ข้อมูลภาพยนตร์
Pain and Gain เป็นเรื่องราวอาชญากรรมจริงๆ ในยุค 90 นำแสดงโดย มาร์ค วอห์ลเบิร์ก, ดเวย์น จอห์นสัน (เดอะ ร็อค) และแอนโทนี่ แมคกี้
จากเรื่องจริงที่ไม่น่าเชื่อของ 3 ผู้ฝึกสอนส่วนบุคคลที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งในไมอามี่ เมื่อปี ค.ศ. 1990 ที่พยายามไล่ตามความฝันสู่ความร่ำรวยตามแบบฉบับของชาวอเมริกัน ด้วยแผนการณ์รวยลัดสุดแสบ จนเข้าไปพันพัวกับเจ้าพ่ออาชญากร สู่การลักพาตัว และบานปลายกลายเป็นความผิดพลาดสุดเลวร้ายกว่าที่คิด
ประวัตินักแสดง
มาร์ค วอห์ลเบิร์ก (Mark Wahlberg) รับบท แดเนียล ลูโก้
มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและลูกโลกทองคำจากการแสดงที่โดดเด่นของเขาใน “The Fighter” และดรามาชื่อดังโดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง “The Departed”
อาชีพนักแสดงภาพยนตร์ที่น่าทึ่งของเขาเริ่มต้นจากภาพยนตร์โดยเพ็นนี มาร์แชลเรื่อง “Renaissance Man” และ “The Basketball Diaries” ที่แสดงประกบลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ตามด้วยการแสดงประกบรีส วิทเธอร์สปูนในทริลเลอร์เรื่อง “Fear” เขาชื่นชอบการรับบทตัวละครที่หลากหลายสำหรับผู้กำกับวิสัยทัศน์ไกลอย่างเดวิด โอ. รัสเซล, ทิม เบอร์ตันและพอล โธมัส แอนเดอร์สัน
การแสดงแจ้งเกิดของเขาใน “Boogie Nights” ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในฮอลลีวูด ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงนำใน “Three Kings” และ “The Perfect Storm” ประกบจอร์จ คลูนีย์และ “The Italian Job” ประกบชาร์ลิซ เธอรอน และเขาก็ได้แสดงนำในภาพยนตร์ชีวประวัติเกี่ยวกับฟุตบอลเรื่อง “Invincible” ประกบเกร็ก คินเนียร์และ “Shooter” ที่สร้างจากนิยายเบสต์เซลเลอร์เรื่อง Point of Impact หลังจากนั้น เขาก็ได้ร่วมงานกับผู้กำกับเจมส์ เกรย์จาก “The Yards” และวาคิน ฟินิกซ์ใน “We Own the Night” ซึ่งเขาอำนวยการสร้างด้วย โปรเจ็กต์อื่นๆ ของเขาได้แก่ “The Happening,” Max Payne” และภาพยนตร์ที่ปีเตอร์ แจ็คสันดัดแปลงจาก “The Lovely Bones”
ในปี 2010 วอห์ลเบิร์กได้แสดงในคอเมดีเรื่อง “Date Night” ประกบทีนา เฟย์และ “The Other Guys” ประกบวิล เฟอร์เรล นอกจากนี้ เขายังทีมนักแสดงในดรามาชกมวยสำหรับครอบครัวที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “The Fighter” อีกด้วย เมื่อปีที่แล้ว เขาได้แสดงใน “Contraband” ประกบเคท เบคคินเซล และคอเมดียอดนิยมเรื่อง “Ted” ประกบเซธ แม็คฟาร์เลน
ล่าสุด เขานำแสดงใน “Broken City” ประกบรัสเซล โครว์และจะได้แสดงประกบเดนเซล วอชิงตันใน “2 Guns” และในภาพยนตร์ชีวประวัติเกี่ยวกับนาวีซีลเรื่อง “Lone Survivor”
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2013 เขาจะเริ่มถ่ายทำโปรเจ็กต์เรื่องที่สองของเขากับผู้กำกับไมเคิล เบย์ในภาคสี่ของแฟรนไชส์ยอดนิยมเรื่อง”Transformers”
วอห์ลเบิร์ก ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จ ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลพีบอดี้ อวอร์ด ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์ สิบรางวัลลูกโลกทองคำและสี่รางวัลเอ็มมี นอกเหนือจากเรื่อง “Lone Survivor,” “Broken City,” “Contraband,” “The Fighter” และ “We Own the Night” แล้ว เขายังได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Boardwalk Empire,” “Entourage,” “In Treatment” และ “How to Make it in America” อีกด้วย
วอห์ลเบิร์ก ผู้ใจบุญสุนทาน ได้ก่อตั้งมาร์ค วอห์ลเบิร์ก ยูธ ฟาวน์เดชันขึ้นในปี 2001 เพื่อช่วยเหลือเด็กและวัยรุ่นในตัวเมือง
ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) รับบทพอล ดอยล์
ดเวย์น จอห์นสันมีแผนที่จะมีปีที่ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งปีในปี 2013 โดยเขาได้แสดงในภาพยนตร์ที่มีความแตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่ทริลเลอร์ดรามาเรื่อง “Snitch” เกี่ยวกับพ่อผู้ทำงานแฝงตัวให้กับปปส. เพื่อปลดปล่อยลูกชายเขาจากคุกหลังจากโดนใส่ร้ายว่าค้ายาเสพติด ไปจนถึง “G.I. Joe: Retaliation” ภาคสามของแฟรนไชส์แอ็กชันผจญภัย ประกบบรูซ วิลลิสและแชนนิง ทาทัม และภาพยนตร์อินดีดรามาเรื่อง “Empire State” ประกบเลียม เฮมส์เวิร์ธและเอ็มมา โรเบิร์ตส์ เขายังคงสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐาะนักแสดงมากความสามารถและเป็นที่ต้องการตัวสูงอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนี้ เขาจะเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ของเบรท แรทเนอร์เรื่อง “Hercules” และไม่นานหลังจากนี้ เขาก็จะได้แสดงประกบเลียม เฮมส์เวิร์ธและเซอร์แอนโธนี ฮ็อปกินส์ในภาพยนตร์เรื่อง “Arabian Nights” ผลงานเรื่องอื่นๆ หลังจากนี้ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยแบร์รี ซอนเนนเฟลด์เรื่อง “Lore” ที่สร้างจากนิยายภาพโดยแอชลีย์ วู้ดและ” Journey to the Center of the Earth 3”
ผลงานล่าสุดของเขา “Journey 2: The Mysterious Island” กวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 325 ล้านเหรียญ และในปี 2011 ภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเรื่อง “Fast Five” ก็ทำรายได้มากกว่าภาพยนตร์ภาคอื่นๆ ในแฟรนไชส์ “Fast and Furious” ด้วยรายได้กว่า 626 ล้านเหรียญ
ผลงานก่อนหน้านี้ที่หลากหลายของจอห์นสันรวมถึง include “Race to Witch Mountain,” “The Tooth Fairy,” “Planet 51,” “Get Smart” และ “The Game Plan” ในปี 2009 เอนเตอร์เทนเมนต์ วีคลีได้ยกย่องจอห์นสันให้เป็นเอลิสต์รุ่นใหม่ของฮอลลีวูด เทียบเท่ากับโรเบิร์ต ดาวนีย์, จูเนียร์, เอลเลน เพจ, เจมส์ แม็คอะวอยและเอมี อดัมส์
ก่อนหน้านี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขา ด้วยการได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม ในบทบอดีการ์ดเกย์ ผู้ใฝ่ฝันจะเป็นนักร้องใน “Be Cool” ซีเควลของเรื่อง “Get Shorty” โดยเอ็มจีเอ็ม ประกบจอห์น ทราโวลตา, อูม เธอร์แมนและวินซ์ วอห์น นอกจากนี้ สำหรับเอ็มจีเอ็มแล้ว จอห์นสันยังได้แสดงรีเมกปี 2004 เรื่อง “Walking Tall” ในบทนายอำเภอ ผู้กลับมาบ้านเกิดหลังจากเข้ารับใช้กองทัพ แต่ต้องมาพบกับเมืองที่เสื่อมโทรมไปด้วยการคอร์รัปชัน ก่อนหน้านั้น จอห์นสันได้แสดงในภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลเรื่อง “The Rundown” แอ็กชัน/คอเมดีชื่อดังที่กำกับโดยปีเตอร์ เบิร์กและร่วมแสดงโดยฌอน วิลเลียม สก็อต, โรซาริโอ ดอว์สันและคริสโตเฟอร์ วอลเคน ที่ช่วยตอกย้ำสถานะพระเอกนักบู๊ของเขาและความเป็นพระเอกหลังจากความสำเร็จยิ่งใหญ่ของ “The Scorpion King”
ดเวย์น จอห์นสันเกิดในซานฟรานซิสโกและเติบโตในฮาวาย เขาประสบความสำเร็จการได้ร่วมทีมออลอเมริกันสมัยไฮสคูล และได้ทำหน้าที่ไลน์แมนตัวรับคนดังให้กับทีมมหาวิทยาลัยไมอามี เฮอร์ริเคนส์ และช่วยนำทีมของเขาผ่านอุปสรรคมากมายจนกลายเป็นแชมป์ระดับประเทศ หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไมอามี จอห์นสันก็ได้เดินตามรอยเท้าของร็อคกี้ จอห์นสัน พ่อผู้มีชื่อจารึกอยู่ในดับบลิวดับบลิวอี ฮอล ออฟ เฟมของเขา และไฮ ชีฟ ปีเตอร์ ไมเวีย ปู่ของเขา ด้วยการเข้าร่วมแวดวงกีฬาบันเทิงของดับบลิวดับบลิวอี ภายในเวลาเจ็ดปี (1996-2003) อารมณ์ที่รุนแรงของเขาได้นำไปสู่ความสำเร็จด้วยสถิติผู้เข้าชมสูงสุดในอเมริกาและทำลายสถิติการจ่ายเงินเพื่อชมการแข่งขันระหว่างนั้นด้วยเช่นกัน “เดอะ ร็อค” ตัวละครที่ดเวย์น จอห์นสันได้สร้างขึ้นได้กลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีเสน่ห์สูงสุดและมีพลังพลุ่งพล่านสูงสุดเท่าที่วงการเคยเห็น
ความรักในการแสดงของเขาและความต้องการที่จะชิมลางงานอื่นทำให้เขาได้ออกรายการ “Saturday Night Live” ในเดือนมีนาคม ปี 2000 และทำให้หลายคนประหลาดใจด้วยความชำนาญในการแสดงคอเมดีของเขา และมันก็ทำให้รายการนี้มีเรตติ้งสูงสุดในปีนั้น หลังจากนั้น จอห์นสันก็ได้รับเลือกจากสตีเฟน ซอมเมอร์สให้แสดงใน “The Mummy Returns” ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 400 ล้านเหรียญทั่วโลก ตัวละครของเขาได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริหารของยูนิเวอร์แซล ระหว่างการฉายฟิล์ม จนพวกเขาวางแผนที่จะสร้างภาพยนตร์จากตัวละครของเขาในทันที ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง The Scorpion King ก็ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศในปี 2002 ด้วการเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวด้วยรายได้สูงสุดตลอดกาลประจำเดือนเมษายน
ในปี 2006 จอห์นสันได้ก่อตั้งเดอะ ร็อค ฟาวน์เดชันขึ้น โดยพันธกิจของเดอะ ร็อค ฟาวน์เดชันคือการให้การศึกษา ให้อำนาจและให้แรงจูงใจกับเด็กๆ ทั่วโลกผ่านทางความสมบูรณ์พร้อมทางกายภาพและสุขภาพ จอห์นสันเป็นนักสังคมสงเคราะห์ผู้มุ่งมั่น เขาเป็นโฆษกคนปัจจุบันของโครงการรณรงค์เรื่องโรคเบาหวานของมูลนิธิเอนเตอร์เทนเมนต์ อินดัสทรี ฟาวน์เดชัน นอกจากนี้ เขายังเป็นสมาชิกดาราคนดังสำหรับสภากาชาดอเมริกันและทำหน้าที่ทูตสันถวไมตรีคนดังแห่งชาติสำหรับมูลนิธิเดอะ เมค อะ วิช ฟาวน์เดชันอีกด้วย ในปี 2008 สภาคองเกรสอเมริกาและคณะกรรมาธิการผู้นำร่วมของอเมริกาได้ยกย่องเขาด้วยการมอบรางวัลฮอไรซัน อวอร์ด ซึ่งเป็นรางวัลที่สภาคองเกรสมอบให้กับภาคเอกชน ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำอันโดดเด่นและมอบโอกาสให้กับเยาวชนทั่วประเทศ
จอห์นสันผู้ไม่พอใจอยู่กับการอยู่หน้ากล้องเท่านั้น ได้เขียนอัตชีวประวัติของตัวเองขึ้นในชื่อ The Rock Says ซึ่งติดอันดับหนึ่งเบสต์เซลเลอร์ชองนิวยอร์ก ไทม์ หลังจากที่ตีพิมพ์ในเดือนมกราคม ปี 2000 ได้ไม่นาน
จอห์นสันเป็นคนรักครอบครัว เขาเป็นพ่อของซิโมน อเล็กซานดรา จอห์นสันวัยแปดขวบและเป็นคู่ชีวิตที่ซื่อสัตย์ของแดนี การ์เซีย
แอนโธนี แม็คกี้ (Anthony Mackie)รับบทเอเดรียน ดอร์บัล
แอนโธนี แม็คกี้ นักแสดงผู้ฝึกฝนการแสดงคลาสสิก ได้เข้าศึกษาที่จูเลียร์ด สคูล ออฟ ดรามา เขาได้รับการค้นพบหลังจากได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากบททูปัค ชาคูร์ในละครออฟบรอดเวย์เรื่อง “Up Against the Wind”
หลังจากนั้น แม็คกี้ก็ได้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์อย่างงดงามด้วยบทปาป้า ด็อค คู่แข่งของเอมิเนมในภาพยนตร์โดยเคอร์ติส แฮนสันเรื่อง “8 Mile” การแสดงของเขาได้รับความสนใจจากสไปค์ล ลี ผู้ที่หลังจากนั้นก็เลือกแม็คกี้ให้แสดงใน “Sucker Free City” ที่ได้รับเลือกให้เข้าฉายในโปรแกรมมาสเตอร์สของเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตปี 2004 และ “She Hate Me” นอกจากนั้น เขายังได้แสดงในภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยคลินท์ อีสต์วู้ดเรื่อง “Million Dollar Baby” ประกบฮิลลารี สแวงค์, มอร์แกน ฟรีแมนและอีสต์วู้ด รวมถึงภาพยนตร์โดยโจนาธาน เดมม์เรื่อง “The Manchurian Candidate” ประกบเดนเซล วอชิงตันและลีฟ ชไรเบอร์และคอเมดีเรื่อง “The Man” ที่นำแสดงโดยซามวล แอล. แจ็คสัน
แม็คกี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไอเอฟพี สปิริตและก็อทแธม อวอร์ดจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์โดยร็อดนีย์ อีวานส์เรื่อง “Brother to Brother” ซึ่งได้รับรางวัลสเปเชียล ดรามาติค จูรี ไพรซ์จากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2004 และรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขาภาพยนตร์เปิดตัวยอดเยี่ยม ในปี 2005 เขาได้แสดงใน “Heavens Fall” ภาพยนตร์อินดีที่สร้างจากการไต่สวนคดีสก็อตส์โบโร บอยส์ ที่โด่งดัง ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์บายเซาธ์เวสต์ปี 2006 ในออสติน
นอกจากนี้ เขายังมีผลงานภาพยนตร์ห้าเรื่องในปี 2006 โดยนอกเหนือจาก “We Are Marshall” แล้ว เขายังได้แสดงใน “Half Nelson” ประกบไรอัน กอสลิง ที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นรางวัลซันแดนซ์โดยผู้กำกับไรอัน เฟล็คเรื่อง “Gowanus Brooklyn,” ใน “Crossover” โดยเพรสตัน วิทเมอร์, ในดรามาอาชญากรรมรวมดาราโดยแฟรงค์ อี. ฟลาวเวอร์สเรื่อง “Haven” ประกบออร์ลันโด บลูมและบิล แพ็กซ์ตันและในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจาก “Freedomland” โดยริชาร์ด ไพรซ์ ที่นำแสดงโดยซามวล แอล. แจ็คสัน
ระหว่างแสดงงานภาพยนตร์ เขาก็ได้แสดงละครเวทีทั้งที่เป็นบรอดเวย์และออฟบรอดเวย์ด้วย เขาเปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในบทซิลเวสเตอร์ หลานชายผู้พูดติดอ่าง ประกบวู้ปปี้ โกลด์เบิร์กในละครโดยออกัสต์ วิลสันเรื่อง “Ma Rainey’s Black Bottom” หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงในละครไชคอฟเรื่อง “The Seagull” ที่เรจินา คิงนำมาบอกเล่าใหม่ให้ทันสมัยขึ้น, ในละครโดยสตีเฟน เบลเบอร์เรื่อง “McReele” สำหรับราวน์อเบาท์ เธียเตอร์ คัมปะนี และได้แสดงในละครรางวัลพูลิทเซอร์เรื่อง “A Soldier’s Play” ในบทของตัวละครที่เดนเซล วอชิงตันทำให้โด่งดังเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ ล่าสุด เขาได้ร่วมแสดงใน “August Wilson’s 20th Century” ที่จัดขึ้นโดยเคนเนดี้ เซ็นเตอร์ ในฐานะหนึ่งในกว่า 30 นักแสดงจอเงินและละครเวทีผู้โด่งดัง เขาได้แสดงในละครสามในสิบเรื่องของวิลสัน ที่เล่าประสบการณ์ของชาวแอฟริกัน/อเมริกัน ซึ่งแต่ละเรื่องเกิดขึ้นในทศวรรษที่แตกต่างกันในศตวรรษที่ 20 แม็คกี้ ผู้ชื่นชอบการแสดงละครเวที หวังว่าจะได้หวนคืนสู่ละครเวทีเร็วๆ นี้
ในปี 2009 แม็คกี้รับบทร้อยโทเจที แซนบอร์นในภาพยนตร์ของแคทริน ไบจ์โลว์เรื่อง The Hurt Locker ที่ไม่เพียงแต่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดเท่านั้น แต่ยังได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม สาขากำกับยอดเยี่ยม สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอีกสามสาขาอีกด้วย ในปีเดียวกันนั้นเอง แม็คกี้ได้กลับไปรับบททูปัค ชาคูร์อีกครั้งในภาพยนตร์โดยฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์เรื่อง “Notorious” อัตชีวประวัติของโนโทเรียส บี.ไอ.จี. นอกจากนี้ เขายังรับบทนายพลวิลเลียม โบว์แมนในภาพยนตร์โดยดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์เรื่อง “Eagle Eye” อีกด้วย
ในปี 2010 แม็คกี้ได้หวนคืนสู่เวทีบรอดเวย์อีกครั้ง ด้วยการแสดงในละครโดยมาร์ติน แม็คโดนัฟเรื่อง “A Beheading in Spokane” นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงกับเคอร์รี วอชิงตันในดรามาเรื่อง “Night Catches Us” ซึ่งเข้าฉายในวันที่ 3 ธันวาคม ปี 2010 อีกด้วย ในปี 2011 เขาได้แสดงในภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง “The Adjustment Bureau” ซึ่งร่วมแสดงโดยแมทท์ เดมอนและเอมิลี บลันท์ และภาพยนตร์โดยดิสนีย์/ดรีมเวิร์คส์เรื่อง “Real Steel” ที่นำแสดงโดยฮิวจ์ แจ็คแมนอีกด้วย
ในปีนี้ เขาได้แสดงภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Man on a Ledge” ประกบแซม เวิร์ทธิงตันและอลิซาเบธ แบงค์,
