14 ปีจาก “นางนาก” หนังรักแห่งปรากฎการณ์
9 ปีจาก “เดอะเลตเตอร์ จดหมายรัก”
“สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” และ “ซีเนมาเซีย”
ชวนทุกหัวใจอุ่นอบอวลไปด้วยร่องรอยของความทรงจำแห่งรัก
กับภาพยนตร์รักจากงานกำกับภาพยนตร์ลำดับที่ 8 ของ “นนทรีย์ นิมิบุตร”
TimeLine จดหมาย-ความทรงจำ
หลากร้อยความรู้สึกหลากล้านวินาทีแห่งความผูกพัน
กับนับหมื่นนับพันตัวอักษรของถ้อยคำแห่งรัก….กำลังจะถูกแปรเปลี่ยน
ให้กลายเป็นความทรงจำที่พร้อมจะอยู่กับเราไปตราบชั่วนิรันดร์
ถ่ายทอดทุกอณูความรัก
โดย 4 นักแสดงคุณภาพระดับแถวหน้าของเมืองไทย
เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข ป๊อก ปิยธิดา วรมุสิก
เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม
13 กุมภาพันธ์นี้ ต้อนรับวาเลนไทน์
เรื่องราวของ“TimeLineจดหมาย-ความทรงจำ”
เรื่องราวความรักความผูกพันที่แสนอบอุ่นหัวใจและเป็นเหมือนดั่งหยดน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตโดยที่ไม่เคยจางหายไปจากความรู้สึกของ “มัท” หญิงสาวที่ยังคงมีภาพความทรงจำแห่งรักที่แสนงดงามต่อ “ทัน” คนรักเก่าที่ได้จากไปโดยมีเพียง “ไร่สตอว์เบอร์รี่” ที่สะเมิง จ.เชียงใหม่ และ “แทน” ลูกชายเพียงคนเดียวที่เป็นเสมือนตัวแทนความรักของเขาและเธอที่บัดนี้เติบโตเป็นหนุ่มและพร้อมที่จะเริ่มต้นมีชีวิตในแบบของตัวเองเมื่อกำลังจะก้าวเข้าสู่ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
แต่ดูเหมือนว่าตลอด19ปีในชีวิตที่ผ่านมาสำหรับแทนแล้วการที่ต้องเติบโตขึ้นมาภายใต้ร่มเงาความรักที่สมบูรณ์แบบของพ่อและแม่กลับยิ่งทำให้เขาดิ้นรนและอยากออกไปสัมผัสกับโลกภายนอกตามวิธีคิดและการออกแบบชีวิตของเขาเองมากขึ้นเป็นทวีคูณ ชีวิตในกรุงเทพเปรียบได้กับโลกใบใหม่ที่ทุกสิ่งรอบตัวล้วนน่าแปลกตาและแตกต่างจากโลกใบเก่าที่สะเมิง และที่นี่ทำให้ “แทน”ได้พบกับ “จูน” เพื่อนใหม่ที่มีวิธีคิดและมองโลกอย่างแตกต่าง แต่กลับเติมเต็มความรู้สึกบางอย่างให้กับ “แทน” โดยไม่รู้ตัว พูดได้ว่าจูนคือผู้หญิงเพียงคนเดียวที่คอยผลักดันและเป็นแรงบันดาลใจให้แทนได้ค้นพบสิ่งที่มีค่าที่สุดและมีความหมายที่สุดในแบบฉบับของตัวเขาเองนั่นคือ“ความทรงจำแห่งรัก”ที่จะอยู่ในใจของเขาตลอดไป
บทบาทและคาแรคเตอร์ “TimeLine จดหมาย-ความทรงจำ”
แทนเด็กหนุ่มวัย19ร่าเริงสดใสตัวแทนของเด็กต่าง จังหวัดที่มาเรียนต่อในกรุงเทพเกิดและเติบโตท่าม กลางบรรยากาศของขุนเขาและไร่สตรอว์เบอร์รี่ในจังหวัดเชียงใหม่ชีวิตผูกผันและถูกเลี้ยงดูโดยแม่เพียงลำพังเนื่องจากสูญเสียพ่อทันไปตั้งแต่ที่แทนยังไม่ลืมตามองดูโลกใบนี้จากเรื่องราวและร่องรอยความทรงจำแห่งรักของพ่อทันที่ยังคงอยู่และไม่เคยเลือนหายไปจากใจแม่มัททำให้ชีวิตของแทนเหมือนถูกขีดวงอยู่ในกรอบเงาของพ่อทันที่แม่วาดไว้โดยไม่รู้ตัวเขาจึงพยายามหาพื้นที่ยืนและทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
“การที่พี่อุ๋ยนนทรีย์ส่งบทหนังเรื่องใหม่มาให้ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นอยู่แล้วนะครับเพราะว่าพี่อุ๋ยเองเป็นคนทำหนังที่ดังมากๆตั้งแต่ผมยังเด็กมากๆแล้วพอได้หยิบบทที่เขาส่งมาให้อ่านตั้งแต่ตอนแคสท์ติ้งก็ต้องบอกว่ามันเป็นบทภาพยนตร์ที่เรียกว่าแค่ได้อ่านนะครับมันก็เกิดความรู้สึกว่าเราอินกับมันแล้วเรารู้สึกได้ว่าบทที่เราอ่านเหมือนมันมีตัวละครอยู่จริงมันมีชีวิตอยู่จริงๆ” รับบทโดย เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข
นายแบบนักแสดงหนุ่มหน้าใสวัย20หมาดๆเกิดและเติบโตในฐานหนุ่มพิจิตรแบบเต็มตัว ปัจจุบันกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิตคณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก เข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรกจากการชนะเลิศการประกวด The Idol Fryday2011 เมื่อเม.ย.55 ก่อนที่จะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากบทคุณชายหมอ หรือคุณชายพุฒิภัทรจากละครชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ด้วยบุคลิกและเสน่ห์ทางด้านการแสดงที่เรียกได้ว่ามัดใจสาวๆทั้งเมืองทำให้ เจมส์ จิรายุกลายเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จเร็วที่สุดดุจสายฟ้าและกลายเป็นพระเอกสุดฮอตไปทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีผลงานการแสดงทางด้านละครอย่าง ทองเนื้อเก้าและรักสุดฤทธิ์และมีผลงานโฆษณาในฐานะพรีเซนเตอร์อาทิ AIS 3G2100 ,โตโยต้าและวุฒิศักดิ์คลินิก
จูน เพื่อนร่วมคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกันกับแทน เด็กสาวที่มองโลกในแง่ดีกล้าคิดกล้าแสดงออก สดใสเต็มไปด้วยชีวิตชีวามีฝันอย่างเต็มเปี่ยม เสน่ห์ของจูนคือตัวแทนของหญิงสาวที่พร้อมเติมเต็มและทำให้โลกรอบๆเต็มไปด้วยยอมยิ้มและเสียงหัวเราะไปพร้อมกับเธอ เป็นเพื่อนสนิทที่พร้อมอยู่เคียงข้างและเป็นแรงบันดาลใจให้กับแทนทั้งยามสุขและเศร้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้แทนได้รู้จักตัวเอง และคุณค่าของความรักอย่างแท้จริง
“หลังจากได้บทมาจำได้ว่าตอนนั้นถ่ายละครอยู่ต่างจังหวัดมีช่วงว่างพอดีก็เลยนั่งอ่านบทอ่านไปเรื่อยๆตอนแรกก็อ่านเพลินเพลินอยู่ๆน้ำตาไหลพรากออกมาเองไม่ทันตั้งตัวค่ะคือเหมือนโดนบทแกล้งจำได้ว่าต้องไปถ่ายละครต่อ แต่แปลกมากจำได้ว่าเป็นการร้องไห้ที่อิ่มจังเลยทั้งๆที่เพิ่งอ่านบทแต่ก็ตัดสินใจรับเลย” รับบทโดย เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ
