หลังจากรับราชการเป็นนักบินระดับท็อปของกองทัพเรือมานานกว่า 30 ปี พีท “มาเวอริค” มิทเชลล์ (ทอม ครูซ) กลับมาสู่ที่ซึ่งเหมาะสมกับเขา เขากลับมาเป็นนักบินทดสอบผู้กล้าหาญและหลีกหนีจากความก้าวหน้าทางการงาน เขากลับมาฝึกหน่วยท็อปกันเพื่อปฏิบัติภารกิจพิเศษในรูปแบบที่ยังไม่เคยมีนักบินที่ยังมีชีวิตอยู่เคยเห็นมาก่อน มาเวอริคต้องเผชิญหน้ากับเรือโทแบรดลีย์ แบรดชอว์ (ไมล์ส เทลเลอร์) หรือ “รูสเตอร์” ลูกชายของเรือโทนิค แบรดชอว์ หรือ “กูส” เพื่อนของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว เขาต้องพบกับอนาคตที่ไม่แน่นอนและอดีตที่ตามหลอกหลอน มาเวอริคต้องเผชิญกับความกลัวที่ฝังลึกอยู่ และปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ซึ่งภารกิจนี้ผู้ที่ได้รับเลือกให้ร่วมบินต้องเสียสละอย่างที่สุด
ภาพยนตร์กำกับโดย: โจเซฟ โคซินสกี้
บริหารงานสร้างโดย: ทอมมี่ ฮาร์เปอร์, แชด โอมาน, ไมค์ สเตนสัน, ดาน่า โกลด์เบิร์ก และดอน แกรนเจอร์
อำนวยการสร้างโดย: เจอร์รี่ บรักไฮเมอร์, ทอม ครูซ, คริสโตเฟอร์ แมคควอร์รี่ และเดวิด เอลลิสัน
จากคาแรกเตอร์โดย: จิม แคช และแจ็ค เอ็ปปส์ จูเนียร์
เขียนบทโดย: เออเรน ครูเกอร์, เอริค วอร์เรน ซิงเกอร์ และคริสโตเฟอร์ แมคควอร์รี่
นำแสดงโดย: ทอม ครูซ, ไมล์ส เทลเลอร์, เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่, จอน แฮมม์, เกลน พาวเวลล์, เลวิส พูลแมน และเอ็ด แฮร์ริส
#TopGun #TopGunMaverick
ชื่อภาพยนตร์: TOP GUN: MAVERICK
ชื่อไทย: ท็อปกัน มาเวอริค
วันที่เข้าฉาย: 25 พฤษภาคม 2565
จัดจำหน่าย: บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด
ข้อมูลงานสร้าง
หลังจากกว่า 30 ปีของการทำงานในฐานะหนึ่งในนักบินชั้นนำของกองทัพเรือ พีท “มาเวอริค” มิทเชลล์ (ทอม ครูซ) อยู่ในที่ที่เป็นของเขา เขาผลักดันขีดจำกัดของตัวเองในฐานะนักบินทดสอบที่กล้าหาญและหลีกเลี่ยงการเลื่อนตำแหน่งที่จะทำให้เขาต้องอยู่กับพื้นดิน เมื่อเขาพบว่าตัวเองกำลังฝึกกองทหารที่จบการศึกษาจากท็อปกันสำหรับภารกิจพิเศษในแบบที่ไม่เคยมีนักบินคนไหนที่มีชีวิตอยู่จะได้พบเห็นมาก่อน มาเวอริคก็ได้พบกับเรือเอกแบรดลีย์ แบรดชอว์ (ไมลส์ เทลเลอร์) รหัสเรียก: “รูสเตอร์” ลูกชายของเรือเอกนิค แบรดชอว์ หรือ “กู๊ส” เจ้าหน้าที่สกัดกั้นเรดาร์ ผู้เป็นเพื่อนผู้ล่วงลับไปแล้วของมาเวอริค
เมื่อต้องผจญกับอนาคตที่ไม่แน่นอนและเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายจากอดีตของเขา มาเวอริคก็ถูกดึงดูดเข้าสู่การเผชิญหน้ากับความกลัวที่ฝังลึกที่สุดของเขาเอง ซึ่งจบลงด้วยภารกิจที่เรียกร้องการเสียสละอย่างที่สุดจากผู้ที่ได้รับเลือกให้บิน
พาราเมาท์ พิคเจอร์สและสกายแดนซ์และเจอร์รี บรัคไฮเมอร์ ฟิล์มส์ ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยดอน ซิมป์สัน/เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ ภาพยนตร์โดยโจเซฟ โคซินสกี้และทอม ครูซ Top Gun: Maverick
กำกับโดยโจเซฟ โคซินสกี้ เรื่องราวโดยปีเตอร์ เคร็กและจัสติน มาร์คส์ บทภาพยนตร์โดยเอห์เรน ครูเกอร์และอีริค วอร์เรน ซิงเกอร์และคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ สร้างจากตัวละครโดยจิม แคชและแจ็ค เอพส์ จูเนียร์ อำนวยการสร้างโดยเจอร์รี บรัคไฮเมอร์, ทอม ครูซ, คริสศโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์, เดวิด เอลลิสัน ควบคุมงานสร้างโดยทอมมี ฮาร์เปอร์, ดานา โกลด์เบิร์ก, ดอน เกรนเจอร์, แช็ด โอมาน, ไมค์ สเตนสัน
Top Gun: Maverick นำแสดงโดยทอม ครูซ, ไมลส์ เทลเลอร์, เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี, จอน แฮมม์, เกลน พาวเวล, ลูอิส พุลแมน, ชาร์ลส์ พาร์เนล, บาเชียร์ ซาลาฮุดดิน, โมนิกา บาร์บาโร, เจย์ เอลลิส, แดนนี รามิเรซ, เกร็ก ทาร์ซาน เดวิส ร่วมด้วยเอ็ด แฮร์ริสและวัล คิลเมอร์
เกี่ยวกับงานสร้าง
มีบทพูดหนึ่งใน Top Gun: Maverick ที่อาจสรุปการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ดีกว่าบทพูดอื่นๆ มีการกล่าวอย่างเหมาะสมในฉากระหว่างฮีโรสองคนที่กลับมา ซึ่งก็คือมาเวอริค ตัวละครของทอม ครูซ และไอซ์แมน อดีตคู่ปรับผู้ผันตัวมาเป็นนักบินสนับสนุน ที่รับบทโดยวัล คิลเมอร์อีกครั้ง ทั้งคู่กำลังคุยกันถึงความหลงใหลที่พวกเขามีต่อการเป็นนักบิน โดยมองย้อนกลับไปว่าอาชีพการงานของพวกเขามีความหมายต่อพวกเขาอย่างไร “มันไม่ใช่สิ่งที่ผมเป็น” มาเวอริคบอกกับไอซ์แมน “แต่มันเป็นตัวผม”
ในวันศุกร์ที่ 7 กันยายน ปี 2018 ทอม ครูซได้เดินทางกลับมายังมิรามาร์ ฐานทัพทหารซึ่งมีการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องTop Gun เมื่อกว่า 33 ปีก่อนหน้านี้ ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1985 เขาไปที่นั่นเพื่อเข้ารับการอบรม ASTC (หลักสูตรการฝึกการเอาตัวรอดด้านการบิน) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้มีคุณสมบัติสำหรับซีเควนซ์การบินที่ยาวนานด้วยเครื่องบิน F/A-18 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่เขายืนยันว่าจำเป็นต่อการถ่ายทำ Top Gun: Maverick ซีเควลที่หลายคนรอคอยมายาวนาน
ขณะที่เขาเริ่มโปรแกรมการฝึกฝนที่ไม่เหมือนครั้งไหนๆ ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ตั้งข้อสังเกตถึงความคล้ายคลึงกันระหว่าง มาเวอริค และบุคคลที่เล่นเป็นเขา ชายสองคนผู้มักทดสอบขีดจำกัดของตนเองและอาชีพของตนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ชายทั้งสองคนนี้ยังไม่รังเกียจที่จะฝ่าฝืนกฎแปลกๆ ระหว่างนั้นด้วย หากนั่นหมายถึงการผลักดันฝีมือของพวกเขาให้ไกลกว่าที่เคยมีมา ด้วยการสำรวจความเป็นไปได้และขยายขอบเขตออกไปอีก
“ผมคิดเกี่ยวกับภาคต่อของ Top Gun มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา” ครูซกล่าวถึงการกลับมาในฐานะผู้อำนวยการสร้างและนักแสดงของบทที่อาจจะเป็นบทที่โด่งดังที่สุดของเขาในตอนนี้ “ผู้คนถามหาภาคต่อมานานหลายทศวรรษ หลายทศวรรษมากๆ และสิ่งที่ผมพูดกับสตูดิโอตั้งแต่แรกคือ ‘ถ้าผมจะทำสิ่งนี้ เราจะต้องถ่ายทำทุกอย่างจริงๆ ผมอยู่ในเครื่องบิน F/A-18 นั่นจริงๆ ดังนั้น เราจะต้องพัฒนากลไกสำหรับกล้องขึ้นมา และจะต้องมีอุโมงค์ลมและวิศวกรรมด้วย
ผมต้องใช้เวลานานมากกว่าจะคิดมันออกมาได้ และผมต้องการทำงานกับ เจอร์รี [บรัคไฮเมอร์] ผมไม่มีวันสร้างหนังเรื่องนี้โดยไม่มีเขาเด็ดขาด หลายปีที่ผ่านมามีคนพูดว่า ‘คุณถ่าย [หนังเรื่องนี้] ด้วย CGI ได้ไหม’ และผมก็พูดเสมอว่า ‘ไม่ นั่นไม่ใช่ประสบการณ์’ ผมบอกว่า ‘ผมต้องการค้นหาเรื่องราวที่ใช่และเราต้องการทีมที่ใช่ด้วย หนังเรื่องนี้เหมือนความพยายามจะยิงกระสุนด้วยกระสุน ผมไม่ได้ทำอะไรเล่นๆ’ น่ะครับ”
ปัจจัยของบรัคไฮเมอร์นั้นมีความจำเป็นต่อการทำความเข้าใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีความหมายอย่างไรต่อคนที่สร้างมันขึ้นมา และมันจะมีความหมายอย่างไรสำหรับผู้ชมที่จะได้สัมผัสมันในเร็วๆ นี้เช่นกัน ครูซอธิบายถึงบรัคไฮเมอร์ง่ายๆ ว่า “เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างในตำนาน หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างฮอลลีวูดผู้ยิ่งใหญ่” และเขาก็น่าจะรู้ เพราะใน Top Gun ต้นฉบับนั้นเองที่บรัคไฮเมอร์และหุ้นส่วนการอำนวยการสร้างผู้ล่วงลับของเขา ดอน ซิมป์สัน ผู้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ได้นำนักแสดงวัย 21 ปีในขณะนั้นที่ต้องการเรียนรู้ทุกอย่าง มาอยู่ภายใต้ปีกของพวกเขา
“ในตอนที่เราเริ่มทำงานในภาพยนตร์เรื่อง [ใหม่] นี้ เรากำลังเขียนบทกันอยู่ ผมมองไปที่เจอร์รี และผมก็รู้สึกเหมือนเป็นเด็กอีกครั้ง เหมือนผมกลับไปในปี 1985 ที่ได้ร่วมงานกับเขา [ในตอนนั้น] ผมต้องการเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการเป็นผู้อำนวยการสร้าง” ครูซจำได้ “และดอนกับเจอร์รี ในช่วงเวลาที่ผมขอมีส่วนร่วมกับบางสิ่ง เพื่อเข้าร่วมการประชุมเหล่านั้น ก็มีน้ำใจกับผมมาก และอย่างที่เราทุกคนรู้กัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นแบบนั้น Top Gun เป็นขั้นตอนต่อไปสำหรับผม [ในอาชีพการงานของผม] ผมเองก็เหมือนกับเจอร์รีที่แค่อยากจะสร้างเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมและสร้างความบันเทิงให้กับโลก นั่นคือจุดประสงค์ของผมครับ”
ในภาพยนตร์ต้นฉบับแม้ว่าครูซจะถ่ายทำในห้องนักบินของเครื่องบิน F-14 Tomcat แต่เพื่อนร่วมทีมของเขากลับไม่ประสบความสำเร็จในความพยายามของพวกเขา “เรามีนักแสดงคนอื่นๆบินอยู่บนนั้น” บรัคไฮเมอร์กล่าว “แต่น่าเสียดายที่ฟุตเตจของพวกเขาใช้ไม่ได้เพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ในการฝึกเพียงพอเมื่อเราพาพวกเขาขึ้นไปในอากาศไม่มีใครทำได้ดีเลยทอมเป็นคนเดียวที่เรามีฟุตเตจการบินที่ใช้ได้เรามีฟุตเตจของนักแสดงคนอื่นๆมากมายในอากาศที่ดวงตาของพวกเขาจะเหลือกไปมาคราวนี้ทอมช่วยให้นักแสดงทุกคนใน Top Gun: Maverick ที่คุ้นเคยกับพื้นฐานและกลไกของการบินและแรง G-force เนื่องจากการฝึกทั้งหมดที่พวกเขาทำไว้ล่วงหน้าหลายเดือนต่างจากในภาคแรกนักแสดงของเราต่างก็อยู่ในในห้องนักบินของเครื่อง F/A-18 ที่กำลังบินจริงๆและพวกเขาก็แสดงและพูดบทของพวกเขาเองครับ”
ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการเพิ่มความสมจริงด้านการบินเท่านั้น แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของการขยายปัจจัยหลายประการที่ทำให้ Top Gun ภาคต้นฉบับโดนใจทุกคนเหลือเกิน “ในหนังเรื่องนี้ เราต้องการให้มีกลุ่มที่ฝีมือเก่งกาจขึ้นและสร้างความรู้สึกของการมีนักบินรอบๆ ตัวมาเวอริคมากขึ้น” คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ มือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้าง เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Usual Suspects ผู้ร่วมงานกับครูซตั้งแต่เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Valkyrie ในปี 2008 และได้เขียนบทและกำกับเขาในภาพยนตร์เรื่อง Jack Reacher และภาพยนตร์ Mission: Impossible สองภาค และอีกสองภาคที่กำลังสร้างอยู่ กล่าว
“สิ่งหนึ่งที่ผมพูดกับทอมตั้งแต่ช่วงแรกๆ คือ Top Gun ต้นฉบับไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับมาเวอริคเท่านั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับมาเวอริคกับกู๊สเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม” แม็คควอร์รีย์ตั้งข้อสังเกต “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมของนักบินเหล่านี้และการแข่งขันที่พวกเขาทั้งหมดมีกับกันและกัน และเราต้องการที่จะนำสิ่งแบบนั้นเข้ามา ด้วยเหตุนี้ นักบินทุกคนในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีรายละเอียดมากขึ้น มันเป็นหนังที่ลึกซึ้งกว่า และก็ยังเป็นผืนผ้าใบที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วย รายละเอียดต่างๆ ของนักบินทุกคนช่วยให้เราเข้าใจว่าตอนนี้มาเวอริคเป็นคนแบบไหน เห็นได้ชัดว่าหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นมากกว่า 30 ปีให้หลังและเราไม่ต้องการหยุดหนังเรื่องนี้และมองย้อนกลับไปว่า 30 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เราอยากให้คุณสัมผัสได้ถึงความหลังที่เกิดขึ้นระหว่างที่คุณกำลังดูหนังเรื่องนี้อยู่น่ะครับ”
โจเซฟ โคซินสกี้ ผู้กำกับ Top Gun: Maverick (จาก Tron: Legacy, Oblivion, Only The Brave) ยังคงจำได้ถึงครั้งแรกที่เขาได้ดู Top Gun ต้นฉบับที่โรงภาพยนตร์ออร์เฟียมในมาร์แชลล์ทาวน์ รัฐไอโอวาได้อย่างชัดเจน เขาเพิ่งจะอายุ 12 ขวบ และคิดว่ามาเวอริคเป็นหนึ่งในตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นบนจอเงิน เขาได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องจักรล้ำสมัยทั้งหมดที่ปรากฏ ถึงขั้นที่มันทำให้เขาไปศึกษาด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศและวิศวกรรมเครื่องกลที่สแตนฟอร์ดก่อนจะเปลี่ยนไปเข้าสู่โลกแห่งการสร้างภาพยนตร์แทน
ซีเควนซ์แรกที่โคซินสกี้ถ่ายทำ Top Gun: Maverick ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดของความหลงใหลทั้งสองอย่างของเขา มันเป็นช็อตการติดตามความเร็วสูงของทอม ครูซ บนรถจักรยานยนต์คาวาซากิ เขาสวมแจ็กเก็ตหนังของมาเวอริคและแว่นกันแดดทรงนักบิน แข่งกับเครื่องบิน F/A-18 ไปตามรันเวย์ ตัดกับแสงอาทิตย์อัศดงแบบคลาสสิกของโทนี สก็อต “ในบางแง่มุม Top Gun เป็นหนังแฟนตาซีครับ” โคซินสกี้พูดถึงผลงานต้นฉบับอันเป็นที่รักของสก็อต “พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเสมอ มีวอลเลย์บอลที่ชายหาด และตู้เพลงก็เต็มไปด้วยท่วงทำนองคลาสสิก หนังภาคแรกนั้นงดงามมาก โทนีกำลังสร้างหนังบล็อกบัสเตอร์ แต่เขาถ่ายทำมันเหมือนหนังอาร์ต ทั้งการจัดแสง ฟิลเตอร์ไล่ระดับ การจัดเฟรม มีบางช่วงเวลาในหนังเรื่องนี้ที่แสดงความเคารพต่อสไตล์หนังของโทนี มีบางวันที่คุณจะต้องหยิกตัวเอง เหมือนอย่างบนรันเวย์นั้นที่มีทอม จักรยานยนต์ และเครื่องบินเจ็ทครับ”
เช่นเดียวกับสิ่งดีๆ หลายอย่าง การมีส่วนร่วมในการถ่ายทำของโคซินสกี้เริ่มขึ้นที่ปารีส “ผมบินออกไปที่นั่น ซึ่งทอมกำลังถ่ายทำ Mission: Impossible – Fallout อยู่” โคซินสกี้เล่าถึงช่วงเวลาที่เขามีส่วนร่วมในซีเควลภาคนี้ สามทศวรรษหลังจากที่ตกหลุมรักโลกใบนี้ “ผมมีเวลา 20 นาทีกับทอมเพื่อนำเสนอมุมมองผมที่มีต่อเรื่องนี้ และผมรู้ว่าจะต้องมีข้อกำหนดสองประการ ข้อแรก เรื่องราวต้องสะเทือนอารมณ์อย่างสุดซึ้ง ข้อสอง หนังเรื่องนี้ต้องถ่ายทำจริง ธีมที่ทุกคนจำได้จากภาคแรกและเป็นจริงในหนังเรื่องนี้ด้วยคืออย่าทิ้งนักบินสนับสนุนของคุณ แนวคิดเรื่องนักบินสนับสนุน – ภราดรภาพ, มิตรภาพ, ความภักดี – ต้องเป็นแก่นสำคัญของเรื่องราวของเรา ในขณะเดียวกัน เราก็กำลังเล่าเรื่องใหม่ เป็นเรื่องราวต่อเนื่องของมาเวอริค แต่เราได้นำมันมาสู่ยุคปัจจุบัน เขาถูกเรียกกลับมาที่ท็อปกันเพราะมีภารกิจเฉพาะที่ต้องใช้ทักษะของนักบินที่พิเศษมาก ภารกิจในแบบที่ไม่ค่อยมีการบินและเกี่ยวข้องกับการบินในระดับความสูงที่ต่ำมาก มันมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้ทักษะในระดับสูงมากๆ มาเวอริคเป็นนักบินประจำการคนเดียวที่เคยบินภารกิจแบบนี้มาก่อน ดังนั้น กองทัพเรือจึงดึงตัวเขากลับไปที่ ท็อปกัน ไม่ได้เพื่อให้เขาบิน แต่เพื่อสอนกลุ่มนักบินหนุ่มว่าจะทำมันได้อย่างไร”
หัวใจของเรื่องราวใหม่นี้คือความขัดแย้งระหว่างมาเวอริคและหนึ่งในนักบินหนุ่มของท็อปกัน เรือเอกแบรดลีย์ “รูสเตอร์” แบรดชอว์ (แสดงโดยไมลส์ เทลเลอร์) มาเวอริคและรูสเตอร์มีความหลังด้วยกันอย่างลึกซึ้ง เพราะรูสเตอร์เป็นลูกชายของเพื่อนสนิทผู้ล่วงลับของมาเวอริคและเจ้าหน้าที่สกัดกั้นเรดาร์ เรือเอกนิค “กู๊ส” แบรดชอว์ ผู้ซึ่งเสียชีวิตในอุบัติเหตุการฝึกที่บังคับให้นักบินทั้งสองดีดตัวออกจากเครื่องบิน F- 14 Tomcat ในฉากจากภาพยนตร์ต้นฉบับที่บาดหัวใจผู้ชมรุ่นนั้นจนยังมีคนพูดถึงมันให้ครูซฟังมาถึงตอนนี้
เมื่อเราพบกับมาเวอริคอีกครั้ง เขากำลังทำงานเป็นนักบินทดสอบ ผลักดันขีดจำกัดของเครื่องบินขับไล่ที่ล้ำสมัยอันทรงพลังและบางครั้งก็เจ้าอารมณ์สำหรับกองทัพเรือ “มันสำคัญมากสำหรับเราที่มาเวอริคจะยังคงอยู่ในกองทัพเรือ กองทัพเรือเป็นสิ่งเดียวที่เขาเคยรู้จักจริงๆ กองทัพเรือคือครอบครัวของเขา” แม็คควอร์รีย์กล่าว “ในเวลาเดียวกัน มาเวอริคอยู่ในกองทัพเรือมานานกว่า 30 ปีแล้ว การเป็นนักบินทดสอบได้ตอบคำถามที่ว่าใครคนหนึ่งจะอยู่ในกองทัพเรือได้นานขนาดนี้และยังคงอยู่ที่เดิมได้ยังไง เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมาเวอริคคือการที่เขามักจะหาวิธีที่จะบินได้เสมอ เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นเพียงเพราะเขาเป็นนักบินที่ยอดเยี่ยม แต่ด้วยอุบายและความเฉลียวฉลาดบางอย่าง เพราะระบบมักจะหาทางผลักมาเวอริค ให้พ้นจากงานอยู่เรื่อยๆ และมาเวอริคก็หาวิธีหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ”
ในขณะเดียวกัน บนพื้นดิน มาเวอริคก็เข้ามาในชีวิตของเพ็นนี เบนจามินอีกครั้ง เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆ จะจดจำชื่อของเธอได้ว่าถูกกล่าวถึงในภาพยนตร์ต้นฉบับ และปัจจุบันก็ถูกเนรมิตชีวิตโดยเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี นักแสดงรางวัลออสการ์ เพ็นนีเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวและเจ้าของสโมสรนักบิน เดอะ ฮาร์ด เด็ค เธอเป็นคน “สดใส เป็นอิสระ และมีความสุข” คอนเนลลีกล่าว โดยเธอได้กลับมาร่วมงานกับโคซินสกี้อีกครั้งหลังจากร่วมงานกับเขาใน Only The Brave เช่นเดียวกับเทลเลอร์ “เธอเป็นกะลาสีเรือชั้นยอด เธอชอบการแข่งขันและรักทะเล แต่เธอได้พบที่ปักหลักในชุมชนและครอบครัวของเธอ เพ็นนีและมาเวอริคมีความรักช่วงสั้นๆ เมื่อพวกเขายังเป็นหนุ่มสาวกัน และเคยจุดไฟความสัมพันธ์ใหม่สองสามครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าสิ่งต่างๆ จะจบลงด้วยดีเสมอ แต่พวกเขาก็มีการเลิกรากันมากพอจนเธอตั้งใจที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก แต่เรารู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่บางทีพวกเขาอาจจะปรากฏตัวในชีวิตของกันและกันในเวลาที่เหมาะสมน่ะค่ะ” คอนเนลลีกล่าว ดังที่บรัคไฮเมอร์กล่าวถึงความสัมพันธ์นี้ว่า “ฉากของเจนนิเฟอร์กับทอมนั้นวิบวับด้วยความเฉลียวฉลาดและตึงเครียดในขณะที่คนสองคนที่รักอิสระมากได้กลับมาพบกันอีกครั้งและทำความรู้จักกันอีกครั้ง”
สำหรับโคซินสกี้แล้ว “Top Gun ต้นฉบับเป็นดรามาที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในหนังแอ็กชัน และผมต้องการสานต่อแนวคิดนั้นต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือแก่นทางอารมณ์ของหนังเรื่องนี้ เรื่องราวของมาเวอริคที่กลับมาสานสัมพันธ์กับลูกชายของกู๊ส นักบินสนับสนุนของเขา และเฝ้าดูความสัมพันธ์ที่แตกสลายไปตามกาลเวลากลับมาประสานกันอีกครั้ง แต่มันก็ยังเกี่ยวกับตำแหน่งแห่งที่ของมาเวอริคในอีก 35 ปีต่อมา ผมรู้สึกทึ่งกับแนวคิดที่เขาอยู่บนชายขอบของกองทัพเรือ ในโลกของการทดลอง เพื่อทดสอบเครื่องบินที่ผู้คนไม่รู้ว่ามีอยู่ ผมชอบแนวคิดเรื่องการตามหามาเวอริคจากด้านนอก แล้วก็เรียกตัวเขาให้กลับไปหาท็อปกันอีกครั้งและต้องเผชิญหน้าและรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับตัวละครจากภาพยนตร์ต้นฉบับอีกครั้ง มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นหนทางที่ถูกต้องในการกลับเข้าสู่โลกใบนี้น่ะครับ”
แน่นอนว่ามาเวอริคได้สร้างความบาดหมางเอาไว้กับหลายคนสมัยที่เขาอยู่ในกองทัพเรือ “อนาคตกำลังเกิดขึ้น แต่นายไม่ได้อยู่ในนั้น” พลเรือตรีเชสเตอร์ “แฮมเมอร์” เคน (เอ็ด แฮร์ริส) บอกเขาอย่างมั่นใจ แต่มาเวอริคก็มีเพื่อนอยู่ในตำแหน่งสูงเช่นกัน อย่างน้อยก็ไอซ์แมน ผู้ที่ปัจจุบันเป็นพลเรือเอกระดับ 4 ดาว และรู้ว่ามาเวอริคเป็นนักบินเพียงคนเดียวที่มีความเชี่ยวชาญและกล้าหาญที่จำเป็นต่อการฝึกกองกำลังพิเศษนี้เพื่อทำภารกิจสำคัญนี้ให้สำเร็จ
“ใน Top Gun ภาคแรก ผมอยากให้วาลรับบทไอซ์แมนเหลือเกินครับ” ครูซเล่า “แต่ตอนแรกเขาไม่อยากทำเพราะเขากำลังแสดงหนังของตัวเอง แต่เขาสมบูรณ์แบบมากสำหรับบทนั้น โทนีก็เลยต้องไปตามตื๊อเขา อันที่จริงผมจำได้ว่าโทรหาตัวแทนของผมในเวลานั้น ซึ่งผมคิดว่าเธอเป็นตัวแทนของวาลด้วย ผมพูดว่า ‘เอาล่ะ ผมต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้วาลมาเล่นหนังเรื่องนี้’”
คิลเมอร์แสดงความเฉยเมยอย่างตรงไปตรงมา: “ผมเคยเล่นเป็นแต่พระเอก แม้แต่ในละครเวทีและในหนังสองเรื่องที่ผมแสดง” เขากล่าว “แต่โทนีกระตือรือร้นมาก ซิมป์สันและบรัคไฮเมอร์ก็เหมือนกัน ไม่มีใครดีไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว โทนี ดอน และเจอร์รีเหมือนอย่างที่คนพูดไว้เลย พวกเขาทั้งสนุกสนานและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีความสุขจริงๆ!” และสำหรับครูซ ช่วงเวลาที่คิลเมอร์ตอบตกลงในที่สุดคือสิ่งที่เขาจะจดจำไว้ตลอดไป “ในที่สุด เมื่อวาลตัดสินใจตอบตกลง ผมจำได้ว่าพวกเราสี่คนในออฟฟิศ ทั้งผม เจอร์รี ดอน และโทนี ทุกคนต่างก็ไฮไฟว์กัน!” เขาพูด “ในเรื่องนี้ ผมต้องการให้วาลอยู่ในนั้นและเขาก็ต้องการจะอยู่ในนั้น เขาพูดทางอินเทอร์เน็ตว่า ‘ผมพร้อมแล้วสำหรับ Top Gun’! ผมต้องการให้หนังเรื่องนี้แสดงถึงความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ของพวกเขา และการได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้งก็พิเศษมาก การที่ผมกับวาลได้เข้าฉากด้วยกันอีกครั้ง แค่ได้นั่งอยู่กับเขาก็ทำให้ผมรู้สึกอ่อนไหวจริงๆ ครับ”
และมันก็สนุกเช่นกัน “เราหัวเราะเหมือนเด็กๆ หลังจากเทคส่วนใหญ่” คิลเมอร์กล่าวเสริม “เราไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว และมันก็น่าทึ่งมากที่เราต่อติดกันได้เร็วขนาดนี้ นอกจากนี้ บางที ความรู้สึกอิ่มเอมใจที่ตัวละครของเราเป็นเพื่อนกันในตอนนี้ก็ทำให้เราก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหลือเกิน ทอมนำสิ่งนั้นในตัวผู้คนออกมาครับ”
ความสัมพันธ์ระหว่างมาเวอริคและไอซ์แมนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ Top Gun: Maverick แต่ความสัมพันธ์ของเขากับตัวละครหลักอื่นๆ ในวงโคจรของเขาก็เช่นกัน “ความสัมพันธ์ระหว่าง มาเวอริคและไอซ์แมน, มาเวอริคและฮอนโดะ, มาเวอริคและไซโคลนและวอร์ล็อค และแน่นอนกับเพ็นนี ความสัมพันธ์เหล่านั้นทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาในเรื่องราวเพื่อให้คุณรู้สึกถึงชีวิตของตัวละครตัวนี้นันบตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่คุณเห็นเขา ” แม็คควอร์รีรย์กล่าว
เมื่อถามบรัคไฮเมอร์ว่าคุณสามารถสร้างหนัง Top Gun โดยไม่มีทอม ครูซได้หรือไม่ และคำตอบของเขาก็ชัดเจน “ไม่ คุณทำไม่ได้ ทอมคือมาเวอริคและมาเวอริคก็คือ Top Gun มาเวอริคสืบสานตำนานนั้น และทอม ครูซสืบสานตำนานนั้นครับ” แต่ผู้ที่รับบทนี้ก็กล่าวว่า ยังมีส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่ง “หนังเรื่อง Top Gun คงจะไม่ใช่ Top Gun ถ้าไม่มีเจอร์รี บรัคไฮเมอร์” ครูซ กล่าว “และการได้ร่วมอำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้กับเจอร์รีในตอนนี้… หนังเรื่อง Top Gun มันพิเศษสุดครับ คุณจะสัมผัสได้ถึงแรงบันดาลใจของโทนี สก็อตในหนังเรื่องนี้ เราไม่ได้เลียนแบบภาพยนตร์ของโทนี สก็อตต์ นี่ไม่ใช่อัลบัมคัฟเวอร์ของ Top Gun แต่มันเล่นอยู่ในโลกเดียวกันครับ”
เมื่อพูดถึงอัลบัม Top Gun: Maverick ก็มีบางสิ่งที่พิเศษมากในด้านดนตรีเช่นกัน “เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นสัญลักษณ์ครับ” ครูซกล่าว “ในตอนที่เรามองหาเสียงของหนังเรื่องนี้ เราก็ได้ทำงานร่วมกับ ฮันส์ [ซิมเมอร์] และฮาโรลด์ ฟอลเตอร์เมเยอร์ก็มีส่วนร่วมด้วย เรารู้จักทำนองนั้น เรามีทำนองนั้น แต่การค้นหาดนตรี… มีช่วงเวลามหัศจรรย์ที่ โจ, เจอร์รี, แม็คคิว [ชื่อเล่นของครูซสำหรับแม็คควอร์รีย์], เอ็ดดี้ [แฮมิลตัน] มือลำดับภาพของเรา เราทุกคนต่างก็ทำงานอยู่ในอังกฤษ และฮันส์ก็พูดว่า ‘มาที่ห้องดนตรีของผม’ เราเข้าไปที่นั่นแล้วพูดว่า ‘มีดนตรีจากเลดี้กาก้า’ และเขาก็เล่นเพลงของเธอ มันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษสุดนั่นครับ”
ด้วยความต้องการที่จะถ่ายทอดทั้งความรักระหว่างมาเวอริคและเพ็นนีและความรักที่มีต่อการบินด้วย ผู้สร้างภาพยนตร์ทุกคนต้องการให้เลดี้ กาก้าใส่จิตวิญญาณของเธอลงในเพลงประกอบภาพยนตร์และพวกเขารู้สึกยินดีกับผลลัพธ์ที่ได้ “Hold My Hand” ที่ถูกเขียนขึ้นสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ ถูกเปิดแบบเต็มรูปแบบในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่จังหวะของเพลงนี้ก็ถูกร้อยเรียงอยู่ในเรื่องตลอด “กาก้าเป็นอัจฉริยะ เป็นผู้ยิ่งใหญ่” ครูซกล่าว “ผมโชคดีที่ได้เห็นเธอแสดงสด เรารู้ในตอนนั้นว่านี่คือตอนจบสำหรับหนังของเรา มันเป็นแรงบันดาลใจในการตัดต่อ มันเป็นแรงบันดาลใจให้กับโทนของสิ่งที่เราสามารถเล่นได้ ณ จุดนั้น แล้วมันก็สอดคล้องไปกับสิ่งที่เราต้องการ มีบางช่วงที่คุณจะได้ยินเพลงหนึ่งๆ ในหนังเป็นครั้งแรก และคุณรู้ทันทีว่า ‘ใช่เลย!’ และนี่ก็เป็นหนึ่งในช่วงเวลาเหล่านั้น”
เช่นเดียวกับภาพยนตร์ทุกเรื่อง Top Gun: Maverick เป็นผลผลิตจากชิ้นส่วนและผู้คนของมัน “และเรามีสิ่งที่ดีที่สุดในแง่ของทั้งสองอย่าง” บรัคไฮเมอร์กล่าว “หนังเรื่องนี้มีเรื่องราว โทน ความรู้สึก และลุคที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันก็ยังคงสานต่อสิ่งที่เราเริ่มต้นในหนังภาคแรกด้วย แต่ผู้ชมก็จะได้เห็นมุมมองว่าการอยู่ในห้องนักบินของเครื่องบินลำใดลำหนึ่งนั้นเป็นอย่างไร ในแบบที่ไม่มีหนังเรื่องไหนสามารถทำได้ รวมถึง Top Gun ภาคแรกด้วย เราให้คุณไปอยู่ในนั้นกับมาเวอริคครับ”
ผู้อำนวยการสร้าง เดวิด เอลลิสันอธิบายว่า “Top Gun เป็นหนังที่จุดประกายความหลงใหลในการบินมาตลอดชีวิตของผม และเหมือนกับหลายๆ คน หนังเรื่องยังมีผลกระทบต่อชีวิตผมอย่างลึกซึ้งด้วย หนังเรื่องนี้เป็นจดหมายรักแท้ถึงการบิน การได้เป็นส่วนหนึ่งของ Top Gun: Maverick ทำให้ผมได้เฉลิมฉลองสองสิ่งที่ผมชอบอย่างแท้จริง นั่นคือความหลงใหลในการบินและการทำงานเพื่อนำเสนอหนังขนาดใหญ่ ที่ผมหวังว่าจะถูกใจผู้ชมในแบบที่ยั่งยืนและทรงอิทธิพลครับ”
ครูซกล่าวว่าการบินเครื่องบินมี “ความยิ่งใหญ่และสวยงาม” “มันเป็นทั้งการใช้และท้าทายธรรมชาติ” เขากล่าว “และการรับบทมาเวอริคอีกครั้งในช่วงชีวิตที่แตกต่างของเขาก็เป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อสำหรับผม มาเวอริคยังคงเป็นมาเวอริค เขายังคงต้องการบิน Mach 2 อย่างมุทะลุ แต่คุณเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับมาเวอริค ความกดดันที่เขาต้องสูญเสียเพื่อนรักไป ความรับผิดชอบที่เขารู้สึกเกี่ยวกับสิ่งนั้น และวิธีที่เขาแบกรับความรู้สึกนั้นไปกับเขาด้วย และเหตุการณ์นั้นได้เปลี่ยนชีวิตของเขาและรูสเตอร์ไปตลอดกาลได้อย่างไร มาเวอริครักรูสเตอร์เหมือนเป็นลูกชายคนหนึ่ง หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับครอบครัวและเกี่ยวกับมิตรภาพและการเสียสละ มันเกี่ยวกับการไถ่บาปและค่าตอบแทนของความผิดพลาดครับ”
และอารมณ์นั้นไม่ได้อยู่แค่ในจอ แต่ยังอยู่ในเบื้องหลัง ในการเดินทางที่นำผู้สร้าง Top Gun: Maverick ทั้งย้อนเวลากลับไปและเดินหน้าไปสู่พรมแดนใหม่ในการสร้างภาพยนตร์ “สิ่งที่เราประสบความสำเร็จด้วยซีเควนซ์ทางอากาศเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างแท้จริง” ครูซกล่าว “เราได้ฝึกนักแสดงให้สามารถบินและแสดงในเครื่อง F/A-18 ของจริงได้ และในการทำเช่นนั้น เราได้นำนักบินรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก [จากกองทัพเรือสหรัฐฯ] มาสอนเกี่ยวกับหนัง เพราะนักบินและนักแสดงต้องทำงานเป็นทีม นี่คือความซับซ้อนของซีเควนซ์ทางอากาศ ไม่มีใครเคยทำสิ่งนี้มาก่อนเลย”
แต่สิ่งที่ครูซรู้สึกไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจเท่านั้น Top Gun: Maverick ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ แต่เป็นจุดหมายปลายทาง มันเป็นจุดสุดยอดของทุกสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาตลอด 40 ปีในวงการนี้ (Endless Love ผลงานเรื่องแรกของครูซ เข้าฉายในวันที่ 17 กรกฎาคม ปี 1981) นี่เป็นเรื่องราวที่เขาสร้างขึ้น และเป็นจดหมายรักถึงการบินอย่างแน่นอน แต่มันก็เป็นจดหมายรักถึงภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน
“ทอมเป็นนักบินที่มีประสบการณ์มาก นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาอย่างยากลำบากในหนัง [อีกเรื่อง] ที่เราทำงานร่วมกัน” แม็คควอร์รีย์ ผู้ที่ใน Mission: Impossible – Fallout ต้องดูบนจอมอนิเตอร์ในขณะที่นักแสดงนำของเขานำเฮลิคอปเตอร์บินหมุนในหุบเขาในนิวซีแลนด์ แล้วกระโดดลงจากเครื่องบินที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็ว 160 ไมล์ต่อชั่วโมง เหนืออาบูดาบี 25,000 ฟุต “การบินเป็นส่วนหนึ่งของหนังทุกเรื่องที่ผมเคยร่วมงานกับทอม ไม่ว่าจะเป็นหน้ากล้องหรือเบื้องหลัง เขามีความรักและความหลงใหลในการบินอยู่เสมอ อันที่จริง หนึ่งในการพบกันครั้งแรกๆ ของผมกับทอมคือที่โรงเก็บเครื่องบินซึ่งมี P-51 Mustang ที่สวยงามของเขา [ที่เราเห็นใน Top Gun: Maverick] จอดอยู่ การถ่ายทอดความรักที่มีต่อการบินนั่นเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา การหาวิธีที่จะแสดงออกถึงความหลงใหลในการบินของมาเวอริคในแบบที่มองเห็นได้ชัดเจน แทนที่จะให้เขาพูดมันออกมาน่ะครับ”
แม็คควอร์รีย์หยุดพูด “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะภูมิใจกับหนังเรื่องไหนที่เคยทำงานมาจนถึงปัจจุบันมากไปกว่าหนังเรื่องนี้” เขากล่าว “นี่เป็นหนังที่ผมอยากให้ผู้ชมได้ดูจริงๆ นี่เป็นหนังแบบที่พวกเขาไม่ทำอีกต่อไป มันมีสเกลระดับอีพิค สโคประดับอีพิค และมีความลึกซึ้งทางอารมณ์ระดับอีพิค ไม่ว่าคุณจะเคยดูหนังต้นฉบับหรือไม่ก็ตาม มันเป็นหนังสมัยใหม่มากๆ แต่ก็เต็มไปด้วยการเล่าเรื่องแบบคลาสสิกด้วยครับ”
“มันเป็นทุกอารมณ์เลยครับ” ครูซพูดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ “Top Gun: Maverick เป็นหนังเกี่ยวกับการสืบทอดตำนานสำหรับผม สำหรับเรา ผมและเจอร์รี การสร้างหนังเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่สะเทือนอารมณ์มาก เมื่อคุณถามผมเกี่ยวกับบทพูดนั้น ‘มันไม่ใช่สิ่งที่ผมเป็น มันคือตั้วผม’… มันเป็นอย่างนั้นเสมอ ทั้งในแง่ของงาน ชีวิต และความหลงใหลของผม และการได้เริ่มต้นสิ่งนี้กับโทนี… และการที่ในตอนนี้ มันจะเสร็จสมบูรณ์… นอกจากนั้น มันยังเป็นความรับผิดชอบต่อผู้ชม ซึ่งผมรู้สึกอยู่เสมอ คุณรู้ไหม นี่เป็นเวลา 36 ปีต่อมาแล้วนะครับ ผมรู้ว่าเรามีเรื่องราว ผมรู้ว่ามันอยู่ในมือเราแล้ว แต่อารมณ์ของมันล่ะ ให้ตายเถอะ การสร้างหนังเรื่องนี้คือทุกสิ่งที่คุณสามารถจินตนาการได้เลยล่ะครับ”
ผีของกู๊ส
มาเวอริคที่เราพบใน Top Gun: Maverick ยังคงเป็นคนที่คุณจำได้จากภาพยนตร์ต้นฉบับอย่างชัดเจน แต่เขาก็ยังมีความก้าวหน้าอย่างมากจากตอนที่เราได้เห็นเขาครั้งสุดท้าย “ในตอนจบของหนังภาคแรก ไอซ์แมน ตัวละครของ วาลพูดกับมาเวอริคว่า ‘นายสามารถเป็นนักบินสนับสนุนของฉันได้ทุกเมื่อ” ครูซกล่าว “ผมและแม็คคิวพูดเสมอว่าสำหรับหนังเรื่องนี้ ‘เขายังคงต้องเป็นมาเวอริค แต่เขาก็จะต้องต้องได้เรียนรู้บางอย่างจากภาคแรกด้วย ในตอนท้ายของหนังเรื่องแรก เขา [กลายเป็น] คนที่ห่วงใยคนอื่น ที่ตระหนักถึงคนอื่นมากขึ้น และตระหนักถึงการเป็นนักบินสนับสนุนด้วย’ แต่บางครั้งแม้ในตอนต้นของหนังเรื่องนี้ เขาก็ยังคง ‘อีกแค่นิดเดียว…’ นั่นล่ะเขา! นั่นคือมาเวอริคครับ” ครูซหัวเราะ “ช่วยไม่ได้นี่ครับ ในหนังเรื่องนี้ เขายังคงเป็นเขา แต่เขาก็มีชีวิตของตัวเองเหมือนกัน มาเวอริคอยู่ตามลำพังในช่วงเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ และเขาอยู่ตามลำพังก็เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Top Gun ภาคแรก”
แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ภาคแรกนั้นคืออุบัติเหตุจากการฝึกฝน ที่คร่าชีวิตหนึ่งในตัวละครที่เป็นที่รักที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ นั่นคือพ่อของเด็กหนุ่มที่เราจะได้พบกับเขาตอนโตแล้ว “และผมก็ต้องบอกว่า” ครูซพูดถึงการแสดงของเทลเลอร์ในบทรูสเตอร์ว่า “ผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้น และเขาก็รู้วิธีสวมบทเป็นตัวละครนั้น ไมลส์มาที่กองถ่ายและเขาก็ไว้หนวด สวมเสื้อฮาวาย มีทรงผมที่… ผมได้แต่พูดกับเขาว่า ‘คุณเป็นลูกของกู๊ส คุณคือลูกชายของแอนโธนี [เอ็ดเวิร์ดส์] และเม็ก [ไรอัน]’ และเขาก็ทำได้ดี เขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก ผมจะบอกอะไรคุณซักหน่อย การสร้างโทนแบบนั้น ในความสัมพันธ์ระหว่าง มาเวอริคและรูสเตอร์ เป็นเหมือนการร้อยเข็มครับ มันจะต้องมีพื้นฐานทางอารมณ์ และเมื่อคุณดูการแสดงของเขา คุณก็จะเห็นลูกชายของกู๊ส”
การจากไปของพ่อของเขาก็ส่งผลต่ออาชีพการงานของรูสเตอร์ด้วยเช่นกัน เสียงสะท้อนจากภาคแรกได้ก้องกันวานมาถึงในเรื่องราวของ Top Gun: Maverick ด้วย โคซินสกี้กล่าวว่า “สิ่งที่รูสเตอร์มีที่ทำให้เขาแตกต่างจากนักบินคนอื่นๆ ก็คือ เขาบินในแบบที่ค่อนข้างจะหัวโบราณมากกว่า ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้เนื่องจากพ่อของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในเครื่องบิน F-14″ โคซินสกี้กล่าว “แต่ความระมัดระวังเล็กน้อยนั้นอาจเป็นจุดอ่อนในการต่อสู้ได้ บางครั้งคุณจำเป็นต้องก้าวร้าวมากขึ้นเพื่อเอาตัวรอด นั่นเป็นสิ่งที่มาเวอริคพยายามทำให้เขาเข้าใจ”
นั่นไม่ใช่กระบวนการที่ง่ายดายเลย เมื่อพิจารณาถึงประวัติระหว่างตัวละคร “มาเวอริคบอกรูสเตอร์อยู่เสมอว่าเขาต้องเชื่อสัญชาตญาณของเขา” เทลเลอร์กล่าว “ลืมเรื่องทฤษฎีไปซะ เชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง เชื่อในตัวเอง จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องของการที่นักบินเหล่านี้ต่อต้านตัวเอง ต่อต้านการยับยั้งของพวกเขาเอง เป็นเรื่องที่พวกเขาต่อต้านทักษะของตัวเอง ก้าวไปไกลกว่าสิ่งที่พวกเขาคิดว่าสามารถทำได้ และทดสอบขีดจำกัดของตนเอง รูสเตอร์ถูกหล่อหลอมจากการตายของพ่อของเขา และตอนนี้ เขาก็จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้ว เขาเป็นใคร” เทลเลอร์สวมบทบาทนี้อย่างจริงจังจนเขาใช้เวลาเรียนเปียโนเจ็ดสัปดาห์ก่อนถ่ายทำ เพื่อที่เขาจะสามารถเล่นเปียโนจริงๆ ได้ในฉากใน Top Gun: Maverick เมื่อรูสเตอร์เลียนแบบพ่อของเขาจากภาคแรก และร้องเพลง ‘Great Balls Of Fire’ ในบาร์
“แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างมาเวอริคและรูสเตอร์นั้นซับซ้อนมาก” แม็คควอร์รีย์กล่าว “แบรดลีย์ แบรดชอว์ยังเป็นแค่เด็กเล็กใน Top Gun ภาคดั้งเดิม และอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาทั้งหมด และในหนังเรื่องนี้ เขาโตแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์ที่ยังไม่ได้คลี่คลายกับพ่อของเขา และกับมาเวอริค และความสัมพันธ์นั้นสร้างความซับซ้อนให้กับความทะเยอทะยานของเขาอย่างไร”
ครูซรู้ดีกว่าคนอื่นๆ ว่าตัวละครของกู๊สยังคงมีความหมายต่อผู้คนมากเพียงใด และความตายของเขาใน Top Gun ยังคงเจ็บปวดเพียงใด “เมื่อคุณลองมานึกดู เราเป็นคนฆ่ากู๊สครับ” ครูซกล่าว “คุณนึกภาพออกไหม? ปัจจุบันนี้ คุณคงฆ่ากู๊สได้ลำบากน่าดูชม คงมีการพูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับการฆ่ากู๊ส พอคุณฉายรอบทดสอบ พวกเขาก็จะบอกเราว่า ‘พวกเขาไม่ชอบเลยที่กู๊สตาย! เขาเป็นตัวละครที่น่ารัก! คุณต้องตัดเรื่องนั้นออกจากหนังนะ’” แต่อย่างที่ครูซรู้ในตอนนั้นว่าชะตากรรมของกู๊สเป็นที่แน่นอนแล้ว “กู๊สตายในบทเสมอ” และเขาเองก็รู้เช่นกันว่า รูสเตอร์เป็นหนทางการกลับมาของพวกเขาเมื่อถึงตอนที่พวกเขาต้องการหาเรื่องราวสำหรับภาคต่อ
“กู๊สแทรกซึมอยู่ในทุกเฟรมของหนังเรื่อง [ใหม่] นี้” แม็คควอร์รีย์ตั้งข้อสังเกต “เขาเป็นตัวละครที่ทุกคนชื่นชอบตั้งแต่ภาคแรก โดยเฉพาะมาเวอริค และมันก็เป็นความท้าทายอย่างแท้จริงเพราะเราไม่ต้องการนำผู้ชมออกจากหนังและขอให้พวกเขาจดจำหนังเรื่องอื่น เราก็เลยต้องแนะนำกู๊สในฐานะตัวละครตัวหนึ่งอีกครั้ง เราต้องแนะนำเขาในฐานะวิญญาณในเรื่องราวนี้ และมันก็ปรากฏชัดมากๆ แม้กระทั่งในประโยคที่ว่า ‘พูดกับฉันสิ กู๊ส’ น่ะครับ”
นั่นคือความใส่ใจในรายละเอียดเกี่ยวกับ Top Gun: Maverick การปรับเทียบอย่างประณีตระหว่างความใหม่และการหวนคำนึงถึงความหลัง มันเป็นเส้นแบ่งบางๆ ที่แทบไม่ได้ปรากฏอยู่ในฉบับสมบูรณ์ด้วย แม็คควอร์รีย์เล่าว่า “ตอนที่เราดูหนังต้นฉบับ เราต่างก็อึ้ง” แม็คควอร์รีย์เล่า “ที่ว่าบทพูดแรกของมาเวอริคใน Top Gun ภาคแรกคือ ‘พูดกับฉันสิ กู๊ส’” บทพูดนั้นยังคงอยู่ และผลลัพธ์ที่ได้คือความรู้สึกที่ว่า กู๊สยังคงมีชีวิตอยู่ผ่านทาง Top Gun: Maverick “ตลอดทั้งเรื่อง” แม็คควอร์รีย์กล่าว “คุณมีความรู้สึกว่า กู๊สกำลังเฝ้าดูมาเวอริคและรูสเตอร์อยู่ ด้วยความหวังว่าตัวละครทั้งสองนี้จะปรองดองกันได้ เพราะในหลายๆ ด้าน พวกเขาเป็นคนสองคนที่ไม่มีครอบครัว และหนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่พวกเขาพบครอบครัวครับ”
ปี 1984 เป็นปีที่ทอม ครูซได้พบกับแอนโธนี เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้ซึ่งรับบท กู๊ส ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ย้อนกลับไปในตอนนั้น ความคลั่งไคล้การเพนท์บอลเพิ่งเกิดขึ้นที่ลอสแองเจลิส จนถึงจุดที่ในตอนนั้นมันกลายเป็นงานอดิเรกของนักแสดงที่อยู่ในช่วงอายุหนึ่ง “ผมไปเล่นเพนท์บอลครับ” ครูซเล่า “แล้วก็เจอแอนโธนี และเขาก็เป็นคนที่น่าชื่นชม มีเสน่ห์ ตลกและน่ารัก ในคืนนั้น ผมโทรหาเจอร์รี ผมจำได้ว่ามันเป็นวันอาทิตย์ และผมก็พูดว่า ‘เราต้องได้ตัวแอนโธนี เอ็ดเวิร์ดส์มา แอนโธนี เอ็ดเวิร์ดส์ต้องรับบทกู๊ส’ มันดึกแล้ว และเจอร์รีก็แบบ ‘โอเค…’ และผมก็แบบ ‘ไม่ ไม่ คุณไม่เข้าใจ เขาต้องรับบทกู๊ส เขาคือกู๊ส!’”
การคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทเอ็ดเวิร์ดส์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจแนวทางการทำงานของทอม ครูซในภาพยนตร์ทุกเรื่อง ประการแรก ดังที่แสดงให้เห็นในกรณีเรื่องราวเพนท์บอล ในตอนที่ครูซกำลังทำงานในหนังเรื่องหนึ่งๆ เขาก็มักจะทำงานในหนังเรื่องนั้นตลอด ประการที่สอง ดังที่เรื่องราวต่อไปนี้จะแสดงให้เห็น สำหรับครูซ หนังเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด มันเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น เขามองเห็นงานของเขาและของคนอื่นๆ ว่าเป็นการรับใช้ภาพยนตร์เรื่องนั้น
ดังนั้น ในวันที่ครูซและแอนโธนี เอ็ดเวิร์ดส์กำลังเดินลงจากเรือบรรทุกเครื่องบิน ระหว่างการเตรียมถ่ายทำฉากที่มีหนึ่งในบทพูดที่น่าจดจำและถูกพูดถึงบ่อยที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ครูซจึงตัดสินใจที่จะเพิ่มเติมอะไรบางอย่างเข้าไป
“’ฉันรู้สึกถึงมัน ความรู้สึกอยากซิ่ง’ จริงๆ แล้ว นั่นคือบทพูดของผมครับ” ครูซกล่าว “แต่แอนโธนีวิเศษมาก ในตอนที่เราเตรียมตัวกัน ผมบอกเขาว่า ‘เราต้องแยกบทพูดนี้ออกจากกัน คุณต้องการอะไร? คุณต้องการจะพูดว่า “ฉันรู้สึกถึงมัน” แล้วให้ผมพูดอีกท่อนหนึ่งรึเปล่า หรือคุณต้องการเปลี่ยนมันยังไง’ และเราก็ลองถ่ายทำเทคที่แตกต่างกันมากมาย นั่นเป็นวิธีที่เราคิดการแปะมือ [ร่วมกับการพูดบทพูดนั้น] ขึ้นมาด้วยกัน”
หากคุณสงสัย ณ จุดนี้ว่า เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในภาพยนตร์รึเปล่า การที่นักแสดงยินดีมอบบทของตัวเองให้กับเพื่อนร่วมแสดง คำตอบก็คือไม่เป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะบทพูดที่ดีแบบนั้น “แต่มันเป็นเรื่องของหนังครับ” ครูซอธิบาย “มันต้องเกี่ยวกับหนังเท่านั้น ในหนัง ผมต้องการให้เพชรทุกเม็ดได้รับการขัดเกลา พวกมันเป็นหนังแบบที่ผมชอบดู เมื่อผมไปดูหนัง ผมชอบการดำดิ่งเข้าไปในโลกใบนั้นและตัวละครเหล่านั้น ดังนั้น ผมก็เลยคอยมองดูทุกแง่มุมของการเล่าเรื่องนั้นอย่างต่อเนื่อง เราจะทำได้อย่างไร? เราจะทำให้มันดีขึ้นได้อย่างไร”
นั่นเป็นปรัชญาที่ครูซใช้ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา และและเป็นสิ่งที่มีส่วนสำคัญโดยตรงต่อกระบวนการคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทรูสเตอร์ใน Top Gun: Maverick บทนี้ที่ท้ายที่สุดก็ตกเป็นของเทลเลอร์เป็นที่ปรารถนาของนักแสดงหนุ่มจำนวนมากในฮอลลีวูด รวมถึงเกล็น พาวเวล ซึ่งปัจจุบันรับบทแฮงค์แมนด้วย
“เกล็นทดสอบสำหรับบทรูสเตอร์ และเขาไม่เหมาะกับบทรูสเตอร์ ผมเสนอ [บทบาทของ] แฮงค์แมนให้เขาและเขาก็สอบผ่าน เขาเป็นแฟนตัวยงของ Top Gun และรู้สึกผิดหวังมาก [ที่ไม่ได้รับบทรูสเตอร์] เขาก็เลยบอกว่าเขาไม่สนใจ” ครูซกล่าว “ผมก็เลยพูดว่า ‘ฟังนะ ผมอยู่ในการประชุมงานสร้าง ผมอยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อโน้มน้าวให้คุณทำหรือไม่ทำบางสิ่งบางอย่าง ผมเข้าใจ นั่นเป็นการตัดสินใจส่วนตัวของคุณ แต่ผมอยากให้คุณมาดู เพื่อเข้าร่วมการประชุมงานสร้างนั่น’ เรากำลังประชุมงานสร้างทางอากาศและเขาก็นั่งดูอยู่ที่มุมห้อง หลังการประชุม ผมดึงตัวเขาออกมาและเขาก็พูดว่า ‘ผมไม่เข้าใจตัวละครแฮงค์แมน’ และผมก็พูดว่า ‘มันไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้ บทนั้นไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้ บทไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้’ เขาก็ยังคงพูดว่า ‘มีบทอยู่แล้วนี่’ ผมพูดว่า ‘เรามีข้อความอยู่ในหน้ากระดาษและผมก็มีโครงเรื่อง และจากโครงเรื่องนั้น ผมก็สามารถกำหนดงงบประมาณและรู้ว่าผมมีเวลากี่วันและมีพื้นที่มากแค่ไหน ตลอดจนโทนพื้นฐานที่เราพยายามจะสร้างขึ้น แต่มันก็เป็นแค่แนวคิด เป็นแนวคิดที่เรากำลังจัดทำและสานต่อ พอคุณเลือกนักแสดงได้แล้ว คุณก็จะเขียนบทเพื่อนักแสดงคนนั้น มันไม่ใช่อะไรที่ตายตัวอยู่แล้ว’”
พาวเวลมองไปที่ครูซ ระหว่างที่ย่อยข้อมูลนี้ “ผมพูดกับเขา” ครูซเล่า “’คุณต้องการอาชีพอะไร’ และเขาก็พูดว่า ‘ผมต้องการอาชีพแบบคุณ’ ผมพูดว่า ‘โอเค คุณคิดว่าผมทำได้อย่างไร’ และเขาก็ตอบว่า ‘คุณเลือกตัวละครที่ยอดเยี่ยม’ ผมบอกว่า ‘เปล่า ผมไม่ได้ทำแบบนั้น แต่ผมเลือกหนังและสร้างตัวละครในนั้น ผมจะประเมินว่าคุณต้องการจะแสดงหนังเรื่องนั้นหรือไม่ ผมแค่ไม่อยากให้หนังออกมาโดยที่ไม่ได้สำรวจกระบวนการมากพอ’ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ขอให้คุณค้นคว้าเกี่ยวกับมัน ทั้งในหนังที่คุณแสดงและไม่ได้แสดง’ น่ะครับ
แม้แต่ก่อนที่ผมจะสร้างหนัง ผมก็จะศึกษาทุกแง่มุมตั้งแต่การกำกับภาพ ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้าง ผมไม่ได้ไปโรงเรียนภาพยนตร์ แต่ผมรู้จักหนัง ผมต้องการทำความเข้าใจว่าหนังพวกนั้นถึงเวิร์คหรือไม่เวิร์ค องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องน่ะครับ นี่เป็นศิลปะที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน เท่านั้นเลยครับ”
การถ่ายทอดสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในวงการนี้มีความสำคัญต่อครูซ หรือเรียกได้ว่าจำเป็นด้วยซ้ำไป “ผมพูดกับเกล็นว่า ‘คุณต้องเข้าใจว่าคนที่เกี่ยวข้องเป็นใคร คุณต้องการสร้างหนังแบบไหน และนี่เป็นหนังแบบไหน และดูว่าคุณต้องการเป็นส่วนหนึ่งของมันรึเปล่า เราจะมอบบทบาทที่ยอดเยี่ยมให้กับคุณและจะปรับแต่งมันให้เหมาะกับคุณ นั่นคือสิ่งที่เราทำ แต่ผมไม่เคยเลือกบทเพราะผมคิดว่า ‘นั่นเป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยม’ ผมเลือกบทนั้นๆ เพราะผมต้องการเล่นหนังเรื่องนั้น’ น่ะครับ”
สำหรับพาวเวล มันเป็นบทสนทนาที่เขาไม่มีวันลืม “Top Gun คือเหตุผลที่ทำให้ผมมาเป็นนักแสดงจริงๆ ครับ” เขากล่าว “ผมได้ดู Top Gun ครั้งแรกตอนอายุ 10 ขวบกับพ่อของผมแบบม้วนวิดีโอ ผมรู้สึกว่าสำหรับพ่อและลูกส่วนใหญ่ มันเป็นพิธีกรรมอะไรบางอย่าง เป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อยึดมั่น และ ‘ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะเปิดหนังเรื่องนี้ให้ลูกชายของฉันได้ดู’ และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อของผม หลังจากดูหนังเรื่องนี้แล้ว ผมก็ขอให้เขาเริ่มพาผมไปเรียนการแสดง ดังนั้น เมื่อผมรู้ว่าพวกเขากำลังสร้างภาคต่อ ผมก็พูดถึงมันเหมือนกับว่าผมได้เล่นหนังเรื่องนี้แล้ว มันเป็นหนังเพียงเรื่องเดียวที่ผมหลงใหลแบบนี้ และมันก็เกิดขึ้นจริง ซึ่งเยี่ยมมาก เพราะมันเกือบจะไม่เกิดขึ้นแล้วน่ะครับ และการได้ร่วมงานกับทอม การได้สร้างตัวละครแฮงค์แมนขึ้นมา ผมหมายถึง มันเป็นโอกาสในแบบที่คุณไม่เคยคิดว่าคุณจะได้รับ…
“คุณจำหนังเรื่อง Last Action Hero ที่เด็กๆ ได้ก้าวเข้าไปในหนังที่เขาอยากจะเข้าไปมาโดยตลอดได้มั้ยครับ” พาวเวลกล่าว “หนังเรื่องนี้ก็ให้ความรู้สึกอย่างนั้นเลย”
ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนการบิน
“โดยส่วนตัวแล้ว ผมคงไม่ปล่อยให้นักแสดงพาสุนัขของผมไปเดินเล่น นับประสาอะไรกับการขับเครื่องบินล่ะครับ” ไมลส์ เทลเลอร์กล่าวกลั้วหัวเราะ ผู้ที่ร่วมแสดงกับเทลเลอร์และพาวเวลในบทนักบินดาวรุ่งรุ่นใหม่ของ Top Gun: Maverick ได้แก่ เกร็ก ทาร์ซาน เดวิส ในบท “โคโยตี้”, เจย์ เอลลิส ในบท “เพย์แบ็ค”, แดนนี รามิเรซ ในบท “แฟนบอย”, โมนิกา บาร์บาโร ในบท “ฟินิกซ์” และลูอิส พุลแมนในบท “บ็อบ”
ในกองทัพเรือ รหัสเรียกขานสามารถเกิดขึ้นได้หลายวิธี มันอาจเป็นการเล่นคำกับนามสกุลของคุณหรือตั้งตามสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ “ผมรู้จักผู้ชายที่ชื่อ “ฟร็อกเกอร์” เพราะเขาถูกรถชนขณะข้ามถนน” นาวาเอกไบรอัน ‘เฟิร์ก’ เฟอร์กูสัน ที่ปรึกษาด้านเทคนิคฝ่ายการบินนาวี และผู้ประสานงานทางอากาศของ Top Gun: Maverick กล่าวยกตัวอย่าง ในขณะที่บาร์บาโรอ้างถึงค่ำคืนที่เธอไปตระเวนราตรีกับเพื่อนร่วมแสดงของเธอ และความประหลาดใจของพวกเขาที่เธอสามารถมาทำงานได้ตรงเวลาในวันรุ่งขึ้น ในตอนที่อธิบายว่าชื่อเล่น “ฟินิกซ์” ของเธอมาจากไหน “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพจากเถ้าถ่านค่ะ” เธอจำได้ ในขณะเดียวกัน พุลแมนกล่าวว่า ตัวละคร WSO (ผู้ควบคุมระบบอาวุธ) ของเขาถูกเรียกว่าบ็อบ “เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ และไม่อวดดี… แม้ว่าในที่สุดมันจะมีความหมายมากกว่านั้นมากและชื่อของเขาก็ย่อมาจาก “บิ๊กโอลด์บอลส์” มันเจ๋งทีเดียวครับ”
ในภาพยนตร์ต้นฉบับ ไม่มีผู้หญิงอยู่ในห้องนักบิน “เพราะว่าในช่วงกลางยุค 80 ไม่มีนักบินรบหญิงครับ” โคซินสกี้กล่าว “ในช่วงปลายยุค 80 และต้นยุค 90 สิ่งนั้นเริ่มเปลี่ยนไป เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเราทุกคนที่เราจะสะท้อนถึงสิ่งนั้นในหนังเรื่องนี้” “ในช่วงเวลาของ Top Gun ภาคแรก นักบินหญิงไม่ได้รับอนุญาตให้บินในการรบ” บาร์บาโรกล่าวเสริม กองทัพสหรัฐยกเลิกคำสั่งห้ามรบในปี 1993 “สองสามปีต่อมา พวกเธอขับเครื่องบินขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบินเหมือนนักบินคนอื่นๆ ตอนที่ผมได้พูดคุยกับนักบิน สิ่งที่พวกเธอกล่าวคือพวกเธอทำได้ดีที่สุดเมื่อมีการแบ่งแยกระหว่างชายและหญิงน้อยลง เมื่อพวกเธอไม่ได้ถูกพูดถึงว่า ‘นักบินหญิง’ แต่เป็นแค่ ‘นักบิน’ ผมสังเกตเห็นมันใน [รายงานข่าวเกี่ยวกับการคัดเลือกนักแสดงของเธอ] มันเขียนว่า ‘โมนิกา บาร์บาโรได้รับเลือกให้เป็นนักบินหญิง’ ก็ใช่ครับ เธอเป็นนักบิน เราไม่ต้องบ่งชี้ว่าเธอเป็นผู้หญิง” เช่นเดียวกับนักบินที่เธอร่วมบินด้วยในภาพยนตร์เรื่องนี้ บาร์บาโรหวังว่าจะมียุคสมัยที่ผู้คนไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องนำเรื่องเพศเข้ามาอยู่ในคำอธิบายลักษณะงานด้วย
“สิ่งที่แตกต่างออกไปในตอนนี้ หลังจากหนังภาคแรกกว่า 30 ปี คือโลกของการบินนาวีได้เปลี่ยนไป และการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นก็ทำให้เรามีโอกาสที่ดีที่จะคัดเลือกนักแสดงที่มีพรสวรรค์ได้ในวงที่กว้างขึ้นน่ะครับ” บรัคไฮเมอร์กล่าว
นาวาเอกเฟอร์กูสันผู้มีประสบการณ์จาก TOPGUN สะท้อนความรู้สึกของบรัคไฮเมอร์โดยกล่าวว่า “คุณรู้ไหม เมื่อยี่สิบห้าหรือสามสิบปีที่แล้ว เราทุกคนดูเหมือนกันหมด เราทุกคนดูเหมือนออกมาจากเครื่องจักรเดียวกัน และตอนนี้เราเป็นส่วนตัดผสมของอเมริกา ดังนั้น คุณก็เลยมีผู้คนจากทุกกลุ่มประชากรเท่าที่เป็นไปได้ เรามีความแข็งแกร่งในเรื่องความหลากหลายครับ”
เมื่อพูดถึงลักษณะงานของพวกเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ นักแสดงรุ่นเยาว์ได้รับการเตือนล่วงหน้าหลายเรื่อง “เราตรงไปตรงมามากกับนักแสดงทุกคนที่เราคุยด้วย [ในกระบวนการคัดเลือกนักแสดง]” โคซินสกี้กล่าว “เราพูดว่า ‘ฟังนะ นี่ไม่ใช่งานแสดงทั่วไปของคุณ คุณจะอยู่ในเครื่องซูเปอร์ ฮอร์เน็ต ที่บินด้วยความเร็ว 600 ไมล์ต่อชั่วโมงและมีแรง G ที่หนักหน่วง คุณจะรู้สึกผ่อนคลายไปกับการบินไหม’” เกร็ก ทาร์ซาน เดวิส ผู้เรียนรู้ที่จะบินและว่ายน้ำในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆ หัวเราะกับความทรงจำนี้ “ตอนที่ผมรู้ ผมก็คิดว่า ‘ใช่เลย นี่มันคงจะเจ๋งมาก!’” เขากล่าว “แล้วพอผมขึ้นเครื่องบิน ผมก็คิดว่า ‘โอ้ ผมไม่อยากทำงานนี้แล้ว’ เมื่อมีคนพูดว่า ‘ว้าว เจ๋งไปเลย คุณสามารถลบมันออกจากรายการสิ่งที่อยากทำก่อนตายของคุณได้เลย’ ผมก็บอกว่า ‘มันไม่ได้อยู่ในรายการสิ่งที่อยากทำก่อนตายของผม ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะบินด้วยเครื่องบินเจ็ตเกรดทหาร’ น่ะครับ”
ในการฝึกฝนนักแสดงรุ่นเยาว์สำหรับสิ่งที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จใน Top Gun: Maverick ครูซมองย้อนกลับไปที่ภาพยนตร์เรื่อง Taps ซึ่งเป็นภาพยนตร์แจ้งเกิดของเขาเอง ซึ่งในปี 1980 ผู้กำกับฮาโรลด์ เบ็คเกอร์และผู้อำนวยการสร้างสแตนลีย์ เจฟฟ์พาครูซและเพื่อนร่วมแสดงของเขา ฌอน เพนน์, ทิโมธี ฮัตตัน และคณะ เข้าค่ายฝึกเพื่อดำดิ่งสู่โลกแห่งการทหารใหม่ของพวกเขา “ใน Top Gun ภาคแรก” โคซินสกี้กล่าว “ทอมถูกโยนเข้าไปในห้องนักบิน F-14 ผมคิดว่าครั้งนี้เขาต้องการให้แน่ใจว่านักแสดงมีความพร้อมมากกว่าที่เขาเคยเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อดึงทำมันออกมาในแบบที่เราต้องการ เครื่องบินมีเทคโนโลยีในตัวมากขึ้นแล้วในตอนนี้ แต่สิ่งที่ถูกเน้นย้ำในหนังเรื่องนี้ก็อยู่ที่นักบิน เหมือนกับในภาคแรก ไม่ใช่อยู่ที่เครื่องบิน สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญอยู่ที่ชายหรือหญิงที่อยู่ในเครื่องบิน นี่ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับเครื่องบินรบ แต่เป็นหนังเกี่ยวกับนักบินรบครับ”
ดังนั้น นักแสดงหน้าใหม่ของ Top Gun: Maverick ก็จะต้องสอบผ่านในโปรแกรมการบินที่ออกแบบโดยครูซเองโดยเฉพาะ “ในหนังเรื่อง Taps เบ็คเกอร์และเจฟฟ์ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ซึ่งเราในฐานะนักแสดงรุ่นเยาว์สามารถพัฒนาและทำความเข้าใจว่าหนังเรื่องนั้นเป็นยังไงได้” ครูซกล่าว “ใน Top Gun: Maverick แน่นอนว่านั่นก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน แต่ผมยังอยากให้คนของผมสามารถเข้าไปอยู่ในเครื่อง F/A-18 จริงๆ ได้โดยไม่ได้แค่สลบไปน่ะครับ”
ดังนั้น ครูซและบรัคไฮเมอร์จึงไปพบกับพลเรือโทเดอวูลฟ์ เอช. มิลเลอร์ที่สาม แอร์บอสแห่งกองทัพอากาศ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศนาวี กองเรือสหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก เพื่อนำเสนอวิสัยทัศน์ของพวกเขาที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ “เราเข้าไปอธิบายเรื่องราวแล้วพูดว่า ‘เราจะถ่ายทำสดกัน และเราจะจ้างนักแสดงและฝึกฝนพวกเขา ไม่อย่างนั้น เราจะไม่ทำมัน’ น่ะครับ” ครูซกล่าว “ผมพูดว่า ‘ถ้าคุณไม่อยากทำ ผมก็เข้าใจ แต่นี่เป็นทางเดียวที่ผมทำได้ ‘ คนอื่นถามว่า ‘เราจะถ่ายแบบนี้ไม่ได้เหรอ’ ผมพูดเสมอว่า ‘คุณทำได้ แต่ผมทำไม่ได้’ และกองทัพเรือก็พูดว่า ‘ใช่ เราจะทำอย่างนั้น เราจะพา [พวก] คุณขึ้นไป’ นั่นคือการที่เราได้รับความไว้วางใจจากพวกเขาทุกย่างก้าว มันเป็นการเป็นหุ้นส่วนกัน ผมพูดว่า ‘ผมจะนำเสนอเรื่องนี้เพื่อพวกคุณ’ การบินมีความหมายกับผมมาก กองทัพเรือมีความหมายกับผมมาก มันเป็นจิตวิญญาณที่แตกต่างของนักบิน มันเป็นอย่างนั้นครับ และผมต้องการให้เกียรติสิ่งนั้น ผมต้องการให้เกียรติมันใน Top Gun ภาคแรก นั่นเป็นเหตุผลที่ผมอยากสร้างหนังเรื่องนั้น และผมก็ต้องการให้เกียรติมันในภาคนี้ด้วย”
ด้วยการที่ครูซ โคซินสกี้ และผู้กำกับภาพ คลอดิโอ มิแรนดาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับกองทัพเรือเพื่อพัฒนากล้องที่จำเป็นต่อการถ่ายทำภายในห้องนักบิน จึงมีความกดดันจากบางส่วนเพื่อถ่ายทำซีเควนซ์ทางอากาศของภาพยนตร์ก่อน ซึ่งครูซไม่เห็นด้วย “ผมพูดว่า ‘พวกคุณไม่รู้หรอกว่าการถ่ายทำซีเควนซ์ทางอากาศเป็นยังไง ผมจะบอกอะไรคุณให้: เราจะทำการทดสอบถ่ายทำ เพื่อค้นหาว่าเราจะต้องใช้อะไรบ้าง’ ดังนั้น เราจึงทำการทดสอบครั้งแรกของผมสำหรับการบินระดับต่ำ [ที่คุณจะได้เห็นในหนัง] กับนักบินท็อปกันของจริง นักบินผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อว่า “วอลอาย” พวกรายละเอียดที่ต้องใช้และระดับความผิดพลาดจากมุมมองของหนังนั้นก็ใหญ่มาก” ครูซหัวเราะ “แต่ฟุตเตจที่เราได้รับนั้นน่าทึ่งมาก เราตัดต่อมันเข้าด้วยกันและผมก็เปิดมันให้พวกเขาดูรวมถึงส่วนของปัญหาด้วยเพราะผมพูดว่า ‘ฟังนะ ผมไม่สามารถจับนักแสดงไปอยู่ในเครื่อง F/A-18 ได้ พวกเขาจะไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสลบเท่านั้น แต่ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นบนเครื่องบินลำนั้นด้วย คุณมีกล้อง มีแสง มีการแสดง เราต้องสร้างระบบสนับสนุนทั้งหมดสำหรับคนเหล่านี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้สึกผ่อนคลายไปกับมันครับ พวกเขาจะต้องทนรับแรง G พวกเขาจะต้องบินต่ำ พวกเขาจะต้องมีประสบการณ์แบบนั้นในเครื่องบินลำนั้น คุณจะได้เห็นมัน จะรู้สึกถึงมัน คุณทำปลอมมันไม่ได้หรอกครับ’ น่ะครับ”
ระบบสนับสนุนนั้นถูกสร้างขึ้นจากการฝึกบินที่เข้มข้นนานห้าเดือน โดยครูซได้สร้างโปรแกรมการฝึก เขียนเป้าหมายในแต่ละวันให้กับนักแสดงรุ่นเยาว์ และเกณฑ์อาจารย์ผู้สอนมาสอนให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายกับการบินก่อนที่จะเรียนรู้วิธีบิน แล้วค่อยเรียนรู้การรับแรง G ในแต่ละวัน พวกเขาต้องกรอกแบบฟอร์มที่ละเอียดลออว่าแต่ละวันของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อที่ครูซจะสามารถปรับแต่งโปรแกรมการฝึกของแต่ละคนได้
“พอคุณได้ยินทั้งหมดนี้ ว่าทอม ครูซจะอ่านแบบฟอร์มที่คุณกรอกทุกวันเป็นการส่วนตัว คุณก็จะคิดว่า ‘ไม่มีทางที่ทอม ครูซจะทำอย่างนั้นจริงๆ เขาคงต้องมีธุระที่สำคัญกว่าที่ต้องทำ’” พุลแมนหัวเราะ “แล้วคุณก็รู้ว่า ‘ให้ตายเถอะ เขาทำอย่างนั้นจริงๆ เขาให้ข้อเสนอแนะส่วนตัวเกี่ยวกับการฝึกในแต่ละวันของผม’”
กระบวนการนี้ต้องอาศัยความอุตสาหะ แต่ก็จำเป็น “ผมอ่านทุกแบบฟอร์ม ในทุกคืน” ครูซกล่าว “เพราะผมรู้ว่าที่สุดแล้ว ผมก็ต้องนำพวกเขาเข้าสู่เครื่อง F/A-18” เหล่านักบินหนุ่มหน้าใหม่เริ่มฝึกบินกับเครื่องบินเครื่องยนต์เดี่ยว Cessna 172 Skyhawks รามิเรซเล่าว่าหนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่เขาต้องทำในภาพยนตร์เรื่องนี้คือการเซ็นเอกสารยืนยันว่าเขาสบายใจกับการบิน “ซึ่งก็มีการสะดุดนิดหน่อยครับ” เขาหัวเราะ “เพราะว่าผมกลัวการบินมาก แต่ยังไงผมก็เซ็นมันอยู่ดี และพอเวลาผ่านไปสองสามสัปดาห์ ผมก็รอเที่ยวบินต่อไปของผมไม่ไหวแล้ว!”
