การรวมตัวต่อสู้กับสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของเหล่าเอ็กซ์-เม็น เพื่อหาทางเอาตัวรอดจากสายพันธุ์ที่มีอายุข้ามสองยุคสมัยในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST เหล่าตัวละครโปรดจากภาพยนตร์ไตรภาค “X-Men” ต้นฉบับกลับมาผนึกกำลังร่วมกับตัวเองในอดีตจาก “X-Men: First Class” ในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงอดีตเพื่อรักษาอนาคตของเราไว้
ผู้กำกับฯ ไบรอัน ซิงเกอร์ ได้นำเสนอหนังสือการ์ตูนในรูปแบบใหม่ให้พวกเราได้รู้จัก เริ่มจากภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากช่วงซัมเมอร์ปี 2000 เรื่อง “X-Men” ซิงเกอร์เป็นที่ยอมรับด้านการสร้างสรรค์ความงดงามในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากเนื้อเรื่องและตัวละครโปรดจากการ์ตูน ต่อจากภาพยนตร์เรื่องนั้นคือภาพยนตร์ของซิงเกอร์ที่ประสบความสำเร็จมากกว่าคือ “X2” เมื่อปี 2003
ในภาพยนตร์เรื่อง “X-Men: Days of Future Past” ซิงเกอร์กลับมารับหน้าที่ผู้กำกับฯ ที่จะถ่ายทอดจินตนาการแห่งโลกเอ็กซ์-เม็น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีความอลังการและตื่นเต้นเร้าใจจากตัวละครที่อัดแน่น ผู้อำนวยการสร้างฯ ฮัตช์ พาร์คเกอร์ เชื่อว่านี่เป็น “การผสมผสานกันระหว่างความรัก ความตั้งใจ และความเคารพของซิงเกอร์ที่มีต่อตัวละครเหล่านี้” ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องเอ็กซ์-เม็นของผู้กำกับฯ เรียกความสนใจได้มาก
ซิงเกอร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับแฟรนไชส์ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม และสร้างความใกล้ชิดระหว่างทีมโพรดักชั่นและนักแสดงที่กลับมาร่วมงานกัน ภาพยนตร์ภาคใหม่เป็นการกลับมาร่วมงานกับลอว์เร็น ชูเลอร์ ดอนเนอร์ ที่มีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องเอ็กซ์-เม็นทุกภาค; ผู้เขียนฯ/ผู้อำนวยการสร้างฯ ไซมอน คินเบิร์ก ที่เคยอำนวยการสร้างฯ เรื่อง “X-Men: First Class”; ผู้กำกับภาพฯ เจ้าของรางวัล นิวตัน โธมัส ซีเกล, ASC ที่เคยร่วมงานกับซิงเกอร์มาแล้ว 7 เรื่อง; ผู้ออกแบบฉากฯ เจ้าของรางวัล Oscar® จอห์น ไมร์ ผู้สร้างต้นแบบของโลกเอ็กซ์-เม็นขึ้นมา และผู้ประพันธ์ดนตรีฯ/ผู้เรียบเรียง จอห์น ออตแมน
ซิงเกอร์กลับมาร่วมงานกับนักแสดงจากภาพยนตร์เอ็กซ์-เม็นภาคต้นฉบับ รวมถึงนักแสดงวัยรุ่นจากเรื่อง “First Class” ที่เขาเขียนเรื่องและทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างฯ นักแสดงแถวหน้าจากภาพยนตร์ต้นฉบับไตรภาค “X-Men: Days of Future Past” ฮิวจ์ แจ็คแมน, แพทริค สจ๊วต, เอียน แม็คเคลเลน และ ฮาลลี เบอร์รี่ และนักแสดงจากเรื่อง “First Class” เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, เจมส์แม็คอะวอย, ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ และ นิโคลาส ฮอลท์ “รู้สึกตื่นเต้นที่ได้คัดเลือกตัวนักแสดงเหล่านี้ ทั้งจากภาพยนตร์ต้นฉบับเอ็กซ์-เม็นและ ‘First Class’” ซิงเกอร์กล่าว“ และในช่วงนั้นมีนักแสดงหลายคนไม่ได้สัมผัสประสบการณ์ภาพยนตร์ระดับนี้ ฮิวจ์มีพื้นฐานมาจากละครเพลง เจนนิเฟอร์แสดงภาพยนตร์อินดี้เรื่องเล็กๆ อย่าง ‘Winter’s Bone’ ช่วงเวลาหลายปีที่เส้นทางอาชีพของพวกเขามีพัฒนาการเกิดขึ้น ได้รับแรงผลักดันและได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม การรวมตัวกันของครอบครัวนักแสดงจากภาคเดิมและนักแสดงหน้าใหม่ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรา”
ชูเลอร์ ดอนเนอร์รู้สึกว่าความเข้มข้นและความเร้าใจของเรื่องเอ็กซ์-เม็นเป็นตัวดึงดูดซิงเกอร์สู่โลกนั้นได้ “ไบรอันเป็นคนจริงจังมากเวลาที่พูดถึงเรื่องเอ็กซ์-เม็น เขาเข้าใจดีว่าเรื่องราวเน้นย้ำไปที่เนื้อหาที่สมจริง ตัวละครต่างๆ ล้วนมีข้อบกพร่องในแบบที่ผู้ชมนึกภาพได้ เช่น มิสทีกอยากได้ความภาคภูมิใจในสิ่งที่เธอเป็น บีสต์ต้องคอยเตือนตัวเองเรื่องความสามารถพิเศษและต้องคอยซ่อนเร้นเอาไว้ หากตัวละครต่างๆ อยู่บนพื้นฐานของความสมจริง เราก็จะเชื่อว่าพวกเขาบินได้ สมานแผลลได้ หรือมีพลังวิเศษต่างๆ ในภาพยนตร์มีองค์ประกอบอื่นๆ อาทิเช่น ฉากต่อสู้ มุกตลก วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ แต่นำความขัดแย้งและการดิ้นรนต่อสู้ของมนุษย์ผสมเข้าไปในเรื่อง ไบรอันพบความลึกซึ้งและความหมายในการ์ตูนพวกนี้เจอ เพราะเขาจะหยิบบางสิ่งจากตัวเองออกมาเพื่อค้นหาทิศทางตัวละคร และพื้นฐานของโลกที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่”
“เหตุผลสำคัญสุดที่ผมอยากกลับมาหาเอ็กซ์-เม็น” ซิงเกอร์ยืนยันว่า “ไม่ใช่แค่ทีมนักแสดงจำนวนมากและเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่อลังการ แต่ยังรวมถึงความประทับใจในอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เคยสัมผัสในภาพยนตร์เรื่องเอ็กซ์-เม็นมาก่อนจนถึงจุดนี้ เช่น การเดินทางข้ามเวลาที่มีในหนังสือการ์ตูนมานานหลายปี ผมคิดว่าหนังแต่ละเรื่องต้องมีความแปลกใหม่บ้าง และผมการันตีได้เลยว่ามีความแปลกใหม่หลายอย่างอยู่ในเรื่อง ‘Days of Future Past’”
จากบทภาพยนตร์สู่จอยักษ์
ในช่วงที่สร้างภาพยนตร์ปี 2011 เรื่อง “X-Men: First Class” ไซมอน คินเบิร์กได้เริ่มร่างเรื่องของเอ็กซ์-เม็นภาคต่อไปร่วมกับผู้สร้างภาพยนตร์แมทธิว วอห์นขึ้นมา พวกเขาเน้นไปที่เรื่องราวที่นำเอ็กซ์-เม็น 2 ยุคมาเปรียบเทียบกัน
พวกเขาได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือการ์ตูน “Days of Future Past” ภาคต้นฉบับที่เขียนขึ้นโดยคริส แคลร์มอนต์ ที่มารับบทบาทสำคัญในภาพยนตร์ “ผมคิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่ลงตัวมากเมื่อมีเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นช่วงต้นยุค 70 ตอนที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและความวุ่นวายอย่างยิ่งใหญ่” บุคคลแห่งตำนานหนังสือการ์ตูนกล่าว “แน่นอนว่ามันต้องเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเรื่อง ‘First Class’ ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1960”
