“ตอนเด็กเวลาที่รู้สึกอ่อนล้าหรือโดดเดี่ยว ผมจะเงยหน้าดูดาว และสงสัยว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่บนนั้นมั้ย ปรากฏว่าผมมองผิดทิศ” มหาสมุทรที่มีความลึกล้วนมีเสน่ห์ตรึงใจทุกคนได้เสมอ แต่เราคิดทุกครั้งว่าความประหลาดและอันตรายที่มีมาจากโลกของเรา
เราคิดผิดแล้ว
สมมุติฐานที่สร้างความน่าสนใจทำให้เกิดภาพยนตร์ของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส และเลเจนดารี่ พิกเจอร์ส เรื่อง “Pacific Rim” ขึ้นมา ภาพยนตร์เริ่มจากการเกิดรอยแยกใต้มหาสมุทรแปซิฟิคทำให้เกิดแผ่นดินไหวที่คร่าชีวิตผู้คน
ผู้กำกับฯ กิลเลอร์โม เดล โตโร ทำหน้าที่ร่วมเขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เล่าว่า “แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะมาจาก ไคจู สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ โหดร้ายทารุณกว่าที่เราเคยพบ แต่เพื่อการรับมือกับมัน มนุษย์ต้องนำทรัพยากรทุกอย่างมาประดิษฐ์อาวุธที่มีขนาดใหญ่ มีพลัง และมีความสามารถรอบด้านกว่าที่เคยสร้างขึ้นมา พวกเขาสร้างชุดคำสั่งเยเกอร์ขึ้นมา ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่มีความสูงเท่าตึก 25 ชั้น แต่ละตัวต้องใช้เจ้าหน้าที่ควบคุม 2 คน โดยจะมีการเชื่อมโยงประสาทเข้าด้วยกัน”
เขาเล่าต่อว่า “นี่คือโปรเจ็กต์ที่รวมทุกอย่างตามที่ผมต้องการมารวมเข้ากัน ทั้งภาพ บรรยากาศ อารมณ์ความรู้สึก …การผจญภัยสุดระทึกใจของสัตว์ประหลาดและหุ่นยนต์ที่ยากจะต้านทาน มันเป็นอะไรที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน”
ผู้อำนวยการสร้างฯ โธมัส ทัล เล่าว่า “แค่บรรยายว่า ‘สัตว์ประหลาดยักษ์สู้กับหุ่นยนต์ยักษ์’ ก็ทำให้เราสัมผัสได้ถึงขนาดและขอบเขตแล้ว ยังไม่พูดถึงการแสดงและความสนุกสนานนะ และยังมีเรื่องราวปริศนาที่เรายังไม่รู้อีกว่า ทำไมไคจูต้องบุกโจมตี พวกมันต้องการอะไรและมนุษย์จะรับมืออย่างไร? มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่เราจะป้องกันตัวจากพวกมัน?”
เรื่องราวเริ่มจากที่ผู้เขียนบทฯ เทรวิส บีแชม ซึ่งอยู่ในPacific Rimของจริงบนชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย ช่วงที่องค์ประกอบสำคัญของภาพยนตร์เริ่มเป็นรูปร่าง เขาเล่าให้ฟังถึงตอนนั้นว่า “ผมจำได้ว่ากำลังเดินอยู่บนชายหาดทที่ซานตาโมนิก้า เป็นช่วงเช้าที่มีหมอกหนาเป็นพิเศษ มีบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนเสาอยู่ในหมอกโผล่ขึ้นมาจากน้ำ… มีภาพสัตว์ประหลาดยักษ์ผุดขึ้นมาในความคิดผม สัตว์ประหลาดที่ขึ้นมาบนฝั่งเพื่อต่อสู้กับหุ่นยนต์ยักษ์
“แต่ถึงอย่างไร” บีแชมรู้ดีว่า “ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ประเด็นของเรื่องราว ความสนุกของเรื่องสำหรับผมอยู่ที่การนึกภาพว่าใครจะมาบังคับหุ่นยนต์ จนในที่สุดตัดสินใจได้ว่าต้องมีคนบังคับ 2 คน ซึ่งสองคนนี้ต้องรู้ใจกันจนบังคับเจ้าหุ่นยักษ์นี้ได้ นั่นคือจุดที่องค์ประกอบเริ่มเป็นรูปร่างของสิ่งมีชีวิตขึ้นมา”
