คนที่ทำได้ ก็ทำ ส่วนคนที่ทำไม่ได้…
แจ็ค มาร์คัส (ไคลฟ์โอเวน) ที่ฉายแววให้เห็นในฐานะนักเขียนและนักกวี เป็นครูเจ้าเสน่ห์ชาวอังกฤษที่โรงเรียนครอยเดน ซึ่งเป็นโรงเรียนเตรียมระดับสูงในนิวอิงค์แลนด์ ที่ซึ่งเขาใช้ชีวิต หายใจเข้าออกและพูดถึงความรักที่มีต่อภาษาของเขา ปัญหาเดียวก็คือเขาไม่สามารถเขียนงานได้อีกต่อไป เขาหมดพลังเสียแล้ว
ดีนา เดลแซนโต้ (จูเลียต บิโนช) ศิลปินชื่อดังพรสวรรค์ ที่ไม่ได้สูญเสียแรงบันดาลใจ แต่ร่างกายของเธอต่างหากที่ไม่เป็นใจจาก โรคไขข้ออักเสบจำกัดความสามารถของเธอในการวาดรูป และทำให้เธอไม่สามารถจับแปรงระบายสีได้อีกต่อไป เธอรับงานสอนที่ ครอยเดนเพื่อหาเลี้ยงชีพและเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัว ที่เธอจะต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ ชื่อเสียงของดีนาเป็นที่โจษจัน คนลือกันว่าเธอเป็นคนเย็นชานิดๆ ที่โรงเรียนเก่า คนเรียกเธอว่า “แม่น้ำแข็ง” แต่เมื่อแจ็คได้พบกับเธอ ประกายวูบวาบได้ลุกโชนขึ้นและเขาก็ไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะหลอมละลายโฉมหน้าเยือกแข็งของเธอ ในทุกโอกาสที่ได้เจอกัน เขาพยายามจะชวนเธอเล่นคำกับเขา แต่พอเขาได้รู้ว่า ครูสอนศิลปะผู้นี้สอนนักเรียนว่าถ้อยคำเป็น “กับดัก” และ “คำหลอกลวง” เขาก็เจ็บปวดและประกาศสงครามเต็มรูปแบบกับเธอ เกิดการแข่งขันระหว่างถ้อยคำและภาพปะทุไปทั่วทั้งโรงเรียน และทั้งนักเรียนและอาจารย์ (บรูซ เดวิสัน) จะต้องเลือกข้าง
ในขณะที่นิตยสารของแจ็คและงานของเขาเริ่มสั่นคลอน นักเรียนที่ครอยเดนกลับมีชีวิตชีวาและตื่นเต้นไปกับสงครามระหว่างถ้อยคำและภาพ ตัวดีนาเองก็ได้รับแรงบันดาลใจเช่นกัน ในการสำรวจวิธีการใหม่ๆ ในการวาดภาพ ที่ถูกดัดแปลงให้เข้ากับสภาพร่างกายของเธอ ดูเหมือนว่ารักแท้กำลังผลิบานระหว่างแจ็คและดีนา แต่ความขัดแย้งระหว่างถ้อยคำและภาพกลับกลายเป็นความบาดหมางจริงๆเมื่อมีภาพหนึ่งปรากฏขึ้นและทำร้ายนักเรียนคนหนึ่ง (วาเลรี เทียน) อาการป่วยของดีนาเลวร้ายยิ่งขึ้น และการกลับมาวาดภาพใหม่อีกครั้งของเธอก็นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้าย แจ็คติดเหล้าหนักขึ้น ทำให้หน้าที่การงาน ครอบครัวและอนาคตของเขาตกอยู่ในความเสี่ยง ที่สุดแล้ว ถ้อยคำหรือภาพจะคว้าชัยชนะได้ หรือจะเป็นอย่างอื่นกันแน่
เกี่ยวกับงานสร้าง
WORDS AND PICTURES เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกจากละติจูด โปรดักชั่นส์ บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นโดยเคอร์ติส เบิร์ช เบิร์ชทำหน้าที่ผู้บริหารฝ่ายครีเอทีฟมา 25 ปีแล้ว และเขาก็ได้ร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับระดับแนวหน้าของฮอลลีวู้ด ซึ่งรวมถึงเจมส์ คาเมรอน ในตอนที่เขาตัดสินใจออกมาอำนวยการสร้างภาพยนตร์ด้วยตัวเอง “ผมรู้สึกว่ามันมีวิธีที่ดีกว่าในการพัฒนาภาพยนตร์ ซึ่งหลักๆ แล้วเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อมือเขียนบทครับ” เบิร์ชกล่าว “นอกจากนั้น ผมยังรู้สึกด้วยว่ามันมีหนังแบบที่สตูดิโอไม่สร้างอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังมีตลาดขนาดใหญ่สำหรับมัน ซึ่งก็คือหนังสำหรับผู้ใหญ่ ที่มีบทชาญฉลาดเกี่ยวกับคนจริงๆ ที่เราแคร์ครับ”
น่าขันที่ในตอนที่เบิร์ชกำลังมองหาบทที่เหมาะกับละติจูด มือเขียนบท เจอรัลด์ ดิเพโป้เพิ่งจะส่งบทภาพยนตร์เรื่อง WORDS AND PICTURES ให้กับเอเจนท์ของเขา และเล่าว่าได้พูดกับเอเจนท์คนนั้นว่า “’ถ้าเราสร้างเรื่องนี้เป็นหนัง ผมก็อยากภูมิใจกับผลที่ออกมา ผมไม่อยากให้มันเป็นหนังสตูดิโอ’ ในตอนที่ผมพูดแบบนั้นกับเขา เคอร์ตินกำลังโทรหาเอเจนท์ผมอยู่ เคอร์ติสตัดสินใจสร้างหนังที่คุณอาจจะเรียกว่าเป็น ‘วิธีที่ถูกที่ควร’ ที่ทุกคนมีส่วนร่วมในงานสร้างสรรค์และร่วมงานกันได้เป็นอย่างดี”
เบิร์ชสนใจบทภาพยนตร์ของดิเพโก้ในทันทีด้วยเหตุผลหลักสองประการด้วยกัน เขากล่าวว่า “มันเป็นหนังเกี่ยวกับครูครับและผมเชื่อว่าทุกยุคจะมีหนังเกี่ยวกับครูดีๆ ซักเรื่อง หนังเรื่องนี้มีศักยภาพที่จะเป็นหนังเกี่ยวกับครูแห่งยุคได้ และเราก็ไม่ได้มีครูดีๆ แค่คนเดียว แต่เรามีถึงสองคน นอกจากนั้น ผมยังเห็นศักยภาพในการสร้างเรื่องรักที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ขึ้นมา ที่เราได้เห็นตัวละครสองตัวที่เราเชื่อ และรับบทโดยนักแสดงคุณภาพ ผมคิดว่าการที่คนสองคนตกหลุมรักกันบนหน้าจอเป็นหนึ่งในสิ่งที่เยี่ยมที่สุดที่หนังสามารถทำได้ และหลังจากดูการแสดงของไคลฟ์และจูเลียต ผมคิดว่าเราทำสำเร็จครับ”
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 เบิร์ชได้ขับรถไปบ้านของดิเพโก้ ห่างจากลอสแองเจลิสไปประมาณสองชั่วโมง และพวกเขาก็ใช้เวลาวันนั้นทำความรู้จักกัน เบิร์คขอสิทธิบทภาพยนตร์เรื่องนี้จากดิเพโก้และให้สัญญากับเขา เบิร์ชเล่าว่า “ผมบอกเจอร์รีว่า ‘ผมสัญญาว่าผมจะเลือกผู้กำกับที่คุณยอมรับ’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะมีคนพูดกับมือเขียนบทซักเท่าไหร่ และผมก็พูดด้วยว่า ‘จะไม่มีมือเขียนบทคนไหนแตะต้องบทหนังเรื่องนี้อีก’” สัญญาเหล่านั้นเองที่ทำให้ดิเพโก้ตกลงร่วมงานกับบริษัทละติจูดของเบิร์ชเพื่อพัฒนาโปรเจ็กต์นี้
“เคอร์ติสมีความเคารพมือเขียนบทมากค่ะ” ผู้ควบคุมงานสร้าง แนนซี เรย์ สโตนบอก “เขาบอกเจอร์รีอย่างชัดเจนว่าเขาจะมีบทบาทสำคัญในหนังเรื่องนี้และจะไม่มีคนอื่นได้เขียนบทหนังเรื่องนี้อีกนอกจากเจอร์รี สองสัปดาห์ก่อนหน้าที่เราจะถ่ายทำ เราพาเจอร์รีมาที่นี่ และเขาก็อยู่ตอนช่วงซ้อมด้วย อะไรก็ตามที่ต้องแก้ไขผ่านจากมือเขาทั้งนั้น เรารู้สึกยินดีมากที่เจอร์รีมีส่วนเกี่ยวข้องมากขนาดนี้และทุ่มเทให้กับโปรเจ็กต์นี้ขนาดนี้น่ะค่ะ”
เบิร์ชไปดัลลัสเพื่อพบกับคนที่สนใจจะลงทุนในภาพยนตร์และรู้สึกว่า มีหนังบางประเภทที่คนไม่ค่อยสร้างขึ้นมาแล้ว แต่มันควรจะถูกสร้างขึ้นมา “มันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเชื่องช้า” เขากล่าว แต่เขาก็ได้พบกลุ่มนักลงทุนที่เขาพูดถึงว่า “ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เรากำลังทำอย่างเหลือเชื่อ”