สำหรับแคลร์มอนต์ องค์ประกอบสำคัญสุดของการถ่ายทอดเรื่องราวคือการสร้างความประหลาดใจให้ผู้อ่าน เขารู้สึกว่าเรื่อง “Days of Future Past” เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ได้ถ่ายทอดสู่จอยักษ์ “โดยภาพรวมแล้วนี่เป็นเรื่องราวที่มีเอกลักษณ์มาก” แคลร์มอนต์กล่าว “มันเป็นการผสมผสานระหว่างจินตนาการของไบรอัน ซิงเกอร์กับนักแสดงที่มีความหลากหลายจนน่าทึ่ง และมีความลึกซึ้งมาก”
การเดินทางข้ามเวลาเป็นส่วนประกอบสำคัญทั้งในหนังสือการ์ตูนและภาพยนตร์เรื่องใหม่ ซิงเกอร์เล่าว่า ภาพยนตร์เรื่อง “X-Men: Days of Future Past” ได้ฉีกกฏของเรื่องนั้น “ความแตกต่างอยู่ที่เราไม่ได้ส่งใครย้อนเวลากลับไป” เขาอธิบาย “แต่ในทางกลับกันเราส่งกระแสจิตของตัวละครกลับไปหาตัวเองตอนที่ยังอายุน้อยอยู่ โลแกนที่อยู่ในอดีตก็ยังเชื่อมโยงกันได้ทั้งอดีตและอนาคต ฉะนั้นผมจะได้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นควบคู่กันไปทั้งสองช่วงเวลา
“ในเรื่องมีทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ที่อธิบายถึงปรากฏการณ์นั้น” เขาเล่าต่อยว่า “มันเรียกว่า ‘การวางทับซ้อน’ ที่อธิบายว่าหากเราไม่ยอมให้เหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เหตุการณ์นั้นก็จะไม่เกิดขึ้นจริง เมื่อผู้สังเกตการณ์ในเรื่องของเราคือ วูล์ฟเวอรีน ได้ย้อนกลับไปหาอดีต ซึ่งหมายความว่าทุกสิ่งในอดีตที่เขาเปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลถึงอนาคต”
ในระหว่างที่ซิงเกอร์ศึกษาตรรกะและกฏฟิสิกส์ของการเดินทางข้ามเวลา คินเบิร์กก็กำลังศึกษางานเขียนเรื่องการเดินทางข้ามเวลาและภาพยนตร์ต่างๆ ในช่วงที่เขียนบทภาพยนตร์ “ความแปลกของเรื่อง ‘Days of Future Past’ อยู่ที่การสลับสับเปลี่ยนและการส่งผลถึงกันระหว่างอดีตกับอนาคต” คินเบิร์กเห็นด้วย “ความท้าทายอย่างหนึ่งของโปรเจ็กต์ไม่ใช่แค่การรักษาความสมเหตุสมผลเอาไว้ แต่เป็นการรักษาความต่อเนื่องของอารมณ์ ความแนบเนียนระหว่างตัวละครตอนอายุน้อยกับอายุมากที่สร้างข้อกำหนดใหม่ขึ้นมา และรักษาอารมณ์แห่งความสมเหตุสมผล ซึ่งไม่ใช่แค่เหตุผลในเชิงรูปธรรม แต่สิ่งที่ท้าทายคือเรื่องฟิสิกส์และจิตวิทยาแห่งการเดินทางข้ามเวลา”
คินเบิร์กคว้าโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับซิงเกอร์ในภาพยนตร์ที่มีนักแสดงจากผลงานต้นฉบับไตรภาคและทีมงานจากเรื่อง “X-Men: First Class” คินเบิร์กเล่าว่า “ภาพยนตร์เหล่านี้เป็นเรื่องราวของคนนอก และ surrogate family เวลาที่ครอบครัวเราเองไม่ยอมรับเรา และทั้งหมดสะท้อนกลับไปที่ไบรอัน” คินเบิร์กกล่าว
คินเบิร์กเล่าว่าหนึ่งในความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของซิงเกอร์จากภาพยนตร์เรื่อง “X-Men” ภาคแรกคือนักแสดงที่สร้างความตื่นเต้นได้มาก “ไบรอันไม่ได้จ้างแค่นักแสดงรับจ้าง แต่ยังได้ทีมนักแสดงที่มีพลังอย่างน่าทึ่งซึ่งเคยมีพื้นฐานด้านการแสดงละคร รวมถึงเอียน แม็คเคลเลน, แพทริค สจ๊วต และ ฮิวจ์ แจ็คแมน เช่นเดียวกับนักแสดงรุ่นต่อไป เช่น เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, เจมส์ แม็คอะวอย, ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ และ นิโคลาส ฮอลท์ “ผมไม่แน่ใจว่าเคยมีการรวมตัวทีมนักแสดงที่น่าประทับใจ มีประสบการณ์ และได้รับรางวัลต่างๆ ไว้ในเรื่องเดียวหรือเปล่า”
ดิ เอ็กซ์-เม็น: อดีตและอนาคต
ฮิวจ์ แจ็คแมนเป็นตัวโยงระหว่างวันเวลาในอนาคตและอดีต แจ็คแมนรับบทตัวละครวูล์ฟเวอรีนมาแล้วถึง 7 ครั้งในช่วงเวลากว่า 14 ปีที่เขาต้องแสดงบทบาทที่ “น่าเหลือเชื่อและมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก” เป็นตัวละครที่สะดุดตาในเส้นทางอาชีพของเขา แต่ไม่ได้จำกัดขอบเขตการเป็นนักแสดง แจ็คแมนรู้จักวูล์ฟเวอรีนดีกว่าใคร และเขาอธิบายถึงการกลับมาของโลแกนในโลกเอ็กซ์-เม็นว่าเป็นเหมือน “การกำเนิดใหม่”
“ในช่วงแรกโลแกนมองว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทีมเอ็กซ์-เม็น” แจ็คแมนเล่าต่อว่า “เขามาในสภาพที่มีความโกรธเป็นอาวุธสำคัญ ตอนนี้เขาต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างสงบ เขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เพียงคนเดียวที่มีความสามารถด้านการสมานแผลให้ตัวเองได้ โลแกนอาสาออกตัวย้อนเวลากลับไป เพื่อหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์กลายพันธุ์ที่เอ็กซ์-เม็นแห่งอนาคตต้องเผชิญ”
ความสามารถพิเศษของวูล์ฟเวอรีนทำให้เขาเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวของเอ็กซ์-เม็นที่สามารถเดินทางไปได้ ซิงเกอร์อธิบายว่า “การย้อนเวลากลับไปนานๆ แบบนั้นอาจเปลี่ยนความคิดของใครก็ได้ มีเพียงคนเดียวที่สามารถเกิดใหม่เอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ได้คือวูล์ฟเวอรีน ตั้งแต่ที่เขาไม่มีวันแก่จิตของวูล์ฟเวอรีนได้ย้อนเวลากลับไปหาตัวเองในช่วงวัยหนุ่ม ฮิวจ์ต้องจินตนาการตัววละครทั้งสอง นั่นจึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญของผมและฮิวจ์”
ในอดีตของพวกเขา ชาร์ลส ซาเวียร์ ได้พยายามปลูกฝังแนวทางแห่งเอ็กซ์-เม็นขึ้นมาในตัวโลแกน และพยายามควบคุมเขาและสงบความโกรธของเขาให้ได้ ในภาพยนตร์เรื่อง “Days of Future Past” แม้ว่าตัวละครต่างๆ จะพลิกบทบาท แต่ตอนนี้โลแกนคือคนเดียวที่พยายามโน้มน้าวชาร์ลสตอนหนุ่มให้มีศรัทธา
“นี่เป็นบทที่มีความน่าสนใจของระหว่างทั้งสอง” ซิงเกอร์กล่าว “ในภาพยนตร์เรื่อง ‘X-Men’ ภาคแรก ซาเวียร์ช่วยโลแกนหาจุดยืนในโลกของเหล่าเอ็กซ์-เม็น ในภาพยนตร์เรื่อง ‘Days of Future Past’ วูล์ฟเวอรีนต้องย้อนเวลากลับไปและช่วยซาเวียร์ประคองชีวิตของเขาให้กลับมา พร้อมทั้งไปปกป้องอนาคต”
นี่น่าจะเป็นภารกิจที่ยากลำบากสุดสำหรับวูล์ฟเวอรีน เหมือนที่เขาพูดในหนังว่า_ “เรื่องความอดทนไม่ใช่งานถนัดของผม”
