โลกรู้จักเธอเพราะความรัก
โลกสนใจเธอเพราะความรัก
โลกสูญเสียเธอเพราะความรัก
แต่น้อยคนนัก ที่จะรู้จัก รักแท้ของเธอ
นาโอมิ วัตต์ เป็น ไดอาน่า
กับภาพยนตร์ที่จะเผยทุกเรื่
DIANA เรื่องรักที่โลกไม่รู้
19 กันยายน
เรื่องราวสองปีสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์ จากชีวิตจริงของเจ้าหญิงไดอาน่า ซึ่งรับบทโดยดาราสาวผู้เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 2 ครั้ง อย่างนาโอมิ วัตส์ (King Kong, The Impossibles , 21 Grams)ภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวของเธอทั้งในแง่ของพระราชกรณียกิจต่างๆ รวมทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายแพทย์ฮัสนัต ข่าน (นาวีน แอนดริวส์จาก The English Patient,Lost)และโดดี อัลฟาเย็ด (แคส อันวาร์) ซึ่งจะทำให้ทุกคนได้เห็นถึงความพยายามในการตามหาความสุขของเจ้าหญิงที่มีคนรักมากที่สุดในโลก รวมทั้งยังเปิดเผยความลับในชีวิตจริงของเจ้าหญิงผู้ล่วงลับพระองค์นี้
เกี่ยวกับงานสร้าง
ไอเดียในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง DIANA เกิดขึ้นที่ Ecosse Films เมื่อหลายปีก่อน เรื่องราวที่นักสร้างภาพยนตร์หลายคนใฝ่ฝันที่จะได้เป็นผู้เล่าเรื่องชีวิตรักระหว่าง ไดอาน่าและด็อกเตอร์ฮัสนัต ข่าน ศัลยแพทย์ชาวปากีสถาน “มันถือได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจชีวิตในช่วงสองปีสุดท้าย” เบิร์นชไตน์กล่าว แม้ว่าบรรดาผู้อำนวยการสร้างจะอยากสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้มาก แต่พวกเขาก็รู้สึกไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำมันได้สำเร็จหรือไม่จนกระทั่งมีการสอบสวนพิจารณาคดีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเจ้าหญิงไดอาน่า ซึ่งฮัสนัต ข่านได้ออกมายืนยันว่าเขามีความสัมพันธ์กับเธอจริง “เขาได้ให้รายละเอียดที่ช่วยพวกเราเป็นอย่างมากในการตัดสินใจเกี่ยวกับช่วงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นั้น ” เบิร์นชไตน์อธิบาย “เราตัดสินใจว่าเราควรจะสร้างภาพยนตร์ให้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงให้มากที่สุด” หลังจากนั้นเบิร์นชไตน์จึงตัดสินใจที่จะสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติในรูปแบบที่แตกต่างออกไป โดยมุ่งความสนใจไปในช่วง 2 ปีสุดท้ายในชีวิตของเข้าหญิงไดอาน่า มากกว่าที่จะลงลึกถึงรายละเอียดของโศกนาฏกรรม “เจ้าหญิงไดอาน่า รู้สึกเป็นตัวของเธอเองมากที่สุดในช่วงระยะ 2 ปีสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเราโชคดีมากที่บทสรุปของเรื่องราวในช่วงนั้น กลายมาเป็นเรื่องราวของความรัก ฮัตนัสถือเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเลยก็ว่าได้ ” หลังจากนั้นทีมผู้สร้างได้ติดต่อ สตีเฟน เจฟฟรีย์ นักเขียนบทภาพยนตร์มากความสามารถในการเข้ามารับหน้าที่เรียงเรียงและถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์ “พวกเราอยากที่จะร่วมงานกับเขามากครับ เพราะสตีเฟนคือนักเขียนที่มีฝีมือที่น่าทึ่งมาก” เบิร์นชไตน์กล่าว หลังจากนั้นพวกเขาจึงได้พบกับเจฟฟรีย์และนำเสนอเขาเกี่ยวกับเรื่องราวที่อยากจะเล่าในภาพยนตร์ ซึ่งเจฟฟรีย์ก็ใช้เวลาอีกไม่กี่วันต่อมาในการร่างพล็อตหลักของภาพยนตร์ โดยเข้าได้ใช้ปะสบการณ์ในอดีตของตนเองที่เคยพบกัยเจ้าหญิงไดอาน่ามาแล้วจริงๆนำมาถ่ายทอดลงในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ” ผมรู้ในทันทีตอนที่ผมได้มีโอกาสพบกับเธอว่า ข่าวทั้งหลายที่สื่อได้นำเสนอเกี่ยวกับเธอนั้น เป็นเรื่องที่ผิดพลาดทั้งหมด เจ้าหญิงไดอาน่าเป็นคนที่ฉลาดและสง่างาม ผมได้ใส่บทสนทนาระหว่างผมกับเธอลงไปในบทของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย”
การนำเสนอภาพที่สมจริง
ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งกับนักเขียนบทภาพยนตร์อย่างสตีเฟน เจฟฟรีย์ ในการถ่ายทอดเรื่องราวของบุคคลซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่โด่งดังที่สุดของโลก ” หนึ่งในความยากของมันก็คือการเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่มีพยานรู้เห็นครับ ทั้งฉากของการพูดคุยกัน 2 ต่อ 2 ซึ่งผมจำเป็นที่จะต้องใช้จินตนาการเป็นอย่างมากในการเขียนมันออกมา” และเนื่องจากทีมผู้สร้างต้องการที่จะสร้างเจ้าหญิงไดอาน่าออกมาให้ตรงกับความเป็นจริงที่สุด สิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องเร่งทำอย่างหนักก็คือการค้นคว้าข้อมูลและปรึกษาจากบุคคลมากมายที่เคยพบกับเธอจริงๆ ” เพราะไม่อาจรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงได้ในหลายๆเหตุการณ์ สิ่งที่เราทำก็คือการถ่ายทอดในสิ่งที่พวกเรารู้สึกความควรจะเป็นลงไปครับ” เบิร์นชไตน์กล่าว
นอกจากนี้เพื่อความสมบูรณ์แบบที่ยิ่งขึ้นของบทภาพยนตร์ เจฟฟรีย์ยังได้ค้นฟาหนังสือและบทความมากมายที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการอ่านประกอบ และหนึ่งในบทความที่มีความสำคัญในการอ้างข้อมูลถึงมากที่สุดก็คือ “Diana: Her Last Love”ซึ่งเขียนโดย เคท สเนล ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้กลายมาเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เบิร์นชไตน์กล่าวว่า “ส่วนสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้หลายส่วน เกิดขึ้นจากความช่วยเหลือของเธอจริงๆ” งานเขียนอีกเล่มที่ให้ข้อมูลที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ Diana ซึ่งเขียนโดย ซาร่า แบรดฟอร์ด ” หนังสือเล่มนี้ได้ให้คำอธิบายที่ยอดเยี่ยมที่สุดเกี่ยวกับบุคลิกของเจ้าหญิงไดอาน่าครับ ซึ่งเมื่อเราได้พบกับผู้ที่เคยใกล้ชิดกับเธอ พวกเขาต่างบอกว่า เราสามารถถ่ายทอดบุคลิกของเจ้าหญิงออกมาได้อย่างถูกต้อง ชัดเจนมาก”
การเฟ้นหาผู้กำกับ : โอลิเวอร์ เฮิร์ชบีเกล
ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดต่อมาก็คือการค้นหาผู้กำกับที่จะมารับหน้าที่ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ “พวกเราได้ทำการคัดเลือกผู้กำกับกันครับ และเราต้องระดมความคิดกันอยางมาก เพื่อให้การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง” ซึ่งทำให้ท้ายที่สุด ตัวเลือกที่พวกเขาเลือกก็คือ โอลิเวอร์ เฮิร์ชบีเกล ผู้กำกับฝีมือเยี่ยมที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง DOWNFALL โดยทีมผู้อำนวยการสร้างได้เห็นถึงความสามารถในการสร้างภาพยนตร์ของเขาจากผลงานหลายๆเรื่องที่ผ่านมา “เขาเคยสร้างภาพยนตร์ชิ้นเยี่ยมที่เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของบุคคลสำคัญมาแล้วซึ่งเจ้าหญิงไดอาน่าก็คือไอคอนที่สำคัญอีกคนหนึ่งเช่นกัน ผมคิดว่าเขาคือผู้กำกับที่สมบูรณ์แบบในการกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ” เบิร์นชไตน์กล่าว
โดยตัวของเฮิร์ชบีเกลเองนั้นพอจะรับรู้เรื่องราวของเข้าหญิงพระองค์นี้มาบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องที่เขารู้สึกสนใจนัก “ผมไม่ได้สนใจจะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเจ้าหญิงไดอาน่าในตอนแรกครับ จนกระทั่งมีคนบอกผมว่า สตีเฟน เจฟฟรีย์เป็นนักเขียนบทที่มีความสามารถมาก ผมจึงเริ่มอ่านและก็รู้สึกประหลาดใจสุดๆ แค่เพียง 10 หน้าผ่านไปเท่านั้นผมก็รู้สึกประทับใจมากๆ” นอกจากนี้ ยังมีบทของภาพยนตร์ในส่วนอื่นๆที่ถูกเพิ่มเติมเข้าไปด้วยความคิดเห็นของ เฮิร์ชบีเกลอีกด้วย “เขาอยากจะแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสื่อมวลชนและความปลอดภัย ซึ่งมันช่วยแสดงให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวของเจ้าหญิงไดอาน่าได้ดีครับ” เจฟฟรีย์กล่าว
เบิร์นชไตน์กล่าวถึงการได้ผู้กำกับสัญชาติเยอรมันมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก “ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีครับในการทำงานร่วมกับคนที่ไม่ได้มีความคิด หรือรับรู้ข่าวอะไรมาแบบที่ชาวอังกฤษได้รับ” ซึ่งเฮิร์ชบีเกลก็เห็นด้วยในเรื่องนี้มากและคิดว่ามันมีส่วนช่วนอย่างมากกับแนวทางในการสร้างภาพยนตร์ของเขา “ในฐานะชาวเยอรมัน ผมไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากเท่าไหร่ ซึ่งมันช่วยผมได้มากในการสร้างภาพยนตร์” นอกจากนี้เฮิร์ชบีเกลยังทำการค้นคว้าข้อมูอย่างละเอียดด้วยการอ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า