เจอรัลด์ ดิเพโก้คิดว่าเขาจบกับการเขียนบทภาพยนตร์แล้ว แต่มีไอเดียหนึ่งที่ยังคงตามตื๊อเขาชนิดไม่ให้เขาหนีไปไหน ต้นกำเนิดของเรื่องราวนี้มีมาตั้งแต่ตอนที่ดิเพโก้เริ่มต้นทำงานใหม่ๆ เป็นครูไฮสคูล “ผมพยายามจะเข้าถึงและสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนภาษาอังกฤษครับ” เขากล่าว “และผมก็จะทำแบบนั้นด้วยการให้พวกเขาอ่านงานเขียนของนักเขียนที่ใช้ภาษาในรูปแบบที่น่าประหลาดใจ คุณพยายามจะถ่ายทอดทักษะนั้นและสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนนำเสนออะไรคุณซักอย่าง นอกจากนั้น ผมยังได้เรียนรู้ถึงสังคมของครู โครงสร้างทางสังคมและการเมืองของทั้งโรงเรียนด้วย ซึ่งความรู้นั้นก็ติดตัวผมมา แม้ว่าผมจะได้ทำงานอื่นๆ อีกมากมายก็ตาม”
ดิเพโก้เล่าว่า “หนึ่งในไอเดียเริ่มแรกที่ผมมือคือพยายามจะคิดภาษาวิลิศมาหรามาสร้างตัวละครฉลาดๆ ซับซ้อน ที่สามารถฟาดฟันและเกี้ยวสาวได้ด้วยคำพูด ที่ผมสามารถภูมิใจกับภาษานั้นและเขียนได้อย่างเต็มที่ นั่นเป็นไอเดียครึ่งเดียวเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งคือคนพวกนี้ ผมมองพวกเขาว่าเป็นครูที่เผชิญกับความท้าทายที่จริงจังบางอย่างในชีวิต มันไม่ใช่แค่ว่า ‘ผู้ชายและผู้หญิงคู่นี้จะรักกันมั้ย’ แต่เป็น ‘พวกเขาจะสามารถฝ่าฟันสิ่งที่เหนี่ยวรั้งพวกเขาจากการมีชีวิตของตัวเองได้มั้ย’ นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ผมคิดว่าผมจะเลิกเขียนบทหนังแล้ว แต่ไอเดียนี้ไม่ยอมหายไปซะที ผมจะต้องเขียนมันออกมา เพื่อให้มันกลายเป็นหนังให้ได้ มันใช้เวลาซักพักกว่าจะสร้างเป็นหนังออกมา แต่มันก็กลายเป็นหนังในรูปแบบที่วิเศษสุดมากๆ ครับ”
ผู้กำกับคนแรกที่เบิร์ชยื่นบทให้คือเฟรด เชพิซี ผู้กำกับออสเตรเลียเจ้าของภาพยนตร์ดังอย่าง Six Degrees of Separation, Plenty, A Cry in the Dark และ Roxanne “เฟรดเป็นทุกอย่างตามที่ผมคาดหวังครับ” เบิร์ชกล่าว “เขาเป็นคนน่าทึ่งและเป็นผู้กำกับที่น่าทึ่ง ผมรักงานของเขา และเขาก็สร้างหนังเรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม คงไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้แล้วครับ”
เฟรด เชพิซี ถูกดึงดูดเข้าหาโปรเจ็กต์นี้ในทันที “มันเป็นบทหนังที่ดีและหาได้ยาก เป็นงานเขียนที่เฉียบคมจริงๆ ดังนั้น พอคุณบอกว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับถ้อยคำและภาพ มันก็ไม่ใช่แค่คำสวยหรูจอมปลอม แต่มันเป็นถ้อยคำที่ดีและมีหลายเรื่องที่จะพูดครับ มันเป็นความรักจริงๆ มีปัญหาหนักอกจริงๆ ที่ตัวละครต้องฝ่าฟัน มันเต็มไปด้วยรายละเอียด มันเป็นประเด็นดที่ยอดเยี่ยม และบทที่ยอดเยี่ยม มันง่ายมากๆ ที่จะสร้างหนังธรรมดาๆ เกี่ยวกับศิลปะ ซึ่งมันเป็นกับดักที่เราต้องหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับศิลปะอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของคนสองคนที่กำลังผ่านช่วงเวลาลำบากในชีวิต คนหนึ่งเจอความลำบากทางกาย ที่ไม่สามารถทำอย่างที่เคยทำได้ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนที่คิดว่าเขาเป็นนักเขียนที่เก่งกว่าที่เขาเป็นอยู่ และเขาก็ทำใจยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้ แต่พอพวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็ทำให้ต่างฝ่ายมีชีวิตชีวาครับ”
ไคลฟ์ โอเวน เข้าร่วมโปรเจ็กต์นี้ตั้งแต่เริ่มแรก และเขาก็ยังคงไม่ไปไหนตลอดเวลากว่าสามปีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เขาตั้งข้อสังเกตถึงพื้นฐานของโปรเจ็กต์นี้ว่า “มันเป็นแบบเดียวกันในหนังทุกเรื่องแหละครับ สิ่งสำคัญคือบทและผู้กำกับ” เชพิซีได้พบกับโอเวนและส่งบทให้เขา “ผมเข้ากับเฟรดได้อย่างดี ผมอ่านบทหนังเรื่องนี้แล้วก็ชอบมันมาก มันเขียนออกมาได้อย่างงดงามจริงๆ และผมก็ประทับใจมันจริงๆ ครับ”
เคอร์ติส เบิร์ชเล่าว่าเชพิซีโทรมาบอกว่าเขากำลังพบกับไคลฟ์ โอเวน “เขาถามว่าผมจะรู้สึกยังไงที่เขาให้บทหนังเรื่องนี้กับเขา ผมก็บอกว่า ‘คุณล้อเล่นรึเปล่า มันเยี่ยมไปเลย!’” เชพิซีโทรมาบอกข่าวอีกสองสามวันให้หลังว่าโอเวนอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วชอบมัน “ไคลฟ์ทำให้หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นได้” ผู้อำนวยการสร้างกล่าว “ความมุ่งมั่นที่เขามีต่อมัน ตลอดระยะเวลายาวนานที่เราหาทุนสร้าง คือสิ่งที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้”
“ฉันชอบประเด็นของมันค่ะ” จูเลียต บิโนช กล่าว “ในฐานะนักแสดง คุณจะมีถ้อยคำ จริงๆ แล้ว คุณเล่นกับถ้อยคำ หรือคุณเล่นอะไรบางอย่างนอกเหนือจากถ้อยคำล่ะ ฉันรู้สึกว่าถ้อยคำเป็นเพียงยอดบนสุดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น แต่คุณจะต้องมีความลึก สิ่งที่เป็นปริศนาและมองไม่เห็นอยู่ข้างใน และสำหรับฉันแล้ว มันอาจจะเป็นภาพก็ได้ ภาพที่คุณมี ความรู้สึกยางอย่างที่คุณไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นถ้อยคำได้ แต่มันมีอยู่ค่ะ” นอกจากนี้ เธอยังรู้สึกถูกดึงดูดเข้าหาโปรเจ็กต์นี้เพราะมันมีเรื่องราวเกิดขึ้นในโรงเรียนด้วย “ฉันชื่นชอบการเผชิญหน้าระหว่างครูค่ะ ฉันไม่เคยรับบทครูมาก่อน และแม่ของฉันก็เป็นครูด้วย เธอเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศสและการละคร ดังนั้น สำหรับฉันแล้ว มันมีความคล้ายคลึงบางอย่างที่ฉันสนใจอยากสำรวจ แล้วตัวละครตัวนี้ก็เป็นจิตรกรด้วย ฉันเองก็วาดภาพเป็นครั้งคราวเหมือนกัน ดังนั้น ความท้าทายของเรื่องนี้ก็มีทั้งในฐานะนักแสดงและจิตรกร มันเป็นความท้าทายสองอย่าง ซึ่งฉันชอบค่ะ มันเป็นงานหนักก็จริง แต่ฉันก็ชื่นชอบความท้าทายในชีวิตค่ะ”
“เส้นทางที่ผมปูพื้นไว้ให้กับตัวละครของผมเต็มไปด้วยขวากหนาครับ” ดิเพโก้กล่าว “แจ็ค มาร์คัสกลัวว่าเขาหมดไฟในฐานะนักเขียนและครูแล้ว ซึ่งนั่นเป็นตัวตนทั้งหมดของเขา นอกเหนือจากความกลัวนั้นหรือเพราะความกลัวนั้น เขาก็เลยกลายเป็นคนติดเหล้า เขากำลังหนีความจริงครับ ส่วนดีนา เดลแซนโต้เป็นศิลปินที่ทรมานกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่ทำให้เธอไม่สามารถถือพู่กันได้ พวกเขาแต่ละคนเจอกับอุปสรรค และผมก็มองว่าหนังเรื่องนี้เป็น ‘หนังรัก ทั้งๆ ที่เกิดเรื่องทั้งหมดนั้น’ มันไม่ใช่โรแมนติกคอเมดี แต่มันก็มีอารมณ์ขันและพวกเขา (โอเวนและบิโนช) ก็แสดงอย่างงดงามครับ”