แจ็คแมนรู้สึกดีใจที่ได้กลับมาร่วมงานด้วย แม้วฝ่าเขาจะเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง “The Wolverine” ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาเดินทางไปที่มอนทรีออลเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “X-Men: Days of Future Past” นั่นหมายความว่าแทนที่จะต้องฟิตหุ่นให้ดูดี เขาแค่รักษาหุ่นให้เหมือนเดิมก็พอ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับเขาเลย เพราะโปรแกรมการออกกำลังกายของเขาคือต้องออกกำลังกายทุกชเ 45-90 นาทีก่อนจะถูกเรียกตัวให้ไปทำผมและแต่งหน้า เขามีการคุมอาหารที่เข้มงวดมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อไก่ย่างกับผักนึ่ง เขาต้องกินทุก 2 ชั่วโมง ต้องกินระหว่างเข้าฉากหรือช่วงฝึกซ้อม ก่อนที่จะถ่ายทำฉากพิเศษเขาต้องขเต้อง “pump up” เป็นเวลา 15 นาทีและปิดท้ายด้วยการออกกำลังกายในโรงยิมอีก 45 นาที
แจ็คแมนรู้สึกขอบคุณในโอกาสที่ได้กลับมาร่วมงานกับเบอร์รี่ แม็คเคลเลน และสจ๊วตที่เขายังเป็นเพื่อนกันอยู่ตั้งแต่ได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง X-Men ภาคแรก รวมถึงการร่วมงานกับซิงเกอร์ที่แจ็คแมนยกความดีให้เขาด้านการสร้างความโดดเด่นให้ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด การได้ร่วมงานกับนักแสดงวัยรุ่นก็เป็นเรื่องที่ดี เหตุการณ์สำคัญเรื่องหนึ่งคือแจ็คแมนกำลังเดินอยู่ในฉาก Blue Hallway กับนิโคลาส ฮอลท์ที่เล่าให้ฟังว่า “ผมจำได้ว่าได้ดู ‘X-Men’ ตอนอายุ 8 ขวบ” นั่นเป็นช่วงเวลาที่แจ็คแมนสัมผัสได้ว่าโลกของ X-Men มีความโด่งดังขนาดไหน
ผู้ร่วมประสบการณ์ในภาพยนตร์แฟรนไชส์มาอย่างยาวนานอีกคนหนึ่งคือ เอียน แม็คเคลเลน ที่เริ่มสานสัมพันธ์กับซิงเกอร์จากภาพยนตร์เรื่อง “Apt Pupil” ที่ซิงเกอร์อำนวยการสร้างฯ และกำกับฯ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาได้ร่วมงานกันแม็คเคลเลนรู้สึกประหลาดใจในความกระตือรือร้นของซิงเกอร์ที่มีต่อโปรเจ็กต์ของเขา และความทุ่มเทของเขาที่มีต่อผู้ชม แม็คเคลเลนเองก็ได้รับความนับถืจากผู้ชมเป็นอย่างมากเช่นกัน เขาเป็นนักแสดงที่ได้รับการฝึกฝนด้านละครเวที เขาดึงพลังและความตื่นเต้นจากตรงนั้นมาสู่การแสดงของเขา
นักแสดงมองตัวละครแม็กนีโต้ของเขาเป็นคนที่มีคุณธรรมและมีอดีตอันเลวร้าย ซึ่งความเลวร้ายได้ทำให้เขาพบกับพลังวิเศษที่สามารถดูดและควบคุมแม่เหล็กได้ ในสายตาของแม็คเคลเลนมองว่าแม็กนีโต้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังมากที่สุด อย่างน้อยคือในสิ่งที่เขาสามารถจับต้องได้ โศกนาฏกรรมและความโกรธแค้นของเขาทำให้เขาต้องแกตัวออกจากสังคม แต่ในเรื่อง “Days of Future Past” เขาได้ร่วมมือกับศัตรูเพื่อความอยู่รอดของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ แม็คเคลเลนพูดถึงตัวละครของเขาว่าต้องขอบคุณสำหรับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ดูเหมือน “คนที่มีความจริงจัง” อย่างไม่ต้องมีข้อสงสัย
แพทริค สจ๊วต มารับบทชาร์ลส ซาเวียร์/โปรเฟสเซอร์ เอ็กซ์มาวนานกว่า 14 ปี เขาไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิดที่ตัวละครของเขาได้กลับมาในเรื่อง “Days of Future Past” ความสำเร็จของภาพยนตร์แฟรนไชส์ได้สร้างความประทับใจ และทำให้สจ๊วตมองเห็นช่องทางว่าเรื่องราวจะเป็นไปในทิศทางใดต่อไป นอกจากนั้น “ยังทำให้เจมส์ แม็คอะวอยต้องใช้เวลา 1-2 ปีกว่าที่จะดูเหมือนผมจริงๆ” เขากล่าวติดตลก
สจ๊วตรู้สึกดีใจที่ได้กลับมาร่วมงานกับซิงเกอร์อีกครั้ง เพราะจินตนาการของเขาช่วยกำหนดเป้าหมายและความสำเร็จของภาพยนตร์ การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่สจ๊วตเห็นได้ในช่วงเวลาหลายปีคือการสร้างโปรเจ็กต์ระดับนี้ขึ้นมาเขาไม่เคยแสดงภาพยนตร์ 3 มิติมาก่อนและไม่เคเห็นภาพแอนิเมชั่นจำลองการแสดงล่วงหน้าของฉากเขามาก่อน การทำงานมีความซับซ้อนมากขึ้นแต่ก็มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเช่นกัน ทุกอย่างสร้างความตื่นเต้นให้สจ๊วตได้มากพอๆ กับการบินด้วยเอ็กซ์-เจ็ท ยิ่งไปกว่านั้นคือครั้งนี้ซาเวียร์ได้นั่งวีลแชร์ที่ “บินได้จริง!” เขาเล่าด้วยความแปลกใจ
นักแสดงชาวสก็อต เจมส์ แม็คอะวอย กลับมารับบทเดิมของเขาในบทชาร์ลสตอนหนุ่มที่มีอดีตอันสิ้นหวัง เขาต้องเสียกำลังใจและอ่อนแอมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ชูเลอร์ ดอนเนอร์อธิบายให้ฟังว่า “ในภาพยนตร์เรื่อง ‘Days of Future Past’ และสร้างวิวัฒนาการของเขาขึ้นมา” สำหรับแม็คอะวอยแล้ว ตัวละครนี้มี “ความเห็นใจขี้สงสารมาก เขาเข้าใจคนอื่น เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด ช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นไปได้ ทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น”
แต่ในครั้งนี้ชีวิตของชาร์ลสถูกเลือกให้มาถึงทางตัน เขาถูกทำร้ายจิตใจจากการสูญเสีย ราเว่น (มิสทีก) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน และต้องถูกทำร้ายร่างกายอย่างแสนสาหัสทำให้เขาต้องอยู่บนวีลแชร์ แม็คอะวอยเล่าว่าชาร์ลสในเวอร์ชั่นนี้ต่างจากลักษณะตัวละครอื่นในอดีต “เจมส์แสดงบทนี้ด้วยความตั้งใจมากและแสดงออกมาจากความรู้สึกของมนุษย์ที่ต่อต่อต้านมนุษย์ที่มีพลังวิเศษ” คินเบิร์กกล่าว “แต่ชาร์ลสตอนหนุ่มคือมนุษย์ธรรมดา ความวุ่นวายที่เขาต้องพบในหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เข้าใจได้”
ฉากหนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจให้แม็คอะวอยมากที่สุดเป็นฉากที่ต้องแสดงกับตัวละครของเขาเองตอนที่อายุมากขึ้นแล้วรับบทแสดงโดยแพทริค สจ๊วต ซึ่งเป็นวันแรกที่แม็คอะวอยเข้าฉากแต่เป็นวันสุดท้าของสจ๊วต นักแสดงวัยรุ่นรู้สึกเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย “ฉากนั้นเป็นการแสดงช่วงสำคัญของชาร์ลสในวัยหนุ่ม” เขากล่าว “แต่การแสดงคู่กับคนที่แสดงตัวละครนี้มาเป็นเวลา 14 ปีแล้วทำให้ผมอึดอัดนิดหน่อย” ทั้งสองนักแสดงต่างไม่เคยพบกันมาก่อนและแทบจะไม่มีเวลาฝึกซ้อมร่วมกัน แม็คอะวอยแนะนำว่าทั้งคู่ควรแสดงฉากนั้นอย่างใกล้ชิด ซึ่งสจ๊วตก็เห็นด้วยว่าการใกล้ชิดกับอีกฝ่ายจะช่วยสร้างความสนิทขึ้นมาได้