จากเครื่อง Cessna ก็กลายเป็น Extra 300 “ในเครื่อง Extra มันต้องใช้อากาศมากกว่า ดังนั้น พวกเขาก็สามารถเริ่มทำแรง G ได้” ครูซกล่าว “เมื่อนั้น ผมก็จะสามารถให้เครื่องบินอีกลำมาใกล้พวกเขาได้ เพื่อให้พวกเขาเริ่มรู้สึกสบายใจในอากาศขณะที่มีเครื่องบินลำอื่นอยู่ด้านนอก การนั่งบนเครื่องบินแล้วทำแรง G ยากกว่าตอนที่คุณบินด้วยตัวเอง มันเหมือนกับว่าคุณอยู่ในรถ แล้วคุณเป็นผู้โดยสารในรถแข่ง คนขับรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะเลี้ยวแม้ว่าจะเป็นเสี้ยววินาทีก็ตาม คุณสามารถเตรียมใจรับเหตุการณ์นั้นได้ในขณะขับรถ ทั้งกล้ามเนื้อของคุณ การหายใจของคุณ ทุกแง่มุมของคุณพร้อมสำหรับการเลี้ยวนั้น สำหรับการเริ่มต้นของแรง G ดังนั้น พวกเขา [นักแสดง] จึงต้องรับมือกับท่าบินผาดโผนในตอนที่พวกเขาไม่ได้บิน มันเหนื่อยมากและอาจทำให้สับสนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครื่อง F/A-18 ที่มีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย”
แรง G อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจถ่ายทำ Top Gun: Maverick แบบจริงๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่ผลกระทบที่มันมีต่อร่างกายมนุษย์จะปรากฏชัดเจนมากจนการแกล้งบินในเครื่องจักรเหล่านี้ไม่ใช่ทางเลือก แต่การแสวงหาความสมจริงแบบนั้นหมายความว่าครูซและนักบินร่วมของเขาจะต้องฝึกร่างกายของพวกเขาให้ทนต่อแรงกดดันที่สุดโต่งนั้นได้
“ขณะนี้ บนโลกเรามีแรงโน้มถ่วงอยู่หนึ่งแรงกดลงบนร่างกายของเรา” ครูซอธิบาย “แรง 2G ก็จะเป็นสองเท่าของน้ำหนักตัวของเรา 3G ก็จะเป็นสามเท่าของน้ำหนักตัวของเรา ดังนั้น ถ้าคนที่หนัก 200 ปอนด์ทำแรง 2G เขาจะรู้สึกถึงน้ำหนัก 400 ปอนด์ ในหนังเรื่องนี้ นักแสดงต้องทำแรง 7 ½ หรือ 8G ดังนั้น หากคุณมีน้ำหนัก 200 ปอนด์ นั่นก็หมายถึงการมีแรงน้ำหนัก 1,600 ปอนด์บดขยี้ร่างกายของคุณ บีบให้เลือดออกจากสมองของคุณ สายตาของคุณจะแคบลงและมันก็จะบีบเลือดทั้งหมดลงไปที่ขาของคุณ คุณต้องฝึกฝนเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า G-LOC ซึ่งคุณจะหมดสติไป คุณต้องสร้างความอดทนเพื่อให้คุณสามารถรักษาระดับของแรง G และสามารถบินได้ ผมต้องการให้ผู้ชมเห็นและสัมผัสกับผลกระทบของแรง G นั่น คุณไม่สามารถทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวแบบนั้นได้ [แบบปลอมๆ]”
แต่แม้ว่ากระบวนการนี้จะท้าทาย แต่นักแสดงรุ่นเยาว์ของ Top Gun: Maverick ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงมันไปเลยแม้วินาทีเดียว “ทอมได้สร้างโปรแกรมการบินสำหรับเราเพราะสิ่งที่เราทำนั้นจริงจังมาก” เทลเลอร์กล่าว “ทุกคนคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ขับเคลื่อนมัน ผมคิดว่าเมื่อทอมได้ยินว่ามีบางอย่างที่ ‘เป็นไปไม่ได้’ หรือไม่สามารถทำได้ นั่นคือตอนที่เขาเริ่มลงมือทำงานจริงๆ ครับ”
ในช่วงสุดท้ายของการฝึก นักบินหน้าใหม่พบว่าตนเองได้รับการอัพเกรดอีกครั้ง สู่เครื่องบินไอพ่นเครื่องยนต์เดี่ยวประสิทธิภาพสูง L-39 Albatross เพื่อทำความคุ้นเคยกับความรู้สึกของการทำท่าผาดโผนต่างๆ บนเครื่องบินเจ็ต “พวกเขาต้องเคยชินกับการถ่ายทำในเครื่องบินเจ็ตต่างๆ เพราะทุกครั้งที่ผมให้พวกเขาอยู่ใน F/A-18 เราก็ต้องถ่ายทำครับ” ครูซอธิบาย “กองทัพเรือไม่ได้เปิดกว้างสำหรับเรา [ทุกเมื่อที่เราต้องการ] ดังนั้น มันเลยไม่ใช่แค่งบประมาณเท่านั้น แต่เป็นความเคารพต่อนักบินและผู้คนด้วย ผมรู้ว่าทุกครั้งที่พวกเขาอยู่บนนั้น [ใน F/A-18] ผมก็ต้องได้ฟุตเตจมา ผมพูดกับกองทัพเรือว่า ‘ผมจะเตรียมคนของผมให้พร้อม’”
แน่นอนว่าการเตรียมพร้อมไม่ได้หมายความถึงความสามารถนั่งบนเครื่องบินเจ็ตได้โดยไม่เป็นลมหรืออ้วกเท่านั้น แต่มันยังหมายถึงความสามารถในการทำทั้งสองสิ่งนี้และสามารถแสดงได้ ในขณะที่บรรดานักบินท้ามฤตยูตตัวจริงของจะนำทางคุณผ่านท่าบินผาดโผนต่างๆ ที่ทำให้คุณต้องอ้าปากค้าง
และขั้นตอนสุดท้ายในการก้าวขึ้นไปบนเครื่อง F/A-18 นั้นคือทุกสิ่งที่นักแสดงหวังไว้อย่างแท้จริง การที่นักบินของกองทัพเรือตัวจริงพาพวกเขาไปสู่การเหินเวหาสุดเหวี่ยงระหว่างที่พวกเขาได้แสดงท่าผาดโผนต่างๆ ที่คุณต้องเห็นด้วยตาจึงจะเชื่อ “ความเข้มข้นนั้นชัดเจนมากขึ้นบนเครื่องบินค่ะ” บาร์บาโร “ในเที่ยวบินแรกของเราไม่มีกล้อง มันเป็นแค่การสะสมประสบการณ์ว่ามันเป็นอย่างไร ด้วย BFM [ท่าพื้นฐานสำหรับเครื่องบินรบ] เล็กน้อยและท่าสำหรับความสูงระดับต่ำ และความรู้สึกที่มีต่อร่างกายเมื่อสิ้นสุดการบิน เมื่อตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสภาพแวดล้อม [ซึ่ง] เราจะต้องแสดงและพูดและมีการเปิดปิดกล้องและตรวจดูการแต่งหน้าของเรา ซ่อมอุปกรณ์ของเรา และสื่อสารกับนักบิน ตอนั้นเองที่ฉันเริ่มตระหนักว่าการฝึกฝนช่วยเราได้มากแค่ไหนน่ะค่ะ”
หรืออย่างที่พุลแมนกล่าวไว้ว่า “เป็นเรื่องยากที่จะแปลความรู้สึกของการบินในเครื่อง F/A-18 ออกมาได้ แต่มันเหมือนกับการนั่งบนจรวดหรือถูกมัดไว้กับมังกร หนึ่งในคำเปรียบเปรยที่ผมชอบ ที่ผมได้ยินมาจากนักบินท็อปกันคือพวกเขา ‘รัดตัว’ กับเครื่องบิน เพราะพวกเขาควบคุมมันอยู่ พวกเขาเป็นจ้าวแห่งเครื่องจักรเหล่านี้จริงๆ และเข้าใจมันทั้งภายในและภายนอก ดังนั้น สำหรับพวกเขา ในการรัดตัวกับเครื่องบิน พวกเขากำลังควบคุมแหล่งพลังงานอยู่ครับ”
“ไม่มีอะไรจะสร้างความผูกพันให้กับนักแสดงได้มากไปกว่าการร่วมทุกข์กันอีกแล้วครับ” เทลเลอร์หัวเราะ “ผมคิดว่า เมื่อคุณผ่านอะไรบางอย่าง และรู้ว่าตัวเองลำบากแค่ไหน แต่พอคุณมองไปทางซ้าย และทางขวาของคุณ แล้วคุณเห็นว่าคนคนนั้นก็กำลังผ่านเรื่องนี้เหมือนกัน มันก็ผลักดันคุณมากขึ้นอีกนิด และผลักดันคุณให้ไปไกลกว่าปกติ มันพิเศษมากสำหรับเราที่เราจะสามารถพูดคุยกันเรื่องนี้กับกันและกันได้เท่านั้นตลอดชีวิตที่เหลือของเรา”
“ผมภูมิใจมากกับความสำเร็จของทุกคน” ครูซกล่าว “คุณต้องคิดว่า ถ้าพวกเขาบิน 45 นาที ผมก็จะมีเวลากับนักแสดงแค่ 20 นาที คนพวกนี้เคยแสดงหนังเรื่องอื่นมาแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยแสดงหนังแบบนี้มาก่อน ผมต้องเปิดฟุตเตจตัดต่อให้พวกเขาดูเพราะพวกเขาต้องเข้าใจว่าผมต้องการฟุตเทจแบบไหน เพราะพวกเขาไม่มีผู้กำกับอยู่ข้างบนนั่น ไม่มีใครพูดกับพวกเขา พวกเขามีบทพูดที่เขียนเอาไว้บนกระดาษและมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องทำบนนั้น พวกเขาต้องทำงานร่วมกับนักบิน พวกเขาต้องเข้าใจแสง เรามีสภาพภูมิประเทศที่พวกเขาต้องจับคู่ในช็อตให้ได้น่ะครับ”
และสภาพภูมิประเทศนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าจับตามองจริงๆ โดยครูซและเพื่อนร่วมแสดงของเขาได้บินในคอร์สการบินที่ท้าทายและงดงามที่สุดในอเมริกา รวมถึงเรนโบว์ แคนยอน บริเวณชายขอบด้านตะวันตกของอุทยานแห่งชาติเดธ วัลลีย์ และเทือกเขาคาสเคดในวอชิงตัน รวมถึงการที่ครูซได้ทะยานขึ้นฟ้าจากดาดฟ้าของเรือยูเอสเอส ธีโอดอร์ รูสเวลท์ ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่กองทัพเรือเรียกว่า “เดอะ บิ๊ก สติ๊ก” ตามคำพูดที่มีชื่อเสียงจากประธานาธิบดีที่เป็นที่มาของชื่อเรือลำนี้
“การถ่ายทำ [บนเรือรูสเวลท์] เป็นการถ่ายทำที่น่าทึ่งและท้าทายที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา” โคซินสกี้กล่าว “มันเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานที่เข้มข้น แต่ฟุตเตจที่เราได้รับก็น่าทึ่งมาก เราสามารถส่งทอมทะยานขึ้นไปบนฟ้าได้ในเครื่อง F/A-18 และบันทึกทุกอย่างด้วยกล้องได้
เขาได้ดีดตัวสี่หรือห้าครั้ง ซึ่งไม่เคยมีใครทำแบบนั้นในหนังมาก่อน มีเพียงนักบินนาวีเท่านั้นที่ได้ทำแบบนั้น และไม่เพียงแต่การถูกดีดส่งตัวขึ้นฟ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเหนี่ยวจับลวดสลิงตอนลงจอดด้วย ซึ่งทั้งหมดนั้นคุณจะได้เห็นในหนัง มันเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่ง มันเป็นเรื่องที่ทรมานร่างกายและยากลำบากสำหรับทีมงาน แต่ฟุตเตจที่เราได้ คุณไม่สามารถทำปลอมขึ้นได้เลยครับ ในผืนดินเล็กๆ แห่งหนึ่ง คุณมีทั้งเครื่องบินขับไล่ ที่มีอุปกรณ์สันดาปท้ายเต็มรูปแบบ ถูกปล่อยออกจากฝั่งหนึ่งและติดอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง การได้ดูการเคลื่อนไหวนั้นเหมือนการเต้นบัลเลต์ของเครื่องจักร ที่ทำให้คุณทึ่งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นน่ะครับ”
เช่นเดียวกับบัลเลต์ มันเป็นกระบวนการที่แม่นยำ แต่ก็ต้องอาศัยกล้ามเนื้อด้วยเช่นกัน “มันเป็นเรื่องของการสำรวจภาษาภาพครับ” ครูซกล่าวถึงวิธีการสำหรับซีเควนซ์ทางอากาศทั้งหมด “ผมต้องเข้าใจภาษาภาพทั้งในและนอกห้องนักบิน จากนั้นถึงค่อยสื่อสารภาษาภาพนั้นให้กับนักบินและนักแสดง แต่ละช็อตมีความเฉพาะเจาะจงมาก มันสื่อสารอะไร? ผมจะพูดกับพวกเขา [นักแสดง] ว่า ‘ผมต้องการให้คุณมองตรงนี้ แล้วเบือนหน้าไป เพื่อที่ผมจะได้ตัดไปยังภาพเครื่องบินเจ็ตอีกลำแล้วค่อยตัดภาพกลับมา แล้วพอคุณมองย้อนกลับไป อย่ามองต่ำเกินไป ผมต้องการให้คุณมองตรงนี้ ตรงจุดนั้น ในตอนที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงจุดนี้ เหนือจุดนั้น’ และผมก็ต้องทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับแรง G ด้วย ซึ่งนักแสดงบางคนไม่เคยสัมผัสกับมันมาก่อนเลย พวกเขามักจะอาเจียนเสมอ บางครั้ง พวกเขาก็จะพูดว่า ‘ผมอ้วกออกมา ผมอายจัง’ ซึ่งผมก็จะบอกพวกเขาว่า ‘ไม่ต้องอาย ชัค ยีเกอร์ [นักบินคนแรกในตำนานที่ทำลายกำแพงเสียง ซึ่งแสดงโดยแซม เชพเพิร์ดใน The Right Stuff ในปี 1983] เองก็อ้วกอยู่หนึ่งเดือนก่อนที่เขาจะผ่านมันไปได้ และคุณก็ได้ฟุตเทจมานะ ขอบคุณครับ ผมรู้ว่าการอ้วกมันเจ็บปวด และคุณก็ไม่อยากจะอ้วก และท่าบินที่เราทำนั้นก็เป็น ACM [การซ้อมรบทางอากาศ] ที่ทั้งหนักกว่าและอัดแน่นกว่าสิ่งที่นักบินเหล่านี้จำนวนมากเคยทำในช่วงเวลานี้’ เราทำแรง G ที่หนักอึ้ง แบบไม่หยุด ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งมันทารุณร่างกายของคุณครับ”
ครูซเน้นย้ำว่า การสรุปสาระสำคัญเป็นสิ่งจำเป็น “การสรุปสาระสำคัญสำหรับเที่ยวบินจะใช้เวลาหลายชั่วโมง เพราะคุณจะต้องสรุปเกี่ยวกับทุกๆ ท่า” เขากล่าว “มันเป็นการสรุปเกี่ยวกับอุณหภูมิ สถานที่ แสง เราศึกษาว่าเราจะต้องออกไปที่นั่นเวลาไหนและเราจะต้องอยู่ในตำแหน่งไหนในอากาศ เมื่อพวกเขาอยู่บนเครื่องบิน นักแสดงจะต้องได้ช็อต พวกเขาไม่สามารถขึ้นไปและกลับลงมาโดยไม่ได้เปิดกล้อง หรือพบว่าแต่งหน้าผิดเพี้ยนไป หรือพูดบทไม่ถูกต้อง พวกเขาต้องทำให้ได้ นอกจากนั้น มันยังทำให้พวกเขาเป็นทีมเดียวกันด้วย ผมบอกพวกเขาว่า ‘เมื่อถึงเวลาของคุณและคุณกำลังบิน ผมอยากให้มันเหมือนกับว่าคุณเป็นคนเดินเกมการประชุม ผมจะนั่งที่โต๊ะ แต่คุณเป็นคนเดินเกม เพราะนี่คือเที่ยวบินของคุณ ดังนั้นคุณต้องร่วมมือกับนักบินของคุณ คุณรู้วิธีแล้ว ตอนนี้ ลงมือซะ’ พวกเขารับช่วงต่อและก็ทำมันได้ครับ ผมหวังว่าสิ่งที่พวกเขาได้กลับไปคือพวกเขาเป็นเจ้าของชีวิตและอาชีพของตัวเอง การที่จะไม่ยอมประนีประนอมศักดิ์ศรีของตัวเอง คุณตระหนักดีว่าสำหรับศิลปิน พวกเขาจะเปล่งประกายได้มากที่สุดในตอนที่พวกเขาแสดงความเป็นตัวเองออกมา ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ ที่ทำในสิ่งที่ผมบอกให้พวกเขาทำ ผมคิดว่านั่นทำให้ผมนึกถึง Taps และสิ่งที่ฮาโรลด์ เบ็คเกอร์และสแตนลีย์ เจฟฟ์ทำ พวกเขามีคนที่มีความสามารถและรับรู้ถึงพรสวรรค์ของพวกเขา จากนั้นจึงพยายามให้พวกเขาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาจะเติบโตน่ะครับ”
การบรรยายสรุปเหล่านี้มักมีผู้เข้าร่วมเป็นครูซและนักแสดงที่จะทำการบิน และยังรวมถึงโคซินสกี้ ผู้กำกับภาพคลอดิโอ มิแรนดา แผนกทางอากาศทั้งหมด ผู้ควบคุมงานสร้างทอมมี ฮาร์เปอร์ และเอ็ดดี้ แฮมิลตัน มือลำดับภาพของภาพยนตร์ด้วย “การมีมือลำดับภาพมาอยู่ในการสรุปสาระสำคัญและการซักถามด้วยหมายความว่าเอ็ดดี้เข้าใจในสิ่งที่เราพยายามทำให้สำเร็จทุกวัน” โคซินสกี้อธิบาย “เราสร้างฟุตเตจขึ้นมามากมาย เรามีกล้องหกตัวในแต่ละเที่ยวบิน เราทำการบินสี่ถึงหกเที่ยวบินต่อวัน และบ่อยครั้งที่เราจะให้หน่วยภาคพื้นดินสู่อากาศถ่ายทำไปพร้อมๆ กัน ดังนั้น [ด้วยวิธีนี้] เมื่อฟุตเตจเข้ามาตอนกลางคืน เขาก็จะเข้าใจว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ และสามารถเริ่มจัดระเบียบทุกอย่างได้ในแบบที่สมเหตุสมผล มีหลายวันที่ผมมีกล้อง 27 ตัวทำงานพร้อมกัน ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีเขาอยู่ที่นั่น” หรืออย่างที่ฮาร์เปอร์กล่าวไว้ว่า “สำหรับหนังเรื่องนี้เรื่องเดียว เรามีฟุตเตจมากพอๆ กับหนังเรื่อง Lord Of The Rings สามภาครวมกันเลยล่ะครับ”
นาวาเอกไบรอัน “เฟิร์ก” เฟอร์กูสัน อดีตนักบินท็อปกัน ผู้เป็นตัวแทนของแอร์บอสในภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคการบินนาวี และผู้ประสานงานทางอากาศของภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังคงประหลาดใจกับความสำเร็จของทั้งทีม “มันเป็นความท้าทายและเป็นช่วงการเรียนรู้ที่สูงชันมากครับ” เขากล่าว “คุณมีองค์กรขนาดใหญ่สององค์กรนี้ คุณมีกองถ่ายขนาดใหญ่ที่มีดาราภาพยนตร์ระดับโลกพยายามสร้างหนังที่เป็นไอคอนขึ้นมาใหม่ แล้วคุณก็มีการบินนาวี พร้อมด้วยเครื่องบิน เรือ บุคลากร และฐานทัพทั้งหมดของมัน ตลอดไปจนถึงชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวประมาณพันล้านชิ้นที่เคลื่อนไหวระหว่างนั้นด้วย และเราต้องหาวิธีที่จะผสานรวมสององค์กรที่แข็งแกร่งนี้เข้าด้วยกันอย่างราบรื่นด้วยข้อผูกมัดมากมายที่จะไม่เป็นภาระแก่ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันครับ”
วิวัฒนาการของครูซ
ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Tootsie เป็นผู้ที่สอนทอม ครูซให้บินเป็นคนแรก ซิดนีย์ พอลแล็ค เจ้าของสองรางวัลออสการ์ในตำนาน ได้พบกับดาราคนนี้ครั้งแรกตอนที่เขาอายุเพียง 18 ปี หลังจากประสบความสำเร็จกับ Taps ครูซก็เพิ่งจ้างงาน ซีเอเอ เอเจนซีนักแสดง และเริ่มเดินหน้าประชุมกับบรรดามือเขียนและผู้กำกับในรายชื่อของพวกเขาหลายครั้ง
“หนังทุกเรื่องที่ผมเลือก [ในอาชีพของผม] คือพัฒนาการในการศึกษาของผม” ครูซกล่าว “แต่ละครั้งจะเป็นการเรียนและศึกษา มีคนพูดกับผมว่า ‘คุณเลือกผู้กำกับได้ดี’ แต่ไม่ใช่แค่ผู้กำกับเท่านั้น สิ่งที่ผมสนใจคือโปรเจ็กต์โดยรวม ผู้กำกับคนกับเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงนั้น ผมไม่เคยรู้สึกว่า ‘ผมจะต้องทำงานหนังเรื่องนี้’ หรือ ‘ผมต้องทำงานนี้’
“ประเด็นสำคัญของหนังและวัตถุประสงค์เพียงหนึ่งเดียวของผมคือเพื่อสร้างความบันเทิง นอกจากนี้ ผมยังต้องการสร้างหนังที่หลากหลาย ตั้งแต่แฟนตาซี แอ็กชั่น มิวสิคัล ไปจนถึงดรามา แต่เพื่อให้แต่ละเรื่องประเมินและเข้าใจว่ามันเป็นวิธีการเล่าเรื่องราวที่แตกต่างออกไป คุณจะทำอย่างไรมันได้ยังไง? ผมมองไปที่ [อลัน เจ.] ปาคูลา กับ Klute, [ผู้กำกับภาพ] กอร์ดอน วิลลิส ที่ตอนนั้นทำงานใน Godfathers คนพวกนั้นเก่งกาจมากในแง่ของการเล่าเรื่อง อิทธิพลของฝรั่งเศสกำลังเข้ามาสู่วงการหนังอเมริกันแต่ก็ยังมีความรู้สึกเชิงโครงสร้างแบบอเมริกันในการเล่าเรื่องอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมสนใจอยู่เสมอ ดังนั้น ผมก็เลยไปพบกับสกอร์เซซีและคอปโปลา คนพวกนั้นน่ะครับ สิ่งสำคัญสำหรับผมคือการซึมซับทั้งหมดนี้ ครั้งแรกที่ผมได้พบกับซิดนีย์ พอลแล็ค ผมดูหนังทั้งหมดของเขาและเพิ่งสัมภาษณ์เขา ไม่ใช่ในฐานะมือเขียนบท แต่เป็นในฐานะนักแสดง และเราก็คุยกันเรื่องการบินเพราะเขารู้เกี่ยวกับความหลงใหลในการบินของผม และเราก็กลายเป็นเพื่อนกัน”
เร่งเวลาไป 13 ปีข้างหน้าและเพื่อนสองคนนี้ได้พบภาพยนตร์ที่พวกเขาต้องการสร้างร่วมกัน นั่นคือ The Firm ที่พวกเขาดัดแปลงจากหนังสือขายดีของจอห์น กริชแฮม “ผมทำงานหนักมาก เจ็ดวันต่อสัปดาห์ [ในตอนที่เราสร้าง The Firm] จนผมไม่เคยมีเวลาเรียนรู้วิธีบินเลย” ครูซเล่า “ดังนั้น ในตอนจบของหนัง ซิดนีย์ก็เลยให้ [บทเรียนการบิน] กับผมและพูดว่า ‘คุณต้องเรียนรู้วิธีบินตอนนี้ ไม่อย่างนั้น คุณจะไม่มีวันได้ทำมัน ผมรู้ว่ามันเป็นหนึ่งในความสนใจของคุณ คุณต้องไปทำมัน คุณจะใช้เวลาเป็นชาติเลยในการทำสิ่งนี้… ‘”
และนี่คือจุดที่เรื่องราวเปลี่ยนไปเป็นเรื่องตามแบบฉบับทอม ครูซ “หกสัปดาห์ต่อมา ผมพาซิดนีย์ไปทานอาหารเย็น…” ครูซหัวเราะ “แล้วเขาก็พูดว่า ‘ไอ้เวร! คุณทำได้ [เรียนรู้ที่จะบิน] เร็วขนาดนี้เลยเหรอ’ ผมพูดว่า ‘ใช่ แต่มันยากจริงๆ’ เขาแค่พูดว่า ‘แม่-เอ๊ย’”
จากนั้น มันก็กลายเป็นเรื่องของ IFR “มันเป็นเกมที่สนุกจริงๆ ระหว่างเรา” ครูซกล่าว “ซิดนีย์บอกว่า ‘ IFR [กฎการบินด้วยเครื่องมือ] ซึ่งเป็นบททดสอบถัดไปของคุณ ผมใช้เวลากับมันหลายปีเลย คุณก็ต้องใช้เวลาหลายปีเหมือนกัน’ ไม่นานต่อมา ผมพาเขาไปทานอาหารเย็น… เรากำลังกินข้าวและสุดท้าย ผมก็พูดว่า ‘ผมจะไปจ่ายเงิน’ และผมก็เปิดกระเป๋าเงินและวางมันลงบนโต๊ะขณะที่ผมหยิบเงินออกมา เขามองลงไปที่กระเป๋าเงินของผม และเห็นใบอนุญาต IFR อยู่ในนั้น เขาพูดว่า ‘ไอ้เวร! คุณกำลังทำอะไรอยู่?! ไอ้เวรเอ๊ย!’” ครูซหัวเราะไปกับความทรงจำนั้น “ผมถามว่า ‘เป็นอะไรไปล่ะซิดนีย์? คุณทำเล่นๆ อยู่หลายปี แต่ผมไม่มีเวลาหลายปีนี่เพื่อน’ น่ะครับ”
แม้ว่าเราจะสามารถขอบคุณพอลแล็คที่มอบเครื่องมือในการบินให้กับครูซได้ แต่คนที่จุดไฟในตอนแรกก็คือเจอร์รี บรัคไฮเมอร์ ในขณะที่ครูซยุ่งอยู่กับการซึมซับความรู้ จาก Taps ไปสู่ The Outsiders (ภายหลัง ครูซได้ปฏิเสธคอปโปลาสำหรับ Rumblefish เพื่อไปรับบทนำครั้งแรกของเขาใน Risky Business) และ Losin’ It โดยที่เคอร์ติส แฮนสัน, บรัคไฮเมอร์และดอน ซิมป์สัน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้อำนวยการสร้างผู้ล่วงลับของเขา กำลังสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะบุคคลที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองอย่างรวดเร็ว
ซิมป์สันและบรัคไฮเมอร์ ผู้เพิ่งเสร็จงานจาก Flashdance และ Beverly Hills Cop ได้ค้นพบแนวคิดสำหรับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่จะส่งให้การร่วมงานของพวกเขาโด่งดังเป็นพลุแตก จากนิตยสารแคลิฟอร์เนีย ฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 1983 บทความชื่อ ‘Top Guns’ เขียนโดยอีฮัด โยเนย์ และบอกเล่าเรื่องราวของลูกเรือของเครื่องบิน F-14 ที่กำลังเรียนหลักสูตรท็อปกัน และมันก็มีภาพประกอบเป็นภาพทางอากาศที่น่าทึ่งจากอดีตครูสอนหลักสูตรท็อปกัน ชัค “ฮีตเตอร์” ฮีทลีย์
“ผมคิดว่า ‘โอ้โฮ! นี่เป็นเหมือน Star Wars จริงๆ’ ผมโยนนิตยสารลงบนโต๊ะของดอนและพูดว่า ‘เราต้องได้เรื่องนี้’” บรัคไฮเม
อร์กล่าว
เมื่อถึงจุดนี้ ครูซกำลังสร้างตำนาน ร่วมกับริดลีย์ สก็อต โดยเขาถูกดึงดูดด้วยโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับ “ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ การจัดแสงและช็อตอย่างแท้จริง” และการได้เดินทาง “ผมอยากเห็นโลก” ครูซกล่าว “สำหรับผม การทำงานกับริดลีย์ สก็อตที่ไพน์วู้ดในอังกฤษมีความหมายกับผมมาก มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปต่างประเทศและผมต้องการเห็นว่าทีมงานชาวอังกฤษทำงานอย่างไร ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ไปที่นั่น”
นอกจากนี้ มันยังเป็นครั้งแรกที่ครูซได้ทำงานร่วมกับสมาชิกในครอบครัวสก็อต “และริดลีย์ก็พูดว่า ‘คุณต้องเจอโทนี น้องชายของผม’ ณ จุดนี้ โทนีเคยถ่ายทำหนังเรื่อง The Hunger มาแล้ว และคุณจะเห็นว่าเขาเป็นศิลปินที่มีวิสัยทัศน์อย่างแท้จริง” ครูซกล่าว “ดังนั้นผมจึงอ่านบท [สำหรับ Top Gun] ไปที่แอลเอเพื่อพบกับโทนี และได้เห็นการออกแบบทั้งหมดของเขา ผมใช้เวลากว่าหนึ่งปีกับพี่ชายของเขา แล้วก็มีโทนี และโทนีก็เหมือนน้องชายที่ร่าเริง เขามีหนังสือที่ยอดเยี่ยมเล่มนี้ [เกี่ยวกับลุคของหนัง] แล้วก็มีดอนและเจอร์รีอยู่ในห้องทำงานของพวกเขา และผมก็คิดภาพออกเลยว่าพวกเขาจะทำอะไรออกมา แต่บทไม่ค่อยดีนัก มันไม่เวิร์ค ตัวมาเวอริคไม่ได้มีบุคลิกที่แท้จริง มันก็เป็นแค่โลกใบหนึ่งเท่านั้นเอง”
ด้วยความที่ครูซเป็นตัวเลือกดั้งเดิมของสก็อตและทีมผู้อำนวยการสร้างเสมอมา หลายๆ อย่างก็เลยต้องอาศัยการประชุม แต่นี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่รู้: พวกเขาอยู่ในรายชื่อคนที่ครูซต้องการด้วยเช่นกัน “ผมติดตามเจอรีกับดอนอยู่ พวกเขาเป็นผู้อำนวยการสร้างที่มาแรง” ครูซเล่า “และไม่ใช่มาแรงเท่านั้นแต่ยังมีความคิดสร้างสรรค์ด้วย และเมื่อคุณพบพวกเขา คุณก็รู้ ดังนั้น เราก็เลยเริ่มพูดถึงบทหนังเรื่อง Top Gun นี้ และผมก็พูดว่า ‘ฟังนะ สำหรับผม นี่มันหนังการแข่งขัน เป็นหนังเกี่ยวกับการแข่งขัน เป็นหนังเกี่ยวกับเกียรติยศ เป็นหนังเกี่ยวกับมิตรภาพ เกี่ยวกับการเสียสละ เดิมพันและความผิดพลาด และการยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น’
“หลังการประชุม ผมต้องบินไปนิวยอร์ก ผมพูดกับตัวแทนของผมที่มารับผมในรถลิมูซีนสีขาว… ผมหมายถึง นั่นมันปี 1984 น่ะครับ… อย่างไรก็ตาม เราขับรถไปและผมก็พูดว่า ‘ผมจะแสดงหนังเรื่องนี้ แต่อย่าบอกพวกเขานะ นี่คือสิ่งที่ผมต้องการสำหรับข้อตกลงนี้: ผมจะพัฒนาบทร่วมกับพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน แล้วผมก็ต้องการเข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการทุกครั้ง นั่นต้องเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง ผมต้องการดูว่าพวกเขาทำงานอย่างไรตั้งแต่ระดับสูงจนถึงระดับล่าง และผมก็ต้องการบินไปกับหน่วยบลูแองเจิลส์’ น่ะครับ”
บลูแองเจิลส์คือทีมโชว์แสดงการบินของกองทัพเรือที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1946 และสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนมากมายทั่วสหรัฐอเมริกาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนั้น พวกเขายังเป็นประเด็นของความขัดแย้งที่แท้จริงในเรื่องที่ว่า ทอม ครูซตอบตกลงสำหรับ Top Gun เมื่อใด
หากถามบรัคไฮเมอร์ เขาก็จะบอกคุณว่าเขาได้จัดการให้ครูซบินไปกับบลูแองเจิลส์ที่มิรามาร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย นอกจากนี้ เขายังจะบอกคุณด้วยว่าครูซปรากฏตัวบนรันเวย์ด้วยมอเตอร์ไซค์ ผมยาวของเขาจาก Legend ปลิวไสวอย่างอิสระในสายลม และนักบินของกองทัพเรือก็มองดู “ฮิปปี้” ฮอลลีวูดคนนี้และให้คำมั่นว่าจะทำให้เขาได้สัมผัสกับโรลเลอร์โคสเตอร์การบินที่สุดเหวี่ยง และครูซ หลังจากที่โดนพลิกตัวกลับไปด้วยแรงประมาณ 4-5 G ในที่สุด ก็ได้ลงถึงพื้น เขาเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ใกล้ๆ โทรหาบรัคไฮเมอร์และบอกเขาว่า “ผมตกลง” อย่างน้อยที่สุดนั่นก็คือสิ่งที่บรัคไฮเมอร์พูด
“เจอร์รีพูดอย่างนั้น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง” ครูซหัวเราะเมื่อได้ฟังเรื่องในตำนานนี้ “ผมไว้ผมยาวก็จริง แต่พวกนักบินไม่ได้ทำผมลำบากใจ พวกเขาสนใจมากว่าผมหลงใหลในการบินมากแค่ไหน มันเป็นความฝันของผมที่จะได้บินกับพวกบลูแองเจิลส์! มันเป็นเที่ยวบินที่ยอดเยี่ยม เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้สึกถึงแรง G คุณสามารถอ่านเรื่องเกี่ยวกับแรง G-force ได้ แต่คุณจะไม่เข้าใจมันจนกว่าคุณจะผ่านมันด้วยตัวเอง และมันก็เป็นการเดินทางที่ยอดเยี่ยม พวกเขาให้ผมทำในสิ่งที่ผมอยากทำ และผมก็ได้แต่เร่งไป [ถึงประมาณ 5G] และสิ่งที่เจอร์รีไม่รู้ เพราะผมไม่ยอมบอกการตัดสินใจของผมกับพวกเขาอยู่เป็นเดือนๆ ว่าผมจะรับเล่นหนังเรื่องนี้รึเปล่า ก็คือผมรู้ว่าผมจะตกลง ผมแค่ต้องการดูว่าบทจะเปลี่ยนไปอย่างไร และผมก็อยากให้มีระบุในสัญญาของผมกับสตูดิโอว่าผมจะบินในเครื่อง F-14 ดังนั้น มันก็เลยถูกใส่อยู่ในสัญญาด้วยว่าพวกเขาต้องถ่ายทำผมในเครื่อง F-14”