นักแสดง พิธีกร นักร้องและนางแบบสาววัยรุ่นที่โด่งดังและประสบความสำเร็จ เป็นที่จับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทยเริ่มเป็นที่รู้จักจากการประกวดUtip Freshy Idolในปี2007มีผลงานมิวสิควิดีโอ16 เรื่อง มีผลงานเพลงของตัวเอง “ชอบที่เธอยิ้มมา”จากอัลบั้มlove Status มีผลงานโฆษณามากถึง17ชิ้นมีงานพิธีกรอย่างSister Day และตู้เสื้อเพื่อน ผลงานละคร รักหรรษาคาราโอเกะ,อุบัติรักข้ามขอบฟ้า1-2(คว้ารางวัลดาวรุ่งมาแรงหญิงจากสยามดาราสตาร์ปาร์ตี้2009),ชิงชัง,ดอกรักริมทาง,ช็อกโกแลต5ฤดู,สามหนุ่มเนื้อทอง,ระเบิดเที่ยงแถวตรง,ลูกหนี้ที่รัก และสายลับเดอะซีรี่ส์กับ24คดีสุดห้ามใจ,นัดกับนัดมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือ Dear Galileo หนีตามกาลิเลโอ ทำให้สามารถคว้ารางวัลนักแสดงสมทบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมจากชมรมวิจารณ์บันเทิง ล่าสุดถูกเลือกให้รับบท “จูน” ตัวละครสำคัญในTimeLineจดหมาย-ความทรงจำ และถือได้ว่าเป็นบทบาทในฐานะนางเอกภาพยนตร์โรแมนติคอย่างเต็มตัวครั้งแรก
มัท หญิงสาวที่เลือกทิ้งชีวิตชาวกรุงมาใช้ชีวิตเรียบง่ายมีความสุขกับทันหนุ่มคนรักและไร่สตรอว์เบอร์รี่ที่เชียงใหม่หลังจากสูญเสียคนรักกลายเป็นsingle mom โดยมีร่องรอยของความทรงจำแห่งรักในอดีตคอยถ่ายทอดให้แทนลูกชายเพียงคนเดียวได้ซึมซับเรื่องราวดังกล่าวขณะเดียวกันก็เป็นดั่งน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจและทำให้มัทเลือกที่จะยังคงมีชีวิตดำเนินต่อถึงแม้วันเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดไม่ว่าจะมีใครพยายามเข้ามาในชีวิตแต่ความรู้สึกดีๆที่มัทได้รับจากทันไม่เคยหล่นหายไปจากใจกลับกลายเป็นเงื่อนปมแห่งความคาดหวังที่นับวันจะยิ่งผูกมัดให้แทนเติบโตมาภายใต้เงาของพ่อในแทบทุกเรื่อง
“เห็นบทครั้งแรกรู้สึกเลยว่าตัวละครตัวนี้มีมิติมากๆจนกระทั่งเรารู้สึกว่าไม่อยากปล่อยให้บทดีๆอย่างนี้ผ่านไปก็เลยตัดสินใจว่าพี่อุ๋ยเราจะลงเรือลำเดียวกันละ ปกติเวลาที่อ่านบทครั้งแรกเราก็จะอ่านโดยรวมเพื่อตัดสินใจว่าจะเล่นไม่เล่น แต่ว่าพออ่านบทไทม์ไลน์อ่านปุ๊บเราก็จะมีการแอบพูดตามไดอาล็อกตัวละครแอบคิดเริ่มดีไซน์ละว่าฉันจะเล่นแบบนี้ซึ่งมันเป็นเหมือนสัญญาณที่ดีนะสำหรับการถ่ายทำที่แปลว่าเราอยากที่จะเล่นเราอยากที่จะรอให้ถึงวันที่ถ่ายทำว่าพอวันนั้นนะเราจะเล่นได้ตามที่เราต้องการหรือว่ามันจะมีอะไรที่เซอร์ไพร์ตัวเองว่าเราจะดีกว่านั้นหรือจะแย่กว่านั้นมันก็เลยกลายเป็นว่ามันเป็นการรอคอยอย่างตื่นเต้นตั้งแต่เริ่มแรกที่จะได้ทำงานที่จะได้ไปถ่ายหนังเรื่องนี้” รับบทโดย ป๊อก ปิยธิดา วรมุสิก
นักแสดง พิธีกรหญิงระดับรางวัลที่ได้รับการยกย่องถึงฝีมือลายมือระดับที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงกว่า17ปีมีผลงานทั้งงานพิธีกรรายการต่างๆ แต่ที่สร้างชื่อมากที่สุดจากผลงานการแสดงที่มีละครถึง32เรื่องซึ่งมีผลงานเด่นๆอย่าง ธรณีนี่นี้ใครครอง,เกมกามเทพ,นางทาส,เมียหลวง,ไฟหวน ฯลฯ รวมไปถึงงานละครเวที(กุหลาบสีเลือด,ร่ายพระไตรปิฎก3,สมรสประแป้ง ,งานเพลง, มิวสิควิดีโอ,พรีเซนเตอร์โฆษณา นับไม่ถ้วน โดยเริ่มต้นงานละครเรื่องแรก ตะลอนทัวร์ และมีผลงานการแสดงละครต่อเนื่องมาถึง 32 เรื่อง ด้วยความโดดเด่นทางด้านการแสดงทำให้ป๊อกเป็นนักแสดงหญิงที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทยทั้งงานทางด้านภาพยนตร์และละครโทรทัศน์เรียกได้ว่าแถบทุกสถาบัน ล่าสุดคว้ารางวัลนักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมสุพรรณหงส์และชมรมวิจารณ์บันเทิงจาก “ลัดดาแลนด์” และคว้ารางวัลนักแสดงสมทบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมจาก TOGETHER ในอีกหนึ่งปีถัดมา และในปีพ.ศ.2556 แฟนๆจะได้พบกับผลงานการแสดงชิ้นล่าสุดอย่าง“TimeLineจดหมาย-ความทรงจำกับบทบาทที่ว่ากันว่าท้าทายความสามารถทางการแสดงมากที่สุดในชีวิตของเธอ
วัฒน์ ชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของมัทคอยช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างมาโดยตลอดด้วยบุคลิกที่สุภาพเป็นคนใจดีจึงเป็นที่รักและนับถือของทุกคนที่สะเมิง เป็นเหมือนเพื่อนที่ดีของครอบครัวมัทและแทน แต่ลึกๆแล้วแอบชอบมัทมาโดยตลอด หลังจากที่แทนไปเรียนต่อที่กรุงเทพก็จะมีเพียงวัฒน์ที่คอยดูแลและพยายามเติมเต็มความรู้สึกดีๆให้กับมัท
รับบทโดย ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม
นักแสดงหนุ่มลูกครึ่งไทย-เยอรมัน นายแบบนักแสดงหนุ่มมากฝีมือเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์โฆษณาสเปรย์ รอยัล และมีผลงานละครอย่างเจ้าสาวของอานนท์,สะพานดาว,เลือกแล้วคือเธอ,แม่น้ำ มี “องคุลีมาล” เป็นผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในปีพ.ศ.2546 ประสบความสำเร็จโด่งดังจากบท “บุญทิ้ง”หรือ “ออกพระราชมนู” พระสหายผู้กรำศึกร่วมกับพระนเรศวร ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาค2,3,4 จากผลงานการกำกับของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล โดดเด่นทางด้านการแสดงจากภาพยนตร์เรื่องนางไม้ และสามารถคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก ฝนตกขึ้นฟ้า ซึ่งทั้ง2เรื่องเป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับภาพยนตร์คุณภาพอย่าง เป็นเอก รัตนเรือง และในปีพ.ศ.2557 มีผลงานภาพยนตร์เรื่อง TimeLineจดหมาย-ความทรงจำ และตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาค 5 ยุทธหัตถี
นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับภาพยนตร์ และควบคุมงานสร้าง
ผู้กำกับภาพยนตร์,โปรดิวเซอร์,นักเขียนบท,ผกก.โฆษณาที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ไทยที่ประสบความสำเร็จระดับแถวหน้าในวงการภาพยนตร์ไทย และเป็น1ในปากกระบอกเสียงสำคัญที่ผลักดันให้ภาพยนตร์ไทยเป็นที่ยอมรับมาจนถึงทุกวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพลิกโฉมหน้าของภาพยนตร์ไทยให้กลายเป็นอุตสาหกรรมของชาติออกไปสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศ ตลอด15ปีนับตั้งแต่ 2499อันธพาลครองเมือง ภาพยนตร์เรื่องแรกปรากฎสู่สายตาผู้ชมและประสบความสำเร็จเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่กวาดรายได้อย่างสูงสุดถึง75ล้านบาท รวมไปถึงการนำเสนอและตีความ “นางนาก” ให้กลายเป็นหนังรักแห่งปรากฎการณ์ จนขึ้นหิ้งภาพยนตร์ไทยคลาสสิคมาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นผู้กำกับที่กล้าหยิบเอา “จันดารา” บทประพันธ์อีโรติคที่ได้รับการวิพากษ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมของไทยมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ที่โด่งดั่งไปทั่วเอเชียกล่าวได้ว่าไม่เพียงภาพยนตร์7เรื่องจากผลงานการกำกับของอุ๋ยนนทรีย์(2499อันธพาลครองเมือง,นางนาก,จันดารา,อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต,โอเคเบตง,ปืนใหญ่จอมสลัด,คน-โลก-จิต) แต่ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เขามีส่วนร่วมทั้งในฐานะโปรดิวเซอร์เองล้วนประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นตัวเลขทางรายได้หรือกล่อง อาทิ เสือโจรพันธุ์เสือ,บางกอกแดนเจอรัส,ฟ้าทะลายโจร,บางระจัน,มนต์รักทรานซิสเตอร์,เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล ,โหมโรง , หนูหิ่นเดอะมูฟวี่ รวมทั้งเดอะเลตเตอร์จดหมายรัก และล่าสุดในปีพ.ศ.2556 พร้อมแล้วกับ “TimeLine จดหมาย-ความทรงจำ” ภาพยนตร์รักจากผลงานการกำกับภาพยนตร์ลำดับที่ 8 ของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” และเป็นการกลับมากำกับภาพยนตร์รักเรื่องแรกในรอบ14ปีแบบทุ่มสุดหัวใจหลังจากที่เคยทำให้ “นางนาก” กลายเป็นหนังรักแห่งปรากฎการณ์มาแล้ว
การกลับมาสร้างปรากฎการณ์หนังรักครั้งแรกในรอบ14ปีของ“อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร” จาก “นางนาก” สู่ “TimeLine จดหมาย-ความทรงจำ” หนังรักแห่งพ.ศ.นี้ที่จะอยู่ในใจทุกคนตลอดไป
นับตั้งแต่สร้างปรากฎการณ์ให้ “นางนาก” ภาพยนตร์จากผลงานการกำกับลำดับที่2ในชีวิตกลายเป็นภาพยนตร์ไทยที่ประสบความสำเร็จทางรายได้อย่างสูง สุดถึง 149 ล้านบาทในปีพ.ศ.2542 และกวาดรางวัลทางด้านภาพยนตร์จากแทบทุกสถาบัน เราแทบจะไม่เคยได้สัมผัสกับภาพยนตร์รักจากฝีมือการกำกับภาพยนตร์ของ “อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร” อีกเลย มีเพียง “เดอะเลตเตอร์จดหมายรัก” ซึ่งเข้าฉายในปีพ.ศ.2547ที่เขารับหน้าที่โปรดิวเซอร์อย่างเต็มตัวเท่านั้น
และในปีพ.ศ.2557 สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมแล้วที่จะนำผู้ชมทุกท่านไปสัมผัสกับ “TimeLineจดหมาย-ความทรงจำ” ภาพยนตร์รักจากผลงานการกำกับเรื่องที่2และเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ลำดับที่8ในชีวิตของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” หลังจากใช้เวลาเกือบ2ปีในการบ่มเพาะเป็นบทภาพยนตร์รักโดยได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัวของผู้คนอย่างพวกสื่อออนไลน์, เฟสบุ๊ค, อินสตาแกรม, ไลน์ ฯลฯ เพื่อสะท้อนถึงมุมมองความรักความผูกผันที่ดำเนินไปของหนุ่มสาวและผู้คนในโลกปัจจุบันที่แวดล้อมไปด้วย “โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค” ล้วนมีบทบาทสำคัญและส่งผลอย่างยิ่งต่อ“ความรักและความทรงจำ”ที่จะยังคงอยู่กับเราไปตลอดกาล
“จริงๆแล้วเราไม่ได้มีหนังที่พูดถึงความรักในลักษณะจริงจังมานานแล้ว วันหนึ่งระหว่างที่ผมนั่งดูเฟสบุ๊คก็เริ่มรู้สึกว่าปัจจุบันเรามีส่วนร่วมกันในสังคมที่เรียกว่าเฟสบุ๊คนี้โดยทุกคนก็จะมีไทม์ไลน์เป็นของตัวเองของใครของมัน แล้วในนั้นมันก็จะมีการบรรยายความรู้สึกต่างๆเกิดขึ้นในเฟสบุ๊คก็เลยเกิดไอเดียที่จะนำมาถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆในเรื่องเกี่ยวกับความรักอีกครั้งหนึ่งก็ได้นั่งคุยกับคนเขียนบทอยู่นานมากใช้เวลาอยู่ประมาณ2ปีที่จะเคี้ยวความรู้สึกต่างๆให้ข้นจนเป็นบทภาพยนตร์เรื่องนี้ครับว่ามีแง่มุมอะไรบ้างที่มันน่าสนใจความรักแบบไหนที่ทำให้คนยุคนี้สนใจแล้วเพราะอะไรคนถึงสนใจในมุมนี้โดยภาพยนตร์เรื่อง“TimeLineจดหมาย-ความทรงจำ” จะพูดถึงความรักใน2มุมนะครับคือมุมหนึ่งพูดถึงความรักในปัจจุบันของวัยรุ่นสมัยนี้อีกมุมก็พยายามจะเปรียบเทียบให้เห็นถึงความรู้สึกของความรักในอีกแง่มุมหนึ่งในสิ่งที่เคยมีการทำและถ่ายทอดกันมาซึ่งมันมีถ้อยคำอ่อนหวานมันมีความลึกซึ้งมันมีความละเอียดอ่อนยังไงคนเดี๋ยวนี้มีความรักกันรวดเร็วอย่างไรบ้างแล้วเขาใช้สื่อโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอะไรบ้างที่จะสื่อสารในด้านความรัก