“เจมส์เพิ่งมาถึงและเข้าฉากแสดง” ซิงเกอร์เล่าถึงตอนนั้น “การได้เห็นทั้งสองนักแสดงที่มีฝีมืออันน่าทึ่งจากสองยุคแสดงเข้ากันได้เป็นอย่างดี กลายเป็นช่วงเวลาที่ยากจะลืมสำหรับทุกคน”
ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์กลับมารับบทเดิมของเขา เอริค เลห์นเชอร์/แม็กนีโต้ ตอนหนุ่มจากเรื่อง “X-Men: First Class” คินเบิร์กอธิบายตัวละครของเขาเอาไว้ว่า “ในบางมุมจะเห็นเรื่องการเมืองของเขาในหนังเรื่องนี้; เขากลายเป็นคนที่มียุทธศาสตร์มากขึ้น เหมือนแม็กนีโต้ในจินตนาการของเอียน แม็คเคลเลน มีเหตุผลทางการเมืองและความรู้สึกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไรบ้าง”
ฟาสเบ็นเดอร์ไม่ต่างจากนักแสดงส่วนใหญ่ที่ชื่นชมในการทำงานที่ใช้ฉากจริงควบคู่กับกรีนสกรีน เขารู้สึกประทับใจการออกแบบรายละเอียดและงานประดิษฐ์ที่แผนกศิลป์สร้างขึ้นในฉากต่างๆ ฉากโปรดของเขาคือฉากเรือนจำเพ็นทาก้อนที่เป็นเหมือนบ้านของเขาในฉากแรกๆ ของภาพยนตร์ ซึ่งช่วยให้นักแสดงเข้าถึงตัวละครเอริคได้ “เรือนจำทำให้ผมคิดถึงชีวิตในอดีต” ฟาสเบ็นเดอร์กล่าว “และตอนนี้เอริคผ่านพ้นช่วงเวลาที่ถูกจองจำนาน 10 ปีแล้ว ผมเกิดไอเดียบรรเจิดขึ้นมา ไอเดียบรรเจิดนั้นคือภาวะทางจิตของเอริคที่เข้าสู่ศาสนา Zen ที่เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ในเรือนจำระดับสูง นั่งไขว้ขาคิดถึงเรื่องราวและรวบรวมพลังความกล้าของเขา”
จุดเริ่มต้นแห่งความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างตัวละครแม็กนีโต้ของฟาสเบ็นเดอร์กับตัวละครซาเวียร์ของแม็คอะวอยมาจากราเวน/มิสทีก เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงเจ้าของรางวัล Academy Award® กลับมารับบทมนุษย์กลายพันธุ์อีกครั้ง ในภาพยนตร์เรื่อง “X-Men: First Class” เธอเป็นลูกศิษย์อนาคตไกลของซาเวียร์ก่อนจะมารับทัศนคติแย่ๆ เกี่ยวกับโลกจากแม็กนีโต้ ตอนนี้ราเวนอยู่ในร่างของมิสทีกและเป็นศัตรูกับเหล่ามนุษย์
“ราเวนฉายเดี่ยวในช่วง 10 ปี ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นในเรื่อง ‘First Class’” ซิงเกอร์กล่าว “เธอไม่ใช่เด็กสาวที่เคียงคู่กับชาร์ลสอีกต่อไป และไม่ใช่ลูกศิษย์ขงเอริค เธอพบเส้นทางชีวิตของตัวเองที่ต้องการล้างแค้น เธอรับหน้าที่ลักพาตัว ฆ่าและนำมนุษย์กลายพันธุ์มาทดลอง ในเวลาเดีวกันเธอก็หาทางแก้แค้นทรากส์ไปด้วย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจชาร์ลส เพราะเขารู้ว่ามันจะส่งผลร้ายต่ออนาคต นำไปสู่การทำลายล้างมนุษย์กลายพันธุ์ จึงกลายเป็นทั้งการต่อสู้เพื่อปกป้องอนาคตและการต่อสู้กับความคิดของราเวน”
มีตัวละครหนึ่งที่รับบทร้ายอย่างเห็นได้ชัดคือ ดร.โบลิวาร์ ทรากส์ รับบทโดย ปีเตอร์ ดิงค์เลจ ทรากส์เป็นผู้คิดค้นอาวุธจักรกลขนาดยักษ์ที่เรียกว่าเซนทิเนลส์ เป้าหมายของเขาคือการหลอมรวมมนุษย์โดยการกำจัดศัตรูที่ค่อยๆ มีพัฒนาการขึ้นมาอย่างพวกมนุษย์กลายพันธุ์ สำหรับการถ่ายทอดตัวละครนี้ออกมา ซิงเกอร์และคินเบิร์กเป็นผู้คิดขึ้นมาโดยผู้กำกับฯ เล่าว่า “เหตุผลทางอารมณ์” ทำให้ทรากส์อยากทำลายล้างมนุษย์กลายพันธุ์อย่างถอนรากถอนโคน ทรากส์พยายามหาทางทำลายคนที่มีความแตกต่าง
“ในทางกลับกันทรากส์เคยสงบสุขมาเป็นเวลานาน” ซิงเกอร์อธิบาย “เขาเชื่อว่ามนุษย์กลายพันธุ์มีพลังมากจนอาจเป็นภัยต่อมนุษย์ได้ และมนุษย์กลายพันธุ์คือมนุษย์ที่มีความล้ำสมัย เมื่อเปรียบระหว่างมนุษย์ทันสมัยกับคนยุคหิน” ซึ่งนำไปสู่การสูญพันธุ์ในท้ายที่สุด “ฉะนั้นจะมีทางไหนสร้างความกลมเกลียวให้มนุษย์ได้ดีไปกว่าการทำลายศัตรูที่อาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ของมนุษย์ได้?”
ไอเดียของตัวร้ายที่มีความซับซ้อนทำให้เกิดการคัดเลือกตัวดิงค์เลจขึ้นมา “ปีเตอร์แสดงให้เห็นถึงความคิดที่มองความแตกต่างด้านสรีระ แต่เขายังแสดงอารมณ์และลักษณะของมนุษย์ออกมาได้อย่างลึกซึ้งด้วย” คินเบิร์กกล่าว “สำหรับปีเตอร์แล้ว ทรากส์กลายเป็นสิ่งที่เห็นรูปร่างได้ชัด เขาเป็นคนที่ผู้ชมจะให้ความสนใจมากแม้ว่าผู้ชมจะต่อต้านเขาก็ตาม”
ตัวนักแสดงชายเองก็กล่าวชมซิงเกอร์และคินเบิร์กที่ถายทอดเรื่องราว 2 ยุคออกมาได้โดยไม่ทิ้งความสมบูรณ์และเหตุผล ดิงค์เลจเกิดความหลงใหลตัวละครต่างๆ ทั้งจากการต่อสู้ในความคิดของพวกเขา อารมณ์ความรู้สึก ป้อมปราการทางจิตและมิตรภาพที่มีให้กัน “มิตรภาพระหว่างชาร์ลสและเอริคคือเรื่องมหัศจรรย์” ดิงค์เลจกล่าว “มันมีความงดงามมาก มีความจริงใจกับมิตรภาพที่เก่าแก่นั้น มันเกิดขึ้นจริงในเรื่องนี้”
นักแสดงหญิงเจ้าของรางวัล Academy-Award ฮาลลี เบอร์รี่ มารับบท สตรอม ของเธอเป็นครั้งที่ 4 แล้วเธอรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์กลายพันธุ์ และเปรียบเทียบการกลับมารับบทบาทเหมือนเป็นการได้กลับมาเจอเพื่อนเก่า เบอร์รี่มองตัวละครของเธอเหมือนครู ซึ่งเป็นทิศทางที่ได้รับการพัฒนาร่วมกับซิงเกอร์ในภาพยนตร์ต้นฉบับ “X-Men”
แต่เบอร์รี่ก็ยอมรับว่าสตรอมในหนังมีอะไรมากกว่าที่เขียนไว้ในหนังสือ สตรอมเป็นมนุษย์กลายพันธุ์คนหนึ่งที่มีพลังมาก เธอมีส่วนช่วยเหลือในการปกป้องเอ็กซ์-เม็นจากเซนทิเนลส์ “สตรอมควบคุมสภาพอากาศได้ ตอนที่ทีมกำลังต่อสู้ เธอคือคนแรกที่ถูกส่งตัวออกไป” เธออธิบาย