“10 Years” ที่ร่วมแสดงโดยแชนนิง ทาทัม, เคท มารา, โรซาริโอ ดอว์สันและจัสติน ลองและ “Abraham Lincoln: Vampire Hunter” ที่กำกับโดยทิเมอร์ เบคแมนเบทอฟ
2013 เป็นปีที่งานชุมสำหรับแม็คกี้ เขาจะได้แสดงประกบฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์และซานา ลาธานในทริลเลอร์สยองขวัญเรื่อง “Vipaka,” ดรามาเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่จากผู้กำกับจอร์จ ทิลแมน จูเนียร์, “The Inevitable Defeat of Mister and Pete” ที่นำแสดงโดยอเดเวล อาคินนูเย-แอ็กบาเจ, เจฟฟรีย์ ไรท์, เจนนิเฟอร์ ฮัดสันและจอร์ดิน สปาร์คส์, ทริลเลอร์อาชญากรรมเรื่อง “Runner, Runner” ประกบเบน เอฟเฟล็ค, จัสติน ทิมเบอร์เลคและเจ็มมา อาร์เทอร์ทันและการแสดงนำในภาพยนตร์ชีวประวัติ “Bolden” ซึ่งแม็คกี้รับบทบัดดี้ โบลเดน ราชันย์โคโรเน็ทแห่งนิวออร์ลีนส์คนแรก แม็คกี้จะร่วมแสดงกับทีมนักแสดงระดับแนวหน้า ซึ่งรวมถึงคริส อีวานส์, ซามวล แอล. แจ็คสันและสการ์เล็ตต์ โยฮันสันใน “Captain America: The Winter Soldier” ที่มีกำหนดจะเข้าฉายในฤดูใบไม้ผลิปี 2014
โทนี แชลล็อบ (Tony Shalhoub) รับบท วิคเตอร์ เคอร์ชอว์
โทนี แชลล็อบ ได้รับรางวัลเอ็มมี ลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ด จากซีรีส์ “Monk” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของโทนีได้แก่ “The Great New Wonderful,” “Galaxy Quest,” “Spy Kids,” “The Siege,” “Searching for Bobby Fisher,” “Primary Colors,””Men in Black,” “The Man Who Wasn’t There” และ “Big Night” เขาได้พากย์เสียงหลุยจี้ในภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง “Cars” เขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง “Too Big to Fail” และ “Hemingway and Gellhorn” แชลล็อบเปิดตัวในฐานะผู้กำกับด้วยภาพยนตร์อินดีเรื่อง “Made-Up” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับบรู๊ค อดัมส์ ภรรยาของเขา ผลงานของแชลล็อบ นักแสดงละครเวทีผู้ประสบความสำเร็จ ได้แก่ “Waiting for Godot,” “The Heidi Chronicles,” “Conversations with My Father,” “The Scene” และ “Lend Me A Tenor” ปัจจุบัน แชลล็อบกำลังอยู่ระหว่างการซ้อมละครเรื่อง “Golden Boy” ที่เปิดแสดงที่เบลาสโก เธียเตอร์ในวันที่ 6 ธันวาคม ปี 2012
เอ็ด แฮร์ริส (Ed Harris) รับบท เอ็ด ดู บัวส์ ที่สาม
เอ็ด แฮร์ริส นักแสดงพรสวรรค์และมากความสามารถ จะได้แสดงในภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในปี 2013 รวมถึงทริลเลอร์สงครามเย็นเรื่อง “Phantom” ที่ร่วมแสดงกับเดวิด ดูคอฟนีย์และวิลเลียม ฟิชท์เนอร์, “The Look of Love” ประกบแอนเน็ตต์ เบนนิง ภายใต้การกับอารี โพเซนและภาพยนตร์เวสเทิร์นเรื่อง “Sweetwater” ประกบแจนยัวรี โจนส์และเจสัน ไอแซ็คส์
แฮร์ริสเปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขาด้วย “Pollock” และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการแสดงนำของเขา มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดน เพื่อนร่วมแสดงของเขา ได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมภายใต้การกำกับของเขา ผลงานภาพยนตร์ของเขาได้แก่ “Appaloosa” (ผู้กำกับ, มือเขียนบทและนักแสดงนำ), “A History of Violence” (รางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติ), “The Hours” (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์, ลูกโลกทองคำ, แซ็กและบาฟตา), “Gone Baby Gone,” “The Truman Show” (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ ได้รับรางวัลแซ็ก อวอร์ด), “Copying Beethoven,” “The Right Stuff,” “The Abyss,” “The Rock,” “The Human Stain,” “A Beautiful Mind,” “Stepmom,” “The Firm,” “A Flash of Green,” “Places in the Heart,” “Alamo Bay,” “Sweet Dreams,” “Jacknife,” “State of Grace,” “The Third Miracle” และ “Touching Home” เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับปีเตอร์ เวียร์อีกครั้ง (“The Truman Show”) ด้วยการนำแสดงในภาพยนตร์อีพิคผจญภัยที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมของเวียร์เรื่อง “The Way Back”
ล่าสุด แฮร์ริสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีจากการแสดงประกบจูลีแอนน์ มัวร์และวู้ดดี้ ฮาร์เรลสันในภาพยนตร์เอชบีโอรางวัลเอ็มมี อวอร์ดเรื่อง “Game Change” ที่กำกับโดยเจย์ โร้ค นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบพอล นิวแมนมินิซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Empire Falls” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี ลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ผลงานจอแก้วของเขาได้แก่ “The Last Innocent Man,” “Running Mates,” “Paris Trout” และ “Riders of the Purple Sage” ซึ่งเขาและเอมี เมดิแกน ในฐานะผู้ร่วมอำนวยการสร้างและนักแสดง ได้รับรางวัลเวสเทิร์น แฮริเทจ แรงเลอร์ อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์
ต้นปีนี้ แฮร์ริสเพิ่งเสร็จสิ้นจากการแสดงที่เจฟเฟน เพลย์เฮาส์ในลอสแองเจลิส ที่เขาได้แสดงประกบเอมี เมดิแกน, บิล พุลแมนและเกลนน์ เฮดลีย์ในละครรอบปฐมทัศน์โดยนักเขียนบทละครเบธ เฮนลีย์เรื่อง “The Jacksonian” ที่กำกับโดยโรเบิร์ต ฟอลส์ แฮร์ริสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์เอาเตอร์สาขาการแสดงเดี่ยวยอดเยี่ยมและรางวัลลูซิลล์ ลอร์เทล สาขาการแสดงเดี่ยวยอดเยี่ยมจากละครออฟบรอดเวย์เรื่อง “Wrecks” ที่โรงละครพับลิค เธียเตอร์ในนิวยอร์ก ซิตี้ เขาได้ร่วมงานกับมือเขียนบท/ผู้กำกับ นีล ลาบู๊ท ในรอบปฐมทัศน์โลกที่เอฟเวอรี พาเลซ เธียเตอร์ในคอร์ก ประเทศไอร์แลนด์และได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ละครแอลเอ ปี 2010 สาขาการแสดงเดี่ยวยอดเยี่ยมจากละครเรื่อง “Wrecks” ที่เจฟเฟน เพลย์เฮาส์ ผลงานละครของเขารวมถึงละครโดยโรนัลด์ ฮาร์วู้ดเรื่อง “Taking Sides,” ละครโดยแซม เชพเพิร์ดเรื่อง “Fool for Love” (โอบี้) และ “Simpatico” (รางวัลลูซิลล์ ลอร์เทล อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม), ละครโดยจอร์จ เฟิร์ธเรื่อง “Precious Sons” (ดรามา เดสก์ อวอร์ด), “Prairie Avenue,” “Scar,” “A Streetcar Named Desire,” “The Grapes of Wrath” และ “Sweet Bird of Youth”
ร็อบ คอร์ดดราย (Rob Corddry) รับบท จอห์น เมส
ร็อบ คอร์ดดรายเปิดตัวใน “The Daily Show with Jon Stewart” ในฤดูใบไม้ผลิปี 2002 และกลายเป็นหนึ่งในพิธีกรที่ได้รับความนิยมสูงสุดที่ปรากฏจากทอล์คโชว์แปลกใหม่ เขายังคง “ให้การศึกษา” ผู้ชมด้วยสเก็ตช์การเมืองที่ประชดประชันของเขาตลอดฤดูใบไม้ร่วงปี 2006 และได้กลับมารับบทเดิมอีกครั้งในบทรับเชิญเป็นครั้งคราวตลอดหลายปีหลังจากนั้น
เขาย้ายไปลอสแองเจลิสหลังจากได้ออกรายการ “The Daily Show” และในปี 2007 เขาก็ได้แสดงในซิทคอมฟ็อกซ์เรื่อง “The Winner” ที่สร้างโดยเซธ แม็คฟาร์เลนและริคกี้ บลิทท์ มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างจาก “Family Guy” ซีรีส์ “The Winner” ซึ่งเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม ออกฉายได้เพียงหกเอพิโซดก่อนที่จะโดนแคนเซิล
ในช่วงหลายปีนับจากนั้น นอกเหนือจากโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ต่างๆ แล้ว เขายังได้เขียนและสร้างคอนเทนท์คอเมดีของตัวเองอีกด้วย เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงคนแรกๆ ที่สร้างรายการ “แบบโทรทัศน์” ทางอินเทอร์เน็ต เขาร่วมมือกับวอร์เนอร์ บรอส. ทำหน้าที่ผู้สร้าง มือเขียนบทและผู้กำกับสำหรับซีรีส์ “Children’s Hospital” ซึ่งล้อเลียนดรามาทางการแพทย์ ซีรีส์ที่ตอนหนึ่งมี 5 นาที ที่เริ่มต้นในเดือนธันวาค ปี 2008 เรื่องนี้ได้คอร์ดดรายมานำแสดงคู่กับเจสัน ซูเดคิสจาก SNL, เลค เบล, เมแกน มัลลัลลีและเอ็ด เฮล์มส์ ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับรางวัลเว็บบี้ อวอร์ดสาขาคอเมดี ประเภทความยาวหรือซีรีส์และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอีกสองสาขา นั่นคือการแสดงบุคคลยอดเยี่ยม (คอร์ดดราย) และคอเมดี: เรื่องสั้นหรือเอพิโซด (เอพิโซด 4) ซีซันสองของซีรีส์ “Childrens Hospital” เปิดตัวทางอดัลท์ สวิมในหนึ่งปีให้หลัง ทำให้มันเป็นหนึ่งในสองซีรีส์ที่เปลี่ยนตัวเองจากซีรีส์ทางเว็บไปเป็นซีรีส์โทรทัศน์ได้อย่างประสบความสำเร็จ มันได้รับเรตติ้งสูงทั้งในบล็อกรายการช่วงห้าทุ่มครึ่งและเที่ยงคืน และทำเรตติ้งได้เหนือกว่ารายการจากคอเมดี เซ็นทรัลที่คล้ายๆ กัน แม้ว่าจะมีการแข่งขันกับสถานีอื่น แต่ “Childrens Hospital” ก็ได้รับรางวัลสเก็ตช์ คอเมดี/คอเมดี อัลเทอร์เนทีฟยอดเยี่ยมจากงานคอเมดี อวอร์ด ที่จัดโดยคอเมดี เซ็นทรัลเป็นครั้งแรก ซีซัน 4 ที่ได้รับการจับตามองอย่างสูงฉายครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ปี 2012 และได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขารายการบันเทิงไลฟ์แอ็กชันขนาดสั้นชั้นพิเศษยอดเยี่ยมครั้งแรกด้วย
นอกเหนือจากงานของเขาใน “Childrens Hospital” แล้ว ในปีที่อาจจะเป็นหนึ่งในปีที่ยุ่งที่สุดของเขาจนถึงปัจจุบัน คอร์ดดรายยังได้แสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องด้วย เขาได้แสดงประกบสตีฟ คาเรลและเคียรา ไนท์ลีย์ในภาพยนตร์โดยโฟกัส ฟีเจอร์สเรื่อง “Seeking a Friend for The End of the World” และหลังจากนั้น ก็ได้แสดงในคอเมดีตลกร้ายเรื่อง “Butter” ประกบเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์และฮิวจ์ แจ็คแมนสำหรับวีนสไตน์ คัมปะนี
ต้นปี 2013 เขาจะมีผลงานเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายซอมบี้โดยไอแซ็ค มาเรียนเรื่อง “Warm Bodies” ที่นำแสดงโดยนิโคลัส โฮลท์, เทเรซา ปาล์มเมอร์, จอห์น มัลโควิชและกำกับโดยโจนาธาน เลอวิน
หลังจากถ่ายทำ “Pain and Gain” ในไมอามี เขาก็ได้มุ่งหน้าสู่การถ่ายทำ “Hell Baby” คอเมดีสยองขวัญจากโธมัส เลนนอนและโรเบิร์ต เบน แกแรนท์ มือเขียนบท “Reno 911” ในทันที ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่คอร์ดดรายแสดงประกบเลสลีย์ บิ๊บบ์ เล่าเรื่องของคู่สามีภรรยาที่กำลังรอการเกิดของลูกน้อย ผู้ย้ายไปอยู่ในบ้านผีสิงในนิวออร์ลีนส์ และต้องโทรเรียกหน่วยปราบผีชั้นยอดของวาติกันให้มาช่วยพวกเขาจากเด็กทารกผีสิง
นอกจากนี้ ในปี 2013 เขายังได้ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงชั้นนำ ซึ่งรวมถึง สตีฟ คาเรล, เลียม เจมส์, แซม ร็อคเวล, โทนี คอลเล็ตต์, อแมนดา พี้ท, มายา รูดอล์ฟและอัลลิสัน แจนนีย์ และได้ร่วมกับมือเขียนบทและผู้กำกับแนท แฟ็กสันและจิม แรชในคอเมดีเรื่อง “The Way, Way Back” อีกด้วย
ในปี 2010 เขาได้นำแสดงในภาพยนตร์คอเมดีรวมดาราเรื่อง “Hot Tub Time Machine” สำหรับเอ็มจีเอ็มและผู้กำกับสตีฟ พิงค์ เรื่องราวนี้บอกเล่าเรื่องราวของชายสามคน (คอร์ดดราย, เคร็ก โรบินสันและจอห์น คูแซ็ค) ระหว่างที่พวกเขาไปเยี่ยมชมบ่อน้ำร้อนที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยจัดงานปาร์ตี้ และค้นพบว่าตอนนี้มันกลายเป็นไทม์แมชชีนและได้เดินทางย้อนเวลาไปสู่ยุควัยรุ่นเลือดร้อนของพวกเขาในช่วงกลางยุค 80s นอกจากนี้ เขายังได้รับบทคามีโอใน “Cedar Rapids” ซึ่งนำแสดงโดยเอ็ด เฮล์มส์และจอห์น ซี. ไรลีย์อีกด้วย
นอกจากโปรเจ็กต์จอแก้วแล้ว คอร์ดดราย ผู้ได้รับการยอมรับในแวดวงภาพยนตร์มายาวนาน ได้แสดงในภาพยนตร์คอเมดีหลายสิบเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Old School,” “Semi-Pro” และ “Blades of Glory” ล่าสุด เขาได้แสดงในคอเมดีคู่หูเรื่อง “What Happens in Vegas” ประกบแอชตัน คุทเชอร์และคาเมรอน ดิแอซ, “Harold & Kumar Escape from Guantanamo Bay” และในบทดรามา อารี เฟลสเชอร์ในภาพยนตร์ของโอลิเวอร์ สโตน ที่เล่าถึงชีวิตและการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจอร์จ ดับบลิว. บุชเรื่อง “W”
ก่อนหน้านี้ เขาได้แสดงซีรีส์เรื่อง “Curb Your Enthusiasm” และ “Arrested Development” และผลงานภาพยนตร์ของเขาก็รวมถึงภาพยนตร์โดยพี่น้องฟาร์เรลลีเรื่อง “The Heartbreak Kid” ประกบเบน สติลเลอร์, “Semi-Pro” ประกบวิล เฟอร์เรล, “Taking Chances” ประกบจัสติน ลองและ “Failure to Launch” ประกบแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์
ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาและลูกสาวสองคน
บาร์ พาลี (Bar Paly) รับบท โซรินา ลูมินิตา
บาร์ พาลี เกิดในเมืองอูรัล ประเทศรัสเซีย และเติบโตในเมืองเทล อาวีฟ เธอเป็นนักแสดงหญิงชาวอิสราเอล ผู้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงหญิงมากความสามารถคนสวย ในหลายๆ โปรเจ็กต์ ทั้งจอแก้วและจอเงิน ในอเมริกาและทั่วโลก ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำทริลเลอร์แอ็กชันโดยยูนิเวอร์แซลเรื่อง “Non-Stop” ประกบเลียม นีสันและจูลีแอนน์ มัวร์
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากอิโรนิ อาเลฟ ไฮสคูล ออฟ อาร์ตส์ในเทล อาวีฟ เธอก็ได้รับบทแสดงครั้งแรกในซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง “Love Waits Around the Corner” (אהבה מחכה מעבר לפינ ) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะขยายขอบเขตการแสดงของเธอ เธอก็เลยอพยพไปอเมริกาตอนอายุเพียงแค่ 21 ปี ด้วยความที่ไม่รู้จักใครในนิวยอร์ก ซิตี้และไม่สามารถหางานทำในฐานะนักแสดงได้ทันที เธอก็เลยสมัครงานเดินแบบ และถูกคว้าตัวโดยเน็กซ์ โมเดล เมเนจเมนต์ในทันที ไม่นานนัก เธอก็ได้ย้ายไปลอสแองเจลิส ที่เธอเริ่มศึกษากับโค้ชการแสดงผู้ได้รับการยกย่อง โฮเวิร์ด ไฟน์ ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็ได้รับบทภาษาอังกฤษบทแรก ในคอเมดีโชว์ไทม์เรื่อง “Filthy Gorgeous” เกี่ยวกับเอเจนซีเอสคอร์ทชั้นสูง ที่นำแสดงโดยอิซาเบลลา รอสเซลลินี ตามด้วยการแสดงในภาพยนตร์ดรีมเวิร์คส์เรื่อง “The Ruins,” “Stiletto” ประกบทอม เบเรนเกอร์และไมเคิล เบห์นและภาพยนตร์อินดีเรื่อง “Hyenas”
ด้านจอแก้ว เธอได้รับบททาเทียนาในซีรีส์เอ็มทีวีเรื่อง “Underemployed” และได้รับบทโลลาในซีรีส์โดยมือเขียนบท/ผู้ควบคุมงานสร้าง กีกี้ เลแวนกี้ เกรเซอร์เรื่อง “The Starter Wife” สำหรับยูเอสเอ เน็ตเวิร์ค นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้รับบทรับเชิญในซีรีส์ “How I Met Your Mother,” “Unhitched” และ “CSI: NY.” อีกด้วย
หลังจากนี้ เธอจะได้แสดงในคอเมดีพิลึกเรื่อง “A Glimpse into the Mind of Charles Swan III” ที่เขียนบทและกำกับโดยโรมัน คอปโปลาและนำแสดงโดยชาร์ลีย์ ชีน, เจสัน ชวอร์ทซ์แมนและบิล เมอร์เรย์ และมีกำหนดจะเข้าฉายเดือนกุมภาพันธ์นี้
รีเบล วิลสัน (Rebel Wilson) รับบท โรบิน เพ็ค
รีเบล วิลสัน กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงพรสวรรค์ที่เป็นที่ต้องการตัวของวงการอย่างรวดเร็ว เสน่ห์บนหน้าจอและจังหวะในการแสดงตลกของเธอทำให้นักแสดงหญิงชาวออสเตรเลียนคนนี้สามารถก้าวสู่วงการภาพยนตร์อเมริกาได้อย่างง่ายดาย