ข้อตกลงบรรลุเรียบร้อย และมันก็เป็นข้อตกลงที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าสำคัญต่อทุกคนที่เกี่ยวข้อง สำหรับครูซ นั่นถือเป็นส่วนสำคัญของความก้าวหน้าของเขา การได้เรียนรู้ขั้นตอนงานสร้างจากคนที่เก่งที่สุดของที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องเหมาะสม เมื่อพิจารณาจากประเด็นเนื้อหาของภาพยนตร์ ในบางแง่มุม เขายังคงประหลาดใจว่าเขารอดมาได้อย่างไร “ผมเป็นเด็ก มันเลยเหมือนกับว่า ‘คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? บังอาจมาก!’ แต่ต้องยกย่องดอนกับเจอร์รีและโทนี พวกเขาใจดีกับผมอย่างไม่น่าเชื่อและยินดีต้อนรับผมเข้าสู่กระบวนการ ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ในการประชุมแต่ละครั้ง มันเป็นขั้นตอนถัดไปสำหรับผม” เขากล่าวในตอนนี้
ครูซตอบรับขั้นตอนถัดไปด้วยความทุ่มเทตามปกติ และซิมป์สัน บรัคไฮเมอร์ และสก็อตก็ทำตามคำพูดของพวกเขา และต้อนรับเขาเข้าสู่กระบวนการทำงานทั้งหมด “โฟกัสของผมในแง่ของ Top Gun” ครูซกล่าว “กว้างขวางมาก” ตั้งแต่เรื่องโครงสร้างบทและ “วิศวกรรมเรื่องราว” ไปจนถึงการจัดแสง ชุด เลนส์ ไปจนถึงฟิลเตอร์แฮนด์เมดของสก็อต สีสันและการจัดตำแหน่งองค์ประกอบภาพ ครูซซึมซับทุกอย่าง “ผมเข้าไป” เขาพูด “และผมก็ตั้งใจฟัง”
ในขณะที่เพื่อนร่วมแสดงของเขาตกอยู่ในความสนใจ ครูซยังคงมีสมาธิแน่วแน่ “ตอนที่ผมแสดงใน Top Gun” เขากล่าว “พวกเขาเหล่านั้น ทุกคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างจากผม ผมตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนกระบวนการของผมไปเลย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ออกไปงานปาร์ตี้ ผมก็นั่งเรียนอยู่ที่บ้าน ผมฝึกฝนและทำงานอยู่ครับ”
รู้สึกถึงความต้องการ
คุณจะเริ่มต้นที่ไหน เมื่อคุณกำลังคิดที่จะสร้างภาคต่อของภาพยนตร์ที่โด่งดังจนมันยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อป 36 ปีหลังจากเปิดตัวครั้งแรก ปรากฏว่า บางครั้งคำตอบก็อยู่ตรงหน้าคุณมาตลอด
“ในตอนที่เราเริ่มทำงาน [ซีเควล] นี้ครั้งแรก ผมบอกโทนีว่า ‘เราต้องดู Top Gun คุณ ผม และเจอร์รีจะมาดูหนังภาคแรกกัน” ครูซกล่าว “เราทุกคนคิดว่าเรารู้อยู่แล้วว่า Top Gun คืออะไร มาดูด้วยกันเถอะ เราต้องย้อนกลับไปดูมัน เพื่อที่จะรู้สึกถึงมัน ‘”
แน่นอนว่าเรื่องนี้ย้อนกลับไปในปี 2010 สองปีก่อนที่โทนี สก็อตจะเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าในวันที่ 19 สิงหาคม ปี 2012 แต่การฉายครั้งแรกนั้น ที่มีทีมงานเบื้องหลังชุดดั้งเดิมสามคนนั่งอยู่ที่นั่นในความมืด ก็ยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งการก่อร่างสร้างตัวสำหรับสิ่งที่ Top Gun: Maverick จะมาเป็น การดูในเช้าวันนั้นยังคงฝังแน่นอยู่ใน DNA ของมัน
“ผมอยากให้เราดูหนังด้วยกันเพราะคนคิดว่าพวกเขารู้ว่า Top Gun คืออะไร แต่พวกเขาไม่เข้าใจกลไกของสิ่งที่หนังเป็นจริงๆ” ครูซกล่าว “ทุกคนพูดว่า ‘พระเจ้า! มันเป็นหนังที่บันเทิงมาก!’ และผมก็พูดว่า ‘ใช่ จริงด้วย แต่ผู้ชายคนนี้ [มาเวอริค] สูญเสียพ่อของเขา ถูกทรยศและถูกขับไล่ ไม่ได้ไปโรงเรียนนายเรือ เพื่อนของเขาเสียชีวิต เขาทำตัวก้าวร้าวสุดๆ เขาแทบจะไปไม่ถึงท็อปกันด้วยซ้ำ มีดรามาจริงจังเกิดขึ้นในเบื้องลึกของหนังเรื่องนี้ มันมีดนตรีที่ยอดเยี่ยมและให้ความบันเทิง แต่มาเวอริค… เขาไม่ใช่ผู้เล่นทีม เขาออกไปข้างนอกนั่นเพื่อเอาชนะไอซ์แมนและเพื่อเอาชนะทุกคน เขาออกไปที่นั่นเพื่อเอาชนะกองทัพเรือ’ มันตลกดีนะครับ [ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา] มีคนมากมายเข้ามานำเสนอแนวคิดเหล่านี้ [สำหรับซีเควล] และผมก็จะพูดว่า: ‘นั่นไม่ใช่ Top Gun’”
หลังจากการฉายภาพยนตร์ ครูซ, บรัคไฮเมอร์ และสก็อต ผู้ได้ร่วมงานกันอีกครั้งในผลงานร่วมกันเรื่องที่สองคือ Days Of Thunder ในปี 1990 ก็ได้พูดคุยซักถามกัน “เราดูหนังเรื่องนี้และรู้สึกถึงมันในฐานะผู้ชม เพราะเราไม่ได้ดูมันตั้งแต่ที่มันเข้าฉายครับ” ครูซกล่าว “ตั้งแต่รอบปฐมทัศน์ เรายังไม่ได้นั่งดูหนังด้วยกันในโรงหนังเลย ตั้งแต่ปี 1986 โน่นแน่ะ ดังนั้น เช้าวันนั้นก็เลยเป็นช่วงเวลาที่วิเศษมากที่เราได้ดูและพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันทำให้เราย้อนนึกถึงความหลัง รู้ไหม? ดอน เจอร์รี กับโทนี… มีเราสี่คน นั่นคือสีสันในหนังเรื่องนั้นครับ การมารวมตัวกันของผู้คนทั้งหลาย รวมไปถึงสิ่งที่โทนีทำสำเร็จเชิงภาพวิชวลด้วย! โทนี จิตวิญญาณของเขา ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง พลังงานที่เขานำมาสู่ Top Gun ความเข้าใจนั้น การเล่าเรื่องนั้น ความกระฉับกระเฉงนั้น”
บรัคไฮเมอร์เห็นด้วย “เราตั้งใจเอาไว้แล้ว” เขากล่าว “ว่าถ้าเราจะสร้างภาพยนตร์ Top Gun ขึ้นมาใหม่ มันต้องเป็นไปตามความคาดหวังต่อสิ่งที่โทนีสร้างขึ้น เช่นเดียวกับนักบินท็อปกัน โทนีคือที่สุดของที่สุด เรามีอะไรมากมายที่ต้องทำตามความคาดหวังครับ” ในขณะเดียวกัน สำหรับโคซินสกี้ เมื่อเขาเข้ามาทำงาน มันจะเป็นเรื่องของการสร้างบางสิ่งที่สามารถยืนเคียงข้างภาพยนตร์ภาคแรกของสก็อตได้อย่างภาคภูมิใจ “การเดินตามรอยเท้าเขาเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เลย” โคซินสกี้กล่าว
สำหรับแม็คควอร์รีย์ สถานะในตำนานของภาพยนตร์ต้นฉบับนั้นเป็นทั้งความช่วยเหลือและอุปสรรค “สิ่งหนึ่งที่เราพบเจออยู่เสมอ” แม็คควอร์รีย์กล่าวถึงการพูดคุยครั้งแรกหลังจากที่เขาเข้ามาร่วมงานในช่วงประมาณปี 2015 “คือพลังของหนังต้นฉบับและสิ่งที่หนังต้นฉบับได้กลายมาเป็นในใจของผู้คน ไม่ใช่แค่สิ่งที่มันเป็น แต่สิ่งที่มันกลายเป็นด้วยน่ะครับ”
เขายังจำได้ในภายหลังว่าได้ดู Top Gun อีกครั้งโดยนั่งระหว่างครูซและบรัคไฮเมอร์ “ผมอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครในระหว่างการฉายหนังครั้งนั้น” แม็คควอร์รีย์หัวเราะ “ด้วยบทบรรยายดีวีดีมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่คุณจะมีได้ ด้วยการที่ทอมกับเจอร์รีคุยให้ผมฟังเกี่ยวกับฉากต่างๆ และวันที่พวกเขาถ่ายทำมัน มันเป็นเส้นทางนึกย้อนความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ก็เป็นวิธีในการปรับบริบทความประทับใจของเราที่มีต่อหนังเรื่องนั้น เพื่อปล่อยให้ตัวเราสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาน่ะครับ
ระหว่างการเขียนบทหนังเรื่องนี้และระหว่างการถ่ายทำและลำดับภาพ หลายครั้งที่เราพบว่าตัวเองเอนเอียงไปที่การจำลองช่วงเวลาต่างๆ จากหนัง [ต้นฉบับ] แทนที่จะสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา และเราพบครั้งแล้วครั้งเล่าว่ายิ่งเราปล่อยวางจากหนังต้นฉบับและไปในทิศทางของเราเองมากเท่าไหร่ หนังเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องจริงมากขึ้น และมีความเป็นไปได้จริงๆ ที่จะกลายเป็นบางสิ่งที่ยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง เป็นเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับทอมและผมที่ทุกครั้งที่เราสร้างหนัง ไม่ว่าเราจะสร้าง Mission: Impossible หรือเรื่องไหนก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องดูหนังต้นฉบับเพื่อที่จะสนุกไปกับเรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากๆสำหรับเราที่คุณจะต้องไม่ถูกพาออกจากหนังเรื่องนี้และถูกบังคับให้จำบางอย่างหรือย้อนนึกไปถึงหนังเรื่องอื่น มันมีการรำลึกถึงความหลังมากมายในหนังเรื่องนี้ มีกระจกสะท้อนและภาพสะท้อนถึงอดีตมากมาย แต่หนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวของตัวเองอย่างมากครับ”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องการสร้างโทนแบบไหน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการค้นพบโทนเป็นเรื่องง่าย “มันเป็นความสมดุล” คือวิธีที่ครูซอธิบายถึงการค้นหาวิธีที่ใช่ “ตอนนี้ที่ผมเคยผ่านการสร้างซีเควลมาแล้ว ด้วย Mission: Impossible มันก็ช่วยให้ผมเข้าใจวิธีการสร้าง Top Gun: Maverick อย่างแท้จริง ผู้คนถามหาซีเควลภาคนี้มาหลายปีแล้ว พวกเขาเอาแต่ถามและถาม แต่ Mission เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่า ‘คุณรู้ไหม ถ้าผมสามารถสร้างซีเควลได้ ถ้าผมสามารถเรียนรู้อะไรบางอย่าง และสามารถเล่นในรูปแบบนี้ ในฐานะผู้อำนวยการสร้างและศิลปิน… บางที’
“นอกจากนั้น เมื่อถึงจุดนี้ ผมยังตระหนักด้วยว่ามีความท้าทายในการสื่อสารกับผู้ชมในหนังหลายภาคต่อกัน มีบทสนทนาที่น่าสนใจที่ผมสามารถพูดคุยกับผู้ชมได้ ความก้าวหน้าในแง่ของเรื่องราว และมันก็ทำให้สตูดิโอมีพื้นที่ให้ผมผลักดันบางอย่างออกไป ผมได้อำนวยการสร้าง Mission:Impossible ภาคแรกและรู้สึกภูมิใจกับมันจริงๆ และหลังจากผ่านไปสามภาคแล้ว ผมก็มานั่งประเมินทั้งสามภาคนั่น และตอนนั้นเองคือตอนที่ผมสามารถเริ่มต้นได้จริงๆ แล้วก็มาถึง Ghost Protocol จากนั้นก็ Rogue Nation แล้วก็ Fallout และอีกหลายภาคถัดไป [ที่เรากำลังดำเนินการอยู่] ด้วยซีเควลของ Top Gun สตูดิโอต้องการมันและผู้ชมก็บอกว่าพวกเขาต้องการมัน แต่มันก็จำเป็นต้องมีความก้าวหน้าแบบเดียวกันในแง่ของประสบการณ์ของผู้ชม ในปี 1986 [หลังจากหนังต้นฉบับออกฉาย] ผมก็ไม่สนใจที่จะทำซีเควล เพราะผมรู้สึกว่าผมสร้าง Top Gun มาแล้วนี่ แต่การที่ผมเคยสร้างซีเควลมาแล้วด้วย Mission ก็ช่วยให้ผมเข้าใจแนวทางการสร้าง Top Gun: Maverick อย่างแท้จริง ดังนั้น ผมก็เลยวางแม่แบบเอาไว้ ผมพูดว่า ‘มันต้องเป็นการรำลึกถึงความหลัง เขาจะต้องเป็นมาเวอริค แต่เขาก็จะแก่ลง รู้ไหม’ ผมต้องการมอบ Top Gun ให้แก่ผู้ชม แต่เป็นวิวัฒนาการต่อไปของเรื่องนั้นน่ะครับ”
ทั้งหมดนี้หมายถึงสิ่งที่ตรงข้ามอย่างสมบูรณ์กับการสร้างภาพยนตร์ส่วนใหญ่ “ทุกวันเราจะปล่อยวางจากสิ่งที่เราคิดว่าหนังจะต้องเป็น” คือคำที่แม็คควอร์รีย์ใช้อธิบายกระบวนการเริ่มแรกของเขาและครูซสำหรับบทภาพยนตร์
“คุณต้องเต็มใจที่จะใส่อะไรบางอย่างลงไป [บนกระดาษ] เพื่อประเมินมันในด้านของอารมณ์ จากนั้น คุณก็ต้องเต็มใจที่จะเอามันออกไปด้วย” ครูซเห็นด้วย “คุณไม่สามารถยึดติดกับความคิดหนึ่งใดได้ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง มีฉากหนึ่ง [จากบทภาพยนตร์เวอร์ชันเก่า] ที่ผมต้องสวมแจ็กเก็ตหนัง [จากภาพยนตร์ต้นฉบับ] แต่ผมรู้ว่ามันไม่เวิร์คหรอก ผมโทรหาแม็คคิว ผมพูดว่า ‘ผมรู้ว่าผมต้องการรำลึกถึงความหลังในฉากนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าจะสร้างมันในแบบที่เป็นธรรมชาติได้ยังไง ผมสวมแจ็กเก็ตแต่มันก็ไม่ใช่ ผมต้องการแจ็กเก็ตก็จริง แต่ไม่ใช่ในฉากนี้’ เขาพูดว่า ‘อย่าสวมแจ็กเก็ตสิ’ ผมพูดว่า ‘บ้าเอ๊ย แต่ผมต้องสวมแจ็กเก็ตนะ’ เขาพูดว่า ‘เราจะหาวิธีอื่นแทน’
“ดังนั้น ก็เลยมีเรื่องเล็กน้อยมากมายในหนังที่เราตัดออกไป สิ่งที่เราคิดว่าเราต้องการ เราดึงอะไรต่อมิอะไรออกมาเรื่อยๆ แต่เราก็ใส่หลายอย่างเข้าไปด้วยเหมือนกัน” ครูซกล่าวต่อ “ผมอยากให้หนังเรื่องนี้มีการนึกถึงความหลัง และผมก็รู้ว่าผมต้องการจะเริ่มหนังเรื่องนี้อย่างไร ผมรู้ว่าผมต้องการเปิดมันอย่างไรเพราะผมอยากจะบอกกับผู้ชมว่า ‘คุณจะปลอดภัย มันจะไม่เป็นไร ผมจะให้สิ่งนี้กับคุณตอนนี้เพราะผมรู้ว่าคุณรอมานานแล้ว และนี่ไงล่ะ’ และเราก็พบมันที่นั่น ความสมดุลนั้นน่ะครับ นั่นคือการเปิดตัวของหนังเรื่องนี้และนี่คือหนังที่ผมอยากจะทำครับ”
บางครั้ง ความเย้ายวนใจของการล่องลอยไปไกลเกินไปในน่านน้ำของความหลังก็สูงลิบ บรัคไฮเมอร์พูดถึงเวลาของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเหมือนกับการได้เห็นเพื่อนเก่าที่คุณไม่ได้เจอมาสักพักหนึ่งแล้ว และมีความสุขไปกับการได้อยู่กับพวกเขาอีกครั้ง แต่เขายังตระหนักด้วยว่า ประการแรก ซีเควลที่ดีมักจะต้องมองไปข้างหน้าและข้างหลังเสมอ และสิ่งสำคัญคือ หากคุณพยายามจะสร้างความรู้สึกนึกถึงความหลังเพียงเพื่อให้เกิดความรู้สึกแบบนั้น มันจะให้ความรู้สึกของความเสแสร้ง
“คุณจะต้องรู้สึกถึงความหลัง แต่คุณต้องพบมันภายในขอบเขตของเรื่องราว” ครูซเห็นด้วย “ผมกับแม็คคิวคุยกันถึงเรื่องนั้น จริงๆ แล้ว ก็ตอนที่เรากำลังทำ Fallout น่ะครับ ผมพูดว่า ‘ผมคิดว่าเรามีเรื่องราวแล้ว’ มันก็ไม่ใช่ว่าเรามีเรื่องราวทั้งหมดหรอกนะครับ แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างรูสเตอร์กับมาเวอริค เพียงเท่านั้นเอง มันมีเรื่องราว และจากจุดนั้น เราก็ต่อยอดด้วยตัวละครเพ็นนี ตัวละครอื่นๆ และโลกใบนั้น ประมาณว่าโลกใบนั้นปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร? มันพัฒนามาจากสิ่งนั้นจริงๆ ผมพูดกับสตูดิโอว่า ‘โอเค เข้าใจล่ะ นี่คือข้อตกลง คุณต้องรู้ว่าคุณต้องเจอกับอะไร’ และผมก็พูดกับนักแสดงว่า ‘นี่คือวิธีที่เราจะสร้างมัน และเราจะสร้างมันจนกว่ามันจะเวิร์ค’ หนังทุกเรื่องที่ผมสร้างคือบทสรุปของทุกสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ หนังทุกเรื่องคือขั้นตอนต่อไป ผมจะไม่หยุดก้าวต่อไป ผมรู้ว่าไม่มีความแน่นอนหรอกครันบ ความสมบูรณ์แบบเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบรรลุได้ มันเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมและนั่นก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ตั้งเป้าไปที่จุดนั้นน่ะครับ”
ถึงกระนั้น Top Gun: Maverick ก็มีความหมายมากกว่าทั้งหมดนั่นสำหรับครูซ อาจจะมากกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ จนถึงตอนนี้ “การอำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ร่วมกับเจอร์รีเป็นการเดินกลับมาสู่จุดเริ่มต้นในหลายๆ ด้านสำหรับผม” เขากล่าว “ผมไม่ได้รับเครดิตผู้อำนวยการสร้างในเรื่อง Top Gun แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งดูและสังเกตการณ์จริงๆ งานที่เกี่ยวกับการอำนวยการสร้างครั้งแรกของผมคือกับ Top Gun ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เพราะผมไม่ได้อำนวยการสร้าง Top Gun แต่มันเป็นการศึกษาของผม ผมไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ผมทำกับคนอื่นหรือกับสื่อ ผมไม่พูดเรื่องนี้กับใครเลยด้วยซ้ำ ผมแค่ทำมันน่ะครับ”
แล้วก็มีเรื่องของโทนีอีก หลายปีให้หลัง หลังจากที่สร้างภาพยนตร์เรื่องแรกกับครูซและบรัคไฮเมอร์ในช่วงต้นทศวรรษ 80 แล้วได้มานั่งอยู่ในห้องฉายภาพยนตร์นั้นเพื่อดูมันอีกครั้งในปี 2010 ด้วยมุมมองที่ว่าจะสร้างภาคต่อขึ้นมา โทนีจะมอง Top Gun: Maverick อย่างไรนะ? ปรากฏว่า นั่นเป็นคำถามที่ผู้สร้างได้ครุ่นคิดถึงเป็นอย่างมาก และคำตอบของพวกเขาก็เป็นเอกฉันท์ “เขาคงชอบมัน” ครูซกล่าว
ภาพยนตร์คือภารกิจ
คาเมรอน โครว์เล่าเรื่องเกี่ยวกับทอม ครูซที่สรุปทัศนคติของเขาที่มีต่อภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี มันมาจากช่วงเวลาของ Jerry Maguire ซึ่งเป็นภาพยนตร์คลาสสิกปี 1996 ที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ เรื่องราวดังกล่าวเกี่ยวกับเด็กชาย ซึ่งตอนแรกถูกเลือกให้มารับบทเรย์ บอยด์ ลูกชายของโดโรธี ตัวละครของเรเน เซลวีเกอร์ แต่ต่อมา โจนาธาน ลิปนิกกี้ วัย 5 ขวบก็ได้มารับบทนี้แทนและเอาชนะใจคนทั้งโลกได้ด้วยการทำตาโตขณะพูดบทพูดต่างๆ เช่น “คุณรู้ไหมว่าศีรษะมนุษย์มีน้ำหนัก 8 ปอนด์” แต่สำหรับเด็กชายที่เดิมได้รับบทเรย์ โชคชะตาไม่ได้กำหนดมาให้มันเป็นบทของเขา อย่างที่โครว์พูดเอาไว้ว่า เด็กชายคนแรกนั้น “น้ำมันหมด” ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในกองถ่ายและขอถอนตัวออกจากการถ่ายทำ
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นและเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย แต่โครว์กล่าวว่า สิ่งที่ครูซทำต่อไปไม่ได้เป็นแบบนั้นจริงๆ นอกจากนี้ โครว์ยังบอกด้วยว่า มันแสดงให้เห็นว่าทอม ครูซรักภาพยนตร์มากแค่ไหนและต้องการให้ทุกคนรักพวกมันด้วย ด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของเขา ครูซได้โทรหาครอบครัวของเด็กคนนั้นและขอคุยกับเขา เพื่อให้แน่ใจว่าเวลาของเขาในกองถ่ายภาพยนตร์จะไม่ทิ้งรอยแผลใดๆ เอาไว้
“ผมไม่อยากให้เขารู้สึกแย่ที่มันไม่ได้เป็นโชคชะตาของเขาที่จะแสดงบทนี้” ครูซกล่าวในตอนนี้ “มันไม่ใช่ชะตากรรมของเขา ผมบอกเขาว่า ‘หนูอยากจะทำอะไร’ และเขาก็พูดว่า ‘ผมอยากไปดิสนีย์แลนด์’ ผมก็เลยส่งเขาและครอบครัวของเขาไป” อย่างที่โครว์บอกกับวานิตี้ แฟร์ในภายหลัง: “ทอมพูด [กับผม] ‘ผมแค่ไม่ต้องการให้นักแสดงคนแรกนั้นไปดูหนัง ดูหน้าจอแล้วคิดว่าเขาล้มเหลว’ เขาพูดว่า ‘ผมอยากให้เขารักหนังตลอดชีวิตของเขา’”
ยี่สิบห้าปีให้หลัง ความหลงใหลในสื่อชนิดนี้ของครูซก็ยังคงไม่จืดจาง “รู้ไหม ผมรู้เรื่องของการลำดับภาพในตอนที่ผมกำลังถ่ายทำอะไรบางอย่าง ในใจผมจะเล่นหนังเรื่องนั้นๆ ไปด้วยระหว่างถ่ายทำเพราะผมรู้เรื่องเลนส์และช็อต และทุกอย่างที่กำลังดำเนินไป” ครูซกล่าว “ดังนั้น ผมก็เลยจะแสดงเทคที่แตกต่างกันด้วยการแสดงที่แตกต่างกันออกไป ระหว่างที่เราถ่ายทำ ผมจะสร้างระดับต่างๆ ขึ้นมา ‘ถ้าการลำดับภาพเป็นในรูปแบบนี้ ผมก็รู้ว่า [มือลำดับภาพ] จะต้องการช็อตนี้ แล้วถ้าการลำดับภาพเป็นแบบนี้ เขาจะต้องการ…’ คุณจะต้องสัมผัสถึงเรื่องราวนั้นๆ น่ะครับ”
ความรู้และความหลงใหลนั้นยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ครูซต่อสู้อย่างหนักที่จะอนุรักษ์สื่อชนิดนี้ไว้ในทุกวิถีทางที่เขาทำได้ เขามองเห็นงานของเขาในลักษณะนี้: “ผมจะทำให้คุณ [ผู้ชม] นั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น แล้วผมจะทำให้คุณประหม่า ทำให้คุณหัวเราะ และคุณกับผมก็จะคุยกันระหว่างที่คุณกำลังดูหนังเรื่องนั้นอยู่” ถึงมันจะฟังดูเรียบง่าย แต่มันก็ไม่ค่อยจะเป็นเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงตอนที่คุณถ่ายทำหนังแล้วเกิดโรคระบาดใหญ่ทั่วโลกที่พยายามจะหยุดคุณไม่ให้ทำงานสำเร็จ
“มันรุนแรงมากครับ มีหลายช่วงเวลาในชีวิตของผมที่คนอื่นพูดว่า ‘ทำไม่ได้หรอก’ หลายครั้ง หลายครั้งมากๆ และมีหลายครั้งที่คุณนั่งอยู่ที่นั่นและคิดว่า ‘บางที มันอาจจะทำไม่ได้ก็ได้ แต่ผมก็จะพยายาม ผมจะต้องคิดให้ออกให้ได้’ น่ะครับ”
บรัคไฮเมอร์กล่าวว่า นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ครูซอยู่ในตำแหน่งที่เขาอยู่ และเหตุผลที่ทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งนั้นมานานเหลือเกิน “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ทอมเป็นหนึ่งในดาราหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าไม่ยิ่งใหญ่ที่สุด” บรัคไฮเมอร์กล่าว “เหตุผลที่หนังของเขาทำได้ดีและดีเหลือเกินก็เพราะเขาทุ่มเททั้งเวลา พลังงาน และความมุ่งมั่นอย่างมากลงไปในหนังเหล่านั้นน่ะครับ” คุณทำอย่างไรก็จะได้รับผลลัพธ์อย่างนั้น
“ผมเชื่ออย่างนั้นมากๆ” ครูซกล่าว “ผมตระหนักว่าใน Top Gun ภาคแรก มีสิ่งที่สำคัญต่างๆ ที่เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับผม ในแง่ของเวลาที่ผู้คนมอบให้ผมและสิ่งต่างๆ ที่ผมทำ และตอนนี้ใน Top Gun: Maverick และที่อื่นๆ มีหลายสิ่งที่ผมอยากจะแบ่งปันกับคนอื่นๆ ถ้าพวกเขาต้องการ [นักแสดงหนุ่มสาว] ถามผมว่า ‘คุณทำได้อย่างไร? คุณทำอะไร’ นี่ไงครับคือสิ่งที่เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมทำ สำหรับผม ผมได้เห็นตอนที่ผมโตมาว่ามีผู้คนที่ใจดีมากๆ และบางคนก็ไม่ พวกคนที่ไม่ก็จะไม่ต้องการให้คุณรู้ว่าพวกเขารู้อะไรเพราะพวกเขาได้สร้างความลึกลับขึ้นมาห่อหุ้มตัวเองเอาไว้เพื่อที่พวกเขาจะได้ถือครองพลังเอาไว้ เพื่อกดคุณเอาไว้ คนพวกนั้นไม่ต้องการให้คุณรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเบื้องหลังประตูที่ปิดอยู่ มันเป็นเรื่องของการควบคุมครับ แต่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ผมอยากให้ทุกคนรู้ทุกอย่าง ผมอยากให้ผู้คนได้รับพลัง และสร้างหนังให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนอย่างที่เจอรีทำกับผมน่ะครับ”
ถ้าคุณถามเพื่อนร่วมแสดงของครูซในเรื่อง Top Gun: Maverick พวกเขาจะบอกคุณว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในภารกิจนั้น ว่าสิ่งที่เขามอบให้กับพวกเขาคือความเชื่อในความสามารถของพวกเขาและความปรารถนาที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับพวกเขาอย่างที่เขาเคยทำมา และอย่างที่บรัคไฮเมอร์เคยทำกับเขา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“การทำงานกับทอม ครูซนั้นดีกว่าที่คุณจะจินตนาการได้” พาวเวลกล่าว “หลายครั้งที่คุณอยู่ต่อหน้าดาราหนัง พวกเขาจะคอยเตือนคุณระลึกได้ว่าพวกเขาเป็นดาราหนัง แต่ทอมน่ะตรงกันข้ามเลย เขาเป็นคนที่อยากจะลดกำแพงลงในทันที พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราว เกี่ยวกับอารมณ์ ทำหน้าที่สอน เป็นที่ปรึกษา เป็นเพื่อน เขามองทุกคนเท่าเทียมกัน เป็นคู่หูกัน เป็นทีมเดียวกัน เขาจะบอกคุณว่า ‘ฟังนะ มันจะไม่ใช่เรื่องง่าย มันจะเป็นเรื่องยากมากๆ เราอาจจะไม่ได้ตามต้องการในช็อตแรก แต่เราก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เทียบเท่าหรือดีกว่าภาคแรก’ น่ะครับ ทั้งชีวิตของเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าเขาสามารถส่งมอบบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน มันเป็นแรงกดดันมหาศาลที่เขากดดันตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะได้ดูหนังที่พวกเขารอคอยมา 36 ปีน่ะครับ”
แม็คควอร์รีย์เองก็จดจำความกดดันได้เช่นกัน “ไม่บ่อยนักหรอกครับที่คุณจะถูกเรียกร้องให้สร้างภาคต่อของหนังที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเป็นสิ่งที่สร้างคำนิยามให้กับยุคสมัยนั้นๆ เหมือนภอย่าง Top Gun” เขากล่าว “และผมก็ตัดสินใจแต่เนิ่นๆ ที่จะไม่ลอง ผมไม่ได้สนใจที่จะพยายามจำลองหรือหวนรำลึกถึงความมหัศจรรย์ของหนังต้นฉบับ ซึ่งส่วนมากแล้วจะเกี่ยวข้องกับยุคสมัยที่มันเข้าฉาย เพลงที่ดังในสมัยนั้น เทคโนโลยีที่มีอยู่ และนักแสดงและดาราในแบบที่ทอม ครูซเป็นในตอนนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเขาในตอนนี้ เหนือสิ่งอื่นใด ผมแค่อยากเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ดีจริงๆ ซึ่งนั่นคือทั้งหมดที่ผมกับทอมโฟกัสกับมันตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเริ่มทำงาน เราถูกท้าทายทุกวันไม่ให้โฟกัสไปที่หนังต้นฉบับ ไม่ต้องวิตกหรือกังวลกับมัน ในลักษณะ [เดียวกัน] ที่กู๊สปรากฏเป็นวิญญาณที่อยู่เหนือ Maverick Top Gun ต้นฉบับเองก็มีวิญญาณปรากฏอยู่เหนือเราเช่นกัน เรารู้ว่าเราเป็นหนี้แฟนๆ ของหนังเรื่องนั้น ที่เราจะต้องสร้างหนังที่ดีพอๆ กัน หนังที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองน่ะครับ”
สำหรับครูซ ทุกอย่างย้อนกลับไปที่ Taps ภาพยนตร์แจ้งเกิดของเขา “ผมมองตัวเองเป็นระบบสนับสนุนและเป็นงานของผมที่จะต้องช่วยพวกเขา [นักแสดง] การช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าเรากำลังพยายามสร้างหนังแบบไหน เราพยายามจะทำอะไรให้สำเร็จ นี่คือสิ่งที่ผมมีที่มันเริ่มต้นมาจาก Taps วันหนึ่งในหนังเรื่องนั้น ผมเข้าไปในเมืองและโกนผมทิ้ง” ครูซหัวเราะ “ผมเคยไว้ผมยาวกว่านั้น แต่ผมตัดสินใจที่จะโกนผมเพื่อตัวละครของผม และผมก็ปรากฏตัวขึ้นที่ลานสวนสนาม ผมสวมหมวกเอาไว้และมี [ผู้กำกับ] ฮาโรลด์ เบ็คเกอร์อยู่ตรงนั้น เรากำลังซ้อมขบวนพาเหรดทั้งหมด เขาพูดว่า ‘โอเค ครูซ ไปยืนตรงนั้น…’ แล้วผมก็ถอดหมวกออกและเขาก็ตะโกนว่า ‘ครูซ!’ ผมพูดว่า ‘ครับผม!’ ผมถูกเลี้ยงดูมาในภาคใต้ ดังนั้น ทุกอย่างก็เลยเป็น ‘ครับผม’ , ไม่ครับผม/ ครับคุณผู้หญิง, ไม่ครับคุณผู้หญิง ‘ เขาพูดว่า ‘ครูซ! เกิดอะไรขึ้นกับผมของคุณ?’ ผมตอบว่า ‘ผมโกนผมแล้ว นี่คือตัวละครของผม’ เขาต้องนั่งลงและอธิบายว่า: ‘ครูซ ผมเป็นผู้กำกับ แล้วก็ยังมีผู้อำนวยการสร้างอีก ไม่เป็นไรถ้าคุณต้องการจะตัดผม แต่คุณต้องถามใครสักคนก่อนสิ!’