เอลเลน เพจ นักแสดงหญิงผู้เข้าชิงรางวัล Academy Award กลับมารับบทคิตตี้ ไพรด์ ในโลกของเอ็กซ์-เม็น ซึ่งเป็นบทบาทที่เธอเคยเล่นครั้งแรกในเรื่อง “X-Men: The Last Stand” ส่วนในเรื่อง “Days of Future Past” ความสามารถของคิตตี้ทำให้เธอส่งความรู้สึกของวูล์ฟเวอรีนกลับไปในอดีตได้ เพื่อปกป้องมนุษย์กลายพันธุ์จากถูกทำลายโดยฝีมือของเซนทิเนลส์ เพจเล่าว่าคิตตี้เป็นตัวละครหญิงที่มีความเข้มแข็งและ “แสบไม่เบา” เธอมั่นใจว่าแฟนๆ เอ็กซ์-เม็นจะไม่ผิดหวังกับเรื่องราวที่เธอเรียกว่า “ยิ่งใหญ่อลังการ” ในทุกวันที่เพจเข้าฉากจะรายล้อมไปด้วย “นักแสดงที่น่าทึ่ง เครื่องแต่งกายที่สวยงามในฉากสุดอัศจรรย์” อันน่าตื่นเต้น เธอขอชมเชยที่ซิงเกอร์สามารถจัดการภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ได้ ส่วนคินเบิร์กก็เขียนบทที่มีความละเอียดซับซ้อน ในฐานะนักแสดงเพจเคารพพวกเขาในฐานะ “บุคคลในตำนาน และฉันชอบนั่งดูพวกเขาทำงาน มันวิเศษมากค่ะ”
นิโคลาส ฮอลท์กลับมารับบท แฮงค์ แม็คคอย/บีสต์ ที่เขาเคยแสดงไว้ในเรื่อง “First Class” ด้วยความรู้สึก กว้างๆ ที่มีความสับสนของตัวละคร แฮงค์รู้สึกอึดอัดที่ตัวเองมีผิวสีฟ้าและอับอายกับการเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ในช่วงเวลา 10 ปีตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่อง “First Class” เขาอาศัยอยู่ในแมนชั่นร่วมกับชาร์ลส และคิดค้นเซรุ่มที่หยุดยั้งสภาพมนุษย์กลายพันธุ์ของเขาและชาร์ลสขึ้นมา ชาร์ลสทำให้มันกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง แต่มีผลกระทบอย่างหนึ่งคือการสูญเสียภาวะทางจิตที่มากขึ้น นอกจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างแฮงค์กับราเวนยังเพิ่มมากขึ้นในภาพยนตร์เรื่อง “Days of Future Past” และถึงแม้เขาจะยอมรับในรูปลักษณ์สีฟ้าของเธอได้ แต่แฮงค์ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดกับรูปลักษ์ของเขาอยู่ดี
ฮอลท์รู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับแม็คอะวอยที่เขามองว่าเป็นสุดยอดนักแสดง ทั้งคู่ศึกษาฉากร่วมกันและไอเดียของแม็คอะวอยผลักดันฮอลท์ให้มองมิตรภาพระหว่างตัวละครกว้างขึ้น “การแสดงในเรื่อง ‘Days of Future Past’ ทำให้ผมประทับใจจนยากจะลืม” เขากล่าว “มันเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ที่ครอบคลุม 2 ช่วงเวลา มีตัวละครละครมากมายที่มีเรื่องราวและอารมณ์ความรู้สึกเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง”
ควิกซิลเวอร์เป็นอีกหนึ่งตัวละครมนุษย์กลายพันธุ์ที่สำคัญในฉากยุค 1970 ชาร์ลส โลแกน และแฮงค์ตอนหนุ่มขอให้เขาช่วยแม็กนีโต้ออกจากเรือนจำเพ้นตาก้อน พลังของควิกซิลเวอร์สมกับชื่อของเขาที่มีความว่องไวผิดมนุษย์ จนถึงการพบเหล่าเอ็กซ์-เม็น เขามีอาชีพลักเล็กขโมยน้อยและซุกซนตามประสาวัยรุ่น “วูล์ฟเวอรีนรู้จักควิกซิลเวอร์ในอนาคต” ซิงเกอร์กล่าว “แต่ในอดีตเขาคือเด็กไฮเปอร์ มีทางเดียวที่พวกเขาจะขอความช่วยเหลือจากควิกซิลเวอร์ได้คือใช้การชอบสร้างปัญหาของเขา โดยถามว่าสนใจช่วยคนแหกคุกเพ็นตาก้อนมั้ย”
ซิงเกอร์และผู้กำกับภาพฯ นิวตัน โธมัส ซีเกล ใช้กล้อง phantom แบบไฮสปีดและเทคโนโลยี photo-sonic ถ่ายทำฉากตอนเข้าไปที่เพ็นตาก้อนและหลบหนีออกมา ซึ่งเป็นฉากที่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อนและมีภาพที่น่าสนใจมากที่สุดในภาพยนตร์ ฉากนั้นถ่ายทำด้วยความเร็ว 3000 เฟรมต่อวินาทีตอนที่ควิกซิลเวอร์วิ่งบนผนังครัวเพ็นตาก้อนขนานกับพื้น “เราไม่เคยทำอะไรแบบนี้ในภาพยนตร์มาก่อน” ซิงเกอร์กล่าว
เทคโนโลยีนี้ต้องใช้ไฟขนาดยักษ์แขวนอยู่บนฉาก ซึ่งไฟแต่ละดวงจะมีพลัง 40,000 วัตส์ “ฉากมีความสว่างมาก เราต้องสวมแว่นตาถ่ายทำฉากนั้น” ซิงเกอร์กล่าว “นักแสดงต้องปิดตาตัวเองจนกระทั่งถึงช่วงที่พวกเขาต้องเริ่มถ่ายทำ”
ชอว์น แอชมอร์ ที่รับบทบ็อบบี้/ไอซ์แมน ก็กลับมาสู่โลกเอ็กซ์-เม็นเช่นกัน ในภาพยนตร์เรื่อง “Days of Future Past” เขาต้องร่วมทีมกับคิตตี้ บิชอพ และโคลอสซัสที่อยู่ในโลกแห่งอนาคตอันมืดมิดและสิ้นหวัง แอชมอร์เล่าว่าตัวละครต่างมีความแข็งกร้าวเพราะสถานการณ์ของพวกเขา “พวกเราอยู่ในอันตรายเสมอ” แอชมอร์กล่าว “และคิตตี้มีความสามารถด้านการเดินทางไปยังอดีต แม้แต่อดีตที่เร่งรีบก็ช่วยพวกเขาไม่ได้”
แอชมอร์รู้สึกตื่นเต้นที่ไอซ์แมนได้แสดงพลังของเขาในฉากแอ็คชั่นสุดเข้มข้นที่รวมถึงการสไลด์น้ำแข็งที่เขาจดจำได้ว่า “เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่เลย”
แดเนียล คัดมอร์ นักแสดงชายชาวแคนาดาเองก็รู้สึกดีใจที่ได้กลับมายังโลกเอ็กซ์-เม็นเช่นกัน ตัวละครของคัดมอร์สามารถปรับผิวหนังตัวเองให้เป็นโลหะออแกนิคได้ ทำให้เขามีพลังอย่างมหาศาลจนเกือบทำลายไม่ได้
โอมาร์ ซาย นักแสดงชาวฝรั่งเศส (“The Intouchables”) มารับบท บิชอพ หนึ่งในมนุษย์กลายพันธุ์หน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่โลกเอ็กซ์-เม็น บิชอพปรากฏตัวในโลกแห่งอนาคต เขาทั้งโหดร้ายและชอบสร้างความกลัว มีความสามารถด้านการดูดแสงและดูดพลังที่เขาต้องใช้เป็นอาวุธพลาสม่าของเขา และบิชอพสามารถเดินทางข้ามเวลาเพื่อไปช่วยคิตตี้ได้ เขาเป็นตัวละครสำคัญที่อธิบายถึงเหตุการณ์ในอนาคตอันมืดมิดของมนุษย์กลายพันธุ์ได้ บิชอพมีอดีตที่มีแต่ความวุ่นวายและเจ็บปวด เขามีแผลเป็นรูปตัว “M” ในดวงตาของเขาที่ได้มาเมื่อตอนเป็นนักโทษของค่ายมนุษย์กลายพันธุ์
ตัวละครซันสป็อตของอาดัน แคนโต ยิงพลังโซลาร์อันทรงอานุภาพออกไปได้ สำหรับการทำให้ตัวเองอินกับบทบาท แคนโตได้ทำการศึกษาเรื่องราวของซันสป็อต เขาเล่าว่า “ซันสป็อตเป็นคนซื่อสัตย์และกระตือรือร้น แต่การตายอย่างน่าเศร้าของคนรักทำให้เขากลายเป็นคนขี้โมโหและคิดก่อกบฏ”
มนุษย์กลายพันธุ์หน้าใหม่อีกคนหนึ่งในภาพยนตร์แฟรนไชส์คือ วอร์พาธ ที่รับบทโดยบูบู สจ๊วต วอร์พาธยังเป็นที่รู้จักในชื่อเจมส์ พราวด์สตาร์ เขามีประสาทสัมผัสที่ดีมากรวมถึงมองเห็น ได้กลิ่น และได้ยินเสียงดีเป็นพิเศษ วอร์พาธเป็นหนึ่งในมนุษย์กลายพันธุ์จากอนาคตที่มาช่วยเอ็กซ์-เม็นโจมตีเซนทิเนลส์ อารามเป็นสถานที่หลบภัยของเอ็กซ์-เม็นในอนาคต เป็นที่พักของมนุษย์กลายพันธุ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในช่วงที่พวกเขาต่อสู้เพื่อความอยู่รอด วอร์พาธมีความชำนาญด้านการใช้อาวูธและมีดาบยาว 17 นิ้วเป็นอาวุธ สำหรับสจ๊วตที่ฝึกศิลปะป้องกันตัวตั้งแต่อายุ 3 ขวบ บทบาทนี้ถือว่าเหมาะกับเขามาก
