหม่ เธอเริ่มต้นจากบทลูกสาวของโจนาธาน วินเทอร์สในซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Davis Rules” และเธอก็ได้เป็นขาประจำซีรีส์ซิทคอมเอ็นบีซีเรื่อง “Grand” อีกด้วย แต่ไม่นานนัก เธอก็ได้ขยายขอบเขตความรู้ของเธอในด้านแง่มุมสร้างสรรค์ของจอแก้วและกระบวนการถ่ายทำของมัน เธอสร้างประวัติศาสตร์ในแวดวงจอแก้วเมื่อเธอกลายเป็นคนแรกที่ทั้งเขียนบท อำนวยการสร้างและนำแสดงในซีรีส์ไพรม์ไทม์ โดยผลงานเขียนบท/อำนวยการสร้าง/แสดงเรื่องแรกของเธอคือซีรีส์ซีบีเอสที่โด่งดังเรื่อง “The Building” คอเมดีรวมดาราเรื่องนี้นำแสดงโดยฮันท์และเพื่อนพ้องจากเซคคันด์ ซิตี้ของเธอ ฮันท์สนับสนุนการอิมโพรไวส์และวิสัยทัศน์ที่ทะเยอทะยานนี้ก็กลายเป็นเทรนด์ยอดนิยมอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เธอยังได้อำนวยการสร้างซีรีส์ของตัวเองด้วยการใช้กล้องห้าตัวแทนที่จะเป็นสี่ตัว และมีการใช้ไดอะล็อคแบบทับซ้อนกันโดยเลือกที่จะไม่ใช้แทร็คเสียงหัวเราะ ที่ตอนนั้นเป็นมาตรฐาน ปัจจุบัน เทคนิคหลายอย่างของเธอถูกใช้ในซีรีส์ไพรม์ไทม์และเคเบิลด้วย
ฮันท์ได้สร้างซีรีส์ที่โด่งดังกว่าอีกสองเรื่อง โดยเธอได้เขียนบท อำนวยการสร้าง กำกับและนำแสดงใน “The Bonnie Hunt Show” สำหรับซีบีเอสและ “Life with Bonnie” สำหรับเอบีซี ซีรีส์นี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีและรางวัลลูกโลกทองคำ ซึ่งสองรางวัลสำหรับการแสดงของฮันท์ในบทบอนนี่ มอลลอย
ฮันท์ ที่ยังคงเดินหน้าสร้างผลงานภาพยนตร์ที่น่าประทับใจอย่างต่อเนื่อง ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลามจากบทบาทการแสดงที่ประสบความสำเร็จของเธอ ซึ่งรวมถึงบทพี่สะใภ้จอมจับผิดของทอม ครูซใน “Jerry Maguire,” ภรรยาของทอม แฮงค์ใน “The Green Mile,” สาวที่โรบิน วิลเลียมส์ปิ๊งใน “Jumanji,” “Random Hearts” ประกบแฮร์ริสัน ฟอร์ด, ภาพยนตร์โดยนอร์แมน จิววิสันเรื่อง “Only You” และ “Cheaper by the Dozen” และ “Cheaper by the Dozen 2” ประกบสตีฟ มาร์ติน สำหรับจีเอ็มจี เธอได้เขียนบท กำกับและนำแสดงในภาพยนตร์อมตะที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างสูงเรื่อง “Return To Me” ที่นำแสดงโดยเดวิด ดูคอฟนีย์ และมินนี ไดรเวอร์ ผลงานที่เธอร่วมมือกับดิสนีย์/พิกซาร์รวมถึงการร่วมพากย์เสียงในภาพยนตร์อนิเมชันยอดนิยมเรื่อง “A Bug’s Life,” “Monsters, Inc.” และ “Cars”
การปรากฏตัวบ่อยครั้งที่น่าขบขันของเธอในรายการทอล์คโชว์ทำให้เธอติดอันดับแขก (ทอล์คโชว์) ที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดในอเมริกาของเอนเตอร์เทนเมนต์ วีคลี หลังจากนั้น เธอก็ได้เป็นพิธีกรรายการทอล์คโชว์ของตัวเอง “The Bonnie Hunt Show” ซึ่งแพร่ภาพสองซีซันและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขาบทยอดเยี่ยมและพิธีกรรายการทอล์คโชว์ยอดเยี่ยม นอกจากนั้น รายการดังกล่าวยังได้รับรางวัลเกรซี่ อวอร์ดสาขาทอล์คโชว์ยอดเยี่ยมอีกด้วย
ผลงานภาพยนตร์อินดีของฮันท์ได้แก่การแสดงนำในภาพยนตร์โดยแมทท์ เดมอนและเบน แอฟเฟล็คเรื่อง “Stolen Summer,” ดรามา “Loggerheads” คอเมดีเรื่อง “I Want Someone to Eat Cheese With” และภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพายุแคทรินาเรื่อง “Hurricane Season” ประกบฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์ ฮันท์กำลังอยู่ระหว่างการกำกับ “Eddie” เรื่องราวเกี่ยวกับอาการป่วยทางจิตให้กับเอคโค โปรดักชันส์ ในปีนี้ เธอได้ร่วมมือกับเบน สติลเลอร์ในโปรเจ็กต์คอเมดีทางเอบีซี โดยเธอได้นำแสดงและเขียนบทซีรีส์ครึ่งชั่วโมงในชื่อ “CompliKATEd” ด้วย
ฮันท์อุทิศตนให้กับงานการกุศลของเธอและความมุ่งมั่นที่จะระดมทุนเพื่อสนนับสนุนการค้นคว้าทางการแพทย์ และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดปีกบอนนี ฮันท์ขึ้นที่คาซา โคลินาในแคลิฟอร์เนีย เธอได้อุทิศเวลาให้กับสถาบันเดอะ นอร์ธเวสเทิร์น เบรน ทูเมอร์ อินสติติวท์, เดอะ เมค อะ วิช ฟาวน์เดชัน, เดอะ คริสโตเฟอร์ แอนด์ ดานา รีฟส์ ฟาวน์เดชัน, อเมริกัน เวเทรันส์, เดอะ ลินน์ เซจ คอมพรีเฮนซีฟ เบรสต์ เซ็นเตอร์, เดอะ มัลติเพิล ไมอีโลมา ฟาวน์เดชัน, ดิ อาร์ริธิส ฟาวน์เดชันและเดอะ โรเบิร์ต เอช. ลูรี คอมพรีเฮนซีฟ แคนเซอร์ เซ็นเตอร์
