อ้ายแหยมกลับมาละเด้อ!!! กลับมาอีกครั้งกับ ภาพยนตร์ตลกที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน

ความฮาสนั่น เว่าอีสานสนุก คอสตูมสีแสบสัน เขย่าลูกคอสุดไพเราะ ท่ามกลางบรรยากาศลูกทุ่งสุดชิลที่คราวนี้ “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล”และผู้กำกับตลกมากฝีมืออย่าง “หม่ำ จ๊กม๊ก” แห่ง “บั้งไฟ ฟิล์ม” จะมาสานต่อความฮาร่วนม่วนหลายแบบยกกำลังสามกับเรื่องราวความรักที่อลวนครื้นเครงอลเวงม่วนฮักจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกกันเลยทีเดียว

การันตีความสนุกโดยทีมนักแสดงขาฮาที่เคยเรียกเสียงหัวเราะเต็มๆ มาแล้วจากสองภาคแรก ไม่ว่าจะเป็น หม่ำ จ๊กม๊ก, เจเน็ต เขียว, แวววาว วงษ์คำเหลา, อนุวัติ ทาระพันธุ์, เพทาย วงษ์คำเหลา, สายสิน วงษ์คำเหลา ฯลฯ พร้อมแจ้งเกิดทีมนักแสดงชุดใหม่ที่จะมาทำให้คุณหลงใหลในการถ่ายทอดตำนานรักครั้งใหม่ในภาคนี้อย่าง บิ๊กเอ็ม-ลิขิต บุตรพรม, ฟ้า-อิงฟ้า เกตุคำ, บิวตี้-รัตติยาภรณ์ ภักดีล้นนกเอี้ยง-จิตรลดาพร กันหาวรรค, เฉิน เชิญยิ้ม ฯลฯ และสุดเซอร์ไพรส์กับ “มด-เอ็นดู วงษ์คำเหลา” ศรีภรรยาสุดที่เลิฟของผู้กำกับฯ ที่ยอมมาเล่นหนังแบบเต็มๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต

เรื่องฮักม่วนหลาย

เวลาแห่งความสุขก็ได้ล่วงเลยผ่านฝน ผ่านหนาว ผ่านร้อนมาอีกหลายฤดู “บักแหยม” (หม่ำ จ๊กม๊ก) ผู้มีรักจริงกับ “เจ้ย” (เจเน็ต เขียว) สาวผู้รักมั่นคงมิเคยเสื่อมคลาย ลูกๆ ก็โตจนเรียนจบหรือไม่ก็ออกเรือนกันไปหมด เหลือแค่เพียง “คำผาน” (เพทาย วงษ์คำเหลา) ที่ยังเรียนไม่จบ ซ้ำชั้น ม.ศ.5 มาสามปี สร้างความระทึกใจให้กับกำนันแหยมและเจ้ยเรื่อยมา

จนกระทั่ง “คฑาเทพ” (ลิขิต บุตรพรม) ลูกชายอีกคนของกำนันแหยมกำลังจะเรียนจบกฎหมาย กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงปิดเทอม ในระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นคฑาเทพก็ได้พบกับ “รำพัน” (อิงฟ้า เกตุคำ) หญิงสาวที่เดินทางกลับมาพร้อมกันโดยบังเอิญ และทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ความรักของทั้งคู่คงจะผลิบานอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่ว่า…รำพันดันเป็นลูกสาวคนโตของ “กำนันปอย” (เฉิน เชิญยิ้ม) เพื่อนรักเพื่อนแค้นในอดีตที่ไปแย่งแฟนเก่าของแหยมมา นั่นคือ “รำพึง” (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ซึ่งยังมี “รำเพย” (รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น) ลูกสาวอีกคนที่เป็นถึงดาวประจำโรงเรียนที่คำผานดันตกหลุมรักเข้าให้อีก แล้วมีหรือที่คำผานจะพลาดการชิงชัยรักนี้

โอ้ละหนอ…ความรักของรุ่นลูกที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายกีดกันไม่เห็นด้วย มันจะลงเอยแบบไหนกันล่ะเนี่ย

แถมยังมีเรื่องราวความรักสุดแสบ หักเหลี่ยมเฉือนคม รักซ้อนซ่อนเงื่อนของรุ่นพ่อแม่ให้ต้องติดตามกันต่ออีก

ได้อลวนครื้นเครงอลเวงม่วนฮักจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกกันแบบยกกำลังสามล่ะคราวนี้

 

เบื้องหลังงานสร้างสุดแซบ

มาละเหวย…มาละวา บักแหยม กลับมาแล้วเด้อ “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” และ “บั้งไฟ ฟิล์ม” ภูมิใจหลายๆ  กับการกลับมาเรียกเสียงฮาสุดกู่อีกครั้งของ “แหยมยโสธร 3” หนังตลกภาคต่อที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ซึ่งสามารถกวาดรายได้อย่างถล่มทลายมาแล้วถึงสองภาคด้วยกัน

ในภาค 3 นี้ “หม่ำ จ๊กม๊ก” ยังคงควบทั้งตำแหน่งโปรดิวเซอร์, ผู้กำกับ, ผู้เขียนบท และนักแสดง หลากหลายบทบาทเหมือนเช่นเคย พร้อมใส่มุกตลกเพื่อความสนุกที่เข้มข้นถูกใจผู้ชมทุกเพศวัยแบบยกกำลังสามในการกลับมาของหนังรักฮารากหญ้าระดับตำนานเรื่องนี้ในรอบสี่ปีเลยทีเดียว