มนุษย์กลายพันธุ์หน้าใหม่รายที่ 3 ของภาพยนตร์แฟรนไชส์คือ บลิงค์ ที่รับบทโดยฟ่าน ปิงปิง บลิงค์มีความสามารถด้านการเคลื่อนย้ายตัวเองรวมไปถึงสิ่งของอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่ เธอใช้พลังของเธอซ่อนสิ่งของต่างๆ โดยเฉพาะศัตรูหรือขีปนาวุธขนาดใหญ่ ทีมงาน SFX สร้างความโดดเด่นให้พลังของเธอด้วยการใช้สิ่งของต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเธอ เช่น การระเบิด การทำลายล้างและเคลื่อนย้ายเสา และเสาในฉากอาราม ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้สถานที่เอ็ฟเฟ็กต์สุดอลังการ
จอช เฮลแมน นักแสดงชาวออสเตรเลียมารับบท บิล สไตรค์เกอร์ การกลับมารับบทเป็นครั้งที่ 4 ของตัวละคร หลังจากที่เคยปรากฏในเรื่อง “X2,” “X-Men Origins: Wolverine” และ “X-Men: First Class” ซึ่งแต่ละครั้งจะรับบทโดยนักแสดงต่างกันไป เฮลแมนรู้สึกว่าตัวเองต้องรับบทหนักเพื่อให้สมบทบาทของเขา “บิล สไตรค์เกอร์เป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน เพระเขาสามารถฝังความกลัวได้ แม้ว่าเขาจะไม่มีพลังพิเศษก็ตาม” เขากล่าว
ลูคัส ทิล ที่เคยปรากฏตัวในเรื่อง “X-Men: First Class” กลับมารับบทอเล็กซ์ ซัมเมอร์ส หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ฮาว็อค ที่สามารถปล่อยพลังคอสมิคออกจากร่างกายได้ ในภาพยนตร์เรื่อง “Days of Future Past” ฮาว็อคถูกขอร้องให้มาร่วมกองพันมนุษย์กลายพันธุ์ชุดพิเศษที่ปฏิบัติหน้าที่ในเวียตนาม ตอนที่เขาได้ความช่วยเหลือจากมิสทีกที่เขาร่วมแชร์มิตรภาพแห่งความสุขด้วย
รายละเอียดการถ่ายทำ
การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Days of Future Past” เริ่มเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2013 ที่มอนทรีออล in Montréal, Quebec, ประเทศแคนาดา กองถ่ายปักหลักกันที่ Mel’s Cité du Cinema (โดยทั่วไปเรียกกันว่า “Mel’s”) สตูดิโอขนาด 27 เอเคอร์บน Île de Montréal ซึ่งอยู่เหนือแม่น้ำ St. Lawrence ประกอบไปด้วยโรงถ่าย 7 แห่งที่มีพื้นที่รวม 116,500 ตารางฟุต รวมถึงพื้นที่สำนักงาน 143,000 ตารางฟุต ภาพยนตร์เรื่อง “Days of Future Past” ต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่ทุกตารางฟุตด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อการถ่ายทำภาพยนตร์อย่างยิ่งใหญ่แบบที่ต้องการ
ผู้ออกแบบฉากเจ้าของรางวัล Oscar ถึงสองครั้ง จอห์น ไมร์ (“Memoirs of A Geisha,” “Chicago”) พร้อมกับแผนกศิลป์ที่มีความสามารถของเขา นำทีมโดยผู้กำกับภาพฯ มิเชล ลาลิเบิร์ต (“The Curious Case of Benjamin Button,” “The Day After Tomorrow”) และผู้ตกแต่งฉากฯ เจ้าของรางวัล Academy Award กอร์ดอน ซิม (“Chicago”) ต้องมารับภารกิจอันน่ากลัวในการควบคุมการออกแบบ การคิดค้นและก่อสร้างฉากสำหรับภาพยนตร์จำนวน 40 ฉาก รวมถึงออกแบบฉากฯ และกำกับศิลป์ฯ ในสถานที่จริงอีก 36 แห่งในภาพยนตร์และพื้นที่รอบเมืองมอนทรีออล
ไมร์ทำหน้าที่เป็นผู้ออกแบบฉากฯ ในภาพยนตร์ต้นฉบับ “X-Men” ของซิงเกอร์ เขาต้องมารับหน้าที่ออกแบบครั้งสำคัญให้ภาพยนตร์เอ็กซ์-เม็นมาถึงทุกวันนี้ที่เป็นเรื่องราวของ 2 ยุคคือปี 1970 และอนาคตอันใกล้ ไมร์เห็นว่าการออกแบบภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องและคงความขลังเอาไว้ให้องค์ประกอบความคิดโดยรวม เขาพยายามจินตนาการถึงการลำดับภาพระหว่างอดีตกับอนาคต และจะให้แต่ละช่วงมีความเชื่อมต่อกันได้อย่างไร
หนึ่งในฉากที่มีความกว้างใหญ่ของภาพยนตร์คือภายนอกอารามในอนาคต ซึ่งเป็นอารามโบราณที่ถูกสร้างขึ้นมาในไหล่เขา ซิงเกอร์เล่าว่าด้านในของอารามที่วูล์ฟเวอรีนอาศัยอยู่ตอนที่จิตของเขาย้อนเวลากลับไปถูกสร้างขึ้นตามโบสถ์ที่เขาเคยเห็นรูป กระจกที่ถูกเคลือบทำให้ผู้กำกับฯ เล่าว่า “มันมีความประณีตราวกับมีความมหัศจรรย์ ผมไม่อยากให้สถานที่นั้นดูหม่นหมองหดหู่ ผมอยากให้ดูมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีความหัศจรรย์บางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น”
ไมร์และทีมงานใช้พื้นที่ทุกนิ้วจาก 36,500 ตารางฟุตของ Stage H ที่ Mel’s เพื่อสร้างขนาดใหญ่ที่ฮิวจ์ แจ็คแมน, ฮาลลี เบอร์รี่, แพทริค สจ๊วต และ เอียน แม็คเคลเลนกลับมารวมตัวกันในเรื่อง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ต่างมาพบศัตรูตัวฉกาจแห่งอนาคตของพวกเขา
เช่นเดียวกับซิงเกอร์ ไมร์รู้สึกว่านักแสดงที่น่าทึ่งได้สร้างบรรยากาศให้ดูสมจริงจนพวกเขารู้สึกตื่นเต้นมาก “ไบรอันบอกผมว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาส เราควรสร้างฉากจริงขึ้นมา” ไมร์กล่าว “ฉะนั้นในกรณีของอาราม คุณจะได้กลิ่นมีการจุดธูปด้วยซ้ำ”
“ฉาก The Monastery มีการผสมผสานความงามในแบบศิลปะและแบบไซไฟ” คินเบิร์กกล่าว “ถือว่าเป็นการเปรียบเทียบกันได้อย่างละเอียดลงตัว เพื่อให้เห็นว่าอารามโบราณแห่งนี้ที่มีอายุนับพันปีถูกรายล้อมไปด้วยองค์ประกอบของหนังไซไฟอย่างเอ็กซ์-เจ็ทลำใหม่และหุ่นยนต์เซนทิเนลส์”
ได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมของชาวเอเชียหลากรูปแบบ อาทิเช่น ชาวจีน ชาวญี่ปุ่น ชาวอินเดีย และชาวอินโดนีเซีย ไมร์ออกแบบฉากเหมือนสิ่งก่อสร้างทั้งหมดถูกแกะสลักออกมาจากหินแต่ละก้อนโดยนักบวชโบราณ อารามมี 3 ส่วน ได้แก่ กำแพงใหญ่ที่มีการแกะสลักซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเป็นเกราะป้องกัน; บริเวณด้านหลังที่ประกอบด้วยโครงสร้างคล้ายกับเจดีย์ที่จัดเรียงไว้ ซึ่งใช้สำหรับการสวดมนต์และการรวมตัวกัน และทางเดินหน้ามุขหลักที่ทำหน้าที่เป็นปราการด่านสุดท้ายของการป้องกันการโจมตี รวมถึงเป็นประตูเข้าสู่ด้านในของอาราม