เบธ เบห์ (พากย์เสียง แคร์รีย์ วิลเลียมส์) เป็นหนึ่งในนักแสดงรุ่นเยาว์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในปัจจุบันของฮอลลีวูด ปัจจุบัน เธอรับบทแครอลิน แชนนิงในซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “2 Broke Girls” ที่สร้างโดยไมเคิล แพทริค คิงและวิทนีย์ คัมมิงส์ ซีรีส์นี้เป็นหนึ่งในคอเมดีที่มีเรทติ้งสูงสุดของสถานีและได้รับรางวัลซีรีส์คอเมดีใหม่จากเวทีพีเพิลส์ ชอยส์ อวอร์ดปี 2011 อีกด้วย
เบห์เข้าศึกษาที่สคูล ออฟ เธียเตอร์, ฟิล์ม แอนด์ เทเลวิชันแห่งยูซีแอลเอ และได้รับทุนการศึกษายังค์ มิวซิเชียนส์ ฟาวน์เดชัน โวคอล นอกจากนี้ เธอยังได้รับการขนานนามว่าเป็นนักวิชาการศิลปะแคลิฟอร์เนียด้านการแสดงจากผู้ว่าการรัฐเกรย์ เดวิสอีกด้วย
เบห์เกิดในเมืองแลนคาสเตอร์, เพนซิลวาเนีย เธอเติบโตในมาริน เคาน์ตี้, แคลิฟอร์เนีย เธอชื่นชอบการแสดงมาตั้งแต่เล็กๆ และได้เข้าศึกษาที่อเมริกัน คอนเซอร์วาทอรี เธียเตอร์ ระหว่างที่ศึกษาที่นั่น เธอได้แสดงในละครรอบปฐมทัศน์โลกเรื่อง
“Dangling Conversations: The Music of Simon and Garfunkel” และรอบปฐมทัศน์ในภูมิภาคเวสต์โคสต์ของละครโดยเจฟฟรีย์ แฮทเชอร์เรื่อง “Korczak’s Children”
ผลงานจอแก้วของเธอได้แก่ “NCIS: Los Angeles” และ “Castle” ผลงานภาพยนตร์ของเธอได้แก่ “American Pie: Book of Love” และคอเมดีเรื่อง “Serial Buddies”
เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้แสดงประกบเจน ลินช์, แอนเน็ตต์ เบนนิงและเฮเลน เมอร์เรนที่โรงละครเจฟเฟน เพลย์เฮาส์ เธอได้ปรากฏตัวบนเวทีร่วมกับคณะนิวยอร์ก ฟิลฮาร์โมนิคสำหรับการแสดง One Singular Sensation: Celebrating Marvin Hamlisch ในวันก่อนขึ้นปีใหม่ของพวกเขา
นอกเหนือจากการร้องเพลงและแสดงในละครมิวสิคัลแล้ว เธอยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรการกุศลต่างๆ เช่นชิลเดรน ออฟ เดอะ ไนท์และแชร์ เอาเออร์ สเตรนจ์อีกด้วย
จอห์น แรทเซนเบอร์เกอร์ (พากย์เสียง เยติ) เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทคลิฟฟ์ คลาวิน บุรุษไปรษณีย์ในซิทคอมเรื่อง “Cheers” เขาได้ทดสอบบทนอร์ม ปีเตอร์สัน แต่หลังจากการออดิชัน เขาบอกได้ว่าพวกเขาจะไม่มอบบทนี้ให้กับเขา ด้วยความรู้สึกได้ถึงโอกาส เขาก็เลยขอให้พวกเขาเขียนบทคนรู้ดีประจำบาร์ขึ้นมา ซึ่งผู้อำนวยการสร้างก็ตัดสินใจว่ามันเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยม คลิฟฟ์กลายเป็นที่รู้จักจากเรื่องราวที่เป็นความจริงครึ่งๆ กลางๆ ที่น่าเชื่อ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไร้สาระและความเข้าใจผิดโดยไม่แยแสความจริงของเขา และเป็นที่รู้จักจากการเป็นคนคุยโวจอมเฟค ทั้งคลิฟฟ์และนอร์มกลายเป็นคู่หูที่โด่งดังประจำบาร์
ผลงานของเขาสำหรับพิกซาร์ รวมถึงการแสดงของเขาใน “Superman” และ “The Empire Strikes Back” ทำให้เขากลายเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลอันดับที่หก วัดจากรายได้รวมกว่าสามพันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศ เขาได้พากย์เสียงในภาพยนตร์พิกซาร์ทุกเรื่องจนถึงปัจจุบัน รวมถึง
- บทหมูออมสิน แฮมม์ใน “Toy Story” (1995), “Toy Story 2” (1999) และ “Toy Story 3” (2010)
- บทตัวหมัด พี.ที. หัวหน้าคณะละครสัตว์ใน “A Bug’s Life” (1998)
- เยติใน “Monsters, Inc.” (2001)
- ฝูงปลาใน “Finding Nemo” (2003)
- ดิ อันเดอร์ไมเนอร์ใน “The Incredibles” (2004)
- รถบรรทุก แม็คใน “Cars” (2006) และ “Cars 2” (2011)
- พนักงานเสิร์ฟ มุสตาฟาใน “Ratatouille” (2007)
- จอห์นใน “WALL•E” (2008)
- ทอม คนงานก่อสร้างใน “Up” (2009)
- กอร์ดอนใน “Brave” (2012)
โปรเจ็กต์ใหม่ล่าสุดของแรทเซนเบอร์เกอร์ในฐานะโฆษกสำหรับ M.O.S.T (Mobile Outreach Skills Training) ทำให้
เขามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้คนทั่วประเทศและกระตุ้นคนว่างงานให้ลุกมาเคลื่อนไหว M.O.S.T เป็นโปรแกรมรวดเร็ว ที่เตรียมพร้อมคนว่างว่างงานและมีงานที่ไม่เหมาะสมให้สำหรับงานสร้างสรรค์ เขาได้ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์ บิซิสเนส เน็ตเวิร์ค, ฟ็อกซ์ นิวส์ แชนแนลและเอ็มเอสเอ็นบีซี รวมถึงรายการอื่นๆ เพื่อพูดคุยถึงบทบาทที่เขามีต่อองค์กรเดียวในประเทศที่รับประกันการจ้างงานสำหรับผู้จบจากโปรแกรมของพวกเขา