รวมทั้งดูวิดีโอและปิดผนังห้องของเขาด้วยรูปภาพของเจ้าหญิงไดอาน่าจำนวนมาก ” ผมได้เจอและพูดคุยกับผู้คนจำนวนมากที่ใกล้ชิดกับเธอ ซึ่งกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์มากครับ ผมได้ดูรูปภาพต่างๆ เพื่อใช้ในการศึกษาลุค ท่าทางของเธอต่าง ภาพถ่ายช่วยเล่าเรื่องได้มากครับ ” ยิ่งไปกว่านั้นเฮิร์ชบีเกลยังได้รับโอกาสสำคัญในการอ่านจดหมายส่วนตัวต่างที่เจ้าหญิงไดอาน่าเขียนขึ้น ซึ่งกลายมาเป็นข้อมูลชั้นเยี่ยมสำหรับเขา “เธอเขียนจดหมายทั้งหมด 6 ฉบับต่อวัน เพื่ออธิบายถึงสถานการณ์ของเธอ ความคิดและความรู้สึก นอกจากนี้เธอยังใช้โทรศัพท์เยอะมาก เพื่อระบายความรู้สึกของเธอในช่วงนั้น” โดยความรู้สึกแรกที่ผู้กำกับคนนี้รู้สึกต่อเธอก็คือ เธอช่างเหมือนกับดาราภาพยนตร์สมัยก่อน” เธอมีบางอย่างที่เหมือนกับดาราดัง หรือสไตล์ไอคอนครับ เธอไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งนั่นทำให้เธอมีความเป็นมนุษย์และทำให้ผู้คนทั่วโลกรักเธอ” ซึ่งเมื่อยิ่งค้นคว้ามากขึ้นเท่าไหร่เฮิร์ชบีเกลก็ยิ่งรู้สึกว่า เขาตกหลุมรักเจ้าหญิงคนนี้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น และเธอได้กลายมาเป็นตัวละครที่น่าทึ่งและซับซ้อนมากที่สุดเท่าที่เขาเคยทำงานมา “เป็นคนที่มีความซับซ้อนมากครับ เริ่มจากการแต่งงานกับคนในราชวงศ์ ซึ่งส่งผลในสองทางที่เธอต้องเลือก คือ หนึ่งคุณอาจจะถูกทอดทิ้งและโดดเดี่ยว หรือ สอง คุณ ต้องเลือกที่จะทำตัวขบถๆดู” ซึ่งอย่างหลังก็คือสิ่งที่เจ้าหญิงไดอาน่าทำและทำให้ทุกคนชื่นชมในตัวเธอ “เธอเป็นจอมขบถ ที่เต็มไปด้วยความกลัวและรู้สึกไม่มั่นคงในเวลาเดียวกันครับ เธอคือนักสุ้และผมรักส่วนนั้น ย่าของฮัสนัตเปรียบเทียบเธอกับสิงโตสาว ซึ่งนั่นอธิบายความเป็นตัวเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
เกี่ยวกับภาพยนตร์
หัวใจหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการเปลี่ยนผ่านในช่วงชีวิตของเจ้าหญิงไดอาน่า จากผู้หญิงที่หดหู่ ซึมเศร้า สู่หญิงสาวที่ได้รับการเติมเต็มในชีวิตส่วนตัว มันคือเรื่องราวความรักที่แสนสวยงามระหว่างไดอาน่าและข่าน ” มันเป็นเรื่องสำคัญที่สมควรจะเปิดเผยให้ทุกคนรู้ เพราะเรื่องราวของพวกเขาทั้งคู่เป็นอะไรที่จริงใจ มันเหมือนกับเทพนิยายความรักของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากอีกวัฒนธรรมและต้องมาตกหลุมรักกับผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าโด่งดังที่สุดในโลก เป็นเรื่องราวที่สอนอะไรพวกเราได้หลายๆอย่างครับ ” ซึ่งเมื่อได้รับการถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์แล้ว ซึ่งที่ผู้สร้างตั้งใจก็คือการถ่ายทอดด้านที่แตกต่างกันออกไปของตัวละครตัวนี้ออกมาให้ได้มากที่สุด ทั้งความเป็นไอคอน ความโดดเดี่ยว ความวิตกกังวล ที่ทำให้ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งทีมผู้สร้าง พยายามที่จะถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านี้ออกมาให้ได้ ผ่านฉากต่างๆ “เราพยายามแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวของเธอ ผ่านช่วงเวลาส่วนตัวที่เธอใช้อยู่ในอพาร์ตเมนต์เพียงลำพัง ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับชีวิตของเธอที่ปรากฏสู่สาธารณะในฐานะเจ้าหญิง และเมื่อทันทีที่เธอได้พบข่านสิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไป” เฮิร์ชบีเกลกล่าว
เฮิร์ชบีเกลเชื่อว่าทั้งข่านและไดอาน่า รู้ในทันทีว่าพวกเขาทั้งคู่คือคู่แท้ของกันและกัน “พวกเขามีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนกัน ข่ายเป็นหมด ส่วนไดอาน่าก็มีพลังในการรักษาเยียวยาผู้คนอยู่ในตัวเธอ” ซึ่งเรื่องนี้ทีมผู้อำนวยการสร้างก็เห็นอย่างเดียวกัน “ฮัสนัตคือศัลยกรรมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคหัวใจผู้อุทิศตน ในขณะที่เจ้าหญิงไดอาน่าก็คือเจ้าหญิงที่แสนดี ที่คอยอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้คน นี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดพวกเขาให้เข้าหากัน ” น่าเสียดายที่เทพนิยายแห่งความรักครั้งนี้ต้องจบลงอย่างแสนเศร้า หลังจากนั้นฮัสนัสได้เปิดโรงพยาบาลขึ้นในปากีสถาน ที่ซึ่งถ้าหากเจ้าหญิงไดอาน่ายังมีชีวิตอยู่ เธอคงได้อยู่เคียงข้างเขาที่นั่นในฐานะภรรยาอย่างเต็มตัว