“ผมหมายถึงผมไม่รู้นี่ครับ!” ครูซหัวเราะ “มันมีอะไรต่อมิอะไรอยู่ในหัวของผมระหว่างหนังเรื่องนั้น ผมพยายามทำความเข้าใจกับทุกอย่างเกี่ยวกับหนังและการเล่าเรื่อง ตอนกลางคืน ผมจะนอนอยู่บนเตียงและคิดว่า ‘ถ้าฉันรู้ทั้งหมดล่ะก็!’ ผมเครียดมาก ผมนอนไม่หลับ ตาจ้องมองเพดาน…” เขาหัวเราะเบาๆ กับความทรงจำนั้น “และผมก็คิดว่า ‘นี่ฉันทำอะไรอยู่’ ผมอยู่บนเตียงนั่น และผมก็เริ่มหัวเราะ ผมพูดกับตัวเองว่า ‘ฉันทำดีที่สุดแล้ว เท่านั้นล่ะ เท่านั้นล่ะ ผมรู้ว่าผมต้องการทำสิ่งนี้ไปตลอดชีวิต ดังนั้น อย่าคิดทึกทักเอาเอง แต่จงทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมีสมาธิจดจ่ออยู่กับมัน’ น่ะครับ”
เช่นเดียวกับที่สมาชิกใหม่ของ Top Gun: Maverick ได้เรียนรู้จากครูซ เมื่อตอนที่เขาอายุเท่าพวกเขา เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของสแตนลีย์ เจฟฟ์ ผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่อง Taps ผู้มีบรรพบุรุษเกี่ยวข้องภาพยนตร์หลายรุ่น “ผมได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นทั้งหมด” ครูซกล่าว “ดังนั้น ผมก็เลยสนใจในประวัติศาสตร์ของหนัง ต้นกำเนิดของหนัง หรือการแสดงสลับฉาก ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าหนัง อะไรคือการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันในเรื่องของหนังและการเล่าเรื่อง? ชาร์ลี แชปลิน พัฒนาอย่างไร? แฮโรลด์ ลอยด์ล่ะ?” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองผ่านเลนส์ของแชปลินและลอยด์ เราก็สามารถมองการแสวงหาความสมจริงของครูซในแง่ของการแสดงฉากผาดโผนด้วยตัวเองและการถ่ายทำตามความเป็นจริงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การค้นหา “การจัดฉากในแบบที่ไม่เหมือนใคร” ในมุมมองใหม่ได้ ว่ามันเกิดจากความปรารถนาที่จะเติบโตทางศิลปะ
“ผมเป็นนักแสดงที่ต้องใช้ท่าทางเสมอ และผมก็พัฒนาภาษากายมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ผมเป็นนักบินผาดโผนด้วยครับ” ครูซกล่าว “ผมขับเครื่องบินรบ เจ้าเครื่องหางแดง P-51 ในหนังเรื่องนี้เป็นของผม [เครื่องบินสีเงินโบราณที่ครูซพาคอนเนลลีบินไปด้วยใน Top Gun: Maverick] และผมได้แสดงซีเควนซ์ทางอากาศมากกว่านักแสดงคนอื่นๆ ตั้งแต่ Top Gun ไปจนถึง American Made [ซึ่งครูซเล่นเป็นนักบินผู้ขนส่งยาเสพติดที่ชื่อ แบร์รี ซีล] และ Fallout [ที่เห็นเขาขับเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นให้หมุนตามการควบคุมและการกระโดดร่มสูงและเปิดร่มต่ำ หรือ HALO ครั้งแรกบนหน้าจอ ที่เขาพุ่งออกไปจากทางด้านหลังของเครื่อง C-17 ลำนั้น]
“ในหนังเหล่านั้นทุกเรื่อง” เขาเปิดเผยว่า “ผมได้พยายามพัฒนาภาษาเกี่ยวกับอากาศขึ้นมา ว่าจะนำเสนอภาพวิชวลออกมาอย่างไรจากจุดยืนด้านงานสร้าง ระหว่างที่ผมถ่ายทำ Fallout และ American Made ผมก็มักจะมองไปที่ Top Gun [นี้] เสมอ แม้ว่าผมจะยังไม่ได้ตกปากรับคำอะไร แต่ผมได้พัฒนาภาษาวิชวลของสิ่งที่เราสามารถทำได้ขึ้นมาแล้ว ผมพัฒนาและศึกษากลไกต่างๆ อยู่เสมอ แน่นอนว่าผมสนใจในการสร้างหนังพวกนั้นอยู่แล้ว แต่มันก็ยังมีความก้าวหน้าในการเล่าเรื่อง ในการทำความเข้าใจวิธีการสร้าง จากจุดยืนด้านเทคนิคและเรื่องราว ผมไม่ได้สร้างหนังเพียงเพื่อที่จะได้สร้างหนังขึ้นมาซักเรื่อง และผมก็เป็นอย่างนั้นมาทั้งชีวิต”
เพียงแต่ตอนอายุสี่ขวบ ทอม ครูซก็เริ่มมีความฝันแล้ว “ผมโตมากับการดูการแข่งขันทางอวกาศ” เขากล่าว “ผมโตมากับความปรารถนาที่จะขับเครื่องบินไอพ่นเหล่านี้ ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมก็อยากจะเป็นนักบินอวกาศ ผมอยากเป็นนักบิน” มีการประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ครูซจะได้ร่วมงานกับ ดั๊ก ลีแมน ผู้กำกับ Edge of Tomorrow และ American Made อีกครั้งในไม่ช้า และเขาก็จะได้ร่วมมือกับอีลอน มัสค์และนาซาในภาพยนตร์ที่ไม่มีชื่อ ซึ่งจะถ่ายทำในอวกาศ แต่สำหรับตอนนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราจะเชื่อก็ต่อเมื่อได้เห็นมันใน Top Gun: Maverick
นักบินอวกาศ นักบิน ผู้บุกเบิก ไม่เลวเลยสำหรับเด็กอายุ 4 ขวบที่อายุ 59 ปีแล้ว “มันเหลือเชื่อ เหลือเชื่อจริงๆ ครับ” ครูซกล่าวด้วยความจริงใจ “ผมกำลังใช้ชีวิตตามความฝันอยู่”
แต่นี่เป็นจุดจบของมาเวอริคจริงหรือ? มีบทพูดหนึ่งใน Top Gun: Maverick ที่เล่นกับคำถามนั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเหมาะสมแล้วที่ชายคนนั้นได้กล่าวบทพูดนั้นออกมาเองในฉากที่เขานั่งอยู่หลังแผงควบคุมเครื่องบินล้ำสมัย บนรันเวย์และกำลังจะออกสู่การเดินทางที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน “มาเถอะที่รัก” มาเวอริคกระซิบไปที่เครื่องบิน “เที่ยวบินสุดท้าย…”
“บทพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร? ‘เที่ยวบินสุดท้าย?’” ครูซหัวเราะเมื่อมีคนแนะนำว่ามันอาจจะซ่อนความนัยที่ว่า Top Gun: Maverick อาจเป็นการผจญภัยครั้งสุดท้ายของตัวละครอันเป็นที่รักผู้นี้ก็เป็นได้ “ผมจะไม่ระบุให้มันชัดเจนลงไปสำหรับคุณหรอกนะครับ ผู้คนสามารถตีความบทพูดนั้นได้ตามต้องการเลย” ครูซยิ้ม “และนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”
ประวัตินักแสดง
ทอม ครูซ (Tom Cruise) รับบท นาวาเอกพีท “มาเวอริค” มิทเชล/อำนวยการสร้างโดย
ทอม ครูซเป็นไอคอนทางวัฒนธรรมระดับโลก ผู้สร้างผลกระทบอย่างมากมายต่อวงการภาพยนตร์ด้วยการสร้างตัวละครที่น่าจดจำที่สุดตลอดกาลมากมาย หลังจากประสบความสำเร็จอย่างเหนือชั้นในฐานะนักแสดง ผู้อำนวยการสร้าง และผู้ใจบุญในอาชีพการงานที่ยาวนานกว่าห้าทศวรรษ ครูซเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงสามครั้ง และผลงานภาพยนตร์ของเขาก็ทำรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกไปแล้วกว่า 10,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยากจะหาคนเทียบได้
ด้วยเป้าหมายตลอดชีวิตในการสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมทั่วโลก ครูซได้ทำงานมาตลอดกว่า 40 ปีที่ผ่านมาเพื่ออำนวยการสร้างและแสดงในภาพยนตร์ที่ยืนหยัดเหนือกาลเวลา ทำให้เขาได้แสดงในภาพยนตร์ในตำนานมากมาย เช่น Top Gun, Jerry Maguire, Risky Business, Minority Report, Interview with the Vampire, A Few Good Men, The Firm, Rain Man, Collateral, The Last Samurai, Edge of Tomorrow, Born on the Fourth of July, The Color of Money, แฟรนไชส์ Mission: Impossible และอื่นๆ อีกมากมาย บทสนทนาและฉากต่างๆ จากภาพยนตร์ของครูซเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมโลก และมีการกล่าวถึงและอ้างถึงโดยแฟนๆ ทั่วโลกหลายชั่วอายุคนทุกวัน
ครูซ คนทำหนังผู้ทุ่มเทและมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกแง่มุมของงานสร้าง ไม่เพียงแต่พิสูจน์ความสามารถอันหลากหลายของเขาด้วยภาพยนตร์และบทบาทที่เขาเลือกเท่านั้น แต่เขายังได้สร้างผลกระทบต่อวิวัฒนาการของวงการภาพยนตร์เมื่อเขาได้ร่วมมือและพัฒนาแนวทางใหม่ๆ เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เขาคิดฝันสำหรับจอเงิน ซึ่งเป็นไปเพื่อรองรับเรื่องราวเสมอ และให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ชมเป็นอันดับแรก ครูซได้สร้างภาพยนตร์ 43 เรื่อง และรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์หลายเรื่อง เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังที่น่าทึ่งมากมาย รวมถึงฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา, ริดลีย์ สก็อต, โทนี สก็อต, มาร์ติน สกอร์เซซี, แบร์รี เลวินสัน, โอลิเวอร์ สโตน, รอน โฮเวิร์ด, ร็อบ ไรเนอร์, ซิดนีย์ พอลแล็ค, นีล จอร์แดน, ไบรอัน เดอ พัลมา, คาเมรอน โครว์, สแตนลีย์ คูบริค, พอล โธมัส แอนเดอร์สัน, เอ็ด ซวิค, สตีเวน สปีลเบิร์ก, ไมเคิล มานน์, เจ.เจ. อับรามส์, โรเบิร์ต เรดฟอร์ด, แบรด เบิร์ด, ดั๊ก ลีแมน, โจ โคซินสกี้และคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์
ครูซได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Born on the Fourth of July และ Jerry Maguire และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Magnolia นอกจากนี้ ครูซยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลด้านการแสดงและได้รับรางวัลจากเวทีบาฟตา, สมาพันธ์นักแสดง, สมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชิคาโก้และสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติ
Mission: Impossible – Fallout ซึ่งเข้าฉายในเดือนกรกฎาคม ปี 2018 เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพนักแสดงของเขา โดยกวาดรายได้ไปเกือบ 800 ล้านเหรียญทั่วโลก รวมกันแล้ว แฟรนไชส์ Mission: Impossible ทำรายได้ไปเกือบ 5 พันล้านเหรียญนับตั้งแต่ครูซคิดไอเดียในการดัดแปลงซีรีส์คลาสสิกทางโทรทัศน์ให้กลายเป็นภาพยนตร์และอำนวยการสร้างภาคแรกขึ้นมาในปี 1996
ภาพยนตร์ 20 เรื่องของครูซทำรายได้กว่า 100 ล้านเหรียญในประเทศ และ 24 เรื่องทำรายได้ทั่วโลกได้มากกว่า 200 ล้านเหรียญ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา Mission: Impossible – Fallout ทำรายได้ไปแล้วกว่า 765 ล้านเหรียญทั่วโลก และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของครูซจนถึงปัจจุบัน และเป็นภาพยนตร์เรื่องที่สี่ของเขาที่ทำรายได้เกินกว่า 200 ล้านเหรียญในอเมริกาเพียงประเทศเดียว Top Gun: Maverick เปิดตัวในฤดูใบไม้ผลินี้ และ Mission Impossible 7 และ 8 ก็กำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทำ ภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้าของครูซ ได้แก่ American Made, The Mummy, Oblivion และทริลเลอร์ลุ้นระทึกเรื่อง Jack Reacher ซึ่งทำเงินได้ 218 ล้านเหรียญทั่วโลก ก่อนหน้านั้น เขาได้รับบทคามีโอที่น่าจดจำในภาพยนตร์ตลกของเบน สติลเลอร์ เรื่อง Tropic Thunder ในบทเลส กรอสแมน เจ้าพ่อภาพยนตร์ฮอลลีวูดปากหมา การแสดงนี้ ที่สร้างจากตัวละครที่ครูซสร้างขึ้น ทำให้เขาได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และผู้ชมเมื่อพวกเขาตระหนักว่านั่นคือเขา!
ครูซได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย ตั้งแต่รางวัลบุรุษแห่งปี เฮสตี้ พุดดิ้ง ของฮาร์วาร์ดไปจนถึงรางวัลจอห์น ฮูสตันจากมูลนิธิสิทธิศิลปิน จากการแสดงบริการที่โดดเด่นในนามของสิทธิศิลปินและรางวัลอเมริกัน ซีเนมาธิค อวอร์ดสาขาความสำเร็จโดดเด่นด้านภาพยนตร์ นอกจากผลงานด้านศิลปะแล้ว ครูซยังได้ใช้ความสำเร็จในอาชีพของเขาเป็นเครื่องมือสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก กลายเป็นผู้สนับสนุน นักเคลื่อนไหว และผู้ใจบุญระดับนานาชาติ ในด้านสุขภาพ การศึกษา และสิทธิมนุษยชน เขาได้รับการยกย่องจากองค์กรเมนเตอร์ แอลเอ สำหรับงานของเขาเพื่อลูกหลานชาวลอสแองเจลิสและทั่วโลก ในปี 2011 ครูซได้รับรางวัลไซมอน วีเซนธัล ฮิวแมนิทาเรียน อวอร์ด ซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับการสนับสนุนพิพิธภัณฑ์โทเลอแรนซ์ของศูนย์มาอย่างยาวนาน ในปีต่อมา เขาได้รับรางวัลเอนเตอร์เทนเมนต์ ไอคอน อวอร์ดจาก ไฟรอาร์ส คลับ ซึ่งเป็นรางวัลที่โดดเด่นที่สุดของกลุ่ม ซึ่งแสดง “การยกย่องบุคคลที่ประสบความสำเร็จเหนือวงการบันเทิงด้วยการกำหนดนิยามใหม่ในเชิงบวกให้กับวัฒนธรรมที่เราอาศัยอยู่” เขาเป็นศิลปินคนที่สี่ที่ได้รับเกียรตินี้ต่อจากดักกลาส แฟร์แบงค์, แครี แกรนท์และแฟรงค์ ซินาตรา นิตยสารเอ็มไพร์ได้มอบรางวัลลีเจนด์ ออฟ เอาเออร์ ไลฟ์ไทม์ อวอร์ดให้กับครูซในปี 2014 โดยครูซเป็นนักแสดงคนแรกที่ได้รับรางวัลผู้บุกเบิกแห่งปีในปี 2018 จากมูลนิธิวิล โรเจอร์ส โมชัน พิคเจอร์ ไพโอเนียร์ส ในปี 2018 รางวัลนี้ ซึ่งเดิมเคยมอบให้กับผู้บริหารภายในวงการ ได้ถูกมอบให้สมาชิกที่เป็นที่เคารพนับถือ ของวงการภาพยนตร์ ผู้เป็นตัวอย่างในด้านความเป็นผู้นำ การบริการ และความมุ่งมั่นในการทำบุญ
หลังจากกว่า 40 ปีและภาพยนตร์กว่า 40 เรื่อง ครูซยังคงส่งเสริมเพื่อนศิลปิน สร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟนๆ และสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมในทุกที่อย่างต่อเนื่อง
ไมลส์ เทลเลอร์ (Miles Teller) รับบท เรือเอกแบรดลีย์ “รูสเตอร์” แบรดชอว์
ด้วยอาชีพที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยแต่ละบทบาทที่เขาเพิ่มเข้าไป ไมลส์ เทลเลอร์ ได้รับเกียรติและสิทธิพิเศษในการเปิดตัวผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาด้วยการแสดงประกบนิโคล คิดแมนในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมเชยอย่าง Rabbit Hole ที่สร้างจากละครเวทีรางวัลพูลิทเซอร์ชื่อเดียวกัน
หลังจากนี้ เทลเลอร์จะแสดงเป็นแบรดลีย์ “รูสเตอร์” แบรดชอว์ ลูกชายของ “กู๊ส” อันเป็นที่รักในภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่อง Top Gun: Maverick ซึ่งเป็นภาคต่อของ Top Gun ดั้งเดิมประกบทอม ครูซ และทำให้เขาได้กลับไปร่วมงานกับผู้กำกับโจเซฟ โคซินสกี้ จาก Only the Brave อีกครั้ง นอกจากนี้ เขายังจะได้ร่วมแสดงในซีรีส์ Godfather “The Offer” สำหรับพาราเมาท์พลัสอีกด้วย
ในภาพยนตร์เรื่อง Spiderhead ของเน็ตฟลิกซ์ ที่จะเข้าฉายในฤดูร้อนนี้ และดัดแปลงจากเรื่องสั้นของจอร์จ ซอนเดอร์ส ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในเดอะ นิวยอร์กเกอร์และภายหลังได้ถูกรวมอยู่ในหนังสือเรื่อง “Tenth of December” เทลเลอร์และโคซินสกี้จะได้ร่วมมือกันเป็นครั้งที่สาม
เทลเลอร์ถูกวางตัวให้อำนวยการสร้างและนำแสดงในภาพยนตร์เอาชีวิตรอดเรื่อง Not Without Hope ซึ่งมีเค้าโครงจากหนังสือกึ่งอัตชีวประวัติในชื่อเดียวกัน โดยเขาจะรับบทเป็นนิค ชุยเลอร์ ผู้รอดชีวิตคนเดียวจากโศกนาฏกรรมการพายเรือที่เกิดขึ้นจริง โดยโปรเจ็กต์นี้ถือเป็นผลงานการอำนวยการสร้างครั้งแรกของเขาภายใต้แบนเนอร์ไลม์ ทรี โปรดักชันส์
ล่าสุด เทลเลอร์แสดงใน “Too Old To Die Young” ซีรีส์อเมซอนที่กำกับโดยนิค เรฟน์ (Drive) ซึ่งสำรวจจุดอ่อนของอาชญากรในลอสแองเจลิสด้วยการติดตามการเดินทางของตัวละครจากการเป็นนักฆ่าสู่การเป็นซามูไรในนครแห่งนางฟ้านี้
ผลงานอื่นๆ ได้แก่ ภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซลที่อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง Thank You for Your Service; Only the Brave ของโซนี ประกบจอช โบรลินและเจฟฟ์ บริดเจส; ภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง War Dogs ประกบโจนาห์ ฮิลล์ โดยมีท็อดด์ ฟิลลิปส์รับหน้าที่กำกับ; ภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยสกอร์เซซี ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์เรื่อง Bleed For This ซึ่งทำให้เขากลับมาร่วมงานกับแอรอน เอ็คฮาร์ท ซึ่งเป็นนักแสดงร่วมจาก Rabbit Hole อีกครั้ง; คอเมดีเรื่อง That Awkward Moment ประกบแซ็ค เอฟรอนและไมเคิล บี. จอร์แดน; และภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง Divergent ประกบไชลีน วูดลีย์
ในปี 2014 เทลเลอร์ได้แสดงประกบเจเค ซิมมอนส์ในดรามาที่ได้รับคำวิจารณ์ชื่นชมและได้เข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง Whiplash ของโซนี พิคเจอร์ส ภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่องนี้ได้รับรางวัลแกรนด์ จูรี ไพรซ์และรางวัลออเดียนซ์ อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์และงานเทศกาลภาพยนตร์โดวิลล์และทำให้เทลเลอร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงานก็อทแธม อวอร์ดในปี 2014
เทลเลอร์เริ่มประสบความสำเร็จด้านคำวิจารณ์อย่างมากหลังจากแสดงในภาพยนตร์ของเจมส์ ปอนโซลล์ดเรื่อง The Spectacular Now ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลดรามาติก สเปเชียล จูรี อวอร์ดสาขาการแสดงจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2013 ร่วมกับไชลีน วูดลีย์ เพื่อนร่วมแสดงของเขา ในปี 2013 ซึ่งเป็นปีเดียวกัน เขาได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง 21 & Over ซึ่งเขียนบทและกำกับโดยจอน ลูคัสและสก็อตต์ มัวร์ ก่อนหน้านี้ เทลเลอร์ได้แสดงใน Footloose ของพาราเมาท์และใน Project X โดยท็อดด์ ฟิลลิปส์
เทลเลอร์เกิดที่เมืองดาวนิงตัน รัฐเพนซิลเวเนีย และตอนอายุ 11 ขวบ เขาก็ย้ายไปที่ซิตรัส เคาน์ตี้ รัฐฟลอริดา ปัจจุบัน เขาอาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลิสกับ เคเลห์ ภรรยาของเขา
เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี (Jennifer Connelly) รับบท เพ็นนี เบนจามิน
เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี เจ้าของรางวัลออสการ์ ยังคงพิสูจน์ความสามารถรอบด้านของเธอในฐานะนักแสดงด้วยโปรเจ็กต์ใหม่แต่ละโปรเจ็กต์ที่เธอทำ
หลังจากนี้ คอนเนลลีจะแสดงในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ยอดนิยมของพาราเมาท์เรื่อง Top Gun: Maverick ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาคต่อของต้นฉบับในปี 1986 และนำแสดงโดยทอม ครูซ, วัล คิลเมอร์, ไมลส์ เทลเลอร์, จอน แฮมม์, เกลน พาวเวลล์, ลูอิส พุลแมนและเอ็ด แฮร์ริส ร่วมด้วยคอนเนลลี โดยมีโจ โคซินสกี้นั่งแท่นผู้กำกับ Top Gun: Maverick จะเข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ในวันที่ 18 พฤษภาคม ก่อนที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในอเมริกาในวันที่ 27 พฤษภาคม
ล่าสุด นักแสดงสาวได้กลับมารับบทเป็น “เมลานี คาวิลล์” ในซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง “Snowpiercer” ซีซัน 3 ซึ่งจบลงเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ปี 2022 ซีรีส์นี้เป็นทริลเลอร์แนวอนาคตที่สร้างจากภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมโดยผู้กำกับชาวเกาหลี บง จุน-โฮ และนวนิยายกราฟิกชื่อเดียวกัน ซีรีส์นี้เล่าเรื่องของผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายของโลกระหว่างที่พวกเขาอาศัยอยู่ใน “สโนว์เพียร์ซเซอร์” รถไฟที่เดินทางรอบโลก และมีการแบ่งแยกเป็นสองชนชั้นที่มีความบาดหมางกัน ซีรีส์นี้เปิดตัวในเดือนพฤษภาคมปี 2020 และเป็นการเปิดตัวครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับทีเอ็นที นับตั้งแต่ “The Alienist” ในปี 2018 เพิ่งมีการประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่าซีรีส์ยอดนิยมเรื่องนี้จะกลับมาในซีซัน 4 และกำลังมีการถ่ายทำในแวนคูเวอร์
ในปี 2019 คอนเนลลีได้แสดงในภาพยนตร์อีพิคไซไฟเรื่อง Alita: Battle Angel ที่กำกับโดยโรเบิร์ต โรดริเกซ กำกับโดยเจมส์ คาเมรอน และนำแสดงโดย คริสตอฟ วอลซ์, มาเฮอร์ชาลา อาลี และโรซา ซัลลาซาร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเงินได้มากกว่า 400 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก ในปี 2018 คอนเนลลีได้แสดงในดรามานักผจญเพลิงเรื่อง Only The Brave ซึ่งกำกับโดยผู้กำกับโจ โคซินสกี้จาก Top Gun: Maverick สำหรับโซนี พิคเจอร์ส ประกบจอช โบรลิน, ไมล์ส เทลเลอร์ และเจฟฟ์ บริดเจส ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของแกรนิต เมาน์เทน ฮ็อตช็อตส์ ลูกเรือของนักดับเพลิงชั้นยอดที่ต่อสู้กับไฟป่าในรัฐอริโซนา
โปรเจ็กต์ล่าสุดอื่นๆ ได้แก่ภาพยนตร์โดยยวน แม็คเกรเกอร์เรื่อง American Pastoral ที่นำแสดงโดยยวน แม็คเกรเกอร์และดาโกต้า แฟนนิง และสร้างจากหนังสือของฟิลลิป ร็อธ ในปี 2014 เธอได้แสดงประกบแอนโธนี แม็คกี้ใน Shelter ที่เขียนบทและกำกับโดยพอล เบ็ตตานีย์ ในปี 2014 เธอยังได้ร่วมงานกับดาร์เรน อาโรนอฟสกี้และรัสเซล โครว์ในภาพยนตร์อีพิคเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเรื่อง Noah
ภาพยนตร์เรื่องแรกของคอนเนลลีคือเรื่อง Once Upon a Time in America โดยเซอร์จิโอ ลีโอนในปี 1984 แม้ว่าบทบาทแจ้งเกิดของเธอจะเป็นบท ‘ซาราห์’ ในเรื่อง Labyrinth ประกบเดวิด โบวีในปี 1986 เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดจากการแสดงที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางและหลอกหลอนของเธอในบทผู้ติดยาในภาพยนตร์เรื่อง Requiem for a Dream ของดาร์เรน อาโรนอฟสกี้ในปี 2000 เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ, บาฟตา, เอเอฟไอ, สมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์บรอดคาสต์ และรางวัลออสการ์จากการแสดงนำของเธอในภาพยนตร์ของรอน ฮาวเวิร์ดเรื่อง A Beautiful Mind ประกบรัสเซล โครว์
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึงภาพยนตร์โดยดาริโอ อาร์เจนโต้เรื่อง Phenomena; ภาพยนตร์โดยเดนนิส ฮ็อปเปอร์เรื่อง The Hot Spot ประกบดอน จอห์นสันและเวอร์จิเนีย แมดเซน; ภาพยนตร์โดยโจ จอห์นสตันเรื่อง The Rocketeer ประกบบิลลี แคมป์เบล, อลัน อาร์คินและทิโมธี ดัลตัน; ภาพยนตร์โดยจอห์น ซิงเกิลตันเรื่อง Higher Learning ประกบโอมาร์ เอพส์และคริสตี้ สวอนสัน, ภาพยนตร์โดยลี ทามาโฮริเรื่อง Mulholland Falls ประกบนิค โนลเต้และเมลานีย์ กริฟฟิธ; ภาพยนตร์โดยอเล็กซ์ โปรยาสเรื่อง Dark City ประกบรูฟัส ซีเวล, วิลเลียม เฮิร์ทและไคเฟอร์ ซุทเธอร์แลนด์; ภาพยนตร์โดยคีธ กอร์ดอนเรื่อง Walking the Dead ประกบบิลลี ครูดัพ; ภาพยนตร์โดยเอ็ด แฮร์ริสเรื่อง Pollock ประกบเอ็ด แฮร์ริส, มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดนและทอม โบเวอร์; ภาพยนตร์โดยอัง ลีเรื่อง Hulk ประกบอีริค บานา; ภาพยนตร์โดยวาดิม เพเรลแมนเรื่อง House of Sand and Fog ประกบเบน คิงส์ลีย์; ภาพยนตร์โดยวอลเตอร์ ซัลเลสเรื่อง Dark Water ประกบจอห์น ซี. ไรลีย์เรื่อง; ภาพยนตร์โดยท็อดด์ ฟิลด์เรื่อง Little Children ประกบเคท วินสเล็ตและแพทริค วิลสัน; ภาพยนตร์โดยเอ็ดเวิร์ด ซวิคเรื่อง Blood Diamond ประกบลีโอนาร์โด ดิคาปริโอและดิมอน ฮันซู; ภาพยนตร์โดยเทอร์รี จอร์จเรื่อง Reservation Road ประกบวาคิน ฟินิกซ์และแอล แฟนนิง; ภาพยนตร์โดยสก็อต เดอร์ริคสันเรื่อง The Day the Earth Stood Still ประกบคีอานู รีฟส์; ภาพยนตร์โดยเคน ควาพิสเรื่อง He’s Just Not That Into You ประกบเจนนิเฟอร์ อนิสตัน, มอร์แกน ลิลลี, สการ์เล็ตต์ โยฮันสัน, แบรดลีย์ คูเปอร์, เบน เอฟเฟล็คและจัสติน ลอง; ภาพยนตร์โดยจอน เอมีลเรื่อง Creation ประกบพอล เบ็ตตานีย์; ภาพยนตร์โดยดัสติน แลนซ์ แบล็คเรื่อง Virginia ประกบเอ็ด แฮร์ริส, แคร์รีย์ เพรสตันและแฮร์ริสัน กิลเบิร์ตสัน; ภาพยนตร์โดยรอน ฮาวเวิร์ดเรื่อง The Dilemma ประกบวินซ์ วอห์น, เควิน เจมส์และวิโนนา ไรเดอร์; Stuck in Love ประกบเกร็ก คินเนียร์; ภาพยนตร์โดยคลอเดีย โลซาเรื่อง Aloft ประกบคิลเลียน เมอร์ฟีย์, อูนา แชปลินและเมลานีย์ โลรองต์และภาพยนตร์โดยอากิวา โกลด์แมนเรื่อง Winter’s Tale
นอกจากอาชีพการแสดงของคอนเนลลีแล้ว เธอยังรับหน้าที่เป็นแอมบาสเดอร์ของหลุยส์ วิตตองอีกด้วย เมื่อเร็วๆ นี้คอนเนลลีเพิ่งบันทึกเสียงบางตอนจากอนุทินของเกรซ ค็อดดิงตัน ซึ่งจากนั้นจะถูกผสมเสียงโดยวู้ดคิดก่อนจะถูกนำมาเป็นเพลงประกอบให้กับงานครูซ โชว์ในปี 2019
ปัจจุบัน คอนเนลลีอาศัยอยู่ที่นิวยอร์กกับครอบครัวของเธอ
จอน แฮมม์ (Jon Hamm) รับบท พลเรือเอกโบ “ไซโคลน” ซิมป์สัน
การแสดงในบท ดอน เดรเปอร์ ผู้บริหารโฆษณาที่เปี่ยมด้วยพลังในซีรีส์ดรามาเอเอ็มซีเรื่อง “Mad Men” ที่ได้รับรางวัล ทำให้จอน แฮมม์ กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีความสามารถและเก่งกาจที่สุดของฮอลลีวูด เขาได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลเอ็มมี อวอร์ดในปี 2015 สาขานักแสดงนำชายยอดเยียมในซีรีส์ดรามา, รางวัลลูกโลกทองคำในปี 2016 และ 2008, รางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์โทรทัศน์ ในปี 2011 และ 2015, รางวัลคริติกส์ ชอยส์ เทเลวิชัน อวอร์ด ในปี 2011 และได้รับการเสนอชื่อชิงอีกหลายรางวัลสมาพันธ์นักแสดง “Mad Men” ปิดฉากซีซันที่เจ็ด ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ปี 2015
หลังจากนี้ แฮมม์ได้แสดงใน Top Gun: Maverick ภาคต่อของ Top Gun ที่หลายคนรอคอยมานานและตั้งตารอคอยอย่างสูงอย่าง โดยเขารับบทเป็นรองพลเรือโทไซโคลนร่วมกับกลุ่มนักแสดงชื่อดังอย่าง ทอม ครูซ, วัล คิลเมอร์และไมลส์ เทลเลอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 2022 ในปี 2021 แฮมม์ได้ปิดกล้องเรื่อง Maggie Moore(s) ซึ่งเขาจะแสดงประกบทีนา เฟย์ โดยจอห์น สแลทเทอรีเป็นผู้กำกับภาพยนตร์คอเมดีตลกร้ายเรื่องนี้ นอกจากนี้ แฮมม์ยังเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Fletch ในฐานะดาราและผู้อำนวยการสร้างของเรื่องร่วมกับ คอนนี ทาเวล ผู้จัดการ/ผู้อำนวยการสร้าง เกร็ก มอตโตลา ผู้ซึ่งผลงานของเขาได้แก่ Superbad, Adventureland และ “Arrested Development” เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จากบทภาพยนตร์ของเซฟ บอร์โรว์
แฮมม์จะนำพรสวรรค์ของเขากลับคืนสู่จอแก้วอีกครั้งในปี 2022 ด้วยการกลับมารับบทกาเบรียลในซีซันที่สองของ “Good Omens” โดยนีล เกแมน จากนั้น ในปี 2023 เขาจะพากย์เสียงซีรีส์แอนิเมชันคอเมดีเรื่อง “Grimsburg” สำหรับฟ็อกซ์ นอกจากนี้ แฮมม์ยังจะได้อำนวยการสร้างซีรีส์นี้ร่วมกับเกล เบอร์แมนแห่งแจ็คกัลป์ กรุ๊ปและเฮนด์ แบ็กดาดี้, คอนนี ทาเวลและผู้บริหารแช็ดด์ กินดิน
แฮมม์ ผู้คุ้นเคยกับจอเงินเป็นอย่างดี เพิ่งรับบทดารารับเชิญในซีซันสิบของซีรีส์ “Curb Your Enthusiasm” โดยที่นักวิจารณ์พูดถึงการเลียนแบบแลร์รี เดวิดของเขาว่า “สร้างแรงบันดาลใจ” และ “เป็นไฮไลท์ของซีซันนั้น” ในปี 2020 จอนได้แสดงประกบเอมิลี บลันท์ใน Wild Mountain Thyme โดยจอห์น แพทริค แชนลีย์ ในปี 2019 เขาได้ปรากฏตัวในผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของโนอาห์ ฮอว์ลีย์เรื่อง Lucy in the Sky ประกบนาตาลี พอร์ตแมน นอกจากนี้ แฮมม์ยังแสดงในภาพยนตร์ของสก็อตต์ ซี. เบิร์นส์เรื่อง The Report ประกบแอนเน็ตต์ เบนนิงและอดัม ไดรเวอร์ และ The Battle of Richard Jewell ที่กำกับโดยคลินต์ อีสต์วู้ด
ในปี 2018 เขาได้แสดงใน Bad Times at El Royale โดยดรูว์ ก็อดดาร์ดสำหรับทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ รวมถึงในภาพยนตร์คอเมดีเรื่อง Tag ของวอร์เนอร์ บรอส. ประกบเอ็ด เฮล์มส์และเจเรมี เรนเนอร์ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Beirut โดยโทนี กิลรอยประกบโรซามุนด์ ไพค์ด้วย แฮมม์รับบทเป็นอดีตนักการทูตสหรัฐฯ ที่กลับมารับราชการอีกครั้งเพื่อช่วยอดีตเพื่อนร่วมงาน นักวิจารณ์พูดถึงการแสดงของแฮมม์ว่าเป็น “งานที่ดีที่สุดจนถึงตอนนี้”
ในปี 2017 แฮมม์ได้แสดงในภาพยนตร์ระทึกขวัญการปล้นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของเอ็ดการ์ ไรท์เรื่อง Baby Driver ประกบแอนเซล เอลกอร์ต, เควิน สเปซีย์ และเจมี ฟ็อกซ์ นอกจากนี้ แฮมม์ยังได้แสดงในภาพยนตร์อินดีเรื่อง Marjorie Prime
ในปี 2016 แฮมม์ได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Keeping Up with the Joneses ของทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ประกบแซ็ค กาลิเฟียนาคิสและอิสลา ฟิชเชอร์ ในปี 2015 แฮมม์ได้พากย์เสียงให้กับภาพยนตร์แอนิเมชันโดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามเรื่อง The Minions ประกบแซนดรา บุลล็อคและสตีฟ คูแกน ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของแฮมม์ ได้แก่ Million Dollar Arm ของดิสนีย์ ซึ่งสร้างจากบทภาพยนตร์โดยโธมัส แมคคาร์ธีและกำกับโดยเคร็ก กิลเลสพาย, Friends with Kids ที่เขียนบทและกำกับโดยเจนนิเฟอร์ เวสต์เฟลด์; Bridesmaids ประกบคริสเตน วิ้ก; The Town โดยเบน เอฟเฟล็ค, ภาพยนตร์ทริลเลอร์แฟนตาซีโดยแซ็ค สไนเดอร์เรื่อง Sucker Punch, Howl ประกบเจมส์ ฟรังโก้, Shrek Forever After ซึ่งเขาพากย์เสียงตัวละคร ‘โบรแกน,’ The Day the Earth Stood Still ประกบคีอานู รีฟส์, Ira & Abby และ Kissing Jessica Stein โดยเจนนิเฟอร์ เวสต์เฟลด์ และ We Were Soldiers
การแสดงของแฮมม์ในซีรีส์คอเมดีที่ได้รับรางวัลเอ็มมีเรื่อง “30 Rock” ระหว่างปี 2009-2012 ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีถึงสามครั้งสำหรับนักแสดงรับเชิญดีเด่นในซีรีส์คอเมดี นอกจากนี้ เขาได้เป็นพิธีกรรายการ “Saturday Night Live” สามครั้ง ครั้งหนึ่งในปี 2008 และสองครั้งในปี 2010 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชม นอกจาก “Mad Men” แล้ว แฮมม์ยังได้ปรากฏในซีซันที่สองของซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Unbreakable Kimmy Schmidt” ที่สร้างโดยทีนา เฟย์และโรเบิร์ต คาร์ล็อค แฮมม์รับบทเป็นสาธุคุณริชาร์ด เวย์น แกรี เวย์น ผู้เผยพระวจนะอาวุโสที่หลอกล่อผู้หญิงสี่คนมาคุมขังเป็นเวลาสิบห้าปีโดยที่พวกเธอเชื่อว่าพวกเธอรอดชีวิตจากวันสิ้นโลก บทบาทนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงรับเชิญดีเด่นในซีรีส์คอเมดี ผลงานทางโทรทัศน์อื่นๆ ของเขา ได้แก่ “A Young Doctor’s Notebook” มินิซีรีส์ของบีบีซี ที่เขาแสดงประกบแดเนียล แรดคลิฟฟ์ และยังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยแลร์รี เดวิดเรื่อง Clear History สำหรับเอชบีโอด้วย แฮมม์ได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นครั้งแรกในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Providence” แม้ว่าเขาจะเซ็นสัญญารับบทบาทเป็นนักแสดงรับเชิญ แต่เขากลับสร้างความประทับใจให้ผู้อำนวยการสร้างมากจนลงเอยด้วยการได้แสดงใน 18 เอพิโซดในซีรีส์นี้