แรทเซนเบอร์เกอร์กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมงานสร้างสารคดีเรื่องใหม่ ที่มีวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นชาวอเมริกันให้รับรู้ถึงการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ที่คุกคามทั้งประเทศ
แรทเซนเบอร์เกอร์เกิดในเมืองบริดจ์พอร์ท, คอนเน็กติคัท เขาเข้าศึกษามหาวิทยาลัยแซเคร็ด ฮาร์ทในแฟร์ฟิลด์, คอนเน็กติคัท ในปี 1969 เขาได้ทำงานเป็นผู้ควบคุมรถแทร็คเตอร์ในงานเทศกาลวู้ดสต็อค เขาย้ายไปกรุงลอนดอนในปี 1971 เป็นเวลาสิบปี และทำงานเป็นช่างประกอบบ้านในตอนที่เขาเริ่มชิมลางงานแสดง การแสดงครั้งแรกของเขาคือบทลูกค้าใน “The Ritz” (1976) เขาได้รับบทเล็กๆ ในภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึง “Firefox,” “A Bridge Too Far,” “Superman,” “Superman II,” “Star Wars Episode V: The Empire Strikes Back” (1980) “Motel Hell” (1980), “Outland” (1981) และ “Gandhi” (1982) นอกจากนั้น เขายังพากย์เสียง อาโอ งาเอรุ ผู้ช่วยผู้จัดการของโรงอาบน้ำ ในเวอร์ชันพากย์ภาษาอังกฤษของภาพยนตร์เรื่อง “Spirited Away” ซึ่งควบคุมงานสร้างโดยจอห์น แลสซีเตอร์อีกด้วย
เขามีโอกาสได้ล้อเลียนช่วงเวลาที่เขาทำงานอยู่กับพิกซาร์ระหว่างเอนด์เครดิตของภาพยนตร์เรื่อง “Cars” ในตอนที่แม็คได้เห็นเวอร์ชันรถของภาพยนตร์พิกซาร์ และตั้งข้อสังเกตว่าตัวละครทุกตัวของแรทเซนเบอร์เกอร์ล้วนแล้วแต่ยอดเยี่ยม พอเขารู้ว่าพวกเขาเป็นนักแสดงคนเดียวกันก็ให้ความเห็นว่า “พวกเขาใช้นักแสดงคนเดิมซ้ำๆ นี่นา นี่มันงานถ่ายทำแบบประหยัดงบชัดๆ”
ผลงานอื่นๆ
แรทเซนเบอร์เกอร์ได้อำนวยการสร้างและเป็นพิธีกรรายการ “Made in America” ทางทราเวล แชนแนล เขาได้ร่วมเขียนหนังสือเรื่อง “We’ve Got it Made in America; A Common Man’s Salute to an Uncommon Country” ที่ตีพิมพ์โดยไทม์ วอร์เนอร์
ประวัติทีมผู้สร้าง
ในตอนที่เป็นวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในคลอว์สัน, มิชิแกน แดน สแกนลอน (ผู้กำกับ/บทภาพยนตร์โดย/เรื่องราวโดย) ก็มีความรักในการ์ตูนของวอร์เนอร์ บรอส., ภาพยนตร์อนิเมชันของดิสนีย์ รวมถึงภาพยนตร์ขนาดสั้นของพิกซาร์ด้วย ความรักของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้เขาศึกษาภาพยนตร์และอนิเมชันสมัยไฮสคูลและมหาวิทยาลัย ที่ซึ่งเขาโฟกัสไปที่การวาดภาพประกอบที่วิทยาลัยโคลัมบัส คอลเลจ ออฟ อาร์ต แอนด์ ดีไซน์ (ซีซีเอดี)
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากซีซีเอดี สแกนลอนก็เริ่มทำงานเป็นอนิเมเตอร์และนักวาดภาพเรื่องราวสำหรับคาแรกเตอร์ บิลเดอร์ส บริษัทอนิเมชัน 2D ที่อำนวยการสร้างภาพยนตร์และงานโฆษณาในโคลัมบัส, โอไฮโอ
สแกนลอนเข้าทำงานที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนกันยายน ปี 2001 ในตำแหน่งนักวาดภาพสตอรีบอร์ดในภาพยนตร์รางวัลของดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “Cars” และ “Toy Story 3” ระหว่างขั้นตอนเริ่มต้นของการถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง เขาก็ได้ทำงานเพื่อแปลงไอเดียเรื่องราวของผู้กำกับให้เป็นภาพ ด้วยการวาดสตอรีบอร์ด
นอกจากนั้น เขายังทำงานร่วมกับจอห์น แลสซีเตอร์ ในการกำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง “Mater and the Ghostlight” ซึ่งถูกรวมเป็นหนึ่งในโบนัส ฟีเจอร์ของดีวีดีเรื่อง “Cars” อีกด้วย นอกเหนือจากงานที่พิกซาร์ของเขาแล้ว สแกนลอนยังได้เขียนบทและกำกับภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันเรื่อง “Tracy” ที่เข้าฉายในปี 2009 อีกด้วย
สแกนลอนได้เปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์อนิเมชันเรื่องแรกด้วยภาพยนตร์ดิสนีย์/พิกซาร์เรื่องที่ 14 “Monsters University” ที่มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 21 มิถุนายน ปี 2013
โครี่ เรย์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้เข้าทำงานในพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในเดือนมิถุนายน ปี 1993 ในฐานะผู้อำนวยการสร้างในแผนกโฆษณาของสตูดิโอ โดยเธอได้อำนวยการสร้างโฆษณาที่ได้รับรางวัลหลายชิ้น เธอเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานบุกเบิกที่ช่วยปลุกปั้นพิกซาร์จนกลายเป็นสตูดิโอที่ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ด้วย