ดิเพโก้อยู่ด้วยตลอดระหว่างการซ้อมและในกองถ่าย ในช่วงสองสามสัปดาห์แรกของการถ่ายทำ “ผมทำงานนี้มานานแล้ว ประมาณ 40 ปีได้ครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “และผมก็ไม่เคยถูกห้อมล้อมด้วยศิลปินยอดเยี่ยมมากขนาดนี้มาก่อน ผมมองว่าไคลฟ์และจูเลียตเป็นศิลปินชั้นเยี่ยมในเรื่องของการแสดง และเฟรด เชพิซี เมื่อคุณมองงานของเขา วิธีการทำงานของเขา และได้เข้าใจว่าไอเดียของเขาผลักดันภาพวิชวลของหนังเรื่องนี้อย่างไร เขาเป็นปรมาจารย์เลยครับ แพทริเซีย ฟอน แบรนเดนสไตน์ และเอียน เบเกอร์ ทั้งคู่ได้ช่วยยกระดับบทหนังเรื่องนี้ ช่วยเพิ่มคุณภาพของสิ่งที่ผมได้เริ่มต้นขึ้น และมันก็ถูกยกระดับขึ้นมาทีละชั้นๆ ผมรู้สึกเหมือนว่าในที่สุด ตัวละครทั้งหมดก็วิ่งออกไปจากหัวผม พวกเขาทุกคนหนีออกไป และกลายเป็นของคนพวกนี้ ผมไว้ใจพวกเขาได้ ผมสามารถถอยหลังกลับไปแล้วบอกว่า ‘เอาล่ะ ตอนนี้ ถึงตาคุณดูแลพวกเขาแล้วล่ะ’ น่ะครับ”
“การเขียนเป็นทุกอย่างสำหรับแจ็ค” โอเวนกล่าว “เขาเคยประสบความสำเร็จมาก่อน และเขาก็ดิ้นรนอยู่หลายปี เพื่อที่จะประสบความสำเร็จแบบนั้นอีกเพราะเขายังไปไม่ถึงฝั่งฝัน และเขาก็เป็นครูที่ดีมากๆ แต่พอเขากลับบ้านไปเขียนงาน เขากลับพบว่ามันเป็นเรื่องลำบาก และการที่เขาไม่สามารถเขียนงานได้อย่างที่เขาฉายแววไว้ก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต
“แจ็คเป็นครูที่ยอดเยี่ยม” โอเวนกล่าว “เขามีความทุ่มเทอย่างเหลือเชื่อและเขาก็เชื่อในสิ่งนั้น นั่นทำให้เขาเป็นครูที่ดีครับ เขาเชื่อในคุณค่าของภาษาและงานเขียนที่ดี เขามองว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมากในทุกที่ ทั้งสำหรับเด็กๆ และสำหรับตัวเขาเอง และในตอนที่เขากำลังท็อปฟอร์ม เขาก็เป็นครูที่น่าทึ่งครับ แต่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอด เขาดื่มหนักเกินไป และเขาก็เป็นเหมือนขวดเหล้าเดินได้ครับ”
เชพิซีกล่าว “แจ็คอยากจะเป็นนักเขียนที่เก่ง และในชั่วขณะหนึ่ง เขามีไอเดียมากมายและดูเหมือนว่าจะมีพรสวรรค์ในการใช้ไอเดียเหล่านั้นด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าเขามีพรสวรรค์น้อยกว่าที่เขาหวัง เขาตระหนักได้ว่าเขาเป็นครูที่ดีและนั่นก็เป็นสิ่งที่คู่ควรต่อการทำ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเป็นคนติดเหล้าและเขาต้องเรียนรู้ว่ามันเป็นปัญหา ไม่ใช่แค่นิสัย และเขาก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้จนกว่าเขาจะสะสางปัญหาเรื่องนั้นได้”
เบิร์ชกล่าวว่า “แจ็คถึงทางตัน เขาหันไปพึ่งเหล้า เพื่อลืมความเจ็บปวดที่งานเขียนของเขาไม่ออกมาเป็นอย่างที่เขาอยากให้เป็น หรือที่เคยเป็น และเขาก็หันไปโฟกัสงานสอนของเขาแทน แต่โรงเรียนก็รู้สึกหนักใจว่าเขายังคงเหมาะกับการสอนที่นี่รึเปล่าและเขาก็เสี่ยงกับการตกงาน มันทำให้เขาตื่นตระหนก จนเขาพยายามดิ้นรนในแบบของเขาเพื่อไม่ให้ตกงาน และเราก็อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะเขาเป็นครูที่เก่ง และเราก็เห็นได้ถึงพลังและอิทธิพลที่เขามีต่อนักเรียนของเขาน่ะครับ”
“บอกได้ว่านี่คือหนังรักที่แตกต่างออกไปเล็กๆ ครับ” เชพิซีกล่าว “ในหนังอย่าง WORDS AND PICTURES เรื่องสำคัญคือตัวละครหลักของคุณจะต้องมีเคมีกัน และทั้งคู่ก็มีจริงๆ ครับ มันวูบวาบจนไหม้เลยครับ คุณจะรู้สึกได้ในทุกฉาก และรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ผลิบานระหว่างพวกเขา คุณจะเห็นได้ว่าพวกเขาควรจะอยู่ด้วยกันมากแค่ไหน พวกเขาเหมาะกันแค่ไหน และพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่วิเศษสุดจริงๆ ซึ่งคุณจะเห็นแบบนั้นระหว่างไคลฟ์และจูเลียตด้วยเหมือนกัน”
“ผมเป็นคนโรแมนติกครับ” ผู้กำกับกล่าว “แต่คุณต้องระวังครับ ผมชอบให้อารมณ์ออกมาสมจริง ไม่ใช่แค่สร้างมันขึ้นมาสำหรับหนังเท่านั้น คุณจะต้องรู้สึกถึงมันได้จริงๆ มันจะต้องอยู่ตรงนั้น อย่างที่บางครั้งเราจะรู้สึกได้ในชีวิตเราน่ะครับ”
ถ้อยคำ
มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างดิเพโก้กล่าวว่า “หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยไดอะล็อค และแจ็ค มาร์คัสก็มีสุนทรพจน์ยืดยาวเกี่ยวกับพลังของถ้อยคำ เขาผสมนักพูดหลายคนให้รวมเป็นสุนทรพจน์เดียว และเล่นลูกไม้พวกนี้ แต่ทั้งหมดด้วยความทุ่มเทครับ ไคลฟ์มีไดอะล็อคเป็นหน้าๆ ที่ไม่มีช่วงพักเลย และเขาก็ทำได้โดยไม่พลาดเลยซักคำ สำหรับฉากแรกในห้องเรียนของเขา ที่เขาพูดบทพูดสี่หน้า ผมเชื่อว่าเขาพูดมันประมาณ 27 ครั้งจากหน้าไปหลังเพราะพวกเขาจะต้องได้ภาพจากมุมต่างๆ ครับ”
“ไคลฟ์สวมบทนี้ได้แนบเนียนจริงๆ” แนนซี เรย์ สโตนกล่าว “แล้วจำนวนไดอะล็อคที่เขาจำได้ก็น่าอัศจรรย์จริงๆ ค่ะ! ไคลฟ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์นี้ตั้งแต่เริ่มแรก และก็ยังคงอยู่กับมันระหว่างที่เราหาทางสร้างมันขึ้นมาให้ได้ เราไม่เคยอยากได้คนอื่นนอกจากเขา เขาเพอร์เฟ็กต์เลย เขามาพร้อมกับความฉลาด และแจ็คก็เป็นตัวละครที่ฉลาดมากๆ พอไคลฟ์พูดถึงเพราส์ และอัพไดค์ คุณก็จะเชื่อว่าผู้ชายคนนี้รู้เรื่องนี้จริงๆ ค่ะ”
โอเวนกล่าว “คุณจะไม่ค่อยเจอไดอะล็อคเยอะขนาดนี้ในหนังเรื่องหนึ่งๆ บางครั้ง หนังเรื่องนี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับละครเวทีในแง่ของไดอะล็อคเยี่ยมๆ และภาษาเยี่ยมๆ นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ผมสนใจ เพราะนั่นเป็นเครื่องมือการทำงานในฐานะนักแสดง ถ้าคุณมีภาษาที่ดีจริงๆ น่ะครับ หนังบางเรื่องไม่ต้องการมัน มันจะเป็นเรื่องเชิงสัญลักษณ์หรือภาพลักษณ์มากกว่า แต่นี่เป็นหนังที่ผมรับบทเป็นคนที่คลั่งไคล้ภาษาและไดอะล็อคของเรื่องจะต้องสอดคล้องกับเรื่องนั้น มันไม่มีประโยชน์ที่จะสอนและพูดอย่างจริงจังเรื่องภาษาถ้าภาษาของตัวเขาเองไม่ดี เจอร์รีทำหน้าที่ได้อย่างวิเศษสุด มันมีไดอะล็อคมากมายก็จริง แต่การรับบทนี้ก็สนุกมากเพราะมันเฉียบคม มีจังหวะที่ยอดเยี่ยม และมันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสนใจหนังเรื่องนี้เพราะมันมีสาระ และเป็นสิ่งที่คุณจะล้วงลึกเข้าไปได้ครับ”