“มันเริ่มจากตอนที่จบจากแหยม 2 ผมก็คุยกับเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) ว่าอยากจะทำภาค 3 ต่อ เสี่ยก็โอเคให้ทำ แต่ตอนนั้นด้วยตัวเราติดอะไรหลายอย่างเลยต้องพักไว้ก่อน พอมาปีนี้ด้วยเวลาที่ลงตัวก็เลยลุยถ่ายกันเลย สำหรับแหยมภาคใหม่นี้ก็จะพูดถึงเรื่องราวความรักของรุ่นลูก ภาคที่แล้วเป็นเรื่องของลูกสาว คราวนี้ก็เป็นเรื่องของลูกชาย เราก็ไม่พยายามคิดอะไรให้ซับซ้อน เพราะหนังเรามันซื่อๆ บ้านๆ อยู่แล้ว ก็พยายามสร้างปมความรักขึ้นมา ก็นึกถึงหนังเช็กสเปียร์ ความรักที่ถูกกีดกันแบบโรมิโอกับจูเลียต แล้วก็แตกเรื่องออกไป รวมถึงคิดตัวละครใหม่ๆ ขึ้นมาเพิ่มสีสันความสนุกด้วย”

ตำนานรัก โรมิโอกับจูเลียตฉบับรากหญ้า

หลังจากผ่านเรื่องราวความรัก “หวานฮาลั่นทุ่ง” ของบักแหยม-สาวเจ้ยในภาคแรก ตามมาด้วยภาคสองกับความรักฉบับพ่อตาสุดโหดกับเขยสุดซ่าส์ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “จีบใครไม่ว่า จีบลูกสาวข้ามีเคลียร์” มาในภาคล่าสุด “แหยมยโสธร 3” นี้กลับมาพร้อมเรื่องราวความรักของรุ่นลูกที่ถูกกีดกันประหนึ่ง “โรมิโอกับจูเลียตฉบับรากหญ้า” แถมยังสานต่อปมความรักของรุ่นพ่อแม่ที่มันช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนเฉือนคมระหว่างสองครอบครัวชนิดที่เจ้าทุยยังต้องฮาสนั่นทุ่งแน่นอน

“มันเริ่มจากเราเล่าเรื่องลูกสาวเราไปแล้วในภาค 2 แล้วภาคนั้นมันมีลูกชายอยู่คนเดียวในเรื่องคือคำผาน แต่ตอนจบภาคหนึ่งเรื่องมันบอกไปแล้วว่าแหยมกับเจ้ยมีลูกสิบกว่าคน ก็เลยคิดว่าภาค 3 จะเล่าเรื่องลูกสักคนที่มาจากกรุงเทพฯ เป็นคนที่หน้าตาดีๆ หล่อๆ เลย มาจับคู่กับคำผาน เราคิดผูกเรื่องไปต่อว่ามันมีต้องมีตัวละครผู้หญิงสองคนที่ลูกเราไปชอบ คือแหยมมันเป็นหนังรักนะ รักแบบอีสาน คิดต่อไปอีกว่าความรักมันต้องมีปัญหา คนดูต้องได้ลุ้น ก็เลยคิดว่าถ้าอดีตของแหยมเคยมีคนที่รักมาก่อนเจ้ย แล้วบังเอิญคนรักคนนั้นดันเป็นเมียของคู่ปรับของแหยม แล้วก็เป็นพ่อแม่ของผู้หญิงที่ลูกชายของแหยมไปชอบ มันก็เป็นสตอรี่ไทยๆ ดีนะ เรื่องพ่อแม่กีดกันความรัก เราก็คิดทำเรื่องราวออกมาประมาณนี้

คือเรื่องมันจะผ่านมาจากภาคที่แล้วประมาณ 4-5 ปี เล่าถึงเรื่องราวตอนที่แหยมไม่ได้เป็นกำนันแล้ว จะมี ‘กำนันปอย’ (เฉิน เชิญยิ้ม) ที่เป็นคู่แค้นแหยมขึ้นมาเป็นกำนันแทน ที่สองคนนี้แค้นกันเพราะว่าเคยมีอดีตความรักที่แย่งผู้หญิงกัน คือแหยมก่อนจะมีเจ้ยเคยมีคนรักมาก่อน แต่พลาดไปเสร็จกำนันปอย ก็จะมีอารมณ์ถ่านไฟเก่า เจ้ยก็จะหึงๆ เพราะว่าภาคนี้แฟนเก่าของแหยมก็คือ ‘รำพึง’ (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ซึ่งเมียผมเล่นต้องกลับมาเจอกัน แล้วรำพึงดันไปเป็นเมียของกำนันปอยคู่รักคู่แค้นอีก ต่างคนก็ต่างระแวง ไหนจะเรื่องลูกมารักกันเองอีก พ่อแม่สองบ้านก็เลยต้องกีดกัน มันก็เลยอีรุงตุงนังกันใหญ่ ก็ต้องลุ้นว่าเรื่องราวจะแฮปปี้เอ็นดิ้งมั้ย”

 

หม่ำ โมเดลลิ่งการันตีนักแสดงหน้าใหม่

ในภาคนี้ นอกจากผู้กำกับ “หม่ำ จ๊กม๊ก” จะกลับมาสานต่อความฮา การันตีความอลวนม่วนฮักยกกำลังสามแล้ว ผู้กำกับยังเตรียมแจ้งเกิดสายเลือดใหม่ ปลุกปั้นมาสวมบทตัวละครหลากหลายเพื่อถ่ายทอดตำนานรักครั้งใหม่ในภาคนี้ โดยหลังจากทำการแคสติ้งจากหนุ่มสาวร่วมร้อย เพื่อเฟ้นหานักแสดงเลือดอีสาน ตามสเป๊คความต้องการของผู้กำกับหม่ำจนเป็นที่มาของ 4 นักแสดงหน้าใหม่เลือดอีสานข้นคลั่กจาก “หม่ำ โมเดลลิ่ง” ที่การันตีความสวยหล่อพร้อมฝีมือการแสดงที่ลื่นไหลหาตัวจับยาก

นำทีมโดยหนุ่มขอนแก่นวัย 24 ปี “บิ๊กเอ็ม-ลิขิต บุตรพรม” เจ้าของดีกรีรองอันดับ 1 จากเวทีการประกวด Arrow Handsome Man 2012 มาจับคู่กับสาวน้อยวัย 17 ปี “อิงฟ้า เกตุคำ” ที่เคยได้ตำแหน่งรองอันดับ 3 GOSSIP GIRL 2010 และ “บิ้วตี้-รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น” สาวหน้าใสชาวอุบลฯ มาจับคู่กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้กำกับ “มิกซ์-เพทาย วงษ์คำเหลา” ที่พร้อมโชว์ลีลาความฮาไม่แพ้พ่อ