ด้วยแบ็คกราวน์ด้านการศึกษาและกากรสอน เรย์พบว่าการอำนวยการสร้างก็คล้ายๆ กัน ตรงที่บทบาทการจัดการเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดและทีมงานสร้างสรรค์จำนวนมากในบรรยากาศที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเส้นตายมีลักษณะเหมือนกับการฝึกสอนทีมในการแข่งขันชิงแชมป์อย่างมาก
หลังจากความสำเร็จของ “Toy Story” เรย์ก็เลื่อนไปรับตำแหนงผู้จัดการฝ่ายอนิเมชันในภาพยนตร์เรื่องที่สองของพิกซาร์ “A Bug’s Life” หลังจากนั้น เธอก็ทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายอนิเมชันให้กับภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง “Toy Story 2” และเดินหน้าทำหน้าที่ผู้ช่วยอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “Monsters, Inc.” และภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “The Incredibles” เรย์ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “Up” ในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างในขั้นตอนพรีโปรดักชันและทำงานเป็นผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์โดยดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “Cars Toons”ปัจจุบัน เธอรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง “Monsters University” ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของดิสนีย์/พิกซาร์ ที่มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 21 มิถุนายน ปี 2013
เรย์เกิดและเติบโตในเบอร์เกน เคาน์ตี้, นิวเจอร์ซีย์ เธอย้ายไปฟลอริดาตั้งแต่ตอนเรียนไฮสคูลและสำเร็จการศึกษาจากโรลลินส์ คอลเลจในวินเทอร์ ปาร์ค, ฟลอริดา ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในซานฟรานซิสโก ที่ซึ่งเธออาศัยอยู่มาตลอด 23 ปีที่ผ่านมา
จอห์น แลสซีเตอร์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้กำกับที่เคยได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดมาแล้วสองครั้งและทำการดูแลภาพยนตร์ทุกเรื่องรวมถึงโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ของวอลท์ ดิสนีย์และพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ แลสซีเตอร์ได้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกในปี 1995 ด้วย “Toy Story” ภาพยนตร์ CG อนิเมชันขนาดยาวเรื่องแรก และนับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “A Bug’s Life,” “Toy Story 2” และ “Cars” เขาหวนคืนสู่เบาะคนขับอีกครั้งในปี 2011 ด้วยการกำกับ “Cars 2”
ผลงานควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ของเขาได้แก่ “Monsters, Inc.,” “Finding Nemo,” “The Incredibles,” “Ratatouille,” “WALL•E,” “Bolt,” “Up” และ “Brave” นอกจากนี้ แลสซีเตอร์ยังทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์ดิสนีย์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง “The Princess and the Frog” และ “Tangled” รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมและเพลงประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยมของพิกซาร์เรื่อง “Toy Story 3” ซึ่งสร้างขึ้นจากเรื่องราวโดยแลสซีเตอร์, แอนดรูว์ สแตนตันและลี อังค์ริช
แลสซีเตอร์ได้เขียนบท กำกับและสร้างอนิเมชันให้กับภาพยนตร์ขนาดสั้นช่วงเริ่มแรกหลายเรื่องให้กับพิกซาร์ ซึ่งรวมถึง “Luxo Jr.,” “Red’s Dream,” “Tin Toy” และ “Knickknack” “Luxo Jr.” เป็นภาพยนตร์ CG อนิเมชันสามมิติเรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเมื่อมันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขาภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นยอดเยี่ยมในปี 1986, “Tin Toy” เป็นภาพยนตร์ CG อนิเมชันสามมิติเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เมื่อมันได้รับรางวัลภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นยอดเยี่ยมในปี 1988 นอกจากนี้ เขายังได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างหรือผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นหลายเรื่องหลังจากนั้นของสตูดิโอ ได้แก่ “Boundin’,” “One Man Band,” “Lifted,” “Presto,” “Partly Cloudy,” “Day & Night” และ “Geri’s Game” (1997) และ “For the Birds” (2000) ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด
ภายใต้การดูแลของเขา ภาพยนตร์อนิเมชันและภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นของพิกซาร์ได้รับรางวัลเกียรติยศจากนักวิจารณ์และจากวงการภาพยนตร์มากมาย เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขาความสำเร็จพิเศษในปี 1995 จากความเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน “Toy Story” นอกจากนี้ เขาและทีมงานเขียนบท “Toy Story” ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ภาพยนตร์อนิเมชันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขานี้
ในปี 2009 เขาได้รับรางวัลสิงโตทองคำสาขาความสำเร็จแห่งชีวิตจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 66 ในปีถัดมา เขากลายเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อนิเมชันคนแรกที่ได้รับรางวัลเดวิด โอ. เซลส์นิค อชีฟเมนต์ อวอร์ด สาขาภาพยนตร์จากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา รางวัลอื่นๆ ของแลสซีเตอร์ได้แก่รางวัลคุณูปการโดดเด่นที่มีต่อภาพยนตร์ในปี 2004 จากสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์, ปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากสถาบันภาพยนตร์อเมริกันและ 2008 วินเซอร์ แม็คเคย์ อวอร์ดจากอาซิฟา-ฮอลลีวูดจากความสำเร็จในการทำงานและคุณูปการที่เขามีต่อศิลปะอนิเมชัน
ก่อนหน้าการก่อตั้งพิกซาร์ขึ้นในปี 1986 แลสซีเตอร์เป็นสมาชิกแผนกคอมพิวเตอร์ในลูคัสฟิล์ม ลิมิเต็ด ที่ซึ่งเขาได้ออกแบบและสร้างอนิเมชันให้กับ “The Adventures of Andre and Wally B.” ตัวละคร CG สามมิติตัวแรกและ ตัวละครอัศวินกระจกแก้ว CG ในภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์กในปี 1985 เรื่อง “Young Sherlock Holmes”
แลสซีเตอร์ได้เข้าศึกษาหลักสูตรอนิเมชันตัวละครที่แคลอาร์ต และได้รับปริญญาตรีสาขาภาพยนตร์จากที่นั่นในปี 1979 แลสซีเตอร์เป็นคนเดียวที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดนักศึกษาสาขาอนิเมชันสองครั้งจากผลงานเรื่อง “Lady and the Lamp” (1979) และ “Nitemare” (1980) แลสซีเตอร์ได้รับรางวัลเป็นครั้งแรกเมื่ออายุห้าขวบ เมื่อเขาได้รับเงินรางวัล 15 เหรียญจากโมเดล โกรเซอรี มาร์เก็ตในวิทเทียร์, แคลิฟอร์เนีย จากภาพวาดระบายสีคนขี่ม้าไร้หัว
พีท ด็อคเตอร์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้กำกับรางวัลออสการ์จาก “Monsters, Inc.,” และ “Up” และดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายครีเอทีฟที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์
ด็อคเตอร์ ผู้เริ่มทำงานกับพิกซาร์ในปี 1990 ในตำแหน่งอนิเมเตอร์ลำดับที่สามของสตูดิโอ ได้ร่วมมือกับจอห์น แลสซีเตอร์และแอนดรูว์ สแตนตัน ในการพัฒนาเรื่องราวและตัวละครสำหรับ “Toy Story” ภาพยนตร์อนิเมชันขนาดยาวเรื่องแรกของพิกซาร์ ซึ่งเขารับหน้าที่ซูเปอร์ไวซิง อนิเมเตอร์ด้วยเช่นกัน เขาทำหน้าที่นักวาดภาพสตอรีบอร์ดในภาพยนตร์เรื่อง “A Bug’s Life” และได้เขียนทรีทเมนต์เรื่องราวเบื้องต้นสำหรับทั้ง “Toy Story 2” และ “WALL•E”
ความสนใจของด็อคเตอร์ในเรื่องอนิเมชันเริ่มต้นตอนอายุ 8 ขวบเมื่อเขาสร้างหนังสือฟลิปบุ๊คเล่มแรกของตัวเอง เขาได้ศึกษาเรื่องอนิเมชันตัวละครที่แคลิฟอร์เนีย อินสติติวท์ ออฟ ดิ อาร์ท (แคลอาร์ท) ในวาเลนเซีย, แคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งเขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นหลายเรื่อง ซึ่งเรื่องหนึ่งได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดนักศึกษา นับตั้งแต่นั้นมา ภาพยนตร์เหล่านั้นก็ได้เข้าฉายในเทศกาลอนิเมชันทั่วโลก และได้ถูกรวมอยู่ใน Pixar Short Films Collection Volume 2 ด้วย หลังจากเข้าทำงานที่พิกซาร์ เขาก็ได้สร้างอนิเมชันและกำกับโฆษณาหลายชิ้น และได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงการได้รับรางวัลภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมจาก “Up” การได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมจาก “Monsters, Inc.” และการได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจาก “Up” และ “WALL•E”
ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการทำงานภาพยนตร์โดยดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “Inside Out” ที่มีกำหนดเข้าฉายในปี 2015
ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในเพียดมองท์, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยาและลูกๆ สองคน
แอนดรูว์ สแตนตัน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นแรงขับเคลื่อนสร้างสรรค์สำคัญที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์นับตั้งแต่ปี 1990 เมื่อเขากลายเป็นอนิเมเตอร์ลำดับที่สองและพนักงานลำดับที่เก้าที่เข้าร่วมกลุ่มผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ อนิเมชัน ในฐานะรองประธานฝ่ายครีเอทีฟ ปัจจุบัน เขาเป็นผู้นำในการริเริ่มโปรเจ็กต์ใหม่ๆ และดูแลการพัฒนาภาพยนตร์ขนาดสั้นและภาพยนตร์ทุกเรื่องของสตูดิโอ เขาได้เขียนบทและกำกับภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดของดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “WALL•E” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน
สแตนตันได้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วย “Finding Nemo” เรื่องราวออริจินอลที่เขาร่วมเขียนบทเองด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้สแตนตันได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ในสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมและภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม โดยได้รับรางวัลจากสาขาหลัง ซึ่งนับเป็นรางวัลครั้งแรกที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ได้รับสำหรับภาพยนตร์ขนาดยาว
สแตนตันเป็นหนึ่งในสี่มือเขียนบทที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์จากผลงานเรื่อง “Toy Story” ในปี 1996 และเขายังได้รับเครดิตในการเป็นมือเขียนบทในภาพยนตร์เรื่องถัดๆ มาของพิกซาร์ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “A Bug’s Life,” “Toy Story 2,” “Monsters, Inc.” และ “Finding Nemo” นอกเหนือจากนั้น เขายังรับหน้าที่ผู้กำกับร่วมในภาพยนตร์เรื่อง “A Bug’s Life” และรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Monsters, Inc.” และ “Ratatouille” และ “Brave” ที่ได้รับรางวัลอคาเดมีอวอร์ดด้วย
นอกเหนือจากผลงานอนิเมชันแล้ว สแตนตันยังได้เปิดตัวผลงานเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันด้วยภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “John Carter” ที่เข้าฉายในเดือนมีนาคม ปี 2012 อีกด้วย
สแตนตันเป็นชาวร็อคพอร์ต, แมสซาซูเซทส์ เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาศิลปกรรม อนิเมชันตัวละครจากแคล อาร์ตส์ ที่ซึ่งเขาสร้างภาพยนตร์สมัยนักศึกษาสองเรื่อง ในยุค 80s เขาได้เริ่มทำงานในลอสแองเจลิสด้วยการทำหน้าที่อนิเมเตอร์ให้กับโครเยอร์ ฟิล์มส์ ซึ่งเป็นสตูดิโอของบิล โครเยอร์และเขียนบทให้ภาพยนตร์เรื่อง “Mighty Mouse, The New Adventures” (1987) ของราล์ฟ บัคชี
ลี อังค์ริช (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้กำกับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดที่พิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์และรองประธานฝ่ายลำดับภาพและเลย์เอาท์
อังค์ริชได้ร่วมกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของสตูดิโอที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม ซึ่งก็คือ “Finding Nemo” ภาพยนตร์ปี 2003 ที่ถูกนำกลับมาฉายใหม่ในระบบ Digital 3D™ ในโรงภาพยนตร์บางแห่งในปี 2012 และถูกนำมาจับอยู่ในระบบ high-definition Blu-ray™ และ Blu-ray 3D™ เป็นครั้งแรก
ในฐานะผู้กำกับของภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศของดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “Toy Story 3” อังค์ริชได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมจากเครดิตเรื่องราวในเรื่องของเขาด้วย นอกเหนือจากการได้รับรางวัลออสการ์ อังค์ริชยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม และได้รับรางวัลบาฟต้าสขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมอีกด้วย