วิลสันได้แจ้งเกิดในวงการเป็นครั้งแรกจากการแสดงที่น่าจดจำของเธอในบทบรินน์ เพื่อนร่วมห้องสุดฮาของคริสเตน วิ้กในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยจั๊ดด์ อพาโทว์เรื่อง “Bridesmaid” แม้ว่าตัวละครของวิลสันจะได้เข้าไม่กี่ฉาก แต่เธอก็ทำให้ผู้ชมทั่วทุกแห่งสงสัยใคร่รู้และอยากเห็นนักแสดงหญิงชาวออสเตรเลียคนนี้มากกว่านี้
หลังจากความสำเร็จของ “Bridesmaids” เธอก็เริ่มดึงดูดโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น ในเดือนมกราคม ปี 2012 ภาพยนตร์เรื่อง “Bachelorette” ของเธอที่ร่วมแสดงโดยเคิร์สเตน ดันส์และอิสลา ฟิชเชอร์ เปิดตัวในงานซันแดนซ์และในเดือนกันยายน ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ผ่านทางวีนสไตน์ คัมปะนี ไม่เพียงแต่ภาพยนตร์อินดีเรื่องนี้ขึ้นถึงอันดับหนึ่งทาง iTunes และการเช่าแบบ OnDemand เท่านั้น แต่ภาพยนตร์เล็กๆ เรื่องนี้ที่มีทุนสร้าง 3 ล้านเหรียญ ทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกได้ถึงสองเท่า
ในเดือนตุลาคม วิลสันได้ร่วมแสดงกับแอนนา เคนดริคในมิวสิคัล คอเมดีโดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง “Pitch Perfect” ซึ่งร่วมแสดงโดยบริทนีย์ สโนว์และสกายลาร์ แอสติน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ทำรายได้ไปกว่า 60 ล้านเหรียญทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว
ผลงานหลังจากนี้ของวิลสันคือภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง “Pain and Gain” ประกบมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, ดเวย์น อห์นสันและแอนโธนี แม็คกี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายวันที่ 26 เมษายน ปี 2013
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ “Ice Age: Continental Drift,” “Small Apartments” และ “Struck by Lightning”
เคน จอง (Ken Jeong) รับบท จอนนี่ วู
เคน จอง ที่เป็นที่รู้จักจากความสามารถในการขโมยซีนของเขา ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักแสดงสมทบที่ขาดไม่ได้สำหรับภาพยนตร์คอเมดียอดนิยมในปัจจุบัน ในเดือนเมษายน ปี 2009 เขาได้แสดงบทมิสเตอร์โชว์ ม็อบสเตอร์ชาวเอเชียน ในคอเมดียอดนิยมแบบผิดคาดเรื่อง “The Hangover” ที่นำแสดงโดยแบรดลีย์ คูเปอร์, เอ็ด เฮล์มส์และแซ็ค กาลิฟิอานาคิส ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นคอเมดีเรท R ที่ทำรายได้สูงสุดจนถึงปัจจุบัน ด้วยรายได้กว่า 467 ล้านเหรียญทั่วโลก ก่อนที่จะถูกลบสถิติโดย “The Hangover 2” ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 581 ล้านเหรียญทั่วโลก ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างถ่ายทำภาคสามของแฟรนไชส์นี้ ที่มีกำหนดเข้าฉายในเดือนพฤษภาคม ปี 2013
นับตั้งแต่ที่เขาเปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยบทคุณหมอในภาพยนตร์เรื่อง “Knocked Up” ในปี 2007 เขาก็ได้รับบทที่น่าจดจำอีกมากมายในคอเมดีที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ภาพนยตร์เรื่องแรกของจอง ที่กำกับ เขียนบทและอำนวยการสร้างโดยจั๊ดด์ อพาโทว์ ทำรายได้ 219 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก ปี 2008 เขาได้รับบทสำคัญเป็นครั้งแรกในฐานะตัวร้ายใน “Role Models” จองที่รับบทราชาอาร์โกทรอน ได้แสดงประกบพอล รัดด์, ฌอนน์ วิลเลียม สก็อตและคริสโตเฟอร์ มินซ์-แพลสซี ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้กว่า 90 ล้านเหรียญทั่วโลก ในปีเดียวกัน เขาได้รับบทเล็กๆ ในคอเมดีฟอร์มยักษ์อีกสองเรื่องคือ “Pineapple Express” และ “Step Brothers”
เส้นทางอาชีพของจองเริ่มต้นในทิศทางที่ต่างออกไป เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยดุ๊คและเขาก็สำเร็จการศึกษาด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยนอร์ธ แครอไลนา เขาฝึกงานด้านการแพทย์ที่นิว ออร์ลีนส์พร้อมไปกับขัดเกลาฝีมือการแสดงตลกของตัวเองไปด้วย ในปี 1995 เขาชนะการประกวดบิ๊ก อีซี ลาฟ-ออฟ ซึ่งมีผู้ตัดสินเป็นแบรนดอน ทาร์ทิคอฟ อดีตประธานเอ็นบีซีและบั๊ดด์ ฟรายด์แมน ผู้ก่อตั้งอิมโพรฟ การประกวดนี้กลายเป็นการแจ้งเกิดของเขาเมื่อทั้งคู่สนับสนุนให้จองเดินทางไปลอสแองเจลิส
เมื่อเดินทางถึงลอสแองเจลิส เขาก็เริ่มแสดงเป็นประจำที่เดอะ อิมโพรฟและลาฟ แฟ็คทอรี และได้ร่วมแสดงในซีรีส์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “The Office,” “Entourage” และ “MADtv” แต่เขามาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักแสดงตลกในจอเงินเมื่อเขาได้รับบทดร.คูนิใน “Knocked Up” นั่นเอง ในปี 2006 เขาและไมค์ โอ’ ดอนเนล เพื่อนนักแสดงตลกได้สร้างชื่อใน YouTube ในฐานะคู่หูที่ล้อเลียนวงการแร็ป มิลเลียนดอลลาร์ สตรอง นับตั้งแต่โพสต์วิดีโอ มันก็มีผู้ชมกว่าหนึ่งล้านคนและจองและโอ’ คอนเนลก็ได้รับการทาบทามจากเอ็มทีวี ฟิล์มส์ให้เขียนบทและแสดงในเวอร์ชันภาพยนตร์
ปัจจุบัน จองเป็นขาประจำซีรีส์ “Community” ซึ่งเริ่มแพร่ภาพซีซันที่สี่ในเดือนกันยายน ในซีรีส์นี้ ที่นำแสดงโดยโจเอล แม็คเฮลและเชฟวี เชสเขารับบทเบน ชาง อดีตครูชาวสเปนผู้โกรธเกรี้ยว
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ include “The Zookeeper,” “Transformers: Dark of the Moon,” “The Goods: Live Hard, Sell Hard” และ “All About Steve” และเขาก็ได้ปรากฏตัวในรายการ “Stand Up 2 Cancer PSA” หลายครั้ง และได้เป็นพิธีกรรายการ 2011 บิลบอร์ด มิวสิค อวอร์ดอีกด้วย
ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส กับภรรยาและลูกสาวฝาแฝดของเขา
ไมเคิล ริสโพลี (Michael Rispoli) รับบท แฟรงค์ กรีกา
ไมเคิล ริสโพลี มีประวัติผลงานจอแก้วและจอเงินที่น่าประทับใจมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถหลากหลายของเขาในฐานะนักแสดงด้วยการแสดงในดรามา คอเมดีและทริลเลอร์ ปัจุบัน เขาได้รับบทประจำ เบล แจฟฟ์ในซีรีส์ฮิตทางสตาร์ซเรื่อง “Magic City”
ด้านจอเงิน ล่าสุด เขาได้แสดงประกบจอห์นนี เดปป์ในภาพยนตร์โดยบรูซ โรบินสันเรื่อง “The Rum Diary” ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “The Taking of Pelham 123” ที่นำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตันและจอห์น ทราโวลตาและกำกับโดยโทนี สก็อต, “Kick-Ass” ประกบนิโคลัส เคจ ที่อำนวยการสร้างโดยแพลน บี บริษัทของแบรด พิตต์, ภาพยนตร์ดิสนีย์ “Invincible” ประกบมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, “The Weather Man” ประกบนิโคลัส เคจและไมเคิล เคน, “Mr. 3000” ประกบเบอร์นีย์ แม็ค, “Lonely Hearts” ประกบจอห์น ทราโวลตา, ภาพยนตร์โดยแดนนี เดอวีโต้เรื่อง “Death to Smoochy,” ภาพยนตร์โดยสไปค์ ลีเรื่อง “Summer of Sam,” ภาพยนตร์โดยจอห์น ดัห์ลเรื่อง “Rounders” และภาพยนตร์โดยไบรอัน เดอ พัลมาเรื่อง “Snake Eyes” นอกจากนั้น เขายังแสดงบทนำใน “Two Family House” ประกบเคลลี แม็คโดนัลด์ ซึ่งได้รับรางวัลออเดียนซ์ อวอร์ดจากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2000 อีกด้วย
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “See You in September,” “Scar City,” “Volcano,” “To Die For,” “Feeling Minnesota,” “While You Were Sleeping,” “Black Irish,” “One Last Thing,” “The Juror” และ “One Tough Cop”
ล่าสุด เขาได้แสดงใน “Union Square” ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2011 และได้แสดงในภาพยนตร์เกี่ยวกับมวยปล้ำเรื่อง “The Reunion” หลังจากนั้น เขาก็จะได้แสดงใน “Empire State” ประกบเลียม เฮมส์เวิร์ธ, เชเนย์ ไกรมส์, ดเวย์น จอห์นสันและเอ็มมา โรเบิร์ตส์ สำหรับไลออนส์เกท
ด้านจอแก้ว เขาอาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทประจำ แจ็คกี้ เอพริลในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “The Sopranos” นอกจากนี้ เขายังรับบทจิมมี เบรสลินในมินิซีรีส์อีเอสพีเอ็นเรื่อง “The Bronx is Burning,” ซีรีส์ทีเอ็นทีโดยดีน เดฟลินเรื่อง “Talk to Me,” ซีรีส์ซีบีเอสโดยเดวิด มิลช์เรื่อง “Big Apple,” ตอนไพล็อตซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Fort Pit” และซีรีส์อีกหลายเรื่องรวมถึง “Naked Hotel” และ “Bram and Alice” และตอนไพล็อตของซีรีส์เอบีซีเรื่อง “The Manzanis” ประกบคริสตี้ อัลลีย์ บทประจำทางจอแก้วของเขารวมถึง “The Black Donnelly’s,” “Third Watch” และ “10-8” นอกจากนี้ เขายังได้รับบทรับเชิญในซีรีส์ “E.R.,” “CSI: Crime Scene Investigation” และ “Law & Order: Criminal Intent” ปัจจุบัน เขาได้รับบทประจำในดรามายอดนิยมทางซีบีเอสเรื่อง “Blue Bloods”
เขาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงจากการแสดงละครเวทีเรื่อง “Balm in Gilead” ที่กำกับโดยจอห์น มัลโควิช ที่เซอร์เคิล เรพ/สเตพเพนวูลฟ์ เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งวิลโลว์ เคบิน เธียเตอร์ (WCTC) คณะนี้ได้จัดการแสดงละครเรื่อง“Wilder, Wilder, Wilder – Three by Thornton” ที่ย้ายไปแสดงบนเวทีออฟบรอดเวย์และบรอดเวย์ ก่อนที่จะได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี ในปี 2004 เขาได้แสดงและได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในละครออฟบรอดเวย์เรื่อง “Magic Hands Freddy” ประกบราล์ฟ มัคคิโอ เขาได้แสดงในโรงละครท้องถิ่นและนิวยอร์กในละครเวทีเรื่อง “Macbeth,” “Tartuffe,” “A Midsummer Night’s Dream” และ “O’Neill’s Sea Plays”
เคลลี เลฟโควิทซ์ (Keili Lefkovitz) รับบท คริสตินา เฟอร์ตัน
เคลลี เลฟโควิทซ์ เดิมมาจากแคนซัส ซิตี้ เป็นนักแสดงหญิงและนักร้องมากความสามารถ ได้เริ่มต้นอาชีพของเธอด้วย “Bare: A Pop Opera” รอบปฐมทัศน์โลกที่ลอสแองเจลิส เธอเป็นผู้รับบท ‘นาเดีย’ ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ลอสแองเจลิส, ร็อบบี้ อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอเวชัน อวอร์ด การแสดงนี้ได้จัดแสดงบนเวทีออฟบรอดเวย์และได้รับความนิยมทั่วโลก นอกจากนี้ เธอยังได้ร้องเพลงในอัลบัมอย่างเป็นทางการของสตูดิโอและได้แสดงในสารคดีขนาดยาวเกี่ยวกับละครเรื่องนี้อีกด้วย
ด้านจอแก้ว เธอได้รับบทนำในตอนไพล็อตทางเอบีซี แฟมิลีเรื่อง “This Time Around” และตอนไพล็อตทางเอ็นบีซีเรื่อง “Happy Family” เธอได้รับบทรับเชิญในซีรีส์ “The Office” และล่าสุด ได้รับบทประจำในซีรีส์สเก็ตช์ คอเมดีเรื่อง “StevieTV” ทางวีเอช-วัน
ด้านภาพยนตร์ เธอได้แสดงประกบเจมี เคนเนดี้ในภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง “Malibu’s Most Wanted,” บทนางเอกในภาพยนตร์อินดีเรื่อง “Repo” ประกบเจสัน มิวส์ และเมื่อเร็วๆ นี้ เธอก็ได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง “Watch Me” ภาพยนตร์น่าตื่นเต้นที่ล้วงลึกเข้าไปในโลกของภาพยนตร์โป๊
เคลลี ที่เป็นนักพากย์ที่ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน ได้พากย์เสียงแคมเปญของแก็ปในอเมริกาและแคนาดามานานเกือบเจ็ดปี เธอได้บันทึกเสียงหนังสือเสียงหลายเรื่องและได้พากย์เสียงตัวเอกในซีรีส์อนิเมชันเรื่อง “NutJobs” นอกจากนี้ เธอยังได้ร้องเพลงซาวน์แทร็คภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “Prom” และภาพยนตร์อินดีเรื่อง “Scrapbook” รวมถึงได้เพิ่มเพลงให้กับ “Drag Race” โดยรูพอลทางจอแก้วอีกด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งเริ่มต้น “Not Your Mother’s Podcast” ทางเว็บ ซึ่งเธอได้ใช้เวลาช่วงนี้พูดถึงป็อป คัลเจอร์และเรื่องราวคอเมดี
นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว เธอและเชน จอห์นสัน นักแสดงผู้เป็นสามีเธอ ได้ก่อตั้งบริษัทโปรดักชัน เวรี บิวซี โปรดักชันส์ ซึ่งทำข้อตกลงกับบีคอน เทเลวิชันในดรามาครึ่งชั่โมง และกับเฟรแมนเทิล มีเดียสำหรับซิทคอมเรียลลิตี้ นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ พวกเขายังได้อำนวยการสร้าง “Break the Cycle” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อกำจัดความรุนแรงในการเดทของวัยรุ่น อีกด้วย
เคลลีและจอห์นสันใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับลูกชายสองคน
โทนี พลานา (Tony Plana) รับบท สารวัตรจอร์จ โลเปซ
โทนี พลานา ศึกษาที่มหาวิทยาลัยโลโยลา-แมรีเมานท์ ที่ซึ่งเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีผ่านทางหลักสูตรเกียรตินิยมด้านวรรณกรรมและการละคร และคว้าเกียรตินิยมอันดับสองมาได้ เขาได้รับการฝึกฝนด้านการแสดงที่รอยัล อคาเดมี ออฟ ดรามาติค อาร์ตในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการแสดงนำในซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Ugly Betty” ในบทอินาซิโอ ซัวเรซ พ่อของเบ็ตตี้ ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัล 2006 อินเตอร์เนชันแนล เพรส อคาเดมี แซทเทิลไลท์ อวอร์ด สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (ในซีรีส์ มินิซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์)
นอกจากนี้ เขายังได้รับบทพ่อม่ายชาวเม็กซิกัน/อเมริกัน โรแบร์โต้ ซานเตียโก้ ในซีรีส์ยอดนิยมแหวกแนวทางโชว์ไทม์เรื่อง “Resurrection Boulevard” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล2001 และ 2002 อัลมา อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกด้วย ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกในประวัติศาสตร์โทรทัศน์ที่อำนวยการสร้าง เขียนบท กำกับและนำแสดงโดยชาวลาติน นอกจากนี้ “Resurrection Boulevard” ยังเป็นซีรีส์เรื่องแรกในประเภทเดียวกันที่ได้ต่อสัญญาสามซีซันกับสถานี
หลังจากได้ร่วมกำกับและร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “A Million to Juan” กับพอล โรดริเกซ เขาก็มีผลงานการกำกับเดี่ยวของตัวเองในเดือนธันวาคม ปี 2000 ด้วย “The Princess and the Barrio Boy” ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเป็นภาพยนตร์สำหรับครอบครัวชาวลาตินเรื่องแรกที่อำนวยการสร้างโดยโชว์ไทม์ นำแสดงโดยเอ็ดเวิร์ด เจมส์ ออลโมส นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด, มาเรีย คอนชิต้า อลองโซ, พอลลี ชอร์และสองเพื่อนร่วมแสดงของพลานาจาก “Resurrection Boulevard” มาริโซล นิโคลส์และนิโคลัส กอนซาเลซ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัล 2001 อัลมา อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยมและทีมนักแสดงยอดเยี่ยมและได้รับรางวัล 2001 อิมาเจน อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม
ในปี 2001เขาได้เปิดตัวผลงานการกำกับซีรีส์โทรทัศน์ด้วย “Saliendo” หนึ่งเอพิโซดใน “Resurrection Blvd.’s” ซึ่งได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและได้รับรางวัลแกลด อวอร์ดสาขาเอพิโซดดรามายอดเยี่ยมแห่งปีและรางวัลไชน์ อวอร์ดอีกด้วย นอกจากนี้ เขายังได้กำกับหลายเอพิโซดของซีรีส์ยอดนิยมทางนิคเคลโลเดียนเรื่อง “The Brothers Garcia” ซึ่งได้รับรางวัลอิมาเจน อวอร์ดจากเอพิโซดสุดท้ายของซีซันสาม “Don’t Judge a Book by its Cover” และได้กำกับเอพิโซดของซีรีส์คอเมดีสำหรับครอบครัว “Greetings from Tucson” สำหรับวอร์เนอร์ บรอส. เน็ตเวิร์ค
พลานาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการศิลป์บริหารของอีสต์ แอลเอ คลาสสิก เธียเตอร์ คณะละครที่ประกอบไปด้วยมืออาชีพด้านการละครเชื้อสายฮิสปานิค/อเมริกันเป็นหลัก โดยอีสต์ แอลเอ คลาสสิก เธียเตอร์มีเป้าหมายในการรับใช้ชุมชนลาตินผ่านทางหลักสูตรการศึกษาสำหรับโรงเรียนประถมและมัธยมและผ่านทางละครคลาสสิกและร่วมสมัยสองภาษา
พลานาได้ใช้ละครเป็นเครื่องมือในการพัฒนาโปรแกรมการศึกษาที่มีเอกลักษณ์และแปลกใหม่ในชื่อ Beyond Border ที่ออกแบบเพื่อให้นักเรียนสามารถขยายขอบเขตด้านการศึกษาและความสำเร็จด้านการศึกษาของพวกเขาด้วยกาก้าวข้ามพรมแดนส่วนตัว ด้านวัฒนธรรมและอาชีพออกไป Beyond Border ที่ทำงานร่วมกับครูสอนภาษาศิลปะโดยตรง ใช้ศิลปะการแสดงให้ส่งอิทธิพลต่อทักษะด้านการเรียนในนักเรียนสองภาษาที่มีปัญหาด้านการเรียน หลังจากพิสูจน์ความสามารถในการสนับสนุนหรือเร่งความสำเร็จของนักเรียนให้มีความรู้ระดับมาตรฐานเขตและรัฐ เมื่อเร็วๆ นี้ โปรแกรมนี้ก็เพิ่งได้รับทุนไตเติล เซเวน แกรนท์ห้าปีจากรัฐบาลกลาง รวมกับทุนการศึกษาจากโตโยต้า คอร์ปอเรชันและไทมส์-มิเรอร์ ฟาวน์เดชัน ผ่านทางมอนเทเบลโล ยูนิฟายด์ สคูล ดิสทริค นอกจากนี้ โปรแกรมนี้ยังได้รับทุนจากการศึกษารัฐแคลิฟอร์เนียสามปีผ่านทางบัลด์วิน ปาร์ค ยูนิฟายด์ สคูลอีกด้วย
พรสวรรค์ที่โดดเด่นของเขาอยู่ที่การดัดแปลงละครคลาสสิกของเชคสเปียร์ในรูปแบบกระตุ้นความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับชุมชนคนกลุ่มน้อยที่ไม่มีประสบการณ์หรือมีประสบการณ์การเข้าโรงละครน้อย เขาได้กำกับละครหลายเรื่องเช่น “A Midsummer Night’s Dream,” “Romeo & Juliet,” “Twelfth Night” และ “Much Ado About Nothing” ในลักษณะที่แตกต่างจากแบ็คกราวน์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องเพื่อบ่มเพาะความสนใจในการพูดที่ถ่ายทอดอารมณ์และวรรณคดีดรมา ซึ่งเป็นจุดกระตุ้นให้เกิดการสำรวจและถกประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติและวัฒนธรรม สังคม การเมืองและประวัติศาสตร์โลก
นอกจากนี้ เขายังอุทิศตนให้กับการพัฒนาผลงานใหม่ๆ เขาได้กับละครเวทีที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงละครโดยจูดิธ ออร์ทิซ โคเฟอร์เรื่อง “Don Jose de la Mancha,” ละครโดยแนนซี เดอ ลอส ซานโตสเรื่อง “The Answer to My Prayer” และละครโดยริค นาเจราเรื่อง “The Pain of the Macho” สำหรับนิว ไรเตอร์ส โปรเจ็กต์ เฟสติวัลของเอชบีโอ รวมไปถึงละครโดยกุยเลอร์โม เรเยสเรื่อง “The Seductions of Johnny Diego” และ “A Heart’s Eye” ที่ดัดแปลงจากหนังสือโดยเจมส์ แอ็กจีเรื่อง Let Us Now Praise Famous Men สำหรับมาร์ค เทเปอร์ ฟอรัม และละครโดยโรเจลิโอ มาร์ติเนซเรื่อง “Adrift” สำหรับเซาธ์ โคสต์ รีเพอร์ทอรี เธียเตอร์
ในฐานะนักแสดง พลานาได้แสดงในภาพยนตร์กว่า 60 เรื่อง รวมถึง “JFK,” “Nixon,” “Salvador,” “An Officer and a Gentleman,” “Lone Star,” “Three Amigos,” “Born in East L.A.,” “El Norte,” “187,” “Primal Fear,” “Romero,” “One Good Cop,” “Havana,” “The Rookie,” “Silver Strand” และ “Picking Up the Pieces” ที่เขาได้ร่วมงานกับวู้ดดี้ อัลเลน เม่อเร็วๆ นี้ เขาได้แสดงประกบสตีเวน ซีกัลและมอร์ริส เชสนัทและจารูลในภาพยนตร์แอ็กชันทริลเลอร์เรื่อง “Half Past Dead”
ด้านจอแก้ว เขาได้แสดงในมินิซีรีส์ทางโชว์ไทม์ ออริจินัลเรื่อง “Fidel” ในบทบาติสตา ผู้นำเผด็จการชาวคิวบา และซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง “Noriega: God’s Favorite” เขาได้รับบทนำในซีรีส์ดังสี่เรื่องได้แก่ “Veronica Claire” สำหรับไลฟ์ไทม์, “Bakersfield P.D.” สำหรับฟ็อกซ์และซีรีส์โดยสตีเวน บ็อกโก้เรื่อง “Total Security” และ “City of Angels” สำหรับเอบีซี นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในซีรีส์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดมากมาย เช่น “Sweet Fifteen,” “Drug Wars: The Camarena Story,” “The Burning Season: The Life and Death of Chico Mendes” และเอพิโซดพิเศษของ “L.A. Law” ซึ่งได้รับรางวัลอิมาเจน อวอร์ดอีกด้วย นอกจากนี้ เขายังได้รับบทประจำในซีรีส์ฟ็อกซ์ เรื่อง “John Doe” และซีรีส์ดรามารางวัลทางเอ็นบีซีเรื่อง “The West Wing” ในบทรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ผลงานล่าสุดของเขาคือซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “24” และซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “CSI: Las Vegas”
เขามีบทบาทอย่างมากในแวดวงละครเวที ผลงานบนเวทีบรอดเวย์ของเขาได้แก่ “Zoot Suit” และ “The Boys of Winter” เขาได้แสดงนำที่โรงละครมาร์ค เทเปอร์ ฟอรัมในละครเรื่อง “Zoot Suit,” “Richard III,” “Widows” และ “The Reader” เขาได้แสดงในละครเวทีหลากหลายแนว ซึ่งรวมถึง “Figaro Gets a Divorce” ที่ลา โจลลา เพลย์เฮาส์, “Rum and Coke,” “Cuba and His Teddy Bear” และ “Bang Bang Blues” ที่นิวยอร์ก พับลิค เธียเตอร์, “Rum and Coke” และ “Charlie Bacon and His Family” ที่เซาธ์ โคสต์ รีเพอร์ทอรี เธียเตอร์, “The Wonderful Ice Cream Suit” (The Musical) ที่พาซาเดนา เพลย์เฮาส์, “A Midsummer Night’s Dream” และ “Hamlet” ที่แคลิฟอร์เนีย เชคสเปียร์เรียน เฟสติวัล, “Fugue” ที่ซิราคิวส์ สเตจ คัมปะนีและละครโดยแอเรียล ดอร์ฟแมนน์เรื่อง “Mascara” ที่อริโซนา เธียเตอร์ คัมปะนี
เขาได้รับสองรางวัลโนโซทรอส โกลเดน อีเกิล อวอร์ดจากผลงานจอแก้วและจอเงินยอดเยี่ยม และห้ารางวัลลอสแองเจลิส ดรามาล็อค อวอร์ด ฟอร์ เธียเตอร์
นอกเหนือจากการมีส่วนเกี่ยวข้องกับศิลปะด้านนี้แล้ว เขายังเป็นสมาชิกบอร์ดหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงสภากาชาดอเมริกัน, เดอะ มาเรียคี แฮริเทจ ฟาวน์เดชัน, อีสต์ แอลเอ คอมมูนิตี้ ยูธ เซ็นเตอร์และยัง มิวสิเชียนส์ ฟาวน์เดชัน ที่ก่อตั้งโดยเฮนรี แมนซินี
เขาเป็นคุณพ่อผู้ภาคภูมิใจของอเลฮันโดร และอิซาเบล และเขาก็ครองชีวิตคู่อย่างมีความสุขกับนักแสดงหญิง อาดา มาริส ผู้นำแสดงในซีรีส์ “Nurses” ทางเอ็นบีซีและ “The Brothers Garcia” ทางนิคเคลโลเดียน
เอมิลี รูธเธอร์เฟิร์ด (Emily Rutherfurd) รับบท แครอลิน “ซิสซี” ดู บัวส์
เอมิลี รูธเธอร์เฟิร์ด นักแสดงหญิงตลกมากความสามารถ เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบท ‘คริสตินคนใหม่’ นานห้าซีซันในซีรีส์คอเมดีทางซีบีเอสเรื่อง “The New Adventures of Old Christine” ประกบจูเลีย หลุยส์ ดรายฟัส เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้รับบทรับเชิญในซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Last Man Standing” ประกบทิม อัลเลน, “Love Bites” และ “Up All Night” ประกบวิล อาร์เน็ตต์และคริสตินา แอปเปิลเกท ก่อนหน้านี้ เธอเป็นขาประจำซีรีส์ “Married to the Kellys” ประกบเบรคิน ไมเยอร์สำหรับเอบีซีและ “The Ellen Show” ที่นำแสดงโดยเอลเลน เดอเจเนเรสสำหรับซีบีเอส นอกจากนี้ เธอยังได้รับบทประจำในซีรีส์เอ็นบีซียอดนิยมเรื่อง “Will and Grace”
เธอเปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกเรื่อง “Van Wilder” สำหรับไลออนส์เกท ฟิล์มส์ นอกจากนั้น เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์โดยคาเมรอน โครว์เรื่อง “Elizabethtown” ประกบออร์ลันโด บลูม, เคิร์สเตน ดันส์และซูซาน ซาแรนดอน สำหรับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส
เอมิลีเกิดในนิวยอร์ก เธอสำเร็จการศึกษาจากยูเอสซี สคูล ออฟ เธียเตอร์ และปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับสามีและลูกสาวสองคน
โยแลนธี สไนเดอร์ คาเบา (Yolanthe Sneijder Cabau) รับบท อนาลี คัลเวรา
โยแลนธี สไนเดอร์ คาเบา เป็นนักแสดง นางแบบและพิธีกรหญิงชาวดัทช์/สเปน ที่เปิดตัวผลงานภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรกด้วย “Pain and Gain”
เธอเริ่มต้นงานแสดงตอนอายุ 16 ปี ด้วยการแสดงในซีรีส์ทางดัทช์ สคูล ทีวีเรื่อง “Chromosomen” และได้แสดงในมิวสิค วิดีโอยุโรปหลายเพลง เมื่อเธอเริ่มดัง เธอก็ได้รับเลือกให้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Snow Fever” (2004), ”Turkish Chick” (2006) และ “Het geheim van Mega Mindy” (2009) รวมถึงซีรีส์ดัทช์ยอดนิยมหลายเรื่องเช่น “Costa!” (2005), “Voetbalvrouwen” (2009-2010), “Onderweg Naar Morgen” (2005-2008) และ“Flikken Maastricht” (2010)
เธอรับหน้าที่พิธีกรรายการโทรทัศน์หลายรายการสำหรับบีเอ็นเอ็น, เนเดอร์แลนด์ 3 และทรอส ซึ่งความสำเร็จของรายการเหล่านี้ทำให้เธอได้รับรางวัล “เทเลวิเซียร์ ทาเลนท์ อวอร์ด” ครั้งแรกในปี 2008 นอกจากนี้ เธอยังเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ตัดสินเทศกาลจูเนียร์ ยูโรเปียน ซอง เฟสติวัลของแอฟโรอีกด้วย ในปี 2010 เธอได้รับเลือกให้เป็นทูตสำหรับ Giro d’Italia ซึ่งเป็นการแข่งขันจักรยานระยะไกลของอิตาเลียนอีกด้วย
นอกเหนือจากอาชีพด้านบันเทิงแล้ว เธอยังมุ่งมั่นกับงานการกุศล ซึ่งทำให้เธอเริ่มก่อตั้งมูลนิธิของตัวเอง “สต็อป คินเดอร์มิสบรูอิค” ร่วมกับอาร์ยัน เออร์เกล ผู้ช่วยด้านการแพทย์ชาวดัทช์ มูลนิธินี้มีจุดมุ่งหมายในการช่วยเหลือเด็กที่เป็นเหยื่อของการกระทำทารุณและป้องกันการทำทารุณต่อเด็กในวงกว้าง
แลร์รี แฮนกิน (Larry Hankin) รับบทบาทหลวงแรนดี้
มือเขียนบท นักแสดง ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้างและผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ แลร์รี แฮนกิน เป็นหนึ่งในนักแสดงสมทบที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในฮอลลีวูด
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซิราคิวส์ ในสาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เขาก็ตรงสู่นิวยอร์ก ซิตี้ และเริ่มแสดงอารมณ์ขันเฉพาะตัวของเขาตามร้านกาแฟในกรีนนิช วิลเลจ งานเหล่านี้ทำให้เขาได้เปิดการแสดงให้กับนักแสดงชื่อดัง ซึ่งรวมถึงวู้ดดี้ อัลเลน, ไมลส์ เดวิสและเดอะ เลิฟวิง สปูนฟูล
แฮนกิน ที่ยังคงมองหางานที่รายได้มั่นคง ได้ร่วมแสดงกับคณะตลกเดอะ เซคคันด์ ซิตี้ชิคาโก ก่อนจะร่วมเดินทางไปกับคณะนักแสดงของเซคคันด์ ซิตี้ทางตะวันตกไปยังซานฟรานซิสโก ที่ซึ่งเขาได้รับเชิญให้ร่วมกับ ‘เดอะ คอมมิตตี’ และแสดงละครเวทีอิมโพรไวซ์เสียดสีการเมือง สองปีให้หลัง พวกเขาได้กลับนิวยอร์ก ซิตี้ และได้เปิดการแสดงให้กับเกรท ไวท์ เวย์ที่โรงละครเซนต์ เจมส์ เธียเตอร์บนเวทีบรอดเวย์ เป็นเวลานานสามเดือน
เขายังคงทำงานอย่างต่อเนื่องในฮอลลีวูดด้วยการแสดงซีรีส์คลาสสิกหลายเรื่องเช่น “Laverne & Shirley,” “Eight Is Enough,” “Family Ties” และ “Alf” และได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง “American Hot Wax” ร่วมกับเจย์ เลโนและ “Yours, Mine and Ours” ประกบลูซิลล์ บอลและเฮนรี ฟอนดา นำไปสู่การแสดงนำในบทชาร์ลีย์ บัทซ์ ชายที่อยู่ในคุกข้างๆ คลินท์ อีสต์วู้ดใน “Escape from Alcatraz” แต่เขาก็ยังชื่นชอบการเล่าเรื่องที่น่าขบขันไม่เปลี่ยน ดังนั้น ด้วยเงินที่ได้จาก Alcatraz เขาก็เลยตัดสินใจเขียนบท กำกับและนำแสดงใน “Solly’s Diner” ซึ่งเป็นการเปิดตัวซัมไทม์ โจนส์ อีกโฉมหน้าหนึ่งที่น่าขบขันของเขา ในโลกภาพยนตร์ การแสดงครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันขนาดสั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งได้รับการเผยแพร่ทางโทรทัศน์และจัดจำหน่ายทางวิดีโอ ได้เข้าฉายตามงานเทศกาลภาพยนตร์ทั้งในและนอกประเทศ ในชิคาโก ลอสแองเจลิส รวมถึงเยอรมนี สวีเดน อิตาลีและฝรั่งเศส
ผลงานภาพยนตร์ของแฮนกินยังรวมถึงการแสดงนำในภาพยนตร์โดยจอห์น ฮูสตันเรื่อง “Annie,” “Running Scared” ประกบบิลลี คริสตัล, ภาพยนตร์สามเรื่องโดยจอห์น ฮิวจ์เรื่อง “She’s Having My Baby,” “Planes, Trains & Automobiles” ที่นำแสดงโดยสตีฟ มาร์ตินและจอห์น แคนดี้และ “Home Alone” และ “Billy Madison” ที่นำแสดงโดยอดัม แซนด์เลอร์
การแสดงบทรับเชิญของเขายังรวมถึงการได้รับบทประจำเป็นมิสเตอร์เฮคเคิลส์ เพื่อนบ้านชั้นล่างในซีรีส์ “Friends” และการเลียนแบบ ‘เครเมอร์อีกคน’ ที่ขโมยเรซินในซีรีส์ “Seinfeld”
ด้านละครเวที แลร์รีได้รับบทฌาคส์ในละครตลกฝรั่งเศสโดยมิลอส คุนเดรา รอบปฐมทัศน์อเมริกัน “Jacques and His Master” ซึ่งได้รับรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดจากลอสแองเจลิส ไทม์, ลอสแองเจลิส เฮรัลด์ เอ็กแซมมิเนอร์และลอสแองเจลิส เดลี นิวส์ มีคำวิจารณ์ชื่นชมแฮนกินว่า “เลิศรส,” “ตลกสุดๆ” และ “เป็นคนจรจัดที่ฉลาดเป็นกรด”
นอกจากนี้ เขายังได้เขียนละครเดี่ยวให้กับตัวเองในชื่อ “Emmett Sez,” (ที่สร้างจาก “Don Quixote”) เกี่ยวกับสิงห์มอเตอร์ไซค์ชราที่หลงเพ้อ เอ็มเม็ตต์ แซจิทาเรียส ดีมัส ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องราวพิลึกพิลั่นเกี่ยวกับขอทานพเนจรที่กล้าขโมยมอเตอร์ไซค์เฮลส์ แองเจิล เพื่อออกผจญภัยซักครั้งหนึ่งในชีวิต ละครเรื่องนี้เปิดตัวที่เม็ท เธียเตอร์ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชม “Don Quixoten แห่งยุค 90s” เป็นพาดหัวข่าวของลอสแองเจลิส ไทม์ ขณะที่แอลเอ วีคลีย์ ประกาศว่า “เอ็มเม็ตต์ แซจิทาเรียส ดีมัส’…ปราชญ์พเนจร…วิล โรเจอร์ส ชนชั้นล่าง ที่แสดงถึงไหวพริบ…ความเฉียบคม…ที่ผสมผสานระหว่างลูอิส แคร์รอล…และเทพนิยายกริมม์ ที่ทุกเรื่องนำแสดงโดยบัสเตอร์ คีย์ตัน”
ปัจจุบัน แลร์รีได้ทำงานกับมือเขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์คอเมดีขนาดสั้นรุ่นหนุ่มสาว และได้เขียนบทภาพยนตร์สำหรับเอ็มเม็ตต์ แซจิทาเรียส ดีมัส ตัวละครของเขาด้วย
ไบรอัน สเตพาเน็ค (Brian Stepanek) รับบท แบรด แม็คคาลิสเตอร์
ไบรอัน สเตพาเน็ค เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทภารโรง/นักประดิษฐ์ไฮเปอร์ อาร์วิน ในซีรีส์ฮิตทางดิสนีย์ แชนแนลเรื่อง “The Suite Life of Zack and Cody” และซีรีส์สปินออฟ “Housebroken” นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมเขียนบท อำนวยการสร้างและแสดงในซีรีส์ภาพยนตร์เงียบเรื่อง “Brian O’Brian” ซึ่งแพร่ภาพทางดิสนีย์ แชนแนลส์ในกว่า 60 ประเทศ
ก่อนหน้านี้ เขาได้ทำงานให้กับผู้กำกับไมเคิล เบย์ในภาพยนตร์เรื่อง “Transformers” และ “The Island” หลังจากนี้ เขาจะแสดงในคอเมดีเรื่อง “The Little Rascals” สำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ผลงานของเขายังรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “Dark Skies,” “Beverly Hills Chihuahua 2,” “Murder By Numbers” และ “Kissing Jessica Stein” รวมถึงซีรีส์ “Two and A Half Men,” “Mr. Young,” “Mike & Molly,” “CSI: Miami,” “Jon Benjamin Has a Van,” “The Suite Life on Deck” และ “Six Feet Under”
เขาเกิดและเติบโตในคลีฟแลนด์, โอไฮโอ เขาได้เรียนรู้จากแฟรนไชส์กีฬาในท้องถิ่นถึงวิธีการแพ้อย่างมีน้ำใจนักกีฬา ในฐานะน้องคนสุดท้องในพี่น้องหกคน มันเป็นทักษะที่มีประโยชน์มากๆ เขาคลั่งไคล้ทีมคลีฟแลนด์ บราวน์ ถึงขั้นที่เขาพยายามเข้ารับการบำบัดหลายครั้งแต่ก็เปล่าประโยชน์ บราวน์สู้ๆ!