หลังจากที่เคยร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างฯ โทมัส ทัล และ จอน แจชนี่ ผู้เขียนบทฯ ในเรื่อง “Clash of the Titans” มาแล้ว บีแชมเล่าไอเดียแหวกแนวเกี่ยวกับผู้ชนะได้ทุกสิ่ง ที่เป็นมนุษย์กับเครื่องจักรร่วมกันต่อสู้กับสัตว์ประหลาดที่ไม่ได้บุกมาจากนอกโลก แต่อุบัติขึ้นมาจากทะเลลึกให้พวกเขาฟัง
“ผมสนใจตั้งแต่วินาทีแรกที่เทรวิสเล่าให้พวกเราฟัง” ทัลกล่าว “ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวของมนุษย์ต้องต่อสู้กับสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายและมีพลังอย่างมหาศาล พวกเขาจะร่วมกันต่อสู้ได้อย่างไร เราคิดกันว่าแนวคิดที่เราอาจถูกบุกรุกจากสิ่งที่อยู่ในโลกเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนุกมาก”
“เราไม่มีทางหนีมันไปได้ เพราะพวกมันมาจากสถานที่แห่งหนึ่งในโลกซึ่งไม่มีทางหนีพ้น” บีแชมเล่าต่อว่า “เสน่ห์ของมหาสมุทรอยู่ที่มันซ่อนปริศนาเอาไว้ มีตำนานหลายเรื่องที่เกี่ยวกับสัตว์ทะเล งูยักษ์ และอีกหลายอย่างที่คนเชื่อกันว่ามีอยู่เบื้องล่าง ผมว่ามันมีความน่ากลัวตรงที่ความชั่วร้ายจะปรากฏออกมาในรูปแบบไหน”
การสร้างให้เกิดการคุกคามครั้งยิ่งใหญ่ “เป็นเรื่องเดิมพันทั้งโลกอย่างมหาศาล” แจชนี่กล่าว “แต่การเริ่มจากการเดิมพันอย่างมหาศาลก็ทำให้เราหาทางสร้างให้มันดูสมจริงบนโลกมนุษย์ งานถนัดด้านการปรับทุกอย่างลงให้เข้ากับอารมณ์เป็นหนึ่งในพรสวรรค์หลายด้านของกิลเลอร์โม เดล โตโร… ยังไม่รวมที่เขาเป็นผู้ชำนาญด้านนี้นะ เขาเหมือนกับสารานุกรมเรื่องสัตว์ประหลาดไคจูและ ‘มีชะ’ เขาสามารถถ่ายทอดมุมมองที่เข้าใจง่ายและมีความสนุกสนานของทั้งสองอย่างออกมาได้ ตอนที่เราแชร์ความคิดกับเขา แลกเปลี่ยนความคิดกับเทรวิส เขาให้ความร่วมมืออย่างทันควัน”
เมื่อเดล โตโร เริ่มร่างบทภาพยนตร์กับบีแชม เขาอินไปกับโลกที่พวกเขาสร้างขึ้นมาอย่างเต็มที่ เขายืนยันว่า “ยิ่งเราพัฒนาโลกใบนั้นขึ้นมา ผมเองก็ยิ่งทุ่มเทกับเรื่องราว ตัวละคร สัตว์ประหลาด หุ่นยนต์ และทุกอย่างมากขึ้นเพื่อให้มันดูสมจริง ผมอดใจรอแทบไม่ไหวแล้ว”
“การได้ร่วมงานกับกิลเลอร์โมเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ” บีแชมกล่าว “เขามีไอเดียที่ชัดเจนและมีประกายแห่งความอัจฉริยะออกมาจากทุกเสี้ยวความคิด แถมเขายังรักพวกหนังสัตว์ประหลาดอีกด้วย เหมือนเราได้นั่งเล่นอยู่ในสนามเดียวกับเขาเลย” เขาหัวเราะ “เขามาร่วมงานในโปรเจ็กต์ด้วยความหลงใหลในเนื้อเรื่อง ซึ่งผมคิดว่ามันสำคัญต่ออารมณ์ของหนัง”
ความกระตือรือร้นของเดล โตโร ไม่ได้แพร่กระจายเผื่อทุกคนที่มีส่วนร่วมในหนังเท่านั้น แต่นั่นยังเป็นเหตุผลหลักที่เขาสร้างความสนใจให้แฟนๆ แนวนี้ได้อีกด้วย อันที่จริงเขาน่าจะเป็นคนแรกที่ถูกนับว่าเป็นที่รู้จักในบรรดาแฟนๆ ที่เป็น “เด็กผู้ชาย”
ผู้อำนวยการสร้างฯ แมรี่ แพเรนท์ เล่าว่า “กิลเลอร์โมเชื่อมโยงกับผู้ชมได้เป็นพิเศษ เพราะเขาถือว่าตัวเองเป็นผู้ชมเหล่านั้น และนั่นทำให้เกิดความแตกต่างอย่างยิ่งหญ่ เขาตื่นเต้นกับโลกสุดอัศจรรย์ที่สร้างขึ้นมาไม่ต่างกับเราที่จะได้เห็นมัน เขากำลังจะได้ถ่ายทอดความตื่นเต้นที่อยู่ในเรื่องออกมาให้ชมกัน”