นอกจากนี้ยังมี “นกเอี้ยง-จิตรลดาพร กันหาวรรคสาวหน้าสวยคมจากยโสธรที่จะมาเพิ่มสีสันให้กับตำนานรักลั่นทุ่งในการกลับมาครั้งนี้ร่วมกับนักแสดงต้นตำรับอย่าง “หม่ำ จ๊กม๊ก, เจเน็ต เขียว, แวววาว วงษ์คำเหลา, อนุวัติ ทาระพันธุ์ รวมไปถึงนักแสดงสุดเซอร์ไพรส์ “เอ็นดู วงษ์คำเหลา” ศรีภรรยาสุดที่เลิฟของผู้กำกับฯ ที่ยอมมาเล่นหนังให้แบบเต็มๆ เป็นครั้งแรก

“ภาคนี้ถือว่าต้องแคสติ้งกันหลายตัวละครนะ เพราะเราอยากเพิ่มรสชาติเข้าไป อย่าง ‘บิ๊กเอ็ม’ ที่รับบทเป็น ‘คฑาเทพ’ ตัวละครตัวนี้ผมอยากให้แตกต่างกับน้องมิกซ์ลูกผม คือเป็นพี่น้องกันก็จริง แต่อยากได้แบบต่างกันไปเลย คฑาเทพต้องฟีลแบบผ่าเหล่าผ่ากอมาเกิด หล่อเหลา สูงยาวเข่าดี ต้องเอาคนที่มันแตกต่างเพราะมันเป็นเรื่องสองมาตรฐาน ผมไม่ชอบลูกคนเล็กเพราะมันไม่ชอบเรียนหนังสือ บิ๊กเอ็มเขาเลือดอีสาน พูดอีสานได้ บุคลิกหน้าตาตรงตามตัวละครคฑาเทพเลย ส่วน ‘อิงฟ้า’ ที่มารับบท ‘รำพัน’ จะต้องเล่นแบบสวยบ้านนอกๆ หน้าตาฟ้าจะออกบ้านๆ ด้วย แล้วก็ความสูงจะไล่เลี่ยบาลานซ์กับบิ๊กเอ็มด้วย ผมว่าโดยรวมอิงฟ้ากับบิ๊กเอ็มเหมาะที่จะมาเล่นด้วยกัน  ส่วน ‘บิ้วตี้’ ผมก็รู้สึกชอบอยู่แล้วนะ ตอนที่มาแคสติ้ง เป็นคนพูดเก่ง กล้าแสดงออก เป็นคนกล้าคิดกล้าพูด และเล่นจริงเป็นธรรมชาติมาก  เป็นตัวเค้าเลยและสำเนียงเค้าพูดเนี่ยฮา เป็นคนอุบลฯ ด้วย เพราะบท ‘รำเพย’ จะเป็นคนที่พูดเก่ง เป็นจอมวางแผน จะเล่นแบบมีเสน่ห์อารมณ์เดียวกันกับ ‘คำผาน’ คู่เขาในเรื่องซึ่งรู้ใจกัน

ส่วน ‘นกเอี้ยง’ ที่คล้ายๆ กับเป็นตัวอิจฉาในเรื่อง แต่จริงๆ แอบน่าสงสารนะ คือเราก็ใช้ชื่อเดียวกันกับตัวจริงไปเลย นกเอี้ยงเป็นคนยโสธร ไม่เคยผ่านการแสดงมาก่อน เล่นได้ขนาดนี้ถือว่าเก่งมาก ผมมองว่าเด็กกลุ่มนี้ตั้งใจทำงานนะ คือทุกคนสุดๆ กัน ก็อยากให้ทุกท่านไปดู

ในภาคนี้ยังมีตัวละครจากภาคก่อนๆ มาร่วมสร้างสีสันความสนุกอยู่เหมือนเดิมนะ อย่าง ‘ยอดชาย’ อะฮ้า อะฮ้า (อนุวัติ ทาระพันธุ์) ก็ยังอยู่ แล้วก็มี ‘คุณนายดอกท้อ’ (เทียมใจ วงษ์คำเหลา) น้องสาวผมเล่นเอง ภาคนี้มีลูกสองคน เป็นตัวป่วนในเรื่องนี้ ก็คือ ‘มหาศาล’ (ชนินทร จิตปรีดา) กับ ‘มหานคร’ (สุรเศรษฐ์ อ่อนนิ่ม) ก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่อีกสองคน ก็ยังมีตัวละครเก่าๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวอยู่

ส่วนอีกคนนี่จะว่าเซอร์ไพรส์ก็ได้ ตอนแรกก็ยังไม่ได้คิดหรอกว่าจะเอาเค้ามาเล่น กะว่าจะหานักแสดงใหม่เลย ก็นั่งคิดไปคิดมาว่าเมียเรา (มด-เอ็นดู วงษ์คำเหลา) มันน่าจะเล่นได้นะ ก็เลยพูดเปรยๆ หยอกเค้าเล่นไปเรื่อยๆ จนเค้ายอมเล่นเฉยเลย แต่ที่เน้นหนักมากๆ คือค่าตัวเท่าไหร่ ชัดเจนเอาให้เคลียร์ ไปมาเก๊าเนี่ยซื้อกระเป๋า Louis เอย Chanel เอยให้อีก ลงทุนนะ 4-5 แสน ต้องเอาของมาหลอกล่อให้มาเล่น รวมแล้วค่าตัวนี่เป็นล้านๆ นะ นึกว่าจ้างอั้ม พัชราภามาเล่นซะอีก (หัวเราะ) ยังไงก็ฝากภรรยาผมด้วย เค้าก็เล่นโอเคนะ เสียอย่างเดียวคือไปบอกไปสอนไม่ได้ (หัวเราะ)”