ด้วยความที่ไคลฟ์ โอเวนอยู่ในโปรเจ็กต์นี้ตลอดช่วงพัฒนา เขาจึงมีส่วนในการเลือกนางเอกของเขาด้วย “ผมเป็นแฟนผลงานของจูเลียตมานานแล้วครับ” เขากล่าว “เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงคนโปรดของผม ดังนั้น ตอนที่เราพูดถึงดีนา เธอก็เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของผมเสมอ ผมก็เลยตื่นเต้นสุดๆ ตอนที่เธอบอกว่าเธอตกลง ผมมีความสุขมากครับ ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครที่สามารถแสดงบทนี้ได้ดีกว่าเธอรึเปล่า”
“ไคลฟ์ โอเวนและจูเลียต บิโนช คุณจะโชคดีได้ขนาดไหนกันเชียวครับ” เชพิซีกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา “ผมไม่คิดว่าจะมีใครที่ดีไปกว่าทั้งสองคนอีกแล้ว จูเลียตเป็นนักแสดงหญิงที่มีความคิดสร้างสรรค์ และไคลฟ์ก็เตรียมพร้อมอย่างดี เขาไม่เคยอยู่นิ่ง เขาตั้งคำถามกับทุกอย่าง ในแง่บวก ทั้งคู่ต่างก็มีส่วนร่วมและคิดไอเดียที่ช่วยฉากนั้นๆ ขึ้นมาได้ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่เหลือเชื่อ มันเปล่งประกายวูบวาบ ซึ่งเยี่ยมไปเลย คุณจะรู้สึกได้เลยครับ พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กันและกัน เพื่อที่จะเสี่ยง ทำงานให้ได้ดีขึ้น พวกเขาล้อเลียนกัน และคิดการแสดงอิมโพรไวส์ดีๆ ที่เวิร์คจริงๆ ขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่เพิกเฉยต่อคำพูดที่มีอยู่น่ะครับ”
เบิร์ชกล่าว “เวทมนตร์ที่พวกเขาสร้างขึ้นด้วยกันน่าทึ่งมากๆ มันเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ที่เราได้พวกเขาทั้งคู่”
โอเวนและบิโนชมีวิธีการที่ต่างกัน ดิเพโก้กล่าวว่า “สไตล์ของจูเลียตจะเป็นอิสระมากกว่า เธออาจจะทำในสิ่งที่แตกต่างกันไปในแต่ละเทค แต่คุณรู้ว่าคุณจะได้ช่วงเวลาที่เปล่งประกาย พวกเขาแต่ละคนแสดงได้ยอดเยี่ยมแตกต่างกันออกไป เธอจะลองนั่น ลองนี่ แล้วก็จะได้ผล เธอจะทำให้คุณได้พบกับช่วงเวลาบินอชที่วิเศษสุด”
จูเลียต บิโนชพูดถึงการร่วมงานกับโอเวนว่าเป็น “ความสุขนาดแท้ ฉันหัวเราะบ่อยมาก ตัวละครของเราล้อเลียนกันบ่อย ดังนั้น มันก็เลยเป็นความรู้สึกที่มีอยู่ โดยมีต้องฝืนหรือบังคับ เราต้องแสดงถึงการเผชิญหน้าระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ศิลปินสองคน ที่พยายามจะเป็นศิลปินท่ามกลางความยากลำบาก มันก็เลยมีทั้งความชื่นชอบและชื่นชม แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีความขัดแย้งในบุคลิกของทั้งคู่ เราต่างก็ชื่นชอบการร่วมงานกับเฟรดและมีความสุขที่ได้ร่วมงานกัน มันเป็นฉากที่มีชีวิตชีวามากๆ มันจริงจัง แต่ก็ผ่อนคลายด้วยค่ะ”
มีเสียงหัวเราะมากมายในกองถ่าย “จูเลียตเป็นสาวช่างหัวเราะครับ” บรูซ เดวิสัน ผู้รับบท เวท ครูสอนประวัติศาสตร์ บอก “เธอเป็นคนตลกมากและทำให้ผมหัวเราะตลอดเวลาเลย แต่พอคุณมองเธอในหนัง เธอก็น่าทึ่งมาก เธอจะคิดในสิ่งที่คุณมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเกิดขึ้นในขณะนั้น เพราะมันละเอียดอ่อนและทรงพลัง เธอสามารถทำให้คุณร้องไห้ได้แค่เดินข้ามห้องมาน่ะครับ”
ดีนา เดลแซนโต้ ตัวละครของจูเลียต บิโนช เป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ผู้เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง ในการค้นคว้าข้อมูลสำหรับบทนี้ บิโนชได้พบกับผู้ป่วยโรคนี้หลายคน “มีผู้ป่วยโรคนี้จำนวนมากและมันก็เป็นโรคที่เจ็บปวดมากๆ” เธอบอก “มียาจำนวนมากที่ใช้กับโรคนี้ แต่มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ร่างกายยอมรับยาบางอย่าง และบางครั้งก็ปฏิเสธยานั้น มันมีทั้งวันที่อาการดีและวันที่อาการเลวร้าย และมีบางวันที่ดีนาสามารถวาดรูปได้ และบางวัน เธอก็ทำไม่ได้เพราะมันเจ็บปวดเกินไปน่ะค่ะ”
ภาพ
ในตอนที่ดีนา เดลแซนโต้มาถึงครอยเดน ฉายา “แม่น้ำแข็ง” ก็เป็นที่รู้จักแล้ว และมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับผลงานของเธอเลย “เธอสวยมากๆ และดูเหมือนเป็นราชินีน้ำแข็งนิดๆ” เชพิซีกล่าว “เธอดูแข็งแกร่ง แต่โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ทำให้เธอไม่สามารถเป็นศิลปินอย่างที่เธอเป็นได้ เธอไม่ได้แค่ฝันว่าเป็นศิลปินที่ยอดเยี่ยม แต่เธอเป็นศิลปินจริงๆ ที่มีพรสวรรค์จริงๆ แต่จู่ๆ เธอก็พบว่าตัวเองไม่สามารถทำงานอย่างที่เคยทำได้ เธอไม่สามารถถ่ายทอดตัวเองได้ในแบบที่อยากทำ และเธอก็ต้องหาหนทางใหม่ นอกจากนั้น เธอยังต้องหาส่วนผสมของยาที่จะช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ เธอก็เลยกำลังทุกข์ทรมานครับ”
“ฉันคิดว่ามันเป็นเกราะป้องกันอย่างหนึ่ง เพราะชีวิตเธอผ่านอะไรมาเยอะค่ะ” บิโนชกล่าว “มันเป็นวิธีปกป้องตัวเองเพราะคุณเปราะบางมาก และเปลือกนี้ก็ค่อยๆ กระเทาะออกมา คุณจะได้เห็นตัวตนของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ มันมีเลเยอร์ที่ฉันต้องค้นหาค่ะ ตอนที่เธอได้พบกับแจ็ค มันเผยให้เห็นอะไรบางอย่างในตัวเธอ มันปลุกความเป็นผู้หญิงของเธอ เสียงหัวเราะของเธอและความต้องการที่จะปล่อยให้น้ำแข็งนั้นละลายไป สิ่งที่ฉันค้นหาคือสมดุลค่ะ มันมีความลังเลอยู่บ้างเพราะสำหรับโรคนี้ การเปิดกว้างไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น คุณจะมีข้อจำกัดบางอย่าง มันไม่ได้ทำให้คุณเป็นผู้หญิงขนาดนั้น ดังนั้น การเลือกสีสัน การเลือกลิปสติกก็เป็นการตัดสินใจเรื่องตัวละครด้วย มันเป็นเปลือกนอก แต่มันก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเธอเป็นใครด้วยค่ะ มันเจ็บปวดมากที่ถูกมองว่าเป็นผู้หญิงในตอนที่คุณเจ็บปวด ในตอนที่สภาพร่างกายของคุณไม่ได้อยู่ในช่วงที่ดีที่สุด มันก็เลยมีระบบป้องกันตัวเองเกิดขึ้น มีการตอบโต้กันไปมาเกิดขึ้น ซึ่งภาพและถ้อยคำเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น แต่จู่ๆ เธอก็มีไฟสำหรับงานศิลปะและการวาดภาพขึ้นมาค่ะ”
จูเลียต บิโนช รับบท ดีนา และเธอเองก็เป็นเจ้าของภาพเขียนของเดลแซนโต้ด้วย ในการนั้น เธอไม่เพียงแต่ต้องวาดภาพให้ได้ชำนาญและโดดเด่นอย่างตัวละครของเธอเท่านั้น แต่เธอยังต้องแสดงอาการผิดปกติจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ของเดลแซนโต้ด้วย เธอกล่าวว่า “มันมีสมดุลของการหาทางให้เธอวาดภาพได้ เพราะมันเป็นเรื่องทางกาย และการเล่าเรื่องราวที่เธอกำลังเจอกับช่วงเวลายากลำบาก ฉันพยายามอย่างมากที่จะทำความเข้าใจกับบทนี้และเรื่องราวนี้ แต่ก็เป็นศิลปินอย่างที่เธอเป็นค่ะ”