เมื่อก่อนนี้9ปีที่แล้วตอนนั้นเรามีอีเมลล์ซึ่งรู้สึกว่ามันเป็นของที่ใหม่เอี่ยมที่สุดแล้วในยุคนั้น แต่ปัจจุบันนี้เรามีอุปกรณ์สื่อสารเต็มที่เลยเรามีโทรศัพท์มือถือ1เครื่องเราสามารถจะทำอะไรบนนั้นได้ตลอดเวลาเรามีว๊อทแอปเรามีไลน์เรามีวีแชทฯลฯสารพัดสิ่งที่จะมีการสื่อสารอยู่บนโทรศัพท์จนคนแทบจะไม่ได้โทรศัพท์คุยกันแล้ว เราเลยพยายามจะcompare(เปรียบเทียบ)2อย่างนี้เอาไว้ด้วยกันในบทภาพยนตร์แล้วก็ใช้ตัวแทนของคนรุ่นใหม่มาสื่อสารความรู้สึกเหล่านี้ในภาพยนตร์เรื่องTimeLineจดหมาย-ความทรงจำซึ่งเราได้เจมส์จิรายุ และน้องเต้ย จรินทร์พรเป็นตัวแทนความรักของคนยุคนี้ เราได้คุณป๊อกปิยธิดาและปีเตอร์นพชัยมาถ่ายทอดเรื่องราวความรักของคนยุคก่อนคือเลือกเอานักแสดงที่เรียกว่ามีคุณภาพเข้มข้นทุกคนมาสื่อสารกับคนรุ่นใหม่เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงความรักในรูปแบบปัจจุบันครับ”
ย้อนรอยความทรงจำถักทอผ่านงานด้านภาพที่แสนงดงามในหลากหลายโลเกชั่นที่เต็มไปด้วยเรื่องราวภายใต้ดนตรีประกอบที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกจากบุคคลากรระดับแถวหน้าของเมืองไทย
ถึงพร้อมไปด้วยองค์ประกอบหลากหลายในส่วนของงานโปรดักชั่นจากบุคคลากรระดับหัวกะทิในวงการภาพยนตร์ไทยที่ถือได้ว่าลงตัวที่สุดรวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์ให้ “TimeLineจดหมาย-ความทรงจำ” เป็นภาพยนตร์รักสมกับที่ผู้ชมทุกคนรอคอยโดยมีเปีย ธีระวัฒน์ รุจินธรรม (นาคปรก,ซุ้มมือปืน,ขุนแผน,ปาฎิหาริย์รักต่างพันธุ์,ต้มยำกุ้ง2)ผู้กำกับภาพและผู้กำกับภาพยนตร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทยมารับผิด ชอบในส่วนของงานการกำกับภาพผสมผสานกับการออกแบบและสร้างสรรค์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่งด งามลงตัวจากมือ1ของเมืองไทยอย่างชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์ (นางนาก, จันดารา, โอเคเบตง, โหมโรง, ก้านกล้วย,ปืนใหญ่จอมสลัด,อุโมงค์ผาเมือง)ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติคของหลากหลายโลเกชั่นในเมืองไทยที่พร้อมจะแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำแห่งรักที่แสนสวยงามไม่ว่าจะเป็นภาพขุนเขาแห่งธรรมชาติที่แสนสวยงามของดอยอ่างขาง และอ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ภาพต้นบ๊วยสุดลูกหูลูกตาท่ามกลางบรรยกาศหน้าฝนที่ชุ่มฉ่ำและทะเลหมอกที่เต็มไปด้วยความเหน็บหนาวของสภาพอากาศภาคเหนือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดคลาสสิคของทะเลตะวันออกอย่างเกาะสีชัง,ความงดงามของวังจุฑาธุช,สะพานอัษฎางค์ที่สร้างขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่5สมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่5,พระราชวังดินแดนของทะเลตะวันออกอย่างเกาะสีชังไปจนถึงแหล่งท่องเที่ยวคลาสสิครอบเกาะรัตนโกสินทร์,แพร่ง
ภูธร,พิพิธภัณฑ์ศิลปะบนถนนเยาวราช,ซอยโรงไม้ข้างภูเขาทองฯลฯ บนเรื่องราวความรักที่จะสร้างแรงกระเพื่อมและสะเทือนอารมณ์ความรู้สึกไปกับบทบาทของตัวละครและเรื่องราวของภาพยนตร์ไปโดยไม่รู้ตัว
“เราเลือกเอาสะเมิง(อำเภอหนึ่งใน จ.เชียงใหม่) เลือกเอาอ่างขางมาเป็นโลเคชั่นหลักๆอันหนึ่งในหนังเรื่องนี้เพื่อให้คนดูได้ซึมซับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพาร์ทของแม่ลูกเพื่อให้ได้รู้ถึงแบคกราวด์ที่มาที่ไปของตัวละครแทนเด็กหนุ่มที่เป็นตัวเอกของเรื่องซึ่งจะบ่งบอกถึงที่มาของความทรงจำที่เกิดขึ้นของแม่ด้วยในขณะที่โลเคชั่นอย่างเกาะสีชังก็จะเป็นการถ่ายทอดในพาร์ทเรื่องราวที่เกิดขึ้นในส่วนของแทนกับจูนพระเอกนางเอก สาเหตุที่เราตั้งใจเลือกสีชังเป็นโลเคชั่นสำคัญที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯมากๆแต่ว่าเป็นที่ที่ไม่ค่อยมีใครไปเที่ยวสักเท่าไหร่เป็นที่ที่ทุกคนหลงลืมและมันเป็นที่ที่หนึ่งงดงามสองก็คือมันไปง่ายแล้วสามคือพาหนะในการเดินทางของตัวละครใน
หนังเรื่องนี้ทั้งหมดมันคือจักรยานสถานที่ที่ดูจะเป็นไปได้ต้องเป็นสถานที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากอยู่ในระยะ100-150กิโลเมตรซึ่งมันสามารถจะขี่จักรยานไปได้แน่ๆซึ่งถ้าเป็นนักขี่จักรยานคงทราบดีว่าระยะทางแค่นี้มันหมูมากสำหรับพวกเราฉะนั้นในเมื่อพระเอกนางเอกเขามีการใช้ยานพาหะนะแบบนี้เราก็พยายามเลือกโลเคชั่นที่มันไม่ไกลมากแต่มีความสมบูรณ์แบบมีสิ่งที่ทำให้ตัวละครสามารถจะเกิดความประทับใจในสถานที่ต่างๆเหล่านั้นได้คือตัวละครในหนังเรื่องนี้มีทั้งตัวละครที่เข้าใจชีวิตรู้จักชีวิตของเขาดีว่าชีวิตจะทำอะไร แต่อีกตัวละครหนึ่งจะไม่รู้จักชีวิตเลยไม่รู้จะก้าวเดินไปทางไหนเพราะฉะนั้นแล้วเมื่อมันเกิดการนำพาชีวิตไปในสถานที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นสถานที่เก่าๆทั้งหลายเพื่อระลึกถึงความทรงจำต่างๆที่มันหายไปสำหรับคนปัจจุบันผมก็พยายามที่จะทำให้คนสมัยนี้สามารถจะระลึกได้ว่าเกาะสีชังไม่ได้ไปมาสิบปีแล้วนะเราไม่เคยไปแถวเยาวราชมานานมากแล้วเราไม่เคยไปเมืองกรุงเก่าๆเกาะรัตนโกสินทร์เก่าๆมานานมากแล้วหรือบางคนไปทุกวันผ่านทุกวันไม่เคยสังเกตุเห็นมุมมองนี้เลย