คอสตูม คัลเลอร์ฟูล แสนแซบแสบสัน

แน่นอน เมื่อพูดถึง “แหยมยโสธร” ก็ต้องนึกถึงความโดดเด่นของสีสันเสื้อผ้า-หน้าผม ซึ่งในภาคล่าสุดนี้ผู้กำกับ “หม่ำ จ๊กม๊ก” พร้อมทีมคอสตูมดีไซน์และเมคอัพก็ยังคงคอนเซ็ปต์และตอบโจทย์ความฉูดฉาดบาดใจโจ๋เหมือนเช่นเคย โดยมีการวางรูปแบบและบรรจงดีไซน์ให้ออกมาในยุค 70 อย่างมีเอกลักษณ์และสไตล์ที่แปลกตาและโดดเด้งเป็นที่สุด

“ภาคนี้เสื้อผ้าก็แซบเหมือนเดิมครับ ตรงนี้เป็นจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของแหยมเลย พอพูดถึงแหยมปุ๊บ ก็จะนึกถึงเสื้อผ้าสีแสบตาปั๊บเลย เสื้อผ้าภาคนี้ก็จะเปลี่ยนยุคไปอีกซัก 3-4 ปี เป็นยุค 70 ช่วงหลังเอลวิส เป็นยุคที่เค้าไว้ผมฮิบปี้ๆ ส่วนสีสันก็ฉูดฉาดเหมือนเดิม ลงทุนเสื้อผ้าเยอะเหมือนเดิม ตัวละครแต่ละตัวก็จะมีคนละเป็นสิบชุดได้เลย แซบหลายแน่นอน”

เพลินเพลงบรรเลงลั่นทุ่ง

หลายคนเคยอินไปกับหลากหลายบทเพลงที่ถูกขับกล่อมอยู่ในหนังแหยม ยโสธรที่คอยเพิ่มอรรถรสให้เนื้อเรื่อง เช่นเดียวกันกับภาคนี้ที่ได้บทเพลงของศิลปินมรดกอีสาน เทพพร เพชรอุบล และ “รังษี เสรีชัย” อย่างเช่นเพลง “อีสานบ้านเฮา, ไข้ใจ, คำวอนก่อนลา, รอวันเธอว่าง” รวมไปถึงเพลงใหม่ๆ ที่มาจากไอเดียของผู้กำกับ “หม่ำ จ๊กม๊ก” อย่างเพลง “สี่คน” และ “ไอ เลิฟ ตุ๊ดชี่” ที่จะสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์สุดอลเวงม่วนฮักเรื่องนี้ไม่ภาคก่อนๆ อย่างแน่นอน

“แหยมภาคนี้มีหลายเพลงเลยทั้งเก่าและแต่งใหม่ เพลงเก่าก็เป็นเพลงน่ารักๆ ทั้งของท่านอาจารย์รังษี เสรีชัย กับเทพพร เพชรอุบลอย่างเพลง ‘รอวันเธอว่าง’ ก็เป็นซีนคำผานกับคฑาเทพปีนบันไดบุกห้องหญิง คือพ่อแม่ห้ามว่าอย่าไปยุ่ง แต่ไอ้คำผานมันออกไอเดียว่าถ้าเราไม่ยุ่งเสร็จมหาศาล-มหานครลูกคุณนายดอกท้อแน่ มันต้องชิงก่อนไม่งั้นไม่ได้ เพลงน่ารักเพลงนี้ ส่วนเพลง ‘ไข้ใจ’ มันอยู่ในซีนที่คฑาเทพต้องเข้าโรงพยาบาล ก็ร้องอ้อนนางเอกซะ โปรดเถอะคนดีพี่ขอมอบให้ ฟังสิหัวใจมันเต้นรัวว่าผมรักคุณ เพลงนี้มันก็เป็นเพลงสนุกๆ

ส่วนเพลง คำวอนก่อนลา’ คือเพลงของคู่คำผานกับรำเพย ก็ร้องว่าก่อนจะลาขอคำสัญญาสักหน่อย และหาเวลาพบกัน ก็น่ารักใสๆ แอบปนเศร้านิดนึง ส่วนเพลง ‘อีสานบ้านเฮา’ เหมือนเล่าบรรยากาศ เล่าไปให้ได้กลิ่นของวิถีชีวิตของชาวอีสาน”

ในบรรดาเพลงที่ถูกใช้เพิ่มรสชาติให้กับแหยม ยโสธร 3 นี้ ก็จะมีหนึ่งเพลงใหม่ที่ถือเป็นไฮไลต์ที่ถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในหนังเรี่องนี้ นั่นคือเพลง “สี่คน” ซึ่งนอกจากจะเป็นเพลงที่หม่ำ จ๊กม๊กกับ “สายสิน วงษ์คำเหลา” ร่วมกันแต่งขึ้นแล้ว หม่ำยังได้โชว์ลีลาการร้องและสเต็ป “บักแหยมสไตล์” ร่วมกับนักแสดงในเรื่องอย่างคึกคักม่วนหลายจนผู้ชมจะอดใจกระดิกเท้าเต้นตามไปด้วยไม่ได้อย่างแน่นอน เอ้า เริ่ม…สาม-สี่

                “เพลง ‘สี่คน’ เป็นเพลงที่ผมร้องเอง ก็อยู่ในฉากที่แหยมรับคำท้าแข่งเต้นกับกำนันปอย คือถ้าชนะยกลูกสาวให้ ถ้าแพ้ก็ห้ามยุ่ง เนื้อเพลงก็ออกสไตล์อีสานตรงไปตรงมา ทะลึ่งหน่อยๆ เนื้อเพลงมันประมาณ สี่คนๆ อ้ายมาสี่คน ให้น้องไปบอกอีแม่ บอกพ่อน้องว่าอ้ายมาสี่คน ก็ต้องมีเต้นกับบิ๊กเอ็มกับมิกซ์ลูกชายผม ก็ซ้อมกันนานนะ วันถ่ายจริงจะเป็นลมเอาเลย เต้นตั้งแต่สี่ทุ่มยันตีสี่ ต้องไปดูในหนังจะเต้นกันมันส์แค่ไหนยังไง”