สำหรับไมร์แล้ว ด้านในแห่งนี้เป็นหัวใจหลักของภาพยนตร์ เขาอยากให้ฉากเป็นสถานที่ที่สร้างอารมณ์พิเศษทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีต สำหรับการร่วมงานกับผู้กำกับภาพฯ นิวตัน โธมัส ซีเกล ผู้ออกแบบได้สร้างลักษณะของความหลากหลายลงไปในฉาก อาทิเช่น เสากระจกที่หมุนตลอดและกำแพงที่มีลวดลายทำให้ซีเกลต้องใช้มุมกล้องพิเศษและเล่นกับการหลอกตาเหมือนกับบ้านสวนสนุก ซีเกลและไมร์มีแนวการทำงานใกล้เคียงกัน ไอเดียของซีเกลเรื่องการจัดแสงและอารมณ์ของการถ่ายทำบางฉากต้องคล้องจองกับฉากของไมร์
ซีเกลยอมรับว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนถ่ายหนัง 2 เรื่องที่มีความแตกต่างติดต่อกัน “นี่เป็นความสนุกอย่างหนึ่งของผมเลย” เขากล่าว “ผมใช้ชีวิตผ่านช่วงยุค 70 มาแล้ว ฉะนั้นผมจะมีศิลปะที่ใช้อ้างอิงถึง ‘อดีต’ สำหรับการสร้าง ‘อนาคต’ ที่ไม่มีความทรงจำด้านศิลปะและไม่มีแหล่งอ้างอิงใดๆ ผมจึงอาศัยการสร้างหมวดคำศัพท์ภาพให้เกิดไอเดียขึ้นมา โลกในอดีตอบอุ่นกว่า มีความหยาบและดูอึมครึมมากกว่า ขณะที่อนาคตจะเหน็บหนาวมากขึ้น มืดมิดมากขึ้น และหมดหวังขึ้นมากขึ้น”
ฉากที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองลงมาเป็นอันดับสองคือบริเวณสวนด้านนอกของทำเนียบขาว (ในฉากปี 1973) ซึ่งใช้เป็นสถานที่ต่อสู้ครั้งสำคัญของภาพยนตร์ ฉากสร้างขึ้นใน “โรงถ่าย” ของ Mel’s (คือลานจอดรถที่มีแต่ยางมะตอย) และไมร์ออกแบบฉากได้แหวกแนว โดยเขาและทีมงานได้สร้างกล่องสี่เหลี่ยมที่ประกอบด้วยตู้คอนเทนเนอร์สินค้า 100 กล่อง ประกอบไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์ยาว 5 ตู้เรียงซ้อนกันขึ้นไปสูง 5 ชั้น ใน 4 ด้านของกล่องจะมีพื้นที่ 40,000 ตารางฟุตที่ถูกปูราบเพื่อเป็นบริเวณสวนของ 1600 Pennsylvania Avenue ด้วยความสูง 4 ชั้น สูงกว่าผ้ากรีนสกรีนที่ยาว 10,000 หลาที่ใช้จัดตกแต่งเป็นผนังด้านในเป็นที่กำบัง ซึ่งเทคโนโลยี Simul-Cam สามารถถ่ายทอดภาพทำเนียบขาวด้านนอกของจริงออกมาได้ และขณะเดียวกันก็ใช้กล้อง 3 มิติเก็บภาพฟุตของนักแสดง
ฉากอื่นที่มีความยิ่งใหญ่ยังรวมถึงซีรีโบรที่มีความโดดเด่น และเชื่อมติดกับ Blue Hallways (สร้างขึ้นในโรงถ่าย Alstom Stage ขนาด 30,000 ตารางฟุตของมอนทรีออล) สำหรับฉากเหล่านี้ไมร์ต้องปัดฝุ่นพิมพ์เขียวเก่า และสร้างสำเนาฉบับใหม่ขึ้นมาจากภาพยนตร์ “X-Men” ภาคแรก แจ็คแมนเล่าว่า “สำหรับผม ฮาลลี และแพทริคที่เดินอยู่บนทางเดินนั้นรู้สึกเหมือนเดจาวู เหมือนเราได้ย้อนกลับไปเมื่อ 14 ปีที่แล้ว”
แมนชั่นของซาเวียร์ถูกสร้างขึ้นมาในโรงถ่าย Mel’s เพราะภาพยนตร์เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตและอนาคต ทั้งซีรีโบรและแมนชั่นของซาเวียร์อยู่จะถูกถ่ายกลับไปมาระหว่างที่พวกเขาถ่ายทำฉากชั่วคราว ด้วยตารางการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ถูกจำกัดเวลา หลายฉากจึงต้องถ่ายทำในเวลาที่กำหนด ในภาพยนตร์ภาคก่อนๆ มีการใช้สถานที่หลายแห่งถ่ายทำฉากแมนชั่น แต่ไม่สามารถหาสถานที่ที่มีความเหมาะสมได้ในมอนทรีออล ไมร์จึงสร้างฉากภายในแมนชั่นขึ้นมาใหม่ให้เหมือน “X-Men” ต้นฉบับที่ใช้สถานที่ของ Casa Loma ในโตรอนโต
ฉากอื่นที่สร้างเพิ่มขึ้นมายังรวมถึงห้องนอนใต้ดินในปี 1973 ที่เราได้พบกับควิกซิลเวอร์เป็นครั้งแรก หนึ่งในฉากอื่นๆ ยังมีห้องทำงานประธานาธิบดีปี 1973 สถานที่ทำงานของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันในสมัยนั้น ซึ่งช่วงเวลาการปกครองของเขาคล้องจองกับเนื้อเรื่องพอดี การจำลองของไมร์ถูกต้องตรงตามประวัติศาสตร์และมีรายละเอียดที่แม่นยำแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
สำหรับเอ็กซ์-เจ็ทที่ไมร์บรรยายเอาไว้ว่าเป็น “ยานรบ” เป็นฉากหนึ่งที่มีความท้าทายมากทั้งด้านการออกแบบและการสร้างขึ้นมา “เอ็กซ์-เจ็ทต้องให้ความรู้สึกที่สมจริงตรงกับเอ็กซ์-เจ็ทต้นฉบับจากหนังสือการ์ตูนและหนังภาคก่อน แต่ก็ต้องมีความแปลกใหม่และมีความแตกต่างด้วย” คินเบิร์กกล่าว “ทีมงานต้องการสร้างพาหนะที่มีความสมจริงโดยไม่มีจุดเชื่อมต่อที่เห็นชัด โดยใช้รูปลักษณ์ สัดส่วนที่จัดเรียงมาอย่างแนบเนียน”
บรรดาทีมงานฝ่ายผลิตของไมร์เป็นช่างฝีมือนับ 300 ชีวิต ได้แก่ ช่างไม้ ช่างทาสี ช่างปูน ช่างแกะสลัก ผู้ออกแบบฉาก ช่างตกแต่ง และทีมงานสร้างฉาก รวมถึงคนอื่นๆ โปรเจ็กต์ขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเป็นรูปร่างขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจากทุกมุมมองของการถ่ายทำ
ตอนที่สร้างฉากต่างๆ เช่น หมวกซีรีโบร มีหลายองค์ประกอบต้องถูกบันทึกไว้หลังการออกแบบขั้นสุดท้ายได้รับการอนุมัติ เช่น จะใช้วัสดุใดให้มีความสบายและความสวยงาม มันจะพอดีกับศีรษะของแม็คอะวอยได้ยังไง มันจะรับแสงและสะท้อนแสงบนกล้องยังไง ซีรีโบรในปี 1973 ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งสะท้อนถึงพัฒนาการของภาพยนตร์ “X-Men: First Class” ต้นฉบับ ซีรีโบรในอนาคตดูเรียบง่ายขึ้น กระชับมากขึ้น ดูเพรียวและมีน้ำหนักเบามาก
การออกแบบวีลแชร์ของซาเวียร์เวอร์ชั่นสุดท้ายของผู้สร้างภาพยนตร์สะท้อนถึงวีลแชร์ที่เคยปรากฏมาแล้วในโลกเอ็กซ์-เม็น และสำหรับเวอร์ชั่นแห่งอนาคตเธอได้ร่วมมือกับไมร์เพื่อสร้างสิ่งที่มีความโดดเด่นออกมา สำหรับเทคโนโลยีในอนาคตพวกเขาได้ข้อสรุปว่าเก้าอี้ไม่จำเป็นต้องมีล้อ และสามารถเคลื่อนที่ได้โดยใช้แม่เหล็ก
ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย หลุยส์ มินเกนแบช (“The Usual Suspects,” “X-Men,” “X2”) ทีมงานของเธอใช้เวลาเตรียมตัว 5 เดือนก่อนเริ่มเปิดกล้องถ่ายทำ นอกจากการออกแบบและการสร้างขึ้นมาจากภาพร่างแล้ว เครื่องแต่งกายของฮีโร่ตัวสำคัญรวมถึงชุดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากปี 1970 มินเกนแบชใช้ทรัพยากรจากร้านเช่าเสื้อผ้ามากกว่า 10 แห่งในสหรัฐฯ และมอนทรีออล และค้นหาในร้านขายเสื้อผ้าโบราณรวมถึงการจัดแสดงเสื้อผ้าแนววินเทจทั่วประเทศ