เขาเข้าศึกษามหาวิทยาลัยซิราคิวส์ ด้านการสื่อสารและการละคร หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาก็ย้ายไปชิคาโกเพื่อทำงานละครมิวสิคัล ที่เขาได้รับบท บ็อบบี้ใน “Company” และคอร์นีเลียสใน “Hello Dolly” และได้รับรางวัลเจฟฟ์ อวอร์ดจากชิคาโกจากบทบิล สนิบสันใน “Me and My Girl” นอกจากนี้ เขายังทำงานพากย์เสียง ด้วยการได้ร่วมงานในโฆษณาหลายชิ้น และเป็นส่วนหนึ่งของคณะแสดง เซคคันด์ ซิตี้ และได้เดินทางไปทั่วดินแดนมิดเวสต์
หลังจากชิคาโก เขาก็ย้ายไปลอสแองเจลิส ที่ซึ่งเขายังคงทำงานโฆษณาและพากย์เสียงและเริ่มต้นทำงานอนิเมชัน โดยเขาได้พากย์เสียงซีรีส์และภาพยนตร์ยอดนิยมหลายเรื่องเช่น “Kick Buttowski,” “Kim Possible,” “Phinneus and Ferb,” “The Penguins of Madagascar,” “Over The Hedge” และ “Bolt”
เขาได้เป็นโฆษก เด็กซ์ โฟนบุ๊คส์, เดรี ควีนและแอดวิล และในปี 2012 เขาก็ได้แสดงโฆษณาที่ฉายในซูเปอร์โบว์ลสำหรับฮอนด้า เขาพากย์เสียงให้กับเลโก้แลนด์, พิซซา ฮัท, อัมสเทล ไลท์และคอมพ์ยูเอสเอ
แพทริค บริสโทว์ (Patrick Bristow) รับบท เสมียนร้านสปาย
แพทริค บริสโทว์ เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงจอแก้วหลายเรื่อง ซึ่งผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือบทปีเตอร์ ในซีรีส์เอบีซีแปลกใหม่เรื่อง “Ellen” ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ได้แก่ “Curb Your Enthusiasm,” “Seinfeld,” “Friends,” “Mad About You” และ “Whose Line Is It Anyway?”
ผลงานภาพยนตร์ของเขาได้แก่ “Twilight of the Golds,” “The Longest Yard,” “Austin Powers: International Man of Mystery,” “So I Married An Ax Murderer” และคอเมดีม้ามืดเรื่อง “Showgirls”
ผลงานกำกับของเขารวมถึง “Hot Dog TV” สำหรับการ์ตูน เน็ตเวิร์ค และภาพยนตร์หลายเรื่องกับอิมโพรวาโทเรียม บริษัทของเขาเองและ “How To Survive A Zombie Apocalypse”
เขาเคยทำงานให้กับเดอะ กราวนด์ลิงส์ เมน คัมปะนี และทำหน้าที่ที่ปรึกษาฝ่ายอิมโพรไวส์สำหรับเดอะ วอร์เนอร์ บรอส., บราโวส์ ซิกนิฟิแคนท์ ออเธอร์ส, ดิสนีย์แลนด์และฟ็อกซ์ ทีวี
เขาใช้ชีวิตในลอสแองเจลิสกับแอนดรูว์ นิคาสโทร คู่ชีวิตที่วิเศษสุดของเขามานานถึง 18 ปีแล้ว
ประวัติทีมผู้สร้าง
ไมเคิล เบย์ (Michael Bay)—ผู้อำนวยการสร้าง/ผู้กำกับ
โดนัลด์ เดอ ไลน์ (Donald De Line)—ผู้อำนวยการสร้าง
ระหว่างกว่า 20 ปีในแวดวงภาพยนตร์ โดนัลด์ เดอ ไลน์ ได้รว่มมือกับผู้มีพรสวรรค์จากทั้งสองฟากฝั่งของกล้อง ล่าสุด เขาได้อำนวยการสร้าง “Green Lantern” ที่กำกับโดยมาร์ติน แคมป์เบล และนำแสดงโดยไรอัน เรย์โนลด์สและเบลค ไลฟ์ลี ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นำตัวละครคลาสสิกจากดีซี คอมิกส์ ขึ้นสู่จอเงินเป็นครั้งแรก ปัจจุบัน เดอ ไลน์กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโปรเจ็กต์ภาพยนตร์หลากหลายภายใต้แบนเนอร์เดอ ไลน์ พิคเจอร์สของเขา ที่ตั้งอยู่ที่วอร์เนอร์ บรอส สตูดิโอส์
เขามีภาพยนตร์ฮิตเรื่องแรกในฐานะผู้อำนวยการสร้างด้วยทริลเลอร์โจรกรรมปี 2003 เรื่อง “The Italian Job” ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, ชาร์ลิซ เธอรอนและเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ผลงานภาพยนตร์ช่วงเริ่มแรกของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง “Body of Lies” ที่นำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอและรัสเซล โครว์และภาพยนตร์โดยจอห์น แฮมเบิร์กเรื่อง “I Love You Man” ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของเขาได้แก่ “Observe and Report” ที่นำแสดงโดยเซธ โรแกนและ “Yogi Bear” ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชัน/CG อนิเมชันผจญภัย ที่ได้แดน แอ็ครอยด์มารับบทโยคีและจัสติน ทิมเบอร์เลคในบทบู บู ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่า 200 ล้านเหรียญและกำลังอยู่ระหว่างการสร้างซีเควล
นอกเหนือจากงานอำนวยการสร้างแล้ว เขายังมีตำแหน่งผู้บริหารสตูดิโออีกด้วย โดยเขาครองตำแหน่งประธานและรองผู้อำนวยการพาราเมาท์ พิคเจอร์สและประธานทัชสโตน พิคเจอร์ส ระหว่างการดำรงตำแหน่งของเดอ ไลน์ ภาพยนตร์ของทัชสโตนทำรายได้ไปเกิน 2.5 พันล้านเหรียญทั่วโลกและได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดถึง 24 รางวัล
ผลงานภาพยนตร์ที่เขาดูแลที่ทัชสโตนได้แก่ “Pretty Woman,” “What About Bob,” “Father of the Bride” และซีเควล นอกจากนี้ ผลงานภายใต้การดูแลของเขายังรวมถึงภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง “Ransom” และภาพยนตร์ชีวประวัติที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์เรื่อง “What’s Love Got to Do with It,” ภาพยนตร์โดยเวส แอนเดอร์สันเรื่อง “Rushmore,” ภาพยนตร์ชื่อดังโดยทิม เบอร์ตันเรื่อง “Ed Wood” และภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่โด่งดังไปทั่วโลกโดยไมเคิลเบย์เรื่อง “Armageddon”
เอียน ไบรซ์ (Ian Bryce)—ผู้อำนวยการสร้าง
ในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศของดรีมเวิร์คส์/พาราเมาท์ พิคเจอร์สเรื่อง “Transformers,” “Transformers: Revenge of the Fallen” และ “Transformers: Dark of the Moon” เอียน ไบรซ์เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในทีมผู้สร้าง ผู้ซึ่งจินตนาการร่วมกันของพวกเขาได้เนรมิตชีวิตให้กับตัวละครจากของเล่นและการ์ตูนให้โลดแล่นบนจอเงิน พวกเขาร่วมกันสร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์ใหม่ ที่ทำรายได้ไปกว่า 2.6 พันล้านเหรียญทั่วโลกและแน่นอนว่าจะยังคงสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมอีกหลายปีข้างหน้า ในเดือนพฤษภาคม ปี 2013 นี้ ภาคสี่ของแฟรนไชส์ที่เป็นที่จับตามองนี้จะมีตัวละครที่แปลกใหม่กว่าเดิม มีทีมนักแสดงใหม่เอี่ยมและเทคโนโลยี 3D ล่าสุด
ล่าสุด เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไฮอ็อคเทนโดยพาราเมาท์เรื่อง “World War Z” ที่นำแสดงโดยแบรด พิตต์และมิเรลล์ อีนอส ภาพยนตร์สยองขวัญเกี่ยวกับโลกหลังหายนะ ที่กำกับโดยมาร์ค ฟอร์สเตอร์ สร้างจากนิยายขายดีโดยแม็กซ์ บรู๊คส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำตามโลเกชันทั้งในและรอบๆ ลอนดอนและมีกำหนดเข้าฉายในซัมเมอร์ปีนี้
ไบรซ์คุ้นเคยกับภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยฟอร์มยักษ์เป็นอย่างดี เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยแซม ไรมีเรื่อง“Spider-Man” ที่นำแสดงโดยโทบี้ แม็กไกวร์ในบทซูเปอร์ฮีโรชักใยแมงมุม โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในอเมริกาประจำปี 2002 ในปีถัดมา เขาได้อำนวยการสร้างดรามาโดยอังตวน ฟูกัวเรื่อง “Tears of the Sun” ที่นำแสดงโดยบรูซ วิลลิสและในปี 2005 เขาก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง “The Island” หลังจากอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Transformers” เขาก็ได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Hancock” ที่นำแสดงโดยวิล สมิธ, ชาร์ลิซ เธอรอนและเจสัน เบทแมน สำหรับผู้กำกับปีเตอร์ เบิร์ก
ในปี 1999 ไบรซ์ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและบาฟตา อวอร์ดจากการทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างดรามาสงครามโลกครั้งที่สองที่โด่งดังไปทั่วโดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง “Saving Private Ryan” ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์มากมาย ซึ่งรวมถึงสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์ก, ลอสแองเจลิสและบรอดคาสต์ นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมรับรางวัลสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกาจากภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย หลังจากนั้น เขาก็ได้อำนวยการสร้างคอเมดีดรามาที่หวนรำลึกถึงความหลังโดยคาเมรอน โครว์เรื่อง “Almost Famous” ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – มิวสิคัลหรือคอเมดี และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2001 ด้วย
ผลงานการอำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Forces of Nature” ที่นำแสดงโดยเบน เอฟเฟล็คและแซนดรา บุลล็อค, แอ็กชันทริลเลอร์เรื่อง “Hard Rain” ที่นำแสดงโดยมอร์แกน ฟรีแมนและคริสเตียน สเลเตอร์, เวอร์ชันภาพยนตร์ของซีรีส์คลาสสิก “The Beverly Hillbillies” โดยเพเนโลเป้ สเฟียริส และภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยยาน เดอ บอนท์เรื่อง “Twister” และผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา “Speed”
ไบรซ์เกิดในอังกฤษ เขาเริ่มต้นทำงานเป็นผู้ช่วยกองถ่ายในภาคสามของไตรภาค “Star Wars” ชุดแรกเรื่อง “Return of the Jedi” เขาขยับไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่สองในภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง “Indiana Jones and the Temple of Doom” และหลังจากนั้น เขาก็ได้ทำหน้าที่ผู้จัดการกองถ่ายใน “Indiana Jones and the Last Crusade” นอกจากนั้น เขายังทำหน้าที่ผู้ดูแลทั่วไปของกองถ่ายและผู้จัดการกองถ่ายในภาพยนตร์โดยฟิลิป คอฟแมนเรื่อง “Rising Sun” และรับหน้าที่ผู้ช่วยอำนวยการสร้าง/ผู้จัดการกองถ่ายภาพยนตร์ฮิตของทิม เบอร์ตันเรื่อง “Batman Returns” นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่ผู้จัดการกองถ่ายในภาพยนตร์ดังหลายเรื่องเช่น ภาพยนตร์โดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาเรื่อง “Tucker: The Man and His Dream,” ภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง “Willow” และภาพยนตร์โดยโจ จอห์นสตันเรื่อง “The Rocketeer”
นอกเหนือจากการดูแลโปรเจ็กต์ฟอร์มยักษ์ให้กับพาราเมาท์แล้ว ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการพัฒนาภาพยนตร์ออริจินอลภายใต้แบนเนอร์ของเขาเองผ่านทางสัญญาการเสนองานก่อนกับสตูดิโอ
อัลมา คัททรัฟฟ์ (Alma Kuttruff)—ผู้ดูแลกองถ่ายทั่วไป/ผู้จัดการกองถ่ายยูนิท
อัลมา คัททรัฟฟ์ ทำหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้างและผู้จัดการกองถ่ายยูนิทในภาพยนตร์โดยแพลตินัม ดูนส์เรื่อง productions “Friday the 13th” (2009), “The Hitcher” และ “Texas Chainsaw Massacre: The Origin” ผลงานของเธอในฐานะผู้จัดการกองถ่ายที่เป็นที่ต้องการตัวอย่างสูง รวมถึงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลากหลายแนว ตั้งแต่ “Glory Road,” ภาพยนตร์โดยเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ ที่เล่าถึงเรื่องจริงของทีมบาสเก็ตบอลมหาวิทยาลัยที่เป็นคนผิวสีล้วน ที่ได้เล่นรอบสุดท้ายของการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศ ไปจนถึงดรามาอาชญากรรมที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมโดยอลัน ปาร์คเกอร์ ที่นำแสดงโดยเคท วินเล็ตเรื่อง “The Life of David Gale” และคอเมดีรางวัลโดยมือเขียนบท/ผู้กำกับริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์เรื่อง “Dazed and Confused”
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ผลงานกำกับเรื่องแรกโดยโบ เวลช์เรื่อง “Cat in the Hat” ที่นำแสดงโดยไมค์ ไมเยอร์ส, ภาพยนตร์โดยบรั๊คไฮเมอร์เรื่อง “Coyote Ugly” ที่สร้างจากชีวิตของบาร์เทนเดอร์สาวสวยในบาร์ยอดนิยมของนิวยอร์ก, ภาพยนตร์แอ็กชัน “U.S. Marshals” ที่นำแสดงโดยทอมมี ลี โจนส์, เวสลีย์ สไนป์และโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, คอเมดีหลากรุ่นเรื่อง “My Fellow Americans” ประกบแจ็ค เลมมอน, เจมส์ การ์เนอร์, แดน แอ็ครอยด์, ลอเรน บาคัลล์และเซลา วอร์ด, ภาพยนตร์โดยผู้กำกับแลสซี ฮอลสตรอมเรื่อง “Something to Talk About” ที่ร่วมแสดงโดยจูเลีย โรเบิร์ตส์, เดนนิส เควด, โรเบิร์ต ดูวัลล์และจีนา โรว์แลนด์และ “The War” ที่กำกับโดยจอน แอฟเน็ทและนำแสดงโดยเอไลจาห์ วู้ดและเควิน คอสท์เนอร์
คัททรัฟฟ์เริ่มรับงานผู้จัดการกองถ่ายครั้งแรกระหว่างทำงานให้กับพี่น้องโคเอนในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง “Miller’s Crossing” ก่อนหน้านั้น เธอได้ทำงานให้กับอีธานและโจเอลในฐานะซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายงานสร้างใน “Raising Arizona” และในฐานะผู้ประสานงานการสร้างใน “Blood Simple” ที่เธอได้พบกับทั้งคู่เป็นครั้งแรก คัททรัฟฟ์ยังคงรับหน้าที่ผู้จัดการกองถ่ายของพวกเขาไปจนถึงต้นยุค 90s ในภาพยนตร์เรื่อง “Barton Fink” และ “The Hudsucker Proxy” นอกจากนั้น เธอยังได้ทำหน้าที่มือลำดับภาพฝึกหัด (ให้กับสองพี่น้องที่เป็นมือลำดับภาพของเรื่อง แต่ใช้นามแฝงเป็นเครดิต) ในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดปี 1997 ของพวกเขาเรื่อง “Fargo”
คัททรัฟฟ์เกิดและเติบโตในบาตัน รู้จ เธอสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสในออสติน และแบ่งเวลาระหว่างออสติน, นิวยอร์ก ซิตี้และลอสแองเจลิส
คริสโตเฟอร์ มาร์คัส และ สตีเฟน แม็คฟีลลี (Christopher Markus and Stephen McFeely)—มือเขียนบท
คริสโตเฟอร์ มาร์คัส และ สตีเฟน แม็คฟีลลี เป็นมือเขียนบทเจ้าของผลงานหลายพันล้านเหรียญ ผู้อยู่เบื้องหลัง “Captain America: First Avenger” และแฟรนไชส์ “Narnia” ด้วยผลงานภาพยนตร์ที่ครอบคลุมหลากหลายแนวและสโคปต่างๆ กระบวนการการร่วมมือที่มีเอกลักษณ์ของพวกเขาได้สร้างตัวละครที่เชื่อมโยงกับผู้ชมในแบบที่ซื่อสัตย์และน่าติดตาม
ทั้งคู่ได้เขียนบทภาพยนตร์ปี 2011 เรื่อง “Captain America: The First Avenger” ซึ่งเล่าถึงต้นกำเนิดของสตีฟ โรเจอร์สและกัปตันอเมริกา และได้กำหนดกรอบให้กับภาพยนตร์ “Captain America” และภาพยนตร์มาร์เวลอื่นๆ ทีจะตามมา ด้วยความหลงใหลในโอกาสที่จะได้เขียนบทภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรพีเรียด ทั้งคู่เลยซึมซับกับประวัติศาสตร์ของกัปตันอเมริกานาน 70 ปี นอกจากนี้ พวกเขายังได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “Captain America: Winter Soldier” ที่มีกำหนดเข้าฉายในเดือนเมษายน ปี 2014 อีกด้วย
พวกเขาได้เขียนบทสามภาคแรกของแฟรนไชส์ “Chronicles of Narnia” สำหรับวอลเดน มีเดีย ภาพยนตร์เหล่านี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยรายได้กว่า 1.5 พันล้านเหรียญทั่วโลก นอกจากนี้ พวกเขายังได้เขียนบทภาพยนตร์อินดีเรื่อง “You Kill Me” ที่นำแสดงโดยเบน คิงส์ลีย์และที ลีโอนี ซึ่งจัดจำหน่ายโดยไอเอฟซี ฟิล์มส์อีกด้วย พวกเขาเริ่มต้นทำงานในฮอลลีวูด ด้วยการเขียนบทภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง “The Life and Death of Peter Sellers” ซึ่งทำให้พวกเขาได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดและสมาพันธ์มือเขียนบท
เมื่อเร็วๆ นี้ พวกเขาเพิ่งเสร็จงานจาก “City of Lies” ซึ่งดัดแปลงจากเรื่องราว “This American Life” สำหรับผู้อำนวยการสร้างอิรา กลาส ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องสัมพันธ์รักระหว่างสายลับในช่วงการล่มสลายของคอมมิวนิสต์ในสาธารณรัฐเช็ก