การตามหาผู้รับบทเจ้าหญิงไดอาน่า
นาโอมิ วัตต์ รับบท เจ้าหญิงไดอาน่า
ตัวเลือกแรกในการรับบทเจ้าหญิงไดอาน่าของทีมผู้สร้างทุกคน จะเป็นใครไปไม่ได้ยอกจากนักแสดงสาวชาวอังกฤษ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 2 ครั้ง อย่างนาโอมิ วัตต์ นักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่อง 21 GRAMS และ THE IMPOSSIBLE โดยผู้กำกับกล่าวว่า ” ผมไม่รู้ว่าใครที่จะสามารถรับบทนี้ได้นอกจากเธอ นาโอมิคือนักแสดงสาวที่มีความงดงามและโดดเด่น ” นาโอมิ วัตส์ ขึ้นชื่อในเรื่องความสามารถทางการแสดงขึ้นสุดยอดของเธอที่ให้ความรู้สึกที่สมจริง เบิร์นชไตน์กล่าวว่า “เธอเป็นนักแสดงสาวที่มีความกล้าหาญ ผลงานก่อนๆของเธอต้องใช้อารมณ์อย่างมากในการแสดงให้ออกมาดี พวกเรามั่นใจว่าเธอคือนักแสงดที่มีพรสวรรค์และความกล้า วึ่งสามารถจะเติมเต็มความสมบูรณ์ให้แก่ตัวละครนี้ได้ครับ” นอกจากนี้สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือความเป็นชาวอังกฤษขนานแท้ของเธอ “ นาโอมิเกิดที่องกฤษและมีความเหมาะสมกับบทบาทนี้ตั้งแต่ในดีเอ็นเอของเธอ เธอจดจำได้ดีถึงวันที่เจ้าหญิงไดอาน่าสิ้นพระชนม์ ซึ่งนั่นถือเป็นหนึ่งในเห็นการณ์ที่ส่งผลกระบทต่อจิตใจของเธอและชาวอังกฤษทุกคนมาก สิ่งเหล่านี้ทำให้นาโอมิ สามารถรับบทเป็นตัวละครนี้และสามารถถ่ายทอดึความเป็นเจ้าหญิงไดอย่างยอดเยี่ยมครับ”
แต่การตัดสินใจมารับบทนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักแสดงสาว โดยเมื่อทีมผู้สร้างได้ติดต่อให้เธอร่วมแสดง ก็ทำให้นาโอมิต้องคิดหนัก “ การที่เธอเป็นหญิงสาวที่โด่งดังที่สุดในโลก กลายมาเป็นแรงกดดันให้กับฉันมากค่ะ ทุกๆคนรู้จักเธอกันหมด ซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึกหนักใจว่าตนเองจะสามารถแสดงตัวตนของเจ้าหญิงในรูปแบบของฉันเองได้ไหม”
ซึ่งกลายเป็นหน้าที่ของทีมผู้สร้างในการหว่านล้อมให้เธอตัดสินใจรับบทนี้ให้ได้ และในที่สุดนาโอมิก็ตอบตกลง และเริ่มทำการศึกษาค้นคว้าเพื่อเตรียมตัวสำหรับการรับบทนี้ทันที ซึ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นเอามากๆ “ฉันรู้สึกทึ่งมากค่ะ กับเรื่องราวความรักที่งดงาม มันทำให้ฉันตระหนักว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ฉันไม่รู้เกี่ยวกับเจ้าหญิงไดอาน่า ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องราวความสัมพันธ์ที่จะกลายมาเป็นหัวใจหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ “ ในเวลาไม่นานต่อมานักแสดงสาวก็รู้สึกมั่นใจว่า บทบาทนี้คือทุกสิ่งที่เธอตามหามาตลอด “ ฉันอยากที่จะรับบทผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและต้องประสบกับปัญหาต่างๆ ซึ่งทังหมดนี้อยู่ในตัวของเจ้าหญิงไดอาน่า นี่คือบทบาทที่ดึงดูดใจฉันมากๆค่ะ”
การเตรียมตัวเพื่อรับบทเจ้าหญิง
นักแสดงสาวนาโอมิ วัตส์ ไม่เพียงแค่ทำการศึกษาค้นคว้าเพื่อรับบทนี้เท่านั้น แต่เธอยังต้องผ่านการฝึกฝนอีกหลายขั้นอีกด้วย “ฉันเตรียมตัวเพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ หนักกว่าเรื่องอื่นๆที่ฉันเคยทำมาค่ะ ” เฮิร์ชบีเกลได้ทำการส่งข้าวของต่างๆไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม หรือเสื้อผ้าแบบที่เข้าหญิงไดอาน่าใส่ไปให้นักแสดงสาว เพื่อค่อยๆเปลี่ยนแปลงสไตล์ของเธอทีละน้อย แต่สิ่งที่ท้าทายที่สุดก็คือเรื่องของเสียง “ ฉันใช้เวลาถึง 6 อาทิตย์ในการฝึกฝนอย่างหนะกทุกวันกับเพนนี ไดเออร์ (THE QUEEN, MY WEEK WITH MARILYN) รวมทั้ง วิลเลี่ยม โคนาเคอร์ (RAILWAY MAN, BILLY ELLIOT) เพื่อให้รายละเอียดทุกอย่างออกมาถูกต้องให้ได้มากที่สุด ” นาโอมิกล่าว ” เสียงของเจ้าหญิงไดอาน่า นับเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนจำได้อย่างแม่นยำ ในความอบอุ่นและมีเสน่ห์ของน้ำเสียง เมื่อแม่ของฉันได้ฟังเสียงหลังจากที่ฉันได้รับการฝึกฝนครั้งแรก เธอตกใจมาก จนอุทานว่า ‘ นาโอมิ แม่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกจะมีเสียงแบบนี้ได้จริงๆ!’