การเลือกโลเคชั่นต่างๆล้วนมีความหมายในทุกๆแง่มุมในทุกๆที่ที่เราเลือกล้วนเกี่ยวกับเรื่องความทรงจำสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่คุณไม่ค่อยได้มองเห็นในปัจจุบันนี้ซึ่งแปลกมากที่ทุกอย่างสามารถจะสื่อสารได้เร็วขึ้นแต่กลับรู้สึกว่าเวลามันน้อยลงมากในชีวิตแต่ละวันไม่รู้เป็นเพราะอะไรเรามีไลฟ์สไตล์เรามีชีวิตที่เร่งรีบมากเราอาจขับรถผ่านถนนเส้นนี้ทุกวันในกรุงเทพฯแต่ไม่สังเกตุมันเลยว่าเฮ้ยถนนเส้นนี้มันหน้าตาเป็นแบบนี้เหรอ เพราะฉะนั้นอันนี้คือความทรงจำที่มันควรจะถูกถ่ายทอดเอาไว้ในหนังเรื่องนี้ทั้งหมดการเลือกโลเคชั่นในทุกโลเคชั่นก็เพื่อที่จะพยายามให้คนดูเกิดความทรงจำแล้วก็ระลึกถึงสถานที่ต่างๆที่คุณอาจจะเคยรู้จักแต่ว่าหลงลืมไปนานแล้ว” ไม่เพียงเท่านั้นในภาพยนตร์เรื่อง “TimeLine จดหมาย-ความทรงจำ” เราจะได้เห็นอีกหนึ่งร่องรอยความทรงจำที่แสนงดงามผ่านการเดินทางตามความฝันในต่างแดนของตัวละครจูนโดยผกก.อุ๋ยนนทรีย์พร้อมด้วยนางเอกสาวเต้ย จรินทร์พรพร้อมทีมงานเดินทางไปถ่ายทำกันที่เมืองโยบุโกะ จ.ซากะประเทศญี่ปุ่นพร้อมกับนำเอาเทศกาลKaratsu Kunchiอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในความทรงจำของชาวญี่ปุ่นและมีการสืบทอดกันอย่างยาวนานมากว่าา300ปีบันทึกลงในภาพยนตร์
จากแง่มุมเล็กๆที่แสนโรแมนติค สู่สุดยอดการแสดงจาก4นักแสดงคุณภาพป๊อก ปิยธิดา ,เจมส์ จิรายุ ,เต้ย จรินทร์พร และปีเตอร์ นพชัย ที่ทำให้อุ๋ยนนทรีย์หลั่งน้ำตาอย่างมีความสุข
ความโดดเด่นของ “TimeLine จดหมาย ความทรงจำ” ที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้และถือได้ว่าเป็นจุดแข็งของภาพยนตร์รักโรแมนติคที่เน้นการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครที่ต้องผ่านหลากเรื่องราวและหลายเหตุการณ์ที่คละเคล้าไปด้วยความสุข ความเศร้าที่แสนอิ่มเอมถึงแม้ว่าจะมาพร้อมกับรอยยิ้มและหยาดน้ำตาแต่ก็เป็นหยาดน้ำตาแห่งความซาบซึ้งที่สุดท้ายจะแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำที่แสนประทับใจที่จะอยู่เคียงคู่ไปตลอดกาลนั่นคือตัวบทภาพยนตร์ที่นำเสนอมิติและรายละเอียดในมุมมองความรักของ4ตัวละครหลักที่เรียกได้ว่า “โดน” และ “จี๊ด”เหลือเกินโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงกับรายละเอียดเล็กๆน้อยที่หลายคนอาจมองข้ามแต่กลับกลายเป็นเอกลักษณ์ที่แสนโดดเด่นของภาพยนตร์นั่นคือ “ผัดฟักแม้ว” ,”ต้นบ๊วย” ,”จักรยาน” ฯลฯ สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้นอกจากทำหน้าที่สร้างมิติความสัมพันธ์ให้กับแต่ละคาแรคเตอร์ให้คนดูเกิดความรู้สึกซาบซึ้งไปกับเหตุการณ์และผูกผันกับตัวละครแล้วยังช่วยเติมเต็มความโรแมนติคให้กับเรื่องราวมีความเด่นชัดมากยิ่งขึ้นดังที่พระเอกหนุ่มสุดฮอตอย่างเจมส์ จิรายุเองที่เป็น1ในผู้ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดออกมาในภาพยนตร์เองก็ยังรู้สึกได้
“ในภาพยนตร์เรื่องไทม์ไลน์จดหมายความทรงจำก็จะมีหลายสิ่งหลายอย่างเลยทีเดียวในบทภาพยนตร์ที่เป็นเหมือนคล้ายๆกับตัวแทนความทรงจำที่เกี่ยวกับตัวละครไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของต้นบ๊วยของพ่อ,หรือผัดฟักแม้วจริงๆแล้วผัดฟักแม้วมีความสำคัญกับตัวละครแม่มัทมากๆลองนึกภาพที่ใครคนหนึ่งที่เขามีความรักความทรงจำเขาก็อยากทำอะไรทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับความทรงจำเหล่านั้นอีกครั้งไม่ว่าจะเป็นการไปอยู่ในสถานที่เดิมๆที่เขารู้จักหรือว่ากินอาหารเดิมๆที่เขาเคยกินหรือเคยทำผมว่ารายละเอียดเล็กทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวละครในหนังมันล้วนแล้วแต่เป็นเสน่ห์โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงที่ว่าเราก็ไม่รู้หรอกครับว่าความสำคัญมันอยู่ที่ตรงไหนจนกระทั่งเขาจากไปแล้วเราถึงจะรู้ว่ามันคือสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเราเหมือน กันสำหรับตัวแทนก็จะมีอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันนั่นคือจักรยานพูดได้ว่าจักรยานเป็นสิ่งหนึ่งที่ติดตัวแทนมาตั้งแต่เกิดแล้วเขาเองก็พยายามที่จะปั่นตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในต่างจังหวัดหรืออยู่ในกรุงเทพทุกๆอย่างที่ผ่านมาในชีวิตแทนมันเกิดขึ้นและเดินทางไปพร้อมกับจักรยานที่เขาได้ใช้เดินทางคู่กันมาไม่ว่าจะยามสุขยามทุกข์ในทุกช่วงเวลา”
ว่ากันว่าในรายละเอียดเล็กๆจี๊ดนี่ละที่มักจะขาดไม่ได้ในภาพยนตร์รักโรแมนติคไม่ว่าจะถือสัญชาติใดก็ตามเพียงแต่ขึ้นอยู่กับมุมมองและชั่วโมงบินของผู้กำกับที่ทำหน้าที่บังคับหางเสือว่าจะมีทิศทางหรือศิลปะในหัวใจอย่างไรในการจัดวางให้ทุกอย่างถูกนำเสนอออกมาได้อย่างลงตัวไม่ขาดไม่เกิน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการที่หนังรักเรื่องนี้มีผู้กำกับที่มีหัวใจโรแมนติคอย่างนนทรีย์ นิมิบุตร
“เต้ยว่าจริงๆแล้วพี่อุ๋ยเป็นคนที่มีมุมของความโรแมนติกค่ะ พี่อุ๋ยเป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนในเรื่องของความคิดความรู้สึกซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็สามารถบอกหรือสะท้อนในความเป็นตัวตนของพี่อุ๋ยได้ที่ส่งผลมาถึงตัวหนังนะค่ะเขาก็เอามาใส่อย่างในเรื่องของจักรยานพี่อุ๋ยชอบมากก็เอามาใส่ในหนังเรื่องนี้เต้ยว่าหลายๆเรื่องในเรื่องนี้ก็อาจจะมาจากตัวพี่อุ๋ยเองก็ได้นะภาพยนตร์เรื่องTimeline เป็นหนังรักที่เกี่ยวกับความรักทั่วๆไปที่เกิดขึ้นได้จริงบนโลกใบนี้ค่ะแล้วพี่อุ๋ยก็ทำออกมาได้ดีแล้วก็ไม่ประดิษฐ์คือเล่าออกมาอย่างตรงไปตรงมามากๆ”