ปัจจุบัน บทที่พวกเขาดัดแปลงจากนิยายเรื่อง Burden กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนากับเอคโค เลค เอนเตอร์เทนเมน์และคริสเตียน แคเรียน ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด
พวกเขาเขียนงานด้วยกันตั้งแต่ปี 1995 ทั้งคู่เกิดในบัฟฟาโลและซานฟรานซิสโก ตามลำดับ และได้พบกันในโปรแกรมเขียนนิยายในแคลิฟอร์เนียทางตอนเหนือ
เบน เซเรซิน, เอเอสซี/บีเอสซี (Ben Seresin, ASC/BSC)—ผู้กำกับภาพ
เบน เซเรซิน, เอเอสซี/บีเอสซี ก้าวเข้าสู่แวดวงกำกับภาพด้วยภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ทำให้เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับไมเคิล เบย์ในภาคสองของแฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์ “Transformers” เรื่อง “Transformers: Revenge of the Fallen” ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้ร่วมงานกับโทนี สก็อตในภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยที่สร้างจากชีวิตจริงเรื่อง “Unstoppable” ที่นำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตัน และคริส ไพน์ ปัจจุบัน ผลงานของเขาคือดรามาอาชญากรรมลุ้นระทึกโดยผู้กำกับอัลเลน ฮิวจ์เรื่อง “Broken City” ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, รัสเซล โครว์และแคทเธอรีน ซีต้า-โจนส์
เซเรซินเกิดและเติบโตในนิวซีแลนด์ ในครอบครัวของคุณพ่อชาวรัสเซียและแม่ชาวนิวซีแลนด์ เขาย้ายไปออสเตรเลียเมื่ออายุได้ 18 เพื่อทำงานภาพยนตร์ ที่นั่น เขาทำงานเป็นผู้ช่วยนานสี่ปีก่อนที่จะย้ายไปอังกฤษ เขาไม่ได้ศึกษาด้านการกำกับภาพอย่างเป็นทางการแต่ได้เรียนรู้จากการศึกษาผลงานของผู้กำกับภาพชื่อดังทั้งหลาย โดยเฉพาะวิตโตริโอ สโตราโรและดาเรียส คอนจิ
พออายุได้ 17 ปี เขาก็ทำงานเป็นช่างไฟฟ้าในภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา และพออายุได้ 19 ปี เขาก็ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยช่างกล้องลำดับที่หนึ่งในภาพยนตร์อนามอร์ฟิคสัญชาติออสเตรเลียน ตลอดระยะเวลาหกปีหลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานทั้งในอังกฤษและออสเตรเลีย โดยในตอนแรก เขาทำงานเป็นผู้ช่วยก่อนจะทำงานเป็นตากล้อง ในปี 1992 เขาได้ย้ายไปอังกฤษอย่างถาวรเพื่อทำงานเป็นผู้กำกับภาพโฆษณาและภาพยนตร์อินดี
ในปี 2000 เขาได้ทำงานเป็นผู้กำกับภาพยูนิทที่สองใน “Lara Croft: Tomb Raider” ตามมาด้วยการถ่ายทำยูนิทที่สองสำหรับ “Terminator 3” ในปีถัดมา งานนี้นำไปสู่การทำงานประจำในอเมริกา หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานและใช้ชีวิตทั้งในอเมริกาและอังกฤษ ในปี 2007 เขาใช้เวลาห้าสัปดาห์ในการดูแลการถ่ายทำหลักภาพยนตร์เรื่อง “Pirates of the Caribbean: At World’s End” ให้กับผู้กำกับภาพดาเรียส โวลสกี้ ผู้ต้องเริ่มทำงานอีกโปรเจ็กต์หนึ่ง
ผลงานของเขาในภาพยนตร์อินดีเรื่อง “The James Gang” (ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา) ทำให้เขาได้รับรางวัลเนสเตอร์ อัลเมนดรอส จิโอแวนนี ออโทรี เดลลา โฟโตกราเฟีย ซีเนมาโทกราฟิโก้ อวอร์ดจากอิสติตูโต้ ซีเนตมาโทกราฟิโก้ เดล อากิลาและเอ.ไอ.ซี. (สมาพันธ์ผู้กำกับภาพของอิตาลี)
เขาได้รับรางวัลหลายครั้งจากงานโฆษณาและได้ร่วมงานบ่อยครั้งกับผู้กำกับโฆษณาชื่อดัง เช่นแฟรงค์ บัดเจน, รินแกน เล็ดวิดจ์และเฟรดดริค บอนด์
โธมัส เอ. มัลดูน (Thomas A. Muldoon)—มือลำดับภาพ
โธมัส เอ. มัลดูน ก่อนหน้านี้ได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง “Transformers: Revenge of the Fallen,” “Transformers” และ “Bad Boys II” รวมถึงภาพยนตร์แอ็กชันทริลเลอร์โดยโดมินิค เซนาเรื่อง “Gone in 60 Seconds” เขาทำหน้าที่มือลำดับภาพเสริมในภาพยนตร์ของเบย์เรื่อง “The Island” ด้วย
เขาเกิดและเติบโตในแกรน แรพิดส์, มิชิแกน มัลดูนเริ่มสนใจการลำดับภาพเป็นครั้งแรกเมื่อเขาย้ายไปซานฟรานซิสโกตอนอายุได้ 18 ปีและได้ทำงานที่บริษัทโพสต์โปรดักชัน สองปีให้หลัง เมื่อแมรี มัลดูน พี่สาวของเขา ผู้อำนวยการสร้างรางวัลเอ็มมีของรายการช่วงกลางวัน ได้ย้ายไปลอสแองเจลิส เขาก็ตามไปไม่นานนัก
เขาได้ร่วมงานกับพร็อพพาแกนดา ฟิล์มส์ ที่โด่งดังและประสบความสำเร็จอย่างสูง ที่ซึ่งเขาได้พบและร่วมงานกับเบย์และเซนา ที่ตอนนั้นยังเป็นผู้กำกับหนุ่ม และผู้กำกับรุ่นใหม่คนอื่นๆ เช่นมาร์ค โรมาเน็ค, เดวิด ฟินเชอร์และสไปค์ โจนซ์ ในฐานะหนึ่งในบริษัทผลิตโฆษณาและมิวสิค วิดีโอชั้นนำของเมือง พร็อพพาแกนดาทำให้มัลดูนได้รับประสบการณ์ล้ำค่าภายในเวลาอันสั้น
เขาร่วมกับหุ้นส่วนอีกสี่คน ตัดสินใจเปิดบริษัทตัวเองในชื่อ ซูเปอร์เรียร์ แอสเซมบลีย์ เพื่องานโพสต์โปรดักชันสำหรับโฆษณาทางโทรทัศน์เพียงอย่างเดียว สี่ปีให้หลัง เขาและหุ้นส่วน จอห์น มาริโนออกจากบริษัทเพื่อก่อตั้งโนมัด อีดิตติ้ง บริษัทแห่งนี้ ที่ก่อตั้งในปี 1996 มีที่ทำงานสองแห่งในลอสแองเจลิส (แห่งหนึ่งออกแบบมาพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์แอปเปิลโดยเฉพาะ) และอีกสองแห่งในนิวยอร์กและลอนดอน
โจเอล เนกรอน (Joel Negron)—มือลำดับภาพ
ก่อนหน้านี้ โจเอล เนกรอนทำงานให้กับผู้กำกับไมเคิล เบย์ใน “Transformers: Revenge of the Fallen” และ “Transformers: Dark of the Moon” ภาคสองและสามของแฟรนไชส์ยอดนิยม “Transformers” รวมถึงร่วมลำดับภ่าพให้กับภาพยนตร์โดยแพลตินัม ดูนส์เรื่อง production “Texas Chainsaw Massacre: The Beginning” นอกเหนือจากนั้น เขายังได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ที่กำกับโดยเบย์เรื่อง “Pearl Harbor” และ “Armageddon” อีกด้วย
เขามักจะได้ร่วมงานกับผู้กำกับทิม เบอร์ตันและได้ทำงานในภาพยนตร์หลายเรื่องของเขา ซึ่งรวมถึง “Big Fish,” “Planet of the Apes,” “Sleepy Hollow” และ “Mars Attacks!”
ล่าสุด เขารับหน้าที่มือลำดับภาพในแอ็กชันคอเมดีปี 2012 เรื่อง “21 Jump Street” ที่นำแสดงโดยแชนนิง ทาทัมและโจนาห์ ฮิลและรีเมกปี 2010 เรื่อง “The Karate Kid” ที่นำแสดงโดยเฉินหลงและจาเดน สมิธ
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor,” “The Invasion,” “Gridiron Gang,” “House of Wax,” “Radio” และ “xXx”
เจฟฟรีย์ บีครอฟท์ (Jeffrey Beecroft)—ผู้ออกแบบงานสร้าง
เจฟฟรีย์ บีครอฟท์ได้รับรางวัลและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลมากมายตลอดการทำงาน ซึ่งรวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากการออกแบบงานสร้างภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง “Dances with Wolves,” ได้รับการเสนอชื่อชิงบาฟตา, รางวัลคลิโอ อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลคลิโอ อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงห้ารางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์ ซึ่งเขาคว้ามาได้สามรางวัลในสาขาออกแบบงานสร้างจากผลงานโฆษณาของเขา
เขาได้สร้างลุคที่เป็นหนึ่งเดียวให้กับภาพยนตร์หลากหลายแนว ตั้งแต่ไซไฟอย่างภาพยนตร์โดยเทอร์รี กิลเลียมเรื่อง “Twelve Monkeys,” ภาพยนตร์ทริลเลอร์จิตวิทยาอย่างภาพยนตร์โดยเดวิด ฟินเชอร์เรื่อง “The Game” และภาพยนตร์โดยบรูซ อีวานส์เรื่อง “Mr. Brooks” ไปจนถึงโรแมนติกดรามาเรื่อง “Message in a Bottle” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายยอดนิยมโดยนิโคลัส สปาร์คส์และภาพยนตร์ขวัญใจแฟนๆ “The Bodyguard” ปัจจุบัน เขากำลังทำงานในแนวที่แตกต่างออกไปด้วยภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง “Transformers 4” ให้กับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส
ผลงานโฆษณามากมายของบีครอฟท์ทำให้เขาได้รับสามรางวัลโมมา อวอร์ด และเขาก็ได้ทำงานกับผู้กำกับที่น่าประทับใจมากมาย ซึ่งรวมถึงเบย์, ฟินเชอร์และกิลเลียม และฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา, โฮเวิร์ด การ์ด, ปีเตอร์ สมายลี, อีริช จอยเนอร์, เจฟฟ์ กู๊ดบี้, บ็อบ เคิร์สเท็ทเทอร์, ทอม รูสตัน, เดวิด เบลลีย์, เบนเน็ตต์ มิลเลอร์และโรเบิร์ต ริชาร์ดสัน ลูกค้าของเขารวมถึงมิลค์, วิคตอเรียส์ ซีเคร็ท, พราดา, โปโล, เอที แอนด์ ที, แอปเปิ้ล, เมอร์ซีเดส, จากัวร์และจีเอ็ม
ผลงานของเขารวมถึงการออกแบบละครเวทีและโอเปรา ที่งานออกแบบของเขาปรากฏอยู่ในบรอดเวย์และเวสต์เอนด์ ในฐานะส่วนหนึ่งของออตโต้ โปรเจ็กต์โดยโทเบียส รีเบอร์เกอร์สำหรับฟอนดาซิโอเน พราดาในมิลาน เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลโทนี อวอร์ดจากละครโปรดักชันของรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนีเรื่อง “Cyrano de Bergerac” และ “Much Ado about Nothing” ที่ร่วมงานกับผู้กำกับเทอร์รี แฮนด์ ผลงานเวสต์เอนด์ของเขาได้แก่ “Playboy of the Western World” สำหรับแอ็บบี้ เธียเตอร์, ละครโดยอาร์เอสซีเรื่อง “Troilus and Cressida,” “Hamlet,” “The Cherry Orchard,” ละครโดยดิ โอลด์ วิคเรื่อง “After Aida” รวมถึงละครโปรดักชันของรอยัล เอ็กซ์เชนจ์เรื่อง “Oedipus Rex” และ “Three Sisters” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด อวอร์ด
ผลงานออกแบบภายในและสถาปัตยกรรมของเขาปรากฏอยู่ในอาร์คิเท็คเชอรัล ไดเจสต์, เดอะ เวิลด์ ออฟ อินทีเรียร์ส, คอสทัล ลิฟวิง, เอชจี, วานิตี้ แฟร์และแอล เดคอร์
เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กและได้รับเฟลโลว์ชิพจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด
เจย์ ฮาร์ท (Jay Hart)—ผู้ตกแต่งฉาก
เจย์ ฮาร์ทได้ตกแต่งฉากให้กับภาพยนตร์กว่า 30 เรื่องและได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์สาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยม—ตกแต่งฉากจากผลงานพีเรียดในภาพยนตร์เรื่อง “L.A. Confidential” และ “Pleasantville” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่โดดเด่นของเขาได้แก่ “Spider-Man 2,” “Fight Club,” “3:10 to Yuma,” “Terminator 3: Rise of the Machines,” “Wonder Boys” และ “The Bridges of Madison County”
เขาเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมผู้ตกแต่งฉากแห่งอเมริกาและเป็นสมาชิกพันธมิตรของสมาคมผู้ออกแบบภายในของอเมริกันมานาน 30 ปี เขาเป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์และเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริหารฝ่ายผู้กำกับศิลป์ด้วย
ล่าสุด เขาได้ร่วมมือกับผู้ออกแบบงานสร้างเจฟฟรีย์ บีครอฟท์ในภาพยนตร์ที่สร้างเสียงอื้อฉาวของไมเคิล เบย์เรื่อง “Pain and Gain” ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, ดเวย์น จอห์นสันและแอนโธนี แม็คกี้ ปัจจุบัน เขาได้ทำงานใน “Heat” ที่นำแสดงโดยเจสัน สเตแธม ที่ทำให้เขาได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบงานสร้างเกร็ก เบอร์รีสำหรับผู้กำกับไซมอน เวสต์
นอกเหนือจากผลงานภาพยนตร์แล้ว เขายังเป็นเจ้าของและผู้บริหารเจย์ ฮาร์ท โฮม, แอลแอลซี บริษัทที่ชำนาญด้านกาออกแบบภายในที่พักอาศัยแบบไฮเอนด์ เขาเพิ่งเสร็จจากโปรเจ็กต์ในอินเดียน เวลส์, ปาล์ม สปริงส์และเบเวอร์ลี ฮิลส์, แคลิฟอร์เนียและในแอสเพน, โคโลราโด งานออกแบบภายในของเขาได้รับการตีพิมพ์ในอาร์คิเท็คเชอรัล ไดเจสต์, อินสติงค์, โมเดิร์นนิซึมและปาล์ม สปริงส์
รอย รูธแลนด์ (Roy Rutland)—ที่ปรึกษาฝ่ายเทคนิค/ผู้ประสานงานตำรวจ กรมตำรวจไมอามี-เด๊ด)
รอย รูธแลนด์ เริ่มต้นจากการลาดตระเวนตามท้องถนนในไมอามี เขาได้ทำงานในย่านที่โหดที่สุดและมีอัตราอาชญากรรมสูงสุดในเขตไมอามี-เด๊ด หลังจากคดีจับกุมที่โด่งดังหลายครั้ง เขาก็ได้รับการทาบทามให้ทำงานเป็นนักสืบในทีมปราบปรามอาชญากรรม ซึ่งเป็นหน่วยสืบสวนนอกเครื่องแบบ ที่เขาได้ขัดเกลาทักษะในปฏิบัติการและทักษะการทำงานแฝงตัว หนึ่งปีให้หลัง เขาได้รับการทาบทามให้ย้ายไปหน่วยที่รุนแรงที่สุดในกรมตำรวจ ซึ่งก็คือหน่วยแทรกแซงการปล้น (RID) หน่วยนี้โฟกัสไปที่ผู้กระทำผิดที่รุนแรงที่สุดในเขตไมอามี-เด๊ด ซึ่งรวมถึงคดีปล้นติดอาวุธ การขโมยรถและผู้บุกรุกบ้านเรือน
ในปี 1998 ความฝันของรูธแลนด์กลายเป็นจริง เมื่อเขาถูกขอให้สัมภาษณ์ให้กับแผนกยาเสพติดของกรมตำรวจไมอามี หลังจากได้รับเลือกแล้ว เขาก็เริ่มต้นออกเดินทางร่วมกับทีมยาเสพติดกลยุทธ (ทีเอ็นที) ที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง “Bad Boys” ที่รับมือกับปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในท้องถนน ภายในแผนกยาเสพติด ไม่นานนักเขาก็ย้ายไปหน่วยสืบสวนในท้องถนนและกลายเป็นผู้สืบสวนแฝงตัวคนสำคัญในคดีสืบสวนยาเสพติดระหว่างประเทศ เขาเป็นแนวหน้าของการสืบสวนเกี่ยวกับยาเรฟและคลับ ดรัก ที่รับมือกับยาเสพติดภายใต้การแฝงตัว กับองค์กรและผู้ค้าจากแหล่งระดับประเทศ
ในปี 2001 หน่วยงานควบคุมยาเสพติดแห่งชาติ (ONDCP) ขอให้รูธแลนด์ให้การต่อหน้าอนุกรรมการสภาสูงของอเมริกา เกี่ยวกับการตรากฎหมายส่วนกลางใหม่ รูธแลนด์ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกระจกฝ้าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ค้ายาเสพติดได้รู้จักตัวตนของเขา ได้ให้การเกี่ยวกับอันตรายของการแพร่ระบาดของยาเสพติดครั้งใหม่ หลังจากที่ร่างกฎหมายนี้ผ่านเรียบร้อยแล้ว นักสืบรูธแลนด์ก็ได้ขยายขอบเขตการทำงานของเขากับ ONDCP ออกไปอีก ด้วยการจัดสัมมนาสำหรับนักเขียน เพื่อให้ข้อมูลกับพวกเขา ในฐานะส่วนหนึ่งของแคมเปญสื่อต่อต้านยาเสพติดสำหรับเยาวชนของรัฐบาล
พอปี 2003 เขาก็ได้ทำงานร่วมกับหน่วยคดีสำคัญของไมอามี-เด๊ด และรับมือกับภารกิจระยะยาว ระหว่างที่อยู่ในที่นั้น เขาได้เริ่มต้นการสืบสวนแบบแฝงตัวนาน 2 ปี “Operation Zombie” ซึ่งเขาได้เปิดโปงและจับอาชญากร ที่เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวและฟอกเงิน รวมถึงผู้ค้ายาเสพติด ที่นำเข้าและจัดจำหน่ายคลับ ดรักต่างๆ เข้ามาในอเมริกา ระหว่างการสืบสวน เขาได้แฝงตัวเข้าไปในองค์กรอาชญากรรมหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงลา โคซา นอสตรา ที่โด่งดัง เมื่อการสืบสวนสิ้นสุดลงในปี 2005 ความพยายามของเขาก็ส่งผลให้มีการฟ้องร้องบุคคลกว่า 30 คน ตั้งแต่ผู้ล่วงละเมิดทางเพศและหัวหน้าแก๊งไปจนถึงมือปืนของโคซา นอสตรา
ในปี 2005 เขาได้รับการทาบทามจากไมเคิล แมนน์ ผู้กำกับชื่อดัง ให้ทำงานเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาฝ่ายเทคนิคของเขาในภาพยนตร์เรื่อง “Miami Vice” ซึ่งเป็นเวอร์ชันภาพยนตร์ของซีรีส์ยอดนิยมยุค 80s ของเขา ระหว่างการถ่ายทำ เขาได้ให้คำปรึกษากับนักแสดงนำเกี่ยวกับเทคนิคและปฏิบัติการณ์การแฝงตัวและเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการก่อสร้างห้องแล็บยาบ้าในภาพยนตร์อีกด้วย ระหว่างนั้น ผู้ควบคุมงานสร้าง/ผู้สร้างซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง “Dexter” ได้ติดต่อรูธแลนด์เพื่อให้คำปรึกษาด้านเทคนิคกับตอนไพล็อตของซีรีส์ “Dexter” นักสืบรูธแลนด์ได้ทำงานกับทั้งสองเรื่องนี้พร้อมๆ กันเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี ก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานกับกรมตำรวจไมอามี-เด๊ดอีกครั้ง