แหยม เนเวอร์ ดายส์

นับจากวันที่ผู้ชายหน้าเหลี่ยมผมบ๊อบรักกันกับหญิงสาวตัวดำมีไฝ จนเป็นเรื่องราวที่โด่งดังไปทั่วประเทศ ก็เป็นเวลาถึง 8 ปีแล้วที่ “แหยม ยโสธร” โลดแล่นอยู่ในใจคนดู “หม่ำ จ๊กม๊ก” ในฐานะที่เป็นผู้ให้กำเนิดหนังเรื่องนี้ จนกลายเป็นโลโก้ที่ติดตัวเขามาตลอด จนเมื่อนึกถึง “แหยม” ก็นึกถึง “หม่ำ” ซึ่งเขาได้พูดถึงความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้ว่า

          “เผลอแป๊บเดียว 8-9 ปีแล้ว ก็คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ นะ ภาคแรก (2548), ภาคสอง (2552) ก็คิดถึงนะ คิดถึงพระเอกนางเอกยุคเก่าโน่นเลย ตอนภาคสองลูกสาวก็เพิ่งอายุยี่สิบ ตอนนี้ลูกสาวก็ยี่สิบห้ายี่สิบหกแล้ว ส่วนตัวก็รู้สึกผูกพันกับหนังและตัวละครนี้นะ เหมือนเป็นตัวเอง ทั้งมุก ทั้งเรื่องราวความรักแบบบ้านๆ มันเป็นตัวเราเองเลย ได้ทำก็มีความสุขกับมันทุกๆ ภาค ก็คิดเล่นๆ นะว่าจะทำภาคต่อๆ ไป แต่ก็เป็นเรื่องอนาคต ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่ปีนี้เอาภาคนี้ก่อน ‘แหยม 3’ ก่อน ก็กลับมาแล้วนะครับ จะได้เฮฮาภาษาบ้านๆ เหมือนเดิม 8 สิงหานี้ ได้ฮากันแน่ๆ ทั่วทุกหมู่บ้านครับ”

ฉากครื้นเครงอลเวงม่วนฮัก

เป็นที่รู้กันดีว่า “แหยม ยโสธร” มักจะมีฉากสุดคลาสสิคที่ยังอยู่ในใจใครหลายคน  ไม่ว่าจะเป็นฉากกระท่อมปลายนาอันลือลั่นในภาคหนึ่ง หรือจะเป็นฉากที่มีวลีฮิตๆ อย่าง  “เจ้ย…อยากได้ๆ” ก่อนจะโดนบักแหยมถีบตกน้ำกระจาย หรือจะเป็นฉากท่าเต้นกวนๆ ของปลัดธนู กับฉากสวีทกันกับแว้จนเบาหวานขึ้นตาในภาคสอง รวมถึงฉากจำอีกหลากหลายฉาก

และแน่นอนใน “แหยม ยโสธร 3” นี้ก็ไม่พลาดที่จะเตรียมฉากเด็ดมากมายให้ครื้นเครงอลเวงม่วนฮักกันอีกเช่นเคย ซึ่ง 5 ฉากที่เอามาเป็นแซมเปิ้ลๆ นี้ อาจจะขึ้นแท่นฉากคลาสสิคอีกครั้งก็เป็นได้

เลิฟซีน “หม่ำ-มด” Kissกันครั้งแรกบนแผ่นฟิล์ม

คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าผัวเมียจะจูบกัน หลายๆ คนอาจเคยเห็นกันไปแล้ว แต่ความพิเศษของการจูบกันในครั้งนี้ของ “หม่ำ-มด” ต้องจารึกไว้ว่าเป็นการ Kiss” กันครั้งแรกบนแผ่นฟิล์มของทั้งคู่ด้วย และเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของหนังแหยม ยโสธรด้วย 

บันไดน้อยคอยรัก รอวันเธอว่าง

ซีนจีบสาวในสไตล์ของ “แหยม ยโสธร” ย่อมไม่เหมือนหนังเรื่องไหนๆ อยู่แล้ว อย่างในซีนนี้ก็จะเป็นซีนที่ “คฑาเทพ” และ “คำผาน” สองหนุ่มพี่น้องวางแผนจีบสาว โดยปีนบันไดสูงสองเมตรแอบบุกเข้าทางหน้าต่างห้อง “รำพัน” กับ “รำเพย” หญิงสาวที่ตนรักซะเลย ความรักถูกกีดกันประหนึ่งรักของโรมิโอกับจูเลียต พิเศษยิ่งไปกว่านั้นซีนนี้สองหนุ่มยังร้องเพลง “รอวันเธอว่าง” ของ “รังษี เสรีชัย” อ้อล้อจีบสาวเพิ่มอรรถรสให้ฉากน่ารักๆ ในฉากนี้ด้วย

ผู้กำกับ “หม่ำ” กุมขมับ “เมียมด” ปะทะ “เมียเจ้ย” อาละวาดตลาดแตก

จะเป็นอย่างไรเมื่อ “มด” เมียสุดที่รักในชีวิตจริง ต้องมาเจอกับ “เจ้ย” เมียสุดเลิฟในหนัง งานนี้แค่คิดก็ลำบากใจแทนผู้กำกับหม่ำซะแล้ว ยิ่งตอนถ่ายจริงผู้กำกับฯ ยังออกอาการเกรงใจเมียตัวจริง ถึงกับให้ผู้ช่วยฯ ไปบรีฟเมียมดหน้ากองแทนตัวเองซะงั้น งานนี้ทั้งเมียมด-เมียเจ้ยจะปะทะคารมกันชนิดที่ความเผ็ดร้อนของพริกยี่สิบเม็ดในส้มตำยังแซบไม่เท่า…เว่าเลย