ฟังความรู้สึกจากนางเอกวัยรุ่นอย่างเต้ย จรินทร์พรแล้วลองมาฟังความรู้สึกของนักแสดงหญิงมากฝีมือระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่างป๊อก ปิยธิดากันบ้าง
“ความจริงจังในการทำงาน ความปราณีตกับงาน การเคี่ยวกับบทและการที่เป็นคนลงรายละเอียดค่อนข้างเยอะเกี่ยวกับเรื่องความโรแมนติดซึ่งจริงๆแล้วแอบรู้สึกว่าที่พี่อุ๋ยทำหนังมาหลายๆแนวป๊อกคิดว่าพี่อุ๋ยเหมาะกับหนังโรแมนติคนะ เรื่องรักโรแมนติคที่ค่อนข้างลึกซึ้งแล้วก็กินใจหลายอย่าง มีอยู่ครั้งหนึ่งในการแสดงที่ป๊อกต้องไปออฟซีนส่งอารมณ์ให้น้องเจมส์ในฉากๆหนึ่งแล้วพอ จบซีนพี่อุ๋ยก็เดินมาตบบ่าแล้วก็บอกว่าขอบคุณมากป๊อกพี่ไม่ได้กำกับหนังแล้วร้องไห้ไปด้วยแบบนี้นานมากแล้วจำไม่ได้แล้วเมื่อไหร่แต่ว่าคุณเป็นคนทำให้พี่ร้องไห้ได้ในขณะกำกับป๊อกก็เลยบอกว่าจริงซิพี่ขอบคุณมากเรารู้สึกเหมือนเป็นคำชมที่ดีมากสำหรับนักแสดงที่เรารู้สึกว่าการแสดงของเรามันไปกระทบจิตใจเขาแล้วมันทำให้เขารู้สึกร่วมกับเราได้เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นสุดยอดคำชมของผกก.สำหรับนักแสดงเลยซึ่งสิ่งนี้มันสะท้อนให้เรารู้สึกได้เลยว่าผู้กำกับคนนี้อ่อนไหวแค่ไหนโรแมนติคขนาดไหน”
แต่แน่นอนว่าความงดงามของแง่มุมจี๊ดๆจากรายละเอียดเล็กๆที่ผู้กำกับตั้งใจนำเสนอและถ่ายทอดลงในภาพยนตร์จะไม่สัมฤทธิ์ผลเลยถ้าไม่ได้ผ่านการถ่ายทอดฝีไม้ลายมือทางด้านการแสดงจากเหล่านักแสดงขั้นเทพทั้ง4คนที่พูดได้ว่าเลือกมาเองกับมือของตัวผกก.ไม่ว่าจะเป็น ป๊อก ปิยธิดา วรมุสิก ,ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม2นักแสดงรุ่นใหญ่ และ2นักแสดงรุ่นใหม่มากฝีมืออย่าง เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข และเต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติที่ผกก.นนทรีย์ นิมิบุตรพูดได้แต่เพียงว่าสุดยอดและคงเสียใจไปทั้งชีวิตถ้า4ตัวละครสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง “TimeLineจดหมาย-ความทรงจำ” ไม่ได้โลดแล่นมีชีวิตโดยนักแสดงทั้ง4ที่ทุกคนล้วนต่างเตรียมตัวมาอย่างดีทำการบ้านมาอย่างหนักและพร้อมที่จะทำให้ผกก.ขนลุกและน้ำตาไหลตลอดเวลาไปพร้อมกับเสียง “คัท”ในแทบทุกวันของการถ่ายทำ
“จริงๆตัวละครทุกตัวเราตัดสินใจยากมากในเบื้องต้นว่ามันจะเหมาะสมกับใครแต่เรารู้อย่างหนึ่งว่านอกจากตัวบทตัวเรื่องแล้วตัวละครทุกตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนสำคัญแล้วก็ไม่ใช่แค่มาพูดไดอาล็อคแต่ต้องส่งผ่านความรู้สึกหลายๆความรู้สึกที่บางครั้งไม่มีคำพูดด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นแล้วทุกคนที่จะมาถ่ายทอดแต่ละตัวละครในภาพยนตร์จะต้องเป็นนักแสดงที่มีความสามารถมากๆคนหนึ่งเลยทีเดียว
โดยเฉพาะบทของมัทโดยป๊อกซึ่งมันยากมากคือจริงๆแล้วเหมือนกับเขาเล่นอยู่คนเดียว แล้วป๊อกเป็นคนที่ผมนึกถึง ความสามารถในการแสดงของเขาคงเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนอยู่แล้วไม่ต้องพูดอะไรมากผมรู้สึกว่าอยากได้เขามาถ่ายทอดเอาความรู้สึกทั้งหมดเหล่านี้ออกมาให้ละเอียดให้กลมกล่อมมากที่สุดโดยไม่ให้รู้สึกว่าเราไปบีบคั้นตัวละครตัวนี้มากเกินไปหรือไม่ทำให้ตัวละครตัวนี้ไปบีบคั้นคนดูมากเกินไปความรู้สึกในการแสดงที่มันมีความพอดีแบบนี้ป๊อกทำได้ดีมากและพอถึงวันนี้ผมก็กล้าพูดได้ว่าเราไม่ได้คัดเลือกนักแสดงตัวนี้ผิดเลยแม้แต่น้อยในทางตรงกันข้ามป๊อกปิยธิดาได้ให้สิ่งที่ผมเซอร์ไพรซ์เกินความคาดหวังที่ผมคิดเอาไว้เยอะ ผมทำงานกับป๊อกตลอดเวลาเราถ่ายหนังไปร้องไห้ไปคือมันเป็นความรู้สึกต่อเนื่องจากบทที่เราผลิตมันขึ้นมาเราสร้างมันขึ้นมาจนถึงเราได้คนมาถ่ายทอดความรู้สึกนี้ได้อย่างเต็มที่แล้วก็มากกว่าที่เราคิดเอาไว้มันเลยทำให้ระหว่างที่เราถ่ายทำที่เราดูซึ่งตัวผมแน่นอนครับเป็นคนที่จะต้องอินอยู่กับบทอินอยู่กับนักแสดงจะทำให้เรามีความรู้สึกได้ง่ายมากถ่ายๆอยู่ก็สะอึกสะอื้นอยู่ตลอดเวลาแล้วยิ่งไดอะล็อคที่เราเขียนทุกตัวไม่ว่าเราจะเอาออกไปหรือเอาเข้ามาใหม่จะปรับปรุงแก้ไขมันยังไงเรารู้สึกมันมีความจำเป็นกับตัวละครหรือมีความจำเป็นกับเรื่องทุกๆอันเลยแล้วก็หลายครั้งที่เราเป็นคนทำเองเราจะรู้ว่าประโยคนี้ถ้าเอาออกมาไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกไม่ได้ทำให้ตัวละครที่เข้าฉากกันอยู่รู้สึกขนาดนั้นไม่ได้นี้มันเป็นความผิดพลาดของเราเลยนะหน้าที่ของผมคือการที่เราจะควบคุมปริมาณของอารมณ์ในแต่ละฉากไม่ให้มันเท่ากันเกินไปไม่ให้มันมากไปหรือน้อยไปผมรู้สึกว่าผมควรจะกระซิกๆเบาๆน้ำตาคลออันนั้นคือใช่ในฉากนี้เหมือนกับเราให้เบอร์กับฉากนี้ไว้ว่าฉากนี้มันควรจะเบอร์5เบอร์6 ถ้าผมรู้สึกว่ามากกว่านั้นผมก็จะรู้เลยว่าน้ำตาหยดลงมานี้แสดงว่ามันเกินเลเวลที่เราต้องการละก็จะไปคุยกันว่าลดลงหน่อยนะแต่ว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่น้อยกว่าที่ตั้งไว้เลยครับทุกอย่างมีแต่จะมากกว่าคือการทำงานของป๊อก ปิยธิดาในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาได้ศึกษาบทมาอย่างดีมากครับแล้วก็การบ้านของเขานี้เต็มร้อยทุกฉากนะเพียงแต่ว่าผมเองต่างหากที่จะต้องบอกว่าผมจะเอาอย่างไรไม่เคยมาน้อยกว่าความต้องการเลยไม่เคยเลยครับ ไม่เคยมีวันไหนที่เราไม่ร้องไห้ร่วมกัน”