“จูเลียตจะต้องหาวิธี ทั้งในฐานะนักแสดงและตัวละคร ที่จะหาทางประนีประนอมะหว่างงานศิลป์ของเธอกับโรคนั้น ซึ่งในระดับหนึ่ง มันก็คือประเด็นของหนังเรื่องนี้ครับ” เบิร์ชกล่าว
เชพิซีกล่าวว่า “เราโชคดีจริงๆ เพราะจูเลียตวาดภาพได้ และวาดภาพได้ดีมากๆ หนังเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เธอยกระดับการวาดภาพของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องเยี่ยม เพราะตัวละครของเธอจะต้องหาหนทางใหม่ ซึ่งเธอก็ทำได้ครับ”
“เรารู้สึกโชคดีมากที่ได้นักแสดงหญิงที่เข้าใจว่าการเป็นจิตรกรเป็นอย่างไร” สโตนกล่าว “ตอนที่คุณได้เห็นจูเลียตวาดภาพในหนังเรื่องนี้ เธอไม่ได้แกล้งทำ นั่นคือเธอค่ะ” วันหนึ่งในกองถ่ายระหว่างการถ่ายทำฉากรวมนักแสดงใน WORDS AND PICTURES มีภาพวาดภาพหนึ่งจะต้องถูกปรับเปลี่ยนนิดๆ “จูเลียตสวมผ้ากันเปื้อน แล้วไปอีกห้อง เพื่อลงมือทำงาน มันเป็นกระบวนการที่น่าทึ่งที่ได้เห็นเธอสร้างสรรค์งานศิลปะขึ้นมาสำหรับหนังเรื่องนี้และความเปลี่ยนแปลงในตัวละครของเธอเพราะปัญหาทางกายภาพของเธอ เราทำงานร่วมกับเธอเพื่อพัฒนาเทคนิคและพัฒนาการสำหรับงานศิลปะของเธอ เธอทำหน้าที่สองอย่างในหนังเรื่องนี้ และเธอก็ทำได้ดีอย่างน่าทึ่งค่ะ”
บินอชกล่าวว่า “ในฐานะจิตรกร ดีนากำลังอยู่ในระหว่างที่กำลังตั้งคำถามกับตัวเองถึงวิธีการวาดรูปของเธอ เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เหมือนเก่า เธอก็เลยต้องหาวิธีวาดรูปแบบอื่น เราพบว่ามันเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะเริ่มต้นด้วยงานที่เขียนจากวัตถุจริง เธอหงุดหงิดกับกับงานนี้ตรงที่เธอไม่สามารถวาดมันได้อีกต่อไปแล้ว และเธอก็หันไปวาดภาพแอ็บสแทร็คเพราะเธอเจอเครื่องมืออื่นที่จะทำงานด้วย ฉันพบว่ามันเป็นเรื่องน่าทึ่งที่จะต้องหาวิธีถ่ายทอดสิ่งที่ดีนารู้สึกแล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นภาพวาดค่ะ”
ภาพยนตร์เกี่ยวกับศิลปินจริงๆ จะนำเสนอภาพจำลองผลงานของพวกเขา โดยที่นักวาดภาพทิวทัศน์จะบรรจงวาดภาพของแวนโก๊ะห์และพอลล็อคส์ขึ้นมาใหม่ ดีนา เดลแซนโต้เป็นตัวละครสมมติ ที่รับบทโดยจูเลียต บิโนช ผู้บังเอิญเป็นศิลปินวิชวลพรสวรรค์และเป็นเจ้าของผลงานของเดลแซนโต้ด้วย แต่คำถามก็คือ มันเป็นภาพวาดของบินอชหรือของเดลแซนโต้กันแน่
บิโนชกล่าวว่า “ฉันพยายามจะวาดภาพของดีนา แต่ฉันใช้ตัวเอง เหมือนอย่างที่ฉันพยายามจะแสดงเป็นดีนา แต่ใช้ตัวเอง แน่นอนค่ะว่าคุณจะมีวิสัยทัศน์สำหรับตัวละครที่คุณเล่น แต่คุณใช้ลมหายใจ ความนึกคิดและดวงตาของคุณเอง ทุกอย่างที่คุณมีภายใน ในฐานะจิตรกร ก็เป็นเหมือนกัน ดังนั้น ตอนที่ฉันได้เห็นภาพวาดของดีนา ฉันก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ภาพที่ฉันจะวาด แต่ฉันก็มองเห็นได้ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดจากตัวฉันเหมือนกัน มันเป็นเรื่องน่าสนใจในฐานะตัวเปรียบเทียบ ในฐานะนักแสดงและในฐานะจิตรกร มันเป็นเรื่องน่าทึ่งที่ได้เห็นว่ามันทำหน้าที่อย่างไร ฉันขอให้เฟรดมอบหมายงานที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดีนาให้กับฉันเพราะมันจะช่วยฉันและฉันก็ต้องใช้เวลาซักพักกว่าจะบอกได้ว่าอะไรคือความก้าวหน้าจริงๆ เพราะเฟรดไม่ได้วาดรูปค่ะ มันก็เลยเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างช้าและมันเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันวาดรูประหว่างการถ่ายทำค่ะ” ท่ามกลางตารางการถ่ายทำที่ยุ่งวุ่นวาย บินอชได้ใช้เวลาในช่วงพักวาดรูปบนผ้าใบของเดลแซนโต้
“มันเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของงานนี้ครับ” เบิร์ชกล่าว “เราทาบทามจูเลียตเพราะเธอเป็นไอคอนแห่งจอเงินและเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม และเรามารู้ว่าเธอเป็นจิตรกรด้วยก็หลังจากนั้น แล้วเราก็ได้รับรู้ว่าไม่เพียงแต่เธอจะวาดรูปสำหรับหนังเรื่องนี้เท่านั้น แต่เธอยังอยากจะวาดรูปผลงานทั้งหมดของเธอด้วย ไม่มีผลงานของดีนาชิ้นไหนในหนังเรื่องนี้ที่จูเลียตไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง ดังนั้น จูเลียตไม่เพียงแต่อุทิศตัวเองเพื่อรับบทนี้เท่านั้น แต่ในตอนที่เธอไม่ได้ถ่ายทำ เธอก็อยู่บ้านวาดรูปครับ เธอเป็นแสงสว่างของเราจริงๆ”
แนนซี เรย์ สโตนกล่าวว่า “ในตอนที่เรารู้ว่าเธอเก่งขนาดไหน และรู้ว่าเธออยากจะใช้งานศิลปะของตัวเองในหนังเรื่องนี้ มันก็พัฒนาขึ้น มันเป็นกระบวนการน่าทึ่งที่ได้เห็นจูเลียตสร้างสรรค์งานศิลปะและแน่นอนค่ะ ตัวละครของเธอพัฒนาขึ้นเพราะปัญหาทางกายภาพของเธอเอง เราได้ร่วมงานกับเธอเพื่อพัฒนาเทคนิคนี้ ว่างานศิลปะของเธอควรจะพัฒนาอย่างไร เราโชคดีมากที่มีนักแสดงหญิงที่เข้าใจว่าการเป็นจิตรกรเป็นอย่างไร”
“เราโชคดีมากๆ ค่ะ” ผู้ออกแบบงานสร้างเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด แพทริเซีย ฟอน แบรนเดนสไตน์กล่าว “จูเลียตเป็นจิตรกรวาดรูปเหมือนที่มีพรสวรรค์มกๆ และจริงๆ แล้ว เธอก็มีความชำนาญในทุกแนวเลย” เป็นที่รู้กันว่าบิโนชวาดรูปโดยใช้ถ่านชาร์โคล สีเทียน สีน้ำ สีน้ำมันและสีอะคริลิค สำหรับ WORDS AND PICTURES เธอใช้สีอะคริลิคเป็นหลักเพราะตารางการถ่ายทำที่แน่นของเธอทำให้สีที่ใช้จะต้องแห้งค่อนข้างเร็ว “เราได้เห็นพัฒนาการสไตล์การวาดรูป ที่เธอไม่คุ้นเคย แต่มันเป็นทิศทางที่จูเลียตเลือกในหนัง ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะวาดรูปแนวนั้นต่อไปรึเปล่า แต่มันมีประสิทธิภาพ ทรงพลังและมีสีที่โดดเด่น ซึ่งเฟรดต้องการมากๆ เพราะเขารู้สึกว่าพลังภาพเปรียบเปรยของเธอจะยอดเยี่ยมขึ้น จูเลียตทุ่มเทเวลาและพรสวรรค์ของเธออย่างไม่หวงตัวเลยค่ะ”
ในช่วงเตรียมงานสร้าง ฟอน แบรนเดนสไตน์และบินอชเริ่มต้นพูดคุยกัน ผู้ออกแบบงานสร้างต้องการเห็นผลงานก่อนหน้านี้ของบินอช ซึ่งทำให้มีการส่งอีเมล์ โทรศัพท์พูดคุยกันและการขนส่งจากฝรั่งเศสตามมา “จูเลียตอยู่ระหว่างการย้ายบ้าน มันก็เลยเป็นเรื่องลำบากมากๆ สำหรับเธอ แต่เธอก็ได้ส่งผลงานก่อนหน้านี้ของเธอมาให้เราหลายชิ้น มันเป็นภาพเหมือนและภาพวาดที่วิเศษสุด ที่เธอวาดขึ้นตอนยังสาว เราก็เลยจะได้เห็นถึงขอบเขตงานของเธอ” ด้วยจุดประสงค์ด้านความปลอดภัย มีการจำลองภาพผลงานเก่าของเธอขึ้น เพื่อใช้เป็นผลงานแรกๆ ของเดลแซนโต้ แต่ฟอน แบรนเดนสไตน์ก็ตั้งข้อสังเกตว่า “งานศิลปะส่วนใหญ่ที่เห็นในหนังเรื่องนี้ถูกรังสรรค์โดยจูเลียต ในกองถ่าย หรือพูดง่ายๆ ก็คือตามใบสั่งนั่นเอง และนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากๆ” คุณภาพและปริมาณของภาพวาดของบิโนชยิ่งน่าประทับใจมากขึ้นเมื่อพิจารณาถึงเวอร์ชันต่างๆ ของภาพวาดเหล่านี้ ที่จำเป็นต่อการบันทึกความเปลี่ยนแปลงจากผ้าใบว่างเปล่าไปสู่ผลงานที่เสร็จสมบูรณ์”