มินเกนแบชและซิงเกอร์จำกัดความให้กับอนาคตอันใกล้ และคำนึงถึงเหตุการณ์ที่ตัวละครต้องพบกับตัวเอง “พวกเขากำลังจะถูกตามล่า ฉะนั้นชุดที่ดูเรียบร้อย สะอาด และดูดีมีประกายไม่เหมาะแน่” มินเกนแบชกล่าว “มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องผลิตชุดที่มีความซับซ้อนและต้องส่งไปทำลาย แต่มันก็มีสภาพที่ดูสมจริงเหมือนผ่านสงครามมาเลย”
มินเกนแบชออกแบบและผลิตเสื้อผ้าขึ้นมาเป็นพิเศษ นักแสดงแต่ละคนต้องวัดตัวให้พอดี และทุกรายละเอียดจะถูกประดิษฐ์และประดับเพื่อสร้างมิติให้กับเหล่านักแสดง การสวมชุดไม่เหมือนกับการสวมกางเกงยีนหลวมๆ เสื้อผ้าบางชุดมีน้ำหนักหลายปอนด์หรือมีน้ำหนักมาขึ้นเพราะอาวุธและเครื่องประดับที่เสริมเข้าไป นักแสดงแต่ละคนต้องได้รับการช่วยเหลือเวลาใส่และถอดเครื่องแต่งกายที่มีความพิถีพิถันเหล่านี้ ชุดซูเปอร์ฮีโร่เกือบ 24 ชุดที่ผลิตขึ้นเพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ละชุดจะถูกปรับให้เข้ากับพลังวิเศษของตัวละคร ชุดที่ยากสุดคือชุดของมนุษย์กลายพันธุ์ที่ไม่เคยมีเครื่องแต่งกายมาก่อนคือโปรเฟสเซอร์ เอ็กซ์
ก่อนจะค้นหาเครื่องแต่งกายแนวพีเรียดปี 1970 มินเกนแบชได้หารือไอเดียของเธอร่วมกับไมร์ ทั้งคู่เห็นด้วยว่าการหาลวดลาย เนื้อผ้า และสีสันที่สื่อถึงยุคสมัยมีความสำคัญมาก โทนสีแบบสีสนิม สีส้มและสีเขียวสื่อถึงชีวิตสมัยก่อนของภาพยนตร์ มินเกนแบชและทีมงานของเธใช้เวลาหลายเดือนทำการสะสมเคื่องแต่งกายจากร้านเช่าเสื้อผ้า ร้านเสื้อผ้าแนววินเทจและร้านเสื้อผ้าออนไลน์ เสื้อผ้าจำนวนมากถูกส่งมาที่มอนทรีออลจากสหรัฐฯ และยุโรป
แผนกเครื่องแต่งกายต้องสร้างเตนท์ขนาดใหญ่ขึ้นมาในโรงถ่ายติดกับฉาก เพื่อสร้างห้องเก็บเสื้อผ้าที่ใหญ่เท่าห้างสรรพสินค้า ในการถ่ายทำหลายวันทีมงานต้องดูแลเครื่องแต่งกายแนววินเทจให้นักแสดงสมทบกว่า 600 คนโดยใช้เตนท์เป็นสถานที่ปักหลัก ภารกิจนี้ต้องใช้การจัดการที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่แผนกเครื่องแต่งกายเท่านั้น แต่รวมถึงฝ่ายเมคอัพ ทำผมและฉากด้วย
“เครื่องแต่งกายในภาพยนตร์เรื่อง ‘Days of Future Past’ สื่อถึงพลังวิเศษของมนุษย์กลายพันธุ์แต่ละคนมากกว่าภาพลักษณ์ในฐานะซูเปอร์ฮีโร่ของทีม” มินเกนแบชกล่าว “ไบรอันเข้าใจและยืนยันเสมอว่า ประเด็นสำคัญคือภาพยนตร์เป็นสื่อกลางที่แตกต่างจากหนังสือการ์ตูนอย่างสิ้นเชิง ฉะนั้นเครื่องแต่งกายต้องดูน่าเชื่อถือและสวมใส่ได้จริง ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการหาความสมดุล ความลงตัวระหว่างการสะท้อนตัวละครผ่านเครื่องแต่งกาย แต่ต้องมอบความแปลกใหม่ให้ผู้ชมด้วย”
เดอะ เซนทิเนลส์
เมื่อปี 2000 ที่มีการฉายภาพยนตร์เรื่อง “X-Men” เทคโนยีบางอย่างไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างสิ่งที่ผู้สร้างภาพยนตร์นึกภาพเอาไว้ แต่อีก 14 ปีต่อมาเอ็ฟเฟ็กต์ที่สร้างความสมจริง ความน่าเชื่อถือไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ทำลายล้างมนุษย์กลายพันธุ์ เซนทิเนล ที่มีความสูง 18 ฟุตตัวโปรดของแฟนๆ เอ็กซ์-เม็นที่ไม่สามารถสร้างให้สมจริงได้ถ้าใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์แบบสมัยก่อน มีภาพยนตร์หุ่นยนต์หลายเรื่องในช่วง 10 ปีหลายเรื่อง แต่สิ่งที่ซิงเกอร์ต้องการไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้จนกระทั่งถึงวินาทีนี้ ในภาพยนตร์เรื่อง “Days of Future Past” ซิงเกอร์ได้แนะนำเซนทิเนล 2 เวอร์ชั่นให้รู้จักคือเวอร์ชั่นในอดีตและเวอร์ชั่นในอนาคตที่ได้รับการพัฒนาแล้ว
“เซนทิเนลเป็นหุ่นยนต์สังหารมนุษย์กลายพันธุ์ และโปรแกรมที่ใช้สร้างพวกเขาขึ้นมาเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 1970” ผู้กำกับฯ อธิบาย “พวกมันสามารถตั้งเป้าไปที่พันธุกรรมของมนุษย์กลายพันธุ์ได้ จากนั้นทำการคัดสรรและเพ่งเล็งไปที่มนุษย์กลายพันธุ์ เซนทิเนลแห่งอนาคตได้รับการพัฒนาจากหุ่นยนต์ที่พัฒนาขึ้นเมื่อปี 70 เซนทิเนลแห่งอนาคตจะน่ากลัวเป็นพิเศษ เพราะพวกมันมีเทคโลยีชีวะเคมีที่สามารถปรับเปลี่ยนพลังของมนุษย์กลายพันธุ์ได้ เลียนแบบรูปร่างและทำลายพวกเขาได้ ซึ่งมีมนุษย์กลายพันธุ์หลายพันคนที่ถูกไล่ล่า”
ขณะที่ไมร์ออกแบบเซนทิเนลแห่งอนาคต ผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ คาเมรอน วาลด์บอเออร์ และทีมงานของเขาต้องรับผิดชอบเซนทิเนลที่เราเห็นในฉากปี 1973 ที่สร้างขึ้นมาโดย Legacy Effects ในลอสแองเจลิส เซนทิเนลปี 1970 ต้องใช้เวลาสร้าง 8 สัปดาห์ ชิ้นส่วนต่างๆ ต้องเคลื่อนไหวและปรับเปลี่ยนได้ แม้ว่าจะมีเซนทิเนลจำนวนมากทั้งในอดีตและอนาคต แต่ต้นแบบปี 70 เพียงตัวเดียวถูกสร้างขึ้นตามความสมเหตุสมผลกับเรื่องต้นทุน หุ่นจริงขนาด 18 ฟุตช่วยให้ผู้กำกับภาพฯ ซีเกล สามารถตีกรอบและใช้เป็นตัวบอกถึงระดับ ให้กับทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่จะเพิ่มจำนวนหุ่นยนต์ในช่วงโพสต์-โพรดักชั่นได้
ภาพยนตร์เรื่อง “X-Men: Days of Future Past” เป็นภาพยนตร์เอ็กซ์-เม็นที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดถึงทุกวันนี้ การยืนยันผลสำเร็จของภาพยนตร์ชุดนี้ สิ่งที่สำคัญสุดคือการรวบรวมพลังความสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่จากนักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ฯ นี่เป็นเรื่องราวที่ครอบคลุมผู้ชมทุกขอบเขต
ในงาน Comic-Con เมื่อปีที่แล้วตอนที่นักแสดงเกือบทั้งหมดยืนบนเวทีต่อหน้าแฟนๆ พร้อมเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง รู้สึกตื้นตันใจมาก ซิงเกอร์จำความรู้สึกนั้นได้ดี “ถ้าผมอยู่ที่งาน Comic-Con เมื่อ 25 ปีที่แล้วมีฮาน โซโล, ลุค สกายวอล์คเกอร์ และเจ้าหญิงลีอา เดินอยู่บนเวทีผมก็คงสติแตกเหมือนกัน!” เขากล่าว สำหรับซิงเกอร์แล้วเรื่องราวของเอ็กซ์-เม็นเป็น “ตำนานร่วมสมัย ผมรู้สึกสบายใจในโลกใบนี้ ผมรักการได้อยู่ในโลกใบนี้ ได้สำรวจโลก และมีความสุขกับโลกใบนี้มาก” ความสามารถของเขาด้านการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ไม่มีใครเทียบเท่าได้เลย
ซึ่งนั่นหมายความว่าสำหรับเอ็กซ์-เม็นแล้วยังมีอนาคตที่สดใสให้หวังอยู่