“มิกซ์” โชว์ลีลาสวีทแบบลูกไม้หล่นใต้ต้น

ซีนสวีทหวานเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของแหยมทุกภาค เพราะขึ้นชื่อในเรื่องของภาษาพูดที่สุดแสนจะตรงไปตรงมา แบบไม่แคร์สื่อ จนโดนใจใครหลายๆ คน อย่างในฉากนี้ที่ “มิกซ์” สวมวิญญาณ “คำผาน” หรือจริงๆ เล่นเป็นตัวเองเลยก็ไม่รู้ ออกลีลาออดอ้อนสาว “บิวตี้” (รำเพย) แบบสมจริงสมจัง…เกิ๊น ข้างสาวบิวตี้ก็ไม่ยอมแพ้ โต้มุกกลับเล่นเอาฮาเงิบ

“หม่ำ จ๊กม๊ก” รวมพลโชว์สเต็ป “บักแหยมสไตล์” กับเพลงสุดฮา “สี่คน”

สร้างสรรค์ฉากนี้แบบไม่มีใครเลียนแบบได้ เพราะท่าเต้นในฉากงานวัดนี้ครีเอทขึ้นมาเพื่อหนังแหยมฯ โดยเฉพาะเท่านั้น ซึ่งท่านี้จะมาพร้อมกับเพลงที่ผู้กำกับหม่ำลงทุนร้องเองที่ชื่อว่า “สี่คน” ซึ่งบอกไว้ก่อนเลยว่า ฟังแล้วจะคิดหรือไม่คิดกันไปไหนต่อไหน อันนี้ก็แล้วแต่ ห้ามกันไม่ได้เด้อ บวกกับท่าเต้นอันสุดแสนจะฮาโดดเด้ง พร้อมกับฉากงานวัดสุดอลังการที่ผู้กำกับฯ ทุ่มทุนสร้างเนรมิตแสงสีเสียงขึ้นมาแบบเต็มสูบ รับรองว่าฉากนี้ดูแล้วต้องอยากขยับแข้งขยับขาออกสเต็ปอัพกันอย่างแน่นอน

 

ศึกรักสองบ้าน…งานนี้มีแต่ฮา

“บักแหยมในภาคนี้ไม่ได้เป็นกำนันแล้ว หมดความนิยม โดนคู่แค้นแย่งตำแหน่งไป แต่ก็ยังรักกันดีกับเจ้ย แต่ภาคนี้จะเปิดเผยความลับของบักแหยมที่ไม่มีใครรู้มาก่อน เป็นความรักครั้งก่อนมาเจอเจ้ย และยังต้องปวดหัวกับลูกชายสองคนที่ดันไปรักลูกสาวของกำนันปอยที่เป็นอริหัวใจของเราอีก”

แหยม (รับบทโดย หม่ำ จ๊กม๊ก-เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) – ชายผู้รักสันติ ฝีปากกล้า ผู้ใหญ่ใจดีที่ขี้ประชดประชัน ไม่เคยเอาเปรียบใคร ผู้มีความสุขุมเยือกเย็น และรักครอบครัวเป็นที่สุด แต่ความรักในอดีตกำลังตามหลอกหลอนอย่างคาดไม่ถึง แถมลูกชายทั้งสองคนดันไปรักกับลูกสาวของคู่ปรับคนสำคัญเข้าให้อีก 

“สำหรับเจ้ยในแหยมภาคนี้ก็จะแก่ขึ้นค่ะ (หัวเราะ) ยังเป็นคนรักครอบครัว รักลูกและสามีเป็นที่สุด แต่เจ้ยก็กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง และต้องมาเจอกับเรื่องรักของลูกชายที่ดันไปรักกับลูกสาวของครอบครัวแฟนเก่าของแหยมเข้าให้อีก เจ้ยเลยต้องหาทางออกหัวใจให้กับทั้งตัวเองและลูกๆ อย่างชุลมุนทีเดียว”

เจ้ย (รับบทโดย เจเน็ต เขียว-กัญญ์ชัญญ์ เธียรวิชญ์) – หญิงผู้รักครอบครัวและแหยมผู้เป็นสามีของตนเป็นที่สุด เจ้ยผู้ก้าวสู่วัยทอง กำลังจะพบกลับเรื่องเก่าที่เป็นความลับในอดีตที่ตนเคยทำไว้ และมันกำลังส่งผลกลับมาสู่ตัวเธอเองในปัจจุบัน เจ้ยจะหาทางออกของหัวใจให้ตัวเองและลูกๆ ได้อย่างไร 

“เรื่องแรกของผมก็ต้องเตรียมตัวเยอะเหมือนกันครับ ก็มีฝึกอ่านหนังสือพิมพ์ให้เป็นภาษาอีสาน ฝึกคุยกับหมาบ้างเป็นภาษาอีสาน เพราะอยู่ในห้องก็ไม่รู้จะคุยกับใครก็ลองซ้อมลองคุยกับหมาดูครับ (หัวเราะ) คือปกติครอบครัวผมจะคุยอีสาน แต่เขาจะคุยกับผมเป็นภาษากลาง ก็พยายามซึมซับ ฝึกฟังฝึกพูดบ่อยๆ ก็ขอฝากงานหนังเรื่องแรกของผมด้วยนะครับ ใครที่เคยดูมาตั้งแต่สองภาคแรก บอกได้เลยว่าภาคนี้ห้ามพลาด เพราะความสนุกความฮาความมันส์คูณสามได้เลยครับ แล้วคุณจะหลงรักคนอีสานและหนังอีสานเรื่องนี้แน่นอนครับ”

คฑาเทพ (รับบทโดย บิ๊กเอ็ม-ลิขิต บุตรพรม) - ลูกชายอีกคนของแหยม เป็นคนซื่อ สุขุม รอบคอบ ใจเย็น พูดน้อย สุภาพ มีหน้าตาหล่อเหลาผ่าเหลาผ่ากอมาเกิด คฑาเทพกำลังเรียนกฎหมายใกล้จะจบ กลับมาบ้านช่วงปิดเทอมพร้อมกับความรักความสดใสของหัวใจที่กำลังเกิดขึ้นกับรำพัน แต่เขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะนำปัญหามาสู่ตนเองและพ่อแม่ แล้วคฑาเทพจะสู้หรือจะถอย เขาจะผ่านบททดสอบนี้ไปได้อย่างไร 