แฮมม์เป็นชาวเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เขาได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตสาขาภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยมิสซูรี-โคลัมเบีย และปัจจุบัน อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส
เกล็น พาวเวล (Glen Powell) รับบท เรือเอกเจค “แฮงค์แมน” เซเรซิน
หลังจากนี้ เกล็น พาวเวล จะแสดงประกบทอม ครูซ ในภาพยนตร์ใหม่ที่ทุกคนรอคอยอย่าง Top Gun: Maverick เขารับบท ‘แฮงค์แมน’ หนึ่งในตัวละครหลักในภาพยนตร์เรื่องนี้ ประกบครูซและไมลส์ เทลเลอร์ และเพิ่งได้รับใบอนุญาตนักบินหลังจากฝึกฝนอย่างหนักในระหว่างการถ่ายทำ ภาคต่อของภาพยนตร์คลาสสิกปี 1986 ของพาราเมาท์จะเข้าฉายรอบปฐมทัศน์โลกในวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 2022
นอกจากนี้ เกล็นยังจะได้แสดงในภาพยนตร์อีพิคสงครามอิงประวัติศาสตร์เรื่อง Devotion ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2022 ประกบนักแสดงที่ได้รับรางวัล โจนาธาน เมเจอร์ส สำหรับโซนี พิคเจอร์สและเอสทีเอ็กซ์ อินเตอร์เนชันแนล เกล็นจะรับบทเป็น โธมัส ฮัดเนอร์ วีรบุรุษของกองทัพเรือในชีวิตจริงและผู้ที่ได้รับเหรียญเกียรติยศ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวจริงอันแสนบาดใจของนักบินรบชั้นนำของกองทัพเรือสหรัฐฯ สองคนในช่วงสงครามเกาหลีและการเสียสละอย่างกล้าหาญของพวกเขา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะทำให้พวกเขาเป็นนักบินที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดของกองทัพเรือ
เมื่อต้นเดือนเมษายนนี้ เกล็นได้แสดงในภาพยนตร์ไซไฟแอนิเมชันเรื่อง Apollo 10 ½ โดยริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์สำหรับเน็ตฟลิกซ์ เกล็นได้แสดงร่วมกับแจ็ค แบล็คและแซ็คคาเรย์ เลวีในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งถ่ายทำแบบไลฟ์แอ็กชันและถูกสร้างเป็นแอนิเมชันโดยใช้เทคนิคที่คล้ายกับโรโตสโคปที่ลิงค์เลเตอร์เคยใช้ในภาพยนตร์ของเขามาก่อน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เกิดเรื่องในเขตชานเมืองของเมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส ในช่วงฤดูร้อนปี 1969 โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่การลงจอดบนดวงจันทร์ของยานอพอลโล 11 ในประวัติศาสตร์
นอกจากนี้ เกล็นยังถูกวางตัวให้เขียนบท Captain Planet สำหรับพาราเมาท์ ที่เขาจะอำนวยการสร้างร่วมกับลีโอนาร์โด ดิคาปริโออีกด้วย นอกจากนี้ เขายังจะแสดงในภาพยนตร์โดยมือเขียนบท/ผู้กำกับเมลิสซาที่สร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์กไทม์เรื่อง I Want To F*** Your Brother ของนิวยอร์ก ไทม์ สำหรับเอสทีเอ็กซ์และได้ร่วมงานกับโซอี้ ดอยช์ เพื่อนร่วมแสดงจาก Set It Up ในซีรีส์คอเมดีทางเน็ตฟลิกซ์เรื่อง Most Dangerous Game ของ Netflix ซึ่งเขาจะควบคุมงานสร้างด้วย
เกล็นได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 10 นักแสดงที่น่าจับตามองของวาไรตี้ในปี 2019 ร่วมกับซินเธีย เอริโวและเจสซี บัคลีย์ เขาได้รับรางวัลสมาพันธ์นักแสดงจากผลงานของเขาในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง Hidden Figures ประกบอ็อคตาเวีย สเปนเซอร์, ทาราจี พี. เฮนสัน และเควิน คอสต์เนอร์ ซึ่งเขารับบทนักบินอวกาศชื่อดัง จอห์น เกล็นน์ ผลงานที่ผ่านมารวมถึงภาพยนตร์ยอดนิยมของเน็ตฟลิกซ์ปี 2018 เรื่อง Set It Up ประกบโซอี้ ดอยช์, ลูซี หลิวและเทย์ ดิ๊กส์; คอเมดีชื่อดังโดยริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์เรื่อง Everybody Wants Some; ซีรีส์ฮิตของไรอัน เมอร์ฟีย์เรื่อง “Scream Queens” รวมถึง The Dark Knight Rises ภาคสุดท้ายของไตรภาค Batman โดยคริสโตเฟอร์ โนแลน นอกจากนี้ เขายังพากย์เสียงในซีรีส์แอนิเมชันผจญภัยของเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Jurassic World: Camp Cretaceous” จากสตีเวน สปีลเบิร์ก, แฟรงค์ มาร์แชล และโคลิน เทรเวอร์โรว์
ลูอิส พุลแมน (Lewis Pullman) รับบท เรือเอกโรเบิร์ต “บ็อบ” ฟลอยด์
ลูอิส พุลแมน ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักแสดงดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์และความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาในการแสดงบทบาทที่หลากหลายที่สุด
เพิ่งมีการประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าพุลแมนจะแสดงประกบเคธี เบทส์และจอห์น มัลโควิชในภาพยนตร์โดยเคน ควาพิสเรื่อง Thelma ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงเรื่องราวที่แท้จริงของมารดาของจอห์น เคนเนดี้ ทูล (พุลแมน) นักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์เจ้าของผลงานเรื่อง “A Confederacy of Dunces” ทูลเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายก่อนที่จะหาสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์ผลงานชิ้นเอกของเขาได้ และเธลมา (เบทส์) แม่ของเขา ได้ตั้งภารกิจในชีวิตให้กับตัวเองว่าจะต้องตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ให้ได้ ผ่านทางวิธีการสุดโต่งต่างๆ ในที่สุด เธอก็ประสบความสำเร็จในการนำต้นฉบับไปอยู่ในมือของนักเขียนวอล์คเกอร์ เพอร์ซี (มัลโควิช) ซึ่งกลายเป็นผู้สนับสนุนของนวนิยายเรื่องนี้
หลังจากนี้ เราจะได้เห็นพุลแมนในซีรีส์ที่ทุกคนรอคอยของอเมซอนเรื่อง “Outer Range” ซึ่งเขาแสดงประกบจอช โบรลิน “Outer Range” มีเนื้อหาเกี่ยวกับรอยัล แอ็บบ็อทท์ เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ที่ต่อสู้เพื่อที่ดินและครอบครัวของเขา ผู้ค้นพบความลึกลับที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ในบริเวณชายขอบของถิ่นทุรกันดารในไวโอมิง พุลแมนจะรับบทเป็นเร็ตต์ แอ็บบอทท์ ลูกชายคนเล็กของครอบครัวที่ดื้อรั้นมากกว่า ซีรีส์นี้จะเปิดตัวในเดือนเมษายนทางอเมซอน ไพรม์
จากนั้น เขาก็จะได้เห็นในซีเควลของพาราเมาท์ที่หลายคนรอคอยเรื่อง Top Gun: Maverick ที่เขาเล่นประกบทอม ครูซ โดยพุลแมนรับบทเป็นนักบินรบของกองทัพเรือชื่อบ็อบ ซึ่งกำลังได้รับคำแนะนำจาก “มาเวอริค” ตัวละครของทอม ครูซในภาคต่อที่ทุกคนรอคอย ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยโจเซฟ โคซินสกี้ ยังนำแสดงโดยไมลส์ เทลเลอร์, เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี และเอ็ด แฮร์ริส จะเข้าฉายในช่วงสุดสัปดาห์วันหยุดเมโมเรียล ปี 2022 และมีกำหนดฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
สุดท้ายนี้ เขาจะรับบทเป็นนักเขียน เบน เมียร์ส ในภาพยนตร์นิวไลน์ที่ดัดแปลงจากนิยายระทึกขวัญของสตีเฟน คิงเรื่อง Salem’s Lot เมียร์ส (พุลแมน) กลับมาที่บ้านในวัยเด็กของเขาที่เมืองเยรูซาเล็มส์ ล็อตเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจสำหรับหนังสือเล่มต่อไปของเขา เพียงเพื่อจะค้นพบว่าบ้านเกิดของเขากำลังถูกคุกคามโดยแวมไพร์ ทำให้เขาสร้างกลุ่มที่จะต่อสู้กับแวมไพร์ชั่วร้ายนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยแกรี โดเบอร์แมนและอำนวยการสร้างโดยเจมส์ วาน จะเข้าฉายในวันที่ 9 กันยายน ปี 2022
พุลแมนได้แสดงร่วมกับเจสสิก้า บาร์เดนใน Pink Skies Ahead ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของนักเขียนเบสต์เซลเลอร์ เคลลี อ็อกซ์ฟอร์ด ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามชีวิตของหญิงสาวแสบซ่าส์คนหนึ่งหลังจากที่เธอลาออกจากวิทยาลัย ย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ของเธอ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรควิตกกังวล ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลเอเอฟไอปี 2020 และเพิ่งถูกเอ็มทีวี สตูดิโอส์ซื้อสิทธิไป นอกจากนี้ พุลแมนยังได้แสดงในมินิซีรีส์ฮูลูของจอร์จ คลูนีย์เรื่อง “Catch 22” ในบทเมเจอร์ เมเจอร์ ประกบคริสโตเฟอร์ แอ็บบ็อทท์
ในปี 2019 พุลแมนได้แสดงในภาพยนตร์ขวัญใจเทศกาลซันแดนซ์เรื่อง Them That Follow ประกบวอลตัน ก๊อกกินส์, โอลิเวีย โคลแมนและเคทลิน เดเวอร์ ในปี 2018 เขาได้ขโมยซีนในบทไมลส์ มิลเลอร์ ผู้จัดการโรงแรมใน Bad Times at the El Royale โดยดรูว์ ก็อดดาร์ด ประกบซินเธีย เอริโว, เจฟฟ์ บริดเจส, จอน แฮมม์และดาโกต้า จอห์นสัน นอกจากนี้ เขายังแสดงในภาคต่อของภาพยนตร์สยองขวัญคัลท์คลาสสิกเรื่อง The Stranger ประกบคริสตินา เฮนดริคส์ และเบลลี เมดิสัน
ชาร์ลส์ พาร์เนล (Charles Parnell) รับบท พลเรือเอกโซโลมอน “วอร์ล็อค” เบทส์
ด้วยอาชีพที่ยาวนานกว่า 20 ปี นักแสดงชายชาร์ลส์ พาร์เนล ได้ยกระดับการแสดงของเขาในภาพยนตร์และโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง
หลังจากนี้ พาร์เนลจะได้นำแสดงใน Top Gun: Maverick โดยพาราเมาท์ ซึ่งเป็นภาคต่อของภาพยนตร์ขวัญใจแฟนๆ เรื่อง Top Gun ในปี 1986 Top Gun: Maverick นำเสนอเรื่องราวของปีเตอร์ ‘มาเวอริค’ มิทเชล ในขณะที่เขาฝึกเหล่าผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรท็อปกันเพื่อภารกิจพิเศษขณะที่เผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอนและเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายในอดีตของเขา
พาร์เนลจะแสดงเป็น ‘วอร์ล็อค’ นายทหารเรือ ที่ปรึกษา และเพื่อนของ ‘มาเวอริค’ เขาได้แสดงประกบไมลส์ เทลเลอร์, เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี, เอ็ด แฮร์ริส, จอน แฮมม์, เกล็นน์ พาวเวล และมีสมาชิกทีมนักแสดงหน้าเดิมคือทอม ครูซ ที่กลับมารับบทเป็น ‘มาเวอริค’ และวาล คิลเมอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 2022
นอกจากนี้ พาร์เนลยังจะได้ร่วมแสดงในภาคที่เจ็ดของ Mission: Impossible แฟรนไชส์ที่ดำเนินมายาวนานของ Paramount ทอม ครูซ กลับมารับบท “อีธาน ฮันท์” อีกครั้งประกบไซมอน เพ็กก์, รีเบ็กก้า เฟอร์กูสัน, วาเนสซา เคอร์บี้, เฮย์ลีย์ แอตเวลล์, เชีย วิกแฮม, เอไซ โมราเลส, ร็อบ เดลานีย์ และแครี เอลเวส Mission Impossible: 7 มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 14 กรกฎาคม ปี 2023
เมื่อเร็วๆ นี้ พาร์เนลเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง Spiderhead ทางเน็ตฟลิกซ์ Spiderhead ซึ่งมีเรื่องราวเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เมื่อนักโทษได้รับโอกาสให้สมัครเป็นอาสาสมัครทางการแพทย์เพื่อลดโทษที่ได้รับ ได้สำรวจผลที่ตามมาเมื่อผู้ทดลองรายหนึ่งที่ได้รับยาตัวใหม่ที่สามารถสร้างความรู้สึกรักได้เริ่มตั้งคำถามถึงความเป็นจริงของอารมณ์ความรู้สึกของเขา คริส เฮมส์เวิร์ธ, ไมลส์ เทลเลอร์ และเจอร์นี สมอลเล็ตต์ ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเปิดตัวทางเน็ตฟลิกซ์ ในปี 2022
ด้านจอแก้ว พาร์เนลอาจเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในบท ‘ซีเอ็มซี เจเตอร์’ ของเขาใน “The Last Ship” ทางทีเอ็นที ล่าสุด พาร์เนลได้ปรากฏตัวในซีรีส์ดรามาอาชญากรรมของยูเอสเอเรื่อง “Briarpatch” ซึ่งนำแสดงโดยโรซาริโอ ดอว์สัน นอกจากนี้ เขายังได้ปรากฏตัวในซีรีส์ต่างๆ มากมายรวมถึง “Grand Crew” ทางเอ็นบีซี, “Better Things” ทางเอฟเอ็กซ์, “Venture Bros” ทางอดัลท์ สวิมและแฟรนไชส์ ”NCIS” ทางซีบีเอส และ ฯลฯ
ด้านจอเงิน พาร์เนลเพิ่งปรากฏตัวในภาพยนตร์ดรามาปี 2018 เรื่อง A Million Little Pieces พาร์เนลได้นำแสดงในภาพยนตร์แนวดรามาอินดี้เรื่อง Pariah ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2011 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดสาขา “นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์” จากการแสดงของเขาในบทอาร์เธอร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากนี้ เขายังได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ของพาราเมาท์เรื่อง Age of Extinction และภาพยนตร์ชีวประวัติของแจ็คกี้ โรบินสันโดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง 42 อีกด้วย
พาร์เนลเป็นชาวชิคาโก เมื่อไม่ได้แสดง เขาเป็นนักกอล์ฟและนักบาสเก็ตบอลตัวยงและเป็นแฟนยูเอฟซี นอกจากนั้น
เขายังสนุกกับการทำขนมด้วย
ปัจจุบัน พาร์เนลอาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส
บาเชียร์ ซาลาฮุดดิน (Bashir Salahuddin) รับบท (วอ-1 เบอร์นีย์ “ฮอนโด้” โคลแมน)
บาเชียร์ ซาลาฮุดดิน ผู้อำนวยการสร้าง มือเขียนบท ผู้กำกับและนักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี เกิดและเติบโตทางใต้ของชิคาโกในฐานะหนึ่งในลูกหกคน เขาเป็นศิษย์เก่าที่ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ซึ่งเขาเคยเป็นสมาชิกของเฮสตี้ พุดดิ้ง เธียทริคัลส์ที่มีชื่อเสียง
บาเชียร์เป็นมือเขียนบทในรายการ “Late Night with Jimmy Fallon” ทางเอ็นบีซี ที่ซึ่งเขาและเพื่อนสมัยเรียนวิทยาลัย ไดอัลโล ริดเดิล ได้เขียนผลงานเด่นเช่น “Slow Jam the News with Barack Obama” และ “The History of Hip-Hop with Justin Timberlake” นอกจากนี้ พวกเขายังพัฒนาภาพยนตร์ของตัวเอง Brothers in Atlanta กับบรอดเวย์ วิดีโอที่เอชบีโออีกด้วย นอกเหนือจากการได้รับเครดิตเขียนบทจากรายการทีบีเอสของจอร์แดน พีลและเทรซีย์ มอร์แกนในชื่อ “The Last O.G.” แล้ว บาเชียร์ยังได้แสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องรวมถึง A Simple Favor ของไลออนส์เกท, Snatched ของทเวนตี้ เซ็นจูรี, Gringo ภาพยนตร์เรื่องแรกของแนช เอ็ดเกอร์ตัน ประกบเดวิด โอเยลโลโอ รวมถึงซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงเรื่อง “Glow” และได้รับบทแขกรับเชิญในซีรีส์ยอดนิยมอื่นๆ เช่น “Curb Your Enthusiasm,” “Single Parents” และ “Superstore” บาเชียร์จะได้แสดงประกบทอม ครูซ ใน Top Gun: Maverick ที่กำลังจะเข้าฉาย และแสดงประกบปีเตอร์ ดิงค์เลจใน Cyrano
ปัจจุบัน บาเชียร์ได้แสดงนำในซีรีส์ทางเอชบีโอ แม็กซ์เรื่อง “South Side” รวมถึงซีรีส์ไอเอฟซีและเอเอ็มซีเรื่อง “Sherman’s Showcase” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลคริติกส์ ชอยส์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในคอเมดี
โมนิก้า บาร์บาโร (Monica Barbaro) รับบท เรือเอกนาตาชา “ฟินิกซ์” เทรซ
โมนิก้า บาร์บาโร นักแสดงหญิงที่มีความสามารถและพราวเสน่ห์ ยังคงขยายผลงานของเธออย่างต่อเนื่องด้วยโปรเจ็กต์ใหม่ๆ และบทบาทที่มีพลัง
ปัจจุบัน บาร์บาโรอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีรีส์ผจญภัยสายลับทั่วโลกของเน็ตฟลิกซ์ ประกบอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์ ซึ่งทั้งคู่จะเล่นเป็นพ่อและลูกสาว ปลายปีนี้ นอกจากบทบาทสำคัญของเธอใน Top Gun: Maverick แล้ว บาร์บาโรยังจะได้แสดงนำประกบดิเอโก้ โบเนต้า ในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีเรื่อง At Midnight ของพาราเมาท์ พลัส ซึ่งจะตัวชูโรงสำหรับผลงานออริจินอลในลาติน อเมริกาของทางเจ้าของบริการสตรีมเมอร์รายนี้
ล่าสุด บาร์บาโรได้แสดงในภาพยนตร์ The Cathedral ของริคกี้ ดิ’ แอมโบรส ซึ่งเปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลกที่งานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2021 และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับการคัดเลือกอย่างเป็นทางการของเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในปี 2022 ภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจินตนาการและความประทับใจของเด็กคนหนึ่งที่มีต่อความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวชาวอเมริกันครอบครัวหนึ่งในช่วงเวลาสองทศวรรษ
ในปี 2018 บาร์บาโรได้แสดงบทนางเอกประกบจอช โกรแบนและโทนี แดนซาใน “The Good Cop” ทางเน็ตฟลิกซ์ ซีรีส์เรื่องนี้ ที่สร้างโดยแอนดี้ เบร็คแมน เล่าเรื่องราวของอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กผู้เสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งอาศัยอยู่กับลูกชายของเขา นักสืบนิวยอร์กที่ซื่อสัตย์ (โกรแบน) บาร์บาโรรับบทเป็น ‘คารา วาสเกซ’ นักสืบที่ฉลาดหลักแหลมและมั่นใจในตนเอง ผู้เพิ่งเข้าทำงานกับหน่วยสืบคดีฆาตกรรมทั่วเมือง ซีรีส์ 10 เอพิโซดเรื่องนี้เปิดตัวเมื่อวันที่ 21 กันยายน ปี 2018 ผลงานทางโทรทัศน์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ ซีรีส์ดรามาโดยเกร็ก รัคก้าและโคบี้ สมัลเดอร์ส เรื่อง “Stumptown” ซีรีส์เอบีซีเรื่องนี้ ซึ่งเล่าเรื่องของทหารผ่านศึกนาวิกโยธินที่มีไหวพริบ (สมัลเดอร์ส) ผู้กลายเป็นนักสืบเอกชนในพอร์ตแลนด์ ได้เข้าฉายเมื่อวันที่ 25 กันยายน ปี 2019 ก่อนหน้านั้น บาร์บาโรได้กลับมาแสดงบทบาทนักแสดงรับเชิญของเธอในบท ‘ลิซา แอปเปิล’ อีกครั้งในซีซันที่สองของซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Splitting Up Together” ซีรีส์นี้ ที่อำนวยการสร้างโดยเอลเลน เดอเจเนเรส เล่าเรื่องคู่รักที่ชีวิตคู่ของพวกเขากลับมาอบอุ่นอีกครั้งด้วยการหย่าร้าง
บาร์บาโรอาจเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีที่สุดจากบท ‘ยาเอล’ ของเธอในซีซันที่สองของซีรีส์ไลฟ์ไทม์ ที่ได้รับคำชมเชยอย่าง “Unreal” ซีรีส์นี้บันทึกเหตุการณ์วุ่นวายเบื้องหลังรายการการแข่งขันหาคู่ ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเธอรวมถึง “Chicago Justice”, “Chicago PD” โดยดิ๊ค วูลฟ์, “Lethal Weapon” โดยแทมธิว มิลเลอร์, “Notorious”, “Crazy Ex-Girlfriend” ประกบราเชล บลูม, “Hawaii Five-O,” “Stitchers” และภาพยนตร์เอชบีโอที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีเรื่อง Hemingway and Gelhorn
บาร์บาโรเกิดและเติบโตในแคลิฟอร์เนีย เธอเป็นนักเต้นบัลเลต์ที่ได้รับการฝึกฝนมาแบบดั้งเดิม และยังศึกษาการเต้นรำสมัยใหม่ ซัลซ่า ฟลาเมงโก และการเต้นรำแบบแอฟริกาตะวันตกด้วย
เจย์ เอลลิส (Jay Ellis) รับบท เรือเอกรูเบน “เพย์แบ็ค” ฟิทช์
ด้วยทักษะและประวัติผลงานที่หลากหลาย เจย์ เอลลิส ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้มีหลายบทบาท ผู้เป็นที่ต้องการมากที่สุดของฮอลลีวูดอย่างรวดเร็ว หลังจากนี้ เราจะได้เห็นเขาแสดงประกบทอม ครูซ ในภาพยนตร์ที่ทุกคนรอคอยอย่าง Top Gun: Maverick ซึ่งจะเข้าฉายทั่วโลกในวันที่ 27 พฤษภาคม นอกจากนี้ เอลลิสยังเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์อเมซอนเรื่อง Somebody I Used to Know ซึ่งกำกับโดยเดฟ ฟรังโก้อีกด้วย ด้านจอแก้ว เอลลิสปรากฏตัวในฐานะ ‘ลอว์เรนซ์’ ที่แฟนๆ ชื่นชอบในซีรีส์คอเมดีที่ได้รับคำชมเชยทางเอชบีโอ และได้แสดงในซีรีส์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีเรื่อง “Insecure” ซึ่งสร้างโดยอิสซา เรย์และแลร์รี วิลมอร์ ในปี 2018 เขาได้รับรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดีจากผลงานของเขาในซีรีส์ดังกล่าว นอกจากนี้ เขายังได้กำกับการแสดงครั้งแรกด้วยเอพิโซด “Lowkey Trippin” ในซีซันที่สี่
ผลงานทางโทรทัศน์เรื่องอื่นๆ ของเอลลิสได้แก่ ซีรีส์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีของเอฟเอ็กซ์เรื่อง “Mrs. อเมริกา,” การนำแสดงในซีรีส์บีอีทียอดนิยมเรื่อง “The Game” ตั้งแต่ปี 2013-2015 และการแสดงในใน “Masters of Sex,” “Grace & Francie,” “How I Met Your Mother,” “Grey’s Anatomy” และ “NCIS: Los Angeles”
ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง เอลลิสเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Black Box สำหรับอเมซอน ร่วมกับบลัมเฮาส์ โปรดักชันส์ภายใต้ชื่อบริษัทโปรดักชันของเขา แบล็ค บาร์ มิทซ์วาห์ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาภาพยนตร์ที่โซนี, เน็ตฟลิกซ์, เอ็นดีเวอร์ คอนเทนท์ รวมถึงรายการทีวีกับเอชบีโอ, ฮูลู/เอฟเอ็กซ์, เอ็มจีเอ็ม และอื่นๆ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ Escape Room, A Girl, A Boy, A Dream ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติซันแดนซ์ปี 2018
นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ อินไซด์ เอาท์ ไรเตอร์ส ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรในแอลเอ ที่สอนชั้นเรียนการเขียนเชิงสร้างสรรค์ตามห้องเรียนสำหรับเยาวชนทั่วลอสแองเจลิส เคาน์ตี้ รวมไปถึงมูลนิธิ แอมฟาร์ ซึ่งเป็นมูลนิธิเพื่อการวิจัยโรคเอดส์ ซึ่งอุทิศตนเพื่อยุติการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ทั่วโลกผ่านการวิจัยเชิงนวัตกรรม
แดนนี รามิเรซ (Danny Ramirez) รับบท เรือเอก มิคกี้ “แฟนบอย” การ์เซีย
แดนนี รามิเรซ นักแสดงผู้กระตือรือร้นและมีความสามารถหลากหลาย ได้โด่งดังอย่างรวดเร็วในฐานะหนึ่งในนักแสดงดาวรุ่งของวงการบันเทิง
รามิเรซเป็นที่รู้จักกันดีจากบทตัวละครมาร์เวล ‘วาคิน ตอร์เรส’ จากซีรีส์มาร์เวลเรื่อง “The Falcon & The Winter Soldier” ซึ่งเขาได้ร่วมแสดงประกบแอนโธนี แม็คกี้ หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงประกบทอม ครูซในภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick ที่ทุกคนรอคอยของพาราเมาท์ ซึ่งมีกำหนดออกฉายในวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 2022 เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งมีผลงานในทริลเลอร์/ระทึกขวัญที่ทเวนตี้ เซ็นจูรี สตูดิโอส์สร้างให้กับฮูลูเรื่อง No Exit ที่อำนวยการสร้างโดยสก็อต แฟรงค์ ผู้ร่วมสร้างซีรีส์ “The Queen’s Gambit
ผลงานหลังจากนี้ของรามิเรซจะเป็นดรามาสองไทม์ไลน์ของเน็ตฟลิกซ์เรื่อง Plus/Minus ประกบลิลลี ไรน์ฮาร์ท
เมื่อเร็วๆ นี้ รามิเรซเพิ่งเสร็จจากงานถ่ายทำ Chestnut ดรามารักสามเส้าจากแจ็ค ครอน ซึ่งเขาจะแสดงประกบนาตาเลีย ไดเออร์และราเชล เคลเลอร์และใน The Stars at Noon ทางช่องเอทเวนตี้โฟร์ จากผู้กำกับแคลร์ เดนิส ซึ่งเขาจะแสดงประกบโจ อัลวินและมาร์กาเร็ต ควอลลีย์
รามิเรซจะอำนวยการสร้างและนำแสดงในภาพยนตร์ ระทึกขวัญโดยโซน วัน โปรดักชันส์ เรื่อง To Die Sane ที่ร่วมเขียนบทโดยมอยเซส ซาโมรา และคาร์ลอส ซิสโก้ นอกจากนี้ เบียงก้า เควซาดาและซาโมราก็จะร่วมอำนวยการสร้างกับรามิเรซด้วย
ผลงานภาพยนตร์ของแดนนีส่งกระแสตอบรับไปทั่วแวดวงเทศกาลภาพยนตร์ด้วย Assassination Nation ของแซม เลวินสัน (เทศกาลภาพยนตณ์ซันแดนซ์ปี 2018), ภาพยนตร์โดยแคทเธอรีน โอ’ ไบรอันเรื่อง Lost Transmissions (เทศกาลภาพยนตร์ไทรเบก้าปี 2019) และ The Giant โดยเดวิด ราบอย (เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2019)
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ Root Letter ของซอนจา โอ’ ฮาราและเรื่อง This Is Not a War Story โดยทาเลีย ลูกาซี ผลงานทางโทรทัศน์ของเขา ได้แก่ “On My Block” ทางเน็ตฟลิกซ์ และ “The Gifted” ทางฟ็อกซ์
แดนนีเกิดในชิคาโกและเติบโตในไมอามี เขาย้ายไปนิวยอร์กเพื่อเข้าเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาเล่นฟุตบอลก่อนที่จะเข้าเรียนที่ทิสช์ สคูล ออฟ ดิ อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิจิตรศิลป์ด้านละครเวที
เกร็ก ทาร์ซาน เดวิส (Greg Tarzan Davis) รับบท เรือเอกจาวี “โคโยตี้” มาชาโด้
เกร็ก ทาร์ซาน เดวิส จะแสดงประกบทอม ครูซ ใน Top Gun: Maverick ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 27 พฤษภาคม ปี 2022 ปัจจุบัน เขาแสดงประกบชานดรา วิลสันและเอลเลน ปอมปีโอในบท “ดร.จอร์แดน ไรท์” ในซีรีส์ฮิตระดับโลกเรื่อง “Grey’s Anatomy” และในไม่ช้า เขาก็จะได้เริ่มทำงานในภาพยนตร์สตูดิโอที่นิรนามที่จะเข้าฉายในปี 2024 นอกจากนี้ เขายังจะได้แสดงประกบทอม ครูซอีกครั้งใน Mission: Impossible 7 ที่จะเข้าฉายในเดือนกรกฎาคม ปี 2023 อีกด้วย
เดวิสเป็นชาวนิวออร์ลีนส์ที่คุ้นเคยกับละครเวทีตั้งแต่อายุยังน้อยเมื่อคุณยายพาเขาไปดูละครเวทีในท้องถิ่น เขายกย่องครูมัธยมปลายของเขาว่าช่วยสนับสนุนความรักในการแสดงที่ ซึ่งทำให้ในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนวิทยาลัย เขาได้เปิดตัวในฐานะนักแสดงนำในละครเวทีเรื่อง “By The Way Meet Vera Stark” ในระหว่างที่เขาไล่ตามความฝันในการทำงานด้านการแสดงเต็มเวลา เขาก็ได้ทำตามความปรารถนาอีกอย่างหนึ่งของเขา นั่นก็คือการทำงานกับเด็กๆ และเขาก็ได้เป็นครูในโรงเรียนประถม ไม่นานนัก ความปรารถนาที่จะไล่ตาม “รักแรก” ของเขาก็ยิ่งใหญ่มากจนทำให้เขาบอกให้นักเรียนที่รักรู้ว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปยังลอสแองเจลิสเพื่อเป็นนักแสดง เขาเปิดตัวผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาในปี 2020 ด้วย The Call of the Wild ที่นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ด ผลงานเรื่องอื่นๆ ได้แก่ บทประจำใน “Good Trouble” และบทรับเชิญในซีรีส์อย่าง “Chicago P.D” และ ” All Rise ”
เดวิส ผู้เป็นสายดำระดับสองในเทควันโด อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อไม่ได้อยู่ในกองถ่าย เขาชอบทำขนมอร่อยๆ ให้กับครอบครัวและเพื่อนฝูง ใช้เวลาอยู่กับ บูจู สุนัขที่รักของเขา และแน่นอน ดูภาพยนตร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
วัล คิลเมอร์ (Val Kilmer) รับบท พลเรือโททอม “ไอซ์แมน” คาซานสกี้
วัล คิลเมอร์ จบการศึกษาจากจูลเลียร์ด ที่ซึ่งเมื่ออายุ 17 ปี เขาเป็นนักแสดงที่อายุน้อยที่สุดที่เคยถูกรับเข้าแผนกการละคร เขาแจ้งเกิดในฮอลลีวูดจากบทร็อคสตาร์ ‘นิค ริเวอร์ส’ ในภาพยนตร์คอเมดีเรื่อง Top Secret โดยซักเกอร์-อับราฮัม-ซัคเกอร์! ตามด้วย Real Genius ภาพยนตร์คัลท์สุดคลาสสิก
เขาพุ่งขึ้นสู่การเป็นดาราระดับนานาชาติด้วยการรับบท ไอซ์แมน ใน Top Gun, จิม มอร์ริสัน ใน The Doors, ด็อค ฮอลิเดย์ ใน Tombstone และแบทแมนใน Batman Forever ภาพยนตร์ที่น่าจดจำอื่นๆ ได้แก่ ภาพยนตร์ตลกของเชน แบล็คเรื่อง Kiss Kiss Bang Bang, ภาพยนตร์แฟนตาซีของจอร์จ ลูคัสและรอน ฮาวเวิร์ดเรื่องวิลโลว์ และภาพยนตร์อาชญากรรมระทึกขวัญของไมเคิล มานน์ เรื่อง Heat
ในฐานะนักแสดงละครเวทีที่ประสบความสำเร็จ เขาได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ใน “Slab Boys” ประกบฌอน เพนน์และเควิน เบคอน และได้แสดงในละครเวทีหลายเรื่องรวมถึง “Henry IV: Part One” ของโจเซฟ แป็ปป์, “As You Like It” ประกบแพตตี้ ลูโพนและ “ ’Tis Pity She’s A Whore” นอกจากนี้ เขายังแสดงนำในละครเวทีเรื่อง “Hamlet” สำหรับเทศกาลละครเวทีโคโลราโด และในละครเวทีที่ดัดแปลงโดยแอนดรูว์ รัทเทนเบอรีเรื่อง “The Postman Always Rings Twice” บนเวทีเวสต์เอนด์ของลอนดอนอีกด้วย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ คิลเมอร์ได้เดินทางทัวร์อเมริกาด้วยงานถ่ายทำซีรีส์แสดงคนเดียวของเขาเรื่อง “Citizen Twain” ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่ออย่างเหมาะเจาะเป็น Cinema Twain ซึ่งเขาเขียนบท นำแสดงและอำนวยการสร้าง นอกจากนั้น เขายังเป็นศิลปินที่มีผลงานมากมายด้วยการแสดงทั่วประเทศและต่างประเทศ โดยมีไฮไลท์เป็นงานศิลปะของเขา
ในปี 2020 บันทึกความทรงจำของคิลเมอร์ในชื่อ “I’m Your Huckleberry” ได้ถูกตีพิมพ์โดยไซมอน แอนด์ ชูสเตอร์
สารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเขา ที่คิลเมอร์ร่วมผลิตชื่อ Val ได้รับการเผยแพร่โดยอเมซอน สตูดิโอส์ในปี 2021 หลังจากฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
ประวัติทีมผู้สร้าง
โจเซฟ โคซินสกี้ (Joseph Kosinski)—กำกับโดย
โจเซฟโคซินสกี้เป็นผู้กำกับเจ้าของสไตล์แน่วแน่เขาได้สร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในวงการสร้างภาพยนตร์ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา TRON: Legacy สำหรับดิสนีย์ทำรายได้ไปกว่า 400 ล้านเหรียญทั่วโลกและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมายรวมถึงรางวัลออสการ์สาขาการลำดับเสียงและแกรมมีสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์สำหรับดาฟท์พังค์ด้วยสำหรับภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขาโคซินสกี้ได้สร้างภาพยนตร์แนวไซไฟแนวระทึกขวัญเรื่อง Oblivion สำหรับยูนิเวอร์แซลที่นำแสดงโดยทอมครูซและมอร์แกนฟรีแมนและทำรายได้ไป 288 ล้านเหรียญทั่วโลกภาพยนตร์เรื่องที่สามของโคซินสกี้คือภาพยนตร์แอ็กชันดรามาที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลามเรื่อง Only the Brave สำหรับแบล็คลาเบลมีเดียและโคลัมเบียพิคเจอร์สภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยจอชโบรลิน, ไมลส์เทลเลอร์, เจนนิเฟอร์คอนเนลลีและเจฟฟ์บริดเจส
ปลายฤดูร้อนนี้ เน็ตฟลิกซ์จะเปิดตัวผลงานของโคซินสกี้เรื่อง Spiderhead ภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องสั้นโดย จอร์ส ซอนเดอร์ส นักเขียนชื่อดัง ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยคริส เฮมส์เวิร์ธ, ไมลส์ เทลเลอร์และเจอร์นี สมอลเล็ตต์ ปัจจุบัน โคซินสกี้กำลังทำงานในขั้นตอนเตรียมงานสร้างของภาพยนตร์แข่งรถ Formula One ที่กำลังจะเข้าฉายทางแอปเปิล ทีวี พลัส ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเขาจะอำนวยการสร้างร่วมกับเจอร์รี บรัคไฮเมอร์ และแชมป์ F1 ลูอิส แฮมิลตัน จะแสดงนำแสดงโดยแบรด พิตต์
โจเซฟสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมเครื่องกลโดยเน้นด้านการออกแบบจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและปริญญาโทด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer)—อำนวยการสร้างโดย
ผลงานของ เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ ผู้ที่บางทีอาจเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล ได้แก่แฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean, National Treasure, Bad Boys และ Beverly Hills Cop ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่, Black Hawk Down, Pearl Harbor, Remember the Titans , Armageddon, The Rock, Crimson Tide, Top Gun และ Flashdance
บรัคไฮเมอร์ประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อด้านคำวิจารณ์และบ็อกซ์ออฟฟิศกับ Bad Boys For Life ซึ่งสร้างสถิติการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สำหรับภาพยนตร์ที่เปิดตัวในเดือนมกราคมเมื่อมันเปิดตัวในปี 2020
ผลงานหลังจากนี้ของผู้อำนวยการสร้างผู้นี้รวมถึง Top Gun: Maverick ที่ทุกคนรอคอย ซึ่งนำบรัคไฮเมอร์มาร่วมงานกับดาราดังอย่างทอม ครูซอีกครั้ง หลังจากภาพยนตร์ต้นฉบับออกฉาย 36 ปี นอกจากนี้ เขายังเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยโอเวน วิลสันเรื่อง Secret Headquarters สำหรับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส ในช่วงฤดูร้อนปี 2021 อีกด้วย
เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ เทเลวิชัน (เจบีทีวี) ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1997 ประสบความสำเร็จเกือบจะในทันทีด้วย “CSI: Crime Scene Investigation” ซึ่งกลายเป็นซีรีส์อันดับหนึ่งทางโทรทัศน์อย่างรวดเร็ว และเปิดตัวสามภาคแยกที่ประสบความสำเร็จ “CSI: Miami” “CSI: NY ” และ “CSI: Cyber” ในซีซันปี 2005-6 บรัคไฮเมอร์มีซีรีส์ที่ทำลายสถิติ 10 เรื่องทางเครือข่ายโทรทัศน์รวมถึงซีรีส์ห้าเรื่องที่มีเรตติ้งติดอันดับท็อป 10 ในอเมริกา
เจบีทีวีได้ขยายขอบเขตผลงานของพวกเขาด้วยซีรีส์ต่างๆ เช่น “Without a Trace,” “Cold Case” และ “The Amazing Race” ที่ได้รับรางวัลเอ็มมีสิบครั้งทางซีบีเอส “Lucifer” ได้ประสบความสำเร็จในการฉายทางเน็ตฟลิกซ์หกซีซัน และได้รับการยกย่องให้เป็นซีรีส์ที่มีผู้ชมมากที่สุดอันดับ 2 ในปี 2020 ในขณะที่ “Hightown” ได้รับการต่ออายุเป็นซีซันที่สามทางสตาร์ซ และซีรีส์ “CSI: Vegas” ที่ถูกนำมาสร้างใหม่ก็ได้รับการต่ออายุสำหรับซีซันที่สอง
เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ได้รับรางวัลอันโดดเด่นที่สุดของวงการบันเทิงหลายรางวัล บรัคไฮเมอร์เป็นหนึ่งใน “ไทม์ 100″ ซึ่งเป็นลิสต์บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกของนิตยสารชื่อดังนี้ เขาเป็นผู้รับรางวัลผู้อำนวยการสร้างแห่งปีของโชเวสต์ถึงสามครั้ง และได้รับรางวัลเดวิด โอ. เซลส์นิค อวอร์ดสำหรับความสำเร็จแห่งชีวิตโดยสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา เราสามารถเห็นรอยประทับมือและเท้าของเขาได้ที่ลานด้านหน้าของโรงภาพยนตร์กราวแมนส์ ไชนิส เธียเตอร์อันเลื่องชื่อบนฮอลลีวูด บูเลอวาร์ด ร่วมกับรอยประทับของผู้ทรงคุณวุฒิในวงการภาพยนตร์อีกมากมาย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากดวงดาวของเขาในฮอลลีวูด วอล์ค ออฟ เฟม
นอกจากนี้ บรัคไฮเมอร์ยังได้รับเกียรติจากสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน รวมถึงการฉายย้อนหลังผลงานมากมายของเขาด้วย เขาได้รับรางวัลความสำเร็จแห่งชีวิตของโชเวสตส์, รางวัลคนดังแห่งปีของวาไรตี้และเป็นผู้อำนวยการสร้างคนแรก ที่ได้รับรางวัลอเมริกัน ซิเนมาธิค อวอร์ด
ในอาชีพการงานที่ยาวนานกว่า 40 ปี ภาพยนตร์ของบรัคไฮเมอร์ทำรายได้รวมกว่า 20,000 ล้านเหรียญ รวมถึงบ็อกซ์ออฟฟิศและยอดขายเสริม เขาได้อำนวยการสร้างซีรีส์โทรทัศน์เกือบ 2,000 ชั่วโมง โปรเจ็กต์ของเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 43 รางวัลออสการ์, 6 รางวัลออสการ์, ได้รับการเสนอชื่อชิง 8 รางวัลแกรมมี อวอร์ด, 5 รางวัลแกรมมี, ได้รับการเสนอชื่อชิง 23 รางวัลลูกโลกทองคำ, 4 รางวัลลูกโลกทองคำ, ได้รับการเสนอชื่อชิง 145 รางวัลเอ็มมี อวอร์ด, 23 รางวัลเอ็มมี, ได้รับการเสนอชื่อชิง 36 รางวัลพีเพิลส์ ชอยส์, 15 รางวัลพีเพิลส์ ชอยส์และอีกหลายรางวัลเอ็มทีวี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในรอบทศวรรษสำหรับ Beverly Hills Cop ด้วย
เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ เกิดในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน เขาเป็นลูกชายของพ่อแม่ผู้อพยพชาวเยอรมัน ผู้ปลูกฝังจรรยาบรรณในการทำงานที่เข้มแข็งและความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในตัวเขา เมื่อโตขึ้น บรัคไฮเมอร์ก็ได้พัฒนาความหลงใหลในภาพยนตร์ การถ่ายภาพ และกีฬา โดยเฉพาะฮ็อกกี้น้ำแข็ง ความฝันตลอดชีวิตกลายเป็นจริงในปี 2019 เมื่อเขาเข้าร่วมแฟรนไชส์เอ็นเอชแอลส่วนขยายสำหรับซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ในฐานะนักลงทุนของทีมซีแอตเติล คราเคน
คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ (Christopher McQuarrie)—บทภาพยนตร์โดย/อำนวยการสร้างโดย
คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ย์ เป็นมือเขียนบท ผู้อำนวยการสร้าง และผู้กำกับ ผู้ซึ่งผลงานของเขามีทั้ง The Usual Suspects, Edge of Tomorrow และ Mission: Impossible Fallout นอกจากนี้ เขายังเป็นที่รู้จักในวงการนี้ ด้วยผลงานที่ไม่ได้รับเครดิตในฐานะผู้ปรับแก้บท มือลำดับภาพภาพยนตร์ และที่ปรึกษาด้านงานสร้างในผลงานหลากหลายแนวด้วยกัน เขาเป็นผู้ร่วมงานกับทอม ครูซบ่อยครั้ง ปัจจุบัน เขากำลังทำงานในภาคที่ 7 และ 8 ของ Mission: Impossible
เดวิด เอลลิสัน (David Ellison)—อำนวยการสร้างโดย
เดวิด เอลลิสัน ดำรงตำแหน่งซีอีโอของสกายแดนซ์ มีเดีย บริษัทสื่อที่มีความหลากหลาย ซึ่งเขาก่อตั้งขึ้นในปี 2010 เพื่อสร้างความบันเทิงระดับสูงสำหรับผู้ชมทั่วโลก ในฐานะซีอีโอ เขากำหนดและดำเนินการตามวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของบริษัทในทุกแผนก ทั้งภาพยนตร์ โทรทัศน์ อินเทอร์แอ็กทีฟ แอนิเมชัน สื่อใหม่ และกีฬา
เดวิดได้ดูแลงานภาพยนตร์ปัจจุบันของสกายแดนซ์ รวมถึง Top Gun: Maverick, The Adam Project, The Greatest Beer Run Ever, Ghosted, Heart of Stone, Transformers: Rise of the Beasts และภาคที่ 7 และ 8 ของ Mission: Impossible ภายใต้การนำของเขา สกายแดนซ์ได้อำนวยการสร้างสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์และภาพยนตร์ที่ได้รับคำวิจารณ์มากมายรวมถึง The Tomorrow War, The Old Guard, 6 Underground, Tom Clancy’s Without Remorse, Mission: Impossible – Fallout, Annihilation, Star Trek Into Darkness และ Star Trek Beyond, ภาพยนตร์ Jack Reacher และ True Grit ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์
ในปี 2013 เดวิดได้เปิดตัวสกายแดนซ์ เทเลวิชัน ซึ่งมีซีรีส์ที่หลากหลายบนแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึง เน็ตฟลิกซ์, อเมซอน ไพรม์และแอปเปิล ทีวี พลัส รวมถึงซีรีส์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี เช่น “Grace and Frankie” และ “Tom Clancy’s Jack Ryan” ตลอดไปจนถึง “Reacher,” “Foundation,” “The Big Door Prize,” “Condor” และซีรีส์นิรนามที่นำแสดงโดยอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์ ในซีรีส์โทรทัศน์ที่มีบทเรื่องแรกของเขา
นอกจากนี้ ในปี 2016 เดวิดยังได้ก่อตั้งสกายแดนซ์ อินเตอร์แอ็กทีฟ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่สร้างและเป็นเจ้าของและผู้ให้ใช้สิทธิเกมเสมือนจริง โดยผลงานของสตูดิโอรวมถึงเกมสยองขวัญเอาชีวิตรอดเสมือนจริง ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม อย่าง The Walking Dead: Saints and Sinners รวมถึงภาคต่อที่ประกาศล่าสุด: Chapter 2—Retribution ด้วย
เดวิดเปิดตัวแผนกแอนิเมชันที่สกายแดนซ์ ในปี 2017 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างภาพยนตร์และซีรีส์แอนิเมชันระดับไฮเอนด์ที่โดดเด่นและไม่เหมือนใคร Blush ภาพยนตร์สั้นเรื่องแรกของสตูดิโอ เปิดตัวที่งานเทศกาลภาพยนตร์ไทรเบก้า อันทรงเกียรติในปี 2021 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงและได้รับรางวัลมากมาย ภาพยนตร์แอนิเมชันมากมายของแผนกนี้รวมถึง Luck and Spellbound ในปี 2020 เดวิดได้ก่อตั้งสกายแดนซ์ แอนิเมชัน มาดริด ซึ่งขยายขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ ขนาด และการใช้ประโยชน์ของสตูดิโอ
ในปี 2019 เดวิดได้ก่อตั้งสกายแดนซ์ นิว มีเดีย เพื่อสร้างประสบการณ์เชิงโต้ตอบ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นซีรีส์ออริจินอล โดยให้ผู้ชมเป็นศูนย์กลางของแอ็กชันและการผจญภัย โดยมีการสร้างผลงานครั้งแรกร่วมกับมาร์เวล เอนเตอร์เทนเมนต์
สกายแดนซ์ สปอร์ตส์ แผนกใหม่ล่าสุดของสตูดิโอเปิดตัวในปี 2021 เพื่อพัฒนาเนื้อหา สารคดี และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกีฬาทั้งแบบมีบทและไม่มีบท ผลงานของแผนกรวมถึงโปรเจ็กต์จำนวนหนึ่งที่อยู่ในขั้นตอนต่างๆ ของการพัฒนา
เดวิดประกาศในปี 2018 ว่า สกายแดนซ์ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเทนเซนต์ โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตมูลค่าเพิ่มชั้นนำในประเทศจีน ในปี 2020 เขาได้ประกาศจัดตั้งพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ เรดเบิร์ด แคปิตอลและซีเจ อีแอนด์เอ็ม ซึ่งส่งผลให้มีการขยายทุนมูลค่า 275 ล้านเหรียญและทำให้การประเมินมูลค่าของสกายแดนซ์เพิ่มขึ้นเป็น 2.3 พันล้านเหรียญ การเป็นพันธมิตรกับ ซีเจ อีแอนด์เอ็ม ได้ขยายธุรกิจโทรทัศน์ทั่วโลกของสกายแดนซ์ออกไป ทำให้บริษัทมีฐานที่มั่นในตลาดความบันเทิงของเกาหลีใต้และเข้าถึงคลังความบันเทิงยอดนิยมอย่างล้นหลามของซีเจ อีแอนด์เอ็ม
เดวิดเป็นนักบินที่ประสบความสำเร็จและชื่นชอบภาพยนตร์มาตลอดชีวิต เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะภาพยนตร์แห่งยูเอซีและเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา รวมถึงสถาบันโทรทัศน์ เขาอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียกับภรรยาของเขาผู้เป็นนักดนตรี แซนดรา ลินน์
ทอมมี ฮาร์เปอร์ (Tommy Harper)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
ทอมมี ฮาร์เปอร์ เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และโทรทัศน์ชาวอเมริกันที่เคยทำงานในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์หลายเรื่อง ซึ่งทำรายได้ทะลุหลายพันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศ ซึ่งรวมถึง: Star Wars: Episode VII – The Force Awakens, Alice in Wonderland, Mission: Impossible III, Mission Impossible: Ghost Protocol, Star Trek, Star Trek: Into Darkness และ Star Trek: Beyond ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ Battle: Los Angeles, Jack Ryan และ Big Eyes เป็นต้น
ฮาร์เปอร์โชคดีที่ได้ร่วมงานกับทิม เบอร์ตัน, เจ.เจ. อับรามส์, แองเจลินา โจลี, ลี ทามาโฮริ, เคนเนธ บรานาห์, แกรี มาร์แชล, โจเซฟ โคซินสกี้, ดั๊ก ลีแมนและแบรด เบิร์ด ตลอดการทำงานกว่า 20 ปีของเขา นอกจากนี้ ภาพยนตร์หลายเรื่องยังได้แสดงความสามารถของนักแสดง เช่น จูเลีย โรเบิร์ตส์, เอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์, โรเบิร์ต เดอนีโร, เมอริล สตรีพ, จิม แคร์รีย์, จอห์นนี เดปป์, ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, แซนดรา บุลล็อค, แฮร์ริสัน ฟอร์ด, ยวน แม็คเกรเกอร์, เจสสิกา เลนจ์, คริส ไพน์, คริส เฮมส์เวิร์ธและทอม ครูซ
หลังจากเสร็จสิ้นการถ่ายทำหลักใน Star Wars: Episode VII: The Force Awakens ในฐานะผู้ควบคุมงานสร้างของวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส, ลูคัสฟิล์มและแบ๊ด โรบ็อท ฮาร์เปอร์ยังคงสานต่อความสัมพันธ์อันยาวนานของเขากับเจ.เจ. อับรามส์และแบ๊ด โรบ็อท ด้วยการเข้าร่วมทีมอย่างเป็นทางการในปี 2014 ในตำแหน่งซีโอโอและหัวหน้าฝ่ายงานสร้าง ปัจจุบันนี้ ฮาร์เปอร์กำลังทำงานในโปรเจ็กต์ภาพยนตร์และโทรทัศน์นอกเหนือจากแบ๊ด โรบ็อท โดยยังคงอำนวยการสร้างให้กับหุ้นส่วนสตูดิโอของเขา ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับ
ปัจจุบัน ฮาร์เปอร์ดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick สำหรับพาราเมาท์ พิคเจอร์สและกำลังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Spiderhead สำหรับเน็ตฟลิกซ์ นอกจากนี้ ฮาร์เปอร์ยังเป็นผู้ควบคุมงานสร้างสำหรับโปรเจ็กต์ทีวีสองเรื่องที่อยู่ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชัน ได้แก่ ” Wednesday ” สำหรับเน็ตฟลิกซ์ ที่มีทิม เบอร์ตันเป็นผู้กำกับ และ ” Willow ” สำหรับดิสนีย์พลัส และลูคัสฟิล์ม
ดานา โกลด์เบิร์ก (Dana Goldberg)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
ในฐานะซีซีโอของสกายแดนซ์ ดานา โกลด์เบิร์ก ได้ช่วยกำหนดและดำเนินการตามวิสัยทัศน์ที่สร้างสรรค์โดยรวมของบริษัทในหน่วยงานภาพยนตร์ โทรทัศน์ และแอนิเมชัน เธอได้ดูแลงานภาพยนตร์ปัจจุบันของสกายแดนซ์ ซึ่งรวมถึง Top Gun: Maverick, The Adam Project, The Greatest Beer Run Ever, Ghosted, Heart of Stone, Transformers: Rise of the Beasts และภาคที่เจ็ดและแปดของแฟรนไชส์ Mission: Impossible นอกจากนี้ ดานายังช่วยดูแลภาพยนตร์แอนิเมชันของสกายแดนซ์ ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Luck และ Spellbound ด้วย
นอกเหนือจากงานภาพยนตร์แล้ว ดานายังได้ดูแลงานสร้างสรรค์ของซีรีส์ออริจินอลของสกายแดนซ์ เทเลวิชัน ซึ่งรวมถึงซีรีส์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีหลายเรื่อง เช่น “Grace and Frankie” และ “Tom Clancy’s Jack Ryan” รวมถึง “Foundation”, “Reacher” “ Condor,” “The Big Door Prize” และโปรเจ็กต์นิรนามที่นำแสดงโดยอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์ในหลากหลายแพลตฟอร์ม รวมถึงเน็ตฟลิกซ์, อเมซอน ไพรม์และแอปเปิล ทีวีพลัส
ดานาเข้าทำงานกับสกายแดนซ์ในปี 2010 ในตำแหน่งประธานฝ่ายงานสร้าง และรับผิดชอบงานด้านภาพยนตร์ทั้งหมด ซึ่งรวมถึง The Tomorrow War, The Old Guard, Tom Clancy’s Without Remorse, 6 Underground, Mission: Impossible – Fallout, Rogue Nation และ Ghost Protocol, Star Trek Into Darkness และ Star Trek Beyond, แฟรนไชส์ Jack Reacher, Terminator: Dark Fate, Gemini Man, World War Z, G.I. Joe: Retaliation และ True Grit
ก่อนที่จะร่วมงานกับสกายแดนซ์ ดานาเคยดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายงานสร้างที่วิลเลจ โร้ดโชว์ ที่ซึ่งเธอดูแลและทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมงานนสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมากมายของสตูดิโอ ซึ่งรวมถึง I Am Legend และ Happy Feet ก่อนหน้าวิลเลจ โร้ดโชว์ ดานาเคยดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายงานสร้างที่บัลติมอร์/สปริง ครีก พิคเจอร์ส เธอเป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์มาตั้งแต่ปี 2007 และเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกาและสถาบันโทรทัศน์ ดานาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมิสซูรี
ดอน เกรนเจอร์ (Don Granger)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
ในฐานะประธานฝ่ายภาพยนตร์ที่สกายแดนซ์ ดอน เกรนเจอร์ มีหน้าที่ควบคุมการพัฒนาและการสร้างภาพยนตร์ที่แข็งแกร่งของบริษัท ซึ่งรวมถึง Top Gun: Maverick, The Adam Project, The Greatest Beer Run Ever, Ghosted, Heart of Stone, Transformers: Rise of the Beasts และภาคที่เจ็ดและแปดของแฟรนไชส์ Mission: Impossible ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม
ดอนมีประสบการณ์มากกว่า 30 ปีในการดูแลงานภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ โดยเขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับผลงานที่ผ่านมาของสกายแดนซ์รวมถึง The Tomorrow War, Tom Clancy’s Without Remorse, The Old Guard, 6 Underground, Mission: Impossible – Fallout, Terminator: Dark Fate, Jack Reacher และ Mission: Impossible – Rogue Nation นอกจากนี้ ดอนยังได้ดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างในซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่โด่งดังในเชิงพาณิชย์และคำวิจารณ์เรื่อง Reacher ซึ่งเปิดตัวในปี 2022
ก่อนที่จะร่วมงานกับสกายแดนซ์ ดอนเคยดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายงานสร้างภาพยนตร์ที่ยูไนเต็ด อาร์ติสท์ ที่ซึ่งเขาดูแลการพัฒนาและงานสร้างเป็นเวลาห้าปี ก่อนหน้านั้น เขาดูแลงานสร้าง การพัฒนา และการดำเนินงานที่ซี/ดับบลิว โปรดักชันส์ ในฐานะผู้บริหารอาวุโส ที่ซึ่งเขาได้ช่วยนำ War of the Worlds, Mission: Impossible III และ Elizabethtown ขึ้นสู่จอภาพยนตร์ นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างเรื่อง Ask the Dust และ The Eye และผู้ควบคุมงานสร้างเรื่อง Death Race ก่อนหน้าร่วมงานกับซี/ดับบลิว เขาเคยดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายงานสร้างภาพยนตร์ที่พาราเมาท์ พิคเจอร์ส ที่ซึ่งเขารับผิดชอบดูแลแฟรนไชส์ต่างๆ เช่น Mission: Impossible, Star Trek, Tomb Raider และ Jack Ryan ตลอด as Patriot Games, Clear and Present Danger, Sum of All Fears, Varsity Blues, The Saint, Kiss the Girls, Along Came a Spider และ Saving Private Ryan ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดก่อนที่จะดำรงตำแหน่งที่พาราเมาท์ ดอนเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์และผู้อำนวยการสร้างที่มูชวล ฟิล์ม คัมปะนี, เดอะ ไวน์ทร็อบ เอนเตอร์เทนเมนต์ กรุ๊ปและทัชสโตน พิคเจอร์ส
ดอนเป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์และสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้าง เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเยลและอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียกับครอบครัวของเขา
ไมค์ สเตนสัน (Mike Stenson)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
ไมค์ สเตนสัน ดำรงตำแหน่งประธานของเจอร์รี บรัคไฮเมอร์ ฟิล์มส์ ผู้ดูแลทุกด้านของการพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์จนถึงปี 2014 ก่อนการร่วมงานกับบริษัทแห่งนี้ เขาเป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบด้านงานสร้างที่ดิสนีย์ และรับผิดชอบภาพยนตร์บรัคไฮเมอร์หลายเรื่องรวมถึง Armageddon, The Rock, Crimson Tide และ Dangerous Minds”
ที่เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ สเตนสันได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Bad Company และ Gone in Sixty Seconds และดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างในแฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean, Bad Boys, National Treasure ตลอดจน Veronica Guerin, Black Hawk Down, Pearl Harbor, Coyote Ugly, Remember the Titans, Deja Vu และ Gemini Man
สเตนตันเกิดและเติบโตในบอสตัน เขาจบการศึกษาจากวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์ ต่อมาเขาเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยฝ่ายงานสร้างในนิวยอร์กและทำงานในแวดวงโทรทัศน์และภาพยนตร์อิสระในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับและผู้จัดการฝ่ายงานสร้างนานสองปีก่อนจะกลับไปบอสตันเพื่อศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา
หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ สเตนสันก็ย้ายไปลอสแองเจลิส ที่ซึ่งเขาเริ่มทำงานที่วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ในโปรเจ็กต์พิเศษของสตูดิโอเป็นเวลาสองปีก่อนที่จะเข้าร่วมฝ่ายงานสร้างที่ฮอลลีวูด พิคเจอร์ส ในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ ในที่สุด เขาก็ขึ้นเป็นรองประธานบริหาร ผู้ดูแลการพัฒนาและงานสร้างสำหรับฮอลลีวูด พิคเจอร์ส และทัชสโตน พิคเจอร์ส นอกเหนือจากภาพยนตร์ของบรัคไฮเมอร์หลายเรื่องแล้ว สเตนสันยังได้พัฒนาและควบคุมงานสร้างภาพยนตร์อีกหลายเรื่องรวมถึงแฟรนไชส์ Rush Hour, Six Days, Seven Nights และ Mr. Holland’s Opus
คุณสเตนสันกำลังอยู่ในสถานที่ที่ไม่เปิดเผย
เอห์เรน ครูเกอร์ (Ehren Kruger)—บทภาพยนตร์โดย
เอห์เรน ครูเกอร์ เป็นมือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้างชาวอเมริกันผู้ได้รับรางวัลและมีผลงานเป็นทั้งภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ระดับโลกและภาพยนตร์อิสระ เขาเป็นมือเขียนบทภาพยนตร์ยอดนิยมระดับโลกอย่าง The Ring ที่กำกับโดย กอร์ เวอร์บินสกี้, Dumbo ที่กำกับโดยทิม เบอร์ตัน และอีกสามภาคของแฟรนไชส์ Transformers มูลค่าหลายพันล้านเหรียญของไมเคิล เบย์ ผลงานอื่นๆ ของเขารวมถึงดรามาระทึกขวัญ ทริลเลอร์บิดเบี้ยว และไซไฟแหวกแนว และแฟนตาซี ซึ่งรวมถึงArlington Road ที่กำกับโดยมาร์ค เพลลิงตัน; The Skeleton Key ที่กำกับโดยเอียน ซอฟท์ลีย์; Ghost in the Shell ที่กำกับโดยรูเพิร์ต แซนเดอร์ส; The Brothers Grimm ที่กำกับโดย เทอร์รี กิลเลียมและ Ophelia ที่กำกับโดยแคลร์ แม็คคาร์ธี ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ครูเกอร์ได้รับทุนนิโคล เฟลโลว์ชิพด้านงานเขียนบทจากสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ในปี 1996 เขาเป็นชาวอเล็กซานเดรีย รัฐเวอร์จิเนีย และสำเร็จการศึกษาจากทิสช์ สคูล ออฟ ดิ อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก
อีริค วอร์เรน ซิงเกอร์ (Eric Warren Singer)—บทภาพยนตร์
อีริค วอร์เรน ซิงเกอร์ เป็นมือเขียนบทภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง เขาเคยเขียนบทภาพยนตร์ให้กับผู้กำกับที่มีชื่อเสียงเช่น เดวิด ฟินเชอร์, กอร์ เวอร์บินสกี้, ไมเคิล มานน์, รอน ฮาวเวิร์ด, ริดลีย์ สก็อต, เบน เอฟเฟล็คและทอม ไทเควอร์ The Sky Is Falling บทภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ถูกขายให้กับโซนี และทำให้คุณซิงเกอร์กลกายเป็นมือเขียนบทผู้เป็นที่ต้องการตัว หลังจากนั้น บทภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับการยกย่องจากทั้งนิตยสารพรีเมียร์และเอ็มไพร์ให้เป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของบทภาพยนตร์ที่ยังไม่ถูกสร้าง ภาพยนตร์เรื่องแรกของซิงเกอร์ ทริลเลอร์เกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิดเรื่อง The International ที่นำแสดงโดยไคลฟ์ โอเวนและนาโอมิ วัตส์ ได้ฉายเปิดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินครั้งที่ 59 ในปี 2009 American Hustle ผลงานภาพยนตร์เรื่องถัดไปของเขา กำกับโดยเดวิด โอ. รัสเซล ผู้กำกับที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์และ ได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมหลายรางวัล รวมถึงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์ก, บาฟตาและออสเตรเลียน อคาเดมี อวอร์ด รวมทั้งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ 10 รางวัล หลังจากเขียนบทเรื่อง Only the Brave ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม (กำกับโดยโจเซฟ โคซินสกี้) ซิงเกอร์ก็ได้เขียนบท Top Gun: Maverick ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ นอกจากนี้ ซิงเกอร์ยังได้สร้างและควบคุมงานสร้างซีรีส์เรื่องต่อไปของแอปเปิลเรื่อง “Shantaram” ซึ่งสร้างจากนวนิยายชื่อดังและนำแสดงโดยชาร์ลี ฮูนัมอีกด้วย
ปีเตอร์ เคร็ก (Peter Craig)–เรื่องราวโดย
ปีเตอร์ เคร็ก เป็นมือเขียนบทและนักประพันธ์ ที่มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคือ The Town ในปี 2010 ที่กำกับโดยเบน เอฟเฟล็ค นอกจากนั้น เขายังเขียน Parts 1 และ 2 ของ The Hunger Games: Mockingjay ร่วมกับแดนนี สตรอง ที่กำกับโดยฟรานซิส ลอว์เรนซ์ แล้วเขายังได้ดัดแปลงบทภาพยนตร์จากนวนิยายเรื่อง Blood Father ของเขาเองด้วย ก่อนหน้า Top Gun: Maverick ปีเตอร์มีส่วนสนับสนุนภาพยนตร์อีกสองเรื่องของเจอร์รี บรัคไฮเมอร์ได้แก่ 12 Strong และ Bad Boys For Life ผลงานล่าสุดของเขาคือ The Batman ซึ่งเขียนร่วมกับผู้กำกับแมตต์ รีฟส์ ฤดูหนาวนี้ เน็ตฟลิกซ์จะเปิดตัว The Mother ที่เขาเขียนบทร่วมกับมิชา กรีนและกำกับโดยนิกกี้ คาโร
จัสติน มาร์คส์ (Justin Marks)—เรื่องราวโดย
จัสติน มาร์คส์ เป็นมือเขียนบทและผู้สร้างและผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์โทรทัศน์
ด้านภาพยนตร์ จัสตินได้เขียนบทภาพยนตร์ยอดนิยมของบริษัทวอลท์ ดิสนีย์เรื่อง The Jungle Book ที่กำกับโดย จอน แฟฟโรว์ และทำเงินได้เกือบ 1 พันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก นักแสดงของเรื่องรวมถึง สการ์เล็ตต์ โยฮันสัน, อิดริส เอลบา, ลูพิต้า นยองโก, บิล เมอร์เรย์, คริสโตเฟอร์ วอลเคนและเบน คิงส์ลีย์ กำลังมีการพัฒนาภาคต่ออยู่ในขณะนี้ ปัจจุบัน จัสตินกำลังเขียนบทมิวสิคัลแอนิเมชันเรื่อง The Prince Of Port-Au-Prince ทางเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งสร้างจากชีวิตของ ไวเคลฟ จีน นอกจากนี้ จัสตินยังเป็นมือเขียนบทของภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick ที่กำลังจะเข้าฉายสำหรับผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี บรัคไฮเมอร์และพาราเมาท์ โดยที่มีการวางตัวทอม ครูซให้กลับมารับบทอันเป็นสัญลักษณ์ของเขาอีกครั้ง
ด้านแวดวงจอแก้ว จัสตินเป็นผู้สร้างและผู้บริหารซีรีส์มหากาพย์เรื่อง “Shogun” ที่กำลังจะเข้าฉายของเอฟเอ็กซ์ ซึ่งสร้างจากนวนิยายของเจมส์ คลาเวล
ก่อนหน้านี้ จัสตินเป็นผู้สร้างและผู้บริหารซีรีส์ดรามาทางสตาร์ซ เรื่อง “Counterpart” ที่นำแสดงโดย เจเค ซิมมอนส์และแพร่ภาพนานสองซีซัน
ฮาโรลด์ ฟอลเตอร์เมเยอร์ (Harold Faltermeyer)—ดนตรีโดย
ฮาโรลด์ ฟอลเตอร์เมเยอร์เป็นนักแต่งเพลง นักดนตรี และผู้อำนวยการเพลงจากเบอร์ลิน หลังจากเริ่มเรียนดนตรีคลาสสิก ฮาโรลด์ก็ได้เริ่มทำงานกับนักดนตรีและนักแต่งเพลงในตำนาน โจโจ้ มอโรเดอร์ การทำงานร่วมกันนี้ส่งผลให้ฮาโรลด์สร้างคำนิยามสำหรับเสียงในช่วงต้นยุค 80 และอำนวยการเพลงที่โดดเด่นสำหรับศิลปินต่างๆ เช่น ดอนนา ซัมเมอร์ ฮาโรลด์ได้แจ้งเกิดในฐานะนักแต่งเพลงด้วยดนตรีฮิปฮอปที่โด่งดังของภาพยนตร์เรื่อง Beverly Hills Cop “Axel F” ธีมสำหรับ Beverly Hills Cop กลายเป็นเพลงฮิตระดับโลกและเพลงสากลอันดับ 1 หลังจาก Beverly Hills Cop ฮาโรลด์ก็ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมากมายเช่น Top Gun, Fletch, The Running Man, Tango & Cash และอื่นๆ ในฐานะผู้เรียบเรียงและผู้อำนวยกากรเพลง ฟอลเตอร์เมเยอร์ได้ร่วมงานกับดาราเพลงป๊อปชั้นนำหลายคน ได้แก่ ดอนนา ซัมเมอร์, บาร์บารา สตรายแซนด์, บลอนดี้, บิลลี ไอดอล, บ็อบ ซีเกอร์, เพ็ท ช็อป บอยส์ และอีกมากมาย เมื่อเร็วๆ นี้ ฮาโรลด์เพิ่งแต่งดนตรีประกอบให้กับภาคต่อที่ทุกคนรอคอยอย่าง Top Gun: Maverick
เลดี้ กาก้า (Lady Gaga)—ดนตรีโดย/แต่ง อำนวยการเพลงและขับร้องเพลง “Hold My Hand”
เลดี้ กาก้า เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, ลูกโลกทองคำและ 12 รางวัลแกรมมี เป็นศิลปินและนักแสดง ผู้ไม่เหมือนใคร เธอมียอดขายอัลบัมที่โดดเด่นทั่วโลก 36 ล้านชุด ยอดผู้ชมสตรีมหกหมื่นล้านครั้ง และการบริโภคเพลง 393 ล้านครั้ง ทำให้เธอเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล
นอกจากนี้ กาก้ายังเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีแรงขับเคลื่อนสูงที่สุดในโซเชียลมีเดีย ด้วยจำนวนไลค์มากกว่า 55 ล้านบน เฟซบุ๊ค, ผู้ติดตามมากกว่า 83 ล้านคนทางทวิตเตอร์ และผู้ติดตามมากกว่า 49 ล้านคนทางอินสตาแกรม
ในปี 2008 กาก้าออกอัลบัมแรกของเธอ The Fame ตามด้วย The Fame Monster (2009) อย่างรวดเร็ว จากนั้นกาก้าก็ออกอัลบัม Born This Way ที่โด่งดังในปี 2011 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันครบรอบ 10 ปีของอัลบัมนี้ ในเดือนมิถุนายน ปี 2021 กาก้าได้นำอัลบัมเดิมออกจำหน่ายใหม่ในชื่อ Born This Way The Tenth Anniversary ที่นำเสนอเพลงคลาสสิกของเธอในเวอร์ชันที่คิดขึ้นใหม่ จากฝีมือนักดนตรีและผู้สนับสนุน LGBTQIA+ ที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้ กาก้ายังได้รับกุญแจสู่เมืองเวสต์ฮอลลีวูด และมีการประกาศให้วันที่ 23 พฤษภาคมเป็นวัน “Born This Way Day” ตลอดไป
ในปี 2013 กาก้าได้ออกอัลบัมสตูดิโอชุดที่ 3 ArtPop (2013) ตามด้วย Cheek to Cheek (2014) ซึ่งเป็นอัลบัมที่ร่วมงานกับโทนี เบนเน็ตต์ อัลบัมที่อุทิศให้กับอเมริกัน ซองบุ๊คนี้ เปิดตัวที่อันดับหนึ่งในชาร์ตอัลบัมบิลบอร์ด ในปี 2016 กาก้าได้ออกอัลบัมสตูดิโออัลบัมที่ 5 Joanne ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลแกรมมีสาขาการแสดงเดี่ยวป๊อปยอดเยี่ยมจากเพลง “Joanne, Where Do You Think You’re Going?”