อีกหนึ่งแหล่งข้อมูลที่นักแสดงสาวใช้ในการค้นคว้สก็คือบทสัมภาษณ์ต่างๆ “ฉันอ่านมันแล้วอ่านมันอีก และยังฟังเทปบันทึกการสัมภาษณ์ตลอดช่วงเวลาก่อนหน้าและระหว่งการถ่ายทำค่ะ ซึ่งฉันใช้ทั้งหมดในการศึกษาการพูด บุคลิก ท่าทางต่างๆของเจ้าหญิง ” นอกจากนี้มันยังทำให้นาโอมิ ได้ทำความเข้าใจและสร้างความประทับใจให้เธอเป็นอย่างมาก กับบทสนทนาหลายๆช่วงในการสัมภาษณ์ “ ฉันคิดว่าคำตอบของเธอนั้นแสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะของเธอค่ะ ฉันไม่รู้ว่าฉันจะสามารถเป็นคนที่เข้มแข็งอย่างเธอได้หรือไม่ ฉันชอบที่เธอต่อสู้อย่างหนักเพื่อความสุขของเธอ มันเป็นอะไรที่น่าชื่นชมค่ะ”
สำหรับเรื่องของการแต่งหน้าทำผม ผู้ทีได้รับเครดิตไปเต็มๆสำหรับเรื่องนี้ก็คือ โนริโกะ วาตานาเบ้ (MEMOIRS OF A GEISHA, PORTRAIT OF A LADY)ผู้ซึ่งเข้ามาทำงานในเรื่องนี้ร่วมกับเฮิร์ชบีเกล โดยพวกเขาได้ใช้รูปถ่ายนับร้อยใบของเจ้าหญิงไดอาน่าในช่วงระหว่างปี 1996 -1997 เพื่อการอ้างอิงสำหรับงานนี้ “ เราไม่ได้อยากให้นาโอมิ ออกมาเหมือนกับเจ้าหญิงไดอาน่าราวกับฝาแฝดครับ ทั้งหมดคือการตีความของพวกเรา ”
ในการเตรียมตัวเรื่องของทรงผม ทีมงานได้เตรียมวิกผม ถึง 4 แบบเพื่อใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ” เราใช้วิก 4 แบบเพราะต้องการจะให้เห็นถึงความแตกต่างกันทั้งด้านความยาว และสี ระหว่างช่วงปี 1995 – 1997 ค่ะ” นาโอมิเล่าถึงรายละเอียดของการถ่ายทำ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญอีกอย่างก็คือเรื่องของจมูก “จมูกของฉันและเจ้าหญิงไดอาน่ามีความแตกต่างกันค่ะ เราได้ลองหลายวิธีในการเปลี่ยนแปลง จนตัดสินใจที่จะเพิ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทำให้ดั้งจมูกของฉันสูงขึ้นอีกนิดค่ะ” ยิ่งไปกว่านั้น นาโอมิวัตส์ ยังลงทุนโกนขนคิ้วของเธอเพื่อการแต่งหน้าที่สมจริงอีกด้วย “สิ่งที่สำคัญก็คือดวงตาของเธอค่ะ บางครั้งดวงตาของเธอจะแสดงให้เห็นความเขินอาย ในขณะที่บางครั้งมันแสดงให้เห็นบาดแผลต่างๆที่เธอแอบซ่อนไว้”
นอกจากนี้เพื่อความสมจริงที่มากขึ้น สิ่งที่นักแสดงสาวต้องทำการฝึกฝนเพิ่มเติบก็คือการเคลื่อนไหวของใบหน้า “ ใบหน้าของฉันมักจะเคลื่อนไหวไปทางขวา ในขณะที่เจ้าหญิงไดอาน่าจะเคลื่อนไหวไปด้านซ้ายค่ะ ซึ่งทำให้ฉันต้องทำการฝึกฝนใหม่ และมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากทีเดียว”
เพื่อการแปลงโฉมที่สมบูรณ์สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือเรื่องของเครื่องแต่งกาย ซึ่งหน้าที่นี้ตกอยู่ในมือของ จูเลียน เดย์ (RUSH, NOWHERE BOY) โดยสิ่งที่พวกขาให้ความสนใจก็คือ โทนสีน้ำเงิน ดำ เบจ และครีม ” ในช่วง 2-3 ปีสุดท้าย เจ้าหญิงไดอาน่ามีสไตล์ที่เรียบง่าย หรูหราและคลาสสิค เธอมักจะสวมใส่ชุดเดรสที่สบายๆ” จูเลียน เล่าว่า ” ผมพูดคุยกับนาโอมิ เกี่ยวกับสิ่งที่เหมาะกับลุคของเธอมากที่สุด ซึ่งผมสรุปออกมาได้เป็นสไตล์ที่สง่างามครับ” เพื่อการนี้ เขาได้ทำการติดต่อแบรนด์ชื่อดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ซาเช่ ดีไซเนอร์คนโปรดของเจ้าหญิงไดอาน่า วิคเตอร์ ชาง ชาค อาซากุรี่ เพื่อให้พวกเขาสร้างชุดรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับต่างๆที่เจ้าหญิงไดอาน่าเคยสวมขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อเตรียมการสำหรับฉากสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากการร่วมงานการกุศล รวมทั้งการให้สัมภาษณ์ในที่ต่างๆ
การค้นหาทีมนักแสดง
นาวีน แอนดริวส์ นักแสดงหนุ่มจากทางเหนือของประเทศอินเดีย คือตัวเลือกแรกที่ผู้สร้างภาพยนต์นึกถึง ในการรับบท ฮัสนัส ข่าน ” หลังจากที่ได้เห็นการแสดงของเขาใน THE ENGLISH PATIENT และ LOST พวกเราจึงมั่นใจในทันทีกับความสามารถทางการแสดงของเขา” เบิร์นชไตน์กล่าว นอกจากนี้เฮิร์ชบีเกลยังกล่าวอีกว่า หลังจากที่ได้เห็นการแสดงของเขาผมก็คิดในทันทีว่า “เราต้องการผู้ชายคนนี้ และพวกเราก็โชคดีอย่างมากครับ ที่ตารางงานของเขาว่างพอดีในช่วงของการถ่ายทำ “