“ก็รู้สึกตื่นเต้นครับ เพราะว่าเหมือนอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ภาคนี้ก็จะเป็นเรื่องราวใหม่ๆ ครับ ไม่เหมือนภาคเก่า คือมีอะไรใหม่ๆ เข้ามา ก็อยากลองสัมผัสดู อยากรู้ครับ เห็นพ่อพูดไว้นานแล้ว ตอนแรกก็ลุ้นว่าจะได้เล่นหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่พอฟังไปฟังมาปุ๊บ เริ่มมีความรักเกี่ยวกับรุ่นลูกแล้ว ก็ดีใจว่ามีบทคำผานให้เราเล่นแน่ๆ แล้ว ภาคนี้ก็จะโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นครับ จะหนักไปทางจีบผู้หญิงมากกว่าครับ แต่เรื่องความกวนประสาทก็ยังไม่หายไปไหนนะครับ ยังกวนๆ แสบๆ เหมือนเดิม”

คำผาน (รับบทโดย มิกซ์-เพทาย วงษ์คำเหลา) – ลูกชายคนเล็กของแหยมและเจ้ย ซึ่งเรียนซ้ำชั้น ม.ศ 5 มาสามปีแล้ว ทั้งที่ตัวเองก็เป็นคนหัวดีฉลาดหลักแหลม แต่เพียงเพราะหัวดื้อ หัวรั้นและซนที่สุดในจำนวนลูกที่มี ด้วยความเป็นลูกคนเล็กทำให้เขาเหมือนเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่แคร์คนรอบข้าง ทำให้แหยมไม่ชอบนิสัยของลูกคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ตัวคำผานนี่แหละที่เหมือนกับผู้เป็นพ่อเมื่อครั้งอดีตเกือบชัดที่สุดแล้ว และเมื่อคำผานมีความรักกับรำเพยลูกของกำนันปอย ชายผู้ที่เกลียดพ่อของเขามากที่สุดในชีวิต คำผานจะผ่านอุปสรรคนี้ไปได้อย่างไร

“หม่ำโทรมาบอกว่ามีหนังให้เล่น ตอนแรกจะให้ผมเล่นเป็นครูใหญ่ พอสักพักเขาก็บอกว่ามึงมาเล่นเป็นกำนันปอย คู่ปรับกูดีกว่า ก็ดีใจครับ ผมรู้จักกับหม่ำมาเป็นสิบปี สมัยยังทำงานก๊อกแก๊กๆ เขาไม่เคยลืมเพี่อน จนทุกวันนี้เขาประสบความสำเร็จ มีอะไรเขาก็จะช่วย จะถามไถ่ตลอด แต่เรื่องนี้ต้องเล่นเป็นคู่ปรับกัน ก็ไม่ไว้หน้ากันล่ะครับ” (หัวเราะ)

กำนันปอย (รับบทโดย เฉิน เชิญยิ้ม) - ชายผู้ทรงอิทธิพล กำนันผู้ซึ่งร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของจังหวัด ผู้เป็นสามีของรำพึง พ่อของรำพันและรำเพย อดีตเพื่อนรัก เพื่อนแค้นของกำนันแหยม เขาจะทำอย่างไร เพื่อให้ลูกสาวทั้งสองเข้าใจพ่อที่ไม่อยากดองกับศัตรูหัวใจของเขา

“เขาก็สะกิดอยู่หลายคืนเหมือนกัน บอกว่ามาเล่นหนังให้เค้าหน่อย ตอนแรกเราก็ไม่อยากรับปาก เพราะมันไม่เคย หม่ำเขาก็เอากระเป๋ามาล่อเป็นสิบใบ เราก็เลยใจอ่อนยอมช่วยสามีไป (หัวเราะ) ตอนไปเล่นก็ไม่รู้อะไรเลย เขาให้ขึ้นรถตู้ไป แล้วก็ไปแต่งหน้า พอถึงตอนถ่ายเค้าก็ค่อยมาบอก บางทีก็ให้ผู้ช่วยมาบอก ไม่รู้เขากลัวอะไรของเค้าเหมือนกัน”

รำพึง (รับบทโดย มด-เอ็นดู วงษ์คำเหลา) - หญิงผู้เป็นภรรยาและแม่ที่ดีมาตลอด มีสามีคือกำนันปอยผู้ซึ่งมีอิทธิพลและเงินทองมากมาย รำพึงเคยเป็นอดีตคนรักของแหยมมาก่อน ซึ่งสาเหตุของการแยกทางยังคงจำฝังลึกสำหรับรำพึงเสมอมา เมื่ออดีตอันเจ็บปวดกำลังกลับมาพร้อมความสุขของลูกๆ คนเป็นแม่อย่างเธอจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไงดี

ก่อนหน้านี้เคยดูมาแล้วทั้งสองภาค ฟ้าชอบเพราะดูแล้วได้หัวเราะ แล้วก็มีความรักมีมุกตลกแบบไทยๆ แบบชาวอีสาน แล้วถ้าพูดถึงแหยมฯ ก็คงต้องนึกถึงพี่หม่ำ ในความรู้สึกหนูก็คือถ้าพูดถึงแหยมก็ต้องนึกถึงพี่หม่ำเพราะว่าเค้าก็เป็นคนดำเนินเรื่องมาตั้งแต่แรกเลย นึกถึงแหยมฯ ก็นึกถึงหน้าพี่หม่ำแล้ว แล้วอีกอย่างคือคิดถึงสีสันของเสื้อผ้าเลย ความตลก และก็เป็นหนังที่พูดภาษาอีสานทั้งเรื่อง รู้สึกดีใจค่ะที่ได้เป็นหนึ่งที่เล่นหนังเรื่องนี้ แล้วก็ทำให้คนได้มีความสุขได้มีเสียงหัวเราะก็รู้สึกดีใจค่ะ