รูธแลนด์ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงบรรยากาศ ได้รับข้อเสนอให้รับตำแหน่งโฆษกของกรมตำรวจเมื่อตอนที่เขากลับมาทำงานที่กรมอีกครั้ง ปัจจุบัน เขาได้รับมอบหมายให้ทำงานในแผนกความสัมพันธ์กับสื่อ ที่เขาได้ดูแลงานถ่ายทำรวมถึงพูดในฐานะตัวแทนของกรมตำรวจไมอามี-เด๊ดในทุกเรื่อง งานของเขาในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายเทคนิคใน “Dexter” ยังคงดำเนินต่อเนื่องตลอดหลายปีจนกระทั่งปัจจุบันและได้ครอบคลุมซีรีส์ “C.S.I.: Miami,” “The Shield” และ “Airport 24/7: Miami”
เคน เบทส์ (Ken Bates)—ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์
เคน เบทส์ ชาวแคลิฟอร์เนียตอนใต้ เติบโตในเอล มอนเต้และเวสต์ โควินา เขาไม่เคยคาดฝันเลยว่าความสามารถด้วยยิมนาสติกและนิสัยชอบการแข่งขันของเขาจะทำให้เขาได้เข้าสู่โลกของการสร้างแอ็กชันที่น่าตื่นเต้นของจอเงิน จอแก้วและโฆษณา
หลังจากที่ได้รับงานเป็นตัวประกอบและนักแสดงสตันท์ เขาก็ได้รับบทเป็นศิษย์ของดาร์ โรบินสัน ผู้ล่วงลับ ไม่นานนัก เขาก็ได้เข้าทำงานกับฮอลลีวูด ที่ต้องการพรสวรรค์ที่พิเศษสุดของเขาและอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อการร่วงจากที่สูง(สิบชั้นขึ้นไป) พอถึงปี 1988 เขาก็ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะนักแสดงสตันท์ของอลัน ริคแมนใน “Die Hard” และในปี 1993 เขาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคนิคสำหรับระบบลดความเร็วของเขา
เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้างไมเคิล เบย์ ผู้เป็นเพื่อนเก่าของเขา มากว่า 20 ปีทั้งในภาพยนตร์และโฆษณา เขารับหน้าที่ผู้ประสานงานฝ่ายสันท์และผู้กำกับยูนิทที่สองในภาพยนตร์เรื่อง “Transformers: Dark of the Moon,” “Transformers: Revenge of the Fallen,” “Transformers,” “The Island,” “Pearl Harbor,” “Armageddon,” “The Rock” และ “Bad Boys” และสำหรับผู้กำกับชื่อดังอื่นๆ ใน “The Italian Job,” “The Movie Hero,” “Bad Company,” “Training Day” และ “Con Air”
นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ในภาพยนตร์เรื่อง “Texas Chainsaw Massacre: The Beginning,” “The Amityville Horror,” “The Texas Chainsaw Massacre” (2003) และ “Bad Boys II” ผลงานสตันท์ของเขาปรากฏอยู่ในโปรเจ็กต์แอ็กชันผจญภัยมากมาย เช่น : “Waterworld,” “The Mask,” “The Crow,” “Demolition Man,” “True Romance,” “Lethal Weapon 3” และ “The Last Boy Scout”
ปัจจุบัน เขาทำงานในโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินหลายเรื่อง เขาใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในสองทวีป โดยเขาอยู่ในลอสแองเจลิสและทั่วทั้งยุโรปตะวันออก
ทรอย โรบินสัน (Troy Robinson)—ผู้ร่วมประสานงานฝ่ายสตันท์
ทรอย โรบินสันได้ดูแลและแสดงซีเควนซ์แอ็กชันในภาพยนตร์ ซีรีส์ โฆษณาและมิวสิค วิดีโอมากมาย นอกจากนั้น เขายังได้รับสองรางวัลทอรัส เวิลด์ สตันท์ อวอร์ดจากผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่อง “Fast Five” และ “The Predators”
ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยไมเคิล เบย์เรื่อง “Transformers: Dark of the Moon,” “Transformers: Revenge of the Fallen,” “Transformers,” “The Island” และ “Bad Boys” I และ II เขารับหน้าที่ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ในภาพยนตร์เรื่อง “Fast Five,” “Find Me Guilty” และ “Once Upon a Time in Mexico”
ในฐานะนักแสดงสตันท์ วีรกรรมของเขาปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ที่น่าตื่นเต้นมากมายเช่น “The Avengers,” “The Mechanic,” “The Expendables,” “Iron Man 2,” “Spider-Man 3,” “Mr. and Mrs. Smith,” “The Italian Job,” “Shanghai Knights,” “xXx,” “Spy Kids,” “Gone in 60 Seconds,” “Blue Streak,” “The Patriot,” “The X Files” และ ฯลฯ เขาได้แสดงดับเบิลให้กับวิน ดีไซลในแฟรนไชส์ “Fast and Furious” รวมถึงได้แสดงฉากแอ็กชันหลายฉากให้กับจอร์จ คลูนีย์ใน “Ocean’s Eleven” และ “Batman & Robin”
ทรอย ลูกชายของดาร์ โรบินสัน นักแสดงสตันท์ในตำนาน ผู้เป็นที่รักและชอว์น พี่ชายของเขาได้เดินตามรอยเท้าของพ่อผู้ล่วงลับของเขา ด้วยการทำงานในธุรกิจของครอบครัวในต้นยุค 90s ทั้งคู่ที่ทำงานในลอสแองเจลิส ได้แสดงในโปรเจ็กต์กว่า 200 เรื่อง
เด็บราห์ สก็อต (Deborah Scott)—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
เด็บราห์ สก็อต ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมในปี 1998 จากผลงานของเธอในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่ทำลายสถิติของเจมส์ คาเมรอนเรื่อง “Titanic” ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา อวอร์ดด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น เธอยังได้ทำงานให้กับผู้กำกับอีพิคดังของเขาเรื่อง “Avatar” ภาพยนตร์พิเศษสุดที่ถ่ายทำในรูปแบบ 3D ซึ่งปัจจุบันครองตำแหน่งภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล
เธอได้ทำงานให้กับผู้กำกับไมเคิล เบย์ในทั้งสามภาคของแฟรนไชส์ยอดนิยม “Transformers: Dark of the Moon,” “Transformers: Revenge of the Fallen” และ “Transformers” รวมถึง “The Island” และ “Bad Boys II”
ล่าสุด เขาได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงโดยคาเมรอน โครว์เรื่อง “We Bought a Zoo” ที่นำแสดงโดยสการ์เล็ตต์ โยฮันสัน, แมทท์ เดมอนและแอลล์ แฟนนิง, ภาพยนตร์โดยเอ็ดเวิร์ด ซวิคเรื่อง “Love and Other Drugs,” ภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยคอเมดีเรื่อง “Get Smart” ที่นำแสดงโดยสตีฟ คาเรลและแอนน์ ฮาธาเวย์, “Reign Over Me” ที่นำแสดงโดยอดัม แซนด์เลอร์, ดอน ชีเดิลและจาดา พิงเก็ตต์-สมิธ, “Seraphim Falls” ที่นำแสดงโดยเลียม นีสันและเพียร์ซ บรอสแนนและภาพยนตร์โดยแอนดี้ การ์เซียเรื่อง “The Lost City”
ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการทำงานในภาพยนตร์เรื่อง “The Amazing Spider-Man 2” สำหรับผู้กำกับมาร์ค เว็บบ์และมาร์เวล สตูดิโอส์ ที่นำแสดงโดยแอนดรูว์ การ์ฟิลด์, เอ็มมา สโตนและเจมี ฟ็อกซ์
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ “The Upside of Anger,” “Minority Report,” “The Patriot,” “Wild, Wild West,” “Heat,” “Indian in the Cupboard,” “Legends of the Fall,” “Sliver,” “Jack the Bear,” “Hoffa,” “Defending Your Life,” “Back to the Future” และ ฯลฯ
คอลลีน เคลซอล (Coleen Kelsall)—ผู้ร่วมออกแบบเครื่องแต่งกาย
ล่าสุด คอลลีน เคลซอล เพิ่งเสร็จจากงานออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับ “One Chance” สำหรับผู้กำกับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เดวิด แฟรงเคล ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในอดีตที่เพิ่งผ่านมาและถ่ายทำในเวนิส ประเทศอิตาลีและพร์ท ทัลบ็อท ประเทศเวลส์ นำแสดงโดยเจมส์ คอร์ดอน, จูลี วอลเตอร์ส, แม็คเคนซีย์ ครุ้กและอเล็กซานดรา โร้ค
ก่อนหน้านี้ เธอได้ทำหน้าที่ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับผู้กำกับบรูซ เบเรสฟอร์ดในภาพยนตร์ของเขาเรื่อง “Last Dance” ที่นำแสดงโดยชารอน สโตน, “Silent Fall” ที่นำแสดงโดยลีฟ ไทเลอร์และริชาร์ด ดรายฟัสและ “Rich in Love” ที่นำแสดงโดยอัลเบิร์ต ฟินนีย์และอีธาน ฮอว์ค นอกจากนี้ เธอยังได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง “The Bridges of Madison County” ที่นำแสดงโดยคลินท์ อีสต์วู้ดและเมอริล สตรีพ ผลงานออกแบบเรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ “The Rich Man’s Wife” ที่นำแสดงโดยฮัลลี เบอร์รี, ภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง “Sudie and Simpson” และ “Horrid Henry” ที่นำแสดงโดยแองเจลิกา ฮูสตัน, ริชาร์ด อี. แกรนท์และพาร์มินเดอร์ เนกรา ที่กำกับโดยนิค มัวร์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงบาฟตา สำหรับเวอร์ติโก ฟิล์มส์
คอลลีนเป็นผู้ช่วยออกแบบเครื่องแต่งกายและรองผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์หลายเรื่อง ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและบาฟตาอวอร์ดสาขาออกแบบเครื่องแต่งกาย เรื่อง “Memoirs of a Geisha” (ได้รับรางวัลบาฟตาและอคาเดมี อวอร์ด), “Sweeney Todd, The Demon Barber of Fleet Street” (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาและอคาเดมี อวอร์ด), “Nine” (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด), “Seabiscuit” (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด), “Tucker: A Man and His Dream” (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด), “Edward Scissorhands“ (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา) และ “Harry Potter and the Philosopher’s Stone” (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาและอคาเดมี อวอร์ด)
คอลลีนเริ่มต้นการทำงานด้วยการจัดสไตล์ให้กับการถ่ายภาพและโฆษณาสำหรับฟิลิป ดิกสัน, เฮิร์บ ริทส์, เดวิด ลินช์, ฮิวจ์ ฮัดสันและโจ พิทก้า
สตีฟ จาบลอนสกี้ (Steve Jablonsky)—คอมโพสเซอร์
สตีฟ จาบลอนสกี้ ได้แต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์ปี 2007 โดยผู้กำกับไมเคิล เบย์เรื่อง “Transformers” รวมถึงซีเควลบล็อกบัสเตอร์เรื่อง “Transformers: Revenge of the Fallen” และ “Transformers: Dark of the Moon” นอกเหนือจากนั้น เขายังได้แต่งดนตรีประกอบให้กับทริลเลอร์อนาคตปี 2005 ของเบย์เรื่อง “The Island” และเขายังได้ทำงานให้กับแพลตินัม ดูนส์ด้วยการแต่งดนตรีประกอบรีเมกสยองขวัญเรื่อง “A Nightmare on Elm Street,” “Friday the 13th,” “The Hitcher,” “The Texas Chainsaw Massacre” และ “The Amityville Horror” นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์อนิเมญี่ปุ่นเรื่อง “Steamboy” ที่กำกับโดยผู้กำกับในตำนาน คัทสึฮิโระ โอโตโมะ ชายผู้อยู่เบื้องหลัง Akira
ผลงานของเขายังรวมถึงซาวน์แทร็คสำหรับ “Gangster Squad” ที่นำแสดงโดยจอช โบริน, ฌอน เพนน์, ไรอัน กอสลิงและเอ็มมา สโตน, ภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยโดยปีเตอร์ เบิร์กเรื่อง “Battleship” ที่นำแสดงโดยเลียม นีสันและอเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ดและอีพิคคอเมดีผจญภัยโดยเดวิด กอร์ดอน กรีนเรื่อง “Your Highness” ที่นำแสดงโดยเจมส์ ฟรังโก้, นาตาลี พอร์ทแมนและแดนนี แม็คไบรด์
หลังจากนั้น ดนตรีของจาบลอนสกี้ยังจะปรากฏในภาพยนตร์โดยเบิร์กเรื่อง “Lone Survivor” เรื่องจริงของภารกิจหน่วยซีล 10 ที่ผิดพลาดในการจับกุมผู้นำตาลีบันในปี 2005 ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์ก, เอมิล เฮิร์สช์และอีริค บานา อีกด้วย ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการทำงานในทริลเลอร์โดยเดวิด กอร์ดอน กรีนเรื่อง “Suspiria” ที่นำแสดงโดยอิซาเบล เฟอร์แมน
ด้านจอแก้ว ดนตรีของเขาปรากฏในทุกสัปดาห์ของซีรีส์ยอดนิยมทางเอบีซีเรื่อง “Desperate Housewives” นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์รางวัลที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “Live From Baghdad” รวมถึงซีรีส์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Threat Matrix” และซีรีส์อีเอสพีเอ็น “Sports Century: The Century’s Greatest Athletes”
เขาได้พัฒนาผลงานของตัวเองในฐานะคอมโพสเซอร์ ที่ได้ร่วมงานกับคอมโพสเซอร์ชื่อดังอย่างฮัน์ ซิมเมอร์และแฮร์รี เกร็กสัน-วิลเลียมส์ เขาได้แต่งดนตรีเพิ่มเติมให้กับภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่องเช่น “Bad Boys 2,” “Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl,” “Armageddon,” “Tears of the Sun,” “Pearl Harbor,” “Hannibal” และ “Deceiver”
เมื่อโลกวิดีโอเกมซับซ้อนมากขึ้นในแต่ละปี ความต้องการดนตรีที่แปลกใหม่ก็ได้เติบโตตามไปด้วย เมโลดี้ที่โดดเด่นของเขาปรากฏอยู่ในเกมขายดีมากมายเช่น “Gears of War 2 & 3,” “The Sims 3,” “Prince of Persia: The Forgotten Sands,” “Transformers: The Game” และ “Command & Conquer 3: Kane’s Wrath”
นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีให้กับ “Transformers: The Ride 3D” เครื่องเล่นล่าสุดของยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ ที่ปัจจุบันดำเนินการในสวนสนุกในเซี่ยงไฮ้และลอสแองเจลิส และไม่นานนักก็จะเปิดในออร์ลันโด, ฟลอริดา
นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีประกอบโฆษณาสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่นเชฟโรเล็ต, โคคา-โคลา, ยูเอส อาร์มีและมัลโบโร หนึ่งในไฮไลท์สำหรับจาบลอนกี้คือการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ขนาดสั้นของบีเอ็มดับบลิวเรื่อง “Hostage” สำหรับผู้กำกับจอห์น วู
คำวิจารณ์ภาพยนตร์ Pain & Gain (2013)
เรท: R, UNRATED
คำวิจารณ์โดยคริส นาชาวาตี้ / 1 พฤษภาคม ปี 2013
รายละเอียด วันเข้าฉาย: 26 เมษายน ปี 2013
เรท: R, Unrated ความยาว: 129 นาที แนว: แอ็กชัน/ผจญภัย
นักแสดง: เอ็ด แฮร์ริส, เคน จอง, มาร์ค วอห์ลเบิร์กและรีเบล วิลสัน จัดจำหน่าย: พาราเมาท์ พิคเจอร์ส
ใครจะรู้ว่าไมเคิล เบย์มีอารมณ์ขันล่ะ? ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เจ้าพ่อความฉิบหายวายป่วง เครื่องยนต์กลไกทางทหารเงาวับและภาพน่าตื่นตาตื่นใจแห่งฮอลลีวูดผู้นี้สร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเองในฐานะผู้กำกับที่ออกจะไร้อารมณ์ขันหน่อยๆ ผลงานภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของเขาอย่าง Armageddon, Pearl Harbor และแฟรนไชส์ Transformers มักจะอัดแน่นความบันเทิงเต็มเพียบจนเกินคุ้มค่าตั๋วสำหรับผู้ชม แต่คุณจะไม่รู้สึกเลยว่าเขาสามารถปล่อยมุขได้ ในทางกลับกัน เบย์ดูเหมือนเป็นคนที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยซ้ำไปว่าผู้ชมกำลังหัวเราะไปกับเขาหรือหัวเราะเขา แต่กับ Pain & Gain คอเมดีอาชญากรรมที่น่าแปลกใจของเขา ในที่สุด เบย์ก็ตัดสินใจจะมีอารมณ์ขันกับเขาบ้างแล้ว
Pain & Gain ที่สร้างจากเรื่องจริงที่แปลกกว่านิยายของแก๊งซันยิม ที่ถูกรายงานเป็นครั้งแรกโดยพีท คอลลินส์ในรูปแบบของบทความต่อเนื่องในไมอามี นิว ไทม์ปี 1999 เป็นเรื่องราวเหนือจริงของหนุ่มฟิตเนสฟลอริดาสามคน ที่หยุดเบ่งกล้ามของตัวเองนานพอที่จะวางแผนลักพาตัวและขู่กรรโชกหนึ่งในลูกค้าเทรนเนอร์ส่วนตัวที่ร่ำรวยของพวกเขา (โทนี แชลล็อบ ผู้หน้าตาบูดบึ้งอย่างวิเศษสุด) ผู้นำของแก๊งโจรสุดฮากลุ่มนี้คือแดเนียล ลูโก้ ตัวละครของมาร์ค วอห์ลเบิร์ก นักเพาะกายผู้ทะเยอทะยาน เขามองเห็นร่างกายบึกบึนของตัวเองว่าเป็นสัญลักษณ์แทนอเมริกันดรีม ตัวละครแบบนี้ล่ะที่เข้าทางวอห์ลเบิร์กพอดี แดเนียลเป็นคนที่เดิร์ค ดิกเกลอร์น่าจะเป็นถ้าเขาเลิกดูหนังโป๊ โยนเครื่องดื่มโปรตีนทิ้งไปบ้างและย้ายไปไมอามีเดด เคาน์ตี้