ฝ่ายเขียนบทอย่างเจฟฟรีย์สารภาพว่าตัวละครของข่าน ถือเป็นบทบาทที่ยากที่สุดในการเขียนบรรยาออกมาในภาพยนตร์เรื่องนี้ “เขาเป็นคนที่ไม่อยากเด่น ผมรู้สึกชื่นชมเขามากครับ และหวังว่าเขาจะรู้สึกพอใจกับผลงานภาพยนตร์ของพวกเราเรื่องนี้” ซึ่งเป็นประเด็นที่ทีมผู้สร้างเห็นพ้องต้องกันว่าการรับบทเป็นตัสละครที่มีชีวิตอยู่จริงนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก “ ผมคิดว่านาวีนสามารถแสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของฮัสนัตได้ครับ ทั้งเสน่ห์ของเขา รวมทั้งความอิ่มเอมในชีวิต ”
หลังจากตัดสินใจที่จะเข้าร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ แอนดริวส์โชคดีเป็นอย่างมากในการได้พบปะและพูดคุยกับบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องและรู้จักกันนายแพทย์ชื่อดังตัวจริง ซึ่งได้ช่วยเหลือเขาในการทำความเข้าใจถึงความรู้สึกและตัวตนของนายแพทย์ฮัสนัตผู้นี้ ” ผมได้รู้ว่าเขาเป็นศัลยแพทย์ที่มีความอุทิศตนมากครับในการทำงาน นอกจากนี้เขายังเป็นสุภาพบุรุษมากๆอีกด้วย ”
ภาพยนตร์ DIANA ยังประกอบไปด้วยนักแสดงมากความสามารถอีกมากมาย อาทิ ดักลาส ฮอดจ์ (พอล เบอร์เรล) เจอรัลดีน เจมส์ (อูน่า ทอฟโฟโล) ชาล์ส เอ็ดวาร์ด (แพทริค เจพสัน) และ จูเลียต สตีเวนสัน(ซอนย่า) โดยในการคัดเลือกทีมนักแสดงเหล่านี้นั้น ผู้กำกับได้มีโอกาสในการได้พบกับบุคคลที่มีตัวตนจริงๆจากเนื้อเรื่อง ซึ่งช่วยพวกเขาได้อย่างมากในการคัดเลือกทีมนักแสดง ” สำหรับโจเซฟ นั้น รำการคัดเลือกโดยดูจากบุคลิกท่าทางและอารมณ์ความรู้สึก ในขณะที่เราคักเลือกชาล์ส เอ็ดวาร์ด โดยมิได้คำนึงถึงความคล้ายคลึงเรื่องหน้าตาเท่าไหร่ ” พ
เมื่อถึงคราวของตัวละครอย่างพอล เบอร์เรล แม้ว่าผู้คนจะเคยได้ยินข่าวในทางลบเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้มามาก แต่ผู้กำกับอย่างเฮิร์ชบีเกล ก็ตัดสินใจที่จะคัดเลือกนักแสดงที่มีความคล้ายคลึงกับตัวจริงให้ได้มากที่สุด ” ทุกคนน่าจะจำได้ว่าพอลเป็นคนอย่างไรในตอนนั้น เขารักเจ้าหญิงไดอาน่า และเป็นคนสำคัญของเจ้าหญิงไดอาน่า และเมื่อเธอเสียชีวิต เขาก็สูญสิ้นทุกอย่าง” ซึ่งในทุกสุด บทบาทนี้ก็ตกอยู่ในมือของดักลาส ฮอดจ์ นักแสดงเจ้าของรางวัลโทนี่ อวอร์ดในที่สุด ซึ่งนักแสดงฝีมือดีคนนี้ก็เปิดเผยว่า “ ผมรู้สึกไม่มั่นใจนัก ตอนได้ข้อเสนอเรื่องบทนี้ แต่เมื่องรู้ว่าผู้กำกับคือโอลิเวอร์ ผมจึงมั่นใจว่ามันจะต้องออกมาเยี่ยมครับ”
หลังจากนั้นฮอดจ์ได้ทำการศึกษาค้นคว้า และได้รู้ว่ามีหนังสือเป็นจำนวนมากที่เขียนเกี่ยกับเบอร์เรล รวมทั้งบทสัมภาษณ์และรายการโทรทัศน์ต่างๆ ” ผมดูมันทั้งหมดครับ และผมประทับใจในการอุทิศตัวของเขาต่อเจ้าหญิงไดอาน่า เขาเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดมาก “
แม้ว่าเจอรัลดีน เจมส์ (GIRL WITH THE DRAGON TATTOO, SHERLOCK HOLMES) จะไม่ได้มีรูปร่างหน้าที่ถอดแบบมาจากอูน่า ทอฟโฟโลทุกระเบียบนิ่ว แต่ทีมผู้กำกับต่างมั่นใจว่าเธอคือคนที่ใช่ ” เจอรัลดีนสามารถถ่ายทอดให้เห็นถึงความอบอุ่นและจิตวิญญาณของเธอได้เป็นอย่างดี “
ในขณะที่นักแสดงสาวจูเลียต สตีเวนสัน (TRULY, MADLY, DEEPLY, BEND IT LIKE BECKHAM) อีกหนึ่งในทีมนักแสดงได้เข้ามารับบทซอนย่า ตัวละครที่ไม่ได้มีบุคคลจริงเป็นแหล่งอ้างอิงแต่อย่างใด ” ตัวละครของเธอนั้นเป็นส่วนผสมของตัวตนเพื่อนของเจ้าหญิงไดอาน่าที่คอยอยู่ข้างเธอ ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษา นักบำบัดของเธอ” เบิร์นชไตน์กล่าว
เริ่มต้นการถ่ายทำ
การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ใช้ถึงกว่า 100 สถานที่และใช้เวลาทั้งหมดนาน 9 อาทิตย์ในประเทศโครเอเชีย ปรกีสถาน โมแซมบิก ลอนดอน รวมทั้งเมืองทางตอนเหนือของอังกฤษ เบิร์นชไตน์กล่าวว่า “ เราเริ่มต้นการถ่ายทำในโครเอเชีย ซึ่งเราถ่ายทำถึง 30 สถานที่ในช่วง 2 อาทิตย์แรกของการสร้างภาพยนตร์ครับ” และเมื่อกลับมาสู่ลอนดอน พวกเขายังได้ไปทำในสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิเช่น ไฮด์ปาร์ค พระราชวังเคนซิงตัน เป็นต้น หลังจากนั้น ทั้งทีมถ่ายทำได้ย้ายไปยังโมแซมบิค ที่ซึ่งพวกเขาใช้ในการถ่ายทำฉากโรงพยาบาลต่างๆ และยังได้ไปถ่ายทำที่ประเทศปากีสถานอีกด้วย