แต่ถึงอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องให้ความสำคัญต่อการสร้างสมดุล ระหว่างฉากแอ็คชั่นกับเรื่องราวของมนุษย์ที่ถือเป็นหัวใจหลักของภาพยนตร์ แจชนีเล่าว่า “ประเด็นสำคัญของภาพยนตร์คือความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดการคุกคามยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม”
ภาพโดยรวมของต่อสู้กับไคจูสะท้อนในการออกแบบ การลงสี และการตกแต่งเยเกอร์ ซึ่งทุกอย่าง เคารพในประเทศที่มาของพวกเขา เยเกอร์ 4 ตัวหลักที่เห็นต่อสู้ในภาพยนตร์คือ Gipsy Danger จากสหรัฐฯ; Crimson Typhoon จากจีน; Cherno Alpha ของรัสเซีย และ Striker Eureka จากออสเตรเลีย
การสร้างไคจูที่น่ากลัวและเป็นตัวแทนของการทำลายก็ได้รับความเอาใจใส่ไม่น้อยไปกว่ากัน เดล โตโร เรียกสุดยอดผู้ชำนาญด้านคอนเซ็ปต์ในวงการมาออกแบบสิ่งที่เขาเรียกว่า “สัตว์ประหลาดที่น่ากลัวแต่มีความยิ่งใหญ่กว่าที่เราจะนึกภาพออกได้” โดยแต่ละตัวมีโครงร่างที่แตกต่างกันและมีความสามารถที่ทำให้ตายได้
เยเกอร์และไคจูโลดแล่นบนจอภาพยนตร์ได้โดยผู้ชำนาญด้านวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์จาก Industrial Light & Magic (ILM) ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเคยร่วมงานกับเดล โตโร เป็นครั้งแรก พวกเขาร่วมกันสร้างฉากต่อสู้สุดอลังการที่เกิดขึ้นบนพื้นดิน ในทะเล และกลางอากาศ
ภาพยนตร์ยังมีความโดดเด่นจากทีมนักแสดงระดับโลก นำทีมโดย ฮันแนม และ ไอดริส อัลบ้า, ริงโก้ คิคูชิ, ชาร์ลี เดย์, ร็อบ คาซินสกี้, แมกซ์ มาร์ตินี่, คลิฟตอน คอลลินส์ จูเนียร์, เบิร์น กอร์แมน และ รอน เพิร์ลแมน
“เราอยากให้ทุกคนอินไปกับภาพี่น่าตื่นเต้น เสียงดนตรี และความโกรธแค้น” เดล โตโร เล่าว่า “แต่ทั้งหมดสื่อถึงความกล้าหาญของตัวละครสำคัญทั้งหลาย โดยขนาดร่างกายแล้วมนุษย์มีขนาดเล็กที่สุดในหนัง แต่ความมุ่งมั่นของพวกเขามีมากกว่าสิ่งอื่นใด พวกเขาจะทำให้คุณเห็นถึงการสร้างฮีโร่ที่แท้จริงขึ้นมา”
การถ่ายทำที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นกับทุกฉากที่ Pinewood Studios ในโตรอนโต รวมถึงฉากถ่ายทำที่กว้างสุด 2 ฉากในโลก ฉากหนึ่งเรียกว่า Conn-pod ถูกสร้างขึ้นบนวงแหวนขนาดยักษ์ เพื่อให้นักแสดงสวมชุดพิเศษที่สร้างขึ้นมาโดย Legacy Effects ทำให้รู้สึกเหมือนพวกเขาอยู่ในการรบจริงๆ “เราอยากพาผู้ชมไปอยู่บนที่นั่งของผู้ควบคุม คุณจะสัมผัสได้เลยว่าเวลาสวมชุดเชื่อมต่อเข้ากัน และการบังคับให้หุ่นยนต์เคลื่อนที่ไปมันรู้สึกอย่างไร”
https://www.facebook.com/PacificRimThailand
สามารถเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ไทย ได้แล้ว http://www.pacificrim-thai.com
Pacific Rim – สงครามอสูรเหล็ก 11 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น