สงคราม
“มีการดวลกันระหว่างภาพและถ้อยคำและเราก็ได้เห็นว่าแจ็คชื่นชอบงานเขียนดีๆ และดีนาชื่นชอบงานศิลปะดีๆ มากแค่ไหน” ดิเพโก้บอก “สงครามครั้งนี้เป็นเพียงแค่เปลือกนอกสุดของสิ่งที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวา แต่สงครามที่แท้จริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวของทั้งคู่ งานส่วนใหญ่ของผมเกี่ยวกับสงครามนั้น ไม่ว่าคุณจะเผชิญหน้ากับอะไร คนก็มักกลัวที่จะเปิดกว้างและสานสัมพันธ์ มันให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่าที่จะเก็บตัวแปลกแยกจากคนอื่น แต่การทำแบบนั้นก็เหมือนความตาย ดังนั้น คุณก็อยากจะเปิดกว้างและสานสายสัมพันธ์แต่คุณก็กลัวเหลือเกิน ปกติแล้ว สงครามนั้นมักจะเป็นรากฐานผลงานทุกชิ้นของผมครับ”
จูเลียต บิโนชกล่าวว่า “ดีนาไม่รู้ตัวหรอกว่าจริงๆ แล้ว แจ็คผลักดันให้เธอวาดรูป ให้เป็นศิลปิน ให้เธอเปิดเผยตัวเอง เธอไม่เห็นเรื่องนั้น เธอคิดว่าเขาโจมตีเธอ บางครั้ง มันก็เป็นเกม ที่มีการผสมผสานระหว่างความภาคภูมิใจ ความสุข ความเขินอายและระบบป้องกันตัว พวกเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ ค่ะ ความท้าทายคือถ้อยคำไม่ใช่แค่ถ้อยคำ และภาพวาดก็ไม่ได้เป็นแค่ของประดับหรือของสวยๆ งามๆ เท่านั้น คุณจะต้องรู้สึกอะไรมากกว่านั้น มันเป็นความท้าทายของนักแสดงและจิตรกรหรือใครก็ตามในแวดวงทัศนศิลป์ ว่าคุณจะถ่ายทอดตัวคุณให้เกินกว่าสื่อที่ปรากฏได้ยังไงน่ะค่ะ”
บิโนชเล่าว่า “ดีนาบอกว่าถ้อยคำเป็น ‘กับดัก’ เป็น ‘คำโกหก’ และมันก็อาจเป็นกับดักและคำโกหกได้ถ้าคุณเชื่อมันค่ะ ถ้อยคำเป็นเครื่องมือที่วิเศษสุด ถ้าคุณมีสิ่งที่คุณอยากจะถ่ายทอดออกไปจริงๆ แต่พวกมันไม่ใช่ทุกอย่าง สำหรับเธอ ภาพวาดเป็นสิ่งที่เปิดโลก ที่ไม่มีถ้อยคำ ดังนั้น ในแง่หนึ่ง มันก็ใช้ความคิดสร้างสรรค์กว่าเพราะคุณปล่อยให้เกิดความรู้สึกและสิ่งที่มองไม่เห็น คุณปล่อยให้บางสิ่งเงียบงัน นั่นเกิดขึ้นก่อนถ้อยคำค่ะ ฉันคิดว่าบทกวีก็เหมือนกัน ในตอนที่คุณนำคำต่างๆ มารวมกัน ที่มีความหมายอะไรบางอย่าง มันจะนำคุณไปสู่ระดับหนึ่งเพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องทางความคิดซะทีเดียวแต่มันยังเป็นเรื่องของอารมณ์และเป็นการกระตุ้นเตือนให้เราหวนนึกถึงความหมายของการเป็นมนุษย์และการมีประสบการณ์ในฐานะมนุษย์ด้วยค่ะ ภาพสะท้อนของมันเป็นอะไรที่น่าทึ่งค่ะ
การคัดเลือกนักแสดง
ดิเพโก้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ “สำหรับสองนักแสดงนำและผู้กำกับ พวกเขาคือคนที่เราจะเลือกถ้ามีคนบอกว่า เลือกคนที่คุณต้องการสิ ใครก็ได้ น่ะครับ”
“ไม่มีเรื่องเสแสร้งในหนังเรื่องนี้เลย” เบิร์ชกล่าว “มันเป็นทีมนักแสดงที่เพอร์เฟ็กต์”
การคัดเลือกนักแสดงส่วนหนึ่งเกิดขึ้นในแวนคูเวอร์ ซึ่งรวมถึงนักเรียนส่วนใหญ่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นวาเลรี เทียน (เอมิลี), อดัม ดิมาร์โก้ (เดล สวินท์) และจอช เซ็ททูบา (โคล แพทเทอร์สัน) “นักเรียนเป็นกลุ่มคนที่สำคัญมากในเรื่อง” เบิร์ชกล่าว “เพราะพวกเขามีส่วนร่วมต่อการได้เห็นครูของพวกเขาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง พวกเขาไม่อยากจะสูญเสียทั้งคู่ไป วาเลรี, อดัมและจอชน่าทึ่งมากในหนังเรื่องนี้ พวกเขาเยี่ยมมาก และความสุขอย่างหนึ่งของการถ่ายทำหนังเรื่องนี้คือการได้เห็นพวกเขาสามคนทำงานร่วมกันครับ”
“พวกเขาเป็นกลุ่มที่ยอดเยี่ยม” เชพิซีกล่าวเห็นพ้องด้วย “ทีมคัดเลือกนักแสดงเจอคนที่เป็นตัวละครพวกนั้นจริงๆ เราอยากได้คนที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์ และการร่วมงานกับทีมนักแสดงรุ่นเยาว์ของเราก็เป็นเรื่องสนุกมาก การมีส่วนร่วมและความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาวิเศษสุด พวกเขาได้รู้จักกันและกัน พวกเขาก็เลยสามารถพูดล้อกันเล่น และมีทัศนคติที่เยี่ยมมากๆ ได้ครับ”
วาเลรี เทียน รับบท เอมิลี นักเรียนศิลปะยอดเยี่ยม ที่ดีนาเอ็นดูและคอยติวเพื่อการแข่งขันใน WORDS AND PICTURES “เอมิลีขี้อายสุดๆ เธอไม่ใช่คนช่างสังคมค่ะ” เทียนกล่าว เธอพูดถึงความรู้สึกที่เอมิลีมีต่อดีนา เดลแซนโต้ ครูสอนศิลปะของเธอว่า “เธอตรงไปตรงมา เธอไม่แคร์ว่าคุณเป็นใคร เธอจะบอกคุณว่าเธอคิดยังไงเพราะเธอเป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ และเธอก็อยากให้คุณทำเต็มที่ 110 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเอมิลีนับถือเธอสุดๆ มันไม่มีการพูดหวานๆ เพื่อปลอบประโลมใจ มันเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับนักเรียนหลายคน โดยเฉพาะคนที่อ่อนไหวและขี้อายอย่างตัวละครของฉัน แต่เอมิลีก็นับถือเธอจริงๆ ค่ะ”
เชพิซีกล่าวว่า “ในตอนที่เธอสอน ดีนาไม่สนใจสังคมของพวกนักเรียนและเธอก็ไม่สนใจที่พวกเขาไม่สนใจเธอด้วย เธอสอนพวกเขาด้วยการเข้มงวดกับพวกเขาและโชว์ให้พวกเขาเห็นว่าในการจะเป็นศิลปิน พวกเขาต้องแข็งแกร่ง มุ่งมั่นและตั้งใจครับ”
บรูซ เดวิสัน นักแสดงเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ นำแสดงในบท วอลท์ ครูประวัติศาสตร์ของครอยเดน ก่อนหน้านี้ เขาเคยได้ร่วมงานกับเชพิซีมาก่อนใน Six Degrees of Separation เชพิซีกล่าวว่า “บรูซเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม วอลท์เป็นครูที่สอนมานานแล้ว และเข้าใจดีถึงคุณค่าของการเป็นครู เขาเป็นคนที่มั่นคง และเขาก็พยายามช่วยแจ็ค แต่เขาก็ช่วยได้แค่ประมาณหนึ่งเท่านั้นแหละครับ”
เดวิสันกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างวอลท์และแจ็คเต็มไปด้วยมิตรภาพและความห่วงใย ผมคิดว่า เขามองเห็นตัวเขาในแจ็ค ที่พยายามสะสางเรื่องราวต่างๆ ในวัยหนุ่ม และเขาก็เอ็นดูดีนาด้วยเพราะภรรยาเขาก็ทุกข์ทรมานจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เหมือนกัน และเขาก็รู้ว่าเธอต้องเจอกับอะไรครับ”