กลับกันเพราะนี่เป็นการทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรกกับซุเปอร์สตาร์หนุ่มสุดฮอตอย่างเจมส์จิรายุ ตั้งศรีสุขที่ถึงจะใหม่ถอดด้ามแต่ก็สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับผกก.อุ๋ยนนทรีย์ที่ตั้งใจเลือกมาโดยเฉพาะและก็ไม่ทำให้ผิดหวังแม้แต่น้อยในบทของ “แทน”
“สำหรับเจมส์แล้วผมรู้สึกว่าเวลาที่เขาไม่แสดงเขาทำให้ผมเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลาผมพยายามจะบอกน้องว่าอย่าแสดงนะคือโอเคคุณเป็นนักแสดงก็ตามแต่ว่าถ้าคุณเข้าใจมันเวลาเราทำเวิร์คช้อปเราจะบอกว่าถ้าคุณเข้าใจในตัวละคร เข้าใจในบทบาทเข้าใจในคาแร็กเตอร์ของตัวละครแล้วเมื่อไหร่ที่คุณไม่แสดงมันจะสุดยอดที่สุดมันจะเป็นตัวละครตัวนั้นมากที่สุดมันจะรู้สึกว่าคุณใช่ตัวละครตัวนั้นโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยไม่ต้องคิดว่าจะเอามือไปไว้ตรงไหนไม่ต้องคิดว่าจะเริ่มพูดยังไงหยุดยังไงเพราะฉะนั้นแล้วทุกครั้งที่เจมส์เขาได้เข้าฉากกับคุณป๊อกปิยะธิดาที่ต้องถ่ายทอดในความเป็นแม่ลูกกันแล้วยิ่งทุกครั้งที่เขาอยู่ต่างจังหวัดกับผมแล้วเขามีสมาธิมากๆที่เขาก็จะเริ่มไม่เล่นหนังละเขาจะเริ่มไม่แสดงหนังแต่เขาจะฟังแล้วก็กลมกลืนไปกับบทบาทการโต้ตอบต่างๆการเห็นแม่มีความทุกข์แล้วเขารู้สึกอะไร การที่เขารู้สึกไปกับตัวละครแต่ละตัวที่ส่งความรู้สึกมันเต็มที่ให้กับตัวเขาได้ไม่ว่าจะเป็นคุณเต้ยด้วยในฐานะที่เขาเป็นคู่ขวัญกันในหนังเรื่องนี้มันทำให้ทุกครั้งที่เจมส์มีสมาธิอย่างรุนแรงแล้วเขาไม่คิดว่าเขาจะต้องแสดงอะไรมันทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังดูหนังคนอื่นอยู่ที่มันเซอร์ไพร์ที่มันรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่การแสดงผมกำลังถ่ายคนในบ้านนี้อยู่จริงๆอันนั้นคือส่วนหนึ่งที่ผมรู้สึกว่านักแสดงที่เป็นนักแสดงหน้าใหม่อย่างเจมส์หลายครั้งก็สามารถที่จะถ่ายทอดความรู้สึกที่สมจริงสมจังเหล่านี้ออกมาได้อย่างเต็มที่เหมือนกันมันมีฉากอยู่ฉากหนึ่งซึ่งจริงๆมันมีอยู่หลายฉากที่มันสำคัญมากๆด้วยแล้วเราneedการถ่ายทอดความรู้สึกของเจมส์อย่างสูงมากๆคือในขณะที่
หนังกำลังถ่ายอยู่เจมส์เขาก็เล่นไปผมเกือบจะสั่งคัทเพราะนึกว่าเขาเป็นอะไรเกิดอะไรขึ้นกับเขานึกว่าเขาหลุดออกไปแต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่นั่นมันไม่ใช่การแสดงนั่นมันคือของจริงที่เขาพรั่งพรูมันออกมามันคือการเสียใจที่ผมรู้สึกได้ว่าเหมือนตัวเขาเองจริงๆเขารับรู้อะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนแล้วเขาเสียใจอย่างรุนแรงออกมาซึ่งผมนึกว่าเขาเป็นอะไรกับเรื่องอื่นหรือเปล่ากำลังจะสั่งคัทอยู่แล้วพอดูไปสักพักมัน
ไม่ใช่อ๋อนี่มันกำลังอยู่ในหนังของเรานะนี่คือสิ่งที่เขาพรั่งพรูมันออกมาให้เราได้เห็นว่าถ้าเขาเปิดใจเต็มที่กับอะไรบางอย่างเขาสามารถสร้างเซอร์ไพร์สร้างสิ่งที่เรานึกไม่ถึงออกมาได้อยู่ตลอดเวลา”
มาถึงเต้ย จรินทร์พร จุนเกียรตินักแสดงสาวขวัญใจวัยรุ่นที่พูดได้ว่าเก่ง สวยและมีความสามารถเกินตัวกับบทบาทที่สำคัญที่สุดผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับพระเอ กของเรื่องที่รับบทโดยเจมส์ จิรายุ
“ตัวละครจูนเป็นตัวละครที่หายากมากคือเราใช้เวลานานมากๆจริงๆแล้วก็ทั้งแทนทั้งจูนคือคนที่เราได้มาคือเจมส์กับเต้ยเขาจะต้องเป็นตัวแทนของคนรุ่นปัจจุบันนี้เพื่อถ่ายทอดเอาความรู้สึกเอาสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรานี่แหละกับคนรุ่นนี้ออกมาให้ได้เต็มที่ที่สุดสิ่งที่ผมรู้สึกได้อย่างหนึ่งคือผมจะmiss cast(พลาดไม่ได้เลยสำหรับการคัดเลือก)2ตัวนี้ไม่ได้เลยคือเราไม่สามารถซึ่งจริงๆแล้วก็ทุกตัวละครที่อยู่ในหนังเรื่องนี้เพียงแต่ว่า2ตัวนี้มันจะต้องชัดเจนที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งจูนจะต้องสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของคนรุ่นนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่ที่สุดเพราะว่าเขาเป็นคนที่ชัดเจนมีความชัดเจนในชีวิตมากมากจนขนาดที่ว่าเขาเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาแล้ววันนี้เขาจะไปไหน แล้วเขาจะต้องไปทำอะไรบ้างแต่งตัวอะไรคือทุกอย่างมันถูกวางแผนในตัวเขาหมดเลยเพราะฉะนั้นเขาจะเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงมากอยากทำอะไรก็ทำแล้วก็มีความเป็นตัวของตัวเองสูงโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องแคร์ว่าใครจะคิดอะไรเขาอยากจะทำอะไรเขาก็ทำมันก็เลยเป็นคาแร็กเตอร์ที่หายากสำหรับคนในปัจจุบันนี้นะเพราะว่าเราจะหาใครสักคนหนึ่งที่ชอบออกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวได้ชอบไปไหนมาไหนอยากทำอะไรก็ทำว่าฉันอยากจะไปดูหนังคนเดียวฉันก็ไปฉันอยากจะไปเที่ยวคอนเสิร์ตแจ๊สที่หัวหินมันน่าดูมากชวนใครก็ไม่ไปฉันก็ไปคนเดียวได้เขาเป็นตัวละครที่ต้องมีความมั่นใจแล้วก็เข้าใจในชีวิตเยอะมากก็แคสท์อยู่นานมากหลายๆคนมีคาแร็กเตอร์ตรงแต่ประสบการณ์ในการเดินทางไม่มีคือเรื่องราวเหล่านี้มันไม่ใช่มาเสแสร้งให้คนดูทำว่าเราเคยเดินทางนะมันต้องเคยเดินทางจริงๆประกายดวงตาที่จะบอกเราได้ว่าถ้าเดินทางออกไปในโลกกว้างเดินทางออกไปในกลางทะเลแล้วจะรู้สึกอะไรมันต้องเป็นคนที่เคยไปมาแล้วจริงๆแล้วก็ต้องสัมผัสกับมันจะไม่ใช่แค่เคยไปมันก็ต้องมีความรู้สึกมี’