ในปี 2017 กาก้าได้ขึ้นแสดงในงานแสดงโชว์ช่วงพักครึ่งเวลาของเป็ปซี ซีโร ชูการ์ ซูเปอร์ โบว์ลครั้งที่ 51 Pepsi Zero การแสดงเดี่ยว 13 นาทีของเธอมีผู้ชม 117.5 ล้านคน ในเดือนกันยายน ปี 2017 เธอได้เปิดตัวภาพยนตร์สารคดีที่กำกับโดย คริส มูคาร์เบล เรื่อง Lady Gaga: Five Foot Two ทางเน็ตฟลิกซ์ ที่ได้รับรางวัลเอ็มทีวี มูฟวี แอนด์ ทีวี อวอร์ดสาขาสารคดีเพลงยอดเยี่ยม, รางวัลเอ็นเอ็มอีสาขาภาพยนตร์เพลงยอดเยี่ยม และรางวัลเว็บบี้ อวอร์ดสาขาภาพยนตร์และวิดีโอสำหรับดนตรี ผลงานการแสดงอื่นๆ ได้แก่ American Horror Story: Hotel (2015) ซึ่งเป็นบทบาทที่ทำให้เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำประจำปี 2016 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในมินิซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางทีวี
ในเดือนตุลาคม ปี 2018 กาก้าแสดงร่วมกับแบรดลีย์ คูเปอร์ในรีเมกภาพยนตร์คลาสสิกของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส เรื่อง A Star is Born การแสดงของเธอทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม, ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมสาขาภาพยนตร์, รางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดและรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ ในปีเดียวกันนั้นเอง กาก้าก็ได้มีอัลบัมติดชาร์ต บิลบอร์ด ท็อป 200 ติดต่อกันห้าชุด สำหรับอัลบัมเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง A Star is Born ในเดือนมิถุนายน ปี 2019 ซาวด์แทร็คของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำยอดขายได้ระดับดับเบิล แพลตินัมในอเมริกา และขึ้นถึงอันดับ 1 สี่ครั้งนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2018 และมียอดขายมากกว่า 6 ล้านอัลบัมทั่วโลก กาก้าได้ร่วมแต่ง อำนวยการสร้าง และขับร้องเพลง “Shallow” สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์, ลูกโลกทองคำ และรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม นอกจากนี้ เธอยังได้รับรางวัลแกรมมีสองรางวัลสำหรับเพลง “Shallow” รวมถึงสาขาการแสดงวง/คู่ป๊อปยอดเยี่ยมและเพลงยอดเยี่ยมที่แต่งขึ้นสำหรับสื่อวิชวล และได้รับการเสนอชื่อชิงอีกสองรางวัลในสาขาเพลงแห่งปีและแผ่นเสียงแห่งปี ในปี 2020 กาก้าได้รับรางวัลแกรมมีอีกสองครั้งจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งรวมถึงสาขารวมเพลงประกอบภาพยนตร์สำหรับสื่อวิชวลและเพลงที่แต่งขึ้นสำหรับสื่อวิชวล สำหรับเพลง “I’ll Never Love Again”
ในเดือนธันวาคม ปี 2018 กาก้าเปิดตัวการแสดงสุดพิเศษในลาสเวกัสของเธอที่ปาร์ค เธียเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยการแสดงสองรายการที่ไม่เหมือนใคร LADY GAGA ENIGMA เป็นการผจญภัยครั้งใหม่สำหรับเพลงป๊อปยอดนิยมของเธอ ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครที่นิตยสารโรลลิง สโตนเรียกว่า “การแสดงที่ยืนยันและเป็นจุดเริ่มต้นตำนานของเธอ” LADY GAGA JAZZ & PIANO นำเสนอเพลงฮิตของเธอในเวอร์ชันเปล่าเปลือยและเพลงจากเกร็ท อเมริกัน ซองบุ๊ค เมื่อเร็วๆ นี้ กาก้าเพิ่งประกาศกลับมาที่เวกัสอีกครั้งสำหรับการแสดงเก้าครั้ง โดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2021 ในปี 2019 กาก้าได้เปิดตัวแบรนด์ความงาม เฮาส์ แล็บบอราทอรีส์ ซึ่งรวมถึงอายไลเนอร์ ลิปไลเนอร์ สติ๊กเกอร์ และอายแชโดว์ในเฉดสีต่างๆ
ในเดือนพฤษภาคม 2020 กาก้าเปิดตัว Chromatica อัลบัมสตูดิโอชุดที่หกของเธอ ซึ่งเธอได้ทำงานร่วมกันกับ อาเรียนา กรานเด, เอลตัน จอห์นและแบล็คพิงค์ และอำนวยการสร้างโดยบลัดป๊อป และเลดี้ กาก้า Chromatica เป็นอัลบัมที่ติดอันดับหนึ่งของชาร์ตบิลบอร์ด 200 อันดับที่หกของกาก้า ทำให้เธอเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำแบบนี้ได้ในช่วงสิบปี (2011-2020) ความร่วมมือระหว่างเธอกับอาเรียนา กรานเด สำหรับเพลง “Rain On Me” ถือเป็นการเปิดตัวทางสปอตติฟายครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2020 และขึ้นถึงอันดับ 1 ในชาร์ตสปอตติฟายทั่วโลกและอเมริกาเมื่อปล่อยออกมา เพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 1 ในชาร์ตไอจูนส์ใน 29 ประเทศ และอันดับที่ 1 ในชาร์ตแอปเปิลทั่วโลก นอกจากนี้ เพลงนี้ยังสร้างสถิติการสตรีมวันเดียวมากที่สุดจากความร่วมมือของศิลปินหญิงล้วนในประวัติศาสตร์สปอตติฟาย วิดีโอสำหรับ “Rain On Me” มีผู้ชมมากกว่า 338 ล้านครั้ง และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิค อวอร์ดสี่รางวัล และคว้ารางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยมมาได้ ในปีเดียวกันนั้นเอง กาก้าก็ได้รับรางวัลเอ็มทีวี ไทรคอน อวอร์ด จากการเป็นไอคอนสามประการในด้านดนตรี การแสดง แฟชัน และการเคลื่อนไหว ยูเอสเอ ทูเดย์ พูดถึงอัลบัม Chromatica ว่าเป็น “อัลบัมที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษของเธอ” ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลแกรมมีสาขาการแสดงป๊อปคู่ยอดเยี่ยมจากเพลง “Rain On Me” ร่วมกับอาเรียนา กรานเด
ในเดือนกันยายน ปี 2021 กาก้าได้ออกอัลบัม Dawn of Chromatica ซึ่งเป็นการรีมิกซ์ Chromatica ภายใต้การควบคุมงานสร้างโดยบลัดป๊อป อัลบัมชุดนี้นำเสนอผลงานความร่วมมือและการรีมิกซ์เพลงต้นฉบับของรายการเพลงจากอัลบัม Chromatica ดั้งเดิมจากเอจี คุ้ก, อาร์ซา, แอชนิคโก้, บรี รันเวย์, ชาร์ลี เอ็กซ์ซีเอ็กซ์, เชสเตอร์ ล็อคฮาร์ท, คลาเรนซ์ คลาริตี้, คูคู โคลอี้, ดอเรียน อิเล็คทรา, ดอส, จิมมี เอ็ดการ์, ลิล เท็กซัส, LSDXOXO, มู้ด คิลเลอร์, มูรา มาซา, พาโบล วิตตาร์, แพลนนิงทูร็อค, รินา ซาวายามะและชายเกิร์ล ศิลปินหลายคนที่ได้ร่วมงานกันนี้เกิดจากการถามแฟนๆ ว่าพวกเขาอยากเห็นใครในโปรเจ็กต์นี้ และเปิดตัวที่อันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ดท็อปอัลบัมแดนซ์/อิเล็คโทรนิค
ในเดือนตุลาคม ปี 2021 เลดี้ กาก้า และโทนี เบนเน็ตต์ได้ร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อออกอัลบัมเพลงแจ๊สชุดที่ 2 Love For Sale อัลบัมชุดนี้ ที่ยกย่องดนตรีของโคล พอร์ตเตอร์ เปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ตอัลบัมแจ๊สของบิลบอร์ด, อเมซอนและไอจูนส์ ในสัปดาห์แรกที่เปิดตัว โดยแอปเปิล มิวสิคยืนยันว่าอัลบัมนี้ยังเป็นอัลบัมแจ๊สที่มีการสตรีมสูงสุดทั่วโลกในสัปดาห์แรกที่เปิดตัว นอกจากนี้ อัลบัมชุดนี้ยังเปิดตัวที่อันดับแปดในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ที่รวมดนตรีทุกแนวอีกด้วย
หลังจากนี้ กาก้าจะแสดงใน House of Gucci ของริดลีย์ สก็อตต์ ในบทแพทริเซีย เร็จเจียนี่ อดีตภรรยาของเมาริซิโอ กุชชี่ ผู้ซึ่งถูกพิจารณาคดีและถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานวางแผนลอบสังหารเขา ซึ่งมีกำหนดจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 2021
เลดี้ กาก้ายังเป็นนักเคลื่อนไหวที่พูดตรงไปตรงมา ผู้ใจบุญ และเป็นผู้สนับสนุนประเด็นสำคัญมากมาย เช่น สิทธิของกลุ่มคนรักร่วมเพศ การรับรู้เรื่องเอชไอวี/เอดส์ และปัญหาภาพลักษณ์ ในปี 2012 เธอได้เปิดตัวมูลนิธิบอร์น ดิส เวย์ ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่อุทิศตนเพื่อส่งเสริมเยาวชน ยอมรับความแตกต่าง และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความเมตตาและความกล้าหาญ หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับความเมตตา ความกล้าหาญ และความสามารถในการฟื้นตัวจากคนหนุ่มสาวทั่วโลก ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าความเมตตาเป็นภาษาสากลอย่างแท้จริง เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกรวบรวมพร้อมกับบันทึกส่วนตัวเกี่ยวกับการเสริมพลังจากเลดี้ กาก้า อยู่ในหนังสือเล่มใหม่ของเธอ “Channel Kindness: Stories of Kindness and Community” ที่มีวางจำหน่ายแล้ว
ฮันส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer)—ดนตรีโดย
ฮันส์ ซิมเมอร์ได้แต่งดนตรีประกอบทำกว่า 200 โปรเจ็กต์ในสื่อประเภทต่างๆ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วทำเงินได้มากกว่า 28 พันล้านดอลลาร์ที่บ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก ซิมเมอร์ได้รับสองรางวัลออสการ์ สามรางวัลลูกโลกทองคำ สามรางวัลแกรมมี อวอร์ด รางวัลเพลงอเมริกัน และรางวัลโทนี ผลงานเด่นของเขา ได้แก่ Dune, No Time to Die, Gladiator, The Thin Red Line, As Good as It Gets, Rain Man, ไตรภาค The Dark Knight, Inception, Thelma and Louise, The Last Samurai, 12 Years A Slave, Blade Runner 2049 (ร่วมแต่งดนตรีกับเบนจามิน วอลฟิสช์) และ Dunkirk รวมถึงผลงานภาพยนตร์ล่าสุดเช่น Wonder Woman 1984, Hillbilly Elegy ของรอน ฮาวเวิร์ด และ The SpongeBob: Sponge on the Run ล่าสุด ซิมเมอร์ได้รับรางวัลออสการ์สาขาความสำเร็จด้านดนตรียอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Dune ในปี 2019 ซิมเมอร์ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์รีเมกไลฟ์แอ็กชันเรื่อง The Lion King ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีสาขาดนตรีประกอบภาพยอดเยี่ยมสำหรับสื่อวิชวล
ซิมเมอร์เสร็จสิ้นการทัวร์ ฮันส์ ซิมเมอร์ ไลฟ์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั่วโลก และจะเดินหน้าแสดงต่อไปในทัวร์ยุโรปที่เริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม ปี 2022
ลอร์น บัลฟ์ (Lorne Balfe)—ดนตรีอำนวยการสร้างโดย
ลอร์น บัลฟ์ นักประพันธ์เจ้าของรางวัลแกรมมี ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีและบาฟตา ได้สร้างสรรค์ดนตรีในแทบทุกแนวและสื่อวิชวลทั้งหมดด้วยโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่มีตั้งแต่ภาพยนตร์จากสตูดิโอใหญ่ไปจนถึงภาพยนตร์อิสระ แฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่สร้างจากวิดีโอเกม ภาพยนตร์แอนิเมชันอันเป็นที่รัก ซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่ได้รับคำชมและภาพยนตร์สารคดี
ลอร์นมีพื้นเพมาจากเมืองอินเวอร์เนส สก็อตแลนด์ ความรักในดนตรีและการเขียนของเขาปรากฏชัดตั้งแต่อายุยังน้อย บ้านในวัยเด็กของเขามีสตูดิโอบันทึกเสียงในที่พักอาศัย ที่ซึ่งศิลปินอย่างออซซี ออสบอร์นและอินเนอร์เซอร์เคิลได้มาบันทึกเสียง และภายหลังก็เป็นที่ที่เขาได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง Bad Boys for Life ด้วย
เมื่ออายุได้แปดขวบ ลอร์นก็เริ่มแต่งและขายเพลง “จิงเกิล” ที่แต่งขึ้นเพื่อโฆษณา และตอนอายุสิบสาม เขาก็ได้ออดิชันเพื่อเป็นนักเพอร์คัสชันกับวงเอดินเบิร์กห์ ซิมโฟนี ออร์เคสตรา เขากลายเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุด และเดินทางไปทั่วสก็อตแลนด์กับพวกเขาอย่างมืออาชีพ ลอร์นรู้สึกชัดเจนว่าเขาต้องการเป็นนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ และในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย เขาก็เริ่มเขียนจดหมายถึงนักประพันธ์เพลงคนอื่นๆ ด้วยความหวังว่าจะได้รับโอกาส ตอนนั้นเองที่เขาตัดสินใจย้ายไปอเมริกา และในไม่ช้าอาชีพการงานที่พิเศษสุดของเขาก็เริ่มต้นขึ้น
เขาได้รับคำชมเชยจากการผลงานประพันธ์เพลงอย่างต่อเนื่อง เขาได้รับเสียงชื่นชมจากผลงานดนตรีของเขาในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของแฟรนไชส์ Mission Impossible ซึ่งก็คือ Mission: Impossible – Fallout (พาราเมาท์ พิคเจอร์ส) ของมือเขียนบท/ผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ และได้รับการประกาศให้เป็นนักแต่งเพลงของภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible 7 และ 8
ผลงานที่น่าสนใจเรื่องอื่นๆ ได้แก่ Black Widow (ดิสนีย์/มาร์เวล), Ambulance (ยูนิเวอร์แซล), Jungleland (พาราเมาท์), The Lego Batman Movie (วอร์เนอร์ บรอสส) และภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง The Florida Project (เอทเวนตี้โฟร์) หลังจากนี้ ผลงานของลอร์นจะปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Argylle ที่กำกับโดยแมทธิว วอห์น
นอกจากงานของเขากับคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์แล้ว ลอร์นยังทำงานร่วมกับผู้กำกับที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการหลายคน เช่น คริสโตเฟอร์ โนแลน, รอน ฮาวเวิร์ด, ไมเคิล เบย์, เคต ชอร์ตแลนด์, อัง ลี, คริสตอฟ วอลซ์, เจอร์รี บรัคไฮเมอร์, ฌอน เบเกอร์ และคริส แมคเคย์
มาร์ลีน สจวร์ต (Marlene Stewart)—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
มาร์ลีน สจวร์ต เป็นนักออกแบบแหวกแนวที่ได้รับรางวัล ผู้ได้สร้างอาชีพที่โด่งดังและยาวนานร่วมกับผู้สร้างภาพยนตร์ที่โด่งดังที่สุดในวงการภาพยนตร์หลายคน
ผลงานของสจวร์ตจะปรากฏอยู่ในใน Top Gun: Maverick ภาคต่อที่หลายคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อของ Top Gun ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ, เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี, จอน แฮมม์, เอ็ด แฮร์ริส และไมลส์ เทลเลอร์ และกำกับโดยโจเซฟ โคซินสกี้ มีกำหนดเข้าฉายในเดือนพฤษภาคม ปี 2022 เมื่อเร็วๆ นี้เธอเพิ่งออกแบบให้กับ Uncharted ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์กและทอม ฮอลแลนด์และ Free Guy ที่นำแสดงโดยไรอัน เรย์โนลด์ส, โจดี้ คัมเมอร์และไทก้า ไวตีติ
ความร่วมมือช่วงแรกๆ ของเธอเริ่มต้นด้วยโอลิเวอร์ สโตน ผู้ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในภาพยนตร์ชีวประวัติ The Doors และ JFK หลังจากนั้น เธอก็ได้ร่วมงานกับเจมส์ คาเมรอนในภาพยนตร์เรื่อง Terminator 2: Judgement Day และ True Lies
เธอยังคงทำงานพีเรียดอย่างต่อเนื่องใน Ali กับผู้กำกับไมเคิล มานน์ ผู้ประสบความสำเร็จ และจากนั้น ก็เริ่มทำงานในดรามาร่วมสมัยกับผู้กำกับเจ้าของรางวัลอเลฮันโดร กอนซาเลซ ใน 21 Grams
สจวร์ตได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างที่มีชื่อเสียงหลายคนในภาพยนตร์ร่วมสมัย รวมถึงเรื่อง Gone in 60 Seconds และ Coyote Ugly ของเจอร์รี บรัคไฮเมอร์, ภาพยนตร์โดยโจเอล ชูมัคเกอร์ เรื่อง Falling Down ที่นำแสดงโดยไมเคิล ดักกลาส; The Judge โดยเดวิด ด็อบคิน ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์.; ภาพยนตร์ของเคอร์ติส แฮนสันเรื่อง The River Wild ที่นำแสดงโดยเมอริล สตรีพ; The Holiday ของแนนซี ไมเยอร์ส, The Saint ของฟิลลิป นอยซ์ และ Stop-Loss ของคิมเบอร์ลีย์ เพียร์ซ
เธอได้ร่วมงานกับเบน สติลเลอร์ในโปรเจ็กต์สามเรื่องได้แก่ Tropic Thunder, Night at the Museum: Battle of the Smithsonian และ Night at the Museum: Secret of the Tomb งานของเธอกับวิล สมิธก็ครอบคลุมภาพยนตร์สามเรื่องด้วยเช่นกันได้แก่ Ali, Hitch และภาพยนตร์โดยผู้กำกับโทนี สก็อตต์เรื่อง Enemy of the State
Free Guy เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ห้าที่สจวร์ตได้ร่วมงานกับผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างชอว์น เลวี ผลงานก่อนหน้านี้ของพวกเขารวมถึงการออกแบบให้กับฮิวจ์ แจ็คแมนใน Real Steel และสตีฟ คาเรล ใน Date Night รวมถึงภาพยนตร์สองเรื่องจากแฟรนไชส์ Night at the Museum ด้วยผลงานของเธอยังรวมถึง Triple Frontier ที่นำแสดงโดยเบน เอฟเฟล็ค, ออสการ์ ไอแซ็ค, ชาร์ลีย์ ฮันแนม, การ์เร็ตต์ เฮดลันด์และเปโดร ปาสคัล; ภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง Oblivion ที่กำกับโดยโจเซฟ โคซินสกี้ และนำแสดงโดยทอม ครูซ; Allegiant ภาพยนตร์ภาคสามของแฟรนไชส์ Divergent; ภาพยนตร์พีเรียดแฟนตาซีเรื่อง Hansel and Gretel: Witch Hunters ที่นำแสดงโดยเจเรมี เรนเนอร์; ภาพยนตร์พีเรียดยุค 1930 เรื่อง The Phantom ที่นำแสดงโดยบิลลี เซน และ To Wong Foo Thanks for Everything, Julie Newmar ที่มีสีสันจัดจ้านและนำแสดงโดยแพทริค สเวซีย์
ภาพยนตร์ช่วงแรกๆ เรื่องอื่นๆ ของเธอรวมถึง Siesta ที่นำแสดงโดยเอลเลน บาร์คินและโจดี้ ฟอสเตอร์, แฟรนไชส์ Pet Sematary, I’ll Do Anything โดยเจมส์ แอล บรู๊คส์และ Dangerous Games โดยอาเบล เฟอร์รารา ที่นำแสดงโดย มาดอนนาและฮาร์วีย์ เคเทล
นอกจากนี้ สจวร์ตยังได้รับออกแบบสำหรับโทรทัศน์และโฆษณาด้วย แต่เธอเป็นผู้บุกเบิกในโลกของมิวสิค วิดีโอและเอ็มทีวี โดยเธอได้ร่วมมือกับมาดอนนาในมิวสิค วิดีโอที่แปลกใหม่ เช่น “Material Girl,” “Vogue,” “Express Yourself,” “Papa Don’t Preach,” “Like a Prayer” และทัวร์รอบโลกของมาดอนนาหลายต่อหลายครั้ง ในช่วงเวลาดังกล่าว เธอยังได้สร้างสรรค์ลุคให้กับศิลปินที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆ เช่น เดอะ โรลลิง สโตนส์, ร็อด สจวร์ต, เจเน็ต แจ็คสัน, เดอะ ยูริธมิคส์, สแมชชิง พัมพ์คินส์, แชร์และเบ็ตต์ มิดเลอร์ รวมไปถึงกลอเรีย เอสเตฟานและไมอามี ซาวน์ แมชชีน
สจวร์ตชนะรางวัลเอ็มทีวี เรด คาร์เพ็ท วิดีโอ อวอร์ดสาขาเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก รวมทั้งรางวัลบ็อบ แม็คกี้ ดีไซน์ อวอร์ด และในปี 2012 สจวร์ตก็ได้รับรางวัลความสำเร็จในอาชีพจากสมาพันธ์นักออกแบบเครื่องแต่งกาย
ก่อนที่จะทำงานในโลกแห่งดนตรี สจวร์ตได้ออกแบบไลน์เสื้อผ้าแนวร่วมสมัยที่เรียกว่า “คัฟเวอร์ส” ซึ่งขายในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ทุกแห่งในอเมริกา เธอเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในนักออกแบบชั้นนำของแคลิฟอร์เนีย แต่เธอก็ทำงานอย่างกว้างขวางในอังกฤษและยุโรปด้วย
สจวร์ตมาจากบอสตัน เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากยูซี เบิร์คลีย์ ในสาขาประวัติศาสตร์ยุโรป และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาด้านการออกแบบจากสถาบันแฟชันการออกแบบและผลิตภัณฑ์ในนิวยอร์ก
เว็บไซต์ของมาร์ลีน สจวร์ตคือ www.marlenestewart.com
เอ็ดดี้ แฮมิลตัน, เอซีอี (Eddie Hamilton, ACE)—มือลำดับภาพ
การลำดับภาพให้กับ Top Gun: Maverick เป็นความฝันที่เป็นจริงสำหรับ เอ็ดดี้ แฮมิลตัน ผู้เคยดู Top Gun ต้นฉบับถึง 6 ครั้งในโรงภาพยนตร์ในช่วงปี 1986 และโปรเจ็กต์นี้เป็นการร่วมงานครั้งที่สามของเขากับผู้อำนวยการสร้างทอม ครูซ และคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์
ก่อนหน้านั้น เอ็ดดี้ได้ลำดับภาพ Mission: Impossible – Fallout และ Mission: Impossible – Rogue Nation สำหรับทีมงานเดียวกัน ผลงานอื่นๆ รวมถึง Kingsman: The Secret Service, Kingsman: The Golden Circle, X-Men: First Class และ Kick-Ass สำหรับผู้กำกับแมทธิว วอห์น หลังจาก 25 ปีในวงการนี้ เอ็ดดี้ก็ได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์มากกว่า 20 เรื่อง (ทั้งภาพยนตร์อินดีและภาพยนตร์ในสตูดิโอ) ในหลากหลายแนวรวมไปถึงซีรีส์โทรทัศน์ สารคดี และภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ได้รับรางวัล ความกระตือรือร้นในการเล่าเรื่องบนจอเงินของเขานั้นเทียบได้กับการอุทิศตนอย่างเต็มที่ในการลำดับภาพภาพยนตร์ ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคแบบเนิร์ด และความรักในช็อกโกแลตที่ไม่มีใครโต้แย้งของเขา เขาได้นำเสนอเกี่ยวกับโปรแกรมมีเดีย คอมโพสเซอร์ของเอวิด มีเดียที่เอ็นเอบีและไอบีซี เอ็ดดี้เป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ สมาคมมือลำดับภาพอเมริกัน สมาคมมือลำดับภาพอังกฤษและบาฟตา และได้ร่วมงานอีดิทเฟสต์ ลอนดอนในส่วนภาพยนตร์ในปี 2013 และ 2018 อีกด้วย ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการลำดับภาพให้กับ Mission: Impossible สองภาคถัดไป
เจเรมี ฮินเดิล (Jeremy Hindle)—ผู้ออกแบบงานสร้าง
เจเรมี ฮินเดิล เกิดในออนทาริโอ ประเทศแคนาดา ในปี 1969 เขาศึกษาด้านภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยไรเออร์สันในโตรอนโต เขาเริ่มต้นอาชีพในฐานะนักตกแต่งฉากในโตรอนโตก่อนที่จะย้ายไปทำงานด้านการออกแบบงานสร้างสำหรับโฆษณา เขาเริ่มต้นทำงานในแวดวงโฆษณาด้วยการร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังอย่างเฟรดริค บอนด์, นิโคไล ฟูกิลซิก, แอนดรูว์ โดมินิคและอเลฮันโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู เจเรมีได้กระโดดเข้าสู่งานภาพยนตร์ด้วยความสัมพันธ์ในการทำงานกับผู้กำกับภาพเกร็ก เฟรเซอร์ คำแนะนำของเกร็กทำให้เจเรมีได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้ออกแบบงานสร้างสำหรับภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ของแคธริน บิเกโลว์ เรื่อง Zero Dark Thirty เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์จากผลงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ของเขา นอกจากนี้ เจเรมียังทำหน้าที่เป็นผู้ออกแบบงานสร้างของบิเกโลว์ในภาพยนตร์เรื่อง Detroit อีกด้วย นอกจากนี้ เขายังได้ออกแบบ True Story สำหรับรูเพิร์ต กูลด์และ Top Gun: Maverick สำหรับโจเซฟ โคซินสกี้ด้วย ล่าสุด เจเรมีได้ร่วมงานกับเบน สติลเลอร์ในซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง “Severance” สำหรับแอปเปิล ทีวีพลัสและภาพยนตร์เรื่อง Spiderhead ของโจเซฟ โคซินสกี้สำหรับเน็ตฟลิกซ์
คลอดิโอ มิแรนดา, เอเอสซี (Claudio Miranda, ASC)—ผู้กำกับภาพ
คลอดิโอ มิแรนดา, เอเอสซี ผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัลออสการ์ กำลังถ่ายทำ Nyad ที่นำแสดงโดยแอนเน็ตต์ เบนนิงและโจดี้ ฟอสเตอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดย อลิซาเบธ ชัย วาซาเฮลียี และจิมมี่ ชิน (Free Solo) คู่หูเจ้าของรางวัลออสการ์ เป็นชีวประวัติเกี่ยวกับบุคคลคนแรกที่ว่ายน้ำจากคิวบาไปฟลอริดา
ก่อนหน้านี้ เขาเคยร่วมงานกับผู้กำกับโจเซฟ โคซินสกี้ ทั้งในเรื่อง Top Gun: Maverick และ Spiderhead โดยเรื่องแรกจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกในวันที่ 27 พฤษภาคม และเรื่องหลังมีกำหนดเข้าฉายปลายปี 2022
ใน Top Gun: Maverick ทอม ครูซ กลับมารับบทเดิมอีกครั้งในภาคต่อของภาพยนตร์ในตำนานปี 1986 อีกครั้ง ร่วมกับตัวละครกลุ่มใหม่ ที่รับบทโดยไมลส์ เทลเลอร์และเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี
Spiderhead ที่นำแสดงโดยคริส เฮมส์เวิร์ธ ถือเป็นการร่วมงานกันครั้งที่หกระหว่างมิแรนดาและโคซินสกี้
นอกจากนี้ มิแรนดายังทำภาพยนตร์ขนาดสั้นลึกลับเรื่อง 100 Years กับผู้กำกับโรเบิร์ต โรดริเกซสำหรับหลุยส์สิบสาม คอนยัคอีกด้วย 100 Years ภาพยนตร์ไซไฟทดลองที่มีสโลแกนว่า “ภาพยนตร์ที่คุณจะไม่มีวันได้เห็น” เขียนบทและนำแสดงโดยจอห์น มัลโควิช ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉาย 18 พฤศจิกายน ปี 2115
ผลงานของเขา รวมถึง Only the Brave ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงของแกรนิต เมาน์เทน ฮ็อตช็อตส์ โดยมีจอช โบรลิน, ไมลส์ เทลเลอร์และเจฟฟ์ บริดเจสนำแสดง; Tomorrowland ของดิสนีย์สำหรับผู้กำกับแบรด เบิร์ด ที่นำแสดงโดยจอร์จ คลูนีย์และบริตต์ โรเบิร์ตสัน;และภาพยนตร์แอ็กชันไซไฟเกี่ยวกับหลังหายนะของโคซินสกี้เรื่อง Oblivion ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ
ผลงานที่มีวิสัยทัศน์ของเขาในภาพยนตร์เรื่อง Life of Pi ของผู้กำกับอัง ลี ทำให้มิแรนดาได้รับรางวัลออสการ์สาขากำกับภาพยอดเยี่ยมประจำปี 2013 นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลบาฟตา รางวัลแซทเทิลไลท์ รางวัลสมาคมนักวิจารณ์หลายรางวัล และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพอเมริกันอีกด้วย
ในปี 2009 สถาบันภาพยนตร์ได้ยกย่องงานของมิแรนดาในเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button ของผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยมจากเวทีเอเอสซี อวอร์ดปี 2009 รางวัลบาฟตาและแซทเทิล อวอร์ดและได้รับรางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นอร์ธ เท็กซัส, ฟินิกซ์, ลาสเวกัสและฮูสตัน ก่อนที่ Benjamin Button จะเข้าฉาย นิตยสารวาไรตีได้เสนอชื่อมิแรนดาให้เป็นหนึ่งใน “10 ผู้กำกับภาพที่น่าจับตามอง” ในปี 2008
มิแรนดาได้แจ้งเกิดอย่างยิ่งใหญ่ในปี 1994 เมื่อดาเรียส โวลสกี้ได้จ้างเขาเป็นหัวหน้าช่างไฟสำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Crow โดยอเล็กซ์ โปรยาส มิแรนดาทำงานในภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลหลายเรื่องรวมถึง The Game และ Fight Club ของ เดวิด ฟินเชอร์ รวมถึงเรื่อง Crimson Tide, The Fan และ Enemy of the State ของโทนี สก็อตต์ ผู้ล่วงลับ ภาพยนตร์ยอดนิยมในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2005 เรื่อง A Thousand Roads จากผู้กำกับคริส ไอร์ ถือเป็นผลงานการกำกับภาพเรื่องแรกของมิแรนดา
หลักฐานของอาชีพโฆษณาทางโทรทัศน์ที่เฟื่องฟูของมิแรนดาปรากฏชัดจากรางวัลมากมายที่เขาได้รับ ได้แก่ รางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยมเอไอซีพีและรางวัลคลีโอสำหรับโฆษณาโพคารี เทนนิสในปี 2002; รางวัลคลีโอสำหรับเซลิบรีในปี 2004; รางวัลสมาพันธ์ผู้สร้างมิวสิค วิดีโอสำหรับมิวสิค วิดีโอของบียอนเซ (ฟีเจอริง ฌอน พอล) ในปี 2004 และรางวัลเอไอซีพีสำหรับไฮเนเก้นในปี 2005 มิแรนดามีไอคอนิค ทาเลนท์ เอเจนซีเป็นตัวแทน
ไรอัน ทัดโฮป (Ryan Tudhope)—ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์
ไรอัน ทัดโฮป ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ใน “The Lord of the Rings: The Rings of Power” ก่อนหน้านี้เขาเคยดูแลงานวิชวล เอฟเฟ็กต์สำหรับภาพยนตร์สองเรื่องที่กำลังจะเข้าฉาย ได้แก่ Spiderhead และ Top Gun: Maverick
ตลอดอาชีพการทำงานกว่า 20 ปีของเขา ไรอันได้ใช้ความเป็นผู้นำที่สร้างสรรค์ในภาพยนตร์และเอพิโซดต่างๆ กว่า 50 เรื่อง เขาได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการหลอมรวมการแสดงโลดโผนไลฟ์แอ็กชันและวิชวล เอฟเฟ็กต์, งานที่ซับซ้อนและมองไม่เห็นที่เกิดจากความร่วมมือกับผู้กำกับ ผู้กำกับภาพ และแผนกกายภาพ เขาผสมผสานความชื่นชมนี้สำหรับ “ของจริง”ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับดิจิตอล เอฟเฟ็กต์ และมุ่งมั่นที่จะสร้างผลลัพธ์ที่สมจริง โน้มน้าวใจ และได้รับรางวัล
นอกจากนี้ ไรอันยังเป็นผู้ประกอบการอีกด้วย โดยเขาได้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอวิชวล เอฟเฟ็กต์ อะตอมิค ฟิคชันขึ้นมา ในฐานะซีอีโอ เขาได้นำการเติบโตของบริษัทไปสู่การมีพนักงานกว่า 350 คน ที่ซึ่งเขาดูแลโครงการต่างๆ เช่น Ad Astra, Blade Runner 2049, Deadpool, Pirates of the Caribbean, Ghost in the Shell, “Game of Thrones,” Star Trek Beyond และ “Cosmos” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อะตอมิค ฟิคชันถูกซื้อกิจการโดยดีลักซ์ในปี 2018
ก่อนหน้าอะตอมิค ฟิคชัน ผลงานในฐานะซูเปอร์ไวเซอร์ของเขาได้แก่ Hellboy, Sin City และ Superman Returns เป็นต้น เขาเริ่มต้นการทำงานที่สกายวอล์คเกอร์ แรนช์แห่งลูคัสฟิล์ม เมื่ออายุ 18 ปี โดยเขาได้ทำงานโดยตรงกับจอร์จ ลูคัส เพื่อออกแบบซีเควนซ์หลักสำหรับ “Star Wars: Episode One”
เขาเป็นสมาชิกของสมาคมวิชวล เอฟเกต์, สถาบันโทรทัศน์และสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์
เควิน ลาโรซา ที่สอง (Kevin LaRosa II)—ผู้ประสานงานทางอากาศ
เควิน ลาโรซา ที่สอง เป็นนักบินรุ่นที่สามและผู้ประสานงานทางอากาศรุ่นที่สองและนักบินผาดโผน ตั้งแต่ Iron Man ไปจนถึง The Avengers และ Transformers 5 ลาโรซาได้ทำการบินในภาพยนตร์ที่ไม่ธรรมดาหลายเรื่อง
เขาเริ่มบันทึกเวลาเที่ยวบินเมื่ออายุได้ 14 ปี และสะสมคะแนนของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่ออายุได้ 18 ปี เควินก็ได้เป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์เชิงพาณิชย์และนักบินประจำเครื่องบินหลายเครื่องยนต์ ที่บันทึกเวลาในเครื่องทุกรูปแบบ ตั้งแต่เครื่องบินคิง แอร์สไปจนถึงเฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้
ปัจจุบันนี้ เขาเป็นนักบินพาณิชย์ที่ประสบความสำเร็จ ในด้านอากาศยานที่มีปีกคงที่และแบบปีกหมุนหลายประเภท และทำงานอย่างหนักในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ทั่วโลก ด้วยการประสานงานและกำกับซีเควนซ์ภาพยนตร์ในอากาศและบนพื้นดิน ลาโรซาเป็นสมาชิกของสมาพันธ์นักแสดงและสมาพันธ์นักบินภาพยนตร์และผลงานล่าสุดของเขาก็ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่อง Top Gun: Maverick ที่ฉายรอบปฐมทัศน์วันที่ 27 พฤษภาคม ปี 2022 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.kevinlarosa.com
นาวาเอก ไบรอัน เอ็ม. “เฟิร์ก” เฟอร์กูสัน (Captain Brian M. “Ferg” Ferguson)—ที่ปรึกษาด้านเทคนิคสำหรับการบินนาวี, ที่ปรึกษาทางอากาศ (ผู้บังคับบัญชา กองกำลังนาวีสหรัฐภาคพื้นยุโรป/แอฟริกา, ผู้บัญชาการกองเรือที่หกสหรัฐ, หน่วยกองหนุนกองทัพเรือ เอ็น5/เอ็น7)
นาวาเอก ไบรอัน เอ็ม. “เฟิร์ก” เฟอร์กูสัน เป็นชาวเมืองซาราโซต้า รัฐฟลอริดา และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์การบินจากมหาวิทยาลัยการบินเอ็มบรี-ริดเดิล เขาได้เข้าประจำการในเดือนกันยายน ปี 1993 ผ่านโรงเรียนสมัครเจ้าหน้าที่การบินในเมืองเพนซาโคลา รัฐฟลอริดา
ภารกิจการปฏิบัติงานของนาวาเอก เฟอร์กูสันได้แก่ ฝูงบินขับไล่ 115 (VFA-115) ประจำสถานีการบินนาวีเลอมัวร์, แคลิฟอร์เนีย; ผู้สอนนักบินและเจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณการลงจอดที่ฝูงบินฝึกโจมตีนาวิกโยธิน 101 (VMFAT-101) ประจำสถานีการบินนาวิกโยธินมิรามาร์ รัฐแคลิฟอร์เนียร์ และผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการทางอากาศบนเรือยูเอสเอส คอนสเตลเลชัน (CV-64) ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่เวสต์แพ็คในปี 2002-2003 เขาได้บินไปกับเหล่าวิจิลันเต้ของฝูงบิน VFA-151 และนำทีมปฏิบัติภารกิจการต่อสู้ยามค่ำคืนจำนวนมากในอิรักด้วยเครื่อง F/A-18 ฮอร์เน็ต เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการอิสรภาพของอิรัก นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนก ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยการบินและเจ้าหน้าที่กำหนดมาตรฐานการบรรยายภัยคุกคามที่ฝูงบินประกอบเครื่องบินขับไล่ 13 (VFC-13), สถานีการบินฟัลลันที่เนวาด้า และเข้าเรียนหลักสูตรผู้สอนวิชาการต่อสู้ (ท็อปกัน) นาวาเอกเฟอร์กูสันได้สั่งการฝูงบิน VFC-13 (2012-2013) ซึ่งได้รับรางวัล Battle “E”, Safety “S”, โกลเดน เรนช์ เมนเทเนนซ์ อวอร์ดและรางวัลโกลเดน แองเคอร์ รีเทนชัน เอ็กซ์เซลเลนซ์ อวอร์ดระหว่างการทัวร์ XO/CO เขาได้บันทึกชั่วโมงบินรวมกว่า 7,200 ชั่วโมง ด้วยเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดียว (F-18/F-5) กว่า 3,000 ลำ และมีการลงจอดบนเรือบรรทุกบรรทุกมากกว่า 375 ครั้งบนเรือ ยูเอสเอส คิตตี้ ฮอว์ค (CV- 63), ยูเอสเอส คอนสเตลเลชัน (CV- 64), ยูเอสเอส อับราฮัม ลินคอล์น (CVN-72) และยูเอสเอส จอห์น ซี. สเตนนิส (CVN-74) งานที่ได้รับมอบหมายของเขารวมถึงการรับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการ กองบัญชาการระบบการรบอวกาศและกองทัพเรือ NR Det 220; เสนาธิการศูนย์พัฒนายุทธการการบินทหารเรือ NR Det 0194; รองผู้บัญชาการกองหนุนกองทัพเรือ ผู้บังคับบัญชา, กองทัพเรือสำรอง, กลุ่มเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีที่ 15 และเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคและผู้ประสานงานทางอากาศสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick เขาสำเร็จการศึกษาด้านวิชาชีพการทหารร่วมจากวิทยาลัยเสนาธิการทหารอากาศ และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการเครือข่ายการให้คำปรึกษาด้านการบินสำหรับผู้บังคับบัญชากองหนุนทหารเรือคนปัจจุบัน
เขาปลดประจำการในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2007 และกลายเป็นสายลับของรัฐบาลกลางกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (ดีเอชเอส) ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นนักบิน สมาชิกในทีมยุทธวิธี ครูผู้ฝึกสอนอาวุธและยุทธวิธี และเจ้าหน้าที่แม่นปืนป้องกันทางอากาศ ปัจจุบัน เขาเป็นกัปตันของสายการบินรายใหญ่ของอเมริกา และมีใบประกาศฯสำหรับการขับเครื่องบินแอร์บัส A320, โบอิ้ง 737, CE-550 Citation II และ L-39 รางวัลส่วนบุคคลของเขา ได้แก่ เหรียญลีเจียน ออฟ เมอริท (สองรางวัล), เหรียญรางวัลบริการ (สองรางวัล), เหรียญรางวัลชมเชยของนาวีและกองทัพเรือ (3 รางวัล – 1 พร้อม Combat “V”), เหรียญเกียรติคุณทางอากาศ (2 รางวัลการบิน/โจมตี), เหรียญความสำเร็จนาวี (สามรางวัล) และรางวัลอื่นๆ ทั้งส่วนบุคคลและหน่วยงาน
คริส เบอร์ดอน (Chris Burdon)—ผู้ผสมเสียงเพื่อบันทึกเสียงซ้ำ
คริส เบอร์ดอน ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองว่าเป็นหนึ่งในผู้ผสมเสียงเพื่อบันทึกเสียงซ้ำที่ดีที่สุดและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในสหราชอาณาจักร สิ่งนี้ทำให้เขาทำงานร่วมกับผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างระดับชั้นนำของโลกหลายคนในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมากมาย “การเติบโตมาในครอบครัวนักดนตรีได้ปลูกฝังความสนใจในดนตรีซึ่งพัฒนาไปตามเวลาจนกลายเป็นความหลงใหลในเสียงของหนัง ผมไม่สามารถพูดเกินจริงได้ว่าผมสนุกกับการร่วมมือกับ ‘ทีม’ ทั้งหมดเพื่อผสมเสียงที่ดีที่สุดสำหรับโครงการใดก็ตาม ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับผู้สร้างหนังที่เก่งกาจมากมาย โดยมีโบนัสเพิ่มเติมเป็นการได้ผสมเสียงดนตรีที่แต่งโดยนักประพันธ์ดนตรีประกอบหนังที่เก่งที่สุดในโลก” ผลงานมากมายของคริสรวมถึง Children of Men, Captain Phillips, Edge of Tomorrow, Wonder Woman, Three Billboards Outside Ebbing Missouri และ Top Gun: Maverick นอกเหนือจากการได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลบาฟตาและรางวัลสมาคมเสียงภาพยนตร์แล้ว เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกด้วย
###