ประวัตินักแสดง
ไคลฟ์ โอเวน (แจ็ค มาร์คัส)
ไคลฟ์ โอเวน นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ ได้รับการยกย่องจากผู้ชมในอังกฤษ อเมริกาและทั่วโลก ผลงานภาพยนตร์ที่หลากหลายของเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีความสามารถหลากหลายมากท่สุดในยุคของเรา การแสดงที่จับใจของเขาในภาพยนตร์ฮิตม้ามืดโดยไมค์ ฮ็อดเจสเรื่อง Croupier ทำให้นักวิจารณ์เปรียบเทียบเขากับนักแสดงในตำนานอย่าง โบการ์ท, มิทชัมและคอนเนรี! ในปี 2005 เขาพิสูจน์ตัวเองเป็นดาราด้วยการคว้ารางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากบทแลร์รีในภาพยนตร์โดยไมค์ นิโคลส์เรื่อง Closer ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังร่วมแสดงโดยจูเลีย โรเบิร์ตส์, จู๊ด ลอว์และนาตาลี พอร์ตแมน
ไคลฟ์ นักแสดงชาวอังกฤษ ปรากฏตัวครั้งแรกในละครโทรทัศน์อังกฤษและอเมริกันหลายเรื่อง ในปี 1991 เขาได้แสดงในซีรีส์อังกฤษเรื่อง CHANCER ซึ่งเป็นผลงานฮิตเรื่องแรกของเขา ผลงานจอแก้วอังกฤษเรื่องอื่นๆ ของเขา รวมถึง SECOND SIGHT ทางบีบีซี ซึ่งออกอากาศทางรายการ MYSTERY! ของพีบีเอส
ไคลฟ์ เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วย Vroom ภาพยนตร์โดยบีแบน คิดรอนในปี 1988 ซึ่งเขาได้ซ่อมแซมรถอเมริกันคลาสสิกให้วิ่งได้อีกครั้งกับเดวิด ธิวลิส เพื่อนร่วมแสดง จากนั้น ในปี 1991 เขาก็ได้รับบทน้องชายผู้ทำตามความรู้สึกรักใคร่พี่น้องตัวเองของเขาในภาพยนตร์โดยสตีเฟน โพเลียคอฟเรื่อง Close My Eyes หลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทตัวละครที่ซับซ้อนอีก เมื่อเขาแสดงเป็นชายรักร่วมเพศผู้มุทะลุในเยอรมนี ก่อนสงคราม ผู้พบความรักที่ไร้เงื่อนไขระหว่างอยู่ในค่ายทหารนาซีในภาพยนตร์โดยฌอน มาเธียสเรื่อง Bent ในปี 2001 และ 2002 เขาได้นำแสดงในคอเมดีออฟบีทของอังกฤษโดยโจเอล เฮิร์ชแมนเรื่อง Greenfingers และภาพยนตร์รวมดาราโดยโรเบิร์ต อัลท์แมนเรื่อง Gosford Park
จูเลียต บิโนช (ดีนา เดลแซนโต้)
จูเลียต บิโนชเป็นนักแสดง/แดนเซอร์/มือเขียนบท ชาวปารีส ผู้ได้รับการยกย่องอย่างสูงด้วยการเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์หลักสามแห่งในยุโรปได้แก่ รางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์สำหรับ Certified Copy (2010), รางวัลโวลพี คัพและพาซิเน็ตติ อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสสำหรับ Three Colors: Blue (1993) และรางวัลหมีเงินจากงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินสำหรับ The English Patient (1996) สำหรับเรื่องหลัง การแสดงที่น่าทึ่งของเธอยังทำให้เธอได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, รางวัลบาฟตา, รางวัลยูโรเปียน ฟิล์ม อวอร์ดและรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของแอนโธนี มิงเกลลาเรื่องนี้อีกด้วย นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลจากสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชิคาโก, สมาพันธ์นักแสดง (นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมและทีมนักแสดงยอดเยี่ยม) และรางวัลลูกโลกทองคำอีกด้วย
ตลอดการยึดอาชีพนักแสดงที่เธอแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลายและความกล้าที่น่าทึ่งในการเลือกบทบาทของเธอทั้งในภาพยนตร์เมนสตรีมฮอลลีวูดและภาพยนตร์ออฟบีทฟอร์มเล็ก เธอได้ร่วมมือกับผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องสูงสุดของโลกหลายคน ลิสต์นั้นรวมถึงโปรเจ็กต์เรื่องที่สองกับมิงเกลลา (Breaking and Entering), แลสซี ฮอลสตรอม (Chocolat ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์, บาฟตา, แซ็ก อวอร์ดและลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม), เดวิด โครเนนเบิร์ก (Cosmopolis), หลุยส์ มัลล์ (Damage), อังเดร เทชิเน (Alice and Martin, Rendez-vous), จอห์น บูร์แมน (In My Country), ไมเคิล ฮาเนเก้ (Code Unknown และ Caché ซึ่งเรื่องหลังทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอนและรางวัลยูโรเปียน ฟิล์ม), คริสตอฟ คีสโลว์สกี้ (ไตรภาค Three Colors — Red, White และ Blue), โอลิเวียร์ อัสซายัส (Summer Hours), อาเบล เฟอร์รารา (Mary), ไมค์ ฟิกกิส (ภาพยนตร์เอชบีโอขนาดสั้น Mara), ฌอน-ลุค ก็อดดาร์ด (Hail Mary เป็นผลงานฟอร์มยักษ์เรื่องแรกที่เธอได้แสดงในภาพยนตร์ที่มีการตีความพระแม่มารีในรูปแบบใหม่ ที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก) และฟิลิป คอฟแมน (The Unbearable Lightness of Being) ภาพยนตร์เรื่องหลัง ที่เธอได้แสดงประกบแดเนียล เดย์-ลูอิสและลีนา โอลินในภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเธอ ทำให้เธอได้รับความสนใจและชื่อเสียงในอเมริกาตั้งแต่อายุเพียง 23 ปี
วาเลรี เทียน (เอมิลี)
วาเลรี เทียน เริ่มต้นทำงานในจอแก้วและจอเงินตั้งแต่อายุ 12 ปี เธอแจ้งเกิดจากการบท แคลร์ ร็อดเจอร์สในซีรีส์ Black Sash ตั้งแต่นั้นมา เธอก็ได้แสดงในภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ Juno, 21 Jump Street, Charlie St Cloud, The Moth Diaries, Percy Jackson And the Olympians, Jennifer’s Body, Dim Sum Funeral, Fantastic Four, Sisterhood of the Traveling Pants และ Bob the Butler ผลงานจอแก้วของเธอได้แก่บทประจำในซีรีส์ Arrow และบทเวนดี้ใน The Secret Life of the American Teenager
เทียนใช้ชีวิตอยู่ในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา นอกเหนือจากการแสดงแล้ว เธอยังเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าและศิลปินที่มีพรสวรรค์อีกด้วย
บรูซ เดวิสัน (วอลท์)
บรูซ เดวิสัน นักแสดงชื่อดัง เจ้าของรางวัล เริ่มโด่งดังจากเวทีบรอดเวย์ ในบททรอยลัสใน Tiger at the Gates หลังจากการแจ้งเกิดครั้งนั้น พรสวรรค์ที่หลากหลายของเดวิสันก็เปล่งประกายในละครเวทีหลายเรื่อง เช่น Streamers และ The Normal Heart ซึ่งทั้งสองเรื่องทำให้เขาได้รับรางวัลนักวิจารณ์ละครลอสแองเจลิส ในช่วงยุคเจ็ดศูนย์และแปดศูนย์ เขาได้สร้างความประทับใจให้กับทั้งผู้ชมและนักวิจารณ์ด้วยการแสดงที่ตราตรึงใจในบทจอห์น เมอร์ริคในละครบรอดเวย์เรื่อง The Elephant Man, บททอม ประกบเจสสิกา แทนดี้ใน The Glass Menagerie, บทคลาเรนซ์ใน Richard III และบทสำคัญในละครเรื่อง The Caine Mutiny Court Martial ที่กำกับโดยเฮนรี ฟอนดาและละครออฟบรอดเวย์เรื่อง A Home Away from Home, The Cocktail Hour และ How I Learned to Drive