ซึ่งหน้าทีมสำคัญในการออกแบบงานสร้างนั้น อยู่ในความรับผิดชอบของ เคฟ ” มีฉากมากมายที่เกิดขึ้นนสถานที่และช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งพวกเราอยากที่จะทำให้ทุกๆอย่างออกมาเหมือนจริงอย่างสมบูรณ์แบบ” ซึ่งฉากเหล่านี้มีด้วยกันหลายฉาก อาทิเช่น ฉากโรงพยาบาลในแองโกลา ฉาดที่เจ้าหญิงไดอาน่าเสด็จไปประเทศบอสเนีย ฉากในงานการกุศล “เขาอยากที่จะใช้สถานที่จริงมากกว่าการสร้างฉากขึ้นมา ดังนั้นเราจึงต้องเดินทางไปยังหลายสถานที่เพื่อถ่ายทำ”
สิ่งที่ยากอีกประการหนึ่งในการถ่ายทำก็คือ ฉากสถานที่ส่วนตัวต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้รับผิดชอบอย่างเคฟ ต้องคิดหนัก ” ฉันต้องพยายามการออกแบบอพาร์ตเมนต์ ห้องครัว ห้องนั่งเล่นต่างๆค่ะ แม้เราจะรู้โครงสร้างคร่าวๆของห้องต่างๆ แต่ก็ยังมีรายละเอียดหลายส่วนที่ต้องจัดการ”
นอกจากนี้อีกฉากที่ท้าทายก็คือการถ่ายทำ พระราชวังเคนซิงตัน เพราะพวกเขาไม่สามารถถ่ายทำในสถานที่จริงได้
” เราไม่สามารถถ่ายทำในสถานที่จริงได้ครับ ซึ่งนันทำให้หลายๆอย่างยากขึ้นมาก มีแค่ประตูรั้วเท่านั้นที่เราสามารถใช้สถานที่จริงได้” ควินน์กล่าว
นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำฉากการวิ่งจ๊อกกิ้งภายในสวนของพระราชวังอีกด้วย ” ทางราชวงศ์ได้อนุญาตให้พวกเราถ่ายทำในสถานที่เหล่านี้บางส่วน มันยิ่งทำให้พวกเราอยากจะสร้างภาพยนตร์ออกมาให้ดีที่สุดครับ พพ”
ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ สิ่งที่ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์สนใจ ก็คือการถ่ายทอดภาพเหตุการณ์สำคัญในช่วง 2 ปีสุดท้ายของชีวิตเจ้าหญิงไดอาน่าให้ได้ ” มีฉากหลายฉากที่ผู้ชมต่างคาดหวังที่จะได้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้ ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือการสร้างฉากนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ที่จะช่วยเรียกความทรงจำจากเหตุการณ์เหล่านั้นกลับมาได้ โดยเฉพาะสำหรับประชาชนชาวอังกฤษครับ” เบิร์นชไตน์กล่าว ฉากเหล่านั้น อาทิเช่น การที่เจ้าหญิงไดอาน่าเฝ้าดูการผ่าตัดหัวใจของนายแพทย์ฮัสนัต ฉากที่เธอกอดหญิงชราในบอสเนีย การไปเยี่ยมเยียนผู้คนต่างๆ ฉากการพักผ่อนบนเรือของโดดี นอกจากนี้ อีกฉากหนึ่งที่สำคัญก็คือฉากของเจ้าหญิงกับบรรดาสื่อมวลชน ” ผมพยายามจะสร้างบรรยากาศแบบที่เราเห็นในสารคดีต่างๆเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ครับ ฉากของบรรดาปาปารัสซี่ที่คอยถ่ายภาพและตามติดเธอราวกับแมลง”
หนึ่งในฉากยากที่สุดในการถ่ายทำคงหนีไม่พ้น ฉากการให้สัมภาษณ์กับแบชเชียร์ ” มันกลายมาเป็นหนึ่งในฉากที่ยากที่สุดในการถ่ายทำครับ” นักแสดงสาวนาโอมิยังแสดงความเห็นอีกว่า “ ในฉากนี้ คุณอยากที่จะแสดงให้เหมือนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งเสียง แววตา ท่าทาง ฉันรู้สึกกังวลมากค่ะ กับการแสดงในฉากนี้” แต่นาโอมิก็ได้พิสูจน์ให้หลายๆคนเห็นถึงความสามารถในการแสดงของเธอ ” มันยากมากครับที่จะแยกให้ออกระหว่างเสียงของนาโทมิ และเสียงจากการสัมภาษณ์จริงๆ” ทีมผู้อำนวยการสร้างกล่าว “ความสามารถของเธอทำให้พวกเรารู้สึกทึ่งมากครับ เหมือนกับเห็นผีเลยล่ะ นึกว่าเจ้าหญิงไดอาน่ากลับมาจริงๆเสียอีก ”
ความทรงจำเกี่ยวเจ้าหญิงผู้เป็นที่รัก
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ่ายทอดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ที่ได้รับความสนใจจากสาธารณะชนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ตัวละครหลายๆตัวในเรื่อง ก็ยังเป็นบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ” พวกเราต้องระมัดระวังมากครับในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมา พวกเราทำการศึกษาค้นคว้ากันอย่างหนัก เพื่อให้ผลงานออกมาถูกต้องตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด” เบิร์นชไตน์กล่าว
นักแสดงสาวอย่างนาโอมิ ก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกของพระโอรสทั้ง 2 ของเจ้าหญิงไดอาน่า ” ฉันใส่ใจในความรู้สึกของพวกเขาค่ะ บัดนี้พวกเขาเติบโตขึ้นและทั้งคู่รู้ถึงความโด่งดังของแม่ของพวกเขา ฉันคิดว่าทุกคนมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับเธอ พวกเราจดจำได้ถึงดอกไม้จำนวนมหาศาลที่ถูกวางไว้ที่หลุมฝังศพ เธอคือแม่ที่ยอดเยี่ยม ผู้หญิงที่แข็งแกร่ง เธอคือคนที่เชื่อมสะพาน ลดความแตกต่างระหว่างเรื่องราวภายในรั้วของราชวงศ์กับสาธารณะชน พวกเราหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ จะทำให้ความรักของผู้คนที่มีต่อเธอยังคงอยู่ในความทรงจำตลอดไป”