รำพัน (รับบทโดย ฟ้า-อิงฟ้า เกตุคำ) - ลูกสาวคนโตของกำนันปอยและรำพึง เป็นสาวสวย เรียบร้อย อ่อนหวาน น่าพิสมัย บังเอิญเกิดมามีความรักกับคฑาเทพหนุ่มบ้านเดียวกันขณะที่กลับมาจากกรุงเทพฯ พร้อมกัน แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่ามันจะมาพร้อมกับปัญหาหัวใจ และปัญหาครอบครัว

“ตอนแรกก็รู้สึกแบบได้เล่นจริงเหรอ เพราะว่าคนเข้ามาแคสเยอะมากค่ะ แล้วที่รู้มาคือพี่หม่ำต้องเปิดให้คนมาแคสตัวละครตัวนี้ถึงสองรอบ พี่หม่ำบอกว่าตัวเรา ลักษณะของเราดูเป็นคนที่น่ารัก สดใสอยู่แล้ว มันอาจจะตรงกับคาแร็คเตอร์ของรำเพย คือไม่ต้องปรับอะไรมากมายค่ะ รู้สึกดีใจและภูมิใจมากๆ ที่ได้เข้ามาเล่นหนังเรื่องนี้ค่ะ”

รำเพย (รับบทโดย บิวตี้-รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น) – ลูกสาวคนเล็กของบ้านกำนันปอย สาวสวยรวยเสน่ห์ น่ารักและซุกซน ขี้อ้อนเป็นนิสัย รำเพยกำลังเรียนอยู่ชั้นม.ศ.5 ด้วยความน่ารักสดใส จึงทำให้เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มในโรงเรียนรวมทั้งคำผานด้วย และสาวเจ้าเสน่ห์อย่างเธอจะมาแพ้ทางคำผานหรือไม่ล่ะงานนี้

“จริงๆ แล้วตัวนกเอี้ยงไม่ได้ร้ายเลยนะคะในเรื่อง อาจจะดูน่าสงสารซะด้วยซ้ำ แล้วนกเอี้ยงก็คือชื่อจริงของหนูด้วยค่ะ มีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกันในคาแร็คเตอร์ ก็อยากขอบคุณพี่หม่ำที่ให้โอกาสแสดงหนังเรื่องนี้ นกเอี้ยงในฐานะที่เป็นคนอีสาน ก็ตั้งใจเต็มที่กับหนังม่วนหลายเรื่องนี้ค่ะ”

นกเอี้ยง รับบทโดย (จิตรลดาพร กันหาวรรค) - สาวสวยประจำตำบล ผู้ซึ่งตกหลุมรักคฑาเทพมาตั้งแต่มัธยม จนวันนี้เธอก็ยังรักเขาไม่เปลี่ยน นกเอี้ยงเป็นสาวมั่น ปราดเปรียว คล่องตัว ทันสมัย ฉลาดและเฉลียว แต่เรื่องความรักดันไม่ประสา ใครจะเชื่อล่ะเนี่ย นกเอี้ยงจะทำอย่างไร เธอจะพิชิตหัวใจของคฑาเทพได้มั้ย หรือเวลากับคนสองคนที่ (เธอคิดไปเองว่า) สร้างกันมาจะไม่มีค่าเอาซะเลย

บันทึกความทรงจำ “หม่ำ จ๊กม๊ก” ผู้กำเนิดความฮาแบบ “แหยม ยโสธร”

สำหรับ “แหยม ยโสธร” ผมรักหนังเรื่องนี้มากนะ จริงๆ ก็รักทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้มันเป็นตัวตนของเราที่สุดแล้ว นับนิ้วไล่มาก็ 8 ปีแล้ว (2548-2556) แป๊บเดียวเองก็มาถึง “แหยม ยโสธร 3 แล้ว

ยังจำได้ถึงวันที่คิดจะทำหนังเรื่องนี้ ไอเดียมาจากการที่เราจะทำหนังบ้านๆ ตอนนั้นแทบไม่มีใครทำ แล้วเราเป็นเลือดอีสาน ก็คิดอยากทำหนังที่เล่าถึงเรื่องราวแบบชาวอีสาน คือมันแปลกสำหรับหนังที่มีออกมาตอนนั้น แล้วก็คิดต่อไปว่าอยากย้อนยุคไปสัก 40 ปี เสื้อผ้าก็ต้องย้อนด้วย แนวทางสีต้องโดดเด่น เอาให้ฉูดฉาดจัดจ้านน้ำตาเล็ดกันไปเลย แล้วก็ต้องพูดอีสานอีสานทั้งเรื่องด้วย ขายภาษาพูดที่ตรงไปตรงมา กิมมิคมันอยู่ตรงนี้ ก็เอาไอเดียตรงนี้มาทำเป็นบท แล้วก็ตัดสินใจไปคุยกับเสี่ยเจียง เสี่ยพูดเลย “หนังอะไรของมึงวะไอ้หม่ำ ใครจะดู” แต่เสี่ยเชื่อใจให้ทำ ก็ลุยเลย

ตอนแรกจะใช้ชื่อว่า “ฮัลโหล ยโสธร” แต่พอดีเราตั้งใจแล้วว่าจะให้พระเอกชื่อว่า “แหยม” ก็เลยเปลี่ยนเป็น “แหยม ยโสธร” ชื่อแหยมมาจากตลกคนหนึ่งที่เรารู้จัก

นั่นแหละคือจุดเริ่มต้น…

และตอนที่ทำเสร็จตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าคนจะชอบหรือเปล่า แต่พอหนังเข้าฉาย รายได้ดี คนชอบ เราก็รู้สึกดีใจมาก ก็ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ชอบกันครับ

เวลาผ่านจากภาคแรกมาถึงภาค 3 นี้ก็ 8 ปีแล้ว ความผูกพันของหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่ามันเป็นครอบครัวของผมนะ เป็นเหมือนตัวตนของเรา เวลาที่ทำหนังเรื่องนี้เหมือนเราได้กลับบ้าน เป็นชีวิตในแบบของเรา ก็ตั้งใจจะทำต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเสี่ยให้ทำนะ…