การแสดงบท เดวิด เกย์วัยกลางคน ที่คอยดูแลคู่รักของเขาที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ ในภาพยนตร์แปลกใหม่ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Longtime Companion ทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเวทีต่างๆ มากมาย รวมถึงเวทีลูกโลกทองคำ, รางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด, รางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์ก รวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดด้วย
เดวิสันเปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยภาพยนตร์เกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เรื่อง Last Summer ที่ร่วมแสดงโดยบาร์บารา เฮอร์ชีย์และริชาร์ด โธมัส หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงใน The Strawberry Statement และทริลเลอร์พิลึกเรื่อง Willard เดวิสันที่ไม่กลัวเรื่องอื้อฉาว รับบทผู้ล่วงละเมิดทางเพศเด็กในดรามาเกี่ยวกับคุกโดยโรเบิร์ต เอ็ม. ยังเรื่อง Short Eyes, พ่อของเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ใน Dahmer และบทนักบวชผู้มีอคติและความอาฆาตแค้นใ Hate Crime เขาได้แสดงประกบเบิร์ท แลนคาสเตอร์ใน Ulzana’s Raid และประกบลูซิลล์ บอลใน Mame
ประวัติทีมผู้สร้าง
เฟรด เชพิซี (ผู้กำกับ)
เฟรด เชพิซี เริ่มต้นอาชีพเบื้องหลังของเขาในวงการโฆษณาและเขาก็รับหน้าที่ผู้บริหารฟิล์ม เฮาส์ มาเกือบ 20 ปี ที่ซึ่งเขาได้กำกับทั้งโฆษณาและสารคดี ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติเรื่อง The Devil’s Playground (1976) ซึ่งได้รับหกรางวัลเอเอฟไอ อวอร์ด รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และส่งให้เฟรดโด่งดังในฐานะผู้กำกับและมือเขียนบทพรสวรรค์ ความสำเร็จของ The Chant of Jimmie Blacksmith (1978) ภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขา นำเขาไปสู่อเมริกา ที่ซึ่งเขาได้กำกับ Barbarosa (1981), Iceman (1983), Plenty (1985) และ Roxanne (1987) ก่อนที่เขาจะกลับออสเตรเลียเพื่อร่วมเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง Evil Angels (หรือ A Cry in the Dark) (1988) เรื่อง Evil Angels ได้รับรางวัลและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลมากมาย ซึ่งรวมถึงรางวัลเอเอฟไอสาขากำกับยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม นอกจากนี้ เขายังได้กำกับเวอร์ชันภาพยนตร์ของละครโดยจอห์น กัวเรเรื่อง Six Degrees of Separation (1993) ที่นำแสดงโดยสต็อคการ์ด แชนนิง, โดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์และวิล สมิธ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ The Russia House (1990), Mr. Baseball (1992), IQ (1994), Fierce Creatures (1996), Last Orders (2001) และ It Runs in the Family (2002) ล่าสุด เขาได้กำกับ The Eye of the Storm ที่นำแสดงโดยชาร์ล็อตต์ แรมพลิง, เจฟฟรีย์ รัชและจูดี้ เดวิสและภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายเบสต์เซลเลอร์โดยริชาร์ด รุสโซเรื่อง Empire Falls (2004) ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่นำแสดงโดยพอล นิวแมน, เอ็ด แฮร์ริส, โจแอนน์ วู้ดเวิร์ด, โรบิน ไรท์ เพนน์และเฮเลน ฮันท์ เปิดตัวทางช่องเอชบีโอในอเมริกา ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลมากมาย และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขามินิซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม
เจอรัลด์ ดิเพโก้ (มือเขียนบท ผู้อำนวยการสร้าง)
เป็นมือเขียนบทและนักเขียนนิยายผู้ได้รับรางวัล ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึง Sharky’s Machine (1981) ที่กำกับและนำแสดงโดยเบิร์ท เรย์โนลด์ส, Phenomenon (1996) ที่นำแสดงโดยจอห์น ทราโวลตาและ Instinct (1999) ที่นำแสดงโดยแอนโธนี ฮ็อปกินส์และคิวบา กู๊ดดิ้ง จูเนียร์ ที่ทั้งสองเรื่องกำกับโดยจอห์น เทอร์เทิลท็อบ, Message in a Bottle (1999) ที่นำแสดงโดยเควิน คอสท์เนอร์, โรบิน ไรท์ และพอล นิวแมน และ Angel Eyes (2001) ที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ โลเปซ ที่ทั้งสองเรื่องกำกับโดยหลุยส์ มอนโดกิและ The Forgotten (2004) ที่กำกับโดยโจเซฟ รูเบนและนำแสดงโดยจูลีแอนน์ มัวร์
ด้านจอแก้ว ดิเพโก้ได้เขียนบทภาพยนตร์ขนาดยาวที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ 30 เรื่อง Born Innocent (1974) และ A Family Upside Down (1978) ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลสมาพันธ์มือเขียนบท และเรื่องหลังนี้ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่สร้างขึ้นเพื่อแพร่ภาพทางโทรทัศน์ นอกจากนี้ เขายังได้เขียนบทภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง I Heard the Owl Call My Name และ One More Mountain ซึ่งได้รับรางวัลคริสโตเฟอร์ อวอร์ดทั้งสองเรื่อง
นิยายของเขารวมถึงเรื่อง With a Vengeance (1977), Forest Things (1979), Shadow of the Beast (1984), Keeper of the City (1987) และ Cheevey (1996)
เจอรัลด์ ดิเพโก้ ลูกชายผู้มีพ่อเป็นผู้อพยพชาวอิตาเลียนและแม่ชาวอิตาเลียน/อเมริกัน เกิดในชิคาโกในปี 1941 และย้ายไปเมืองราวน์ เลค, อิลลินอยส์ ที่เขาทำงานในร้านขายของชำของครอบครัว เขาศึกษาวารสารศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนอร์ธเธิร์น อิลลินอยส์ และทำงานเป็นนักข่าวและครู
ในปี 1970 เขาย้ายไปลอสแองเจลิส เพื่อทำงานเป็นมือเขียนบทและนักเขียนนิยาย เขาแต่งงานกับคริสติน ดิเพโก้ นักร้องและศิลปิน และมีลูกชายสองคน ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในซานตา เนซ วัลลีย์ในแคลิฟอร์เนีย