ผู้อำนวยการสร้างยังกล่าวต่ออีกว่า “พวกเรารู้สึกว่าได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยพลัง เรื่องราว 2 ปีสุดท้ายในชีวิตของบุคคลสำคัญของโลก เราหวังว่าเราจะสามารถแสดงให้เห็นถึงแง่มุมอีกด้านในชีวิตของเธอ นี่จะกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกเกี่ยวกับเธอที่มีการสร้าง พวกเราคิดว่าเราทำมันออกมาได้อย่างดีและซื่อตรงที่สุดแล้วครับ”
นอกจากนี้ผู้กำกับ ยังหวังอีกว่าภาพยนตร์เรื่องจะสามารถมอบหลายสิ่งหลายอย่างให้แก่ผู้ชมได้ “มันคือเรื่องราวความรักอันแสนงดงาม ที่จะตั้งคำถามว่า ความรักคืออะไร? อะไรคือสิ่งที่เราต้องการในชีวิต? แม้มันจะเป็นเรื่องราวที่น่าเศร้า แต่ผมหวังว่ามันจะสอนอะไรเราได้ในหลายๆอย่างครับ”
ประวัตินักแสดง
นาโอมิ วัตส์ (รับบท เจ้าหญิงไดอาน่า)
นักแสดงสาวผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 2 ครั้ง จากผลงานเรื่อง 21 GRAMS และ ครั้งล่าสุด ในปี 2013 จากผลงานภาพยนตร์เรื่อง THE IMPOSSIBLE นอกจากนี้เธอยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ SAG Award รางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์ รวมทั้งได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปาล์มสปริงอีกด้วย
ผลงานเรื่องต่อไปของนาโอมิ คือ SUNLIGHT JR. ซึ่งเธอจะแสดงร่วมกับ แมต ดิลเลียน ซึ่งจะได้รับการฉายเป็นครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์ ทรีเบก้า รวมทั้งภาพยนตร์อย่าง TWO MOTHERS ผลงานของผู้กำกับ แอน ฟองเตน ซึ่งจะได้รับการฉายในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์
สำหรับผลงานเรื่องที่ผ่านมาของเธอนั้นมีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น J. EDGAR,DREAMHOUSE, FAIRGAME,YOU WILL,MEET A TALL DARK STRANGER, MOTHER AND CHILD,THE INTERNATIONA,KING KONG,WE DON’T LIVE HERE ANYMOREภาพยนตร์ที่เธอร่วมแสดงและอำนวยการสร้างเอง,THE ASSASSINATION OF RICHARD NIXON, I (HEART) HUCKABEES,STAY, THE RING ,LE DIVORCE, EASTERN PROMISES และ FUNNY GAMES
นาวีน แอนดริวส์ รับบท ฮัสนัต ข่าน
แอนดริวส์เป็นที่รู้จักจากบทบาทของเขาในซีรีย์ชื่อดัง LOST ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเขาชิงรางวัลสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากเวทีเอมมี่ อวอร์ดในปี 2005 และ รางวัลลูกโลกทองคำในปี 2006
สำหรบผลงานเรื่องอื่นๆของเขาประกอบไปด้วย ซีรีย์โทรทัศน์ THE BUDDHA OF SUBURBIAทางช่อง BBC
ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาคือ THE BRAVE ซึ่งแสดงร่วมกับโจดี้ ฟอสเตอร์ กำกับโดย นีล จอร์แดน, GRINDHOUSE ในปี 1996 เขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมากอย่าง THE ENGLISH PATIENT
ดักลาส ฮอดจ์ รับบท พอล เบอร์เรล
นักแสดงและผู้กำกับผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล โอลิวิเยร์ อวอร์ดถึง 4 ครั้ง เขาประสบความสำเร็จมากจากการแสดงละครเวลทีหลายเรื่อง อาทิเช่น NO MAN’S LAND,THE CARETAKER,PERICLES,BLINDED BY THE SON และTHE WINTER’S TALE
ฮอดจ์ได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดจากการแสดงของเขา ใน LA CAGE AUX FOLLES
เขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์คุณภาพหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น VANITY FAIR, ROBIN HOOD และภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายในเร็วๆนี้อย่าง SERENA
แคส อันวาร์ รับบท โดดี อัลฟาเย็ด
อันวาร์ คือนักแสดงที่เคยรับบทบาทมาแล้วถึง 80 บทในซีรีย์และภาพยนตร์มากมาย อาทิเช่น AIR FORCE ONE IS DOWN, NCIS: LOS ANGELES.,SOURCE CODE, SHATTERED GLASS, THE TERMINAL, NEVERLAND, THE FACTORY, AGENT OF INFLUENCE, และภาพยนตร์รางวัลอย่าง ARGO
นอกจากนี้เขายังได้ปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ของประเทศแคนาดาหลายรายการ เช่น THE PHANTOM,SUPERSTORM, THE TOURNAMENT ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเขาชิงรางวัล เจมินิ อวอร์ด