อังค์ริชได้เข้าทำงานที่พิกซาร์ ในเดือนเมษายน ปี 1994 และได้ทำหน้าที่สำคัญหลายครั้งในภาพยนตร์อนิเมชันเกือบทุกเรื่องนับตั้งแต่นั้นมา ก่อนหน้าที่จะได้ร่วมกำกับ “Finding Nemo” เขาได้เป็นผู้กำกับร่วมให้กับ “Monsters, Inc.” และ “Toy Story 2” ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ
เขาเริ่มต้นทำงานที่พิกซาร์ในฐานะมือลำดับภาพของ “Toy Story” และหัวหน้ามือลำดับภาพใน “A Bug’s Life”
นอกเหนือจากนั้น อังค์ริชยังได้ทำหน้าที่มือลำดับภาพในภาพยนตร์พิกซาร์อีกหลายเรื่อง รวมถึงการรับตำแหน่งหัวหน้ามือลำดับภาพใน “Finding Nemo”
ในปี 2009 อังค์ริชและเพื่อนผู้กำกับที่พิกซาร์ของเขาได้รับรางวัลสิงโตทองคำสาขาความสำเร็จแห่งชีวิตจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 66
ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานที่พิกซาร์ อังค์ริชได้ทำงานในแวดวงจอแก้วหลายปีในตำแหน่งมือลำดับภาพและผู้กำกับ เขาสำเร็จการศึกษาจากสคูล ออฟ ซีนีมา/เทเลวิชันแห่งมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนียในปี 1991 ที่ซึ่งเขาได้กำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ได้รับรางวัลหลายเรื่อง
อังค์ริชเป็นชาวชาร์กริน ฟอลส์, โอไฮโอ เขาใช้เวลาในวัยเด็กไปกับการแสดงที่โรงละครคลีฟแลนด์ เพลย์เฮาส์ เขาใช้ชีวิตในมาริน เคาน์ตี้, แคลิฟอร์เนีย กับภรรยาและลูกๆ สามคน
แดเนียล เกอร์สัน (เรื่องราวโดย/บทภาพยนตร์โดย) เริ่มต้นทำงานร่วมกับพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ในปี 1999 ในตำแหน่งมือเขียนบทภาพยนตร์ปี 2001 เรื่อง “Monsters, Inc.” ที่กำกับโดยพีท ด็อคเตอร์ หลังจากนั้น เขาก็ได้มีส่วนร่วมในการเขียนบทภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำปี 2006 เรื่อง “Cars”
หลังจากที่เขาเริ่มต้นจากการเป็นมือเขียนบทในซีรีส์หลายเรื่อง รวมถึง “Duckman,” “Something So Right,” “The New Addams Family,” “Big Wolf on Campus” และ “Misguided Angels” เขาก็เริ่มทำงานใน “Monsters, Inc.” ร่วมกับโรเบิร์ต แอล. เบียร์ด คู่หูในการเขียนงานในตอนนี้ของเขา นอกเหนือจากนั้น เขายังได้พากย์เสียง สมิตตี้และนีดเดิ้ลแมนใน “Monsters, Inc.” สองสัตว์ประหลาดภารโรงที่มีหน้าที่ทำลายประตู ผู้เทิดทูนบูชาเจมส์ พี. ซัลลิแวน (“ซัลลี่”) อีกด้วย
ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึงการมีส่วนร่วมการเขียนเรื่องราวสำหรับ “Meet the Robinsons,” “Chicken Little,” “Prep & Landing,” “Prep & Landing: Naughty vs. Nice” และ “Tangled Ever After”
ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาและลูกๆ ของเขา ลูกสาววัย 12 ปีของเขามีเครดิตในภาพยนตร์เรื่อง “Monsters, Inc.” ในฐานะ “เด็กทารกในกองถ่าย”
โรเบิร์ต แอล. เบียร์ด (เรื่องราวโดย/บทภาพยนตร์โดย) สร้างชื่อเสียงในฐานะมือเขียนบทภาพยนตร์อนิเมชันที่ได้รับความนิยมสูงสุดในรอบกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา สำหรับพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ เขามีส่วนร่วมในการเขียนบทภาพยนตร์ปี 2001 เรื่อง “Monsters, Inc.” และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำปี 2006 เรื่อง “Cars” ส่วนสำหรับวอลท์ ดิสนีย์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ ผลงานของเขาได้แก่ภาพยนตร์ปี 2005 เรื่อง “Chicken Little,” ภาพยนตร์ปี 2007 เรื่อง “Meet the Robinsons” และภาพยนตร์ขนาดสั้นปี 2012 เรื่อง “Tangled Ever After”
ก่อนหน้าการทำงานกับพิกซาร์ เบียร์ดได้เริ่มต้นอาชีพนักเขียนของเขาด้วยการเป็นก็อปปี้ไรเตอร์ที่สถานีอัลเทอร์เนทีฟร็อคในโตรอนโต เขาย้ายไปลอสแองเจลิสในปี 1996 และได้รับมอบหมายให้เขียนงานในซีรีส์เรื่อง “Breaker High” ที่นำแสดงโดยไรอัน กอสลิง ในปี 2001 เขาได้ทำงานที่พิกซาร์ในตำแหน่งมือเขียนบท “Monsters, Inc.” ร่วมกับแดเนียล เกอร์สัน ผู้กลายเป็นคู่หูในการเขียนบทของเขา หลังจากเสร็จงานจาก “Monsters University” เขาก็กลับไปวอลท์ ดิสนีย์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ ที่ซึ่งเขากำลังทำงานโปรเจ็กต์สำหรับอนาคต
เขาเริ่มสนใจการเขียนและการบอกเล่าเรื่องราวจากการอ่านผลงานคลาสสิกโดยไอแซ็ค อาซิมอฟ, สตีเฟน คิง, เรย์ แบรดเบรีและ ฯลฯ ระหว่างเป็นวัยรุ่น เขาได้รับอิทธิพลเรื่องตลกมาจากคณะตลกอย่าง “มอนตี้ ไพธอน,” “เอสซีทีวี” และ “เดอะ คิดส์ อิน เดอะ ฮอล” เบียร์ดเกิดในออตตาวา, ออนตาริโอ เขาใช้เวลาในวัยเด็กอยู่ในโนวา สโคเทียและนิว บรูนส์วิค ในแคนาดา เขาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยไรเยอร์สันในโตรอนโต ที่ซึ่งเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิทยุและโทรทัศน์
ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาและลูกๆ สองคนของเขา
แรนดี้ นิวแมน (ดนตรีประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมประพันธ์และควบคุมโดย) เป็นคอมโพสเซอร์และนักแต่งเพลงเจ้าของรางวัลออสการ์, แกรมมีและเอ็มมี ผู้ซึ่งผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึง “James and the Giant Peach” (1996), “A Bug’s Life,” “Monsters, Inc.” และ “Cars”
นิวแมนเคยได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด 20 ครั้ง ซึ่งรวมถึงสองรางวัลสำหรับทั้ง “Ragtime” (1981), “Monsters, Inc.” และ “Toy Story” เขาได้รับออสการ์เป็นครั้งแรกในปี 2002 จากเพลง “If I Didn’t Have You” จากเรื่อง “Monsters Inc.” และเพลงนี้ยังทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมี อวอร์ดเป็นครั้งที่สี่จากทั้งหมดหกครั้งที่เขาได้รับด้วย เพลง “When She Loved Me” ที่นิวแมนแต่งให้กับเรื่อง “Toy Story 2” ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาเพลงยอดเยี่ยมที่แต่งขึ้นสำหรับภาพยนตร์ โทรทัศน์หรือสื่อทางภาพอื่นๆ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์และรางวัลแกรมมีในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากผลงานของเขาในภาพยนตร์อนิเมชันชื่อดังของดิสนีย์เรื่อง “The Princess and the Frog”
ผลงานการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของนิวแมนได้แก่ “The Natural,” “Avalon,” “Parenthood,” “Seabiscuit,” “Awakenings,” “The Paper,” “Pleasantville,” “Meet the Parents” และ “Meet the Fockers” นอกจากนี้ เขายังแต่งเพลงประกอบซีรีส์โทรทัศน์ ซึ่งรวมถึงเพลงธีม “It’s a Jungle Out There” จากซีรีส์ “Monk” อีกด้วย
นิวแมน คอมโพสเซอร์มากความสามารถได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “Three Amigos!”(1986) กับสตีฟ มาร์ตินและลอร์เน ไมเคิลส์ และได้แต่งเพลงสามเพลงให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย
นิวแมนเกิดในปี 1943 ในครอบครัวนักดนตรี เขาเริ่มต้นอาชีพนักแต่งเพลงตั้งแต่อายุได้ 17 ปี ด้วยการแต่งเพลงให้กับบริษัทเพลงแห่งหนึ่งในลอสแองเจลิส ลุงของเขา อัลเฟรด, ไลออเนลและเอมิลต่างก็เป็นคอมโพสเซอร์ภาพยนตร์และวาทยกรที่ได้รับการนับหน้าถือตา ส่วนเออร์วิง นิวแมน พ่อของแรนดี้ ซึ่งเป็นแพทย์ชื่อดัง ก็ยังเคยแต่งเพลงให้กับบิง ครอสบี้
ในปี 1968 เขาได้มีผลงานการบันทึกเสียงออร์เคสตราครั้งแรกในชื่อ “Randy Newman” หลังจากนั้นไม่นาน บทเพลงที่พิเศษสุดของนิวแมนก็ได้รับการขับขานโดยศิลปินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแพท บูน, เรย์ ชาร์ลส์, เพ็กกี ลีหรือวิลสัน พิคเก็ตต์
นักวิจารณ์ชื่นชมผลงานชิ้นที่สองของนิวแมนในปี 1970 ที่ชื่อ “12 Songs” อย่างมาก และสาธารณชนก็เริ่มให้ความสนใจงานเพลงที่เสียดสีประชดประชันของเขามากขึ้นเรื่อยๆ จากอัลบัมอื่นๆ ที่ตามมาเช่น “Randy Newman Live” ในปี 1970, อัลบัมคลาสสิก “Sail Away” ปี 1972 และ “Good Old Boys” ที่สร้างประเด็นขัดแย้งในปี 1974 ต่อมา อัลบัมปี 1977 ของเขา “Little Criminals” มีเพลงฮิตสุดโต่งที่ชื่อ “Short People”
ในยุค 80s นิวแมนได้แบ่งเวลาไปกับการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์และบันทึกอัลบัมของตัวเอง ซึ่งรวมถึงอัลบัมปี 1988 ในชื่อ “Land of Dreams” อีกหนึ่งผลงานน่าทึ่งที่นำเสนอดนตรีที่ทรงพลังที่สุดและเป็นส่วนตัวที่สุดของเขา
ในยุค 90s นิวแมนได้ออกอัลบัม “Faust” แบบคอเมดีออกมา ซึ่งมีการแสดงของดอน เฮนลีย์, เอลตัน จอห์น, บอนนี เรทท์, ลินดา รอนสแต็ดท์และเจมส์ เทย์เลอร์ในนั้นด้วย, อัลบัม “Guilty: 30 Years of Randy Newman” และอัลบัมใหม่ปี 1999 สำหรับดรีมเวิร์คส์ในชื่อ “Bad Love”
อัลบัมสตูดิโอชุดล่าสุดของนิวแมน “Harps and Angels” อำนวยการผลิตโดยมิทเชล ฟรูมและเลนนี วารอนเกอร์ และวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม ปี 2008 เขาได้ปล่อยอัลบัม “Live in London” ออกมาในปี 2011