ความทรงจำที่ได้สัมผัสกับความงามเหล่านั้นออกมาได้จริงๆหรือความตื่นเต้นต่างๆถ้าเขาไม่เคยสัมผัสเขาจะถ่ายทอดมันออกมาไม่ได้อย่างเต็มที่ซึ่งถ้าสังเกตุในดวงตามันจะบอกเราได้ว่าเมื่อเรานึกถึงเรื่องๆหนึ่งแล้วเราเคยไปเที่ยวที่หนึ่งเราเคยเห็นคนสักคนหนึ่งแล้วเรารู้สึกประทับใจรู้สึกชอบใจในตาเรามันจะมีประกายที่มันบอกเราได้ว่าเฮ้ยภาพนั้นมันงามขนาดนั้นคนนี้มันหล่อขนาดนั้นเรื่องนี้มันดีขนาดนั้นมันจะต้องมีประสบการณ์ค่อนข้างตรงมันจะบอกเราได้แล้วสำคัญที่สุดคือผมรู้สึกว่าผมไม่อยากให้ตัวละครแทนกับจูนมันแม็ทซ์กันมากเกินไปมันเข้ากันมากเกินไปในทุกๆด้านทั้งในด้านของความสูงขนาดของตัววิธีคิดคาแร็กเตอร์มันก็ไม่ควรจะเหมือนกันคือผมรู้สึกว่าตัวละคร2ตัวนี้มันควรจะเป็นตัวละครที่มันเติมเติมใส่กันและกันเติมใจแล้วก็สามารถที่จะเปิดใจเข้าหากันและกันได้อีกด้วยในที่สุด ต้องสารภาพว่าจริงๆแล้วตัวเต้ยเป็นน้องที่ผมต้องยอมรับว่าไม่ค่อยกล้าเรียกเขาในครั้งแรกนะคือไม่แน่ใจว่าน้องจะอยากเล่นหรือเปล่าหรือว่าติดอะไรหรือเปล่าแต่วันหนึ่งก็ตัดสินใจได้ฉับพลันว่าเอาน่าลองดูไม่ลองก็ไม่รู้ก็ลองติดต่อน้องเขาไปดูปรากฏว่าน้องเขาได้อ่านบทก็ส่งบทไปให้อ่านเขาก็เซย์เยสมาบอกว่าเขาอยากเล่นบทนี้เขาอยากเล่นและเขารู้สึกว่ามันท้าทายที่จะทำให้ตัวละครตัวนี้มันมีสีสันนอกจากสีสันแล้วมันยังมีคว ามสดใสแล้วมันต้องเป็นตัวละครที่ชวนให้ติดตามไปตลอดทั้งเรื่องแล้วตัวละครตัวนี้มันเป็นตัวละครที่มีเมโลดี้คือมันมีความหลากหลายอยู่ในตัวละครตัวเดียวนี้เยอะมากแล้วก็มีเสน่ห์อีกด้วยในการที่จะทำให้หนังเรื่องนี้มันน่าจับใจนอกจากนั้น
สำหรับตัวน้องเต้ยนี่เป็นคนที่เซนซิทีฟมากผมรู้สึกได้ตั้งแต่ได้คุยกับน้องตั้งแต่แรกๆจนกระทั่งเราทำงานด้วยกันมาสักพักเราก็รู้สึกได้เลยถึงความเซนซิทีฟของเต้ยไม่ว่าผมจะนั่งเล่าเรื่องอะไรให้เขาฟังเล็กๆน้อยๆเป็นเรื่องในอดีตเป็นเหมือนกับประสบการณ์มันเหมือนกับตัวละครตัวนี้มันมีประสบการณ์แบบนี้เลยแค่ผมเล่าไปสักพักพอจบเรื่องเท่านั้นเองน้ำตาเต้ยก็ร่วงลงมาทันทีแล้วก็ไม่ใช่เป็นการร้องไห้แบบบังคับตัวเองให้ร้องไห้นะหมายถึงว่าเต้ยเป็นคนที่สัมผัสกับเรื่องแบบนี้ง่ายทัชชิ่งกับอะไรที่มันกินใจที่มันโดนใจนี่เขาจะทัชชิ่งได้ง่ายมากเพราะฉะนั้นก่อนที่เขาจะเข้าฉากที่จะต้องแสดงอารมณ์ในแบบนี้น้องก็จะขอสมาธิแป๊บเดียวแล้วผมก็จะมีหน้าที่เข้าไปทบทวนให้ฟังว่าฉากนี้มันต่อเนื่องมาจากอันนี้นะอารมณ์มันจากนี้
ต่อมาอย่างนี้นะเมื่อเขาบอกว่าค่ะเมื่อไหร่ละก็ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามนั้นครับเพียงแต่ว่าที่เหลือผมก็จะบอกว่าเบอร์นี้เยอะไปนิดหนึ่งขอน้อยกว่านี้นิดหนึ่งเท่านั้นเอง”
มาจนถึงอีกหนึ่งนักแสดงหลัก ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม กับบทชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของมัท “ตอนทำบทก็รู้สึกว่าเอ๊ะคนที่ยังมีความสวยงามอยู่อย่างมัทแล้วยังไม่ได้มีอายุมากมายอะไรขนาดนั้นจะไม่มีใครมาชอบเขาเลยเหรอ ชีวิตนี้เขาจะต้องดำเนินไปคนเดียวจริงๆเหรอแล้วคนเดียวขนาดนี้มันสามารถจะเลี้ยงดูชีวิตแล้วก็อยู่บนโลกใบนี้ได้จริงหรือเปล่า เราก็พยายามที่จะออกรีเสิร์ชในเรื่องราวเหล่านี้ก็ปรากฎว่าไม่น่าจะรอดน่าจะมีคนเข้ามาบ้าง คือสามีเขาเสียไปตอนที่เขาอายุไม่เท่าไหร่เองมันก็น่าจะมีคนเข้ามาอยากจะเข้ามาดูแลอยากจะเข้ามาช่วยเหลือ สำหรับอาวัฒน์ตัวละครของปีเตอร์เป็นความแตกต่างเขามีความเห็นอกเห็นใจมากกว่าที่จะมามองในเรื่องชู้สาวอยากจะเข้ามาเป็นคนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือในทุกๆด้านผมก็อธิบายตัวละครตัวนี้ให้กับปีเตอร์ให้ได้เข้าใจผมอธิบายประมาณนาทีเดียวเองแล้วปีเตอร์ก็สามารถที่จะเข้าใจตัวละครตัวนี้ได้ทั้งหมดเลยมันเป็นความรักที่มันไม่คาดหวังเป็นความรักที่ไม่ต้องการอะไรต้องการแค่ว่ามันเป็นเหมือนความรักที่มากกว่าความรักที่ต้องการแลกอะไรมาเป็นความปรารถนาดีเป็นความรักที่คลี่คลายอยากเอาใจใส่อยากดูแลเท่านั้นเองปีเตอร์จริงๆแล้วเขามีความเหมาะสมเวลาที่เขาไม่ได้อยู่ในหนังเวลาที่เขาอยู่ทั่วๆไปเขาจะเป็นคนเซอร์ๆเหมือนดูโทรมๆผมยาวๆแต่งตัวธรรมดาคนก็จะรู้สึกว่าใช่เหรออาวัฒน์มันน่าจะเป็นคนเท่ๆน่าจะเป็นฮีโร่เข้ามาช่วยเหลือครอบครัวนี้ทุกคนก็จะนึกถึงตัวละครตัวนั้นตัวนั้นตัวนี้ ต้องมีความอบอุ่น ต้องมีอย่างน้อยทำให้สามารถเข้ามาอยู่ใกล้มัทได้มากที่สุด ผมรู้สึกว่าปีเตอร์เป็นอาวัฒน์ที่มีความเท่ห์ในอีกจุดหนึ่งซึ่งเมื่อนำจับเขามาแต่งผมเล็มหนวดแต่งตัวซะใหม่ทุกอย่างทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโอ้โหเท่ห์มากอาวัฒน์คนนี้เท่ห์มากจริงๆ ดูเก๋ ดูแปลกออกไปจากอาวัฒน์ที่ทุกคนนึกในจินตนาการเพราะฉะนั้นบางครั้งบางทีผมมีความรู้สึกว่าตัวละครบางตัวผมอยากให้เขามีเสน่ห์ เขาเป็นสีสันของเรื่องในแบบที่คนนึกไม่ถึงแบบที่คนเซอร์ไพรส์ว่าเฮ้ยจริงเหรอถ้าคุณนึกภาพเขาก่อนคุณอาจจะนึกว่าเฮ้ยจริงหรอปีเตอร์เป็นอาวัฒน์ที่อบอุ่นได้จริงเหรอแต่พอคุณเห็นเขาในหนังแล้ว เขาเข้าใจในบทบาทที่เขาจะต้องรับผิดชอบจะต้องเล่นแล้วคุณจะเห็นและสัมผัสได้เลยครับว่าผู้ชายคนนี้เซอร์แต่อบอุ่นมาก