คุณคงต้องเพี้ยนแน่ๆ ถ้าคุณหลงเชื่อสิ่งที่จอมเพ้อฝันรายนี้พร่ำบอก แต่นี่คือไมอามีในยุค 90s ทุกอย่างฟังดูเป็นไปทั้งนั้นถ้าคุณมีโคเคนไหลเวียนในเส้นเลือดมากพอน่ะ แดเนียลพบผู้ร่วมขบวนการร่างยักษ์ที่เต็มใจร่วมงานกับเขา ซึ่งก็คือเอเดรียน (แอนโธนี แม็คกี้ ผู้สามารถทำให้มุขเกี่ยวกับอาการไข่หดและไม่แข็งตลกได้) เพื่อนเทรนเนอร์ และอดีตนักโทษ พอล (ดเวย์น จอห์นสัน พ่อหนุ่มตีนผี) พวกเขาร่วมกันวางแผนประกอบอาชญากรรมกระจอกขึ้น ซึ่งมันก็เกิดอาการผิดแผนขึ้นมาเนื่องด้วยการตัดสินใจผิดพลาดแบบปัญญาอ่อนหลายต่อหลายครั้ง
ในตอนแรก ความผิดพลาดของสามหนุ่มร่างเพาะกายพวกนี้ก็ตลกดีหรอก และเบย์ก็ดูเหมือนจะรู้สึกเป็นอิสระจากความเบาสมองของเรื่อง อย่าเข้าใจผมผิดนะ เขาก็ยังคงเป็นไมเคิล เบย์อยู่วันยังค่ำ เห็นได้จากการที่เขาไม่ปล่อยโอกาสภาพโคลสอัพส่วนเว้าโค้งสาวๆ ในบิกินีให้หลุดลอยไปเลย แต่ทิศทางใหม่ที่เฉียบคมกว่าเดิมทำให้หนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกสดใหม่กว่าส่วนผสมระเบิดและความอึกทึกครึกโครมตามปกติของเขา หนังเรื่องนี้ ที่เขียนบทโดยคริสโตเฟอร์ มาร์คัสและสตีเฟน แม็คฟีลี ถูกบอกเล่าอย่างชาญฉลาดผ่านทางมุมมองที่เปลี่ยนไป ดังนั้น เราก็จะได้ฟังความคิดของตัวละครแต่ละตัวในการบอกเล่าว่าเหตุการณ์ป่วนๆ อะไรเกิดขึ้นต่อไปบ้าง แม้แต่พวกเขายังดูเหมือนไม่เชื่อในความโง่ของตัวเองเลย ในช่วงครึ่งแรกของเรื่อง ซึ่งเต็มไปด้วยพลังงานซาบซ่า มีชีวิตชีวาแบบคนโด๊ปกาแฟ มันเวิร์คอย่างงามเลยล่ะ แต่ก็เหมือนกับสเตอรอยด์และพลังงานที่ขับดันหนังเรื่องนี้ ความรู้สึกซาบซ่านั้นก็ค่อยๆ จางลง ทำให้หนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนยาวเกินไปอย่างน้อยๆ ก็ครึ่งชั่วโมงล่ะ Pain & Gain พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า ไมเคิล เบย์ก็สามารถสร้างประโยคเด็ดได้เหมือนกัน ตอนนี้ ที่เขาต้องการก็แค่หามือลำดับภาพซักคน B
โพสต์ครั้งแรกในวันที่ 24 เมษายน ปี 2013 | ตีพิมพ์ในฉบับ #1257 3 พฤษภาคม 2013
โดยจิม เวจโวดา วันที่ 23 เมษายน ปี 2013
หนังที่ดีที่สุดของเบย์ นับตั้งแต่ THE ROCK
23 เมษายน ปี 2013 – Pain and Gain เป็นเรื่องราวอาชญากรรมจริงๆ ในยุค 90s เกี่ยวกับนักเพาะกายสามคนจากไมอามี (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก, ดเวย์น จอห์นสันและแอนโธนี แม็คกี้) ผู้ซึ่งแผนการในการรีดไถเงินและอสังหาริมทรัพย์จากลูกค้าเศรษฐีของเขา (โทนี แชลล็อบ) กลับกลายเป็นการทรมาน เรื่องวุ่นวายและฆาตกรรมอย่างรวดเร็ว แดเนียล ลูโก้ ตัวละครของวอห์ลเบิร์ก ก็เหมือนกับโทนี “สการ์เฟซ” มอนทานา แก๊งสเตอร์จากไมอามีของอัล ปาชิโน ที่เป็นเวอร์ชันบิดเบี้ยวของอเมริกันดรีม เป็นผู้ประกาศตนว่าเป็น “ผู้ลงมือทำ” ผู้ซึ่งความปรารถนาในความสำเร็จอย่างไม่ลืมหูลืมตานำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย แต่แดเนียลก็ไม่ใช่อาชญากรอัจฉิรยะ จริงๆ แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเขาว่าเป็นคนทึ่มทื่อและวอห์ลเบิร์กก็เปล่งประกายเจิดจรัสที่สุดในตอนเล่นบทคนทื่มทื่อซะด้วย (Boogie Nights, Ted)
แดเนียลเรียกใช้งานพนักงานของเขา เอเดรียน (แม็คกี้) ผู้ซึ่งยาที่เขากินเข้าไปทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัวและอดีตนักโทษ พอล (จอห์นสัน) ให้ช่วยเขาลักพาตัวและรีดเงินจากลูกค้าของเขา วิคเตอร์ เคอร์ชอว์ (แชลล็อบ) ชายผู้ร้ายกาจถึงขนาดที่ลูกน้องเขายังไม่ค่อยเห็นใจเขาเท่าไหร่ พอลเลิกเหล้าเลิกยาและค้นพบพระเจ้า เขาอยากจะกลับตัวกลับใจใหม่ แต่เขากลับพบว่าตัวเองต้องเจอกับสิ่งยั่วยวนใจ ซึ่งนำไปสู่ช่วงเวลาที่เศร้าและตลกมากมายสำหรับเขา (น่าสังเกตว่าพอลเป็นตัวละครที่รวมคุณสมบัติของหลายๆ คนเข้าด้วยกัน ลองอ่านดูรายละเอียดที่เป็นสปอยล์ในการเปรียบเทียบระหว่างตัวหนังและคดีจริงๆ ได้ตามลิงค์)
จอห์นสันเป็นตัวเด่นในทีมนักแสดงชุดนี้ ที่ประกอบไปด้วยเอ็ด แฮร์ริสในบทนักสืบ, รีเบล วิลสันในบทภรรยาของเอเดรียน, เคน จองในบทนักพูดสร้างแรงจูงใจ, บาร์ พาลีในบทเพื่อนนักเต้นระบำเปลื้องผ้าของพวกหนุ่มๆ และร็อบ คอร์ดดรายในบทเจ้าของฟิตเนสจอมเจ้าเล่ห์
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จอห์นสันแสดงฝีมือดรามาของแท้ ซึ่งเป็นการแสดงที่ดีที่สุดของเขาในบทบาทที่แตกต่างจากบทบาทที่เราเคยเห็นเขาจากที่แล้วๆ มา อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาดรามาเหล่านั้นได้ปรากฏขึ้นส่วนใหญ่ระหว่างองก์สุดท้าย ที่สิ่งต่างๆ เริ่มช้าลงหลังจากที่เคลื่อนนตัวอย่างเร่งรีบแบบนั้น
ตอนนี้เองที่จู่ๆ คอเมดีเรื่องนี้ก็ระลึกได้ว่า มันสร้างจากเรื่องจริงที่มีคนตายจริงๆ มันก็เลยเตือนให้เราระลึกถึงเรื่องนี้แบบกะทันหันและค่อนข้างจะไม่แนบเนียนว่า ตัวเอกของเรื่องไม่ใช่คนที่น่าชื่นชม การเตือนให้เรารำลึกถึงความจริงนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ที่จะหัวเราะกับเรื่องต่างๆ หลังจากนั้น (และรู้สึกผิดกับสิ่งที่พวกเขาหัวเราะไปก่อนหน้านี้ด้วย) และท้ายที่สุดแล้ว มันก็ทำให้ข้อคิดของหนังเรื่องนี้คลุมเครือชอบกล
ถ้าไม่นับข้อบกพร่องพวกนั้นแล้ว Pain & Gain ก็เป็นหนังที่น่าติดตามและตื่นเต้นเลยล่ะ ไมเคิล เบย์คู่ควรกับคำยกย่องในการขยับออกนอกแนวหนังที่เขาคุ้นเคย มันก็คงจะใกล้เคียงกับตอนที่โทนี สก็อตไปกำกับ True Romance หลังจากสร้างเรื่อง Top Gun มาหมาดๆ นั่นแหละ และการที่ Pain & Gain เวิร์คขนาดนี้ก็แสดงให้เห็นว่าเบย์สามารถสร้างหนังที่นอกเหนือจากเรื่องระเบิดตูมตามแบบไม่ต้องใช้ความคิดได้เหมือนกัน
คำตัดสิน
ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับ Transformers พิสูจน์ว่าเขาไม่ต้องอาศัยระเบิดในการสร้างหนังที่เพลิดเพลินด้วย Pain & Gain ที่สร้างจากอาชญากรรมตลกร้าย ที่นำแสดงโดยดเวย์น จอห์นสันในการแสดงที่น่าประทับใจ
ดี: Pain & Gain ที่ตลกร้ายพิสูจน์ว่าไมเคิล เบย์สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้จริงๆ และดเวย์น จอห์นสันก็สามารถแสดงได้จริงๆ
25 เมษายน 2013
“PAIN & GAIN” ที่มีชีวิตชีวาของไมเคิล เบย์
โพสต์โดยริชาร์ด โบรดี้
ไมเคิล เบย์กลายเป็นผู้นิยมชมชอบความคลาสสิกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ก็ในตอนที่ผู้กำกับบางคนที่ยอมรับแนวทางคลาสสิกอย่างออกนอกหน้ากลายเป็นคนน่าเบื่อน่ะสิ “Pain & Gain” ที่จะเปิดตัวในวันพรุ่งนี้ เป็นหนังอาชญากรรมที่โฉ่งฉ่าง หยาบกระด้าง มีชีวิตชีวาอย่างน่าตื่นเต้น และซับซ้อนอย่างยิ่ง มันสร้างจากรายงานข่าวของพีท คอลลินส์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม ปี 1994 ไปจนถึงเดือนมิถุนายน ปี 1995 แค่ข้อเท็จจริงของเรื่องราวนี้ก็แปลกมากพออยู่แล้ว แต่เบย์ ที่ร่วมกับมือเขียนบทคริสโตเฟอร์ มาร์คัสและสตีเฟน แม็คฟีลลี ได้ใส่สีสันให้กับแอ็กชันด้วยความโอเวอร์น่าขบขันที่ขับเน้นถึงความโง่เง่าของโจรทั้งสามคนอย่างชัดเจน ราวกับมีหลอดไฟหลายพันวัตต์ส่องสว่างบนหัวของพวกเขาด้วยซ้ำไป ซึ่งมันก็สะท้อนถึงกระแสวัฒนธรรมป็อปที่หล่อเลี้ยงหนังแนวนี้ด้วย
คำนิยามของผู้กำกับหนังคือคนที่สร้างอะไรซักอย่างในภาพและเสียง และในที่นี้ เบย์ก็ได้เรื่องราวที่นำเสนอกรอบในการทำงานที่ชัดเจนและแน่นหนา ซึ่งเขาก็ลงมือทำงานด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและความรู้สึกของการได้พบอะไรซักอย่าง ที่ดำเนินต่อเนื่องตลอดหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมุมหรือสีสันของฉาก เครื่องแต่งกาย และแน่นอน มันก็รวมถึงการแสดงด้วย หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ผลงานชิ้นโบแดงเป็นทางการ ที่พลิกโฉมหน้าทักษะการเล่าเรื่องที่มักจะมีผู้ชมชื่นชมกันเกินเหตุและถูกใช้ผิดบ่อยๆ แต่มันกลับนำเสนอเรื่องราวยุคปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวกับแนวคิดของโหมดการเล่าเรื่องแบบเมนสตรีม ที่ผสมผสานขนบธรรมเนียมที่ยืดยาว อ้อมค้อมและไหลไปเรื่อยของนักเขียนบทละคร นักเขียนนิยาย และทายาทยุคสตูดิโอของพวกเขา ความมีชีวิตชีวา ความฟุ้งเฟ้อ และอารมณ์ขันหยาบโลนไม่ได้ช่วยพัฒนาศิลปะการเล่าเรื่อง แต่หนังเรื่องนี้กลับทำได้เหนือกว่าการเล่าเรื่องหลากหลายรูปแบบที่ทั้งสั่นประสาท ไร้สีสันหรือติดตรึงในความทรงจำที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบของการเล่าเรื่องอย่างแม่นยำและชัดเจน
มาร์ค วอห์ลเบิร์กเดินองอาจในหนังทั้งเรื่องในบทแดเนียล ลูโก เทรนเนอร์ยกน้ำหนักร่างบึกบึน ที่เคยถูกจับในแผนการรวยทางลัดสกปรกมาแล้ว (ในคราบของเดวิด โลเวนสไตน์) อีโก้ของเขาพองโตขึ้นจนถึงจุดจะแตกออกด้วยนักพูดสร้างแรงจูงใจ (เคน จอง) เจ้าของงานสัมมนาที่เขาเข้าร่วม (“ผมเป็นผู้ลงมือทำ!!!”) ลูโกเลยตัดสินใจไขว่คว้าโอกาสทอง ด้วยการคว้าตัวลูกค้าที่ฟิตเนสของเขา วิคเตอร์ เคอร์ชอว์ (โทนี แชลล็อบ) นักธุรกิจผู้สร้างตัวเอง เขาเป็นคนขี้อวดและหยาบคาย ที่ชอบอวดร่ำอวดรวยเสมอ ลูโก ได้ใช้งานเอเดรียน ดอร์บัล (แอนโธนี แม็คกี้) เพื่อนร่วมงานหัวอ่อน ผู้ไร้เดียงสาของเขา และพอล ดอยล์ (ดเวย์น จอห์นสัน) อดีตนักโทษร่างใหญ่ผู้สำนึกผิดและต้องการจะกลับตัวกลับใจ ให้ร่วมในแผนการลักพาตัวเคอร์ชอว์และบีบบังคับให้เขาเซ็นสัญญายกทรัพย์สินให้ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่แผนการนี้กลับกลับตาลปัตรอย่างรวดเร็ว (มันผิดพลาดครั้งแรกในฉากที่ลงเอยด้วยคำว่า “แช็บบาท”) ทั้งสามคนรู้สึกเหมือนทำอะไรเกินตัวไปเยอะ ลูโกผู้คิดว่าตัวเองเรียนรู้ทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้จากการดูหนัง และคู่หูของเขาก็ดูเหมือนจะแข่งกันทำพลาดเยอะกว่าอีกฝ่าย เคอร์ชอว์ ผู้ทรหดและน่ารังเกียจ ปฏิเสธที่จะเซ็นชื่อและไม่ยอมตายแม้ว่าผู้ที่จับตัวเขาจะเริ่มทำทารุณนอกแผนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ ข่าวของการกระทำเหล่านี้ (ในเรื่องหักมุมที่เราไม่ขอเอ่ย) ถึงหูของนักสืบผู้ปลงกับชีวิตแต่ก็ยังยึดติดกับหลักการ (เอ็ด แฮร์ริส) ผู้เริ่มคลำเจอปมเหล่านี้ ก่อนที่เขาจะเปิดโปงแผนการร้ายทั้งหมดของพวกเขาออกมา
พล็อตเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความมีชีวิตชีวา ครึกครื้นในเรื่อง ซึ่งเบย์ก็รู้ดี ตัวละครทุกตัวเปล่งประกายด้วยความโอเวอร์แบบจำกัดเล็กๆ ที่เป็นที่คุ้นเคยจากหนังของเพรสตัน สเตอร์เกสและหนังที่พี่น้องโคเอนทำให้กลายเป็นแนวทางของพวกเขา แต่เบย์กลับถ่ายทอดเรื่องราวนี้โดยปราศจากความประชดประชัน มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญว่าเขารักหรือชื่นชมตัวละครของตัวเองหรือไม่ พวกเขาทำให้เขาทึ่ง และเขาก็ยินดีกับการได้เผยความเป็นไปในเรื่องราวที่พิลึกพิลั่นของพวกเขา เขาใส่เรื่องราวเบื้องหลังและเกร็ดน่ารู้เข้าไปในหนังแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม และร้อยเรียงซาวน์แทร็คของเรื่องให้คลอไปกับโมโนล็อกของตัวละครหลักทั้งหมด ผู้ซึ่งการพูดกับตัวเองแบบเปิดเผยและหลอกตัวเองเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ของไอเดียโง่เง่าของบรรดาตัวละครที่ติดกับแผนการโง่เง่า ซึ่งก็ผลักดันให้พวกเขาลงมืออย่างโง่เง่าด้วย
หนังเรื่องนี้ไม่มีความสลักสำคัญเชิงสัญลักษณ์ และไม่มีความสำคัญเชิงปรัชญาแต่อย่างใด ถ้าเบย์จะมีข้อคิดอะไรซักอย่าง มันคงสรุปได้ว่า “อย่าลักพาตัวใคร เจ้าโง่เอ๊ย” ตัวละครของเขาเป็นพวกถอยหลังเข้าคลอง ทัศนคติของผู้ชายที่มีต่อพวกผู้หญิงเป็นแบบพวกบริโภคนิยม (เว้นแต่เอเดรียน ผู้หัวอ่อนและลุ่มหลงในตัวภรรยา)และทัศนคติที่พวกเขามีต่อชีวิตก็เป็นแบบบริโภคนิยมอีกเหมือนกัน แต่แนวทางของเบย์คือเรื่องขบขันที่เกิดจากโอกาสที่เท่าๆ กัน เขาแสดงให้เห็นว่าคนทั้งสองเพศ และคนที่มีเชื้อชาติแตกต่าง มีชนชั้นแตกต่างและมีวิถีชีวิตที่แตกต่าง ก็อาจตกเป็นเหยื่อของความเห็นแก่ตัวและความหลงละเมอเพ้อพกของตัวเอง ซึ่งปรากฏออกมาเป็นรายละเอียดที่น่าขบขันอย่างชัดเจนได้เหมือนกัน มันเป็นหนังที่แบกรับน้ำหนักของการเสียดสีและการกระตุ้นให้เกิดเสียงหัวเราะ แต่ในขณะเดียวกัน การบังคับให้เรื่องราวเดินไปข้างหน้า ซึ่งถูกขับเน้นโดยชื่อที่ปรากฏตัวใหญ่บนหน้าจอเพื่อกำกับแอ็กชัน ก็แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกมหัศจรรย์ที่เรียบง่ายในวิถีที่วุ่นวายและน่าเศร้าของโลกใบนี้
เบย์ทะลวงไปสู่ความคิดภายในใจของตัวละครและคิดเองเออเองว่าเขาเข้าใจมัน ช็อตสโลว์โมชันตามด้วยการคัทแบบฉับพลัน มุมมองแบบเห็นภาพสูงใหญ่และสีสันที่เจิดจ้าเกินไปบ่งบอกถึงตัวละครที่ทำอะไรแบบไม่บันยะบันยัง ราวกับพระเอกที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ในตำนานของตัวเอง การนำเสนอตัวละครของหนังเรื่องนี้ทั้งเรียบง่ายแต่ก็ใช้การได้ มันไม่มีการมาเสียเวลากับพิธีรีตองใดๆ ทั้งสิ้น ในหนังไม่ค่อยมีช่วงเวลาของการค่อยๆ เผยอะไรหรือการครุ่นคิดแบบเงียบๆ ความคิดแบบปัจเจกของหนังเรื่องนี้ชัดเจน แต่ก็ไม่ลึกซึ้ง และมันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะจินตนาการว่าเวอร์ชันแบบเต็มรูปแบบ ที่ประณีตบรรจงและรอบคอบของเรื่องราวนี้อาจเป็นมินิซีรีส์สิบเจ็ดชั่วโมงในโหมดอาชญากรรมที่คำนึงถึงความเป็นปัจเจกก็ได้ การทำตัวโอเวอร์น่าขบขันทุกครั้งไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมามีน้ำหนักเท่ากันหมด แต่การหัวเราะแบบหยาบคายเป็นครั้งคราวก็จะถูกถ่วงน้ำหนักด้วยคติแปลกๆ ในความคิดของดเวย์น (เดอะ ร็อค) จอห์นสัน ผู้รู้ว่าเขาจำเป็นจะต้องสะกดพลกำลังอันกล้าแข็งของตัวเองเอาไว้ให้ได้
ฮอลลีวูดเป็นโลกของพลัง ซึ่งมีการต่อสู้แย่งชิงเงินและชื่อเสียงของบรรดาคนผู้แข็งแกร่งและเห็นประโยชน์เป็นที่ตั้ง คนที่รู้ดีที่สุดไม่ได้เป็นคนที่มีความสุนทรีย์งดงามที่สุดเสมอไป ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปินที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่จะนำเสนออนุทินที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่อาจเป็นคนที่ไม่กล้าจะปริปาก และไม่มีแรงกระตุ้นใดๆ ที่จะทำเช่นนั้น ที่มีเรื่องราวที่ดีที่สุดและสามารถรวบรวมบทสรุปได้อย่างชัดเจนที่สุดก็ได้ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เราต้องเปรียบเทียบ “Pain & Gain” กับ “Spring Breakers” เพราะทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องของคนงี่เง่าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนัง แล้วไปลงมือก่ออาชญากรรมทั้งๆ ที่ตัวเองไม่พร้อมเหมือนกัน แต่สำหรับเราแล้ว หนังของเบย์ให้ความรู้สึกเหมือน “The Player” เวอร์ชันที่ถูกเปลี่ยนแปลง ที่เป็นเหมือนการวิเคราะห์หนังฮอลลีวูดโดยคนที่อยู่มานานพอที่จะได้เห็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายของความโง่เขลาหรือแม้กระทั่งอาชญากรรม และแม้ว่าเขาจะไม่เก็บงำความคิดในใจเอาไว้ มันก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนหนังของคนหนุ่มที่สร้างโดยคนชราที่อาบน้ำร้อนมาก่อน นี่ไม่ใช่ผลงานของผู้กำกับที่ครุ่นคิดถึงความหลัง แต่เป็นผู้กำกับที่จู่ๆ ก็รู้สึกพอใจในการได้เห็นสิ่งที่เขากำลังถ่ายทำอย่างน่าประหลาดใจ ความอบอุ่นที่ฉาบฉวยและความมีชีวิตชีวาจริงๆ ของหนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่มีค่าที่หาได้ยากอย่างน่าแปลกใจ
# # #